ทางรถไฟสายแรกของไทย ทางรถไฟสายกรงุ เทพฯ-ปากน้ำ ทางรถไฟสายปากนำ้ ตอ่ มาเรยี ก รถไฟสายกรุงเทพฯ–สมุทรปราการ เปน็ ทางรถไฟเอกชนท่ีเดนิ รถระหวา่ งสถานรี ถไฟหวั ลำโพง กรงุ เทพมหานคร กบั สถานีรถไฟปากน้ำ จังหวดั สมุทรปราการ[2] เป็นระยะทาง 21.3 กโิ ลเมตร ตง้ั แต่ พ.ศ. 2436 ถึง พ.ศ. 2503 เปน็ ทางรถไฟสายแรกของประเทศไทย[3] ทีก่ ่อตัง้ ขนึ้ กอ่ นการเดนิ รถของรถไฟ หลวงสายกรุงเทพ-อยธุ ยาถงึ สามปแี ต่เดิมทางรถไฟสายดงั กล่าวเป็นสัมปทานของบรษิ ัทรถไฟปากนำ้ ทนุ จำกัด[1] โดยมพี ระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู วั เสด็จพระราชดำเนนิ ไปทรงทำพธิ เี ริม่ การกอ่ สรา้ ง และไดเ้ สดจ็ ไปในพิธเี ปิดด้วย แตเ่ ดมิ ทางรถไฟสายปากน้ำมที ั้งหมด 10 สถานี ตอ่ มาจงึ เพม่ิ เตมิ เป็น 12 สถานี หลงั สิน้ สุดสมั ปทานในเวลา 50 ปี เสน้ ทางรถไฟดังกลา่ วตกอยใู่ นการบริหารกจิ การของกรมรถไฟต่อ ครัน้ ในรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรชั ต์ ได้ยกเลิกเสน้ ทาง รถไฟสายปากน้ำเมือ่ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2503 โดยไดม้ ีการสรา้ งถนนแทน ปจั จบุ ัน คอื ถนนพระราม 4 และถนนทางรถไฟสายเก่าปากน้ำ สถานตี น้ ทางรถไฟ คอื สถานีหวั ลำโพง ตั้งอยู่รมิ คลองหวั ลำโพง [11] ปจั จบุ ันคอื บรเิ วณถนนพระราม 4 ตรงขา้ มกับสถานรี ถไฟกรุงเทพในปจั จบุ ัน สถานีปลายทางคือ สถานีปากนำ้ ปจั จุบันเปน็ ถนนหนา้ ทางเขา้ ทา่ เรือข้ามฟากไปฝ่ังพระสมทุ รเจดยี [์ 11] ระหว่าง พ.ศ. 2436 ถึง พ.ศ. 2459 มสี ถานรี ายทางทงั้ ส้นิ 10 สถานี และเพมิ่ เป็น 12 สถานีจนสิน้ สดุ การเดินรถคา่ โดยสารไปกลบั ราคา 1 บาท สว่ นรายสถานคี ดิ คา่ โดยสารระยะสถานี สถานลี ะ 1 เฟ้ือง มี ขนาดราง 1.00 เมตร ขบวนรถโดยสารหนงึ่ ขบวนจะประกอบไปดว้ ยตโู ้ ดยสารสต่ี ู ้ และโบกห้ี า้ มลอ้ อกี หนง่ึ โบก้ี มรี ะดบั ชนั้ ทนี่ ่ังสองระดบั คอื ชนั้ สองและชนั้ สามเทา่ นัน้ ทงั้ นตี้ ลอดหนง่ึ ชว่ั โมงของการเดนิ ทางจะตอ้ งผา่ น สะพานขา้ มคคู ลองจำนวนมากซงึ่ สะพานสว่ นใหญท่ ำจากไม ้ มเี พยี งบางสว่ นทเี่ ป็ นไมก้ บั เหล็ก
ภูเขาทใ่ี หญ่ทส่ี ุดทางภาคใต้ อุทยานแห่งชาตเิ ขาหลวงนครศรธี รรมราช อทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาหลวง ครอบคลมุ พน้ื ทขี่ องอำเภอเมอื ง อำเภอพปิ นู อำเภอพรหมครี ี อำเภอลานสกา อำเภอ ฉวาง กง่ิ อำเภอชา้ งกลาง และกงิ่ อำเภอนบพติ ำ มเี นอื้ ทป่ี ระมาณ 570 ตารางกโิ ลเมตร ประกาศเป็ น อทุ ยานแหง่ ชาติ เมอื่ วนั ที่ 18 ธนั วาคม 2517 ประกอบดว้ ยเทอื กเขาทส่ี ลบั ซบั ซอ้ น มยี อดเขาหลวงเป็ นยอดเขา สงู สดุ ประมาณ 1,835 เมตรจากระดบั น้ำทะเลซงึ่ สงู ทสี่ ดุ ในภาคใตเ้ ป็ นแหลง่ ของตน้ น้ำลำธารและคลองตา่ งๆ กวา่ 15 สายมสี ภาพเป็ นป่ าดงดบิ ชน้ื และป่ าดบิ เขาเสน้ ทางการเดนิ ในอทุ ยานเป็ นวงรอบมธี รรมชาตทิ ส่ี วยงามและมี ความ หลากหลายทางชวี ภาพมพี ชื และสตั วท์ หี่ ายากอยมู่ ากมาย อทุ ยานแหง่ นไี้ ดร้ ับรางวลั ยอดเยยี่ ม ประจำปี 2541 รางวลั ยอดเยย่ี มประเภท แหลง่ ทอ่ งเทยี่ วธรรมชาติ อทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาหลวง ซงึ่ ยงั คงความอดุ มสมบรู ณ์ โดยเฉพาะป่ าเฟินโบราณและกลว้ ยไมห้ ายาก นานาชนดิ ของโลก ป่ าผนื นยี้ งั เป็ นตน้ น้ำของเขาหลวงยอดเขาทสี่ งู ทส่ี ดุ ในภาคใตข้ องไทย.ใจกลางป่ าดบิ ชนื้ อนั รกทบึ ของ เขาหลวงนเี้ อง ทไี่ ดใ้ หก้ ำเนดิ เฟินโบราณหลายชนดิ ซง่ึ เหลอื รอดมาจนถงึ ยคุ ปัจจบุ นั เชน่ มหาสดำ หรอื เฟินตน้ ที่ มี ลกั ษณะของลำตน้ ทสี่ งู ใหญ่ กวา่ 15-20 เมตร และมแี ผน่ ใบสเี ขยี วสดรปู ขนนก ขนาดใหญแ่ ผ่ ออกจากปลาย ยอดชวน ใหจ้ นิ ตนาการถงึ บรรยากาศยคุ จแู รสสกิ ซงึ่ ไดโนเสารย์ งั ครองโลกอยู่ ป่ าเขาหลวงมี เฟินชนดิ นอ้ี ยอู่ ยา่ หนาแน่นจนไดร้ ับการขนานนามวา่ หบุ ผามหาสดำอนั แสนอศั จรรย์ นอกจากนบี้ นป่ าดงดบิ ที่ สงู เฉลย่ี เกนิ 1000 เมตร ยงั พบเฟินโบราณทว่ี วิ ฒั นาการมานานกวา่ 180-200 ลา้ นปี อยา่ งบวั แฉกและบวั แฉก ใบมน เฟินทมี่ รี ปู ทรงของใบ แตกเป็ นแฉกสวยงามอยา่ งน่าประหลาด และพบขนึ้ เป็ นดงหนาแน่น ตามลาดไหลเ่ ขา ชนั ทช่ี มุ่ ชนื้ ใกลย้ อดเขาสงู ยงิ่ กวา่ นัน้ ป่ าเขาหลวงยงั เป็ นแดนสวรรคข์ องกลว้ ยไมเ้ มอื งไทย เพราะทนี่ ถ่ี อื เป็ น \"สดุ ยอดแหง่ กลว้ ยไมเ้ มอื งใต\"้ เนอื่ งจากสามารถพบกลว้ ยไมป้ ่ าดงดบิ ของภมู ภิ าคอนิ โด-มลายนั แทบทกุ สกลุ รวมแลว้ ไมต่ ่ำกวา่ 300 ชนดิ โดย เฉพาะกลว้ ยไมถ้ น่ิ ชนดิ ใหมข่ องโลกและกลว้ ยไมช้ นดิ หายาก เชน่ สงิ โตอาจารยเ์ ต็ม เออ้ื งครี วี ง และสงิ โต ใบพัด เขาหลวง เป็ นตน้ กลว้ ยไมเ้ หลา่ นล้ี ว้ นเป็ นชนดิ พันธทุ์ ไ่ี มพ่ บในทอ่ี น่ื ใดในโลกอกี นอกจากผนื ป่ าเขาหลวง เทา่ นัน้ จงึ เป็ นผนื ป่ าดงดบิ ทค่ี วรคา่ แกก่ ารอนุรักษ์ และควรหาโอกาสเดนิ ทางไปศกึ ษาเพอ่ื เพมิ่ พนู ความรใู ้ ห ้ งอกเงยตอ่ ไป ชว่ งเวลาทเ่ี หมาะในการเดนิ ทางมาทอ่ งเทยี่ ว คอื เดอื นมกราคม-เดอื นกรกฎาค
หนองน้ำทใี่ หญท่ สี่ ดุ หนองหาร อยทู่ จี่ ังหวดั สกลนคร ะเลสาบหนองหาร หรือ หนองหานหลวง เปน็ ทะเลสาบน้ำจดื ขนาดใหญท่ สี่ ดุ ของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และใหญเ่ ป็นอนั ดับ 2 ของประเทศ เป็นรองจากบงึ บอระเพด็ ตงั้ อยู่บริเวณอำเภอเมอื งสกลนคร อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร มเี น้ือที่กว่า 77,000 ไร่ ความลึกเฉล่ียประมาณ 2.0-10.0 เมตร เป็นแหลง่ รับ น้ำตกของลำห้วยตา่ ง ๆ หลายสาย และยงั เปน็ ต้นนำ้ ของลำน้ำกำ่ ซงึ่ ไหลลงสู่แมน่ ้ำโขงทอ่ี ำเภอธาตุพนม จงั หวัดนครพนม อำนวยประโยชน์ในด้าน การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ การประมง ซง่ึ เป็นอาชีพหลกั ของชาวบ้านในชมุ ชนรอบหนองหาร ระดับน้ำในหนองหารลึกประมาณ 3-8 เมตร ใน บรเิ วณหนองหารมเี กาะตา่ ง ๆ กว่า 20 เกาะ เชน่ เกาะดอนสวรรค์ ซง่ึ เปน็ เกาะทใี่ หญ่ที่สดุ บนเกาะมีวดั ร้าง และพระพุทธรปู เกา่ แก่ นอกจากน้ัน ตามเกาะต่าง ๆ เหลา่ น้ีจะมีตน้ ไม้ใหญ่ขนึ้ อยมู่ ากมาย เปน็ ทอี่ ยู่อาศยั ของนกนานาชนิด ซ่ึงในเวลากลางวันสาหร่ายท่อี ย่ใู ต้พน้ื น้ำ เมื่อแดดส่องลงใน น้ำจะเห็นสาหร่ายเป็นสที อง บางเกาะได้สรา้ งศาลาพกั ร้อน เช่น เกาะแกว้ เกาะดอนสะคาม และเกาะดอนสะทุง มที ัศนยี ภาพ นกน้ำ ปลา นานา พันธ์ุ และวถิ ีชวี ิตของชาวประมงหนองหาน สันนษิ ฐานวา่ หนองหารเกดิ จากการยุบตัวของแผ่นเปลือกโลกอนั เนื่องมาจากการถกู ชะล้างของชน้ั หิน เกลือใตด้ นิ จนเกดิ โพรงขนาดใหญ่ และเกิดการพังทลายยุบตัวลงเป็นหนองน้ำในเวลาต่อมา ตามคติความเชอื่ ของชาวสกลนคร หนองหาร เปน็ ผล จากการกระทำของพญานาค สบื เนื่องมาจากการกระทำอันผิดทำนองคลองธรรมของชาย-หญงิ ในตำนานผาแดง นางไอ่ เกาะทเ่ี ป็ นทา่ เรอื สำคญั ของไทย เกาะสชี งั
งดงามดว้ ยธรรมชาติ และประเพณีวฒั นธรรม สชี ัง อำเภอทมี่ ขี นาดเล็กทส่ี ดุ ของประเทศไทย แต่มคี ำจำกัดความมากมายมหาศาลเชน่ นี้ เพียงตำบลเล็กๆ ท่ีชือ่ วา่ ทา่ เทววงษ์ ห่างจากฝงั อำเภอศรรี าชา 12 กโิ ลเมตร ใชเ้ วลาเดนิ ทางประมาณ 30 – 45 นาที ขนาดพื้นทข่ี องเกาะมีความยาว 7.9 ตารางกโิ ลเมตร ประชากรอาศยั อย่ปู ระมาณ 10000 กวา่ คน /วัน ทงั้ ทเี่ ป็นประชากรท่แี ท้ จริง และประชากรแฝง ประชากรส่วนใหญ่นับถอื พุทธศาสนา เกาะแห่งนเ้ี ป็นท่รี ู้จกั มาตั้งแต่สมยั กรงุ ศรอี ยุธยาตอนปลาย ด้วยอากาศอันบรสิ ทุ ธิท์ ดี่ ี ทำให้สมยั ของพระ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั (ร.4) ได้เสดจ็ พระราชดำเนินมาทน่ี ่ี โดยในขณะนั้น พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อย่หู วั (ร.5) โดยเสด็จพระราชดำเนนิ มาด้วย ทำให้ชอื่ สีชงั เป็นทป่ี ระทับพระราชหฤทัยมาตง้ั แต่บดั นั้น จวบจนถึงรชั สมยั ของ พระองค์ พระโอรสเกิดประชวรขึน้ เกาะสชี ังจงึ ได้เปน็ จดุ หมายปลายทางแรกที่พระองคท์ รงเลอื ก เพื่อใหพ้ ระราชโอรสมาพักผอ่ นและรักษาพระองค์ จงั หวดั ที่ปลกู ชากนั มาก จ.เชยี งราย จ.เชยี งใหม่
จ.เชียงราย เป็นแหล่งปลกู ชามากทส่ี ุดของประเทศ ลา่ สุดชา จ.เชยี งราย ควา้ รางวลั Gold Prize ในเวทีชาระดบั โลก ทป่ี ระเทศญ่ปี นุ่ (วันน้ี 5 ต.ค. 2563) ผู้สอื่ ขา่ วรายงานวา่ พื้นทีไ่ ร่ชากว่า 4 หม่ืนไร่ บนดอยพญาไพร ต.เทอดไทย อ.แมฟ่ า้ หลวง จ.เชยี งราย แหล่งปลูกชาแหลง่ ใหญท่ ส่ี ุดแหง่ หนึ่งใน ประเทศ ในอดตี คือพ้นื ทีป่ ลกู ฝนิ่ เพราะมสี ภาพพืน้ ที่ และอากาศท่เี หมาะสม ปจั จบุ ันบนดอยพญาไพร ชาวบ้านทเี่ ป็นกล่มุ ชาตพิ นั ธอุ์ าข่า จนี ลาหู่ และลซี ู ทุกหลังคาเรอื นหันปลกู ชาเป็นอาชีพหลกั โดยมีโรงผลิตชาในหมู่บ้านมากกว่า 30 แห่ง ซ่ึง ชาทปี่ ลูกมี 3 ชนดิ คอื ชาอสั สัม(ทอ้ งถ่นิ ) ชาจนี (อหู ลง,ชาเขียว), ชาน้ำมันลา่ สุดผลิตภัณฑ์ชา ของดอยพญาไพร ไดส้ ร้างชื่อเสียงใหก้ บั ประเทศ โดยคว้ารางวัล Gold Prize ในเวทสี ากล The World Green Tea Contest 2020 จากประเทศญี่ป่นุ ซึ่งจัดโดย World Green Tea Association โดยผลิตภัณฑ์ชาที่ไปคว้ารางวลั มา มี 2 คือ โรงงานชา 1x2 บา้ นพญาไพรเล่ามา ซ่งึ เป็นผลิตภัณฑช์ าเขยี วอัสสมั และชาของบรษิ ทั ชาดี 101 จำกดั ซึง่ เปน็ ผลติ ภัณฑช์ าอหู่ ลงขา้ ว ฮาง-งอก ถ่านหนิ มีมากท่ี จ.ลำปาง และ จ.กระบี่ เหมอื งแรถ่ า่ นหินลิกไนตแ์ ละโรงไฟฟ้า ถา่ นหินแมเ่ มาะ จังหวัดลำปาง สถานะ ดำเนนิ การ เหมอื งลกิ ไนตแ์ บบเปดิ (open pit mining) ที่ใหญท่ ่ีสุดในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตภ้ าคพืน้ ทวีปอยู่ท่อี ำเภอแมเ่ มาะ จงั หวดั ลำปาง โดยเปน็ ตัวอย่าง คลาสสกิ ของอตุ สาหกรรมขุดเจาะ(extractive industries) ท่ีสรา้ งผลกระทบส่ิงแวดล้อมและสุขภาพมาเป็นลำดบั เหมืองลกิ ไนต์ทแ่ี มเ่ มาะมีการ สำรวจต้ังแต่ปี 2460 และมแี ผนทจ่ี ะปิดในอีก 30 ปขี ้างหน้า เนอ่ื งจากแหล่งสำรองลิกไนต์ 300-400 ลา้ นตนั จะหมดลง
แหล่งถา่ นหนิ ในประเทศไทยที่สำรวจพบโดยกรมทรพั ยากรธรณีสว่ นใหญเ่ ปน็ ลิกไนตอ์ ยู่ทางภาคเหนือและบางส่วน ทางภาคใต้ โดยมที ั้งหมด 43 แหลง่ มปี ริมาณทรพั ยากรถ่านหินรวม ประมาณ 2,007 ลา้ นตัน แบ่งเปน็ แหลง่ ถ่านหินที่ มกี ารพฒั นาแลว้ 14 แหลง่ มปี รมิ าณสำรองราว 1,181 ล้านตัน และแหล่งถา่ นหินท่ยี ังไมไ่ ดพ้ ัฒนา 29 แหล่ง มี ปรมิ าณทรพั ยากรถา่ นหินราว 826 ลา้ นตนั โดยแหลง่ ถา่ นหินทใี่ หญท่ ่ีสดุ และมกี ารผลิตมากทสี่ ดุ คอื เหมอื งแม่เมาะ ปลาทใ่ี หญท่ ส่ี ดุ ในลำน้ำโขง ปลาบกึ ข้อมูลล่า สุดเกยี่ วกับปลาบึก โดย ไชยณรงค์ เศรษฐเชือ้ เครอื ข่ายแม่นำ้ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต(้ SEARIN) ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ขอ้ มูลทว่ั ไปและความสำคญั ของปลาบกึ ปลาบกึ เป็นปลานำ้ จืดอพยพที่ใหญท่ ่ีสุดชนดิ หนง่ึ ของโลก มถี นื่ กำเนดิ เฉพาะในลุ่มน้ำโขงเทา่ นั้น โดยปลาบึกขนาดใหญท่ ส่ี ดุ เทา่ ที่มีการบนั ทกึ ไว้คือมนี ำ้ หนัก ๒๘๒ กิโลกรัมและยาวสดุ ๓ เมตร การทีป่ ลาบึกเปน็ ปลาหนงั อพยพทีใ่ หญ่ทสี่ ดุ ชนิดหน่งึ ของโลกและมถี ่ินอาศยั เฉพาะแมน่ ำ้ โขง ทำใหป้ ลาบกึ เป็นสัญญลักษณ์ของความอดุ มสมบูรณแ์ ละความหลากหลาย ทางชีวภาพของแมน่ ้ำโขง การลดลงของจำนวนประชากรปลาบกึ ตามธรรมชาติ (Wild Giant Catfsih) จงึ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถึงความเสือ่ มโทรมของระบบนเิ วศน์แม่น้ำโขงท่ี ประชาชนมากกวา่ ๖๐ ลา้ นคนได้พ่ึงพาโดยเฉพาะการทำประมงท้ังเพอื่ การยงั ชพี และเชิงพาณชิ ย์ ปัจจุบัน การศกึ ษาเร่อื งปลาบึกยงั ไม่เปน็ ระบบ ในประเทศไทย จะเน้นไปทก่ี ารผสมเทยี มและการเพาะเลย้ี ง เปน็ หลกั ส่วนการศกึ ษาวงจรชีวติ ตามธรรมชาตขิ อง ปลาบกึ ในแมน่ ำ้ โขงนนั้ ยังไมม่ ี โครงการท่ีศึกษาธรรมชาติของปลาบกึ ที่กำลังดำเนินการในปัจจบุ ันคอื การเฝ้าตดิ ตามการอพยพของปลาบกึ ที่ทะเลสาบเขมรโดย Zeb Horgan
วดั ทีไ่ ม่มีพระจำพรรษาเลย วดั พระศรีรตั นศาสดาราม วดั พระศรีรัตนศาสดาราม หรอื ทเ่ี รียกกันทั่วไปว่า วัดพระแกว้ เปน็ วัดท่ีพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราชโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างข้ึนพรอ้ มกบั การสถาปนากรุงรตั นโกสินทร์ พ.ศ. 2325 เป็นวัดในพระบรมมหาราชวังเช่นเดยี วกับวดั พระศรีสรรเพชญ์ ซ่ึงเปน็ วดั ในพระราชวงั หลวงในสมยั อยุธยา และมีพระราช ประสงค์ใหว้ ดั พระศรรี ตั นศาสดารามเปน็ ทป่ี ระดิษฐาน พระพุทธมหามณรี ัตนปฏิมากร และเป็นสถานท่ที รงบำเพ็ญพระราชกศุ ล วดั พระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดทไี่ ม่มี พระสงฆ์จำพรรษาอยู่ เพราะมแี ต่ส่วนพทุ ธาวาสไม่มีส่วนสงั ฆาวาส ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดารามมอี าคารสำคัญและอาคารประกอบเปน็ จำนวนมาก จงึ แบ่งกลุม่ อาคารออกเป็น 3 กลมุ่ ตามตำแหน่งและความสำคญั ดังนี้ กลุ่มพระอุโบสถ เปน็ กลมุ่ ทมี่ ีความสำคญั สูงสดุ มพี ระอโุ บสถเป็นอาคารประธานซึง่ เปน็ ท่ปี ระดษิ ฐานพระพทุ ธมหามณรี ตั นปฏมิ ากร ล้อมรอบด้วยศาลาราย พระโพธธ์ิ าตุ พมิ าน หอราชพงศานุสรณ์ หอราชกรมานุสรณ์ หอระฆัง และหอพระคันธารราษฎร์ คำวา่ \"พระศรีรตั นศาสดาราม\" เปน็ การสมาสสนธิระหว่างคำ คือ \"ศรีรตั นศาสดา\" กบั \"อาราม\" โดยคำวา่ ศรีรตั นศาสดา หมายถึงฉายาสมเด็จพระสมั มา สมั พทุ ธเจา้ เป็นนามที่ใช้เรียกแทนพระองค์ว่าเปน็ ศาสดาท่เี ปรยี บเป็นพระผ้ปู ระเสรฐิ เปน็ ศรรี ตั น เปรียบได้กบั แกว้ อันประเสรฐิ ซง่ึ กล่าวว่า องค์สมเดจ็ พระสัมมา สัมพทุ ธเจา้ เปน็ เอกแหง่ รตั นตรยั ซึ่งคอื แก้ว 3 ประการ ไดแ้ ก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คำวา่ อาราม คือ วดั ดังนน้ั \"พระศรีรัตนศาสดาราม\" หมายถงึ วัดสัมมาสมั พทุ ธเจา้ หรอื พระอารามซง่ึ ประดิษฐานแหง่ องคส์ มเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ [1] ประเทศไทยเร่มิ ใชธ้ งไตรรงคเ์ มอื่ ปี พ.ศ.2460
วันนีใ้ นอดตี 1. รชั กาลที่ 6 ทรงประกาศให้ “ธงไตรรงค์” เปน็ “ธงชาติไทย” เมือ่ 28 กันยายน 2460 ธงไตรรงค์” หรอื “ธงชาตไิ ทย” มีลกั ษณะเปน็ ธงส่ีเหลี่ยมผืนผา้ ใชส้ หี ลักในธง 3 สี คือ สแี ดง ขาว และสีนำ้ เงนิ ขาบ ภายในแบง่ เปน็ แถบ 5 แถบ แถบในสุดสนี ำ้ เงนิ ด้านนอก ด้านบนและลา่ งเปน็ สี ขาวและสีแดงตามลำดับ วันที่ 28 กนั ยายน พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว รัชกาลท่ี 6 ทรงพระราชทานนามวา่ “ธงไตรรงค”์ ทรงประกาศใช้พระราชบัญญตั วิ ่าด้วยการประกาศให้ธงไตรรงคเ์ ป็น ธงชาติไทย โดยวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560 ทีผ่ ่านมาเปน็ วนั ครบรอบ ๑๐๐ ปี “ธงไตรรงค์” “ธงไตรรงค”์ กำเนดิ หลงั เหตุการณท์ ่พี ระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว เมือ่ ครง้ั เสด็จประพาสเมอื งอุทยั ธานี พ.ศ. ๒๔๕๙ ครง้ั น้ันราษฎรแสดงความจงรักภักดแี ละปลืม้ ปีติในการเสดจ็ ฯ ด้วย การพยายามจะหาธงทิวซง่ึ ขณะนนั้ เปน็ ธงรปู ชา้ งเผือกอย่ตู รงกลางธงมาประดบั ประดาเพื่อรบั เสด็จ แตด่ ้วยความทธ่ี งชาติมีราคาแพงและหาได้ยาก จงึ ไดน้ ำผา้ ทอสีแดงขาวมาหอ้ ยหรือจบี เป็นรปู สวย งามประดบั อยู่ตามทางเสดจ็ ฯ ผา่ น พระราชปรารภน้เี ปน็ สว่ นหน่งึ ประกอบกับเหตกุ ารณ์ที่ทำใหท้ รงสะเทือนพระราชหฤทัยเปน็ อย่างมากระหว่างเสดจ็ ประพาส กอ่ ให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงรปู ลกั ษณะธงชาติไทยคร้งั คนไทยเรม่ิ ใชน้ ามสกุลในสมยั รัชกาลที่ 5 22 มีนาคม พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) ออกประกาศใหใ้ ช้พระราชบญั ญัติขนานนามสกลุ คนไทย
นบั แตโ่ บราณมาจนถึงสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) คนไทยเราไมเ่ คยมนี ามสกลุ ใชม้ ากอ่ น มเี พียงชอ่ื เรยี กเดยี่ ว ๆ แถมแตล่ ะคนยงั มชี ่ือเรียกซำ้ กันอกี ด้วย พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั (รัชกาลที่ 6) จงึ พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ รา \"พระราชบญั ญัติขนานนามสกลุ พ.ศ. 2456\" ข้นึ โดยออกประกาศในวันที่ 22 มนี าคม พ.ศ. 2455 ดว้ ยทรงดำริเห็นวา่ คนไทยทกุ คนควรจะมที งั้ ชอื่ ตัวและชื่อสกลุ เพื่อชว่ ยกำหนดตวั บคุ คลไดแ้ นน่ อนกว่าการเรียกชื่อเพียงอย่างเดยี ว และทรงวางหลักสำคญั ในการสบื สกลุ ไว้โดย ถอื เอาสายสมั พนั ธ์ทางบดิ าผูใ้ ห้กำเนดิ แตฝ่ า่ ยเดียว นอกจากการจดั ต้ังนามสกุลจะเป็นแนวทางหน่งึ ของการจัดระเบยี บสงั คมตามโลกตะวันตกแล้ว ยังเป็นเครอื่ งเตอื นใจใหเ้ จา้ ของสกุลประพฤติแต่สิ่งดี งาม เพ่ือรักษาเกียรตขิ องสกุล ตลอดจนเป็นหลกั ของการสืบเชื้อสาย และก่อใหเ้ กิดความเปน็ หมู่คณะดว้ ย มีการประกาศและบังคับใชเ้ ป็นกฎหมายต้ังแตว่ ันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 เป็นต้นไป แต่มเี หตใุ หเ้ ลื่อนการบงั คับใช้ออกไปอกี 2 คราว เพ่อื อำนวยความสะดวกแก่เจา้ พนักงานผ้ทู ำทะเบยี น และผทู้ เ่ี ลอื กจัดตั้งนามสกลุ โดย \"พระราชบัญญัตขิ นาน นามสกลุ พ.ศ. 2556\" ไดบ้ ังคับใชเ้ ปน็ กฎหมายโดยสมบรู ณ์เมอ่ื วนั ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2458 ประเทศไทยเรมิ่ ใชแ้ สตมป์ เมอื่ ปี พ.ศ.2474
ประวัติการไปรษณยี ไ์ ทย การตดิ ตอ่ สง่ ขา่ วสารไปมาถึงกนั ของคนไทยในสมัยโบราณน้นั ถา้ เป็น เร่อื งรีบร้อนสำคัญ ก็มักจะจัดให้คนถือไป หากเป็นเร่ืองธรรมดาไมเ่ ร่งร้อนก็มกั จะฝากไปกบั พอ่ ค้า หรอื คนเดนิ ทางท่จี ะเดนิ ผ่าน ไปทางนนั้ ๆ ส่วนในทางราชการ หากเป็นราชการเร่งรอ้ นสำคญั ก็มีการแต่งขา้ หลวงเชิญหนังสอื หรือ \"ทอ้ งตรา\" หรอื \"ใบบอก\" ออกไปสง่ ยังทห่ี มายซง่ึ อาจจะตอ้ งขช่ึ า้ ง ขม่ึ า้ ลง เรือ ลงแพ ตามลักษณะภมู ิประเทศ และเปน็ หนา้ ท่ขี องกรมการเมืองรายทางทีผ่ ่าน ทจี่ ะต้องจัดยานพาหนะทางไปสง่ ถึงเขตชายแดน ถ้าเปน็ ราชการไม่เร่งร้อน คณะกรรมการเมืองกจ็ ดั คนให้สง่ หนงั สือตอ่ ๆ กันไป แสตมป์ชดุ ๓๐๐ ปี สมั พนั ธภาพไทย-ฝร่งั เศส พ.ศ. ๒๒๒๘ - ๒๕๒๘ (ซา้ ย) ราชทตู ไทยถวายพระราชสาสน์แด่พระเจ้าหลยุ ส์ที่ ๑๔ (ขวา) ราชทตู ฝร่งั เศส ถวายพระราชสาสน์ แด่สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช สว่ นการส่งพระราชสาสน์ หรือหนังสือ ตดิ ต่อกบั ประเทศนนั้ มีวิธใี หญๆ่ อยู่ ๒ วธิ คี อื ๑. แตง่ ตัง้ คณะทูตอญั เชญิ พระราชสาสน์ไปยงั ประเทศท่จี ะติดตอ่ โดยตรง เชน่ พระวสิ ทุ ธสุนทร (ปาน) อญั เชิญพระราชสาสนข์ องสมเดจ็ พระนา- รายณ์มหาราชไปถวายพระเจา้ หลยุ ส์ที่ ๑๔ แหง่ ฝรั่งเศส พระยามนตรสี ุริยวงศเ์ ปน็ ราชทตู อญั เชิญ พระราชสาสน์ และเครอ่ื งราชบรรณาการของ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว ไปถวายสมเดจ็ พระราชินนี าถวกิ ตอเรีย แหง่ องั กฤษ เปน็ ตน้ เครื่องหมายตราประจำชาตไิ ทยคอื ตราครุฑ
ประวตั ิตราพระครุฑพ่าห์ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าใหใ้ ช้ตราอาร์มเปน็ ตราแผ่นดินใน พ.ศ. 2416 ต่อมาพระองค์มีพระราชดำริว่า ตราอารม์ ท่ีใช้เปน็ ตราแผน่ ดินในเวลาน้ันเป็นอยา่ งฝรงั่ เกินไป และทรงระลกึ ได้ว่า พระเจ้าแผ่นดนิ สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาเคยใชต้ ราพระครุฑพ่าห์มาก่อน (ตราทีก่ ลา่ วถึงคอื ตราพระราชลญั จกรพระครฑุ พา่ หอ์ งคเ์ ดมิ ) จึงทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานวุ ดั ตวิ งศท์ รงเขียนพระราชลญั จกรพระครฑุ พ่าหข์ ้นึ เป็น ตราแผน่ ดินเพ่ือใช้แทนตราอาร์ม โดยครั้งแรกทรงเขียนเป็นรูปตราพระนารายณ์ทรงครุฑจับนาค ตราน้ีไดใ้ ช้อยรู่ ะยะหน่ึงก็โปรดเกลา้ ฯ ให้สมเดจ็ ฯ เจ้าฟา้ กรมพระยา นริศรานวุ ัดตวิ งศ์ทรงเขียนตราครุฑขน้ึ ใหม่อกี ครัง้ เป็นตราวงกลม โดยยกรูปพระนารายณ์และนาคออกเสยี คงเหลอื แตร่ ปู ครุฑ ซึ่งเขียนเป็นรปู ครุฑรำตามแบบครฑุ ขอม พืน้ เป็นลายเปลวไฟ เมอื่ นำข้นึ ทูลเกล้าฯ ถวายกช็ อบพระราชหฤทยั และมพี ระราชประสงค์ทจ่ี ะใหใ้ ชต้ รานเี้ ป็นตราแผ่นดินถาวรสบื ไป จะได้ไม่ต้องสรา้ งข้ึนใหม่เมอ่ื เปลยี่ นรัชกาล
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: