Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 4 แนวคิดทางด้านการจัดการ 11

บทที่ 4 แนวคิดทางด้านการจัดการ 11

Published by kobchai.m.150, 2017-07-14 03:45:23

Description: บทที่ 4 แนวคิดทางด้านการจัดการ 11

Search

Read the Text Version

บทท่ี 4 แนวคดิ ทางด้านการจัดการ ผศ.ญาลดา พรประเสริฐ คณะวิทยาการจดั การ มหาวิทยาลัยราชภฏั สวนสุนันทา 1

วิวฒั นาการแนวความคดิ ทางด้านการจดั การ สามารถแบ่งแนวคดิ ทางด้านการจดั การออกเป็ น 4แนวคิด คอื 1.แนวคดิ หลักการจดั การเชงิ ประสิทธิภาพของงาน ( the task - management approach ) 2.แนวคิดหลกั การจัดการเชิงพฤตกิ รรมศาสตร์ (thebehavioral management approach ) 3. แนวคดิ หลกั การจัดการเชิงปริมาณ (the quantitativemanagement approach ) 4.แนวคดิ หลักการจดั การสมยั ปัจจุบัน (the contemporarymanagement approach ) 2

แนวคดิ หลักการจัดการเชงิ ประสทิ ธภิ าพของงานเรียกอกี อย่างหน่ึงว่า แนวคดิ การจดั การสมัยดงั้ เดมิ เน้น 3 เร่ือง การเพ่มิ ผลผลติ การพจิ ารณาธรรมชาตขิ องมนุษย์อย่างมีเหตผุ ล การค้นหาความเป็ นสากลของศาสตร์ทางการจดั การ ค้นหาวธิ ีการทางานท่มี ีประสทิ ธภิ าพมากท่สี ุด ค้นหาหลักการจัดการท่ดี ีท่สี ุด ค้ นหาโครงสร้ างองค์ การในอุดมคติ มี 3 แนวคดิ หลัก แนวคดิ การจัดการเชงิ วทิ ยาศาสตร์ แนวคดิ การจัดการเชงิ บริหาร และแนวคดิ การจัดองค์การระบบราชการ 3

แนวคดิ การจดั การเชงิ วิทยาศาสตร์ (Scientific Management)1. การจัดการแนววทิ ยาศาสตร์ (Scientific Management) Frederick Winslow Taylor, (1856-1915) ได้ศกึ ษาวธิ ีการขนเหลก็ ของคนงานในโรงงานถลุงเหล็ก โดยการค้นหาวธิ ีท่ดี ีท่สี ุดในการ ขนเหลก็ การใช้อุปกรณ์ท่เี หมาะสม การฝึ กพนักงานให้มคี วาม ชานาญในการใช้อุปกรณ์ แบ่งคนงานออกเป็ นส่วนแต่ละส่วนมี ความชานาญเฉพาะด้าน(specialization) ใช้วธิ ีการจ่าย ค่าตอบแทนเป็ นรายชนิ้ (piece rate system)ส่งผลให้การขนเหล็ก มผี ลเพ่มิ ขึน้ ถงึ 4 เท่าตัว คนงานได้ค่าตอบแทนเพ่มิ ขนึ้ ร้อยละ 60 โดยเน้นวธิ ีท่ดี ีท่สี ุดในการทางาน (one best way) 4

2. คดั เลือกคนงานท่เี หมาะสมแล้วฝึ กอบรมพัฒนาตามวธิ ีท่ีกาหนดให้เกดิ ความชานาญ (specialization)3. ฝ่ ายบริหารประสานงานและทาความเข้าใจให้กับคนงานอย่างใกล้ชดิ4. จดั หมวดหมู่ในการทางานให้เหมาะสม แบ่งงาน แบ่งความรับผดิ ชอบระหว่างฝ่ ายบริหารและคนงานตามความเหมาะสม

Henry L. Gantt ผลงานท่สี ร้างช่ือเสียง คือการเสนอระบบจงู ใจด้วยการจ่ายโบนัส ให้แก่คนงานท่สี ามารถเพ่มิผลผลิตตามจานวนท่กี าหนดไว้(เป้ าหมาย) แทนการจ่ายค่าตอบแทนจากชนิ้ งานระบบแผนภมู เิ พ่ือการวางแผนและควบคุมท่เี รียกว่า แกนท์ ชาร์ท(Gantt chart)แผนภมู ิดงั กล่าวจะการขึน้ ตอนการทางานก่อนและหลังอย่างละเอยี ด ทกุ ขัน้ ตอนจาสัมพนั ธ์กนั ตลอด ถ้ากิจกรรมแรกไม่เกดิ หรือเกดิ ช้า กิจกรรมต่อเน่ืองกช็ ้าตามไปด้วย 6

กจิ กรรม ตวั อย่างแกนท์ชาร์ท (Gantt Chart) มีนาคม พฤศจกิ ายน ธันวาคม มกราคม กุมภาพนั ธ์กาหนดหวั ข้อรายงานหาข้อมูลแบ่งงานกนั เขียนรายงานพมิ พ์รายงานตรวจความเรียบร้อย เข้าเล่มส่งรายงาน

แฟรงค์ และลิเลียน กลิ เบรท(Frank & Lilian Gilbreth) ศกึ ษาค้นคว้าเก่ียวกบั การเคลอื่ นไหวของคนงานในการกอ่ อฐิ เพือ่ ชีใ้ ห้เหน็ การเคลื่อนไหวที่สญู เปลา่ และไม่มีผลทางการผลติ และเทคนิคความ เคลื่อนไหวท่ีจาเป็ นในการทางานท่ีสามารถชว่ ยลดความเม่ือยล้าจากการ ทางานในแตล่ ะวนั ได้ เรียกความเคลอื่ นไหวพืน้ ฐานนีว้ า่ เธอร์บลกิ (therbligs) เน้นยา้ การทางานด้วยความชานาญเฉพาะด้าน และการ จดั แบง่ งานกนั ทาได้ดยี ่งิ ขนึ ้ หากวิเคราะห์อยา่ งละเอียดถี่ถ้วนชว่ ยให้พบ หนทางท่ีดที ี่สดุ เพียงวิธีเดยี วเทา่ นนั้ 8

2. แนวคดิ การจัดการเชงิ บริหาร(Administrative Management)ผู้ท่มี ีบทบาทสาคญั ต่อการพฒั นาแนวคดิ การจัดการเชงิ บริหาร Henry Fayol(1841-1925)เป็ นบดิ าแห่งทฤษฎีการจดั การแนว ใหม่ การจดั การเชิงบริหารต้องมอี งค์ประกอบหลัก 4 ประการ1. กิจกรรมหลักในองค์กรธุรกิจ(Business Activities) 6 ประการ 1.1 เทคนิคและการผลติ ( Technical & Production) 1.2 การพาณิชย์หรือการค้า (Commercial ) 1.3 การเงนิ (Financial) 1.4 ความม่ันคง (Security) 1.5 การบัญชี (Accounting) 1.6 การจัดการ (Management)

4. หลักการจดั การ 14 ประการ ได้แก่ 4.1 การแบ่งงานกนั ทา (Division of work) 4.2 อานาจหน้าท่แี ละความรับผิดชอบ (Authority andResponsibility) 4.3 ระเบยี บวนิ ัย (Discipline) 4.4 เอกภาพในการบังคบั บญั ชา (Unity of command) 4.5 เอกภาพในทศิ ทางขององค์กร (Unity of direction) 4.6 ประโยชน์ของส่วนรวมอย่เู หนือประโยชน์ส่วนบุคคล(Subordination of Individual to general interest)

4.7 ค่าตอบแทนท่เี หมาะสม (Remuneration)4.8 การรวมอานาจไว้ท่สี ่วนกลาง (Centralization)4.9 การจดั สายการบังคับบัญชา (Scalar Chain )4.10 มคี วามเป็ นระเบียบเรียบร้อย (Order)4.11 ความเสมอภาค (Equity)4.12 ความม่ันคงในการทางานของพนักงาน (Stability of Tenure)4.13 ความคดิ ริเร่ิม (Initiative)4.14 มีสามคั คจี ติ (Esprit de Corps )

ลูเธอร์ กูลคิ และลนิ ดอลล์ เออร์วคิ (Luther Gulick & Lyndall Urwick) ทงั้ สองคนได้ร่วมกนั เขียนหลกั การบริหารไว้ในหนงั สอื “Papers on the science of administration” มีหลกั การดงั นี ้ หลกั เอกภาพในการบงั คบั บญั ชา(unity of command) หลกั การใช้ที่ปรึกษา(use of staff) หลกั การจดั แบง่ สว่ นงานในองค์การ(deparmentation) หลกั อานาจและหน้าที่(authority) หลกั ชว่ งกว้างของการบงั คบั บญั ชา(span of command) หลกั การบรรจคุ นให้เหมาะสมกบั โครงสร้างขององค์การ(fitting people to the organization structure) ได้กาหนดกระบวนการบริหาร 7 ประการเรียกยอ่ วา่ “ POSDCORB” 12

เจมส์ มูน่ี และอัลเลน ไรลีย์(James Mooney & Allen Rieley) ได้เสนอแนวคดิ หลกั การเกี่ยวกบั การจดั การองค์การ ดงั นี ้ หลกั เก่ียวกบั การประสานงานทาให้เกิดเอกภาพในการปฏิบตั ิงาน หลกั เกี่ยวกบั การจดั ลาดบั สายการบงั คบั บญั ชา หลกั การแบง่ งานกนั ทาตามหน้าท่ี หลกั การบรรจบุ คุ คลชว่ ยแก้ปัญหาความต้องการคาปรึกษาและความคดิ เห็นจาก ผ้บู งั คบั บญั ชา 13

2. แนวคดิ การจดั การตามระบบราชการ (bureaucratic management)แมกซ์ เวเบอร์(Max Weber) เรียกรูปแบบองค์การในอุดมคติ “ระบบราชการ” (bureaucracy) หลักการประกอบด้วย การแบ่งงานกันทาตามความถนัด การจัดโครงสร้างองค์การลดหล่ันกนั ไปตามลาดบั ขัน้ ของอานาจหน้าท่ี การมีกฎ ระเบียบ ข้อบงั คับและวธิ ีปฏบิ ตั อิ ย่างเป็ นทางการ ความสัมพันธ์ท่ีเป็ นทางการ การคัดเลือกบุคคลอย่างเป็ นทางการ ความเป็ นสายอาชีพ 14

ทฤษฎีการบริหารแบบราชการ (Bureaucratic Management) - เน้นถงึ ความจาเป็ นของการจดั องค์การอย่างเป็ นเหตุเป็ นผล ไม่ปล่อยให้ เป็ นไปตามอาเภอใจของผู้บริหารหรือเจ้าของกจิ การ ทฤษฎีนี้ มีพนื้ ฐานมา จากผลงานของ Max Weber นักวชิ าการหลายคน เหน็ ว่าแนวคดิ ของเขาสามารถนาไปใช้ กบั การบริหารองค์การได้ดจี ากหลักการสาคญั 7 ประการ คือ 1) หลกั การมกี ฎและระเบยี บข้อบงั คับ เพ่อื ควบคุมการตดั สินใจ 2) หลักความไม่เป็ นส่วนตัว ผู้บริหารต้องตัง้ อย่ภู ายใต้กฎและระเบยี บข้อบงั คบั เพ่อื ปลอด จากการกระทาตามอาเภอใจ 3) หลักแบ่งงานกันทา ตามความถนัดหรือความชานาญเฉพาะทาง 4) หลกั การมีโครงสร้างสายบงั คบั บญั ชา 5) หลกั ความเป็ นอาชีพท่มี ่นั คง 6) หลักการมอี านาจหน้าท่ใี นการตัดสินใจ โดยมกี ฎระเบยี บข้อบังคบั รองรับ 7) หลักความเป็ นเหตุเป็ นผล ในกระบวนการตัดสินใจ

3. การจัดการเชงิ พฤตกิ รรม (Behavioral Management)ฮวิ โก มนิ ส์เตอร์เบริ ์ก ( Hugo Minsterberg)ได้ช่ือว่าเป็ นบดิ าแห่งจติ วิทยาอุตสาหกรรม เขยี นไว้ในหนังสือช่ือ จติ วิทยาและประสิทธิภาพอุตสาหกรรม คือ วธิ ีการค้นหาบุคคลท่ีมีสภาพทางจติ ใจท่ีดที ่ีสุด เพ่ือบรรจุลงในตาแหน่งงานท่ี เหมาะสม ลักษณะสภาพทางจติ วทิ ยาท่ที าให้บุคคลพงึ พอใจมากท่ีสุดจากการทางานจะ ช่วยให้เกดิ ผลผลติ ท่นี ่าพงึ พอใจสูงท่ีสุดและมากท่ีสุด การท่ีธุรกจิ มอี ทิ ธิพลเพยี งพอต่อการช่วยให้คนงานสามารถบรรลุผลลัพธ์ท่ีดี ท่ีสุด 16

Elton George Mayo(1880-1949) เป็ นผลงานวิจยั ท่ี Hawthorne ศึกษาความสัมพนั ธ์ของบุคคลกับสภาพแวดล้อมในท่ที างานผลการศกึ ษา 1. แสงสว่างมคี วามสัมพันธ์กับผลผลิต 2. กลุ่มมีความสัมพันธ์ต่อผลการปฏบิ ัตงิ าน 3. ระบบสังคมหรือสภาพแวดล้อมในท่ที างานมีผลต่องานปริมาณผลผลิตของพนักงานนอกจากจะขึน้ อย่กู ับปัจจยั การผลิตปกตซิ ่งึ ได้แก่ ค่าแรง แสงสว่างและระยะเวลาหยดุ พกั แล้ว ยงั ขนึ้ อย่กู ับปัจจยั เชงิ พฤตกิ รรม ได้แก่ การแบ่งกลุ่มทางาน การส่ือสารระหว่างหวั หน้างาน และคนงาน ความสัมพันธ์ระหว่างคนงานด้วยกัน ความคาดหวงั เป้ าหมายและแรงจูงใจ 17

เชสเตอร์ ไอ. เบอร์นาร์ด ( Chester I. Barnard)อานาจหน้าท่นี ัน้ แท้ท่จี ริงมิได้อย่ทู ่ผี ู้มีอานาจในการออกคาส่ัง แต่อย่ทู ่ผี ู้ปฏิบตั วิ ่าจะยนิ ยอมรับคาส่ังนัน้ มากน้อยเพยี งใด เน่ืองจากผู้ปฏบิ ตั จิ ะมีส่วนหน่ึงของจติ ใจท่เี รียกว่า “ส่วนท่ไี ม่จาเป็ นต้องพงึ ใส่ใจ” โดยอาจปฏเิ สธคาส่ังใด ๆ ท่เี ขาเหน็ ว่าเป็ นส่ิงท่ตี กอย่ใู นส่วนของจติ ใจ กรณีเช่นนี้ ผู้บริหารจงึ ควรต้องจัดองค์ประกอบพนื้ ฐาน 3 ประการ เพ่อื ให้ ”ส่วนท่ไี ม่จาเป็ นต้องพงึ ใส่ใจ” ลดลง คือ1) การกาหนดจุดหมายโดยรวมขององค์การให้ชดั เจน2) การจัดระบบการตดิ ต่อส่ือสารท่ดี ี3) การเหน่ียวนาความตงั้ ใจหรือความสมัครใจ โดยจดั ส่ิงจงู ใจโดยเฉพาะส่ิงจงู ใจทางด้านสังคมและด้านจติ วทิ ยา ซ่งึ มีความสาคญั กว่าส่ิงจงู ใจด้านเศรษฐกจิ หรือทางกายภาพ 18

แนวคดิ มนุษยสัมพนั ธ์ (Human relation movement) Abraham Maslow (1908-1970) ได้พัฒนาทฤษฎีการจูงใจทมี ีสมมตฐิ านเก่ียวกับธรรมชาตขิ องมนุษย์ไว้ 3 ประการ คือ1) มนุษย์มีความต้องการท่ไี ม่สนิ้ สุด2) การกระของมนุษย์มีจุดมุ่งหมายเพ่ือเตมิ เตม็ ในความต้องการท่ยี งั ไม่พงึ พอใจ3) ความต้องการมีเป็ นลาดบั ขัน้ จากขัน้ ต่ากว่าสู่ขัน้ ท่ีสูงกว่าดงั นี้ ความต้องการทางกาย ความปลอดภัย ความรู้สกึ เป็ นเจ้าของ ความได้รับการยอมรับ และความประสบผลสาเร็จด้วยตนเอง Douglas McGregor (1906-1964) ได้พัฒนาทฤษฎี xและทฤษฎี Y ขนึ้ มีสมมตฐิ านเก่ียวกับทศั นะของผู้บริหารท่มี ีต่อคนงาน โดยทศั นะแบบใดแบบหน่ึงจะส่งผลต่อพฤตกิ รรมการบริหารของผู้บริหารเป็ นแบบใดแบบหน่ึงด้วย

ทฤษฎี X มีสมมตฐิ านว่า1) คนท่ัวไปไม่ชอบทางาน พยายามหลีกเล่ียงการทางาน2) คนส่วนใหญ่ต้องการให้บงั คับ ควบคุม หรือขู่เขญ็ เพ่ือให้ทางานบรรลุจุดหมายขององค์การ3) คนท่วั ไปชอบหลบหลีกความรับผิดชอบ ไม่มีความทะเยอทะยาน แต่ชอบแสวงหาความม่ันคงเหนือส่งิ อ่ืนใด ทฤษฎี y มีสมมตฐิ านว่า1) คนส่วนใหญ่มไิ ด้ไม่ชอบงานโดยสันดาน แต่ใช้ความพยายามทางานทงั้ ร่างกายและจติ ใจเป็ นไปโดยธรรมชาติ เสมือนการเล่นหรือการพกั ผ่อน2) คนจะชีน้ าตนเองหรือควบคุมตนเองให้บรรลุจุดหมายท่ีตนผูกพนั การควบคุมหรือขู่เขญ็ จากภายนอก มไิ ด้เป็ นวธิ ีการเดียวท่จี ะทาให้บรรลุจุดหมายได้3) ความผูกพนั กับจุดหมายขนึ้ อย่กู ับรางวัลท่จี ะควบคุมไปกับความสาเร็จของเขาด้วย โดยเฉพาะรางวัลท่ตี อบสนองความต้องการในระดบั สูง

ทฤษฎี y (ต่อ)3) ความผูกพนั กับจุดหมายขนึ้ อยู่กับรางวัลท่จี ะควบคุมไปกับความสาเร็จของเขาด้วย โดยเฉพาะรางวัลท่ีตอบสนองความต้องการในระดบั สูง4) ภายใต้สภาพท่เี หมาะสม คนโดยท่ัวไปจะเรียนรู้ไม่เฉพาะการยอมรับในความรับผดิ ชอบเท่านัน้ แต่ยังจะแสวงหาความรับผิดชอบอีกด้วย5) แต่ละคนสามารถจะแสดงความริเร่ิมสร้างสรรค์ส่งิ ใหม่ ๆ ได้เตม็ ท่ี เพ่อืแก้ปัญหาขององค์การ6) ศักยภาพด้านสตปิ ัญญาของคนส่วนใหญ่ยงั มไิ ด้ถกู นามาใช้อย่างเตม็ ท่ี

Maslaw’s Need Theory โดย Abraham Maslow เสนอ ความต้องการของคนจะเกดิ ขนึ้ ตามลาดบั จากความต้องการขัน้ ต่าไปหาความต้องการขัน้ สูง ดังนี้ Self- Actualization Need Esteem Need Social Need Safety Need Physiological Need

ทฤษฎีการบริหารทศั นะเชงิ ปริมาณ (Quantitative Viewpoint) - เกิดขนึ ้ ในช่วงสงครามโลกครัง้ ที่ สอง โดยนกั วชิ าการชาวองั กฤษจานวนหนงึ่ ประกอบไปด้วยนกั คณิตศาสตร์ นกั ฟิสกิ ส์ และอ่ืน ๆ ได้รวมตวั กนั เป็ นทีมวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ าร เพอ่ื แก้ปัญหาทางสงคราม มีหลกั การบริหารท่ีสาคญั คอืการบริหารศาสตร์ หรือวทิ ยาการจดั การ (Management Science) - เป็ นสาขาหนึ่งของการบริหารจดั การ ท่ียดึ หลกั การเพ่ิมความมีประสทิ ธิผลในการ ตดั สนิ ใจจากการใช้โมเดลทางคณิตศาสตร์และวิธีการเชิงสถิติการบริหารปฏบิ ตั กิ าร (Operation Management) - เป็ นสาขาหน่ึงของการบริหารจดั การ ที่เกี่ยวข้องกบั การออกแบบ การพฒั นา การ ปฏิบตั ิการ และการนามาวิเคราะห์ กิจกรรมทกุ กิจกรรม หรือกลไกทกุ กลไกใน องค์การ เพื่อการเปล่ียนแปลงทรัพยากร ที่สาคญั 10 ประการ คือ

1) การออกแบบสนิ ค้าและบริการ2) การบริหารคุณภาพ3) การออกแบบกาลังและกระบวนการผลติ4) การเลือกตาแหน่งท่ตี งั้5) การออกแบบ Layout6) การออกแบบงานทรัพยากรมนุษย์7) การจดั การโซ่อุปทาน8) การบริหารคลังสนิ ค้า9) การกาหนดตารางเวลาการผลิต10) การบารุงรักษา

ลักษณะสาคัญของการบริหารในเชงิ ปริมาณ หรือเชิงวิทยาการจดั การมีดงั นี้เน้นการตดั สินใจเพ่อื ใช้ประโยชน์ทางการบริหารยดึ หลักเศรษฐศาสตร์เป็ นมาตรฐานในการตดั สินใจในการศกึ ษาวเิ คราะห์จะใช้สูตรหรือรูปแบบการวิเคราะห์ตามหลักการทางคณิตศาสตร์ เป็ นรูปแบบยุ่งยากซบั ซ้อนต้องอาศัยคอมพวิ เตอร์ในการประมวลผลข้อมูลจานวนมากช่วยในการศกึ ษาวิเคราะห์ 25

ข้อจากัดของการบริหารในเชงิ ปริมาณ หรือเชิงวิทยาการจัดการมดี งั นี้ขาดการคานงึ ถึงปัจจยั คณุ ภาพขาดการนาเอาพฤตกิ รรมมนษุ ย์เข้ามาพิจารณามีคา่ ใช้จา่ ยสงูต้องอาศยั สมมตฐิ าน 26

ระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหาร (Management Information System) - เป็ นสาขาหน่ึงของการบริหารจดั การ ยดึ หลักการออกแบบและการนา ระบบข้อมูลสารสนเทศ โดยอาศัยเคร่ืองคอมพวิ เตอร์มาใช้เพ่อื การบริหาร ผลติ ข้อมูล และสารสนเทศ ท่เี ป็ นประโยชน์ต่อผู้บริหารทุกระดับอย่าง กว้างขวางและหลากหลายวธิ ีรูปแบบของคอมพวิ เตอร์ท่นี ามาช่วยในการจัดการแบ่งได้ 5 ประเภท ระบบประมวลผลโต้ตอบ ระบบข้อมูลเพ่ือการจัดการ ระบบสนับสนุนเพ่อื การตดั สนิ ใจ ระบบสานักงานอัตโนมัติ ระบบสนับสนุนข้อมูลเพ่ือผู้บริหารระดบั สูง

ทฤษฎกี ารบริหารทศั นะร่วมสมยั (Contemporary Viewpoint) - ทฤษฎีที่สาคญั คือ หลกั การบริหารตามทฤษฎีเชิงระบบ หลกั การบริหาร ตามสถานการณ์ และทศั นะท่ีเกิดขนึ ้ ใหม่ทฤษฎเี ชิงระบบ (System Theory) - พฒั นาขนึ ้ โดยนกั ชีววิทยาและนกั ฟิสิกส์ ตงั้ อยฐู่ านความคดิ ที่วา่ องค์การหนง่ึ ๆ สามารถมองเป็นระบบหนง่ึ ๆ ได้ โดยระบบหนง่ึ ๆ นนั้ หมายถึงชดุ ขององค์ประกอบที่ สมั พนั ธ์กนั อยา่ งเป็นเอกภาพ เพ่ือมงุ่ สจู่ ดุ หมายองค์การร่วมกนั ดงั นี ้ 1) ปัจจยั ป้ อนเข้า (Input) 2) กระบวนการเปลยี่ นแปลง (Process)) 3) ปัจจยั ป้ อนออก(Output) 4) ข้อมลู ย้อนกลบั (Feedback)

ทฤษฎีการบริหารตามสถานการณ์ (Contingency Theory) - มีแนวคดิ วา่ ทกุ หลกั การไมใ่ ช่หลกั การหรือวิธีท่ีดีท่ีสดุ Hellriegel and Slocum ให้ทศั นะวา่ หลกั การบางประการบางครัง้ ได้ก่อให้เกิดผลในทางลบ ด้วย เช่น หลกั การแบง่ งานกนั ทาตามความถนดั ก่อให้เกิดการสร้าง อาณาจกั ร แข่งขนั กนั - นกั ทฤษฎีการบริหารตามสถานการณ์ จงึ เช่ือวา่ “หลักการบริหารงานท่ี เหมาะสมขึน้ อย่กู ับสถานการณ์หน่ึง ๆ เท่านัน้ ” - Hellriegel and Slocum ให้ทศั นะท่ีนา่ สนใจอีกวา่ “ผู้บริหารไม่ควร คานึงถึงเฉพาะความเหมาะสมกบั สถานการณ์เท่านัน้ แต่ควร คานึงถงึ ความมอี ทิ ธิพลเหนือสถานการณ์ด้วย ในกรณีท่ตี ้องการให้ เกิดการเปล่ียนแปลงไปในทศิ ทางท่พี งึ ประสงค์”

ทศั นะเกิดขึน้ ใหม่ (Emerging Views) - ปัจจบุ นั ได้เกิดทฤษฎีทางการบริหารขนึ ้ ใหมอ่ กี หลายทฤษฎี เชน่ ทฤษฎคี ณุ ภาพโดยรวม บาลานซ์สกอร์คาร์ด การบริหารแบบเน้นวตั ถปุ ระสงค์ การบริหารโรงเรียนเป็นฐานการบริหารคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management) เรียกสนั้ ๆ ว่า TQM - มงุ่ ความสาคญั ไปที่ ความรับผิดชอบตอ่ การผลิต หรือการให้บริการท่ีมคี ณุ ภาพร่วมกนั และการกระต้นุ ให้คนงานแตล่ ะฝ่ ายมงุ่ พฒั นาคณุ ภาพของงาน หลกั การบริหารนีม้ พี นื ้ ฐาน มาจากหลกั การควบคมุ คณุ ภาพโดยรวม -แนวคิด TQM คอื กระบวนการปรับปรุงงานอยา่ งตอ่ เน่ืองด้วยวงจร P-D-C-A p = plan การร่วมกนั วางแผน D = Do การร่วมมือกนั ปฏบิ ตั ิงานตามแผน C = Check การร่วมมือกนั ตรวจสอบการปฏิบตั งิ าน A = Act การร่วมกนั พฒั นาปรับปรุงให้ดขี นึ ้

 การบริหารคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management : TQM ) การจดั การด้านคุณภาพและการประกันคุณภาพโดยเน้นความพงึพอใจของลูกค้าเป็ นสาคญั บาลานซ์สกอร์คาร์ด (Balanced Scorecard : BSC ) เป็ นกรอบการทางานสาหรับออกแบบตวั ชวี้ ัดท่เี ข้ามาทดแทนการวดั ผลการดาเนินงานแบบเก่าท่เี น้นเร่ืองการเงนิ และบัญชมี ากเกินไปแต่ควรนาตวั ชีว้ ดั อ่นื ๆท่ไี ม่ใช่ตัวชวี้ ัดทางการเงนิ เพ่อื ให้เกดิ ความสมดุลทงั้ 4 ด้าน ด้านการเงนิ ด้านลูกค้า ด้านกระบวนการภายในองค์การและด้านนวัตกรรมและการเรียนรู้ 31

กลยทุ ธ์การบริหารงานแบบญี่ป่ นุ ไคเซน็ (KaiZen)กลยทุ ธ์ของไคเซน็ คือ ไมม่ ีสกั วนั เดียวที่ผา่ นไปโดยไมม่ ีการปรับปรุงในสว่ นใดสว่ นหนงึ่ ของบริษัทตลอดเวลา การบริหารโดยยดึ หลกั ไคเซ็น คือ การดดารงรักษาไว้ซงึ่ มาตรฐานการปฏิบตั งิ านท่ีทกุ คนต้องยดึ ถือปฏบิ ตั ิ หากไม่ทาจะมีบทลงโทษ นอกจากนี ้คือ การปรับปรุงงานให้ดีขนึ ้ อยา่ งตอ่ เน่ืองด้วยการปรับปรุงสถานภาพในปัจจบุ นั โดยการใช้ความพยายามในสงิ่ ท่ีมีอยู่ และแสวงหาสงิ่ ใหมๆ่ หรือเทคโนโลยีใหมๆ่ มาใช้ ฉะนนั้ จงึ เป็นการนาแนวคดิ เรื่องการปรับปรุงเปลย่ี นแปลงทีละขนั้ ตอนมาใช้ในการบริหารงาน 32

ซิกซิกมา(Six Sigma)เป็ นแนวคดิ ทางการบริหารที่มงุ่ เน้นการลดความผิดพลาด ลดความสญู เปลา่ ลดปริมาณของเสีย โดยการนาเทคนคิ ทางสถิตมิ าวเิ คราะห์Sigma (  ) ใช้แทนค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน โดยซกิ ซกิ มา( 6 ) เป็ นระดบั ท่บี อกถงึ ความสมบรูณ์แบบท่เี ป็ นระดบั สูงสุดท่ตี ้องบริหารไปให้ถงึหลักการสาคัญ คอื ลดความผิดพลาดหรือความสูญเปล่าในทกุ ขนั้ ตอนของกระบวนการทาธุรกิจ เพ่ือให้ลูกค้าพงึ พอใจและบริษัทมีกาไรมากขนึ้สรุป เป้ าหมายของซกิ ซกิ มา คือการปรับปรุงคุณภาพการบริหารโดยนาเทคนิคทางสถติ มิ าวเิ คราะห์เป็ นตวั เลข เป้ าหมาย คอื ความสุขความพงึพอใจลูกค้าและผลกาไรท่เี พ่มิ ขึน้ 33

การออกแบบองค์การและ การจัดการด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์การจดั องค์การให้มีลกั ษณะเป็นพลวตั ร (dynamic ) ไมห่ ยดุ นิ่ง หรือคงที่ โดยการปรับปรุงเปลย่ี นแปลงให้องค์การเข้ากบั สภาพแวดล้อมภายนอกอยา่ งเหมาะสมการจดั องค์การในลกั ษณะการจดั การกบั ความหลากหลายของประชากร กลา่ วคือสงั คมโลกในอนาคต แหง่ ศตวรรษท่ี 21 จะเน้นสงั คมแหง่ ข้อมลู ขา่ วสาร มีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย ทาให้โลกเลก็ ลง บริษัทตา่ งๆทาธุรกิจกนั ได้ทวั่ โลก มกี ารกีดกนั น้อยลงสามารถไปมาหาสกู่ นั ได้โดยไร้พรมแดน ผ้บู ริหารต้องบริหารงานในลกั ษณะผ้บู ริหารข้ามวฒั นธรรม มกี ารทางานเป็นทีม มีความร่วมมือกนั มากขนึ ้ 34

จบบทท่ี 4 แล้วจ้า 35


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook