หน่วยที่ 4 อาหารสัตว์ หัวข้อเร่ือง 1. ประโยชน์ของอาหารสตั ว์ 2. ส่วนประกอบของอาหารสตั ว์ 3. ประเภทของอาหารสัตว์ 4. การคานวณสูตรอาหารสัตวแ์ ละการผสมอาหารสัตว์ 5. ระบบทางเดินอาหารสัตว์ อาหารสัตว์ หมายถึง สิ่งท่ีสัตวก์ ินเขา้ ไปแล้วไม่เป็ นอนั ตรายต่อสัตว์ สามารถย่อยและ ดูดซึมในร่างกายสตั ว์ สัตวส์ ามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ อาหารท่ีใชเ้ ล้ียงสัตวม์ ีท้งั อาหารหยาบและ อาหารขน้ สัตวแ์ ต่ละชนิดแต่ละประเภทจะมีความตอ้ งการอาหารแตกต่างกนั ท้งั น้ีข้ึนกบั ลกั ษณะ ของระบบทางเดินอาหารของสตั ว์ 1. ประโยชน์ของอาหารสัตว์ เม่ือสตั วก์ ินอาหารเขา้ สู่ร่างกาย ร่างกายสามารถนาอาหารไปใชป้ ระโยชนไ์ ดด้ งั น้ี 1.1 ทาใหร้ ่างกายดารงชีพไดต้ ามปกติ 1.2 ช่วยในการเจริญเติบโต 1.3 ช่วยในการสืบพนั ธุ์ 1.4 ช่วยในการสร้างผลผลิต 2. ส่วนประกอบของอาหารสัตว์ อาหารสัตวป์ ระกอบดว้ ยโภชนะ 6 ชนิด คือ น้า โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมนั วิตามิน และ แร่ธาตุ 2.1 นา้ (Water) น้ าเป็ นส่วนประกอบท่ีสาคัญของพืชและสัตว์ ในพืชอาหารสัตว์จะมีน้ าเป็ นส่วน ประกอบประมาณ 70-90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนในอาหารขน้ จะมีน้าเป็ นส่วนประกอบประมาณ 10-15
62 เปอร์เซ็นต์ ในร่างกายสัตวจ์ ะมีน้าเป็ นส่วนประกอบประมาณ 50-80 เปอร์เซ็นต์ โดยสัตวอ์ ายุนอ้ ย จะมีน้ามากกว่าสัตวอ์ ายุมาก สัตวจ์ ะดารงชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดน้า ถึงแม้ว่าน้าจะไม่มีคุณค่าทาง อาหาร แต่น้ามีความสาคญั อยา่ งยิ่งต่อร่างกายสัตว์ น้าจะเขา้ ไปทาหนา้ ที่ต่าง ๆ ที่สาคญั ในร่างกาย เช่น ช่วยในการยอ่ ยและดูดซึมอาหาร ช่วยควบคุมอุณหภูมิร่างกายให้คงที่ ช่วยในการกาจดั ของเสีย ออกจากร่างกาย และเป็นส่วนประกอบของส่วนต่าง ๆ ในร่างกายสัตว์ 2.2 โปรตีน (Protein) โปรตีนเป็ นสารอาหารท่ีจาเป็ นต่อร่างกายสัตวท์ ุกชนิด โปรตีนเป็ นส่วนประกอบของ อวยั วะในร่างกาย เมื่อสัตวก์ ินโปรตีนเขา้ สู่ร่างกาย โปรตีนจะถูกยอ่ ยสลายจนเหลืออนุภาคเล็กสุด เรียกวา่ กรดอะมิโน (Amino Acid) ร่างกายจึงจะดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ สัตวแ์ ต่ละชนิด แต่ละ ประเภท แตล่ ะขนาด มีความตอ้ งการโปรตีนไม่เท่ากนั สัตวก์ ระเพาะรวมตอ้ งการโปรตีนในอาหาร นอ้ ยกวา่ สัตวก์ ระเพาะเดี่ยวและสัตวป์ ี ก สัตวก์ าลงั ให้ผลผลิตตอ้ งการโปรตีนมากกวา่ สัตวธ์ รรมดา และสตั วอ์ ายนุ อ้ ยตอ้ งการโปรตีนสูงกวา่ สตั วอ์ ายมุ าก 2.3 คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) ในอาหารสัตว์ส่วนใหญ่มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของอาหารท้ังหมด คาร์โบไฮเดรตเป็ นสารอาหารท่ีให้พลงั งานต่อสัตว์ อาหารจากพืชมีคาร์โบไฮเดรตเกือบทุกส่วน เช่น ในเมล็ด ในรากและเยอ่ื ใย ส่วนในร่างกายสัตวจ์ ะพบคาร์โบไฮเดรตอยนู่ อ้ ยมาก โดยทว่ั ไปสตั ว์ จะใช้คาร์โบไฮเดรตเป็ นแหล่งพลังงาน ร่างกายจะนาคาร์โบไฮเดรตไปใช้ประโยชน์ได้เมื่อ คาร์โบไฮเดรตถูกยอ่ ยเป็นหน่วยที่เลก็ ที่สุด เรียกวา่ กลูโคส (Glucose) เท่าน้นั 2.4 ไขมนั และนา้ มนั (Fat and Oil) ส่วนประกอบทวั่ ไปของไขมนั และน้ามนั เหมือนคาร์โบไฮเดรต แต่จะให้พลงั งานสูงกว่า คาร์โบไฮเดรต 2.25 เท่า ไขมนั และน้ามนั ไมล่ ะลายน้าแต่ละลายในอีเทอร์ (Ether) และคลอโรฟอร์ม (Chloroform) ในสัตวไ์ ขมนั จะอย่ใู นรูปของแข็งในอุณหภูมิห้อง ส่วนในพืชจะพบอยูใ่ นรูปน้ามนั ซ่ึงจะอยใู่ นรูปของเหลวในอุณหภูมิห้อง หน่วยท่ีเล็กท่ีสุดของไขมนั ท่ีร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ ประโยชน์ไดเ้ รียกว่ากรดไขมนั (Fatty Acid) ไขมนั จะมีอยทู่ วั่ ไปในอาหาร ในส่วนของตน้ และใบ พืชจะมีไขมนั ไม่มาก แต่จะมีมากในเมล็ดพืชบางชนิด เช่น พืชตระกลู ถวั่ และเน้ือมะพร้าว ส่วนใน สัตวจ์ ะมีไขมนั มากหรือนอ้ ยข้ึนอยกู่ บั อายแุ ละความอว้ นผอมของสัตว์ ไขมนั นอกจากจะเป็ นแหล่ง พลงั งานเหมือนคาร์โบไฮเดรตแลว้ ยงั เป็นฉนวนกนั ความเยน็ จากภายนอก ทาใหร้ ่างกายอบอุ่นและ เป็นฉนวนห่อหุม้ ป้ องกนั การกระทบกระเทือนของอวยั วะต่าง ๆ นอกจากน้ียงั มีหนา้ ท่ีเป็ นตวั ละลาย วติ ามินอีกดว้ ย
63 2.5 วติ ามนิ (Vitamin) วิตามินมีความจาเป็ นอย่างมากต่อการดารงชีพและการเจริญเติบโต เม่ือเทียบกับสาร อาหารชนิดอ่ืนร่างกายสัตว์ต้องการวิตามินน้อยมาก แต่เพ่ือให้สัตว์มีความเป็ นอยู่ตามปกติ มีสุขภาพดี สัตวจ์ ะตอ้ งไดร้ ับวิตามินเพียงพอกบั ความตอ้ งการ วิตามินแบ่งตามสภาพการละลายได้ 2 กลุ่ม คือ วิตามินที่ละลายในไขมัน ไดแ้ ก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค วิตามินท่ี ละลายในนา้ ไดแ้ ก่ วติ ามินซีและวติ ามินบีรวม (B-Complex) 2.6 แร่ธาตุ (Mineral) แร่ธาตุเป็ นส่วนของโภชนะที่ไม่เผาไหม้ต่อไป หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่าเถ้า (Ash) ที่จาเป็ นต่อร่างกายสัตวม์ ีอยปู่ ระมาณ 15 ชนิด แบ่งออกไดเ้ ป็ น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่สัตว์ต้องการมาก ได้แก่แคลเซียม (Ca) ฟอสฟอรัส (P) โซเดียม (Na) คลอรีน (Cl) โปแตสเซียม (K) กามะถัน (S) และแมกนีเซียม (Mg) กลุ่มที่สัตว์ต้องการน้อย ได้แก่ เหล็ก (Fe) แมงกานีส (Mn) สังกะสี (Zn) ทองแดง (Cu) ไอโอดีน (I) โมลิบดินมั (Mo) ซีลีเนียม (Se) และโคบอลลท์ (Co) 3. ประเภทของอาหารสัตว์ 3.1 อาหารหยาบ (Roughage) อาหารหยาบที่ใชเ้ ล้ียงสัตวโ์ ดยทวั่ ไปไดจ้ ากพืช 2 ชนิดคือพืชตระกูลหญา้ และพืชตระกูล ถวั่ พืชท้งั 2 ชนิดน้ีจะมีอยโู่ ดยทวั่ ไปในธรรมชาติ ถา้ เกษตรกรเล้ียงสัตวพ์ วกโค กระบือ แพะ และ แกะ จานวนไมม่ ากนกั ก็ไม่จาเป็ นตอ้ งปลูกพืชอาหารสัตว์ แต่ถา้ เล้ียงสัตวจ์ านวนมากก็ตอ้ งปลูกพืช อาหารสตั ว์ การปลูกพืชอาหารสัตวเ์ พ่ือให้ไดป้ ระโยชน์เต็มที่ พิจารณาคุณสมบตั ิต่อไปน้ีคือ ตอ้ งเป็ น พชื ที่ปลูกง่าย ขยายพนั ธุ์ไดง้ ่ายและรวดเร็ว มีคุณค่าทางอาหารสูง ทนตอ่ การเหยียบย่า สัตวช์ อบกิน และให้ผลผลิตสูง โดยคุณค่าทางอาหารและผลผลิตของอาหารหยาบจะต่าหรือสูงข้ึนอยู่กับ ปัจจยั หลายประการ เช่นพืชตระกูลถว่ั จะมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าพืชตระกูลหญา้ พืชอ่อนจะมี เปอร์เซ็นตโ์ ปรตีน วิตามินและแร่ธาตุสูงกวา่ พชื แก่ ดินมีความอุดมสมบูรณ์สูงพืชอาหารสตั วท์ ่ีปลูก ยอ่ มมีคุณภาพสูงดว้ ยและการจดั การในทุง่ หญา้ ทาไดถ้ ูกตอ้ งเหมาะสม พืชอาหารสัตวน์ ้นั จะมีคุณค่า ทางอาหารมาก เจริญเติบโตไดด้ ี และใหผ้ ลผลิตสูง
64 3.1.1 พนั ธ์ุพชื ตระกูลหญ้าทนี่ ิยมปลูกในประเทศไทย 1) หญ้าขน (Mauritius or Para Grass) หญา้ ขนเป็ นหญา้ ที่ มีขนที่ผวิ ใบมาก ลาตน้ กลวงเหมือนตน้ ขา้ ว เป็ นเถาเล้ือย ข้ึนไดใ้ นดินทุกประเภท แต่ให้ผลผลิตดีในดินร่วนปนเหนียว ปลูกคร้ังเดียวใชป้ ระโยชน์ไดห้ ลายปี ปลูกโดยการหวา่ นเถาแก่ซ่ึงสับเป็ นท่อนส้ัน ติดขอ้ 2-3 ขอ้ ลงบนดินซ่ึงเตรียมไวเ้ ป็ นอย่างดีแลว้ ไถกลบ เม่ือหญา้ อายุไดไ้ ม่น้อยกวา่ 80 วนั จึงปล่อยสัตวล์ ง แทะเลม็ คร้ังแรกได้ 2) หญ้ารูซี่ (Ruzi Grass) เป็ นหญา้ ที่ปลูกแลว้ ใชป้ ระโยชน์ได้หลายปี แตกกอและมี เถาส้ันก่ึงแผก่ ่ึงต้งั ตรง ลกั ษณะลาตน้ มีขนปกคลุมนอ้ ยกวา่ หญา้ ขนแต่มีใบดกกว่า ตามใบและแผ่น ใบมีขนขาวปกคลุมหนาและนุ่มกว่าหญา้ ขนเป็ นหญา้ ที่ทนต่ออากาศร้อนและความแห้งแลง้ ได้ดี ทนตอ่ การแทะเล็มและเหยียบยา่ ปลูกโดยแยกกอหรือใชเ้ มล็ดก็ได้ นิยมใชเ้ มล็ดปลูกมากกวา่ เพราะ สะดวกและเมล็ดมีเปอร์เซ็นตค์ วามงอกสูง ใชอ้ ตั รา 2 กิโลกรัมต่อไร่ 3) หญ้าแพงโกล่า (Pangola Grass) หญ้าแพงโกล่าจดั เป็ นหญา้ คา้ งปี มีใบดกอ่อน นุ่มใบเรียวเล็ก ตน้ อ่อนต้งั ตรง เม่ืออายมุ ากข้ึนลาตน้ ทอดนอนไปตามผวิ ดิน แตกรากและหน่อตาม ขอ้ ลกั ษณะลาตน้ ไม่มีขน ขยายพนั ธุ์ดว้ ยท่อนพนั ธุ์ ปริมาณ 250-300 กิโลกรัมต่อไร่ ข้ึนไดด้ ีในดิน หลายชนิด ทนแลง้ ไดด้ ีแตเ่ จริญเติบโตไดด้ ีในพ้ืนที่ช้ืนแฉะ ท่ีชุ่มน้า ทนน้าขงั เหมาะสาหรับทาหญา้ แหง้ 4) หญ้าซิกแนล (Signal Grass) หญา้ ซิกแนลมีลกั ษณะโดยทวั่ ไปเหมือนหญ้าขน ต่างกนั ท่ีหญา้ ซิกแนลลาตน้ ตนั จดั เป็ นหญา้ ท่ีปลูกแล้วใช้ประโยชน์ไดห้ ลายปี เป็ นหญา้ ท่ีทนต่อ สภาพแหง้ แลง้ ไดด้ ีกวา่ หญา้ ขนแต่คุณภาพดอ้ ยกวา่ หญา้ ซิกแนลมี 2 สายพนั ธุ์ คือสายพนั ธุ์ท่ีมีลาตน้ ต้งั ไม่เล้ือยเหมือนหญา้ ขนเรียกวา่ “ซิกแนลต้งั ” ส่วนอีกสายพนั ธุ์มีลาตน้ เป็ นเถาเล้ือยเหมือนกบั หญา้ ขนเรียก “ซิกแนลนอน” ซ่ึงเป็ นพนั ธุ์ที่โคชอบกิน เหมาะท่ีจะปล่อยใหส้ ัตวล์ งแทะเล็มเพราะมี ใบมากกวา่ นิยมปลูกโดยการแยกกอปลูก 5) หญ้ากินนี (Guinea Grass) หญ้ากินนีจดั เป็ นหญ้าท่ีปลูกแล้วใช้ประโยชน์ได้ หลายปี เช่นเดียวกบั หญา้ ขนและหญา้ ซิกแนล มีลกั ษณะการเจริญเติบโตแบบกอพุ่ม หญา้ กินนีจะมี ใบยาวกวา่ หญา้ ท้งั สองชนิดท่ีกล่าวมาแลว้ มีกอสูงประมาณหน่ึงเมตรถึงหน่ึงเมตรคร่ึง ข้ึนไดด้ ีใน ดินร่วนปนทราย ปลูกโดยการใชก้ อที่มีรากติดหรืออาจใชเ้ มล็ดก็ได้ นิยมตดั สดมาเล้ียงสัตว์ เหมาะ สาหรับทาหญา้ หมกั 6) หญ้าเนเปี ยร์ (Napier Grass) เป็ นหญา้ ประเภทคา้ งปี มีลกั ษณะเป็ นกอ ถา้ ปล่อย ทิ้งไวจ้ ะแตกเป็ นกอใหญ่มาก ใบมีลกั ษณะยาวเรียวคลา้ ยใบออ้ ยแต่ความกวา้ งของใบนอ้ ยกวา่ เป็ น
65 หญา้ ท่ีปลูกง่าย สัตวช์ อบกิน ใหผ้ ลผลิตต่อไร่สูง ข้ึนไดด้ ีในดินร่วนปนเหนียวปลูกโดยใชท้ ่อนพนั ธุ์ นิยมตดั สดมาเล้ียงสตั ว์ เหมาะสาหรับทาหญา้ หมกั หญ้าขน (Para Grass) หญ้ารูซ่ี (Ruzi Grass) หญ้าแพงโกล่า (Pangola Grass) หญ้าซิกแนล (Signal Grass) หญ้ากนิ นี (Guinea Grass) หญ้าเนเปี ยร์ (Napier Grass) ภาพท่ี 4.1 แสดงตวั อยา่ งพืชอาหารสัตวต์ ระกลู หญา้ ทมี่ า : จดั ทาโดยผเู้ ขียน, 2548
66 3.1.2 พนั ธ์ุพชื ตระกลู ถวั่ ทน่ี ิยมปลูกในประเทศไทย 1) ถั่วลาย (Centrosema) เป็ นถั่วที่นิยมปลูกคลุมดินโดยเฉพาะชาวสวนยางพารา จดั เป็ นถวั่ ประเภทเล้ือย ใบและเถาค่อนขา้ งเล็ก ใบไม่มีขนใบกรอบโคชอบกิน ทนความแห้งแลง้ และการเหยียบย่าของโคไดด้ ี จดั เป็ นพืชคา้ งปี นิยมปลูกโดยใชเ้ มล็ดหวา่ นในทุ่งหญา้ ให้ข้ึนรวมกบั หญา้ โดยเฉพาะหญา้ ขนและหญา้ ซิกแนล ก่อนปลูกควรเร่งความงอกของเมล็ดโดยแช่น้าร้อน 70 องศาเซลเซียส นาน 1-2 นาที แลว้ นาออกผ่ึงแดดให้แห้ง เก็บไวห้ ว่านเมื่อตอ้ งการปลูกหรือแช่ใน น้าอุ่นทิง้ ไวข้ า้ มคืนจึงนาไปหวา่ น 2) ถ่ัวสะไตโล (Stylo) จดั เป็ นถั่วพุ่มขนาดกลาง เป็ นถั่วประเภทค้างปี ข้ึนไดด้ ีใน สภาพดินทวั่ ๆ ไป ปลูกโดยหวา่ นเมล็ด 1.5 กิโลกรัมต่อไร่ แต่เมล็ดงอกชา้ และตน้ กลา้ โตช้า จึงไม่ ค่อยนิยมในปัจจุบนั ถ่วั ลาย (Centrosema) ถ่ัวสไตโล (Stylo) ถั่วเซอราโตร (Siratro) ถั่วฮามาต้า (Hamata) ภาพท่ี 4.2 แสดงตวั อยา่ งพชื อาหารสัตวต์ ระกลู ถวั่ ทม่ี า : จดั ทาโดยผเู้ ขียน, 2548
67 3) ถั่วทาวสวลิ สะไตโล (Townsville Stylo) อยใู่ นตระกลู เดียวกบั สะไตโลแตเ่ ป็ นพืช ปี เดียว คือเมื่อผลิตเมล็ดแล้วตน้ เดิมก็ตายไป เป็ นถวั่ ท่ีแพร่พนั ธุ์ไดด้ ีมากในแหล่งที่เป็ นดินทราย ขยายพนั ธุ์โดยหว่านเมล็ด 2 กิโลกรัมต่อไร่ แต่ตอ้ งหวา่ นเมล็ดลงบนผิวดินโดยไม่ตอ้ งกลบเมล็ด เพราะการกลบเมล็ดทาให้เมล็ดงอกน้อยมาก เป็ นถวั่ ที่เหมาะสาหรับทาหญา้ แห้งและทาทุ่งหญา้ เล้ียงสัตว์ 4) ถ่ัวเซอราโตร (Siratro) เป็ นถวั่ ประเภทคา้ งปี มีเถาเล้ือยเช่นเดียวกบั ถวั่ ลาย แต่มี ลกั ษณะเป็ นพืชอวบน้ามากกวา่ ถวั่ ลาย ทนแลง้ ไดด้ ีพอสมควร ขยายพนั ธุ์โดยใชเ้ มล็ด 2.5 กิโลกรัม ตอ่ ไร่ 5) ถั่วฮามาต้า (Hamata) มีช่ือเรียกอีกอย่างวา่ ถวั่ เวอราโนเป็ นถวั่ พุ่มเต้ียปรับตวั เขา้ กบั ดินเลวไดด้ ี ติดเมล็ดดี แพร่พนั ธุ์เร็วโคชอบกิน ใช้หว่านปรับปรุงทุ่งหญ้าเล้ียงสัตวส์ าธารณะ คนั นา และริมถนน เป็ นถั่วท่ีทนต่อการเหยียบย่าได้ดีแต่ไม่ทนต่อร่มเงา ขยายพนั ธุ์โดยใช้เมล็ด หวา่ นอตั รา 2 กิโลกรัมตอ่ ไร่ 3.1.3 การเกบ็ ถนอมพชื อาหารสัตว์ พืชอาหารสัตวน์ อกจากจะให้สัตวก์ ินในรูปอาหารหยาบสดแลว้ หากบางฤดูกาล ในช่วงท่ีพืชอาหารสัตว์มีความอุดมสมบูรณ์และมีมากเกินความต้องการของสัตว์ ผูเ้ ล้ียงสัตว์ สามารถเก็บถนอมพืชอาหารสัตวเ์ หล่าน้นั ไวใ้ ชเ้ ล้ียงสตั วใ์ นยามขาดแคลนได้ ซ่ึงสามารถทาไดโ้ ดย ตดั หญา้ มาผ่ึงแดดให้แห้งพอเหมาะเรียกวา่ “หญา้ แหง้ ” หรือตดั หญา้ มาหมกั ในหลุมหรือภาชนะอื่น อดั ใหแ้ น่นปิ ดไมใ่ หอ้ ากาศผา่ นเขา้ ออกไดเ้ รียกวา่ “หญา้ หมกั ” ภาพที่ 4.3 แสดงการอดั พชื อาหารสัตวแ์ บบฟ่ อนส่ีเหลี่ยม ทม่ี า : จดั ทาโดยผเู้ ขียน, 2548
68 1) หญ้าแห้ง (Hay) หญา้ แห้ง หมายถึง พืชอาหารสัตวท์ ่ีทาให้แห้งเหลือความช้ืน ไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ โดยคุณค่าทางอาหารลดลงนอ้ ยที่สุด หญา้ แห้งทาโดยเก่ียวหญา้ ท่ีมีลาตน้ เล็ก มีใบมาก เช่นหญา้ รูซ่ี หญา้ ขน หญา้ แพงโกล่า มาผ่ึงแดดไว้ 1-2 แดดหากไม่มีแดด อาจมดั หญา้ ที่ เก่ียวใหเ้ ป็ นฟ่ อนเล็ก ๆ แลว้ ผ่งึ บนราวใตถ้ ุนบา้ น หมนั่ กลบั หญา้ บ่อย ๆ หญา้ จะแหง้ ภายใน 3-4 วนั หญา้ แหง้ สนิทดีแลว้ กใ็ ชเ้ ชือกมดั เป็นฟ่ อน แลว้ นาไปเก็บบนโรงเรือน หญา้ แหง้ ที่คุณภาพดีควรมีลกั ษณะดงั น้ี คือ ทาจากพืชที่ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป ตาก แหง้ สนิทไม่มีราข้ึน ไมแ่ หง้ กรอบจนใบร่วง มีใบเหลืออยมู่ าก และมีสีเขียวอยมู่ าก 2) หญ้าหมัก (Silage) หญา้ หมกั หมายถึง พืชอาหารสัตวต์ ่าง ๆ ที่เก็บไวใ้ นท่ีไม่มี อากาศในสภาพความช้ืนสูง ซ่ึงสามารถเกบ็ ไดเ้ ป็นเวลานานโดยส่วนประกอบและคุณคา่ ทางอาหาร ไม่เปล่ียนแปลง การทาหญา้ หมกั ค่อนขา้ งจะยงุ่ ยากกวา่ การทาหญา้ แห้ง กล่าวคือ จะตอ้ งมีหลุมหรือ ภาชนะหมกั ที่ไม่ร่ัวจนน้าไหลเขา้ หรือซึมออกไดห้ ลุมหรือภาชนะหมกั ท่ีมีปริมาตร 1 ลูกบาศกเ์ มตร สามารถจุหญ้าหมกั ได้ 500 - 750 กิโลกรัม ข้ึนอยู่กับการอัดหญ้าว่าแน่นมากหรือน้อยแค่ไหน นอกจากน้ีข้ึนอยู่กับชนิดและความแก่อ่อนของหญ้าด้วย ถ้าเล้ียงสัตว์จานวนไม่มากนิยมทา หญา้ หมกั ใส่ถุงพลาสติกสีดาขนาด 30 x 40 นิ้ว หญา้ ท่ีเหมาะสมในการทาหญา้ หมกั ควรเป็ นหญา้ ที่ ลาตน้ ใหญ่ อวบน้า เช่น หญา้ กินนี หญา้ เนเปี ยร์ ตน้ ขา้ วโพดและตน้ ขา้ วฟ่ าง โดยมีข้นั ตอนการทา หญา้ หมกั ดงั น้ี (1) สับหญา้ เป็นทอ่ นส้นั ๆ มีความยาว 2-3 นิ้ว (2) ปรับสภาพของหญ้าให้เหมาะสม คือ ถ้าหญ้าอ่อนเกินไปก็ตอ้ งผ่ึงแดด ใหเ้ หี่ยวหรือเติมวสั ดุแห้งอื่น ๆ เช่น ใชร้ าขา้ วมาผสมจนมีส่ิงแห้งประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ หากหญา้ แหง้ เกินไปตอ้ งเติมน้าใหไ้ ดร้ ะดบั สิ่งแหง้ 65 เปอร์เซ็นต์ เช่นกนั (3) อดั หญา้ ที่สบั และปรับระดบั ส่ิงแหง้ แลว้ ลงในหลุมหรือภาชนะหมกั ใหแ้ น่น ที่สุดเทา่ ที่จะทาได้ โดยอดั เป็นช้นั ๆ จนเตม็ (4) ปิ ดหลุมหรือภาชนะหมกั อยา่ ใหอ้ ากาศผา่ นเขา้ ออกได้ (5) หมักไวใ้ นสภาพน้ีนาน 21 วนั แล้วจึงเปิ ดเล้ียงสัตว์ได้ โดยเปิ ดเอาแค่ เพียงพอเล้ียงสตั วใ์ นคร้ังหน่ึง ๆ เทา่ น้นั (6) ตรวจคุณภาพโดยหญา้ หมกั ที่มีคุณภาพดีควรมีลกั ษณะดงั น้ีคือ ไม่มีราข้ึน มีกล่ินหอมชวนกิน สีเหลืองปนเขียวไม่ดาคล้า ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่เปร้ียวมากเกินไป และไม่แฉะ เกินไป
69 ภาพที่ 4.4 แสดงการหมกั หญา้ ใส่ถุงพลาสติกสีดา ขนาด 30 x 40 นิ้ว ทม่ี า : จดั ทาโดยผเู้ ขียน, 2548 3.2 อาหารข้น อาหารข้นมีความสาคัญมากสาหรับสัตวป์ ี กและสุกรโดยทวั่ ไปอาหารข้นหรือวตั ถุดิบ อาหารสตั วแ์ บ่งออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ วตั ถุดิบที่ใหพ้ ลงั งาน และวตั ถุดิบที่ใหโ้ ปรตีน 3.2.1 วตั ถุดบิ ทใี่ ห้พลงั งาน เป็ นวตั ถุดิบที่มีแป้ งเป็ นส่วนประกอบประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ มีโปรตีนต่า ประมาณ 8-12 เปอร์เซ็นต์ และโปรตีนมกั มีคุณภาพต่า วตั ถุดิบประเภทน้ีที่นิยมใชไ้ ดแ้ ก่ 1) ปลายข้าว (Broken rice) เป็ นผลพลอยไดจ้ ากการสีขา้ ว มีแป้ งและน้าตาลค่อน ขา้ งสูงสามารถใชแ้ ทนขา้ วโพดไดใ้ นสูตรอาหาร มีโปรตีนประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ 2) ราละเอียด (Rice polish) มีโปรตีนประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์ มีไขมนั สูง ถา้ เก็บไว้ นานจะทาให้มีกล่ินหืน ดงั น้นั ในการเล้ียงสัตวค์ วรใชร้ าละเอียดใหม่ และหากวา่ รามีราคาแพงตอ้ ง ระวงั การปลอมปน 3) ราหยาบ (Rice bran) ท้งั ราหยาบและราละเอียดเป็ นผลพลอยได้จากการสีขา้ ว เช่นกนั แตร่ าหยาบมีโปรตีนประมาณ 8 เปอร์เซ็นตแ์ ละมีเยอ่ื ใยสูง 4) ข้าวโพด (Corn) เป็ นอาหารที่สัตว์ชอบกิน ข้าวโพดที่มีสีเหลืองจะมีสารต้น กาเนิดวิตามินเออยสู่ ูง (Carotene) ขา้ วโพดมีโปรตีนประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ ในประเทศไทยนิยมใช้ เมล็ดขา้ วโพดที่บดละเอียดพอสมควรมาใชเ้ ล้ียงสัตว์ เพราะจะช่วยใหส้ ัตวย์ อ่ ยไดเ้ ตม็ ที่และเม่ือผสม กบั วตั ถุดิบอื่น ๆ กจ็ ะคลุกเคลา้ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี 5) มันเส้ น (Cassava meal) มนั เส้นคือการนาหัวมนั สาปะหลังมาสับตากแดดให้ แหง้ มนั เส้นเป็ นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง มีโปรตีนต่าประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ เหมาะท่ีจะใชเ้ ป็ น แหล่งพลงั งานในสูตรอาหารสตั ว์
70 6) กากน้าตาล (Molasses) เป็ นผลพลอยไดจ้ ากการผลิตน้าตาลทราย ซ่ึงเป็ นส่วนท่ี ไม่ตกผลึก มีลกั ษณะเหนียว หวาน และมีคุณสมบตั ิเป็ นยาระบายอ่อนๆ มีโปรตีนอยู่ประมาณ 3-7 เปอร์เซ็นต์ นิยมใชผ้ สมกบั อาหารอื่น ๆ เพอ่ื เพ่มิ ความน่ากิน ปลายข้าว ราละเอยี ด ราหยาบ ข้าวโพดบด มนั เส้น กากนา้ ตาล ภาพที่ 4.5 แสดงตวั อยา่ งวตั ถุดิบอาหารสัตวป์ ระเภทใหพ้ ลงั งาน ทม่ี า : จดั ทาโดยผเู้ ขียน, 2548
71 3.2.2 วตั ถุดิบทใี่ ห้โปรตีน วตั ถุดิบท่ีให้โปรตีนเป็ นวตั ถุดิบอาหารสัตวท์ ่ีมีระดบั โปรตีนสูงและเป็ นโปรตีนท่ีมี คุณภาพค่อนข้างดี วตั ถุดิบประเภทน้ีแบ่งออกได้เป็ น 2 กลุ่ม คือวตั ถุดิบโปรตีนจากสัตว์ และ วตั ถุดิบโปรตีนจากพชื 1) วตั ถุดบิ โปรตนี จากสัตว์ เป็นแหล่งโปรตีนซ่ึงมีคุณภาพดีกวา่ โปรตีนจากพชื ไดแ้ ก่ (1) ปลาป่ น (Fish meal) มีโปรตีนประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์ ข้ึนอยกู่ บั ชนิดของ ปลาและข้นั ตอนการผลิต มีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง มีวติ ามินบีสูง ปลาป่ นมีความน่ากิน สตั วช์ อบกิน ไม่นิยมผสมในอาหารโครีดนม เพราะมีกล่ินแรงทาใหน้ ้านมมีกลิ่นคาวปลา (2) เนื้อป่ น (Meat scrap) เน้ือป่ นเป็ นวตั ถุดิบอาหารสัตว์ที่ได้จากการป่ นเน้ือ หรือเศษเน้ือท่ีเหลือทิ้งจากโรงฆ่าสัตว์ แต่ไม่ควรมีเขา ขน กีบ มูลสัตว์ หรือเศษอาหารปน และถา้ หากมีปริมาณฟอสฟอรัสสูงเกิน 4.4 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็ นเน้ือและกระดูกป่ น เน้ือป่ นมีโปรตีน ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ มีระดบั แคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง (3) แกลบกุ้ง (Shrimp meal) เป็ นส่วนท่ีเหลือทิ้งจากการทากุ้งแห้งและกุ้ง กระป๋ อง ประกอบด้วยส่วนหัวกุ้งและเปลือกกุ้ง มีโปรตีนประมาณ 33-37 เปอร์เซ็นต์ มีธาตุ แคลเซียมสูงประมาณ 5-27 เปอร์เซ็นต์ กล่ินหอมน่ากิน ปริมาณของโปรตีนไม่แน่นอนข้ึนอยู่ กบั แคลเซียม ถา้ แคลเซียมสูงโปรตีนจะต่านอกจากน้ีแกลบกุง้ มีเกลือในปริมาณสูง (4) หางนมผง (Skim milk powder) เป็ นส่วนของน้านมท่ีแยกเอาไขมนั ออก แลว้ นาไประเหยน้าออก มีโปรตีน 33 เปอร์เซ็นต์ เป็ นโปรตีนท่ีมีคุณภาพดี ย่อยง่าย หางนมผงมี ราคาแพง ถา้ ใชป้ ริมาณมากทาใหต้ น้ ทุนค่าอาหารสูง 2) วตั ถุดบิ โปรตนี จากพชื (1) กากถ่ัวเหลือง (Soybean oil meal) เป็ นผลพลอยได้จากโรงงานสกัดน้ามนั ถว่ั เหลือง มีโปรตีนประมาณ 42-48 เปอร์เซ็นต์ คุณภาพโปรตีนดีรองจากปลาป่ น มีระดบั แคลเซียม และฟอสฟอรัสต่า ขาดแคโรทีนและไวตามินดี (2) กากถ่ัวลิสง (Peanut oil meal) เป็ นผลพลอยไดจ้ ากการนาเมล็ดถว่ั ลิสงซ่ึง แกะเปลือกออกแลว้ ไปสกดั หรืออดั น้ามนั ออก มีโปรตีนประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ แตโ่ ปรตีนคุณภาพ ดอ้ ยกวา่ กากถว่ั เหลือง ถา้ กากถวั่ ลิสงมีเยอื่ ใยเกิน 7 เปอร์เซ็นต์ แสดงวา่ มีเปลือกปนอยดู่ ว้ ย (3) กากปาล์มน้ามัน (Palm Kernel seed meal) เป็ นผลพลอยได้จากการสกัด น้ามนั ปาล์ม มี 2 ชนิด คือ กากปาล์มน้ามนั ชนิดไม่กะเทาะเปลือก มีโปรตีนประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ แต่มีเยื่อใยสูง 22-30 เปอร์เซ็นต์ และกากปาลม์ น้ามนั ชนิดกะเทาะเปลือก มีโปรตีนประมาณ 16-18 เปอร์เซ็นต์ และมีเยอื่ ใยประมาณ 14-15 เปอร์เซ็นต์ เหมาะที่จะใชเ้ ล้ียงสุกร
72 (4) กากมะพร้าว (Coconut Oil Meal) เป็ นผลพลอยได้จากการหนีบน้ามัน มะพร้าว มีโปรตีนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ปลาป่ น กากถ่วั เหลอื ง กากปาล์มนา้ มนั กากมะพร้าว ใบกระถินป่ น ใบมนั สาปะหลงั ภาพท่ี 4.6 แสดงตวั อยา่ งวตั ถุดิบอาหารสตั วป์ ระเภทใหโ้ ปรตีน ทมี่ า : จดั ทาโดยผเู้ ขียน, 2548
73 (5) กากเมลด็ ฝ้ าย (Cotton seed meal) เป็นผลพลอยไดจ้ ากการสกดั น้ามนั เมล็ด ฝ้ าย มีโปรตีนสูงประมาณ 41 เปอร์เซ็นต์ คุณภาพโปรตีนต่ากวา่ กากถว่ั เหลืองและในกากเมล็ดฝ้ ายมี สารพษิ ที่เรียกวา่ กอสซิปอล (Gossypol) ซ่ึงมีผลทาใหส้ ัตวเ์ จริญเติบโตชา้ ลง (6) ใบกระถินป่ น (Leuceana leaf meal) ใบกระถินสดมีสารพิษที่เป็ นพิษต่อ สัตว์ คือสารไมโมซิน (Mimosine) ถา้ ใช้ในระดบั สูงจะทาให้สัตวโ์ ตชา้ ขนร่วงและความสมบูรณ์ พนั ธุ์ต่า ใบกระถินยกั ษม์ ีสารไมโมซินต่ากวา่ ใบกระถินบา้ น แต่ถา้ ตากแดดหรือทาให้แห้งสารพิษ จะลดลง จึงนิยมนาใบกระถินมาใชเ้ ล้ียงสัตวใ์ นรูปใบกระถินป่ น ใบกระถินป่ นคุณภาพดี ควรมีสี เขียวมีกา้ นปนเล็กนอ้ ย ใบกระถินป่ นมีโปรตีนสูงประมาณ 20-24 เปอร์เซ็นต์ มีเยอ่ื ใยสูงใชผ้ สมใน อาหารขน้ ไดส้ ูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ แต่โดยทว่ั ไปนิยมใช้ 10-15 เปอร์เซ็นต์ ในสูตรอาหารร่วมกบั แหล่งโปรตีนชนิดอ่ืน (7) ใบมันสาปะหลงั ป่ น (Casava leaf meal) หลงั จากปลูก 6 เดือน สามารถเก็บ ใบมนั สาปะหลงั มาเล้ียงสัตวไ์ ด้ ใบมนั สาปะหลงั มีโปรตีน 24 เปอร์เซ็นต์ โดยนามาตากแดด 2-3 แดด เพ่ือลดสารพิษไฮโดรไซยานิค ใบมนั สาปะหลงั ป่ น คุณภาพดี ควรมีสีเขียวและแห้งสนิท ใช้ ผสมในอาหารขน้ ไดส้ ูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ แตโ่ ดยทวั่ ไปนิยมใช้ 10-15 เปอร์เซ็นต์ ในสูตรอาหารร่วม กบั แหล่งโปรตีนชนิดอื่น เช่นเดียวกบั ใบกระถิน 4. การคานวณสูตรอาหารสัตว์ และ การผสมอาหารสัตว์ 4.1 การคานวณสูตรอาหารสัตว์ ก่อนที่จะเร่ิมคานวณสูตรอาหารสตั ว์ เพือ่ หาอตั ราส่วนผสมของวตั ถุดิบอาหารสัตวช์ นิด ตา่ ง ๆ น้นั ควรทราบถึงความตอ้ งการสารอาหารของสตั วแ์ ต่ละชนิด แตล่ ะช่วงอายุ รวมถึงคุณค่า ทางอาหารของวตั ถุดิบชนิดน้นั ๆ ตลอดจนราคาของวตั ถุดิบน้นั เพ่อื ประกอบการตดั สินใจในการ เลือกใช้ และท่ีสาคญั จะตอ้ งคานึงถึง ขอ้ จากดั ในการใชว้ ตั ถุดิบแตล่ ะชนิด การคานวณสูตรอาหาร สัตวท์ ี่นิยมใชใ้ นปัจจุบนั มีอยู่ 2 วธิ ี คือวธิ ีเปี ยร์สนั สแควร์ และวธิ ีลองผดิ ลองถูก 4.1.1 การคานวณสูตรอาหารสัตว์โดยวธิ ีเปี ยร์สัน สแควร์ ตัวอย่าง ตอ้ งการผสมอาหารสุกรรุ่นโปรตีน 16 เปอร์เซ็นต์ โดยใชห้ ัวอาหารซ่ึงมี โปรตีน 35 เปอร์เซ็นต์ ผสมกบั ขา้ วโพดโปรตีน 8 เปอร์เซ็นต์ และราละเอียดโปรตีน 12 เปอร์เซ็นต์ กาหนดใหข้ า้ วโพด 2 ส่วน ต่อราละเอียด 1 ส่วน
74 ข้นั ตอนการคานวณ 1) เขียนรูปสี่เหล่ียม 1 รูป พร้อมลากเส้นทะแยงมุม ภาพที่ 4.7 แสดงการเขียนรูปส่ีเหลี่ยมผนื ผา้ พร้อมลากเส้นทะแยงมุม ทมี่ า : จดั ทาโดยผเู้ ขียน, 2548 2) คิดเปอร์เซ็นตโ์ ปรตีนเฉล่ียของขา้ วโพดและราละเอียด ซ่ึงมีสูตรในการคิดคือ (เปอร์เซ็นตโ์ ปรตีนของวตั ถุดิบส1ัดxสส่วัดนสว่วตั นถุทดิบ่ีใช1)้ ++(เสปดัอสร์่เวซน็นวตตั โ์ถปุดริบตีน2ของวตั ถุดิบ 2 x สดั ส่วนที่ใช)้ = 2(9138.683x+33122)2++(112 x 1) = = = 3) มุมดา้ นบนซ้ายมือของรูปส่ีเหล่ียมเขียนเปอร์เซ็นตโ์ ปรตีนเฉล่ียของขา้ วโพด และราละเอียดท่ีได(้ 9.33) 4) มุมล่างซา้ ยมือเขียนเปอร์เซ็นตโ์ ปรตีนหวั อาหาร (35) 5) ท่ีจุดตดั เส้นทแยงมุมใหเ้ ขียนเปอร์เซ็นตโ์ ปรตีนของอาหารท่ีตอ้ งการ(16) 6) หาผลต่างระหวา่ งเปอร์เซ็นตโ์ ปรตีนของอาหารที่ตอ้ งการผสม(16) กบั โปรตีน ของหวั อาหาร(35) ผลต่างที่ได้ เท่ากบั 19 นาผลต่างท่ีไดเ้ ขียนไวท้ ี่มุมบนดา้ นขวามือรูปสี่เหล่ียมซ่ึง จะเป็นปริมาณของอาหารพลงั งานท้งั หมด(ขา้ วโพด+ราละเอียด) 7) หาผลต่างระหว่างเปอร์เซ็นต์โปรตีนของอาหารท่ีต้องการผสม(16) กับ เปอร์เซ็นตโ์ ปรตีนเฉล่ียของอาหารพลงั งานท้งั หมด(9.33) ผลต่างที่ไดเ้ ท่ากบั 6.67 นาผลต่างที่ได้ เขียนไวท้ ่ีมุมล่างดา้ นขวา มือรูปสี่เหล่ียมซ่ึงจะเป็นปริมาณของหวั อาหาร 8) นาค่าทางดา้ นขวามือของรูปสี่เหลี่ยมท้งั มุมบนและมุมล่างมารวมกนั (19+6.67 = 25.67) ผลลพั ธ์ ที่ไดค้ ือปริมาณของอาหารผสมที่มีเปอร์เซ็นตโ์ ปรตีนตามความตอ้ งการ
75 9.33 19 16 35 256..6677 ภาพที่ 4.8 แสดงการวางตวั เลขในตาแหน่งต่าง ๆ ตามหลกั การ ทม่ี า : จดั ทาโดยผเู้ ขียน, 2548 9) หาปริมาณของหัวอาหารโดยการนาปริมาณของหัวอาหารในขอ้ 7 คือ (6.67) มาเทียบบญั ญตั ิไตรยางศ์ กบั ปริมาณอาหารผสม ในขอ้ 8 คือ (25.67) ไดด้ งั น้ี อาหารผสม 25.67 ส่วน ใชห้ วั อาหารเป็นส่วนผสม 6.67 ส่วน อาหารผสม 100 ส่วน ใชห้ วั อาหารเป็นส่วนผสม 6.6275x.61700 = 25.98 ส่วน สรุปไดว้ า่ ในการผสมอาหาร 100 ส่วนจะตอ้ งใช้หัวอาหารเป็ นส่วนผสมท้งั หมด 25.98 ส่วนหรือ 25.98 เปอร์เซ็นตน์ ้นั เอง 10) หาปริมาณของขา้ วโพดและราละเอียดโดยนาจานวนหัวอาหารที่ใช้คือ 25.98 เปอร์เซ็นต์ มาหักออกจาก 100 เปอร์เซ็นต์ (100 - 25.98 = 74.02 เปอร์เซ็นต์) หลังจากน้ัน นา ผลลพั ธ์ที่ไดไ้ ปเทียบบญั ญตั ิไตรยางศอ์ ีกคร้ัง ไดด้ งั น้ี อาหารผสม 3 ส่วน ใชข้ า้ วโพดเป็ นส่วนผสม 2 ส่วน อาหารผสม 74.02 ส่วน ใชข้ า้ วโพดเป็ นส่วนผสม 2 x374.02 = 49.34 ส่วน หาปริมาณของราละเอียดโดยนาจานวนขา้ วโพดท่ีใชค้ ือ 49.34 เปอร์เซ็นต์ หกั ออก จาก 74.02 เปอร์เซ็นต์ (74.02-49.34 = 24.68 เปอร์เซ็นต)์ ผลลพั ธ์ทไ่ี ด้ หากตอ้ งการผสมอาหารสุกรรุ่นตอ้ งการโปรตีน 16 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้หัวอาหาร (โปรตีน 35 เปอร์เซ็นต์) ผสมกับข้าวโพด(โปรตีน 8 เปอร์เซ็นต์) และราละเอียด(โปรตีน 12 เปอร์เซ็นต)์ กาหนดใหข้ า้ วโพด 2 ส่วน ต่อราละเอียด 1 ส่วนจะตอ้ งใชส้ ่วนผสมดงั น้ี (1) หวั อาหารจานวน 25.98 เปอร์เซ็นต์ ปรับจานวนเป็น 26 เปอร์เซ็นต์ (2) ขา้ วโพด จานวน 49.34 เปอร์เซ็นต์ ปรับจานวนเหลือ 49 เปอร์เซ็นต์ (3) ราละเอียดจานวน 24.68 เปอร์เซ็นต์ ปรับจานวนเป็น 25 เปอร์เซ็นต์
76 4.1.2 การคานวณสูตรอาหารสัตว์โดยวธิ ีลองผดิ ลองถูก ตัวอย่าง ตอ้ งการผสมอาหารสุกรรุ่นโปรตีน 16 เปอร์เซ็นต์ จานวน 100 กิโลกรัม โดยใช้วตั ถุดิบต่อไปน้ีคือปลาป่ น กากถั่วเหลือง ปลายขา้ ว ราละเอียด กระดูกป่ น เกลือและ พรีมิกซ์ ข้นั ตอนการคานวณ 1) เขียนตารางลองผิดลองถูก พร้อมกับใส่วตั ถุดิบที่จะใช้ในช่อง A และใส่ เปอร์เซ็นตข์ องวตั ถุดิบในช่อง B ตารางท่ี 4.1 แสดงการกาหนดค่าเปอร์เซ็นตโ์ ปรตีนของวตั ถุดิบลงในตาราง A วตั ถุดบิ B โปรตนี C วธิ ีลองผดิ D วธิ ีลองถูก (%) C1 จานวน C2 จานวน D1 จานวน D2 จานวน วตั ถุดบิ (กก.) โปรตนี (%) วตั ถุดบิ (กก.) โปรตนี (%) ปลาป่ น 60 กากถว่ั เหลือง 45 ปลายขา้ ว 8 ราละเอียด 12 กระดูกป่ น - เกลือ - พรีมิกซ์ - รวม ทม่ี า : จดั ทาโดยผเู้ ขียน, 2548 2) กาหนดอตั ราการใชว้ ตั ถุดิบแต่ละชนิดตามข้นั ตอน(ลงในช่อง C1) โดยเร่ิมจาก กาหนดปริมาณของวตั ถุดิบที่มีขีดจากดั ในการใชห้ รือมีปริมาณแนะนาท่ีควรจะใชก้ ่อนเช่น พรีมิกซ์ กาหนด 0.5 เปอร์เซ็นต์ ปลาป่ นไม่ควรใชเ้ กิน 5 เปอร์เซ็นต์ (ใชม้ ากตน้ ทุนสูง) ราละเอียดใชไ้ ม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์ (เพราะมีเยื่อใยสูง) หลงั จากน้ีก็กาหนดวตั ถุดิบที่ไม่มีขีดจากดั คือคือปลายขา้ วและกาก ถวั่ เหลืองจนครบ 100 กิโลกรัม
77 ตารางที่ 4.2 แสดงการกาหนดจานวนวตั ถุดิบตามหลกั การลงในตารางลองผดิ A วตั ถุดบิ B โปรตนี C วธิ ีลองผดิ D วธิ ีลองถูก (%) C1 จานวน C2 จานวน D1 จานวน D2 จานวน วตั ถุดบิ (กก.) โปรตนี (%) วตั ถุดบิ (กก.) โปรตนี (%) ปลาป่ น 60 3 5 กากถว่ั เหลือง 45 60 30 ปลายขา้ ว 8 1 0.50 ราละเอียด 12 0.50 100 กระดูกป่ น - เกลือ - พรีมิกซ์ - รวม ทม่ี า : จดั ทาโดยผเู้ ขียน, 2548 3) คานวณหาปริมาณโปรตีนจากวตั ถุดิบแต่ละชนิดโดยการเทียบบญั ญตั ิไตรยางศ์ โดยใชจ้ านวนวตั ถุดิบท่ีใชใ้ นช่อง C1 คูณดว้ ยเปอร์เซ็นตโ์ ปรตีนในช่อง B หารดว้ ย 100 เช่น ใชร้ า ละเอียดจานวน 30 กิโลกรัม จะไดโ้ ปรตีน เท่ากบั 30 x 12 = 3.6 100 ตารางที่ 4.3 แสดงการคานวณหาปริมาณโปรตีนจากวตั ถุดิบที่กาหนดในตารางลองผิด A วตั ถุดบิ B โปรตนี C วธิ ีลองผดิ D วธิ ีลองถูก (%) C1 จานวน C2 จานวน D1 จานวน D2 จานวน วตั ถุดบิ (กก.) โปรตนี (%) วตั ถุดบิ (กก.) โปรตนี (%) ปลาป่ น 60 3 1.80 5 2.25 กากถวั่ เหลือง 45 60 4.80 30 3.60 ปลายขา้ ว 8 1- 0.50 - ราละเอียด 12 0.50 - 100 12.45 กระดูกป่ น - เกลือ - พรีมิกซ์ - รวม ทม่ี า : จดั ทาโดยผเู้ ขียน, 2548
78 4) คานวณหาปริมาณโปรตีนรวมในสูตรอาหาร ในช่อง C2 วา่ ขาดหรือเกินจากที่ กาหนดมากนอ้ ยเพยี งใด (จะไดโ้ ปรตีนที่ขาดไป 16 – 12.45 = 3.55 เปอร์เซ็นต)์ 5) หาความแตกต่างโปรตีนของวตั ถุดิบที่เป็ นแหล่งโปรตีนและแหล่งพลงั งานที่ สามารถใชไ้ ดโ้ ดยไมม่ ีขีดจากดั ในท่ีน้ีคือกากถวั่ เหลืองและปลายขา้ วสามารถคิดไดโ้ ดย วตั ถุดิบ 100 กิโลกรัมกากถว่ั เหลืองมีโปรตีนมากกวา่ ปลายขา้ ว เท่ากบั 45-8 = 37 กิโลกรัม วตั ถุดิบ 1 กิโลกรัมกากถวั่ เหลืองมีโปรตีนมากกวา่ ปลายขา้ ว เท่ากบั 10045- 8 = 0.37 กิโลกรัม ในท่ีน้ีหมายความว่าหากเพิ่มกากถ่ัวเหลือง 1 กิโลกรัมและลดปลายข้าวลง 1 กิโลกรัม ในสูตรอาหารจะมีผลให้สูตรอาหารน้ันมีปริมาณคงที่คือ 100 กิโลกรัม แต่เปอร์เซ็นต์ โปรตีนท่ีตอ้ ง การจะเพ่ิมข้ึน 0.37 ในทานองเดียวกนั หากลดกากถว่ั เหลืองและเพิ่มปลายขา้ วอยา่ งละ 1 กิโลกรัม เปอร์เซ็นตโ์ ปรตีนท่ีตอ้ งการจะลดลง 0.37 เช่นกนั แตโ่ ปรตีนจากการคานวณแบบลองผิดยงั ขาดอยอู่ ีก 3.55 เปอร์เซ็นต์ หมายความวา่ หากตอ้ งการโปรตีนเพ่ิมข้ึน 0.37 เปอร์เซ็นต์จะตอ้ งเพิ่มกากถว่ั เหลืองและลดปลายขา้ วจานวน1 กิโลกรัม จานวน 10X.33.755 =ตอ้ ง9ก.6ารกโิโปลรกตรีนัมเพ่ิมข้ึน 3.55 เปอร์เซ็นตจ์ ะตอ้ งเพมิ่ กากถวั่ เหลืองและลดปลายขา้ ว 6) นาผลลัพธ์ท่ีได้(9.6) ไปบวกเข้ากับจานวนกากถั่วเหลือง และลบออกจาก จานวนปลายขา้ ว ในช่อง C1 จะไดจ้ านวนวตั ถุดิบท่ีใชจ้ ริงในช่องลองถูก D1 ตารางท่ี 4.4 แสดงการกาหนดจานวนวตั ถุดิบตามหลกั การลงในตารางลองถูก A วตั ถุดบิ B โปรตนี C วธิ ีลองผดิ D วธิ ีลองถูก (%) C1 จานวน C2 จานวน D1 จานวน D2 จานวน วตั ถุดบิ (กก.) โปรตนี (%) วตั ถุดบิ (กก.) โปรตนี (%) ปลาป่ น 60 3 1.80 3 กากถวั่ เหลือง 45 5+9.6 2.25 14.6 60-9.6 4.80 50.4 ปลายขา้ ว 8 30 3.60 30 1 ราละเอียด 12 1- 0.50 0.50 - 0.50 กระดูกป่ น - 0.50 - 100 100 12.45 เกลือ - พรีมิกซ์ - รวม ทม่ี า :จดั ทาโดยผเู้ ขียน, 2548
79 7) คานวณเปอร์เซ็นต์โปรตีนในช่อง D2 เมื่อรวมแลว้ ได้ 16 เปอร์เซ็นต์ ตรงตาม ความตอ้ งการในการคานวณ ถือวา่ การคานวณน้นั ถูกตอ้ ง สามารถนาจานวนวตั ถุดิบในช่อง D1 ไป ผสมเพ่อื เล้ียงสตั วต์ ่อไป ตารางที่ 4.5 แสดงการคานวณหาปริมาณโปรตีนจากวตั ถุดิบท่ีกาหนดในตารางลองถูก A วตั ถุดบิ B โปรตนี C วธิ ีลองผดิ D วธิ ีลองถูก (%) C1 จานวน C2 จานวน D1 จานวน D2 จานวน วตั ถุดบิ (กก.) โปรตนี (%) วตั ถุดบิ (กก.) โปรตนี (%) ปลาป่ น 60 3 1.80 3 1.80 กากถว่ั เหลือง 45 5 2.25 14.6 6.56 60 4.80 50.4 4.08 ปลายขา้ ว 8 30 3.60 30 3.60 1- 1- ราละเอียด 12 0.50 - 0.50 - 0.50 - 0.50 - กระดูกป่ น - 100 12.45 100 16.00 เกลือ - พรีมิกซ์ - รวม ทมี่ า : จดั ทาโดยผเู้ ขียน, 2548 ผลลพั ท์ หากตอ้ งการผสมอาหารสุกรรุ่น ซ่ึงตอ้ งการโปรตีน 16 เปอร์เซ็นต์ จานวน 100 กิโลกรัม จะตอ้ งใชว้ ตั ถุดิบดงั ตอ่ ไปน้ีคือ (1) ปลาป่ น จานวน 3.00 กิโลกรัม (2) กากถว่ั เหลือง จานวน 14.6 กิโลกรัม (3) ปลายขา้ ว จานวน 50.4 กิโลกรัม (4) ราละเอียด จานวน 30.0 กิโลกรัม (5) กระดูกป่ น จานวน 1.0 กิโลกรัม (6) เกลือ จานวน 0.5 กิโลกรัม (7) พรีมิกซ์ จานวน 0.5 กิโลกรัม
80 4.2 การผสมอาหารสัตว์ การผสมอาหารสัตวเ์ ป็ นการนาวตั ถุดิบหลาย ๆ อยา่ งมาผสมรวมกนั เพ่ือให้ไดเ้ ปอร์เซ็นต์ โปรตีนตามตอ้ งการ มีท้งั การผสมดว้ ยมือสาหรับธุรกิจเล้ียงสัตวข์ นาดเล็กและการผสมดว้ ยเคร่ือง ผสมอาหารสาหรับธุรกิจขนาดใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นต้องการผสมอาหารสุกรรุ่นโปรตีน 16 เปอร์เซ็นต์ จานวน 100 กิโลกรัม โดยใชว้ ตั ถุดิบดงั ตอ่ ไปน้ี 1) ปลาป่ น จานวน 3.0 กิโลกรัม 2) กากถว่ั เหลือง จานวน 14.6 กิโลกรัม 3) ปลายขา้ ว จานวน 50.4 กิโลกรัม 4) ราละเอียด จานวน 30.0 กิโลกรัม 5) กระดูกป่ น จานวน 1.0 กิโลกรัม 6) เกลือ จานวน 0.5 กิโลกรัม 7) พรีมิกซ์ จานวน 0.5 กิโลกรัม ข้นั ตอนการผสมอาหาร การผสมดว้ ยเครื่องจะไม่มีปัญหาเพราะข้นั ตอนไม่ซบั ซ้อน ในท่ีน้ีจะกล่าวเฉพาะการผสม อาหารดว้ ยมือเท่าน้นั 1. บดวตั ถุดิบที่ใชท้ ้งั หมดใหม้ ีอนุภาคเทา่ ๆ กนั 2. นาวตั ถุดิบที่ใชจ้ านวนน้อยมาผสมให้เขา้ กนั ไดแ้ ก่ พรีมิกซ์ เกลือและกระดูกป่ น เม่ือ ผสมเขา้ กนั ดีแลว้ จึงนาไปผสมกบั ปลาป่ นอีกคร้ังหน่ึง 3. เทวตั ถุดิบที่ใชป้ ริมาณมากที่สุดไวช้ ้นั ล่างสุด ตามดว้ ยวตั ถุดิบท่ีใชป้ ริมาณนอ้ ยกวา่ ตาม ลาดบั จนถึงวตั ถุดิบท่ีใชน้ อ้ ยท่ีสุดอยชู่ ้นั บนสุด โดยใหเ้ ทปลายขา้ วไวล้ ่างสุด เทราละเอียด กากถว่ั เหลืองตามลาดบั และวตั ถุดิบท่ีผสมไวใ้ นขอ้ ท่ี 2 อยชู่ ้นั บนสุด กองอาหารมีลกั ษณะเป็นรูปปิ รามิด 4. ใชจ้ อบหรือพลวั่ คลุกเคลา้ ส่วนผสมท้งั หมดใหเ้ ขา้ กนั 5. บรรจุกระสอบ พร้อมกบั บนั ทึกรายละเอียด โดยเฉพาะระยะของสัตวท์ ี่ใชอ้ าหารสูตรน้ี เปอร์เซ็นต์โปรตีนและวนั ท่ีผสมไวข้ ้างกระสอบ เช่นอาหารสุกรรุ่นโปรตีน 16 % วนั ท่ีผสม 16 / 06 / 48 เสร็จแลว้ เก็บในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกไมโ่ ดนแดดและฝน
81 ช่ังวตั ถุดบิ วตั ถุดบิ ตามสูตร เทวตั ถุดบิ ทใี่ ช้มากทสี่ ุดไว้ช้ันล่างสุด เทวตั ถุดบิ ทใ่ี ช้น้อยลดหลน่ั ตามลาดบั ผสมให้เข้ากนั บรรจุใส่กระสอบ เกบ็ ในสถานทเ่ี หมาะสม ภาพท่ี 4.9 แสดงข้นั ตอนการผสมอาหารสตั วด์ ว้ ยมือ ทมี่ า : จดั ทาโดยผเู้ ขียน, 2548
82 5. ระบบทางเดนิ อาหารของสัตว์ ระบบทางเดินอาหารของสัตวท์ ุกชนิดจะเร่ิมตน้ จากอาหารเขา้ สู่ปากและผา่ นขบวนการยอ่ ย เมื่อ ยอ่ ยเสร็จแลว้ เหลือส่ิงสุดทา้ ยเรียกวา่ กากก็จะถูกขบั ออกทางทวารหนกั เหมือนกนั แต่ถา้ พิจารณาถึง ส่วนประกอบในระบบทางเดินอาหารของสัตวแ์ ลว้ พบว่าสัตวม์ ีระบบทางเดินอาหารอยู่ 3 แบบ คือ ระบบทางเดินอาหารของสัตวก์ ระเพาะเดี่ยว ระบบทางเดินอาหารของสัตวก์ ระเพาะรวม และ ระบบ ทางเดินอาหารของสัตวป์ ี ก 5.1 ระบบทางเดนิ อาหารของสัตว์กระเพาะเดยี่ ว สัตวก์ ระเพาะเด่ียวที่มีความสาคญั ทางเศรษฐกิจ ไดแ้ ก่สุกร ระบบทาง เดินอาหารของสุกร ประกอบด้วยปาก (Mouth) หลอดอาหาร (Esophagus) กระเพาะ (Stomach) ลาไส้เล็ก (Small intestine) ลาไส้ใหญ่ (Large intestine) ลาไส้ใหญส่ ่วนปลาย (Rectum) และทวารหนกั (Anus) แต่ถา้ เป็ นสัตวก์ ระเพาะเด่ียวท่ีกินหญา้ เป็ นอาหารหลกั เช่น กระต่าย ไส้ต่ิง (Caecum) จะ ขยายใหญเ่ พอื่ ใชย้ อ่ ยอาหารพวกเยอ่ื ใยเช่นเดียวกบั สัตวก์ ระเพาะรวม 1 ปาก (Mouth) 5 ลาไส้ใหญ่ (Large intestine) 6 ไส้ติ่ง (Caeca) 2 หลอดอาหาร (Esophagus) 7 ทวารหนกั (Rectum) 3 กระเพาะอาหาร (Stomach) 4 ลาไส้เลก็ (Small intestine) ภาพที่ 4.10 แสดงระบบทางเดินอาหารของสัตวก์ ระเพาะเด่ียว (สุกร) ทมี่ า : นิรนาม, ม.ป.ป.
83 5.2 ระบบทางเดินอาหารของสัตว์กระเพาะรวม สตั วก์ ระเพาะรวมที่มีความสาคญั ทางเศรษฐกิจ ไดแ้ ก่ โค กระบือ แพะและแกะ จะมีระบบ ทางเดินอาหารโดยทว่ั ไปเช่นเดียวกบั สัตวก์ ระเพาะเด่ียว แต่มีความแตกต่างกนั อยบู่ า้ งคือในส่วน กระเพาะของสตั วก์ ระเพาะรวมจะแบ่งออกเป็นส่ีส่วนแต่ละส่วนมีชื่อเรียกแตกต่างกนั ออกไป คือ กระเพาะส่วนท่ี 1 เรียกวา่ กระเพาะรูเมน (Rumen) หรือ กระเพาะผา้ ข้ีริ้ว กระเพาะส่วนที่ 2 เรียกวา่ กระเพาะเรติคิวลมั (Reticulum) หรือ กระเพาะรังผ้งึ กระเพาะส่วนท่ี 3 เรียกวา่ กระเพาะโอมาซมั (Omasum) หรือกระเพาะสามสิบกลีบ กระเพาะส่วนที่ 4 เรียกวา่ กระเพาะอะโบมาซมั (Abomasum) หรือ กระเพาะแท้ ในกระเพาะท้ังสี่ส่วนมีเพียงกระเพาะส่วนที่ 4 เท่าน้ันท่ีมีน้ าย่อยออกมาย่อยอาหาร เหมือนกบั สตั วก์ ระเพาะเดี่ยว 1 ปาก (Mouth) 6 กระเพาะแท้ (Abomasum) 2 หลอดอาหาร (Esophagus) 7 ลาไส้เล็ก (Small intestine) 3 กระเพาะผา้ ข้ีริ้ว (Rumen) 8 ไส้ต่ิง (Caeca) 4 กระเพาะรังผ้งึ (Reticulum) 9 ลาไส้ใหญ่ (Large intestine) 5 กระเพาะสามสิบกลีบ (Omasum) 10 ทวารหนกั (Rectum) ภาพท่ี 4.11 แสดงระบบทางเดินอาหารของสัตวก์ ระเพาะรวม (โค) ทม่ี า : นิรนาม, ม.ป.ป.
84 5.3 ระบบทางเดินอาหารของสัตว์ปี ก สัตวป์ ี กจะมีปากแตกต่างไปจากปากของสัตวก์ ระเพาะเดี่ยวและสัตวก์ ระเพาะรวม คือ สัตวป์ ี กมีเพียงจงอยปากสาหรับจิกอาหารเขา้ สู่ปาก แต่ไม่มีฟันสาหรับเค้ียวอาหารให้ละเอียดก่อน กลืน ทาให้ระบบทางเดินอาหารผิดไปจากสัตวส์ องประเภทแรก คือเมื่ออาหารเขา้ สู่ปาก (Beak) หลอดอาหาร (Esophagus) จะเก็บอาหารไวใ้ นกระเพาะพกั (Crop) จึงจะส่งเข้าสู่กระ เพาะแท้ (Proventriculus) ภายหลงั หากกระเพาะแทย้ ่อยอาหารน้ันไม่ได้ อาหารจะถูกส่งเขา้ สู่กระเพาะบด (Gizzard หรือ Ventriculus) กระเพาะบดจะทาหน้าที่บดอาหารจนละเอียด อาหารจึงเขา้ สู่ลาไส้เล็ก ลาไส้ใหญ่ และขบั กากอาหารออกทางทวารหนกั (Cloaca) ตอ่ ไป 1 หลอดอาหาร (Esophagus) 5 ลาไสเ้ ลก็ (Small intestine) 2 กระเพาะพกั (Crop) 6 ลาไสใ้ หญ่ (Large intestine) 3 กระเพาะอาหาร (Proventriculus) 7 ไสต้ ่ิง (Caeca) 4 กระเพาะบด (Gizzard) 8 ทวารหนกั (Cloaca) ภาพท่ี 4.12 แสดงระบบทางเดินอาหารของสตั วป์ ี ก (ไก่) ทมี่ า : นิรนาม, ม.ป.ป. สรุป วตั ถุดิบอาหารสัตวแ์ ตล่ ะชนิดจะมีคุณค่าทางอาหารแตกตา่ งกนั ไป ดงั น้นั การนาวตั ถุดิบมา เป็ นอาหารสัตวจ์ ะตอ้ งไม่กาหนดตายตวั วา่ จะใชว้ ตั ถุดิบชนิดไหนเล้ียงสัตวอ์ ะไร แต่การใชว้ ตั ถุดิบ เป็ นอาหารสัตวท์ ี่ถูกตอ้ งควรนาวตั ถุดิบหลายชนิดมาผสมกนั เพื่อให้ไดโ้ ภชนะเพียงพอแก่ความ ตอ้ ง การของสัตวช์ นิดน้นั ๆ และในขณะเดียวกนั จะตอ้ งใชว้ ตั ถุดิบในสัดส่วนท่ีถูกตอ้ ง คือ ไม่มาก เกินไปจนเกิดอนั ตรายตอ่ สตั ว์
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: