Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 傣族

傣族

Published by Naruemon Khrongmee, 2018-10-13 03:33:47

Description: ชนกลุ่มน้อยเผ่าไต : พี่น้องเผ่าไทในสิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจีน

Search

Read the Text Version

傣族



คานา รายงานฉบบั น้ีเป็นส่วนหน่ึงของวิชาภาษาจีน ชนกลุ่มนอ้ ยเผ่าไตพ่ีนอ้ งเผ่าไทในสิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจีน เพอ่ื ประกอบการศึกษา ชนกลุ่มนอ้ ยเผา่ ไต ผูจ้ ดั ทาํ หวงั เป็ นอย่างย่ิงว่า ราบงานฉบบั น้ีจะเป็ นประโยชน์ต่อผูส้ นใจทุกคน หากมีขอ้ ผดิ พลาดประการใด ขอนอ้ มรับและขออภยั มา ณ ที่น้ีดว้ ย ลงชื่อ นางสาวนฤมล ครองมี ผจู้ ดั ทาํ วนั ท่ี 11 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2561

สารบัญ หน้า 1เรื่อง 2บทคดั ยอ่ บทนาํ 2-9ถ่ินที่อยขู่ องชนเผา่ ไต 9 - 11ขอ้ มูลภาษา 11 - 13ประวตั ิศาสตร์ 13 - 14ศิลปวฒั นธรรม 14 - 15ชีวิตความเป็นอยู่ 15ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเช่ือ เทศกาลสาํ คญับทสรุป

ชนกล่มุ น้อยเผ่าไต : พนี่ ้องเผ่าไทในสิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจีนThe Minority of Dai Tribe : Tai Tribe Relatives in Xishuangbanna,The RepublicofChinaบทคดั ย่อ จากการศึกษาเก่ียวกับประวตั ิศาสตร์ของชาวไทพบว่า มีชาวเผ่าไทอาศยั อยูใ่ นหลายพ้นื ที่ ซ่ึงนอกจากในพน้ื ท่ีประเทศไทยท่มี ีความชดั เจนที่สุดแลว้ ยงั พบว่ามีกลุ่มคนที่เป็ นเครือญาติกบั ชาวไทยอาศยัอยใู่ นหลายพ้นื ทีข่ องประเทศต่างๆ นกั วชิ าการทางภาษาศาสตร์ใชช้ ่ือเรียกคนไทท่ีไม่ไดอ้ าศยั อยใู่ นประเทศไทยวา่ “ไท” ชาวไทในสิบสองปันนามีความสมั พนั ธใ์ กลช้ ิดกบั ชาวไทในพ้นื ท่ีต่างๆ นกั วิชาการมีความเห็นวา่ เป็ นจดุ กาํ เนิดของเผา่ พนั ธุต์ ระกูลไท บทความน้ีนาํ เสนอในเชิงชาติพนั ธุว์ รรณนาเกี่ยวกบั ชนเผา่ ไตในสิบสองปันนา มีเน้ือหาหลกัประกอบดว้ ย(1) ถ่ินที่อยู่(2) ขอ้ มูลทางภาษา(3) ประวตั ิศาสตร์(4) ศลิ ปวฒั นธรรม(5) ชีวติ ความเป็ นอยู่(6)ขนบธรรมเนียมประเพณี เน่ืองจากขอ้ ความเก่ียวกับชนกลุ่มนอ้ ยในประเทศจีนของไทยยงั มีอยนู่ อ้ ย บทความน้ีจึงนาํ เสนอเพอ่ื ใหเ้ ป็นขอ้ มูลสาํ หรบั นกั วชิ าการชาวไทยไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ เพม่ิ เตมิคาสาคญั : ชนกลุ่มนอ้ ย ชาวไท สิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจนีบทนา ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนมีอาณาบริเวณกวา้ งใหญ่ไพศาล มีเน้ือท่ี 9,596,960 ตารางกิโลเมตรหรือเปรียบเทยี บอยา่ งคร่าวๆ คือมีอาณาเขตเท่ากบั 22 เท่าของประเทศไทยโดยประมาณ จากการสาํ รวจจาํ นวนประชากรเม่ือปี 2006 มีจาํ นวนประชากรท้งั ส้ิน 1,313,973,713 คน ด้วยอาณาบริเวณท่ีครอบคลุมพน้ื อนั กวา้ งใหญน่ ้ีเอง ทาํ ใหป้ ระเทศจีนรวบรวมเอาประชากรที่ตา่ งชาตพิ นั ธุไ์ วม้ ากมายถึง 56 ชนเผา่ อยดู่ ว้ ยกนั รัฐบาลจีนแบ่งกลุ่มชาติพนั ธต์ ่างๆโดยใชเ้ กณฑเ์ รื่องประวตั ิศาสตร์ความเป็ นมา การสืบเช้ือสาย ประเพณีวฒั นธรรม ถ่ินท่ีอยู่ ศาสนา และโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ตามความเห็นชอบของกลุ่มชาติพนั ธุ์เองกาํ หนดกลุ่มชาติพนั ธุใ์ นประเทศออกเป็ น 56 กลุ่ม จากการสาํ รวจจาํ นวนประชากรจีนในปี 1996 พบวา่

ประเทศจีนมีชาวฮ่ัน 96.3% และ 4.7% เป็ นกลุ่มชาติพนั ธุ์อื่น รัฐบาลจีนจึงเรียกกลุ่มชาติพนั ธุ์อื่นๆที่นอกเหนือจากชาวฮนั่ วา่ “ชนกลุ่มนอ้ ย” รวมท้งั สิ้น 55 กลุ่ม1.ถนิ่ ทอ่ี ย่ขู องชนเผ่าไต ชาวไตอาศยั อยใู่ นมณฑลยนู นาน (云南 Yúnnán) ในบริเวณเขตปกครองตนเองเผ่าไต สิบสองปันนา (西双版纳 Xīshuānɡbǎnnà) เขตปกครองตนเองเผ่าไตเผา่ จ่ิงโพ (景颇族自治区 JǐnɡpōZú zìzhìqū) เมืองเต๋อหง (德宏 Dãhïnɡ) อาํ เภอปกครองตนเองเผา่ ไต เผา่ วา้ (傣族佤族自治县 DǎiZú Wǎ Zúzìzhìxiàn) เมืองเกิ๋งหม่า (耿马 Gěnɡmǎ) อาํ เภอปกครองตนเองเผ่าไตเผา่ ลาหู่ (傣族拉祜族自治县 Dǎi Zú Lāhù Zú zìzhìxiàn) เมืองเมิ่งเหลียน (孟连 Mânɡlián)และมีกระจดั กระจายอยตู่ ามเมืองอ่ืนๆ อีกกวา่ 30 เมือง ในมณฑลยนู นาน เช่น ซินผงิ (新平 Xīnpínɡ) หยวนเจียง(元江Yuánjiānɡ)จนิ ผงิ (金平 Jīnpínɡ) เป็ นตน้ ชาวไตต้งั บา้ นเรือนอยตู่ ามบริเวณเขตร้อนท่ีราบหุบเขา จากการสํารวจจาํ นวนประชากรคร้ังที่ 5 ของจีนในปี 2000 ชนกลุ่มน้อยเผ่าไตมีจาํ นวนประชากรท้งั ส้ิน1,158,989 คน2.ข้อมูลภาษา2.1 การจัดแบ่งตระกูลภาษา ภาษาที่ชาวไตพดู เรียกวา่ “ภาษาไต”(傣语Dǎiyǔ)ออกเสียงตามอกั ษรจีนวา่ “ไต่” ตามทรรศนะของนักวิชาการจีน ในหนังสือชื่อ “สงั เขปภาษาชาวตง้ - ไถ” (侗台语族概论Dînɡ Tái yǔzú Gàilùn)ของผูเ้ ขียนช่ือ เหลียงหม่ิน และ จางจวินหรู (梁敏,张均如Liánɡ Mǐn,Zhānɡ Jūnrú,1996) จดัภาษาไตอยใู่ นตระกูลภาษาจีน-ทิเบต (汉藏语系 Hàn Zànɡ yǔxì) สาขาภาษาจว้ ง-ตง้ (壮侗语族Zhuànɡ Dînɡ Yǔzú)แขนงภาษาจว้ ง-ไต (壮傣语支Zhuànɡ Dǎi yǔzhī) และในกลุ่มภาษาไตยงั แบ่งออกเป็น 4 สาํ เนียงภาษาถิ่นโดยแบง่ ตามถ่ินทีอ่ ยอู่ าศยั ไดแ้ ก่(1) ถิ่นเต๋อหง (德宏傣语Dãhïnɡ Dǎiyǔ) มีช่ือภาษาถ่ินวา่ ไต่น่า (傣那语Dǎinàyǔ) มีประชากร540,000 คน(2) ถ่ินสิบสองปันนา (西双版纳傣语Xīshuānɡbǎnnà Dǎiyǔ) มีช่ือภาษาถ่ินว่า ไต่เล่อหรือไตล้ือ(傣仂语Dǎilâyǔ) มีประชากร 280,000 คน(3) ถ่ินหงจิน (红金傣语Hïnɡjīn Dǎiyǔ) มีประชากร 140,000 คน ภาษาไตถ่ินน้ีค่อนขา้ งซบั ซอ้ นเนื่องจากภาษาถ่ินของแต่ละอาํ เภอมีความแตกต่างกันมาก บริเวณท่ีพดู ภาษาไตถ่ินน้ีคือหมู่บา้ นชาวไตท่ีต้งั อยตู่ ามบริเวณลุ่มแม่น้าํ หยวนเจียง(元江Yuánjiānɡ) และลุ่มแม่น้าํ จินซา (金沙江Jīnshājiānɡ)ภายในภาษาไตกลุ่มน้ีสามารถแบง่ ไดอ้ ีก 5 ถิ่นยอ่ ย ไดแ้ ก่ ถ่ินยอ่ ยหยวนซิน (元新Yuánxīn) ถิ่นยอ่ ยหยงอู่

(永武Yǒnɡwǔ)ถิ่นยอ่ ยหม่ากวาน (马关Mǎɡuān) ถ่ินยอ่ ยหยวนเจียง (元江Yuánjiānɡ) และถ่ินยอ่ยลวส่ี ือ (绿石Lǜshí)(4) ถ่ินจินผิง ( 金平傣语J īnpínɡDǎiyǔ ) มีชื่อภาษาถ่ินว่า ไต่ตวน(傣端语 Dǎiduānyǔ )มีประชากร 10,000 คนแผนภูมิ 1. การจดั แบ่งตระกูลภาษาของภาษาไต ต้งั แต่ปี พ.ศ. 2554 เป็ นตน้ มา ผูเ้ ขียนไดเ้ คยเขียนบทความและงานวจิ ยั เกี่ยวกบั ภาษาตระกูลไทจาํ นวนหน่ึง ซ่ึงในงานดงั กล่าวไดน้ าํ เสนอบททบทวนวรรณกรรมดงั กล่าวมาเสนอต่อไปน้ี เก่ียวกบั การศกึ ษาภาษาตระกูลไทไวแ้ ลว้ จึงจะนาํ บททบทวนวรรณกรรมดงั กล่าวมาเสนอต่อไปน้ีเก่ียวกบั การจดั แบง่ ตระกลู ภาษาของภาษาไตน้ี นกั ภาษาศาสตร์มีขอ้ คดิ เห็นแตกต่างกนั ไปหลายทฤษฎีความแตกต่างน้ีไม่เพยี งเกิดข้นึ ในเรื่องของการจดั แบ่งตระกูลภาษา กล่าวคือ บา้ งเห็นว่าภาษาไทจดั อยใู่ นตระกูลภาษาใหญจ่ ีนทเิ บต แตบ่ า้ งเห็นวา่ ควรจะจดั เป็นภาษาตระกูลไทตา่ งหากแยกออกมาจากจีนทิเบต นอกจากน้ียงั เก่ียวขอ้ งไปถึงช่ือเรียกภาษาดว้ ย ดงั จะเห็นวา่ ในงานวจิ ยั ที่เก่ียวกบั ภาษาตระกูลไท มีช่ือเรียกต่างๆกนั เช่นไทยไท ไต ได ลาว สยาม กมั ไท ในภาษาจีนก็เช่นเดียวกนั มีตวั อกั ษรที่เรียกชื่อภาษาไทหรือชาวไทอยา่ ง

น้อยสี่ตวั ข้ึนไป คือ 泰(Tài)傣(Dǎi)台(Tái)暹(Xiān) มีนักวชิ าการหลายท่านไดใ้ หข้ อ้ สรุปเก่ียวกบัเร่ืองน้ีไวแ้ ลว้ เช่น เรืองเดช (2531) ในหนังสือช่ือ “ภาษาถ่ินตระกูลไทย” จิตร (2519) ในหนังสือชื่อ “ความเป็ นมาของคาํ สยาม ไทย ลาวและขอม และลกั ษณะทางสังคมของช่ือชนชาติ” สุริยา (2548) ในหนังสือช่ือ“นานาภาษาในเอเชียอาคเนย์ : ภาษาตระกลู ไท” โดยทวั่ ไปถือวา่ ภาษาไตเป็ นตระกูลยอ่ ยภาษาหน่ึงในตระกูลภาษาใหญ่ จีน-ทิเบต ซ่ึงภาษาตระกูลจนี – ทิเบตน้ี เป็ นตระกูลภาษาท่ใี หญท่ ี่สุดในเอเชีย แบง่ ออกเป็น 4 สาขาคือ(1) สาขาภาษาจีน(2) สาขาภาษาไทย(3) สาขาแมว้ เยา้(4) สาขาทิเบตพม่า (เรืองเดช, 2531) อยา่ งไรกต็ ามนกั ภาษาศาสตร์หลายท่านเรียกช่ือตระกลู ภาษาน้ีแตกต่างกนั ไปอยา่ งเช่น Grierson (1903) เรียกรวมเป็นตระกลู เดียวกนั กบั ภาษาจีนวา่ ตระกลู ภาษาไทยจนี(Siamese-Chinese family) Benedict (1975) เรียกวา่ ออสโตร – ไทย (Astro-Tai) เพราะเห็นวา่ เป็ นสาขาหน่ึงของตระกลู ออสโตรเนเชียน ตอ่ มามีการต้งั ชื่อตระกลู ภาษาไทอีกหลายช่ือดว้ ยเหตุผลต่างๆ เช่น บา้ งเรียกว่าตระกูลภาษาไทย ตระกูลภาษาไต แยกออกมาเป็ นตระกูลภาษาใหญ่ต่างหาก บา้ งเรียกว่าตระกูลคาํ ไต(KamTai family)และ ภาษาไดอิก (Daic) โดยรวมภาษาไทยถิ่นต่างๆท่ีพูดในประเทศต่างๆ 8 ประเทศเป็ นตระกลู เดียวกนั หมด(เรืองเดช, 2531) Benedict (1942) ไดต้ ้งั ชื่อตระกลู ภาษาน้ีใหม่วา่ ตระกลู ภาษาไทยกะได(Tai Kadai) เพอ่ื ให้ครอบคลุมถึงภาษาไทยถิ่นท่ีพูดอยทู่ ่ีเกาะไหหลาํ อ่าวตวั เกี๋ย และภาษากลุ่มตระกูลภาษาไทยท่พี ดู อยทู่ ีป่ ระเทศจนี และเวยี ดนามท้งั หมด นอกจากน้ี ยงั มีการแบ่งภาษาตระกูลไทโดยยดึ หลกั ภูมิศาสตร์ นกั นิรุกติศาสตร์ของไทยในอดีตที่สาํ คญั คือพระยาอนุมานราชธน(อา้ งในเรืองเดช,2531) ไดแ้ บ่งภาษาตระกูลไทยออกเป็ น 4 กลุ่ม โดยอาศยัหลกั ทางภมู ิศาสตร์ คือ (1) ไทยกลาง คือภาษาไทยที่พดู อยใู่ นประเทศไทย (2) ไทยจีน คือภาษาไทยที่พดู อยู่เขตประเทศจีนบริเวณกวางสี ไกวเจา กวางตุง้ เช่น ภาษาไทยลาย ไทยลุง ไทยยอ้ ย ไทยโท้ ไทยนุง (3) ไทยตะวนั ตก คอื ภาษาไทยทีพ่ ดู อยใู่ นพม่า เช่น ไทยใหญ่ ไทยเขิน ไทยอาหม (4) ไทยตะวนั ออก คือภาษาไทยที่พดู อยใู่ นประเทศเวยี ดนาม และลาว เช่น ไทยแท้ ผไู้ ทย ไทยลาว การใชห้ ลกั เกณฑท์ างภาษา เช่น หลกั การกระจายคาํ และเสียง ดูจะเป็ นท่ียอมรบั ในการจดั กลุ่มภาษานกั วชิ าการท่สี าํ คญั คือ Li Fanggui (1959) ใชเ้ กณฑท์ างการกระจายคาํ ศพั ท์ ลกั ษณะทางเสียงและพฒั นาการทางเสียงแบ่งกลุ่มภาษาไทยออกเป็ นถ่ินต่างๆ 3 กลุ่มดว้ ยกนั คือ (1) กลุ่มตะวนั ตกเฉียงใต้ เช่นภาษาไทยสยาม ลาว ล้ืออาหม (2) กลุ่มกลาง เช่น ภาษาโท้ นุง Lung-Chow (3) กลุ่มเหนือ เช่น Wu-ming, Ch’ien-chiang, His-Lin, Po-aiยงั มีนกั ภาษาศาสตร์อีกหลายทา่ นท่ีศึกษาภาษาตระกูลไท และจดั ใหภ้ าษาท่พี ดู อยใู่ นประเทศจีน หรือภาษาทมี่ ีความเก่ียวขอ้ งกบั ภาษาจนี เป็นสมาชิกในภาษาตระกูลไท เช่น John F. Hurtmann (1986) จดั แบ่งภาษาไทยเฉพาะกลุ่มตะวนั ตกเฉียงใตข้ อง Li Fanggui เป็น

กลุ่มตะวนั ตกเฉียงใตต้ อนล่าง ตอนกลางและตอนบน กลุ่มตะวนั ตกเฉียงใตต้ อนล่างน้ีครอบคลุมไปถึงตอนใตส้ ุดของตะวนั ตกเฉียงใตข้ องจีน และยงั มีนกั ภาษาศาสตร์ในยคุ ตอ่ จาก Li Fanggui อีกหลายทา่ น เช่นMarwin Brown (1965), William J.Gedney (1972), James R.Chamberlain (1972) ก็ไดด้ าํ เนินรอยตาม LiFangguiโดยในการจดั แบ่งภาษาตระกลู ไทลว้ นมีความเกี่ยวขอ้ งกบั ภาษาตระกลู จีน หรือเป็ นภาษาไทที่พดู อยู่ในประเทศจีนท้งั ส้ิน3.ประวตั ศิ าสตร์ คนไทหรือคนไตมีชื่อเรียกตวั เองหลายชื่อ เช่น ไต่เล่อ หรือ ไตล้ือ(傣仂Dǎilâ)ไต๋หยา่ (傣雅Dǎiyǎ)ไตเหนือ หรือ ไต่น่า(傣那 Dǎinà)ไตเ่ ปิ ง(傣绷Dǎibēnɡ) ในสมยั ฮนั่ และจ้ิน เรียกชนกลุ่มน้ีว่าเตียนเยว่(滇越Diānyuâ) ต่าน (掸Dǎn) ซ่าน (擅Shàn)เหลียว(僚Liáo)และจิวเหลียว (鸠僚Jiūliáo)ในสมยั ถงั และซ่งเรียกชนกลุ่มน้ีวา่ จินฉื่อ (金齿Jīnchǐ) เฮยฉื่อ (黑齿Hēi chǐ) หมางหมาน(茫蛮Mánɡmán ป๋ ายอี(白衣Báiyī) ช่ือป๋ ายอีน้ีบางตาํ ราเขียนดว้ ยตวั อกั ษรต่างๆกนั ออกเสียงต่างกนัเล็กนอ้ ย เช่น ป่ ายอี๋(百夷Bǎiyí) ป๋ ายอ๋ี(白夷 Báiyí) โป๋ อ๋ี (伯夷Bïyí) จนถึงสมยั ราชวงศช์ ิงเรียกชนกลุ่มน้ีว่า ป่ ายอ๋ี (摆夷Bǎiyí) ภายหลงั การปฏิวตั ิวฒั นธรรม รัฐบาลจีนเรียกชื่อชนเผ่าไตตามความสมคั รใจของชนเผา่ วา่ ไตจ่ ู๋ (傣族DǎiZú) ซ่ึงหมายถึงชนเผา่ ไตนน่ั เอง ชนเผา่ ไตในดินแดนจีนน้ีมีประวตั ิศาสตร์ความเป็ นมายาวนานมาก พงศาวดารจีนท่ีมีบนั ทึกถึงชนเผา่ ไตเริ่มต้งั แต่ศตวรรษที่ 1 ในปี ค.ศ. 109 จกั รพรรดิฮน่ั อู่ต้ีบกุ เบกิ พน้ื ทีท่ างตะวนั ตกเฉียงใต้ และสร้างเมืองอ้ีโจว(益州Yìzhōu) ข้นึ ในบริเวณที่ชาวไตต้งั ถิ่นฐานอยู่ คอื บริเวณชายแดนทิศตะวนั ตกเฉียงใตข้ องเมืองอ้ีโจวจนถึงศตวรรษที่ 6 ไดส้ ร้างเมืองหยง่ ชาง (永昌Yǒnɡchānɡ) พ้ืนท่ีอาศยั ของชนเผา่ ไตจดั อยใู่ นเขตการปกครองของเมืองหยง่ ชางน้ีเอง ในเวลาน้นั บรรพบุรุษชาวไตไดส้ ่งคณะทูตและคณะนักดนตรีนกั แสดงเพือ่

แสดงถวายแด่จกั รพรรดิของราชวงศต์ งฮนั่ ที่เมืองหลวงลว่ั หยาง และไดร้ ับการยอมรับและการโปรดปรานของจกั รพรรดิราชวงศต์ งฮน่ั เป็ นอยา่ งมาก จนไดร้ ับพระราชทานรางวลั มากมาย ที่สาํ คญั หวั หน้าที่นาํ คณะชาวไตมาน้นั ไดร้ บั เชิญใหอ้ ยรู่ ับราชการเป็ นนายพลของราชวงศฮ์ นั่ อีกดว้ ย ชนเผา่ ไตและราชสาํ นักฮน่ั จึงมีสัมพนั ธ์อนั ดีต่อกันนับแต่น้ันเรื่อยมา ขอ้ สังเกต เก่ียวกบั ช่ือเรียกชาวไตบางชื่อ แปลความหมายตามตวั หนงั สือไดด้ งั น้ี จินฉื่อ (金齿Jīnchǐ แปลว่าฟันทอง) เฮยฉื่อ (黑齿 Hēichǐ แปลว่าฟันดาํ ) ป๋ ายอี(白衣Báiyī แปลวา่ เส้ือขาว) กระทง่ั คริสตศ์ ตวรรษท่ี 8 ถึง คริสตศ์ ตวรรษท่ี 13 ชนเผา่ ไต รวมท้งั ชนชาตใิ กลเ้ คยี งไดแ้ ก่ เผา่ อ๋ี(彝族Yí Zú) เผา่ ป๋ าย (白族Bái Zú) ก่อต้งั เป็ นเขตการปกครองข้ึนที่ยนู นานน่านเจา้ (云南南诏Yúnnán Nánzhào) ในสมยั หยวนพน้ื ทช่ี นเผ่าไตอยใู่ นเขตการปกครองของมณฑลยนู นาน ในสมยั น้ันมีกฎการถือครองที่ดิน และมีการจดั ต้งั ชุมชนใหม่ข้ึนหลายแห่ง ที่สาํ คญั ไดแ้ ก่ เมืองเต๋อหง (德宏Dãhïnɡ)สิบสองปันนา (西双版纳Xīshuānɡbǎnnà) ซ่ึงเป็ นพน้ื ท่ีอาศยั ส่วนใหญ่ของชนชาวไต ถึงสมยั หมิงมีการจดั การให้ชาวไตถือครองกรรมสิทธ์ท่ีดินทาํ กิน อนั เป็ นจุดสาํ คญั ในการรวมชนเผ่าไตเขา้ มาอยใู่ นการปกครองของจีน ในสมยั ราชวงศช์ ิงการปกครองชนเผ่าไตไม่มีการเปล่ียนแปลงมากนัก คงยดึ ถือตามแบบการปกครองของราชวงศห์ มิง แตม่ ีการยดึ ทดี่ ินทมี่ ีการพฒั นาแลว้ ของชาวไตกลบั คืนเป็ นของรัฐ โดยการส่งขนุ นางเขา้ ไปในพน้ื ที่จดั การรวบรวมทด่ี ิน ในสมยั กว๋อหมินตงั่ ก่อต้งั เขตการปกครองในบริเวณชายแดนของชนเผา่ ไต ขดู รีดประชาชน สรา้ งความทุกขย์ ากใหก้ บั ชาวไตเป็นอยา่ งมาก ก่อนการก่อต้งั สาธารณรฐั ประชาชนจีน ชาวไตในแต่ละทอ้ งทีม่ ีสภาพเศรษฐกิจและสงั คมแตกต่างกนั ไม่วา่ จะเป็ นการถือครองกรรมสิทธท์ ด่ี ิน ระดบั ช้นั ทางสงั คม การปกครองแบบรีดนาทาเรน้ ประชาชนแสดงใหเ้ ห็นถึงววิ ฒั นาการของระบบสงั คมชาวไตวา่ เริ่มตน้ จากระบบศกั ดินาทมี่ ีหวั หนา้ เผา่ ปกครองถือกรรมสิทธส์ ูงสุด เปล่ียนมาเป็ นประชาชนมีสิทธถ์ ือครองกรรมสิทธ์ในท่ีดินในบริเวณจิง่ ตง (景东Jǐnɡdōnɡ) ซินผงิ (新平Xīnpínɡ) หยวนเจียง (元江Yuánjiānɡ) ประชาชนชาวไตและชาวฮน่ั อาศยัอยคู่ ละเคลา้ รวมกนั ชาวไตรับอิทธิพลจากชาวฮนั่ มากมายท้งั ดา้ นการอาชีพ การเกษตร วฒั นธรรม เป็นตน้โดยเฉพาะวทิ ยาการดา้ นอุตสาหกรรมการผลิต ระบบเศรษฐกิจและสงั คมของชาวไตและชาวฮน่ั ในบริเวณน้ีเริ่มเขา้ สู่ระบบสงั คมแบบการถือครองกรรมสิทธ์ในที่ดิน ระบบศกั ดินาและความไม่เสมอภาคในสังคมเกิดข้นึ อยา่ งรุนแรง ชาวไตถูกกดขจ่ี ากเจา้ ของทด่ี ินท้งั ในและนอกพน้ื ท่ี ประกอบกบั การปกครองของยคุ ก๊กมินตงั๋ (国民党Guïmíndǎng) ส่งผลใหช้ าวไตในบริเวณดงั กล่าวทุกขย์ ากและลาํ บากมาก แต่การพฒั นาเศรษฐกิจของชาวไตท่เี มืองเต๋อหงและสิบสองปันนากลบั ชา้ กวา่ ที่อ่ืน โดยเฉพาะในเขตสิบสองปันนา ยงั คงดาํ รงระบบการถือครองทีด่ ินแบบมีหวั หนา้ ชุมชนอยอู่ ยา่ งค่อนขา้ งสมบรู ณ์ หลงั การก่อต้งั สาธารณรัฐประชาชนจีนชาวไตก่อต้งั เขตปกครองตนเองตามเมืองตา่ งๆดงั น้ี1. ปี 1953 ก่อต้งั บริเวณปกครองตนเองชนเผา่ ไตท่ีสิบสองปันนา และในปี 1955 ยกระดบัเป็ นเขตปกครองตนเองชนเผ่าไตที่สิบสองปันนา (西双版纳傣族自治州 Xīshuānɡbǎnnà DǎiZúzìzhìzhōu)

2. ปี 1953 ชุมชนชาวไตทเ่ี มืองเต๋อหงก่อต้งั เป็นบริเวณปกครองตนเอง และยกฐานะเป็นเขตปกครองตนเองเมืองเต๋อหง(德宏傣族景颇族自治州Dãhïnɡ DǎiZú Jǐnɡpō Zú zìzhìzhōu) ในปี 19563. นับต้งั แต่ปี 1954 ถึง 1980 ทยอยก่อต้งั เขตปกครองตนเองเผ่าไต เผ่าลาหู่ เผ่าวา้ อาํ เภอเมิ่งเหลียน(孟连傣族拉祜族佤族自治县Mânɡlián Dǎi Zú Lāhù Zú Wǎ Zú zìzhìxiàn) อาํ เภอปกครองตนเองเผา่ ไต เผา่ วา้ ที่อาํ เภอเก๋ิงหม่า (耿马傣族佤族自治县 Gěnɡmǎ Dǎi Zú Wǎ Zúzìzhìxiàn) อาํ เภอปกครองตนเองเผา่ อ๋ีเผา่ ไตอาํ เภอซินผงิ(新平彝族傣族自治县Xīnpínɡ Yí Zú Dǎi Zú zìzhìxiàn) และอาํ เภอปกครองตนเองเผา่ ฮานีเผา่ ไตอาํ เภอหยวนเจียง (元江哈尼族彝族傣族自治县Yuánjiānɡ Hāní Zú YíZú Dǎi Zúzìzhìxiàn) นบั แตน่ ้นั มา กไ็ ดม้ ีการดาํ เนินการเกี่ยวกบั การเปลี่ยนแปลงระบบการถือครองกรรมสิทธ์ที่ดินแบบศกั ดินามาเป็ นแบบสังคมนิยม ทาํ ใหร้ ะบบสังคมเศรษฐกิจและวฒั นธรรมเกิดการเปลี่ยนแปลงคร้ังยงิ่ ใหญ่และมีความกา้ วหนา้ อยา่ งรวดเร็ว ระยะเวลา 40 ปี นบั ต้งั แต่การก่อต้งั สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็ นตน้ มาเกิดการพฒั นาในเรื่องการชลประทาน อนั เป็นพ้นื ฐานหลกั ในการพฒั นาการเกษตรของชุมชน รัฐบาลสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตเก่ียวกบั เครื่องจกั รกล และอาหาร โดยเฉพาะ“ชาผเู อ่อร์”(普洱茶Pǔ’ěr chá)เป็นชาทปี่ ลูกโดยชาวไตทมี่ ีช่ือเสียงระบือไกลไปทวั่ โลก มีการทดลองปลูกตน้ ยางพาราในเขตสิบสองปันนาได้สําเร็จสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจและรายได้ให้กับชาวไตอย่างมหาศาล มีการทาํ เหมืองแร่อุตสาหกรรมเครื่องจกั รกล ไฟฟ้ า เคมี เครื่องป้ันดินเผา หนงั กระดาษ เกลือ ชา อาหารสาํ เร็จรูป น้าํ ตาล ยางโรงงานอุตสาหกรรมท่ีนู่เจียง สิบสองปันนาและเต๋อหงก็ถือเป็ นโรงงานอุตสาหกรรมระดบั แนวหน้าของมณฑลยูนนาน จาํ นวนการผลิตก็เติบโตข้ึนมาโดยตลอด และเพ่ือรองรับการเจริญเติบโตของภาคอุตสาหกรรม รัฐบาลไดส้ นบั สนุนใหม้ ีการสร้างสถานีกาํ เนิดไฟฟ้าข้นึ ท่สี ิบสองปันนาอีกดว้ ย เม่ือความเจริญเขา้ มา การเติบโตทางภาคอุตสาหกรรมรุดหน้าสิ่งจาํ เป็ นอีกอย่างหน่ึงคือการจราจร รัฐบาลทุ่มงบประมาณมหาศาลเพอ่ื ระบบคมนาคมท่ีสมบูรณ์สู่ดินแดนชาวไต ไม่ว่าจะเป็ นถนนหลวง สนามบินการศึกษาก็ไดร้ บั การพฒั นาตามไปดว้ ย มีการก่อสร้างโรงเรียนต้งั แต่ระดบั ประถมถึงข้นั อุดมศึกษา โดยใช้ภาษาไตเป็ นหลกั มีสถานีวิทยภุ าษาไต หนังสือเอกสารตาํ ราท้งั หลายไดร้ ับการแปลเป็ นภาษาไตใชอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง ก่อนการก่อต้งั สาธารณรัฐประชาชนจีน ในถ่ินท่ีอยอู่ าศยั ของชาวไตที่อาศยั อยใู่ นพ้นื ที่ห่างไกลมีโรคระบาดมากมายโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ โรคมาลาเรียและอหิวาตกโรค ในขณะน้นั ชาวไตขาดวทิ ยาการทางการแพทยแ์ ละยารักษาโรคท่ีทนั สมยั ทาํ ให้ชาวไตประสบปัญหาด้านสุขภาพมาก แต่ปัจจุบนั รัฐบาลสนบั สนุนใหช้ าวไตพฒั นาวทิ ยาการทางการแพทย์ และการใชย้ าท่ีทนั สมยั มีการก่อสร้างสถานีอนามยั ตามหมู่บา้ น จนสามารถปราบปรามและป้องกนั โรคดงั กล่าวได้ คุณภาพชีวติ ของชาวไตเปลี่ยนไปในทางที่ดีข้ึนปัจจบุ นั ชาวไตจึงเป็นชนกลุ่มนอ้ ยที่นบั วา่ มีความเป็นอยทู่ ดี่ ี มีฐานะร่าํ รวยมากๆชนเผา่ หน่ึง

4. ศิลปวฒั นธรรม ในดา้ นศลิ ปวฒั นธรรม ที่โดดเด่นไดแ้ ก่ การนบั ปฏทิ นิ แบบชาวไต ซ่ึงเร่ิมมีมาต้งั แตป่ ี ค.ศ. 638 มีตาํ ราปฏทิ นิ จนั ทรคติ มีบนั ทึกพงศาวดารภาษาไตท่ีจารึกเร่ืองราวทางประวตั ศิ าสตร์ของชนเผา่ เพลง กลอนนิทาน และตาํ นานมากมาย ชาวไตมีวรรณกรรมขนาดยาวที่จดบนั ทกึ ไวม้ ากกวา่ หา้ ร้อยเร่ือง ถือเป็ นชนเผา่ ที่มีอารยธรรมและววิ ฒั นาการทางภาษาที่โดดเด่นมากทสี่ ุดในบรรดาชนกลุ่มนอ้ ยท้งั หมดของจีน วรรณกรรมท่ีโดดเด่นเป็ นเร่ืองราวของการกาํ เนิดพิภพ เช่น เรื่อ《布桑盖与瓦桑盖》(Bùsānɡɡài yǔWǎsānɡɡài)“ปู้ซังก้ายกบั หว่าซังกา้ ย” เร่ือง《坤撒》(Kūnsā)“คุณซา” ยงั มีเร่ืองราวที่เกี่ยวกบับนั ทึกการทาํ มาหากิน เช่น เรื่อง《叭阿拉吾射金鹿(Bāālāwú shâ jīnlù)“ปาอาลาอู๋ยิงก ว า ง ท อ ง ” น ว นิ ย า ย อิ ง ป ร ะ วัติ ศ า ส ต ร์ เ รื่ อ ง 《召网香召网朔》(ZhàowǎnɡxiānɡZhàowǎnɡshuî)“จา้ ววงั เซียงจา้ ววงั ซ่ัว”เร่ือง《勐卯与景欠战争史》(Měnɡmǎo yǔ Jǐnɡqiànzhàn zhēnɡshǐ)“ประวตั ศิ าสตร์สงครามของเหมิงหม่าวกบั จ่ิงเชี่ยน” นวนิยายความรักเช่น《朗鲸布(Lǎnɡjīnɡbù)“หล่างจิงปู้” และเร่ือง《线秀》(Xiànxiù)“เซี่ยนซิ่ว” เร่ืองราวเก่ียวกบั ชีวิตชาวไตในสมยั การเปล่ียนแปลงการปกครองเช่น เรื่อง《彩虹》(Cǎihïnɡ)“สายรุ้ง” และ《流沙河之歌(Liúshāhã zhī ɡē)“บทเพลงแห่งสายน้าํ ทราย”เป็ นตน้ ภาพท1ี่ คดั ลอกมาจาก http://zzguqu.peixun5.com/uploadfile/2010/0101/20093269344846.jpg

ภาพที่ 1 ศิลปะการร่ายราํ ของชาวไตที่มีชื่อเสียงเล่ืองลืออย่าง“ระบาํ นกยงู ” (孔雀舞Kǒnɡquâwǔ) ท่ีเลียนแบบทา่ ทางการเคลื่อนไหว ราํ แพของนกยงู ก็สะทอ้ นวฒั นธรรมของชาวไตไดอ้ ยา่ งชดั เจนและงดงามเช่นกนั เน่ืองจากในบริเวณสิบสองปันนา มีนกยงู เป็ นจาํ นวนมาก ท้งั ที่เป็ นนกยงู ป่ าและนกยงู เล้ียงชาวไตนบั ถือนกยงู วา่ เป็ นนางพญาแห่งนกและนบั ถือว่าเป็ นสัตวศ์ กั ด์ิสิทธ์ประจาํ ชนเผ่าจนกลายมาเป็ นสญั ลกั ษณ์ของชาวไตสิบสองปันนาอยา่ งหน่ึง จนไดร้ ับขนานนามวา่ “ดินแดนแห่งนกยงู ” หูหลูเซียว (葫芦箫húluxiāo) หรือ หูหลูซือ (葫芦丝húlusī) คอื ขลุ่ยน้าํ เตา้ เป็ นเครื่องดนตรีประเภทเป่ าชนิดหน่ึงทเี่ ป็นเอกลกั ษณ์อนั โดดเด่นของชาวไต ดว้ ยเสียงทีห่ วานใส และกงั วาน ราวกบั จะบอกให้รู้วา่ เป็ นเสียงจากกลุ่มชนท่ีมีจิตใจซื่อตรง งดงามและบริสุทธ์ของผูค้ นเผ่าไต หากมีโอกาสเดินทางไปที่มณฑลยนู นานอนั เป็ นถิ่นท่ีอยขู่ องชาวไต ก็จะไดย้ นิ เสียงขลุ่ยน้าํ เตา้ อบอวนไปทว่ั ทุกมุมเมือง นอกจากจะเป็นเคร่ืองดนตรีประจาํ เผา่ กลุ่มนอ้ ยชาวไตในสิบสองปันนาแลว้ ดว้ ยความไพเราะของขลุ่ยน้าํ เตา้ และความใกลช้ ิดกนั ของกลุ่มชนเผา่ ตา่ งๆ ทาํ ใหม้ ีการถ่ายเททางวฒั นธรรมกนั มาตลอด ขลุ่ยน้าํ เตา้ จึงไดร้ ับความนิยมชมชอบของชนเผา่ กลุ่มนอ้ ยแถบภาคตะวนั ตกเฉียงใตข้ องจนี อีกหลายกลุ่ม เช่น ชาวเผา่ อาชางชาวเผา่ วา้ และชาวเผา่ จงิ่ โพดว้ ยภาพท่ี 2 เคร่ืองแต่งกายชาวไต ภาพที่ 3 ขลุ่ยน้าํ เตา้คดั ลอกมาจาก www.nipic.com คดั ลอกมาจาก http://www.dehong.gov.cnมีเร่ืองเล่าของชาวไต เกี่ยวกบั ตาํ นานของขลุ่ยน้าํ เตา้ วา่ “นานมาแลว้ เกิดเหตนุ ้าํ ป่ าทะลกั ไหลบา่ เดก็ หนุ่มชาวไตคนหน่ึงเกาะน้าํ เตา้ ลอยคอฝ่ า คล่ืนยกั ษไ์ ปช่วยคนรกั ของตน ความรักอนั บริสุทธย์ งั ความประทบั ใจกบั เทพคีตา จงึ บนั ดาลใหพ้ ายนุ ้าํ ป่ าสงบลง หมู่ผกาเบ่งบาน นกยงู ราํ แพน อวยพรอนั ประเสริฐ แด่คูร่ ักท้งั สอง นบั แต่น้นั มา น้าํ เตา้ จึงสืบทอดในเช้ือสายชาวไตเร่ือยมา”นอกจากน้ีงานฝี มือดา้ นการแกะสลกั การวาดภาพท่มี ีเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั กส็ ะทอ้ นวถิ ีชีวติ ชาวไตได้อยา่ งงดงาม ดา้ นสถาปัตยกรรมแพไมไ้ ผท่ ลี่ ่องลอยไปตามสายน้าํ ก็เป็นสถาปัตยกรรมท่ีลอยไปอวดโฉมให้ชนเผา่ อื่นชื่นชมความงดงามและภมู ิปัญญาของชนเผา่ ไตต้งั แตอ่ ดีตจนปัจจบุ นั

5.ชีวติ ความเป็ นอยู่ การแตง่ กายของชาวไตคือ ชายสวมเส้ือผา่ อกไม่มีปกแขนยาวหรือส้นั สวมกางเกงขากวา้ ง ฤดูหนาวคลุมทบั ดว้ ยผา้ สักหลาด พนั ศีรษะดว้ ยผา้ ขาวหรือเขียว นอกจากน้ีชายชาวไตนิยมสักลวดลายตามร่างกายเดก็ ชายเม่ืออายสุ ิบเอด็ สิบสองปี จะเชิญผมู้ ีอาคมมาสกั ยนั ตร์ตามร่างกาย ลวดลายที่นิยมสกั ไดแ้ ก่ ลายจาํ พวกสตั ว์ ดอกไม้ หรืออกั ขระภาษาไต เพศหญงิ สวมเส้ือแขนกระบอก หรือเส้ือแขนส้นั นุ่งผา้ ถุง ชาวไตทสี่ ิบสองปันนาสวมเส้ือรัดรูปสีขาวหรือสีลายดอก นุ่งผา้ ถุงสีฉูดฉาด หญิงชาวไตท่ีเมืองหมาง (芒市Mánɡshì)ก่อนแต่งงานจะสวมเส้ือผา่ อกรัดรูปแขนส้นั สีอ่อน กางเกงทรงยาวขากวา้ ง พบั ทบชายพกทเ่ี อว เมื่อแต่งงานแลว้ เปล่ียนมาสวมเส้ือแขนกระบอกนุ่งผา้ ถุงสีดาํ ดว้ ยการแต่งกายทม่ี ีสีสนั ฉูดฉาดเป็ นเอกลกั ษณ์นี่เองชนกลุ่มอ่ืนมกั เรียกชาวไตวา่ ชาวไตเอวดอกไม้ ไตแขนกระบอก เป็นตน้ ดา้ นอาหารการกินของชาวไต ชาวไตท่ีเต๋อหงกินขา้ วเจา้ เป็ นอาหารหลกั ส่วนชาวไตท่ีสิบสองปันนาชอบกินขา้ วเหนียว ชอบด่ืมเหลา้ และกินอาหารรสเผด็ ชอบกินเน้ือ ปลา กงุ้ และชอบเค้ยี วหมาก ภาพที่ 4 คดั ลอกมาจาก http://top.innyo.com/image_upload/sl_2008_9_1_15_30_20.jpg บา้ นเรือนของชาวไตสร้างดว้ ยไมส้ องช้นั ชอบต้งั บา้ นเรือนอยบู่ นพ้นื ท่รี าบลุ่มริมแม่น้าํ ส่วนชาวไตที่ เมืองเต๋อหงนิยมสร้างบา้ นดว้ ยอิฐและดินช้นั เดียว และนิยมสรา้ งบา้ นส่ีหลงั ในร้วั เดียวกนั6.ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ เทศกาลสาคญั ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวไตสะทอ้ นถึงสังคมแบบศกั ดินาอยา่ งชดั เจน การแต่งงานจะแต่งกบั คนท่ีมีระดบั ช้นั ทางสังคมเท่าเทียมกนั การถือครองกรรมสิทธท์ ่ีดินเป็ นตวั กาํ หนดระดบั ช้นั สูงต่าํ ทางสงั คม ชายชาวไตที่เป็ นชนช้นั สูงสามารถมีภรรยาหลายคนได้ ส่วนชาวบา้ นที่มีระดบั ช้นั ทางสงั คมต่าํ จะมี

สามีภรรยาคนเดียว โดยท่ีบิดามีสิทธ์เด็ดขาดในการเลือกคู่ครองของลูก สมาชิกในครอบครัวประกอบดว้ ยพอ่ แม่และลูกชายลูกสาวท่ียงั ไม่แต่งงาน หนุ่มสาวชาวไตมีอิสระในการเลือกคู่ครอง โดยท่ีหนุ่มสาวจะมีโอกาสพบปะกนั ในเทศกาลสาํ คญั ๆ หรือตามงานประเพณีต่างๆ การพบปะกนั เรียกวา่ “ชวนผสู้ าว” เมื่อตกลงแตง่ งานกนั แลว้ ชาวไตมีธรรมเนียมการแตง่ ลูกเขยเขา้ บา้ น ประเพณีงานศพของชาวไตใชว้ ธิ ีการฝังศพ สุสานฝังศพของผมู้ ีสถานภาพทางสังคมสูงจะแยกออกจากผมู้ ีสถานภาพทางสงั คมต่าํ อยา่ งเคร่งครดั ส่วนศพพระ นกั บวชจะทาํ พธิ ีศพดว้ ยการเผา แลว้ เก็บอฐั ิบรรจุในเจดียก์ ระเบ้ืองเก็บไวท้ ี่วดั การนบั ถือศาสนาและความเช่ือของชาวไตมีความสมั พนั ธ์สอดคลอ้ งกบั การพฒั นาของระบบเศรษฐกิจและสังคม ในอดีตชาวไตบริเวณชายแดนนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ในขณะเดียวกนั ยงั นบั ถือผแี ละวิญญาณอนั เป็ นการนับถือท่ีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ตามชนบทชาวไตสร้างวดั พทุ ธมากมาย โดยเฉพาะท่ีสิบสองปันนา เด็กชายอายคุ รบเกณฑต์ อ้ งบวชเณร ชายอายคุ รบพรรษาบวชตอ้ งบวชพระ เพื่อเรียนรู้พระธรรม ดงั น้ัน เทศกาล งานประเพณีต่างๆของชาวไตลว้ นมีความเก่ียวขอ้ งกบัศาสนาพทุ ธเป็ นส่วนใหญ่ เทศกาลที่สาํ คญั ไดแ้ ก่เทศกาลกวาน เหมินเจ๋ยี (关门节Guānmãnjiã) “เทศกาลปิ ดประตู” เทศกาลคาย เหมินเจีย๋ (开门节Kāimãnjiã) “เทศกาลเปิ ดประตู” เทศกาลโพสุ่ยเจ๋ีย (泼水节Pōshuǐ jiã) “เทศกาลสงกรานต์” เป็ นตน้ เทศกาลกวานเหมินเจ๋ีย คือ เทศกาลเขา้ พรรษา จดั ข้ึนในกลางเดือนมิถุนายน ส่วนเทศกาลคายเหมินเจ๋ีย คือ เทศกาลออกพรรษา จดั ข้ึนในกลางเดือนกนั ยายนนบั ต้งั แตเ่ ทศกาลเขา้ พรรษาถึงเทศกาลออกพรรษาเป็ นระยะเวลาสามเดือน ชาวไตจะเขา้ พรรษา ถือศีล เขา้วดั ไหวพ้ ระ ฟังธรรม จนออกพรรษาจึงจะกลบั มาใชช้ ีวติ ตามปกติ เทศกาลสงกรานตเ์ ป็ นเทศกาลข้ึนปี ใหม่ของชาวไต ในเทศกาลน้ีชาวไตจะสรงน้าํ พระ เล่นสาดน้าํ สงกรานต์ แขง่ เรืออยา่ งสนุกสนานถือเป็ นเทศกาลท่ีมีความสาํ คญั มากของชาวไตบทสรุป บทความเรื่องน้ีเป็นบทความเชิงชาตพิ นั ธุว์ รรณนา มุ่งเสนอขอ้ มูลในภาพรวมเก่ียวกบั ชนกลุ่มนอ้ ยเผา่ ไตในประเทศจีน จากการพิจารณาขอ้ มูลที่ไดเ้ รียบเรียงมาน้ีผเู้ ขียนเห็นว่า แมช้ นเผา่ ไตจะอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของรฐั บาลจนี ถูกวฒั นธรรมใหญ่ของชาวฮนั่ ครอบคลุมอยู่ ท้งั ยงั แวดลอ้ มไปดว้ ยชนกลุ่มน้อยเผา่อ่ืนๆอีกหลายเผา่ แต่ดว้ ยความท่ีชนเผา่ ไตมีประวตั ิศาสตร์ความเป็ นมาอนั ยาวนาน ไดส้ ง่ั สมอารยธรรมจนเกิดเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี วฒั นธรรมของตน โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในเร่ืองของภาษา ซ่ึงชาวไตยงั คงใช้ส่ือสารกนั ในชีวติ ประจาํ วนั นบั เป็ นเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั ทมี่ น่ั คงและยงั คงยดึ ถือตอ่ กนั มาจนปัจจุบนั จากการเปรียบเทยี บกบั ผลงานทผี่ า่ นมาในบททบทวนวรรณกรรมจะเห็นว่า ขอ้ มูลภาษาท่ีไดน้ าํ เสนอในบทความน้ีเป็นขอ้ มูลใหม่ท่ียงั ไม่มีปรากฏในผลงานภาษาไทยของผเู้ ขียนอ่ืนใด นบั เป็ นเป็ นหลกั ฐานขอ้ มูลท่ีสามารถศึกษาในทางภาษาศาสตร์ตระกูลไท ท้งั ที่อยใู่ นประเทศไทยและท่ีอพยพไปต้งั ถิ่นฐานในพ้นื ที่ของประเทศตา่ งๆไดเ้ ป็ นอยา่ งดี นอกจากน้ีในส่วนของคาํ ภาษาจีน ผเู้ ขียนไดพ้ ยายามกาํ กบั อกั ษรจีนและเสียงอ่านไวท้ ุกแห่ง เพอ่ื ใหผ้ อู้ ่านสามารถนาํ ไปใชส้ ืบคน้ ตอ่ ไปไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง

บรรณานุกรมขลุ่ยน้าํ เตา้ . [ ระบบออนไลน์ ] แหล่งทม่ี า http://www.dehong.gov.cn ( 11 ตุลาตม 2561)ชนกลุ่มนอ้ ยเผา่ ไต.[ ระบบออนไลน์ ] แหล่งขอ้ มูลhttp://www.culturalapproach.siam.edu/images/magazine/w15ch27/k7.pdf ( 11 ตุลาตม 2561)เครื่องแต่งกายชาวไต. [ ระบบออนไลน์ ] แหล่งทม่ี า www.nipic.com ( 11 ตุลาตม 2561)บา้ นของชาวไต.[ ระบบออนไลน์ ] แหล่งทมี่ าhttp://top.innyo.com/image_upload/sl_2008_9_1_15_30_20.jpg ( 11 ตุลาตม 2561)ระบาํ นกยงุ .[ ระบบออนไลน์ ] แหล่งทม่ี าhttp://zzguqu.peixun5.com/uploadfile/2010/0101/20093269344846.jpg ( 11 ตุลาตม 2561)




Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook