Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์

คู่มือการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์

Published by noppawan_fa, 2021-09-14 06:36:02

Description: คู่มือการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์

Search

Read the Text Version

คมู่ ือการท่องเทย่ี วทางประวตั ิศาสตร์ ‘อัจกลับ’ จิตรกรรมฝาหนัง วดั หลวงในเกาะรัตนโกสินทร์

ความหมายของ‘อจั กลบั ’ ‘อัจกลับ’ อ่านว่า อัด-จะ-กลับ (Brass lantern) เป็น เครื่องตามประทีปโบราณเป็นคาใช้เรียกตะเกียงแขวนห้อย ทาด้วยแก้วเป็นรูปถ้วยบรรจุน้ามันเป็นรูปทรงโคมทาด้วย ทองเหลอื ง บางทมี ีระย้าหอ้ ย และมที ่นุ ลอยเสียบหลอดสอด ใสต้ ดิ แป้นกลม ๆ ตรึงกบั เพดานที่กรุเป็นผ้า เช่น ที่แขวนใน พระมหาปราสาท พระราชมณเฑียร โบสถ์ และวิหาร ส่วน บ้านเรือนของสามัญชน มักไม่กรุผ้าปิดเพดานเรือน เพราะ เพดาเรือนยังต่าไม่เหมาะแก่การจะแขวง ปัจจุบัน‘อัจกลับ’ จงึ เป็นเคร่ืองตามประทปี ท่ีคนทั่วไปไม่รจู้ ักหรือพบเห็นบ่อย มากนกั (ศูนยเ์ ทคโนโลยีทางการศึกษา กรมวชิ าการ,2516)

‘อัจกลับ’ในสมัยโบราณ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปแล้ว นิยมนาดอกไม้ และ ของหอมใช้สาหรับบูชาพระรัตนตรัย อันเป็นการแสดง ถึงความเคารพบูชา เช่น พานพุ่ม พวงมาลัย เครื่อง แขวน โคมแขวน รวมไปจนถึงการประดับประดาด้วย วัสดุอื่น ๆ แล้วประดับด้วยงานดอกไม้แบบไทย ดังนั้น จะเหน็ ไดจ้ ากภาพวาดบนบานประตู หนา้ ต่าง เสา หรือ วัดโสมนัสวิหาร ฝาผนังของพระวิหาร ซึ่งจิตรกรได้ รังสรรค์วาดภาพอัจกลับประดับด้วยงานดอกไม้แบบ ไทย

ประวตั ขิ อง ‘อัจกลบั ’ ในตอนปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว มีการบันทึกเก่ียวกับเคร่ืองตามประทีปส่งมาจาก ต่างประเทศ นามาวางขายตามรา้ นคา้ ในพระนคร เรียกกนั ตาม ปากชาวบา้ นว่า “ตะเกียงหลอด” ดวงตะเกียงทาดว้ ยแกว้ มีสี ต่าง ๆ หัวตะเกียงทาด้วยทองเหลือง ไส้ทอด้วยด้ายดิบ ใชน้ า้ มนั ก๊าดเป็นเชือ้ เพลิง ดา้ นหลงั มีขาคีบตัวตะเกียงสาหรบั แขวนกับข้างฝา โดนมีฝาบังเพลิงกันร้อนติดอยู่ท่ีด้านหลัง หลอดแกว้ (วตุ พิ งศ์,2538)

ประเภทของ’อจั กลบั ’ อจั กลบั เปน็ โคมทแี่ ขวนในพระอโุ บสถ และพระวหิ าร ปจั จุบันเปลย่ี นตวั ตะเกยี งจากถ้วยแก้วเป็นไฟฟ้า มักจะ ทารปู ทรงเปน็ 2 แบบ ได้แก่ แบบแรกโคมหมอ้ เปน็ ทรงคลา้ ยหม้อดินเรยี กวา่ โคมหม้อ และแบบที่สองเรียกว่าโคม หวด หรือโคมมะหวด หรอื บางทเ่ี รียกไฟหน้านางมรี ปู ทรงคล้ายหวดหรอื ระฆงั (Daybeds,2560) โคมหมอ้ โคมหวด

ประเภทของ’อจั กลับ’ (ต่อ) นอกจากน้ี ‘อจั กลบั ’ ท่ีมจี านวนของดวงไฟเพมิ่ ขน้ึ และมสี ายโซ่โยงต่อจากแป้นรวบขนึ้ เปน็ กระโจมขนึ้ ไปคลอ้ งกบั ห่วงซ่ึง ตดิ กับผา้ เพดาน ได้แก่ อจั กลับชนดิ 7 ดวง อัจกลับชนดิ 8 ดวง และอัจกลบั ชนดิ 9 ดวง อัจกลับชนิด 7 ดวง มีระย้าโลหะห้อยแทรก อัจกลับชนิด 8 ดวง ทาด้วยโลหะรูปกลมๆ ติดสาย อัจกลับชนิด 9 ดวง ทารูปร่างคล้ายกันกับ อยใู่ นระหวา่ งตวั ตะเกยี งซ่งึ ใช้ถ้วยแก้วใส่น้ามัน โซ่ขนาดเล็กโยงลงมาชักห่วงสาหรับใส่ถ้วยบรรจุ ชนิดแรกจะมที ี่แตกต่างกันอยู่ก็ที่ดวงไฟจานวน น้ามัน 8 ดวง ด้วยกันระหว่างดวงไฟมีระย้าแขวน เพิ่มขึ้นและมีสายโซ่โยงต่อจากแป้นรวบขึ้น แทรกตกแต่งให้งามเปน็ ระยะ ๆ เปน็ กระโจมข้นึ ไป

แผนที่การท่องเท่ยี วทางประวัตศิ าสตร์ ‘อัจกลับ’ ที่พบในจิตรกรรมฝาผนัง วัดหลวงในเกาะรัตนโกสนิ ทร์

แผนท่กี ารทอ่ งเท่ยี วทางประวัติศาสตร์ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ‘อัจกลบั ’ ในจิตรกรรมฝาผนังของวัดหลวง ในเกาะรัตนโกสนิ ทร์ ได้แก่ วดั บวรนิเวศราชวรวิหาร วัดเทพธิดารามวรวิหาร และวัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวหิ าร วดั บวรนเิ วศราชวรวิหาร วัดเทพธิดารามวรวหิ าร วัดสุทศั นเทพวรารามวรมหาวิหาร



ประวตั วิ ดั บวรนเิ วศราชวรวหิ าร วัดนี้เดินเป็นวัดโบราณชื่อวัดใหม่ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพใน รชั กาลท่ี 3 ทรงสรา้ งข้ึนในระหวา่ งปี พ.ศ. 2367-2375 อยู่ใกลว้ ัดรงั สีสุทธาวาสซง่ึ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจา้ ฟา้ กรมขุนอศิ รานุรกั ษท์ รงสรา้ งต่อมาในรัชกาลท่ี 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบรวม เป็นวดั เดียววัดบวรนิเวศวิหารในปี พ.ศ.2458 ในรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระ นัง่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงพระกรณุ โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ลือ่ นสมณศกั ดส์ิ มเด็จพระอนชุ าธิ ราช เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์ ซึ่งทรงผนวชจาพรรษาอยู่ ณ วัดราชาธิวาสขึ้น เสอนเจ้าคณะรอง และเชิญเสด็จมาคอรงวัดใหม่ ซึ่งได้พราชทานนามว่าวัดบวร นิเวศวิหารเมื่อ พ.ศ 2379 พระมหากษัตริย์ไทยนับตั้งแต่รัชกาลที่ 3 มาจนถึง รชั กาลปัจจุบนั ไดท้ รงทะนุบารุงวัดนี้ (สทุ ธลิ กั ษณ์,2533)

แผนผงั ‘อัจกลบั ’ จิตรกรรมฝาผนงั ภายในวดั บวรนเิ วศราชวรวหิ าร พระอุโบสถ

จติ รกรรมฝาผนงั ภายในวดั บวรนเิ วศราชวรวหิ าร จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นผลงานของ ขรัวอินโข่ง ซึ่งเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงในสมัยรัชการที่ 3 เรื่องราวที่เขียนแบ่ง ออกเป็น 2 ตอน คือตอนล่างเป็นภาพเกี่ยวกับประเพณีและพิธีกรรมในวันสาคัญ ทางพระพุทธศาสนา สะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ การแต่งกาย ประเพณี และวัฒนธรรมในสมัยรัชกาลที่ 3 และ 4 ส่วนตอนบนเป็นภาพทิวทัศน์ ปริศนาธรรมแสดงถึงคุณพระรัตนตรัย เป็นงานแนวแปลกกว่าที่เคยมีมา ตัวละคร และ ในภาพเปน็ แบบประเทศตะวันตก เรม่ิ ใช้แสง เงา เพื่อใหภ้ าพเกดิ ความลึกและ ดเู หมอื นจรงิ แสดงใหเ้ หน็ ถึงอทิ ธพิ ลตะวันตกท่เี ข้ามามีบทบาทต่อสงั คมไทยในสมยั นน้ั (สุดา,2542)

ภาพ ‘อจั กลับ’ จติ รกรรมฝาผนงั ภายในวดั บวรนิเวศราชวรวหิ าร ภาพ‘อัจกลับ’ที่ปรากฏในจิตรกรรมฝาผนัง ภายใน พระอุโบสถวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นภาพเขียนสีฝุ่นท่ี เกี่ยวกับพิธีทางพระพุทธศาสนาและกิจของสงฆ์ บนภาพ พระอุโบสถปรากฎภาพอัจกลับทรงโคมหม้อตกแต่งด้วย อุบะดอกไมท้ ่แี ขวนลงมาจากเพดาน

ประวตั วิ ดั เทพธดิ ารามวรวหิ าร วัดเทพธิดารามวรวิหาร เดิมชื่อ พระยาไกรสวนหลวง พระบาทสมเด็จพระน่งั เกลา้ เจา้ อยู่หวั ไดโ้ ปรดใหส้ ถาปนาเม่ือปีพุทธ 2379 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระราชทานแด่สมเด็จพระลูกเธอ พระองค์เจ้าวิลาส พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ และภายหลังทรง สถาปนากรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ การก่อสร้างพระอารามโปรดให้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาลูก กรมหมื่นภูมินทรภักดี (พระองค์เจ้าชาย ลดาวลั ย์) เปน็ แมก่ องอานวยการสร้างในตาบลสวนหลวงพระยาไกร สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2382 พระราชทานนานว่า วัดเทพธิดาราม เน่อื งจากสมเด็จพระลูกเธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ได้ทรงบริจาก ทุนทรพั ยส์ ่วยพระองค์ร่วนในการก่อสร้างพระอารามนี้มีสิ่งก่อสร้าง ประดบั ดว้ ยยลวยลาย กระเบ้ืองเคลียบและตกุ๊ ตาจนี โดยไดช้ ่างจาก เมืองจีน สงั เกตไุ ดจ้ ากการออกแบบที่มีผลงานศิลปะและความเชื่อ แบบจีน อย่างหน้าบันของโบสถ์ มองขึ้นไปจะพบหงส์ ที่แสดงถึง สตรสี งู ศกั ด์ิ (กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม,2551)

แผนผงั ‘อัจกลบั ’ จิตรกรรมฝาผนงั ภายในวดั เทพธดิ ารามวรวหิ าร พระอโุ บสถ

จิตรกรรมฝาผนงั ภายในวดั เทพธดิ ารามวรวหิ าร จิตรกรรฝาผนังบริเวณบานประตูข้างนอกเขียนน้ายาปิดทองรดน้าเป็น ภาพเทพธิดาประทับอยู่ในพระวิมานพื้นหลังเป็นลวดลายเครือกระหนกหลัง บานประตูเขยี นสเี ป็นภาพโคมแขวนรปู ทรงต่าง ๆ ประกอบช่อดอกไมด้ ้านขา้ ง พระอุโบสถมีหน้าต่างด้านละ 4 ขอบบานหน้าต่างด้านนอกเขียนน้ายารดน้า ปิดทองเป็นกรอบด้วยลวดลายดอกพุดตาน ผูกลายอย่างกระบวนฝรั่งภายใน พระอุโบสถพื้นที่แย่งเป็นร่วมในและ ร่วมนอกพื้นที่ร่วมในอยู่ระหว่างเสาตั้ง เรียงขนาบข้าง 4 ต้น เข้าไปเป็นที่อาสนะสงฆ์ส่วนพื้นที่ร่วมนอกนอกคือ บรเิ วณนอกแนวเสาไปจดฝาผนงั ดา้ นขา้ งทัง้ 2 ด้าน ฝาผนังดา้ นในพระอุโบสถ เขียนสเี ปน็ ลวดลายดอกพดุ ตานประกอบในเทศเปน็ สานบา้ นแย่งดอกในพื้น สี ครามเสาสี่เหลี่ยมข้างละ 4 ต้น หน้าเสาเขียนสีเป็นลวกลายดอกพุดตานบ้าน แยง่ ประกอบลายกรวยเชิงที เชิงเสาที่ฝ้าเพดานตาแต่งตัวลายฉลุแบบปิดทอง เป็นสานก้านแย่งเพดานแขวนโคมแก้วทรงหวดสีต่างๆและอัจกลับโลหะ ห้องประตูและหน้าต่างแต่ละช่องติดรูปภาพเรื่องวรรณกรรมจีน (ราชบณั ฑติ ยสถาน,2546)

ภาพ ‘อจั กลับ’ จติ รกรรมฝาผนงั ภายในวดั เทพธดิ ารามวรวหิ าร ภาพ‘อัจกลับ’ที่ปรากฏบริเวณบานหน้าต่างและบาน ประตู ภายในพระอุโบสถวัดเทพธิดารามวรวิหาร เป็นภาพ อัจกลับทรงโคมหม้อและโคมหวดตกแต่งด้วยช่อดอกไม้ และ อุบะแขกหรือพวงเต่ารั้ง บางที่เรียกว่าเต่าร้าง ประกอบช่อ ดอกไม้ต่าง ๆ บนอจั กลบั

ประวตั วิ ดั สุทัศนเทพวรารามวรมหาวหิ าร วัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร เป็นวัดอารามหลวงชั้นเอก ชนิด ราชวรมหาวิหารมีประวตั กิ ารกอ่ นสร้างกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราชทรงมพี ระราชดารใิ ห้สร้างพระวิหารขึ้นกลางพระ นครในปี พ.ศ.2350 บริเวณที่เคยเป็นหนองบึงโดยถมอิฐและหินลงไปถึง เจ็ดถึงแปดชั้น ได้ถานที่กว้างใหญ่พอที่จะสร้างวัดขึ้น โดยมีพระราช ประสงค์เพื่อการประดิษฐานพระศรีศากยมุนีที่อัญเชิญมาจากวิหารหลวง วัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย การก่อสร้างเริ่มจากการก่อพื้นพระวิหารและ ฐานพระ เพื่อยกพระศรีศากยมุนีขึ้นที่ให้ทันในปี พ.ศ. 2352 แต่ก็สิ้นเสีย ก่อนทกี่ ารก่อสรา้ งจะแลว้ เสรจ็ การก่อสร้างวดั มาเสร็จบริบูรณ์ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. 2390 และพระราชทาน นามว่า “วัดสุทัศนเทพวราราม” (พระครวู จิ ิตรการโกศล,2516)

แผนผัง ‘อจั กลบั ’ จิตรกรรมฝาผนงั ภายในวดั สทุ ศั นเทพวรารามวรมหาวหิ าร พระวิหาร

จิตรกรรมฝาภายในวดั สุทศั นเทพวรารามวรมหาวิหาร จิตรกรรมฝาผนังบริเวณบานหน้าต่างด้านในเขียนงานจิตรกรรมฝาหนัง เป็นรูปทวารบาล (เทพผู้พิทักษ์) ที่เป็นเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ที่นามาใช้ใน หนา้ ที่เกย่ี วขอ้ งสมั พันธ์กบั พุทธศาสนาอนั เป็นแนวความคิดอย่างใหมท่ เ่ี กดิ ขึ้น ในรชั กาลที่ 3 ในพระอโุ บสถ จะมีซุ้มเสมา 8 ซ้มุ ตัง้ อยู่บนกาแพงแกว้ เป็นใบ เสมาคู่ซึ่งทาจากหินอ่อนสีเทา สลักเป็นภาพช้าง 3 เศียร งวงชูดอกบัวตูม เศียรละ 1 ดอก เบื้องบนมีดอกบัวบาน 3 ดอก บนกาแพงแก้วด้านทิศเหนือ และทิศใต้ มีเกยอยู่ด้านละ 4 เกย ซึ่งใช้เป็นที่สาหรับประทับโปรยทานแก่ ประชาชนในงานพระราชพิธี เรียกว่า \"เกยโปรยทาน\" (สนั ติ,2548)

ภาพ ‘อัจกลบั ’ จติ รกรรมฝาผนงั ภายในวดั สุทัศนเทพวรารามวรมหาวหิ าร ภาพ‘อัจกลับ’ทป่ี รากฏบรเิ วณฝาผนังภายในพระวิหาร วัดสุทัศนเทพวราราชวรมหาวิหาร เป็นภาพอัจกลับติด สายโซ่ขนาดเล็กโยงลงมาชักห่วงส าหรับใส่ถ้วย บรรจุ น้ามันระหว่างดวงไฟมีการตกแต่ด้วยพวงอุบะดอกไม้ แทรกตกแตง่ เปน็ ระยะ

เอกสารอ้างองิ ศูนย์เทคโนโลยีทางการศกึ ษา กรมวชิ าการ. สารคดี ร้ไู ว้ได้ประโยชน์ อนั ดบั ที่ 1 เรอื่ ง เครอื่ งประทปี เครอ่ื งบวงสรวง. (2516). กรงุ เพทฯ : ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว. วตุ พิ งศ์ ศรี วี งค.์ (2538). เคร่ืองตามประทีป. กรุงเทพฯ : ต้นออ้ . Daybeds. (2560). First Stop Pestination. ค้นเมอ่ื วันท่ี 12กันยายน 2564 http://www.daybedsmag.com/first-stop-destination/ ยง เสถยี รโกเศศ, พระยา.(2507). สยามมาตาเทวี เครอื่ งประทปี ในวรรณคดี. กรงุ เทพฯ : ราชบณั ฑติ ยสถาน. สทุ ธลิ กั ษณ์ อาพันวงค.์ (2533). วดั บวรนเิ วศวิหาร. กรุงเทพฯ : องคก์ ารค้าขอครุ สุ ภา. สดุ า งามเหลือ. (2524). การศกึ ษาวฒั นธรรมจากภาพจติ รกรรมฝาผนังภายในพระอโุ บสถ วดั บวรนเิ วศหาร กรงุ เทพฯ. กรุงเทพฯ : ภาควชิ าโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลัยศิลปากร. ราชบณั ฑิตยสถาน. (2546). หนงั สือวดั เทพธดิ าราม วรวหิ าร. กรงุ เทพฯ : ราชบณั ฑิตยสถาน. กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม.(2551). พระอารามหลวง เล่ม 1. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชมุ นนุ สหกรณ์การเกษตร แห่งประเทศไทย. พระครูวิจติ รการโกศล (สงดั ญาณพโล).(2516). ประวัติวดั สุทศั น์เทพวรารามฯ. กรุงเพทฯ : โรงพมิ พศ์ วิ พร. สันติ เล็กสขุ มุ . (2548). ข้อมูลกบั มุมมอง : ศลิ ปะรตั นโกสนิ ทร์. กรงุ เทพฯ : เมืองโบราณ.

‘อัจกลบั ’ การออกแบบผลติ ภัณฑข์ องทรี่ ะลกึ เชงิ สรา้ งสรรค์เพื่อการทอ่ งเทย่ี วในเกาะรตั นโกสนิ ทร์ จดั ทาโดย นายสลก ใจซือ่ นางสาวญาดา สามไชย สาขาวิชาการบริหารธรกุ ิจคหกรรมศาสตร์ คณะเทคโนโลยคี หกรรมศาสตร์ มหาวิทยาเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook