1. ความหมายและประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resource) หมายถึง ส่ิงทรพั ย์ทเ่ี กิดเองตามธรรมชาติ จากกระบวนการต่าง ๆ ทางฟิสิกส์หรือเคมี และสิ่งเหลาน้ันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์หรือมนุษย์นาไปใช้ประโยชน์ได้นักอนุรักษ์ วิทยาแบง่ ทรพั ยากรธรรมชาตไิ ว้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1.1 ทรัพยากรธรรมชาตทิ ีใ่ ชแ้ ล้วไม่หมด (Non-exhausting Natural Resource) เปน็ ทรพั ยากรที่มคี วามจาเป็นตอ่ การดารงชีวิตของส่ิงมชี วี ิตสูงมาก บางชนดิ ถ้าขาดไปชั่วเวลาเพยี งน้อยนิด ก็ทาให้ตายได้ มคี วามเพียงพอใช้แล้วไม่หมดสิน้ หมนุ เวียนอยู่โลกนี้ตลอดไป ไดแ้ ก่ อากาศ น้าในวฏั จกั ร แสงอาทติ ย์ เป็นตน้ 1.2 ทรัพยากรธรรมชาตทิ ีใ่ ช้แล้วสามารถเกิดทดแทนได้ (Renewable Natural Resource) หมายถึง ทรัพยากรธรรมชาติที่มนุษย์ใช้ประโยชน์แล้วก็ยังเกิดขึ้นใหม่ทดแทนกับท่ีใช้ไปแล้วได้ซึ่ง ระยะเวลาการเกิดทดแทนอาจจะเร็วข้ึนหรือช้าข้ึนอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติแต่ละชนิด ดังน้ัน การใช้ ทรัพยากรธรรมชาติจึงต้องคานึกถึงระยะเวลาการเกิดทดแทนด้วย ได้แก่ ทรัพยากรดิน น้าในท่ีต่าง ๆ ป่าไม้ สตั ว์ป่า ประมง เกษตร เปน็ ต้น 1.3 ทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีใช้แลว้ หมดไป (Exhausting Natural Resource) เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วไม่สามารถทดแทนในช่วงระยะเวลาอันสั้น แต่ละทดแทนได้ในระยะ เวลานานนับเป็นล้านปี เช่น น้ามันปิโตเลียม ถ่านหิน แร่ธาตุ เป็นต้น ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ถือว่าไม่มี ความจาเป็นในแง่ของการดารงชีวิตมนษุ ย์ แต่จะมคี วามสาคัญในดา้ นเออ้ื อานวยความสะดวกสบายผอ่ นแรงแก่ มนุษยเ์ ท่านั้น หรือกลา่ วไดว้ า่ ถ้าขาดทรัพยากรเหลา่ นี้ มนุษยย์ ังสามารถดารงชวี ติ อยไู่ ดอ้ ย่างปกตนิ นั่ เอง
2. ความหมายและประเภทของสิ่งแวดลอ้ ม สิ่งแวดล้อม (Environment) หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ๆ ตัวเราท้ังเกิดข้ึนเองโดยธรรมชาติ (ทรัพยากรธรรมชาติ) และส่งิ ทีม่ นษุ ย์สร้างขึ้นเอง สิ่งท่ีมนษุ ย์สรา้ งขน้ึ อาจจะเป็นรูปธรรม (จับตอ้ งได้ มองเห็น) และนามธรรม (จบั ตอ้ งไมไ่ ด้ มองไมเ่ ห็น) สิง่ แวดล้อมแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ 2.1 ส่งิ แวดล้อมตามธรรมชาติ (Naturel Environment) หมายถึง สิ่งแวดล้อมท่ีเกิดข้ึนเองตามกระบวนการทางธรรมชาติหรือทรัพยากรธรรมชาติ บางชนิด บางอยา่ งใช้เวลาเพยี งน้อยนิด แตบ่ างชนดิ อาจใชเ้ วลานานนบั ล้านปี เช่น ดิน น้า ป่าไม้ สตั ว์ป่า ถา่ นหิน นา้ มัน ซ่ึงส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติอาจจะแบ่งได้เป็นส่ิงแวดล้อมท่ีมีชีวิตหรือสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ (Biotic Environment) ได้แก่ มนุษย์ สัตว์ พืช รวมท้ังส่ิงมีชีวิตขนาดเล็ก ๆ ได้แก่ ดิน น้า อากาศ แร่ธาตุ น้ามัน เป็น ตน้ ดอยมอ่ นจอง จ.เชียงใหม่ หมีแพนด้า สวนสตั วเ์ ชียงใหม่ ส่ิงแวดล้อมทเี่ กิดขน้ึ เองตามธรรมชาติ 2.2 สงิ่ แวดล้อมที่มนษุ ย์สร้างขน้ึ (Man Made Environment) เป็นสิง่ แวดล้อมทเ่ี กดิ จากการสรา้ งหรอื กระทา้ จากความคิดมนษุ ย์ เพ่ือการดา้ รงชีวติ อย่างสะดวกสบาย เพ่ือความสวยงาม เพอ่ื ตกแต่เพิ่มเติมธรรมชาติ ดังรูปภาพท่ี 1.3 เช่น วัด เจดีย์ อาคารบา้ นเรือน ถนน รถยนต์ คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ สวนสาธารณะ สง่ิ อ้านวยความสะดวกนานาชนิด รวมทั้งสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่มนุษย์ร่วมกันสร้างขึ้นมาได้แก่ ระเบียนปฏิบัติ กฎหมาย ขนบธรรมเนียม ประเพณี วฒั นธรรม ความเชอ่ื ศาสนา เป็นตน้ สวนแมฟ่ ้าหลวง ดอยตุง จ.เชียงราย วัดมหาธาตเุ จดียน์ ภเนทนีดล และพระมหาธาตุ นภพลภมู สิ ิริ ดอยอินทร์ สิง่ แวดล้อมทมี่ นุษย์สรา้ งขึ้น
3. สมบัตขิ องส่ิงแวดลอ้ ม ดังกล่าวมาแล้วว่าส่ิงแวดล้อม หมายถึง สรรพส่ิงทุกชนิดท่ีอยู่รอบตัวเราท้ังมีชีวิตและไม่มีชีวิต ท้ังเกิดข้ึน ตามกระบวนการตามธรรมชาติและจากกการประดิษฐ์คิดค้นของมนุษย์ แต่สรรพส่ิงเหล่าน้ันตอ้ งมีความหมาย เกยี่ วพันเชือ่ มโยงและมีสมบตั ิของตัวเอง ดังนี้ 3.1 สิ่งแวดล้อมแต่ละชนิดต้องมีสมบัติเฉพาะตัว หรือเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น ตันไม้ สัตว์ มนุษย์ โรงเรียน ถนน วัด เป็นต้น เอกลักษณ์เฉพาะตัวเหล่านี้ถ้าเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิตจะถูกควบคุมด้วยพันธุกรรม ไดแ้ ก่ พวกพชื สัตว์ มนษุ ย์ แตถ่ า้ เป็นสิ่งแวดล้อมทีม่ นษุ ย์สรา้ งขึ้น มนษุ ยจ์ ะเป็นผคู้ วบคุมออกแบบ เชน่ อาคาร ถนน กฎระเบยี บตา่ ง ๆ เปน็ ต้น 3.3 สิ่งแวดล้อมหน่ึงต้องมีความต้องการส่ิงแวดล้อมอ่ืนเสมอ ส่ิงแวดล้อมจะมีความต้องการส่ิงแวดล้อม อื่น ๆ และมีความสัมพันธ์เก่ียวข้องซ่ึงกันและกัน เช่น ป่าต้องการดิน น้า แสงสว่าง มนุษย์ ต้องการอาหาร ที่ อยอู่ าศัย ความรกั เป็นต้น 3.4 ส่ิงแวดล้อมจะอยู่กับส่ิงแวดล้อมอ่ืนเป็นกลุ่มหรือเป็นระบบเสมอ ซึ่งเราเรียกว่าระบบนิเวศ นั่นคือ ความสัมพันธ์กันระหว่างสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต และภายในกลุ่มหรือระบบมีโครงสร้างและ หน้าที่หลากหลายแตกต่างกันไป เชน่ ระบบนเิ วศปา่ ไม้ ระบบนเิ วศเมอื ง ระบบนเิ วศน้าจดื เป็นต้น 3.5 สิ่งแวดล้อมหนึ่งเม่ือถูกกระทบจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอ่ืนเสมอ เน่ืองจากสิ่งแวดล้อมมีความ สนั พนั ธก์ ันเป็นลูกโซ่ ดังนน้ั ถ้าส่ิงแวดลอ้ มหนึ่งถกู รบกวนก็กระทบต่อสง่ิ แวดล้อมอน่ื ๆ ดว้ ยไมม่ ากไม่นอ้ ย เชน่ การพัฒนาไม้ท้าลายป่า ส่งผลกระทบต่อการพังทลายของดิน ดินขาดความอุดมสมบูรณ์เกิดความแห้งแล้ง มี ตะกอนดนิ ในน้ามาก ท้าให้สัตวน์ า้ ลดลง เปน็ ตน้ 3.6 ส่งิ แวดล้อมแตล่ ะประเภทมีความเปราะบาง ความคงทนแตกตา่ งกนั สง่ิ แวดลอ้ มบางประเภทมคี วาม เปราะบาง เช่น ทรัพยากรดิน เม่ือถูกน้าท้าลายกลายเป็นโคลน และไหลไปตามน้าซ่ึงถ้าเป็นดินแร่จะคงทน มากกว่าน้ี แต่อย่างไรก็ตาม ความเปราะบาง ความคงทนจะขึ้นอยู่กับอายุ ขนาด เวลา สถานท่ี เช่น แมลงมี ภาวะออ่ นแอมากทส่ี ดุ เมอ่ื ในวัยออ่ น เป็นต้น 3.7 สิ่งแวดล้อมมีการเปล่ียนแปลงอยู่เสมอ สิ่งแวดล้อมทุกชนิดจะเปล่ียนแปลงอยู่เสมออาจจะช่วงเวลา สน้ั หรือระยะเวลานานก็ได้ เชน่ ทุ่งหญา้ จะเปล่ยี นสภาพเปน็ ปา่ ถ้าปลอ่ ยทิง้ ไว้เป็นเวลานานบอ่ นา้ ถา้ ปล่อยท้ิงไว้ อาจจะต้นื เขนิ หรือพืน้ ท่ีปา่ ได้ หรอื ชนบทอาจกลายเปน็ เมอื ง เปน็ ต้น
4. ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อมกับการประกอบอาชพี 4.1 ปัจจยั พืน้ ฐานด้านส่ิงแวดลอ้ มท่มี ีอิทธพิ ลต่อการประกอบอาชพี ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมมีอิทธิพลต่อการดารงชีวิตและการประกอบอาชีพ ซ่ึงมีปัจจัยพื้นฐาน ด้านสง่ิ แวดล้อม ได้แก่ 1.) ลักษณะภูมิประเทศ การพิจารณาถึงพ้ืนที่สูง ต่า เพ่ือการต้ังถิ่นฐาน โดยท่ัวไปมนุษย์เลือกอาศัยอยู่ อยา่ งหนาแน่นในเขตทีร่ าบลุม่ แมน่ า้ ต่าง ๆ เพอ่ื อาศัยที่หมุนเวยี นในธรรมชาติในการอุปโภคบริโภค อาศัยความ อุดมสมบูรณ์ของดินเพื่อการเกษตรกรรม และอาศัยการคมนาคมท่ีสะดวกสบายท้ังทางบกและทางน้าส่วน บรเิ วณเขตพนื้ ท่ีสงู หรอื เขตพ้ืนทแ่ี ห้งและจะมีประชาชนอาศัยอยู่จานวนน้อย เพราะขาดแคลนปัจจยั พ้ืนฐานใน การดารงชีวิตดงั กลา่ ว 2.) ลักษณะภูมิอากาศ เช่น ความร้อน ความหนาว ความชุ่มช้ืน ความแห้งแลง ปัจจัยเหล่าน้ีเป็น ตัวกาหนดรูปแบบอาชีพและวัฒนธรรมในแต่ท้องถ่ิน เช่น ลักษณะการสร้างบ้านเรือน การแต่งกาย การกิน อาหาร ขนบธรรมเนียม ประเพณี ตลอดจาการมีอิทธิพลต่อลักษณะนิสัยใจคอของมนุษย์อีกดว้ ย สังเกตได้จาก ชนเผา่ ที่อยู่อาศัยในเขตอากาศอบอนุ่ มักมีลักษณะนสิ ยั สขุ ุมรอบคอบ ใจเย็น กระตอื รอื ร้นและขยนั อารยธรรม และความก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีต่าง ๆ มักเกิดจากประเทศท่ีมีลักษณะภูมิอากาศอบอุ่นเปน็ ส่วนมาก ผิดกบั ประเทศท่ีอยู่เขตร้อน ผคู้ นมักมลี ักษณะนิสัยที่ตรงข้ามกัน เช่น ใจรอ้ น หงุดหงิดงา่ ย ขาดความ รอบคอบ เฉือ่ ยชา เปน็ ตน้ 3.) พืชพันธรรมชาติและแร่ธาตุต่าง ๆ ความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่น ท้ังพืชและสัตว์เป็น ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการประกอบอาชีพ และการบริโภคอาหารมนุษย์ในแต่ละท้องถิ่นจะประกอบอาชีพ แตกต่างกันไป ตามสภาพของพืชพันธ์ท่ีสามารถเจริญเติบโตได้ดีในท้องถ่ิน เช่น ในเขตร้อนข้ึนพืชเศรษฐกิจ ได้แก่ ข้าวเจ้า ยางพารา ปาล์มน้ามัน ผลไม้เขตร้อนชื้นต่าง ๆ เขตอบอุ่น ได้แก่ ข้าวสาลี มั่นฝรั่ง ผลไม้เมือง หนาวต่าง ๆ ตลอดจนการทาปศุสัตว์ เนื่องจากมีทุ่งหญ้าที่เหมาะสมกระจายอยู่ทั่วไป ส่วนชุมชนท่ีอยู่ในเขต ชายฝั่งทะเล ส่วนใหญ่จะมีอาชีพด้านการประมง นอกจากน้ีในเขตท่ีมีทรพั ยากรแร่ธาตุ พลังงานและแรงงานที่ คุณภาพ ก็จะมีประกอบอาชีพด้านอุตสาหกรรมและการบริการอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นด้านการตะวันของ ทวปี ยโุ รป ทางตะวันออกของทวปี อเมริกาเหนือและในทวีปเอเชีย เชน่ ประเทศญ่ปี ่นุ เกาหลี เป็นตน้ 4.2 ประเภทและลกั ษณะอาชีพของคนไทย การประกอบอาชีพของคนไทยมีความหลากหลาย มีอาชีพเกิดขึ้นใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องตามเทคโนเลย ที่ เปลยี่ นไป การแบ่งประเภทของอาชีพตามลักษณะตา่ ง ๆ พอสรปุ ไดด้ ังนี้ 1) แบ่งตามเนอ้ื หาวชิ าของอาชีพ แบ่งได้ 6 ประเภท ไดแ้ ก่ 1.1) อาชีพเกษตรกร เป็นอาชีพท่ีเกี่ยวเน่ืองกับการผลิตและจาหน่ายสินค้าและบริการทางด้าน การเกษตร ปัจจุบันมีประชากรประกอบอาชีพเกษตรกรร้อยละ 70 ผลผลิตทางการเกษตรใช้เพ่ือการอุปโภค บริโภคเป็นส่วนใหญ่ และบางส่วนใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตทางด้านอุตสาหกรรม อาชีพเกษตรกรยังแบ่งได้ เป็น 4 ประเภท ไดแ้ ก่ (1.) กสกิ รรม หมายถึง การเพาะปลกู พชื เช่น การทานา ทาสวน ทาไร่
(2) ปศสุ ัตว์ หมายถึง การประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์บก เชน่ เลีย้ งวัว ๕ จาพวก สตั วป์ ีก เปน็ ต้น (3) ประมงน้าเค็ม หมายถึง การจับสิ่งมีชีวิตในเขตน้าเค็มมาใช้ประโยชน์ ป ปลา แมงกะพรุน สาหร่าย เปน็ ตน้ (4) ประมงน้าจดื หมายถงึ การประกอบอาชีพเกษตรทางน้าจดื เชน่ การเล้ยี งสตั ว์ จบั สตั ว์นา้ ในห้วย หนอง คลอง บึง ทะเลสาบน้าจดื เปน็ ต้น 1.2) อาชีพอุตสาหกรรม การอุตสาหกรรม หมายถึง การผลิตสินค้าจากการนาวัสดุหรือสินค้าบาง มา แปรสภาพใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อผู้ใชม้ ากขน้ึ ซ่งึ กระบวนการประกอบการอุตสาหกรรม มีข้นั ตอนดงั รปู วัตถุดิบหรือสินคา้ กระบวนการผลติ สินคา้ สา้ เรจ็ รปู ผู้บริโภค การประกอบอาชีพอุตสาหกรรมมีความหลากหลายแบ่งตามลักษณะขนาด มีอุตสาหกรรม ใน ครอบครัวหรอื ในครวั เรือน อตุ สาหกรรมขนาดยอ่ ม ขนาดกลางและขนาดใหญ่ และแบ่งอาชพี อตุ สาหกรรม พอ สรุปไดด้ ังนี้ (1) อุตสาหกรรมเกษตร เชน่ ฟารม์ โคนม โรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เชน่ ผลไม้กระป๋อง เป็นต้น (2) อตุ สาหกรรมผลติ ภัณฑส์ ินคา้ สาเร็จรปู เช่น โรงงานผลติ รถยนต์ เครือ่ งใชไ้ ฟฟ้า เสื้อผา้ เปน็ ตน้ (3) อตุ สาหกรรมเลิกวตั ถุดบิ เช่น โรงงานผลิตน้ามนั ปาล์ม โรงงานผลิตยางดิบ เป็นต้น (4) อุตสาหกรรมผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตเส้นใยสังเคราะห์ โรงงานผลิต เหล็ก โรงงานผลติ เม็ดพลาสตกิ เปน็ ต้น (5) อตุ สาหกรรมผลติ น้ามันดิบ เช่น การขดุ เจาะและสารวจแหลง่ นา้ มัน เป็นตน้ (6) อตุ สาหกรรมผลิตเคร่ืองจักรกล เชน่ โรงงานผลิตเครอ่ื งปรับอากาศ โรงงานผลติ ปัม้ นา้ เปน็ ต้น (7) อุตสาหกรรมผลติ รถยนต์ เชน่ โรงงานประกอบรถยนต์ โรงงานประกอบตัวถังรถยนต์ 1.3) อาชีพพาณิชยกรรมและการบริการ อาชีพพาณิชยกรรม หมายถึง อาชีพที่เป็นการแลกเปล่ียน ระหว่างสินค้ากับเงินลักษณะการซ้ือมาขายไป โดยซ้ือสินค้าจากผู้ผลิตและนำมาขายต่อให้แก่ผู้บริโภค อาชีพ พาณิชยกรรมจึงเป็นตัวกลางในการขายสินค้าหรือการบริการจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภค ส่วนอาชีพบริการ หมายถึง อาชีพที่ทำให้เกิดความพอใจแก่ผู้ซ้ือ การบริการอาจเป็นสินค้าท่ีมีตัวตน เช่น การบริการขนส่ง การ บริการทางการเงนิ หรือการบรกิ ารท่ไี มม่ ตี ัวตน เชน่ บริการท่องเท่ียว บรกิ ารรกั ษาพยาบาล เปน็ ต้น 1.4) อาชีพคหกรรม หมายถึง อาชพี ท่ีเกี่ยวกับการประกอบอาหาร ตดั เย็บเส้อื ผา้ การเสริมสวย 1.5) อาชีพหัตถกรรม หมายถงึ อาชีพทีเ่ ก่ียวกบั งานชา่ งโดยใชม้ ือในการผลติ ช้ินงานเปน็ สว่ นใหญ่ เชน่ การจักสาน แกะสลัก ผา้ ทอมอื ทอเสอื เปน็ ต้น 1.6) อาชีพดนตรีและศิลปิน หมายถึง ผู้ที่เล่นดนตรีเป็นอาชีพศิลปิน ผู้ท่ีสร้างสรรค์ผลงานตาม จินตนาการเปน็ อาชีพ 2) แบ่งตามลักษณะการประกอบอาชพี แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่
2.1) อาชีพอิสระ หมายถึง อาชีพที่ผู้ประกอบการดาเนินการด้วยตนเองอาจเป็นเพียงผู้เดียวหรือ เปน็ กลุ่ม อาชีพอสิ ระยังแบง่ ออกเป็น 2 พวก ได้แก่ (1) อาชพี ท่ดี าเนนิ งานภายใตธ้ ุรกิจใดธุรกิจหนงึ่ เชน่ ตวั แทนขายประกนั ตวั แทนขายตรง (2) อาชีพท่ีดาเนินการด้วยตนเอง เช่น นักเขียนอิสระ ที่ปรึกษาอิสระ วิทยากรอิสระ ขาย อาหาร ขายของชำ ผลิตสินค้าบางอยา่ งขายเอง เป็นตน้ 2.2) อาชพี รับจา้ ง หมายถงึ ผปู้ ระกอบอาชีพดำเนนิ การภายใตข้ อ้ กำหนดของผูว้ ่าจ้าง รวมท้ัง อาชพี รบั ราชการ 3) แบ่งตามระดับอาชพี อาชพี แบง่ ตามระดับอาชพี ได้ 3 ระดับ ไดแ้ ก่ 3.1) อาชีพข้ันประฐมภูมิ เป็นอาชีพที่พ่ึงพาสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติเป็นหลัก ไม่มีการดัดแปลง ธรรมชาติมากนัก เปน็ อาชีพพ้ืนฐานแม้ไม่มีใครสอนกส็ ามารถทำได้ ไม่มีขอ้ จากัดหรือความยุ่งยากมากนัก เช่น อาชพี เพาะปลูก เลย้ี งสตั ว์ ประมง เก็บของป่า เปน็ ตน้ 2.2) อาชีพขั้นทุติยภูมิ เป็นระดับอาชีพท่ีต้องใช้เทคโนโลยี เคร่ืองจักรกลเข้ามาช่วยดัดแปลง ทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ มีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น เช่น การอุตสาหกรรมเกษตร การปศุสัตว์ขนาดใหญ่ การประมงทะเล อตุ สาหกรรมเหมืองแร่ อุตสาหกรรมนา้ มนั เปน็ ต้น 3.3) อาชีพขน้ั ตติยภมู ิ เป็นระดับอาชพี ทไี่ ม่ได้พึง่ พาทรัพยากรธรรมชาติโดยตรง อาศยั ผลผลติ ที่ แปร รูปจากทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม หรือใช้ทรัพยากรธรรมชาติทางอ้อม เช่น อาชีพพาณิชยกรรม อาชีพการบรกิ าร ครู อาจารย์ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เปน็ ต้น ไม่ว่าจะแบ่งอาชีพตามลักษณะใด ผู้ประกอบอาชีพล้วนเก่ียวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมไม่ ทางตรงก็ทางอ้อม อาชีพบางอาชีพต้องทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยตรง ดังน้ัน การจัดการ งานอาชีพทุกชนิดต้องคำนงึ ถึงการอนรุ กั ษ์เสมอ
5. ปญั หาทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม การใช้ทรัพยากรธรรมชาตกิ ่อให้เกิดปัญหาสงิ่ แวดล้อมทั้งระดับเลก็ อย่างท้องถิ่นจนถึงระดับโลก ซึ่งปัญหา สิ่งแวดล้อมแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 3 กลุ่ม คือ ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติลดลงและเส่ือมโทรม (Depletion) ปัญหามลพษิ (Pollution) และปัญหาสังคม (Social Problem) แต่ไมว่ า่ จะเป็นปัญหาในกลุ่มใด มกั มสี าเหตุพอสรุปไดด้ ังนี้ 5.1 การเพ่ิมขน้ึ ของประชากร ตามทฤษฎีของมัลทัส (Thorn.30 Robert Malthus) กล่าวว่า อัตราการเป็นอของประชากรของ สง่ิ มชี วี ิตจะเพมิ่ ขนึ้ แบบอตั ราเรขาคณติ คอื แบบทวีคณู (2-4-8-16) ในขณะท่ีอาหารและทรัพยากรธรรมชาติจะ มีการเพิ่มแบบอัตราเลขคณิต คือค่อยเป็นค่อยไป (1-2-3-4) ปัจจุบัน (2559) มีประชากรโลกประมาณ 7,300 ล้านคน และคาดวา่ ในปี พ.ศ. 2592 จะมีประมาณ 9,000 ล้านคน การเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วทาให้เกิดการใช้ทรัพยากรมากขึ้นซ่ึงก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนทรัพยากร และปัญหาคุณภาพส่ิงแวดล้อม โดยเฉพนาะกลุ่มประชากรที่ด้อยพัฒนา ซ่ึงมีมากและมีอัตราการเพ่ิมสูง การ บกุ รุกพนื้ ทีป่ ่าเพอื่ การทาเกษตร ปญั หาการขาดแคลนอาหาร ปญั หาลมพิษ 5.2 ความเจริญก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีส่วนทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรมากขึ้นและรวดเร็ว เช่น การใช้เครื่องจักรในการผลิตแทนแรงงานคน ทาให้ต้องเพิ่มจานวนวัตถุดิบมากข้ึน การเกิดทดแทนไม่ทัน และผลจากการใช้เครื่องจักรกลทำใหเ้ กดิ มลพษิ ข้นึ เชน่ เขมา่ ควัน สารพษิ ตกคา้ งในอากาศ น้า การใช้ปุย๋ และ สารเคมีทางการเกษตร เปน็ ต้น 5.3 ความเจริญก้าวหนา้ ทางดา้ นเศรษฐกิจ ความเจริญก้าวหน้าทางดา้ นเศรษฐกิจ การแข่งขันทางการค้า ก่อให้เกิดการสร้างโรงงานอุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ ท่าเรือพาณิชย์ สนามบินพาณิชย์ เพ่ือรองรับการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการทำลาย ทรัพยากรเพ่ิมมากข้ึน รวมทั้งผลเสียที่เกิดข้ึน คือ มลพิษ รวมทั้งการแก่งแย่งกันหาเงิน ทำให้เกิดการแข่งขัน ทางการคา้ มากขึ้น 5.4 การใช้ทรพั ยากรธรรมชาติโดยขาดความระมดั ระวัง หรือการจัดการที่เหมาะสม หากไม่มีการวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาด เช่น ทรัพยากรป่าไม้ในประเทศไทยหมดไป อย่างรวดเรว็ ในระยะเวลาอันสั้น รวมทง้ั แรด่ ีบกุ ทรพั ยากรประมง ซึง่ ในอดีตของไทยเคยมั่งคั่ง เปน็ ตน้ 5.5 ปัญหาทางด้านกฎหมาย กฎหมายเกี่ยวกับความผิดทางทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม บางประเทศยังไม่มีแนวทางปฏิบัติ ที่แน่นอน จริงจัง โดยเฉพาะประเทศท่ีด้อยพัฒนาและกาลังพัฒนาประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน บทลงโทษ ใน การทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมต่า จึงทาให้ผู้กระทาผิดไม่เกรงกลัว ทาผิดซ้าซาก เชน่ การตดั ไมท้ ำลายป่า การลกั ลอบล่าสัตว์ป่าสงวนและคมุ้ ครอง การลอบค้าขายสัตว์ปา่ การลกั ลอบจับปลา ในฤดวู างไข่ การลักลอบทิง้ สารพษิ อนั ตรายในที่สาธารณะ เป็นต้น
6. ผลกระทบจากปัญหาสิง่ แวดลอ้ ม ปญั หาการเสอ่ื มโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ ม อันสืบเนือ่ งจากของทรพั ยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อม อันสืบเน่ืองมาจากที่มนุษย์อ้างว่าพัฒนา ซึ่งมีผลต่อมนุษย์ที่ต้องใช้ทรัพยากรเหล่านั้น จะต้องใช้ เวลาและทุนในการแก้ปัญหา จ้านวนมหาศาล ถ้าขาดการจัดการและใช้ทรัพยากรอย่างไม่ระมัดระวังหรือใช้ ทรัพยากรผดิ หลักการอนุรักษ์ป่า มผี ลกระทบตอ่ ปญั หาส่ิงแวดล้อมอยา่ งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดงั นี้ 6.1 ความเส่ือมโทรมของทรพั ยากรธรรมชาติและภัยธรรมชาติคุกคาม เมื่อทรัพยากรถกู ใชอ้ ย่างผดิ หลกั การอนรุ ักษ์ การทดแทนไม่พอเหมาะกับการใช้ การแย่งชงิ ทรพั ยากร มีมากข้ึน ทำให้ทรัพยากรร่อยหรออย่างรวดเร็ว ผลกระทบที่ตามมาก็คือเกิดภัยธรรมชาติคุกคาม เช่น การ ทำลายทรัพยากรปา่ ไม้มากเกนิ ไปทำให้ขาดแคลนนา้ ในฤดแู ล้ง และมนี า้ ทว่ มในฤดูฝนและจะเพ่มิ ความ รนุ แรง มากข้ึนเรือ่ ย ๆ 6.2 มลพษิ สิ่งแวดล้อม การเพ่ิมของประชากร การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ความต้องการเพิ่มผลผลิต เพื่อ การค้า การใชเ้ ครื่องจักรแทนเทคโนโลยชี าวบา้ น ของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม สารเคมีในการเกษตร ทำให้ มลพิษต่าง ๆ เช่น มลพิษน้า มลพิษอากาศ มลพิษด่ืน มลพิษเสียง ซ่ึงมลพิษเหล่าน้ีน้าไปสู่ปัญหาทางด้าน เศรษฐกจิ และการเมอื ง เช่น ปญั หาไขห้ วดั นกระบาด โรคซาร์ส การปนเปอื้ นของสารพิษในทะเล เปน็ ตน้ 6.3 ปัญหาทางดา้ นสงั คม เศรษฐกิจ และการเมือง เม่ือสังคมเกษตรเปลยี่ น เป็นสังคมอุตสาหกรรม ทำให้ประชาชนทิ้งถ่ินมาทำงานในโรงงาน อุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ตามเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้เกิดปัญหาการย้ายถิ่น แหล่ง ชุมชนแออัด ปัญหายา เสพติด ปัญหาอาชญากรรม ล้วนแต่เป็น ปัญหาทางด้านส่ิงแวดล้อมทั้งสิ้น การแก่งแย่งอาหาร ท่ีอยู่อาศัย มัก เกิดขึ้นในเมอื งใหญ่
7. แนวทางการอนุรกั ษแ์ ละพัฒนาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม การอนุรักษ์ (Conservation) หมายถึง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานอย่างคุ้มคา่ ให้เกิดประ นอน สูงสุด ใช้ให้ได้นานท่ีสุด ผลกระทบน้อยท่ีสุด ถูกกาลถูกเวลาหรือใช้ให้เกิดผลยั่งยืน (Sustained Yield) ซึ่งการอนุรักษ์ต้องมีการซ่อมแซม สงวน ปรับปรุง นำกลับไปใช้ใหม่ หาทดแทน การอนุรักษ์ไม่ได้ หมายถึงเก็บ รกั ษาอย่างเดียว แต่เปน็ การใชท้ รพั ยากรอย่างชาญฉลาด ใชใ้ หถ้ กู กาลถูกเวลาเพอ่ื ให้มใี ชต้ ลอดไป การเกบ็ อาจ เปน็ การอนุรักษ์วิธีหนึ่งเท่าน้ัน เชน่ รัฐบาลไทยประกาศปิดป่าในปัจจบุ ันเพ่ือใหป้ ่าได้ฟื้นฟเู พิ่มพูน จนสามารถ นามาใช้ได้อีกในอนาคต และในขณะเดียวกันการใช้ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใช้แล้วหมด ก็ต้องหาสิ่ง ทดแทน เช่น น้ามนั ถ่านหิน เปน็ ต้น การพัฒนา (Development) หมายถึง การทาให้ดีข้ึน เจริญข้ึน ในด้านส่ิงแวดล้อม การพัฒนา สิ่งแวดล้อม เป็นการจัดการสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น โดยมุ่งเน้นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ควบคุมมลพิษ การ พัฒนาต้อง ควบคู่กับการอนุรักษ์ เพื่อนาไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ซึ่งเรียกว่า นิเวศพัฒนา (Ecodevelopment) หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า การพัฒนาต้องไม่ทาลายระบบนิเวศจนก่อให้เกิดความไม่ สมดุลของระบบนเิ วศ แนวทางการอนุรักษแ์ ละการพฒั นาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อมพอสรุปเป็นขอ้ ๆ ไดด้ ังนี้ 7.1 ลดอตั ราการเพมิ่ จานวนประชากรอย่างเหมาะสม ถ้าอัตราการเกิดไม่สมดุลกับอัตราการตาย ปัญหาประชากรล้นประเทศจะเกิดข้ึนและส่ิงท่ีตามมา คือ การแย่งชิงทรัพยากร การบุกรุกท่ีสาธารณะ ปัญหาสังคมและมลพิษต่าง ๆ ก็ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การ พัฒนาประเทศต้องเปน็ ไปตามแผนการเพมิ่ ของประชากรให้สอดคลอ้ งกบั ทรัพยากรธรรมชาติ 7.2 ตอ้ งใชท้ รพั ยากรอย่างถกู หลักอนรุ กั ษว์ ิทยา คนในชาติตอ้ งตระหนักถึงบทบาทการใช้ทรัพยากร ตอ้ งใชใ้ หถ้ ูกต้องตามการอนุรักษ์ ใชใ้ หค้ มุ้ ค่าที่สุด ใช้อย่างสมเหตุสมผล รู้จักการเก็บสงวนรักษา ซ่อมแซมนามาใช้ใหม่ หาสิ่งทดแทนทรัพยากรธรรมชาติที่ หมด ไป หรอื นา้ ของท่เี สียแลว้ มาใช้ประโยชนใ์ หม่ 7.3 ต้องแก้ไขปญั หาสิง่ แวดลอ้ มและทรัพยากรอยา่ งจริงจัง การจะพัฒนาประเทศจึงต้องคานึงถึงผลท่ีจะเกิดกับปัญหาทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม ต้องพึงระลึก เสมอว่าการพัฒนาต้องควบคู่กับการอนุรักษ์ เรียกว่า นิเวศพัฒนา (Ecodevelopment) ดังน้ัน โครงการหรือ การทากจิ กรรมขนาดใหญ่จะต้องมีการประเมินผลกระทบท่ีจะเกิดต่อทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมก่อนเสมอ เชน่ การสร้างสนามบนิ ทา่ เรอื พาณชิ ย์ โรงงานขนาดใหญ่ โรงแรมขนาดใหญ่ เขอื่ น เปน็ ต้น 7.4 ปรบั ปรุงระบบบรหิ ารในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมต้องจัดระเบียบแบบแผนการจัดการทรัพยากร ธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจบุ ัน และควบคุมการละเมิด การกระทาผิดต่อการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติและการก่อมลพิษให้จริงจัง เดด็ ขาดและต่อเน่อื งตลอดไป
7.5 กาหนดแผนการใชท้ รพั ยากรทีแ่ น่นอน โดยเฉพาะทรัพยากรดิน น้า อากาศ ป่าไม้ สัตว์ป่า ทรัพยากรพลังงานซึ่งจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง ต่อกัน ถ้าการใช้ผิดพลาดจะก่อผลกระทบต่อทรัพยากรอ่ืน ๆ ด้วย เช่น การใช้ที่ดินผิดประเภทของทราบลุ่ม ปากแมน่ ้าเจ้าพระยา ซึง่ เปน็ ดนิ ท่ีอดุ มสมบูรณแ์ ถบจังหวัดนนทบรุ ี สมุทรปราการ ปทมุ ธานี สมควรจะสงวนไว้ เป็นพื้นท่ีเกษตรโดยไม่ต้องลงทุนสูง แต่ปัจจุบันกาลังกลายเป็นเมือง เป็นที่อยู่อาศัย บ้านจัดสรรและโรงงาน อุตสาหกรรม เปน็ ต้น 7.6 มาตรการควบคมุ ของเสีย การใช้ทรัพยากรธรรมชาติโดยเน้นไปที่การผลิตจาเป็นต้องใช้เคร่ืองจักรหรือเทคโนโลยีช้ันสูง ซ่ึง หลีกเล่ียงไม่ได้ในการก่อมลพิษ ทั้งนี้จะต้องเป็นเทคโนโลยีสะอาด ดังนั้น ต้องมีมาตรการควบคุมและ ตรวจสอบอย่างจริงจัง รวมท้ังการบาบัดขยะและสิ่งปฏิกูลของอาคารท่ีอยู่อาศัย ภัตตาคาร ร้านค้า โดยออก กฎหมายควบคุมและเสียค่าใช้จ่ายในการบาบัดของเสีย และบทลงโทษของผู้กระทาผิดทางด้านทรัพยากร ธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมตอ้ งรนุ แรงและจริงจัง
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: