421-323 ระบบสารสนเทศเพื่อการจดั การ (Management Information System : MIS) 3(2-2-5) อ. ดร.นวพล แกว้ สวุ รรณ
ววิ ัฒนาการสงั คมไทย
ววิ ัฒนาการสงั คมไทย
ววิ ัฒนาการสงั คมไทย
ววิ ัฒนาการสงั คมไทย
ววิ ัฒนาการสงั คมไทย
ววิ ัฒนาการสงั คมไทย
สรุปวิวฒั นาการสงั คมไทย แนวคดิ เกยี่ วกับการกาเนิดสังคมสารสนเทศและความรู้ เพอ่ื พฒั นาสูส่ งั คม เศรษฐกจิ ฐานความรู้ และกาลังเคล่ือนเขา้ สู่สงั คมท่เี น้นเศรษฐกจิ สร้างสรรค์ ซึ่ง องค์กรตา่ งๆ จะใหค้ วามสาคัญกบั การพฒั นา นวัตกรรม เพอื่ เพ่มิ ศักยภาพในการ แขง่ ขนั และสามารถรักษาตาแหน่งทางการแข่งขนั ไดย้ ่ังยนื โดยเฉพาะการนานวตั กรรมไปจดลขิ สทิ ธ์ิ (copyright) หรอื สิทธิบัตร(Patent) ไดก้ ถ็ อื วา่ องคก์ รจะไดป้ ระโยชนจ์ ากการใชค้ วามรเู้ ป็นทรพั ย์สินทางปัญญา (Intellectual property) ขององคก์ ร ซง่ึ องคก์ รตอ้ งพฒั นาทนุ ทางปญั ญา (Intellectual capital) ขององค์กร ดงั นน้ั การเคลื่อนสงั คมจะเคลอื่ นไปสสู่ ังคม ใหม่ ดังน้ันจึงพอสรุปการพฒั นาสงั คมไดว้ า่
วิวัฒนาการและโลกทัศน์ของแนวคดิ ยุคใหม่ อัลวิน ทอฟเลอร์ (Alvin Toffler) และ ชลภสั ส์ วงษ์ประเสริฐ คล่นื ลกู ที่ 1 การปฏิวัตทิ างการเกษตรกรรม มนุษยเ์ ริม่ รู้จกั การปลูกพชื ทา เกษตรกรรม ทาใหส้ ังคมมนุษย์เจริญข้ึน แผน่ ดนิ หรือ ทีด่ นิ ถือไดว้ า่ เปน็ ฐานของการ ผลิต การดารงชวี ิต วฒั นธรรม และครอบครัว ดาเนนิ ไปบรเิ วณหมู่บ้าน เศรษฐกจิ มี ลกั ษณะกระจาย แต่ละชุมชนตา่ งก็ผลติ ตามความจาเป็นของตน การปฏิวตั ิ เกษตรกรรมกอ่ ให้เกิดอารยธรรมสาคญั ๆ เชน่ ในประเทศจีน ในลุม่ แมน่ ้าฮวงโหและ แยงซเี กียง แม่นา้ สินธขุ องอินเดยี แม่น้าไทกรีสยูเควตีสของอิรัก และทอ่ี น่ื ๆ ในยโุ รป อีกหลายแหง่ แมว้ า่ ประเทศตา่ งๆ เหลา่ นมี้ ีความก้าวหนา้ มากแตก่ ็มขี ้อจากัดที่จะ ผลกั ดันใหม้ ปี ระดิษฐ์กรรมทีซ่ ับซ้อน และขาดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ท่ีจะใชผ้ ลิต สนิ คา้ และบริการทมี่ ีความซับซอ้ น อาชพี ที่สาคญั ในสังคมเกษตรกรรมกค็ ือ เกษตรกรรม พาณิชย์กรรม และเจ้าที่ดนิ ซึ่งส่วนใหญเ่ ป็นขนุ นาง
ววิ ัฒนาการและโลกทัศนข์ องแนวคดิ ยคุ ใหม่ อลั วิน ทอฟเลอร์ (Alvin Toffler) และ ชลภัสส์ วงษ์ประเสรฐิ คลืน่ ลกู ที่ 2 เกิดขึ้นในขณะที่คลน่ื ลกู ที่หน่งึ ยงั ไมห่ มดไป เกิดจากการปฏวิ ัติ อุตสาหกรรมในราวปลายศตวรรษที่ 17 ในทวีปยโุ รป ราวปี ค.ศ. 1650-1750 ซึ่งได้ปฏวิ ตั ิ วิธกี ารดาเนนิ ชวี ติ ของมนษุ ย์ ระบบเศรษฐกิจ การคา้ และเงนิ ตรา ตลาดโลก โดยใช้เวลาเพียง 300 ปี ซงึ่ เปน็ ช่วงทศวรรษทม่ี กี ารจา้ งงานในโรงงานเพม่ิ มากข้นึ เกิดอตุ สาหกรรมการทอผ้า ระบบเครื่องจักรไอนา้ เกิดคอมพิวเตอร์ เครื่องบินเจท็ แทรกเตอร์ มีการวางแผนครอบครวั ด้วยยาคุมกาเนดิ เครอื่ งพิมพ์ หนังสือพมิ พร์ ายวนั สังคมอุตสาหกรรมมกี ารผลิตจานวน มากๆ มกี ารจา้ งกรรมกรจานวนมาก ทาใหเ้ กษตรกรส่วนหนงึ่ ทิ้งท่ดี ินท่ที ากินเขา้ ไปเป็น ลกู จา้ งในโรงงาน เริม่ นบั ถอื เงนิ ตราเปน็ ตัวกลางในการแลกเปล่ียนสนิ ค้าและบรกิ าร มีการ สง่ เสรมิ การวิจัยทางดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีเพ่อื ให้สามารถแขง่ ขนั กับโรงงานอนื่ ๆ ได้ มนุษย์มคี วามสัมพันธแ์ ละติดต่อสื่อสารกันมากขนึ้ และไดส้ รา้ งใหส้ ังคมเป็นระบบสังคม ขนาดใหญ่ ขยายพรมแดนความร้อู อกไปอยา่ งกว้างขวาง
วิวฒั นาการสงั คมไทย ววิ ัฒนาการและโลกทศั น์ของแนวคดิ ยคุ ใหม่ อัลวิน ทอฟเลอร์ (Alvin Toffler) และ ชลภัสส์ วงษ์ประเสริฐ คล่นื ลูกที่ 3 การกาเนิดขนึ้ ของคอมพวิ เตอร์เปน็ ก้าวทส่ี าคญั ทน่ี าไปสยู่ ุคสารสนเทศ ยังไม่มีใคร คดิ ว่าคอมพิวเตอรจ์ ะทาให้สงั คมเปลย่ี นแปลงไปอย่างมาก ในครัง้ แรกกเ็ พยี งคิดวา่ คอมพิวเตอร์มาชว่ ย ในการปฏบิ ัตงิ าน ชว่ ยลดต้นทนุ ในการผลิตในงานอุตสาหกรรม แต่การพัฒนาคอมพิวเตอรเ์ ปน็ ไปอยา่ ง กวา้ งขวางและเพ่ิมประสทิ ธิภาพข้ึนไปเร่อื ยๆ ราคาเริม่ ถกู ลง จงึ มีการขยายตัวนาไปใชใ้ นหน่วยงาน ตา่ งๆ อย่างกวา้ งขวาง นอกจากน้ีการพัฒนาเทคโนโลยีการสอื่ สาร ยงั เป็นปัจจยั สนบั สนุนการใช้ คอมพวิ เตอรใ์ หส้ ามารถติดต่อส่ือสารได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ สงั คมจงึ ก้าวเขา้ สสู่ ังคมสารสนเทศ มผี ูต้ ้งั ชอ่ื สังคมยคุ น้ี ไวอ้ ย่างหลากหลายวา่ เป็นยุคอเิ ล็กทรอนิกส์ ยุคอวกาศ ยุคหลังอุตสาหกรรม และยุค สารสนเทศ สงั คมแหง่ การเรยี นรู้ คนสว่ นใหญ่ในสงั คมสารสนเทศจะประกอบอาชีพดา้ นบรกิ ารและ คนทีใ่ ชค้ วามรู้ (Knowledge worker) ซง่ึ ต่างจากสังคมอตุ สาหกรรมซ่งึ คนส่วนใหญ่ทางานในการใช้ แรงงาน ผู้ท่ีทางานบริการ ไดแ้ ก่ ผู้ท่ีทางานทีเ่ ก่ยี วข้องกับสารสนเทศ เอกสาร ขา่ วสาร ขอ้ มูล เช่น นกั ประชาสมั พันธ์ นักหนงั สือพิมพ์ นกั คอมพิวเตอร์ นกั สารสนเทศ นกั บัญชี นักบริหาร นกั วิจยั พอ่ คา้ มคั คุเทศก์ เปน็ ตน้ (ทอฟเลอร,์ อัลวนิ , 2542)
วิวฒั นาการและโลกทศั นข์ องแนวคิดยคุ ใหม่ อลั วิน ทอฟเลอร์ (Alvin Toffler) และ ชลภสั ส์ วงษป์ ระเสรฐิ คลนื่ ลกู ที่ 4 ยุคนวัตกรรม เปน็ การเปิดเสรีทางการคา้ เพื่อสร้างความได้เปรยี บในการแขง่ ขันใหก้ ับ ตนเอง นอกจากนร้ี ะเบียบโลกยงั กาหนดเง่อื นไขในการดูแลทรพั ยส์ ินทางปญั ญาโดยมีระเบียบโลกใน เรอ่ื งสิทธบิ ัตร ลขิ สิทธ์ิ เคร่ืองหมายการค้า ฯลฯ ซ่งึ โลกกาลงั เคลือ่ นไปอย่างรวดเรว็ สินค้าและบริการจะ ถูกการลอกเลยี น การสร้างสนิ คา้ และบริการใหม่ท่ีเหนอื กวา่ สนิ คา้ ที่สามารถดารงอยู่ในตลาดระยะยาว ต้องเป็นสนิ คา้ ทีม่ ีนวัตกรรมสงู ลอกเลยี นไดย้ าก รายได้ขององคก์ รจะเปล่ยี นจากการขายสินคา้ และ บรกิ ารมาเป็นรายได้ในการจดั การสินทรพั ย์ท่ีจบั ต้องไม่ไดซ้ ง่ึ ก็มาจากทรัพย์สินทางปญั ญาน่ันเอง
วิวัฒนาการและโลกทศั นข์ องแนวคิดยคุ ใหม่ อลั วิน ทอฟเลอร์ (Alvin Toffler) และ ชลภสั ส์ วงษ์ประเสริฐ คลืน่ ลูกท่ี 5 ยคุ ทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา พิจารณาจากการมีทรัพยส์ นิ ทางปญั ญามากนอ้ ยเพยี งใด ถูกขบั เคลอื่ นด้วยแรงงานความรู้ องคก์ รต้องมีการจัดการความรอู้ ย่างเปน็ ระบบเพื่อสร้างวฒั นธรรม การเรียนรู้ บุคลากรตอ้ งมีการเรียนรอู้ ยา่ งต่อเนอื่ งและเรยี นรตู้ ลอดชีวิต องค์กรจะเป็นองคก์ รการ เรียนรู้ การเรียนรกู้ ลายเป็นพลวัตในองค์กรที่มกี ารแสวงหา การสร้าง การจดั เกบ็ และการแลกเปล่ยี น เรียนรู้รว่ มกัน นอกจากน้ันองค์กรตอ้ งจดั เตรยี มปัจจยั เออ้ื ทีใ่ ห้เกดิ การเรยี นรู้ เช่น การปรบั โครงสรา้ งใหม้ ีชน้ั การบังคบั บญั ชาให้ลดลง มกี ารมอบอานาจใหส้ ามารถตัดสนิ ใจได้ สร้างวฒั นธรรมองค์กรท่ีเอ้ือตอ่ การ เรียนรแู้ ละการแลกเปลี่ยนเรียนร้รู ่วมกนั พัฒนาเทคโนโลยสี ารสนเทศทั้งในการจัดเก็บและในการ เผยแพรค่ วามรู้ และสามารถเข้าถึงความรู้นน้ั ได้ในทุกเวลาและทุกสถานที่ โดยเนน้ ในเรอ่ื งความรู้ เกี่ยวกับทนุ ลูกคา้ ทุนมนุษย์ และทุนโครงสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพอื่ สรา้ งนวตั กรรมใหม่ในการ พฒั นาสินค้าและบรกิ ารแลว้ มกี ารจดั การทุนทางปญั ญาอยา่ งเปน็ ระบบ ซ่งึ องค์กรตอ้ งมีการจดั การทุน ทางปัญญาอยา่ งเปน็ ระบบเพ่ือให้องค์กรได้ประโยชน์สงู สุด ในการจัดการสนิ ทรพั ย์ท่ีจับตอ้ งไม่ไดแ้ ละ ทกุ องคก์ รเขา้ ใจแล้วว่าโลกของการแขง่ ขันนนั้ อยู่บนการจัดการสินทรัพย์ที่จบั ตอ้ งไม่ได้
สรปุ ววิ ฒั นาการและโลกทัศนข์ องแนวคดิ ยคุ ใหม่ ปจั จุบนั โลกมีการพฒั นาอยา่ งยกกาลัง สารสนเทศและความรเู้ ป็นปัจจยั สาคญั ในการ ขับเคลื่อนสงั คมของทกุ ๆ ประเทศในโลกโดยมีเทคโนโลยเี ปน็ ปจั จยั เกือ้ หนุนสง่ ใหเ้ กิดการพฒั นาในด้าน ต่างๆ ถ้าพิจารณาแล้วทกุ ประเทศกม็ ีคณุ ลักษณะของคล่นื ทุกลกู โดยเฉพาะประเทศไทยพบวา่ มีทกุ คล่นื แตส่ ังคมส่วนใหญ่รอ้ ยละ 60 ยังอยูใ่ นสงั คมเกษตรกรรมซ่ึงกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย รอ้ ยละ 20 อยใู่ นสังคมอุตสาหกรรมแต่ส่วนใหญ่เป็นแรงงาน (Unskilled labor / Skill labor) ใน ภาคอตุ สาหกรรมมากกว่าเป็นเจา้ ของธรุ กิจ รอ้ ยละ 20 อยใู่ นสงั คมสารสนเทศและความรู้ (Knowledge worker) และรอ้ ยละ 10 อาจจะกาลงั ก้าวเขา้ สสู่ ังคมยุคนวัตกรรมและเศรษฐกิจ สรา้ งสรรค์ (ชลภัสส์ วงษป์ ระเสริฐ, 2558)
Tacit knowledge Explicit knowledge Personal and context-specific Formal Difficult to document and communicate. Unwritten Easy to document, transfer and and unspoken. reproduce. Drawn from experience and the most powerful form Can become obsolete quickly. of knowledge. Difficult to communicate and share Easy to communicate and share. Shared only when individuals are willing to engage in Can be copied and imitated social interaction. easily. Lives in people and their practices. Lives in books and heads. Learning to be. Learning about. Examples: Examples: -decision-making models -routines -body language -procedures
ววิ ฒั นาการและโลกทัศนข์ องแนวคิดยคุ ใหม่ Q&A
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: