การดูแล สุขภาพ นายปัณณทัต สตัมภรัตน์ เลขที่ 1 ม.6/12
การดูแลสุขภาพกายและใจ ให้สมดุล ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับคนเรามีสาเหตุสำคัญ อย่างหนึ่งมาจากการที่ร่างกายและจิตใจเสียสมดุล สภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ ทั้งภายในและนอกในละแวกของ เรา มลพิษ สารเคมี ฝุ่นละอองและเชื้อโรค ทั้งจากการเดินทาง หรือรอบๆตัวเรา การดำเนินชีวิตประจำวัน ความเร่งรีบ แข่งขัน ทำให้เกิดผลต่อจิตใจ เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล นอนไม่หลับ หรือซึมเศร้า
หากเครียดมากๆ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ฮอร์โมนความเครียดจะสูงขึ้น การทำงานของ ระบบฮอร์โมนอื่นๆ ก็กระทบกระเทือนไปด้วย หลายคนเมื่อเกิดอาการเหล่านี้ก็จะรักษาไป ตามอาการ โดยการรับประทานยา เมื่อหาย แล้วสักพักก็เกิดอาการขึ้นซ้ำอีก เมื่อหาก ร่างกายหายเป็นปกติสมบูรณ์แล้ว แต่จิตใจยัง มีปัญหาอยู่ ไม่ได้รับการแก้ไขเรื่องความไม่ สมดุล ก็ทำให้เกิดความเจ็บป่วยขึ้นอีก แต่เมื่อ ใดที่ร่างกายและจิตใจมีความสมดุล ระบบ ต่างๆ ของร่างกายก็กระตุ้นให้ร่างกาย ซ่อมแซมตัวเองได้
อาการผิดปกติจะดีขึ้นและสามารถป้องกันโรค ต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงขอแนะนำวิธี การสร้างสมดุลด้านจิตใจและร่างกายเพื่อเพิ่ม คุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ขั้นตอนที่ 1 พักผ่อนให้ เพียงพอ ขั้นตอนที่ 2 เสริมสร้างจิตใจ ให้แข็งแรง ขั้นตอนที่ 3 คอยสังเกตดูแลเอาใจ ใส่ตัวเองทั้งร่างกาย และจิตใจ
ขั้นตอนที่ 4 หมั่นออก กำลังกาย ขั้นตอนที่ 5 รับประทาน อาหารที่มี ประโยชน์ ขั้นตอนที่ 6 ให้เวลากับ คนใน ครอบครัว
เคล็ดลับจากหมอ Rama Chanel บริหารร่างกายในช่วงเช้า เริ่มต้นจากตอนตื่นนอนให้บิดขี้เกียจก่อน 1 ครั้ง การบิดขี้เกียจถือว่าเป็นกิจวัตรประจำวันที่ จะกลายมาเป็นส่วนเสริมความสมบูรณ์แข็งแรง ให้แก่สุขภาพร่างกาย เป็นการบริหารร่างกาย ด้วยท่าที่ง่ายพร้อมกับการหายใจเข้า-ออก อย่างช้าๆ ผสมผสานกับการยืดและคลายของ กล้ามเนื้อทุกอิริยาบถ ทำให้จิตใจสงบเมื่อ ปฏิบัติอย่างถูกต้องประจำ ทำให้กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อที่คดงอหรือ บิดเกร็งจากการทำงาน ปรับตัวคลายเข้าสู่ สภาวะสมดุล สมองและอวัยวะต่างๆ ได้รับ ออกซิเจนมากขึ้น ทำให้เลือดหมุนเวียนหล่อ เลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การขับถ่ายของเสียจากเนื้อเยื่อทั่วร่างกายเป็น ไปอย่างสมบูรณ์ ทำให้เรารู้สึกปลอดโปร่ง เบา สบาย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง จิตใจผ่องใส และ ช่วยป้องกันความเจ็บป่วยนานาชนิด โดยตอน ตื่นเราอาจจะบิดขี้เกียจ 1 ครั้งแล้วต่อด้วยการ โยคะประมาณ 15 นาที เพียงเท่านี้ ก็ถือ เป็นการเริ่มต้นที่ดีในวันทำงานแล้ว
บริหารร่างกายในช่วงเย็น แนะนำว่าให้ออกกำลังกายหนักประเภทเข้ายิมหรือฟิตเนส บริหารร่างกายให้สามารถเรียกเหงื่อได้ ประมาณ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง แต่ถ้าในกรณีที่จะต้องเดินทางไปทำงานต่าง ที่ มีพื้นที่จำกัดและไม่สามารถเข้ายิมหรือฟิตเนสได้ ก็ควร จะออกกำลังกายแบบ Body Weight แทน คือ ยกดรัม เบลอยู่กับที่ ออกกำลังกายประเภทที่ใช้พื้นที่ไม่เยอะมาก ก็ สามารถบริหารร่างกายได้ดีแม้มีพื้นที่จำกัด
การดูแลสุขภาพใจ นอกจากสุขภาพร่างกายแล้ว ให้ดูแลบำรุงสุขภาพใจด้วย แนะนำว่าให้ฝึกสมาธิ รับรู้ในทุกขณะจิต ฝึกการรับฟังให้มาก เพื่อสร้างความเข้าใจอย่างมีสติ เคล็ดลับ คือ การนำเอาหลัก ธรรมมะของพระพุทธศาสนาเข้ามาช่วยให้ เราสามารถคิด วิเคราะห์เรื่องต่างๆ ได้อย่างละเอียดอ่อนและมีหลักธรรม รู้จัก ปล่อยวาง ทั้งนี้นอกจากดูแลสุขภาพใจตนเองให้ดีแล้ว ก็ต้องหมั่นดูแล สุขภาพใจบุคคลรอบข้างด้วย สำหรับท่านที่อยู่ไกลกันหรือไม่ ค่อยได้อยู่ด้วยกัน ก็ควรติดต่อสื่อสารหากันอย่างสม่ำเสมอ ใช้ วิธีการแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ด้วยคำพูดดีๆ เล่าสู่กันฟังจะ สามารถก่อให้เกิดความรู้สึกด้านบวกมากยิ่งขึ้น
การดูแลการทานอาหาร เน้นการรับประทานผักและผลไม้ให้มาก จะทำให้นอนหลับสบาย ขับถ่ายปกติ หรือทานวิตามินเสริมมาเป็นตัวช่วยก็ได้ เช่น วิตามิน ในส่วนที่เราขาดในการบำรุงต่างๆ วิตามินซี วิตาบี หรือ วิตามิน รวม แค่เพียงเท่านี้ก็ทำให้สุขภาพดีได้แม้ต้องทำงานหนัก แต่ต้องปฎิบัติ ให้อยู่ในความเหมาะสม อย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ มีวินัยกับการ บริหารร่างกาย ควบคุมการทานอาหาร และบริหารเวลาทำงานให้ เหมาะสม
มนุษย์ออฟฟิศที่ติดจอโทรศัพท์ ทั้งโทรศัพท์ แท็บเล็ต การจ้องมากไปก็จะทำให้เกิดอาการ ปวดหัว หรือ วุ้นลูกตาเสื่อมได้ เพราะนอกจากการทำงาน ผ่านจอคอมพิวเตอร์มาทั้งวันแล้ว สายตายังจะต้องมาใช้ กับอุปกรณ์เหล่านี้อีก ทำให้การทำงานของตานั้นหนักเกิน ไป ควรบริหารเวลาในการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ให้ดี อีกทั้ง นอกจากสายตาจะเสียไวแล้วนิ้วของเราก็อาจมีปัญหา เช่น เกิดอาการนิ้วล็อคตามมาด้วย
เตือนภัย พฤติกรรม มนุษย์ออฟฟิศ มนุษย์ออฟฟิศที่ทานอาหารไม่ตรงเวลา สำหรับการทานอาหารไม่ตรงเวลา เป็นต้นเหตุทำให้เกิด โรคกระเพาะอาหารได้ รวมถึงสาเหตุต่างๆ ทั้งการทาน อาหารรีบเร่งจนเกินไป การทานอาหารในปริมาณที่มาก หรือน้อยจนเกินไป ก็ทำให้กระเพาะอาหารของเรา ทำงานไม่ปกติ เกิดเป็นโรคกระเพาะอาหารตามมาได้ ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนฤติกรรมการทานอาหารใหม่ เลือก ทานอาหารให้ตรงเวลาและปริมาณเพียงพอต่อร่างกายที่ ควรจะได้รับ
มนุษย์ออฟฟิศที่ชอบนั่ง ทำงานผิดท่าผิดวิธี หลายคนมักมีอาการปวดร้าวบริเวณไหล่และหลัง นั่นเป็น เพราะการนั่งทำงานผิดท่าผิดวิธีและนั่งแบบนั้นเป็นระยะ เวลานานทำให้เกิดความเมื่อยล้าในการทำงานโดยที่เรา บางทีก็ไม่รู้ตัว ก่อให้เกิดความทรมานในการใช้ชีวิตประจำ วัน ท่านั่งบางท่าอาจทำให้เกิดการโค้งงอผิดรูปของกระดูก ได้ และบางท่าทางทำให้เกิดอาการตึงยึดของกล้ามเนื้อจน เกิดอาการปวดในที่สุด เราอาการเหล่านี้ว่า “ออฟฟิศ ซินโดรม” มีทางแก้ไข คือ ทุก 20 นาที ควรละสายตาออกจากคอมพิวเตอร์บ้าง และ ทุกๆ 1 ชั่วโมง ควรยืดเส้นยืดสายออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆ บริหารในขณะที่ต้องทำงานหน้าโต๊ะก็ดีไม่น้อย
มนุษย์ออฟฟิศที่ชอบทาน จุกจิกตลอดทั้งวัน เวลานั่งๆ ทำงานไป เดี๋ยวก็ง่วง เดี๋ยวก็จะหลับ เลยต้องมี ขนมไว้ทานให้เพลินๆ คลายง่วง ซึ่งความเคยชินนี้ เป็นบ่อ เกิดของความอ้วนได้ เพราะการทานจุกจิกตลอดทั้งวัน โดยที่เราไม่ได้ขยับร่างกายไปไหนเลย จะเกิดไขมันสะสม วิธีแก้ไข คือ เปลี่ยนจากการทานขนมที่ไม่มีประโยชน์เป็น เลือกทานผลไม้สดแทนจะดีที่สุด
มนุษย์ออฟฟิศที่มนุษย์ออฟฟิศที่ชอบ สะพายกระเป๋าหนักเกินไป ทานอาหารไม่ตรงเวลา สำหรับการทานอาหารไม่ตรงเวลา เป็นต้นเหตุทำให้เกิด โรคกระเพาะอาหารได้ รวมถึงสาเหตุต่างๆ ทั้งการทาน อาหารรีบเร่งจนเกินไป การทานอาหารในปริมาณที่มาก หรือน้อยจนเกินไป ก็ทำให้กระเพาะอาหารของเรา ทำงานไม่ปกติ เกิดเป็นโรคกระเพาะอาหารตามมาได้ ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนฤติกรรมการทานอาหารใหม่ เลือก ทานอาหารให้ตรงเวลาและปริมาณเพียงพอต่อร่างกายที่ ควรจะได้รับ
5 ทริคง่ายๆ ออกกำลังกายตาม เป้าหมายให้สำเร็จได้ด้วยตัวเอง 1. ดื่มน้ำก่อนออกกำลังกาย ก่อนออกกำลังกายประมาณ 3 ชั่วโมง ควรดื่มน้ำให้ได้ 2- 3 เเก้ว และระหว่างการออกกำลังกายควรจิบน้ำบ่อยๆ ในปริมาณไม่น้อยกว่า 1-2 เเก้ว เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสีย ไป และป้องกันการปวดหัว หน้ามืด เป็นตะคริว หรือ กล้ามเนื้อหดตัว
2. วอร์มอัพก่อนออกกำลังกาย ก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ควรวอร์มอัพหรืออบอุ่นร่างกาย เพื่อ ป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ การขยับยืดเส้นยืดสายยังช่วยให้ ร่างกายได้ปรับระดับความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อเเละเส้นเอ็น รวม ถึงเป็นการค่อยๆ ปรับอุณหภูมิของร่างกายให้เข้าที่จนพร้อม สำหรับการออกกำลังกายหนักต่อไป 3. เริ่มจากการออกกำลังกายเบาๆ ก่อน ควรเริ่มจากการออกกำลังกายเบาๆ เริ่มจากท่าง่ายๆ เพื่อเป็นการ ค่อยๆ กระตุ้นให้กล้ามเนื้อตื่นตัวขึ้นทีละนิด เสริมความเเข็งเเกร่ง ให้กับกล้ามเนื้อทีละขั้น แล้วค่อยๆ เร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ เพราะหาก เริ่มต้นออกกำลังกายแบบหนักหน่วงโดยที่กล้ามเนื้อยังไม่พร้อม ก็ จะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้
4. อย่าลืมออกกำลังกายเฉพาะ ส่วน การออกกำลังกายเฉพาะส่วน เหมาะสำหรับ คนอยากเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ที่ต้องการบอดี้ ลีนๆ ถ้าจะให้เห็นผลยิ่งขึ้น ควรมีการใช้ อุปกรณ์ออกกำลังกายเสริมด้วย เช่น ดรัมเบล หรือยางยืดออกกำลังกาย หากไม่รู้จะออกกำลัง กายท่าไหน ลองเปิด Youtube แล้วเสิร์ชวิธี การออกกำลังกายเฉพาะส่วน รับรองว่ามีให้ ครบ ตั้งแต่แขน ขา หน้าท้อง ก้น รับรองว่าฟิต แอนด์เฟิร์มแบบเห็นผลแน่นอน
5. คูลดาวน์หลังออกกำลังกายเพื่อผ่อน คลายกล้ามเนื้อ หลังออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง ร่างกายจะผลิตกรดแล คติก ซึ่งเป็นของเสียที่ทำให้กล้ามเนื้อของเราเมื่อยล้า ซึ่ง อาจทำให้เกิดตะคริวได้หากมีมากเกินไป แต่การคูลดาวน์ หรือการเคลื่อนไหวเบาๆ หลังออกกำลังกาย เช่น เดินหลัง จากที่วิ่งมาอย่างหนัก หรือยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังการ บอดี้เวท จะช่วยให้ร่างกายค่อยๆ เย็นลงอย่างมีลำดับขั้น ช่วยให้ออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อได้มากขึ้น กรด แลคติกก็จะค่อยๆ สลายตัวไป ช่วยลดโอกาสที่จะปวด กล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายได้ดี ดังนั้นอย่าลืมคูลดาวน์ทุก ครั้งหลังออกกำลังกาย
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: