บวั หลวง 46 ชื่อวทิ ยำศำสตร์ : Nelumbo nucifera Gaertn. ชื่อเรียกอ่ืน : บุณฑริก ปุณฑริก ปทุม ปัทมำ โกกระณต สัตตบุษย์ บัวฉัตรขำว สัตตบงกช บวั ฉัตรชมพู โช้ค บัวอบุ ล ช่ือวงศ์ : NELUMBONACEAE ลักษณะ : พืชน้ำอำยุหลำยปี ลำต้นเป็นเหง้ำใต้ดิน หรือเป็นไหลเหนือดินนำมำ รบั ประทำนได้ เรยี กว่ำ “รำกบัว” ใบ ใบเดี่ยวแตกจำกข้อของลำต้น ใบรูปกลมใหญ่ เส้นผ่ำนศูนย์กลำง 15-40 ซม. ขอบใบเรียบและเปน็ คล่นื สเี ขยี ว มีนวลเคลอื บทำให้ไมเ่ ปียกน้ำ ก้ำนใบและก้ำนดอก กลมเรียวแข็งมีหนำมเล็กๆ ชขู น้ึ เหนือนำ้ มีเส้นใยสีขำว ดอก ดอกเดี่ยวออกจำกข้อของเหง้ำใต้ดิน ท่ีบรเิ วณซอกใบ กลบี เล้ียงขนำดเล็ก 4-5 กลีบ กลีบดอกจำนวนมำกเรียงซ้อนกันหลำยชั้น สีขำว หรือสีชมพู เกสรเพศผู้สี เหลืองจำนวนมำก บำงคร้ังเปลี่ยนไปเป็นกลีบดอกทำให้กลีบดอกซ้อนกันแน่น ฐำนรองดอกบวมขยำยใหญ่เรียกวำ่ “ฝักบัว” ผล ผลกลมุ่ ประกอบดว้ ยผลย่อยจำนวนมำก เจรญิ อยูภ่ ำยในฝกั บวั ภำยในผลย่อย มเี มล็ดขนำดใหญ่ ใบเลย้ี งหนำนำมำรับประทำนได้ เรียกวำ่ “เมด็ บัว”
47 กำรกระจำยพันธ์ุ : ไหล โดยกำรแยกกอ หรอื กำรแยกเหงำ้ เปน็ วิธีที่เหมำะสำหรบั บวั ในเขตร้อนคือบัวหลวง จะสร้ำงไหลจำกเหง้ำ (รำก) ของต้นแม่แล้วงอกไปเป็นต้น ใหม่ สำมำรถขยำยพันธุ์โดยกำรตัดเหง้ำ ให้มีควำมยำวประมำณ 2-3 ข้อ มีตำ ประมำณ 3 ตำ ตน้ อ่อนจะขน้ึ จำกตำ และเจริญเป็นต้นใหม่ ประโยชน์ : ไมป้ ระดับ กำ้ นใบและกำ้ นดอก ทำกระดำษ และเส้นใยใช้ทำไส้ตะเกียง บูชำพระ, เปลือกเมล็ดบัวแหง้ และฝักแกท่ ำปยุ๋ , เคร่อื งสำอำง, สมุนไพร, บริโภค ซ่ึง สรรพคุณทำงยำรำกบัว นำไปต้มกับน้ำตำลกรวด แก้ร้อนใน ชำวอินเดีย จะให้เด็ก ด่ืมน้ำรำกบัว เพ่ือระงับอำกำรท้องร่วง, สำยบัว กินเพ่ือแก้อำกำรท้องร่วง, ใบบัว นำมำหัน่ ฝอย ๆ ชงด่ืมแทนน้ำชำ ช่วยแก้ร้อนในกระหำยน้ำได้เป็นอย่ำงดี, เกสรบัว ส่วนของเกสรสีเหลือง สำมำรถใช้เข้ำเครื่องยำท้ังไทยและจีน โดยเฉพำะยำลม ยำ หอม ยำบำรุงหัวใจ และยำขับปัสสำวะ, ดีบัว เป็นส่วนของต้นอ่อนที่อยู่ภำยในเม็ด บัว มีรสขมจัด สำมำรถนำมำเป็นส่วนผสมของยำโบรำณ มีฤทธิ์ขยำยหลอดเลือดที่ ไปเลี้ยงกลำ้ มเนือ้ หวั ใจได้ ควำมมงคล : บัวหลวง นับว่ำเป็นสัญลักษณ์แห่งควำมดีงำมในทำงพระพุทธศำสนำ ซึง่ นบั ต้ังแต่อดตี จนถึงปัจจุบันคนไทยก็ยังนิยมนำดอกบัวหลวงมำใช้บูชำพระ ยำกที่ จะหำไม้ดอกชนิดอ่ืนมำทดแทนได้ ซ่ึงบัวท่ีนิยมนำมำไหว้พระน่ันก็คือ บัวหลวง นอกจำกดอกท่ีมีคณุ คำ่ แล้ว ส่วนอ่นื ๆของบัวหลวงก็มีคุณคำ่ ไมแ่ พ้ดอก ซ่ึงแต่ละส่วน กล็ ้วนแลว้ แต่มปี ระโยชนท์ งั้ ส้ิน
บัวสำยแดง 48 ชอ่ื วิทยำศำสตร์ : Nymphaea pubescens Willd. ชื่อเรียกอ่ืน :บัวสำยขำว บัวสำยแดง บัวสำยสีชมพู รัตอุบล เศวตอุบล สัตตบรรณ เศวตอุบล ชือ่ วงศ์ : NYMPHAEACEAE ลกั ษณะ : ตน้ ไมโ้ ผล่เหนอื น้ำ อำยุหลำยปี จัดอยู่ในกลุ่มอุบลชำติ ลำต้นมีทั้งท่ีเป็น เหงำ้ สน้ั ๆ อยใู่ ตด้ นิ คล้ำยหวั เผอื ก ใบ ใบเด่ียว เรียงสลับ ใบรูปไข่ค่อนช้ำงกลม ขนำด 25-30 เซนติเมตร ฐำนใบหยัก เว้ำลึก ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อยใหญ่ หูใบเปิด ผิวใบด้ำนบนเรียบเป็นมันใบอ่อนสี แดงเลือดหมู ใบแก่มีสีเขยี ว ผิวใบด้ำนล่ำงถ้ำเป็นใบอ่อนสีม่วง ใบแก่มีสีน้ำตำลมีขน นุ่มๆ เส้นใบใหญ่นูน ก้ำนใบสีน้ำตำล ยำวเท่ำระดับน้ำท่ีส่งแผ่นใบข้ึนมำลอยเรียง เปน็ วงทผ่ี วิ นำ้
49 ดอก สมี ่วงแดง ชมพู ชำว ออกเป็นดอกเด่ียวจำกเหง้ำ ก้ำนดอกสีน้ำตำลอวบกลม ส่งดอกขึ้นลอยที่ผิวน้ำ กลีบเล้ียง 4 กลีบ สีเขียวเหลือบน้ำตำลแดง ดอกรูปคร่ึง วงกลมถึงค่อนข้ำงกลม กลีบดอกจำนวนมำกเรียงซ้อนกันหลำยช้ัน เกสรเพศผู้สี เหลืองหรือสตี ำมกลีบดอกจำนวนมำก ลักษณะเปน็ แผ่นแบน มีอับเรณูเปน็ ร่องขนำน ตำมควำมยำว รังไข่ขนำดใหญ่ติดกับช้ันของกลีบดอก เกสรเพศเมียติดกับรังไข่ ดำ้ นบนตำมแนวรศั มี กำ้ นดอกสีนำ้ ตำล ดอกบำนชว่ งใกลค้ ่ำถึงตอนสำยของวันรุ่งขึ้น ดอกบำนเตม็ ทีก่ ว้ำง 15-20 เซนตเิ มตร ฝัก/ผล ผลสดคอ่ นขำ้ งกลม เรียก \"โตนด\" มีเนอื้ เมลด็ เมล็ดทรงกลมจำนวนมำก กำรกระจำยพันธ์ุ : เป็นบวั พนั ธ์ุพื้นเมืองของไทย พบตำมแหล่งน้ำจืดท่ัวไป ไม่พักตัว ในฤดหู นำว ประโยชน์ : ไมป้ ระดบั , บริโภค, สมุนไพร, กำ้ นชดู อกเรียกว่ำ ‘บัวสำย’ รับประทำน ได้ สรรพคุณของหัวบัวสำยแดง ช่วยบำรุงร่ำงกำย ดอก และเมล็ด ช่วยบำรุงกำลัง สำยบวั ช่วยบำรงุ กระดูกและฟันใหแ้ ข็งแรง
บวั สตั ตบษุ ย์ หรอื บวั บชู ำสีขำว 50 ชือ่ วทิ ยำศำสตร์ : Nelumbo nucifera Gaertn. cv. ‘Album plenum’ ชอื่ เรียกอ่ืน :บัวฉตั รขำว ชือ่ วงศ์ : NELUMBONACEAE ลกั ษณะ : ตน้ ไมน้ ำ้ อำยุหลำยปเี หงำ้ ใตด้ ิน ใบ ใบเด่ียว รูปกลม เส้นผ่ำนศูนย์กลำง 15-40 เซนติเมตร ขอบเรียบถึงเป็นคล่ืน เลก็ นอ้ ย แผ่นใบสีเขียว มนี วล ก้ำนใบทรงกระบอก สีเขียว แข็ง มปี ุ่มหนำมเล็กๆ ดอก ดอกเด่ียว ขนำดใหญ่ ดอกตูมทรงป้อม ดอกสีขำว กลีบเล้ียงด้ำนนอกสีเขียว อ่อน ด้ำนในสีขำว กลีบดอกใหญ่ ซ้อนกันหลำยชั้น สีขำว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ก้ำน ดอกยำว มหี นำมเล็กๆ ออกดอกตลอดปี ออกมำกในฤดูรอ้ นและฤดูฝน
51 กำรกระจำยพันธุ์ : มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชีย เช่น ในประเทศจีน อินเดีย และไทย เปน็ ต้น สำหรับในประเทศไทยนนั้ บัวสัตตบุษยน์ ับเป็นพืชพน้ื ถ่นิ ของไทย และเป็นพืช ชนิดแรกๆ ที่บรรพบุรุษของไทยนำมำใช้ประโยชน์ ทั้งในกำรใช้บริโภค, ใช้ใน ประเพณีและควำมเช่ือต่ำงๆ ปัจจุบันสำมำรถพบเห็นบัวสัตตบุษย์ได้ท่ัวทุกภำคของ ประเทศ แตส่ ว่ นใหญ่มักจะมกี ำรปลูกเชงิ พำณิชย์ในภำคกลำง เช่น อยุธยำ, สระบุรี, นนทบุรี, ปทุมธำนี เป็นต้น นอกจำกน้ีบัวหลวงยังเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดต่ำงๆ ถึง 5 จังหวัด คือ ปทุมธำนี, อุบลธำนี, หนองยังลำภู, พิจิตร, และสุโขทัย อีกด้วย และยงั สำมำรถกำรกระจำยพันธโ์ุ ดยวธิ ีกำรเพำะเมลด็ หรือแยกไหล ประโยชน์ : ปลูกเป็นไม้ประดับ ใช้ในพิธีทำงศำสนำ กลีบดอกและเมล็ดสำมำรถ รับประทำนได้ เกสรมีสรรพคุณทำงยำ ซ่ึงเกสรบัวสัตตบุษย์ และลูกมะตูมอ่อน มสี รรพคณุ เจรญิ อำหำร บำรุงธำตุ คมุ ธำตุ บำรุงกำลัง แกท้ ้องเดิน เกสรบัวสตั ตบุษย์
บวั สตั ตบงกช 52 ชื่อวิทยำศำสตร์ : Nelumbo nucifera ‘Roseum Plenum’ ชอื่ เรยี กอืน่ : บัวหลวงปอ้ มแดง บวั ฉตั รแดง ชือ่ วงศ์ : NELUMBONACEAE ลักษณะ : ต้น ไม้น้ำอำยุหลำยปี มเี หง้ำ และไหลอยู่ใต้ดนิ ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่ค่อนข้ำงกลม เส้นผ่ำนศูนย์กลำง 15-40 เซนติเมตร ปลำยทู่ถึงกลมมน โคนเวำ้ ลกึ ขอบเรยี บเป็นคล่ืนเล็กน้อย แผ่นใบเรียบสีเขียวมีนวล เคลือบ ก้ำนใบทรงกระบอกเรียว มีหนำมเป็นตุ่มเล็ก ๆ ขรุขระ สีเขียว ใบไม่แตะ ผิวน้ำ ดอก ดอกเด่ียว ดอกสีชมพูปนขำว ก้ำนดอกสีเขียว กลีบเล้ียง 4-5 กลีบ สีชมพูอม เขยี ว กลีบดอกซ้อนกันหลำยช้ัน สีชมพู เกสรเพศผู้อยู่รอบฐำนรองดอก ดอกมีกลิ่น หอม ออกดอกตลอดปี
53 กำรกระจำยพันธ์ุ : มีถ่ินกำเนิดในแถบเอเชีย เช่น ในประเทศจีน อินเดีย และไทย เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยนั้นบัวสัตตบงกชนับเป็นพืชพื้นถ่ินของไทย และเป็น พืชชนิดแรกๆ ท่ีบรรพบุรุษของไทยนำมำใช้ประโยชน์ ทั้งในกำรใช้บริโภค, ใช้ใน ประเพณีและควำมเชื่อตำ่ งๆ ปัจจบุ ันสำมำรถพบเห็นบัวสัตตบงกชได้ทั่วทุกภำคของ ประเทศ แต่ส่วนใหญ่มกั จะมกี ำรปลกู เชงิ พำณชิ ย์ในภำคกลำง เช่น อยุธยำ, สระบุรี, นนทบุรี, ปทุมธำนี เป็นต้น นอกจำกน้ีบัวหลวงยังเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดต่ำงๆ ถึง 5 จังหวัด คือ ปทุมธำนี, อุบลธำนี, หนองยังลำภู, พิจิตร, และสุโขทัย อีกด้วย และยงั สำมำรถกำรกระจำยพันธ์ุโดยวธิ ีกำรเพำะเมล็ด หรือแยกไหล ประโยชน์ : ปลูกเป็นไม้ประดับ ใช้ในพิธีทำงศำสนำ กลีบดอกและเมล็ดสำมำรถ รับประทำนได้ เกสรมีสรรพคุณทำงยำ ซึ่งกลีบดอกเป็นยำฝำดสมำน เกสรดอกเป็น หน่ึงในองค์ประกอบของเกสรทั้งห้ำ ที่มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ชำวมำเลเซียใช้กลีบ ดอกช้นั ในตำพอกแกโ้ รคซฟิ ลิ สิ ชำวชวำใชแ้ กท้ ้องรว่ ง กลบี ดอกบัวสัตตบงกช สำมำรถนำมำห่อเมย่ี ง คำรับประทำนได้
ต้นตะขบ 54 ชอื่ วิทยำศำสตร์ : Muntingia calabura L. ช่อื เรียกอนื่ : ครบฝรัง่ (สุรำษฏรธ์ ำนี)ตะขบ, ตะขบฝรัง่ (ภำคกลำง), ครบดง ชอื่ วงศ์ : FLACOURTIACEAE ลักษณะ : จัดเป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนำดเล็ก มีควำมสูงได้ประมำณ 5-7 เมตร และอำจสูงได้ถึง 10 เมตร แตกก่ิงก้ำนแผ่ขนำนกับพื้นดิน เปลือกลำต้นเรียบเป็นสี เทำ ตำมกงิ่ อ่อนมขี นนุ่มข้ึนปกคลมุ ใบ เป็นใบเลี้ยงเดียว เรียงสลับแบบทแยงกัน ลักษณะใบรูปขอบขนำนแกรมรูปไข่ ปลำยใบเรียวแหลม โคนใบข้ำงหน่ึงมน ข้ำงหนึ่งแหลม ขอบใบหยัก มีขนปกคลุม หนำแน่ เส้นใบมี 3-5 เส้น ด้ำนบนสีเขียวด้ำนล่ำงสีนวล ก้ำนใบยำว มีขน โคนก้ำน เป็นปมๆ ดอก ดอกเด่ียว หรือเป็นคู่ เหมือนง่ำมใบ เวลำบำนมีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงประมำณ 2 เซนติเมตร ก้ำนดอกยำว มีขน กลีบรองกลีบดอก 5 กลีบ ไม่ติดกัน สีเขียว รูปหอก ปลำยแหลมเป็นหำงยำว โคลนกลีบตดั ด้ำนนอกมีขน ดำ้ นในเกลี้ยง กลีบดอก 5 กลบี สขี ำว รปู ไข่กลับปอ้ มๆ ยน่ เกล้ียง
55 ผล ลักษณะลูกทรงกลม ผิวบำงเรียบ ขนำด 1.5 เซนตเิ มตร เม่ือสุกมีสีแดง รสหวำน เมล็ด มีลกั ษณะเล็กๆ จำนวนมำก กำรกระจำยพันธ์ุ : ถ่ินกำเนิดในทวีปอเมริกำใต้ ข้ึนทั่วไปตำมพื้นท่ีในเขตร้อน เกิด ตำมท่ีรกร้ำงว่ำงเปล่ำ หรือตำมป่ำโปร่งท่ัวไป นิยมปลูกเป็นไม้ร่มเงำตำมบ้ำนเรือน กำรปลูกและขยำยพันธเ์ุ ปน็ ไม้กลำงแจ้งท่ีปลูกง่ำยโตเร็ว เจริญเติบโตได้ดีในดินทั่วๆ ไปขยำยพันธุด์ ว้ ยกำรเพำะเมลด็ หรอื ตน้ ทเี่ กดิ ขึน้ ใหม่ ประโยชน์ : รส และสรรพคุณในตำรำยำ เปลือกต้น รสฝำด เป็นยำระบำย เพรำะมี สำรพวก Mucilage มำกใบ รสฝำดเอียน ใช้ในกำรขับเหง่ือ ดอก รสฝำด แก้ปวด ศีรษะ แก้หวดั ปวดเกร็งในทำงเดินอำหำร ลดไข้ ต้มรวมกับสมุนไพรอ่ืนๆ เอำน้ำด่ืม เปน็ ยำขบั ระดู และแก้โรคตับอักเสบ ผล รสหวำนเย็น มีกล่ินหอมบำรุงกำลัง ทำให้ ชุ่มชน่ื หวั ใจ รำก รสฝำด กลอ่ มเสมหะและอำจม ผลของต้นตะขบ ลำต้นของต้นตะขบ ดอกของตน้ ตะขบ
ตน้ ดำวอินคำ 56 ช่อื วิทยำศำสตร์ : Plukenetia volubilis L. ชอ่ื เรยี กอนื่ : ถว่ั ดำวอนิ คำ ชื่อวงศ์ : EUPHORBIACEAE ลักษณะ : ดำวอินคำ จดั ได้ว่ำเปน็ ไม้เล้อื ยทีม่ อี ำยุได้ 10-50 ปี และสว่ นของลำต้นน้นั จะสูงไดป้ ระมำณ 5 เมตร โดยโครงสรำ้ งจะเปน็ ไมเ้ ลอ้ื ยท่ีพันตำมตน้ อน่ื ๆ ใบ เป็นใบเด่ียว ยำวประมำณ 10-15 ซม.และมีควำมกว้ำงประมำณ 8-10 ซม. ส่วน ของก้ำนของใบจะยำวประมำณ 2-7 ซม. ปลำยใบมีรูปทรงเรียวแหลม เรียงสลับกัน ส่วนขอบใบเป็นรูปรำ่ งคล้ำยๆเล่อื ย ดอก จะเร่มิ ออกเมอ่ื ดำวอินคำมีอำยุประมำณ 5 เดือน และจะเริ่มติดเมล็ดหลังจำก เริ่มปลูกได้ 8 เดือน กำรออกของดอกน้ันจะออกมำเป็นลักษณะของช่อกระจะ โดยจะมที ั้ง 2 เพศ โดยถ้ำเป็นดอกเพศผู้จะมีสีขำวและเรียงกันตลอดช่อเป็นกระจุก สว่ นดอกเพศเมยี จะมเี พียง 2 ดอก และอยเู่ ฉพำะตรงโคนของช่อดอก
57 ผล มีลักษณะคล้ำยๆดำว 4-7 แฉก ส่วนสีจะเริ่มจำกสีเขียว และสีจะเข้มขึ้นเร่ือยๆ จนกลำยเป็นสีน้ำตำลดำเมื่อมีอำยุมำกข้ึน โดยจะมีเส้นผ่ำศูนย์กลำงประมำณ 3-5 ซม. ส่วนใหญ่จะปล่อยไว้ให้แห้งคำต้นก่อนค่อยเก็บเกี่ยว หลังจำกน้ันจึงนำไปตำก แดดกอ่ นเปน็ เวลำ 24 ชม. จึงสำมำรถนำไปขำยได้ เมล็ด จะมีลักษณะรูปทรงไข่ มีสีน้ำตำลออกดำ มีขนำดควำมกว้ำงตั้งแต่ 1.5-1.8 ซม. ยำวประมำณ 2-2.5 ซม. นำ้ หนกั จะอย่ทู ี่ประมำณ 1-2 กรัม เมล็ดท่ียังดิบอยู่จะ ไม่สำมำรถนำมำรบั ประทำนได้ แต่ถำ้ คั่วจนสุกแล้วจะมคี วำมอร่อยมนั มำก กำรกระจำยพันธ์ุ : มีถ่ินกำเนิดจำกบริเวณลุ่มแม่น้ำอเมซอน ในประเทศเปรู ทวีป อเมรกิ ำใต้ซงึ่ มนุษย์รู้จกั นำมำใชป้ ระโยชนต์ ง้ั แตส่ มยั อินคำ หรือในช่วงปี ค.ศ. 1438- 1533 และสืบทอดมำกันมำสู่คนพื้นเมืองมำจนถึงปัจจุบัน ขยำยพันธ์ุโดย เมล็ด โดยกำรนำเมล็ดที่แก่แล้วมำเพำะในถุงดำ เมื่อต้นสูงประมำณ 30 ซม.จึงย้ำยปลูก หรือหยอดเมลด็ ในหลุมปลกู เลย ประโยชน์ : ทุกส่วนของต้นดำวอินคำสำมำรถนำมำใช้ประโยชน์ได้ ยอดและใบอ่อน สำมำรถนำไปประกอบอำหำรได้ เชน่ นำไปผัด ใบของต้นดำวอินคำ โดยเฉพำะใบที่ ยังไม่แก่มำกนำมำห่ันแล้วผึ่งแดด 1–2 แดด นำไปต้มดื่มเป็นน้ำชำ สำมำรถลด น้ำตำล และไขมันในเสน้ เลอื ด หรือนำไปสกดั เป็นน้ำคลอโรฟลิ ล์
ตน้ กระท่อม 58 ช่ือวทิ ยำศำสตร์ : Mitragyna speciosa (Roxb.) Korth. ช่อื เรียกอื่น : ท่อม (ภำคใต้), กระท่อม อถี ่ำง (ภำคกลำง) ชือ่ วงศ์ : RUBIACEAE ลักษณะ : ไม้ต้นขนำดกลำง สูงได้ถึง 15 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ำม รูปไข่ ปลำย แหลม โคนป้ำน หูใบระหว่ำงก้ำนใบเป็นแผ่นคล้ำยใบ ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่น ออกตำมปลำยก่ิง มี 1-3 ช่อ ช่อกลำงสั้นมำก แต่ละช่อประกอบด้วยดอกสีเหลือง กลีบเล้ียงเป็นหลอดสั้น ปลำยมี 5 แฉก กลีบดอกเป็นหลอดยำว ปลำยแยกเป็น 5 หยัก เกสรเพศผู้ 5 อนั รังไขอ่ ยใู่ ตว้ งกลบี ผลเลก็ มีสันตำมยำว 10 สนั เมลด็ มปี ีก ใน ประเทศไทยมีหลำยพันธ์ุ แตล่ ะพนั ธ์ุแตกต่ำงกนั ท่ลี ักษณะของใบ กล่ำวคือ พันธ์ุก้ำน แดงมีก้ำนและเส้นใบสีแดง พันธุ์แตงกวำมีเส้นใบสีเขียวอ่อนกว่ำแผ่นใบ พันธุ์ยักษ์ ใหญ่มีใบขนำดใหญ่กวำ่ พันธ์ุอ่ืนและส่วนบนของขอบใบเป็นหยัก พันธ์ุที่นิยมบริโภค กันมำกคือ พันธก์ุ ำ้ นแดง
59 กำรกระจำยพันธ์ุ : สำมำรถพบได้ในจังหวัดปทุมธำนีมำกเป็นพิเศษ ส่วนในภำคใต้ จะพบตำมป่ำธรรมชำติ เช่น ป่ำในจังหวัดสุรำษฎร์ธำนี นครศรีธรรมรำช สงขลำ พทั ลุง ยะลำ เป็นต้น ซ่งึ สำมำรถขยำยพันธไุ์ ดด้ ว้ ยดว้ ยเมล็ด ตอนกงิ่ ประโยชน์ : ยำพน้ื บ้ำนของไทยใชใ้ บกระท่อมบำบดั อำกำรท้องร่วงและเค้ียวกินแทน ฝ่ิน ก่อนท่ีจะมีกำรออกพระรำชบัญญัติห้ำมปลูกและกำรมีไว้ในครอบครอง เพรำะ เช่อื ว่ำใบกระทอ่ มชว่ ยเพ่ิมพลังในกำรทำงำน ทำให้ทนต่อกำรทำงำนหนักกลำงแดด ได้ แต่ไม่ทนฝน เมื่อหยุดใช้ทำให้ท้องร่วง อ่อนเพลีย หงุดหงิด น้ำตำไหล และคัด จมกู เม่อื กลบั มำใชใ้ หมจ่ ะรสู้ ึกสบำยและอำกำรตำ่ งๆ ดังกล่ำวจะหำยไป โทษ : หำกใชต้ ดิ ต่อกนั เป็นเวลำนำนทำให้เบื่ออำหำร นำ้ หนกั ลด ผิวหนังมีสีคล้ำโดย เฉพำะทใ่ี บหน้ำและริมฝปี ำก ท้องผูก และปำกแหง้ ดอกกระท่อม นำใบกระทอ่ มมำ ทำเปน็ ยำรักษำโรค
ตน้ ไชยำ หรอื คะนำ้ เม็กซกิ นั 60 ชอื่ วิทยำศำสตร์ : Cnidoscolus chayamansa McVaugh ช่ือเรยี กอ่นื : ผักไชยำ คะนำ้ เม็กซกิ ัน ผักโขมตน้ หรือ ชำยำ มำจำกภำษำสเปนของ คำวำ่ Chaya ช่อื วงศ์ : EUPHORBIACEAE ลกั ษณะ : เป็นไมพ้ มุ่ ลำต้นมลี ักษณะอวบนำ้ ควำมสงู ของลำต้นประมำณ 2-6 เมตร เปลือกของลำต้นเป็นสีน้ำตำล ข้ำงในมีน้ำยำงสีขำว ๆ ส่วนใบมีลักษณะคล้ำยใบเม เปิล โดยขอบใบจะแยกออกเป็น 3-4 แฉก ดอกของคะน้ำเม็กซิกันเป็นสีขำว ลักษณะดอกจะออกเป็นช่ออยู่ปลำยก่ิง และในแตล่ ะช่อจะประกอบไปด้วยดอกย่อย จำนวนมำก
61 กำรกระจำยพันธ์ุ : นำก่ิงที่ค่อนข้ำงแก่มำตัดเป็นท่อนๆ แล้วชำลงถุงดำ ใช้เวลำ ประมำณ 2-3 สัปดำห์กิ่งจะเร่ิมแตกใบอ่อน รอให้ต้นแข็งแรงจึงย้ำยลงปลูกในดิน กำรดูแลรกั ษำค่อนข้ำงงำ่ ย เพรำะคะนำ้ เมก็ ซโิ กเปน็ พชื ทปี่ ลูกง่ำย โตเรว็ และไม่ค่อย มแี มลงรบกวน สำหรับตน้ ท่ีตัดก่ิงมำปลูกทำงผู้เช่ียวชำญแนะนำว่ำควรรอให้ต้นไม้มี อำยุประมำณ 2 ปี เพ่ือให้ต้นแข็งแรงเสียก่อนจึงค่อยเก็บมำบริโภค และไม่ควรเก็บ ใบจำกต้นเกนิ กวำ่ 50% เพรำะจะทำให้ตน้ โทรมไดง้ ่ำยๆ ประโยชน์ : กำรใชพ้ ืน้ บ้ำนในตำ่ งประเทศคอื ใชเ้ ป็นยำระบำย ขับปัสสำวะ เพิ่มกำร ไหลเวยี นโลหติ ช่วยยอ่ ยอำหำร (1-2) คุณค่ำทำงโภชนำกำร คะน้ำเม็กซิโกเป็นผักท่ี มีคุณค่ำทำงอำหำรสูง และคะน้ำเม็กซิกันยังเป็นแหล่งที่ดีของโปรตีน วิตำมิน แคลเซียม โพแทสเซียม และเหล็ก แล้วยังเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ของสำรต้ำน อนมุ ูลอิสระ ใบคะน้ำเมก็ ซกิ ันยังมีระดบั สำรอำหำรสูงกวำ่ ผกั ใบเขียวชนิดใดๆ ท่ีปลูก บนดิน 2-3 เท่ำอกี ดว้ ย
ผกั ปลัง 62 ชื่อวทิ ยำศำสตร์ : Basella alba L. ชื่อเรยี กอน่ื : ผกั ปลงั ใหญ่ ผกั ป๋งั ช่ือวงศ์ : BASELLACEAE ลักษณะ : ไม้เลื้อย ทุกส่วนอวบน้ำ สีเขียวหรือสีแดง ใบเด่ียว เรียงสลับ รูปไข่ยำว 0.5-4.5 เซนติเมตร กวำ้ ง 0.2-2.5 เซนติเมตร ปลำยใบแหลม ฐำนใบรูปลิ่ม ขอบใบ เรยี บ ผวิ ใบเกล้ียงทง้ั สองด้ำน ก้ำนใบยำว 0.2-1.5 เซนติเมตร ผิวด้ำนนอกเกลี้ยงช่อ ดอกแบบช่อเชิงลด ยำว 0.3-3 เซนติเมตร ออกที่ซอกใบ ก้ำนช่อดอกยำว 0.5-3.5 เซนติเมตร ใบประดับมี 1 ใบรองรับดอกย่อยแต่ละดอก รูปใบหอกหรือรูป สำมเหลี่ยม ยำว 0.1-0.5 มิลลิเมตร กว้ำง 0.1-1 มิลลิเมตร ไม่มีก้ำนดอกย่อยไม่มี กลีบเล้ียง กลีบรวม สีขำวหรือสีเหลืองอ่อน รูประฆัง ยำว 0.1-3 มิลลิเมตร ปลำย แยกเปน็ 5 แฉกเล็กน้อย เกสรเพศผู้มี 5 อัน ติดที่ฐำนของกลีบดอก อับเรณูรูปกลม ยำว 0.1-0.5 มลิ ลเิ มตร ตดิ กำ้ นชูเกสรทด่ี ำ้ นหลัง ก้ำนชเู กสรเพศผู้ เปน็ แทง่ ยำว 0.1- 1 มิลลิเมตร เกสรเพศเมยี รงั ไข่อย่เู หนือวงกลีบ รปู ค่อนขำ้ งรยี ำว 0.1-0.5 มิลลิเมตร กำ้ นชเู กสรเพศเมีย ยำว 0.1-0.5 มลิ ลิเมตร ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 3 แฉก แต่ละ แฉกเป็นรูปแท่งปลำยแหลม ยำว 0.1-0.5 มลิ ลเิ มตร
63 กำรกระจำยพันธุ์ : มีถ่ินกำเนิดมำจำกแอฟริกำกลำง และกระจำยพันธุ์มำสู่เอเชีย ในประเทศไทยพบได้ท่วั ไป มกั พบอยใู่ กลก้ ับหมู่บำ้ น และอำคำรเกำ่ ประโยชน์ : ตำรำยำไทย ทงั้ ต้น รสเยน็ ต้มดื่มแก้ขดั เบำ แกท้ อ้ งผกู ลดไข้ โขลกพอก แก้กลำก ผ่ืนคัน แก้พิษฝีดำษ แก้อักเสบ ใบ มีรสหวำนเอียน ระบำยท้อง ขับ ปัสสำวะ แก้บิด แก้อักเสบ แก้โรคกระเพำะอักเสบ แก้กลำก แก้ผ่ืนคัน ฝี ดอก รสหวำนเอยี น ใช้ทำแก้กลำกเกลอื้ น แก้โรคเรือ้ น ดบั พษิ ฝีดำษ แก้เกล้ือน คั้นเอำน้ำ ทำแก้หัวนมแตกเจ็บ ตน้ รสหวำนเอยี น แกอ้ ดึ อดั แนน่ ท้อง ระบำยท้อง แก้พิษฝีดำษ แก้พิษฝี แก้อักเสบบวม ต้มด่ืมแก้ไส้ติ่งอักเสบ รำก รสหวำนเอียน แก้มือเท้ำด่ำง แก้รังแค แก้โรคผวิ หนัง แกท้ อ้ งผูก แกพ้ รรดึก ใช้ทำถูนวดใหร้ อ้ นเพอื่ ให้เลอื ดมำหลอ่ เลี้ยงบริเวณที่ทำให้มำกข้ึน น้ำคั้นรำกเป็นยำช่วยหล่อลื่นภำยใน และขับปัสสำวะ ใบ ยอดอ่อน ช่อดอก นำมำต้มลวกเป็นผักจ้ิมน้ำพริก หรือน่ึงกับปลำ ยอดอ่อน ใบ นำมำแกงจืดกับหมูสับ ช่อดอก ต้น และใบ แกงส้ม เป็นผักที่มีคุณค่ำทำงอำหำร มีธำตุเหล็กและแคลเซียมสูง อุดมด้วยวิตำมิน A, Bและ C เป็นผักท่ีมีเมือกมำก กิน แลว้ ช่วยระบำยอ่อนๆ ผล ใช้แต่งสีอำหำร ใหส้ มี ว่ งแดง
ตน้ ข้เี หลก็ 64 ช่ือวิทยำศำสตร์ : Senna siamea (Lam.) Irwin&Barneby ชอ่ื เรียกอ่ืน : ขเ้ี หล็กแกน่ (รำชบุรี), ข้เี หล็กบ้ำน (ลำปำง, สรุ ำษฎ์ธำนี), ข้ีเหล็กหลวง (ภำคเหนอื ), ขี้เหลก็ ใหญ่ (ภำคกลำง) ชอื่ วงศ์ : LEGUMINOSAE-CAESALPINOIDEAE ลักษณะ : ไม้ต้น ขนำดกลำงถึงใหญ่ สูง 8-15 เมตร ไม่ผลัดใบ เปลือกบำงสีเทำอม น้ำตำล แตกตำมยำวเป็นรอ่ ง ใบ ใบเรียงสลับ ใบประกอบแบบขนนกช้ันเดียวปลำยคู่ ใบย่อย 7-10 คู่ รูปขอบ ขนำน กว้ำง 1.0-1.5 เซนติเมตร ยำว 3-7 เซนติเมตร โคนใบมน ปลำยใบมนหรือเว้ำ บมุ๋ ดำ้ นลำ่ งมขี นสั้นปกคลุม ดอก ดอกชอ่ ออกทปี่ ลำยก่ิง ช่อดอกยำว 20-30 เซนติเมตร ดอกสเี หลอื ง กลบี ดอกมี 5 กลีบ รูปไข่กลับ กลีบแยกกัน เม่ือบำนเส้นผ่ำนศูนย์กลำง 1.5-2.5 เซนติเมตร เกสรเพศผู้ 10 อนั รังไข่มขี น ผล ผลเป็นฝักแบนกว้ำง 1.0-1.5 เซนติเมตร ยำว 20-30 เซนติเมตร สีน้ำตำล ฝักโคง้ เล็กน้อย แตล่ ะฝกั มเี มลด็ 20-30 เมลด็ เรียงตำมขวำง
65 กำรกระจำยพันธุ์ : ไม้ข้ีเหล็กเป็นไม้ท่ีชำวบ้ำนรู้จักกันดี พบข้ึนตำมป่ำเบญจพรรณ ทั่วๆ ไปทีส่ ูงจำกระดบั น้ำทะเล 10-400 เมตร สำมำรถพบได้ในทุกภำคของประเทศ ไทย ปัจจุบันได้มีกำรปลูกตำมไร่นำ หรือตำมถนน โดยมีควำมมุ่งหมำยเพ่ือเป็นไม้ ประดับ ให้ร่มเงำ และใช้เป็นอำหำร อำจเป็นเพรำะเหตุน้ีเอง จึงได้ช่ือว่ำ “ข้ีเหล็ก บ้ำน” อีกชื่อหนง่ึ ประโยชน์ : ดอก รักษำโรคเส้นประสำท นอนไม่หลับ ทำให้หลับสบำย รักษำหืด รักษำโรคโลหิตพิกำร ผำยธำตุ รักษำรังแค ขับพยำธิ รำก รักษำไข้ รักษำโรคเหน็บ ขำ ทำแกเ้ สน้ อมั พฤกษใ์ ห้หย่อน แก้ฟกชำ้ แก้ไขบ้ ำรงุ ธำตุ ไขผ้ ิดสำแดง ลำตน้ และก่งิ เป็นยำระบำย รกั ษำโรคผวิ หนงั แกโ้ รคกระษัย แก้นว่ิ ขับปสั สำวะ ขับระดูขำ ท้ังต้น แก้กระษัย ดับพษิ ไข้ แก้พิษเสมหะ รกั ษำโรคหนองใน รกั ษำอำกำรตัวเหลือง เป็นยำ ระบำย บำรุงนำ้ ดี ทำให้เส้นเอ็นหย่อน
ตน้ สะเดำ 66 ชื่อวิทยำศำสตร์ : Azadirachta indica var. siamensis valeton ชื่อเรยี กอ่นื : กะเดำ สะเลียม Neem Tree ชื่อวงศ์ : MELIACEAE ลกั ษณะ : ไม้ยืนต้นสูง 8-15 เมตร ผลัดใบ ทุกส่วนมีรสขม เปลือกต้นสีเทำแตกเป็น รอ่ งตำมยำว ยอดออ่ นที่แตกใหมม่ ีสีน้ำตำลแดง ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก เรียง สลบั ใบยอ่ ยฐำนใบไม่เท่ำกนั รปู ใบหอกปลำยสอบ ขอบใบหยักแบบฟันเล่ือย กว้ำง 3-4 ซม. ยำว 4-7 ซม. ดอก ออกเปน็ ช่อตำมปลำยก่ิงพร้อมใบอ่อน ดอกมีขนำดเล็ก กลบี ดอกสีขำมมี 5 กลีบ ผล เป็นผลสดรูปกลมรีขนำดผ่ำศูนย์กลำงประมำณ 1-1.5 ซม. มีเมล็ดเด่ยี ว แขง็
67 กำรกระจำยพันธุ์ : ในธรรมชำติพบกระจำยบริเวณป่ำเบญจพรรณ และป่ำดิบแล้ง ทีร่ ะดับควำมสูง 50-300 เมตร ในทุกภำคยกเว้นภำคใต้ ออกดอกเดือนกุมภำพันธ์- พฤษภำคม ปัจจุบนั นิยมปลกู เปน็ ไมเ้ ศรษฐกิจและไมป้ ระดบั สองขำ้ งถนนท่ัวไป ประโยชน์ : ชอ่ ดอกอ่อนนิยมใช้เป็นอำหำร ในตำรำยำไทยใช้ก้ำนอ่อนและใบแก้ไข้ ทุกชนิด เปลือกต้นแก้ท้องเดิน ใช้แก้บิดมูกเลือด ผลเป็นยำถ่ำยพยำธิ แก้ริดสีดวง แกป้ ัสสำวะพิกำร ดอกเป็นยำบำรงุ ธำตุ รำกใช้แก้ไข้ ทำให้อำเจียน ในทำงเคมีพบว่ำ เมล็ดและใบมีสำร azadirachtin ซ่ึงมฤี ทธิ์ฆ่ำแมลงได้ผลดหี ลำยชนิด
หญำ้ แฝก 68 ช่อื วทิ ยำศำสตร์ : Vetiveria zizanioides (L.) Nash ex Small ชอ่ื เรยี กอ่นื : แฝก แฝกหอม แฝกลุ่ม แกงหอม แคมหอม Vetiver ชื่อวงศ์ : POACEAE (GRAMINEAE) ลักษณะ : พืชลม้ ลุกอำยุหลำยปี สูง 1 – 1.6 เมตร มีรำกฝอยท่ีหยั่งลึกในดินได้ถึง 4 เมตร รำกมกี ลิน่ หอม ใบเดย่ี ว รปู ขอบขนำน กวำ้ ง 0.4 – 1.5 ซม. ยำว 30 - 75 ซม. ปลำยใบสอบแหลม ผิวดำ้ นลำ่ งเกล้ียง ขอบใบมีขนสำก ดอกออกเป็นช่อท่ีกลำงยอด ยำว 15 - 40 ซม. ดอกย่อย ด้ำนล่ำงฝ่อ ด้ำนบนสมบูรณ์เพศ เกสรเพศผู้ ๓ อัน อับ เรณูสสี ้ม เกสรเพศเมยี ยอดเกสรสชี มพู เมล็ด สนี ้ำตำลอ่อน รูปกระสวยผิวเรียบ หัว ท้ำยมน
69 กำรกระจำยพันธุ์ : มีถิ่นกำเนิดในอินเดียตอนเหนือ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแพร่กระจำยไปยังประเทศอ่ืนๆ ในเขตร้อนและก่ึงร้อน ประโยชน์ : หญ้ำแฝกสำมำรถทนต่อสภำพดินและภูมิอำกำศต่ำงๆได้ดี ปัจจุบัน ประเทศไทยมีกำรรณรงค์สนับสนุนเป็นอย่ำงมำกในกำรปลูกหญ้ำแฝก เพื่ออนุรักษ์ ดินและนำ้ ใบหญ้ำแฝกนำมำทำแฝกมุงหลงั คำ และงำนหัตถกรรม
ทองอุไร 70 ชอ่ื วทิ ยำศำสตร์ : Tecoma stans (L.) Kunth ชอ่ื เรยี กอนื่ : Yellow bell, Yellow elder ชอ่ื วงศ์ : BIGNONIACEAE ลักษณะ : ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนำดเล็ก สูง 2-5 เมตร ใบประกอบแบบขนนกปลำยคี่ เรียงตรงข้ำม ใบยอ่ ย 2-5 คู่ รูปหอก โคนและปลำยใบแหลม ขอบใบจกั เป็นฟันเลื่อย ดอกออกเป็นช่อที่ปลำยก่ิง กลีบเล้ียง 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นหลอด กลีบดอก 5 กลีบ สีเหลือง เช่ือมติดกัน รูประฆัง ผลเป็นฝัก รูปทรงกระบอก แตกเป็นสองซีก เมล็ดแบน กำรกระจำยพันธุ์ : ถิ่นกำเนิด อเมริกำเขตร้อน หมู่เกำะอินดีสตะวันตก ออกดอก ตลอดปี กำรปลูกเล้ียง ดินร่วน แสงแดดจัด ทนแล้ง น้ำปำนกลำง ขยำยพันธ์ุ เพำะ เมลด็ ประโยชน์ : ปลกู เป็นไมป้ ระดบั
ฟกั ขำ้ ว 71 ชอื่ วทิ ยำศำสตร์ : Momordica cochinchinensis (Lour.) Spreng. ชอ่ื เรยี กอื่น : ขี้กำเครอื ผักข้ำว พุคู้เดำ๊ ะ ช่อื วงศ์ : CUCURBITACEAE ลักษณะ : ไม้เถำ ลำตน้ ออ่ นขนน่มุ ต่อมำจะเกลี้ยง มีมือเกำะเส้นเดียวออกตำมง่ำม ใบ ใบ เป็นใบเดีย่ วออกเรียงสลับกนั แผน่ ใบเวำ้ 3-5 แฉก ลกั ษณะคลำ้ ยใบตำลงึ หรือ ฝกั ทองกวำ้ และยำว 6-15 ซม. ก้ำนใบยำว 5-8 ซม. ดอก มีดอกเพศผู้และดอกเพศ เมียอยู่ต่ำงต้นกัน กลีบดอกมีสีขำวอมเหลือง มี 5 กลีบ ดอกเพศผู้มีก้ำนยำว 5-15 ซม.ดอกเพศเมีย 2-5 ซม.โดยท่ัวไปดอกจะบำนตอนเช้ำ และห่อตัวเมื่อตอนแดดจัด ผล รูปไขค่ อ่ นขำ้ งกลม ขนำดกวำ้ ง 6-9 ซม. ยำว 10-14 ซม. ผวิ มหี นำมสนั้ ทงั้ ผล แก่ จัดเป็นสสี ้มแดง มีเมล็ดจำนวนมำก เรยี งตัวแบบเมล็ดแตงท่วั ไป ลักษณะแบนเปลอื ก หมุ้ สีดำ
72 กำรกระจำยพนั ธุ์ : พบขึ้นท่ัวไปมักอยู่ไม่ไกลลำห้วย ตำมที่รกร้ำงท่ัวไปและชำยป่ำ เบญจพรรณ ออกดอกผลประมำณเดือนกรกฎำคม-ตุลำคม ผลแก่ประมำณเดือน มกรำคม-กุมภำพันธ์ ประโยชน์ : ใช้เป็นอำหำร ใบ ยอดอ่อนและผลอ่อนเมื่อนึ่งหรือลวกจะให้รสหวำน กว่ำต้ม ใช้เป็นอำหำรผักเคียงหรือผักจ้ิม ผลแก่ต้องปลอกเปลือกใช้เนื้อในกำรปรุง อำหำรได้ท้งั ผดั แกง ผลสกุ นำมำทำเปน็ เคร่ืองดื่มสมุนไพรบำรงุ รำ่ งกำย
หญ้ำแหว้ หมู 73 ชอื่ วทิ ยำศำสตร์ : Cyperus rotundus L. ชื่อเรยี กอน่ื : หญ้ำขนหมู (ภำคเหนอื ) ช่อื วงศ์ : CYPERACEAE ลักษณะ : พืชอำยุหลำยปี มีไหล ลำต้นเป็นสำมเหลี่ยม พองออกเป็นหัวที่ฐำน สูง 10-60 เซนติเมตร แผ่นใบทรงยำว แบน ยำวได้ถึง 60 เซนติเมตร กว้ำง 2-5 มิลลเิ มตร ปลำยแหลม กำบใบสีน้ำตำลซีด ใบประดับช่อดอก 2-3 ใบ ใบท่ียำวท่ีสุด มักยำวเทำ่ กบั ช่อดอก ดอกออกเป็นช่อเชิงลด ยำว 1-8 เซนติเมตร มี 3-10 ช่อย่อย ต่อช่อ ทรงรีหรือทรงยำว มีใบประดับอย่ำงน้อย 9 ใบ สีแดง หรือสีม่วงอมน้ำตำล เกสรเพศผู้ 3 อัน อบั เรณูยำว 1 มลิ ลเิ มตร เกสรเพศเมยี 3 อัน ผลทรงกระบอก-ทรง รี เป็น 3 เหลี่ยม กว้ำง 0.5-0.7 มิลลิเมตร ยำว 1.3-1.5 มิลลิเมตร สีน้ำตำล มีจุด โปร่งแสงเลก็ ๆ
74 กำรกระจำยพันธุ์ : กระจำยพันธุท์ ั่วเขตอบอนุ่ และเขตรอ้ น ในประเทศไทยพบได้ท่ัว ประเทศ พบตำมท่ีเปิดโล่งถึงที่ร่มรำไร ระดับควำมสูง 0-1100 เมตร เหนือ ระดับนำ้ ทะเล ประโยชน์ : ยำแผนโบรำณ ใชไ้ หลเปน็ ยำขบั ปสั สำวะ
บวบหอม 75 ชอ่ื วทิ ยำศำสตร์ : Luffa aegyptica Mill. ชื่อเรยี กอ่นื : บวบกลม มะนอยอม มะนอยอม้ ชอ่ื วงศ์ : CURCUBITACEAE ลกั ษณะ : ไม้เถำเลื้อยพันมมี อื เกำะ ใบเดี่ยว รูปเกือบกลม หยักเว้ำเป็นพู ๓ พู ดอก เด่ียวออกจำกซอกใบ เป็นดอกแยกเพศสีเหลือง ผลรูปทรง กระบอก ผิวเรียบ มีหลำยเมล็ด ออกดอกมำกในช่วงฤดูรอ้ นและฤดฝู น ขยำยพนั ธ์ุโดยกำรเพำะเมลด็ ประโยชน์ : ผลอ่อนนำมำประกอบอำหำร หรือลวกจิ้มน้ำพริก ผัดใส่ไข่ ผลสุก จะมี เส้นใยแขง็ ภำยใน ไม่ใชร้ ับประทำน แต่จะนำเส้นใยมำใช้เป็นวัสดุ ขัดถูผิวกำยคล้ำย ฟองน้ำ
ลิน้ มงั กร 76 ชื่อวิทยำศำสตร์ : Habenaria rhodocheila Hance ชอื่ เรียกอื่น : ปัดแดง สงั หิน ชื่อวงศ์ : ORCHIDACEAE ลักษณะ : กล้วยไม้ดิน มีหัว ใบ รูปรีแกมขอบขนำน กว้ำง 1.5-2.5 ซม. ยำว 8-12 ซม. ปลำยใบแหลม ดอก ออกเป็นช่อจำกปลำยยอด ดอกบำนกว้ำง 2.5 ซม. ยำว 3 ซม. กลีบเลยี้ งสีเขยี วอ่อน กลีบปำก มีหลำยสี ต้งั แตส่ สี ม้ สเี หลอื ง สชี มพู จนถงึ สีแดง สีขำวพบได้ยำก กลีบปำกมีขนำด ใหญก่ ว่ำกลีบอืน่ แผ่นกลีบแผ่และเว้ำลึกเป็น 3 พู พูกลำงโคนสอบเรยี ว สว่ นปลำยเวำ้ กำรกระจำยพนั ธ์ุ : พบขึ้นตำมริมลำธำร ในท่ีช้ืน เช่น ซอกหินหรือบนโขดหิน ในป่ำ ดิบชื้น ทั่วทกุ ภำค
หมอ่ นเบอร์รี่ 77 ชือ่ วทิ ยำศำสตร์ : Morus alba Linn. ชือ่ เรียกอนื่ : Mulberry Tree, White Mulberry ชอื่ วงศ์ : MORACEAE ลักษณะ : ไม้พุ่ม สูง 2-5 ม. ใบ เป็นใบเด่ียว เรียงสลับ รูปไข่กว้ำง ขอบใบหยัก ปลำยใบแหลม กวำ้ ง 8-14 ซม. ยำว 12-16 ซม. ผิวใบเกล้ียง สำก คำย ดอก สีขำว หมน่ หรอื แกมเขียว ออกเป็นช่อ รูปทรงกระบอกท่ีซอกใบ ดอกย่อยมีขนำดเล็กมำก แยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน มีกลีบดอก 4 กลีบ ผล เป็นผลรวม รูปกระสวยป้อม ขนำดกวำ้ ง 1 ซม. ยำว 3 ซม. เมื่อสุกสมี ว่ งแดง กำรกระจำยพันธ์ุ : มีถ่ินกำเนิดแถบเทือกเขำหิมำลัยและจีนตอนใต้ในประเทศไทย ปลูกมำกในภำคเหนือ และภำคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ประโยชน์ : นิยมปลูกตำมหมู่บ้ำนเพื่อใช้ใบเป็นอำหำรเลี้ยงตัวไหม ผลสุก รบั ประทำนได้มรี สหวำนอมเปรี้ยว
ผักบ้งุ 78 ชอ่ื วทิ ยำศำสตร์ : Ipomoea aquatica Forssk. ชือ่ เรียกอ่นื : ผักทอดยอด กำจร ช่อื วงศ์ : CONVOLVULACEAE ลักษณะ : พืชล้มลุกอำยุหลำยปี ลำต้นกลวง รำกออกตำมข้อ ใบ รูปสำมเหลี่ยม รปู หอกหรอื รูปขอบขนำนแคบ กว้ำง 1-9 ซม. ยำว 3-15 ซม. ก้ำนใบยำว 3-15 ซม. ดอก สีขำว สีชมพูหรือม่วงอ่อน ออกเป็นช่อมี 2-3 ดอก ลักษณะแผ่เป็นปำกแตร ขนำด 4-7 ซม. กลีบเลยี้ ง 5 กลีบ ติดกนั ตรงโคน กลบี ดอกเช่อื มติดกนั ปลำยแยกเปน็ 5แฉก ยำว 3-5 ซม. เกสรเพศผู้ 5 อัน ติดเหนือโคนกลีบดอก ผล แห้งแลว้ แตก รปู ไข่ หรือกลม ขนำด 1 ซม. เมลด็ มี 4 เมลด็
79 กำรกระจำยพันธ์ุ : พบทั่วไปในเขตร้อน ตำมหนองน้ำคลองบึง ลอยอยู่บนผิวน้ำ หรอื ทอดเลอ้ื ยตำมพื้นดนิ ชมุ่ น้ำ ประโยชน์ : ยอดออ่ นรบั ประทำนเป็นผกั สด ทั้งตน้ เป็นยำระบำยออ่ นๆ บำรุงสำยตำ เป็นยำถอนพิษยำทั้งปวง รำกใช้รักษำสตรีตกขำ ใบใช้ขย้ีทำเมื่อถกู แลงกัดตอ่ ย
มัน5นำที 80 ชอื่ วทิ ยำศำสตร์ : Manihot esculenta (L.) Crantz ชื่อเรยี กอ่นื : มันสำโรง มนั ไม้ ชอ่ื วงศ์ : EUPHORBIACEAE ลักษณะ : ไม้พ่มุ สูง 1.3-5 เมตร รำกแบบสะสมอำหำร (tuberous root) สำยพันธ์ุ ที่นิยมปลูกสูงประมำณ 2.5 เมตร เส้นผ่ำศูนย์กลำง 10-1.5 เซนติเมตร ใบมีร่องลึก 3-7 ร่อง มีหูใบ ก้ำนใบยำว ดอกเป็นช่อดอก ผลแบบแคปซูลทรงกลม ประมำณ 1.2 เซนติเมตร มี 3 เมล็ดใน 1 ผล
81 กำรกระจำยพันธ์ุ : กระจำยพนั ธุ์โดยใชท้ ่อนพันธ์ปุ กั ลงในดิน คอื ใช้ส่วนของลำต้นท่ี มีอำยุต้ังแต่ 6 เดือน ขึ้นไป นำมำตัดเป็นท่อนให้มีขนำดยำว 20-30 ซม. (มีตำประมำณ 7-10 ตำ) แล้วปักลงในดินไม่นิยมปลูกด้วยเมล็ดเนื่องจำกมัน สำปะหลังไมค่ ่อยติดเมลด็ และ เกบ็ เมล็ดลำบำก ประโยชน์ : ประกอบอำหำรคำวหวำน โดยนำส่วนของรำกสะสมอำหำรที่มีกำร สะสมของคำร์โบไฮเดรตไปใชป้ ระกอบอำหำร แปรรปู เปน็ สำรปรงุ แตง่ รสอำหำร
เห็ดหลินจอื 82 ชอ่ื วิทยำศำสตร์ : Ganoderma lingzhi ชื่อเรยี กอ่นื : เห็ดหมนื่ ปี เห็ดอมตะ ชื่อวงศ์ : GANODERMATACEAE ลักษณะ : ดอกเห็ดเป็นรูปไตหรือรูปคร่ึงวงกลม กว้ำง 3-4 เซนติเมตร ยำว 8-20 เซนติเมตร หนำ 1-3 เซนตเิ มตร ดอกออ่ นมีขอบสีขำว ถดั เขำ้ ไปมีสีเหลืองอ่อน กลำง ดอกมสี นี ้ำตำลหรือน้ำตำลแดง ผิวเป็นมันคล้ำยทำด้วยแลคเกอร์ มีร้ิวหรือหยักเป็น คล่ืน ขอบหมวกงมุ้ ลงเลก็ น้อยและหนำ ด้ำนล่ำงเปน็ รูกลมเลก็ ๆ เชอื่ มตดิ กัน
83 ประโยชน์ : บำรงุ รำ่ งกำย เสริมกำลัง บรรเทำอำกำรอ่อนเพลีย เสริมสร้ำงภูมิคุ้มกัน ลดน้ำตำลในเลือด ควบคุมอำกำรของโรคเบำหวำน รวมท้ังโรคที่อยู่ในกลุ่มอำกำร ควำมผิดปกติของระบบเผำผลำญอำหำรของร่ำงกำย ลดไขมันในเลือด ป้องกัน โรคหวั ใจ เสริมสร้ำงควำมจำ ปอ้ งกันอัลไซเมอร์ ชว่ ยให้เลือดลมไหลเวียนได้ดขี ึ้น
ต้นกก 84 ชอื่ วทิ ยำศำสตร์ : Cyperus involucratus Roxb. ช่ือเรียกอ่นื : กกรังกำ, หญำ้ กก, กกกลม ช่อื วงศ์ : CYPERACEAE ลักษณะ : เป็นวัชพืชน้ำท่ีเจริญได้ดีในช่วงฤดูฝนมีลักษณะแตกกอ ลำต้นเหนียว เม่ือออกดอกปลำยฤดูฝน เมล็ดก็จะร่วงลงดิน และจะเจริญในฤดูฝนปีต่อมำ กำรกระจำยพนั ธุ์ : เพำะเมลด็ แยกกอ
85 ประโยชน์ : ทำเป็นเส่ือสำหรับนอน สำหรับปูพื้นในห้องรับแขกแทนพรม และปู ลำดตำมพ้ืนโบสถว์ ิหำร เพือ่ ควำมสวยงำม ทำเป็นกระเปำ๋ แทนกระเป๋ำหนัง ทำเป็น รปู ตำ่ งๆ
เสำวรส 86 ชอื่ วทิ ยำศำสตร์ : Passiflora edulis ชื่อเรยี กอน่ื : กะทกรกฝร่งั กะทกรกสดี ำ กะทกรกยกั ษ์ ชอ่ื วงศ์ : PASSIFLORACEAE ลักษณะ : เป็นไม้เถำเลื้อย ผลเป็นรูปกลม ผลอ่อนสีเขียว เม่ือสุกมีหลำยสีแล้วแต่ พนั ธ์ุ ทง้ั สมี ่วง เหลอื ง สม้ ช้นั ในสุดของเปลอื กเป็นเยื่อสีขำวท่ีเรียกรก ภำยในมีเมล็ด สีดำจำนวนมำก อยูใ่ นเยื่อหุ้มเมล็ดเปน็ ถงุ กลนิ่ คลำ้ ยฝร่ังสุก รสเปรี้ยวจัด บำงพันธ์ุมี รสอมหวำน
87 กำรกระจำยพันธ์ุ : มีกำรปลูกเสำวรสทำงกำรค้ำในหลำยประเทศ ในประเทศไทยมี เสำวรสทปี่ ลูกทว่ั ไป 3 พันธ์คุ อื พันธสุ์ มี ว่ ง เม่ือสกุ เปลอื กสมี ว่ ง เนอ้ื ในสีเหลือง รสอม หวำนมำกกว่ำพนั ธุ์อื่นๆ แตไ่ มค่ ่อยตำ้ นทำนโรคในเขตรอ้ น พนั ธุส์ เี หลืองหรือเสำวรส สีทอง ผลแก่สเี หลือง รสเปรี้ยวมำก นิยมปลกู ในเขตรอ้ น พันธ์ุผสม เม่ือสุกเป็นสีม่วง อมแดง รสเปรย้ี วจัด กลนิ่ แรง สำมำรถปกั ชำและเสียบยอดได้ ประโยชน์ : ผลสุกของเสำวรสนำมำทำน้ำผลไม้และไวน์ หรือเติมลงในน้ำผลไม้ชนิด อ่นื เพื่อเพ่ิมกล่ิน ในทวีปอเมริกำใต้รับประทำนเปลือกของเสำวรสสุก หรือนำไปปั่น รวมกับน้ำตำลและน้ำเสำวรสเป็นเคร่ืองด่ืมที่เรียก Refresco นำเน้ือเสำวรสไปทำ ขนมได้หลำยชนิดท้ังเค้ก ไอศกรีม แยม เยลลี ยอดเสำวรสนำไปแกงหรือกินกับ น้ำพริก เมล็ดนำไปสกัดน้ำมันพืช ทำเนยเทียม เปลือกนำไปสกัดสำรเพกทินหรือ นำมำตำกแหง้ เปน็ อำหำรสตั ว์
ตน้ อ่อมแซบ 88 ช่ือวิทยำศำสตร์ : Asystasia gangetica(L.) T. Anders. ชือ่ เรียกอ่นื : ยำ่ หยำ บุษบำรมิ ทำง ชือ่ วงศ์ : ACANTHACEAE ลกั ษณะ : คล้ำยตน้ ต้อยติ่ง แต่ไม่มขี น ใบสำกไม่แหลม ดอกมีห้ำสี กำรกระจำยพันธุ์ : ขยำยพนั ธุด์ ้วยกำรปกั ชำ ควรปลกู ให้โดนแดดพอสมควร ประโยชน์ : ใชเ้ ป็นไมป้ ระดบั มีสรรพคณุ บำรุงเลอื ด บำรงุ กำลัง บำรงุ สำยตำ
ต้นสกั ทอง 89 ช่ือวทิ ยำศำสตร์ : Tectona grandis L.f. ชอื่ เรียกอื่น : เซบ่ำย้ี, ปฮี อื , ปำย้ี, เป้อยี ช่อื วงศ์ : LAMIACEAE ลักษณะ : ไม้ต้นขนำดใหญ่ผลัดใบในฤดูร้อน ลำต้นเปลำตรงเปลือกเรียบหรือแตก เป็นร่องเล็กๆ สีเทำ โคนเป็นพูพอนต่ำๆ เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกลมค่อนข้ำงทึบ เปลือกสีเทำ เรียบ หรือแตกเป็นร่องต้ืนตำมควำมยำวลำต้น ขึ้นเป็นหมู่ในป่ำเบญจ พรรณทำงภำคเหนือ บำงส่วนในภำคกลำงและภำคตะวันตก มีอยู่บ้ำงทำงภำค ตะวันออกเฉียงเหนือ สักมักจะได้รับควำมเข้ำใจผิดเสมอว่ำเป็นไม้เนื้อแข็ง เน่ืองจำกว่ำมันมีลักษณะพิเศษท่ีเป็นไม้เนื้ออ่อนที่มีควำมทนทำนกว่ำไม้เน้ือแข็ง หลำยๆชนิด
90 ประโยชน์ : ไม้สักทองเป็นไม้โตเร็วปำนกลำงและเป็นไม้เน้ือแข็ง ที่มีลักษณะพิเศษ กว่ำไม้ชนิดอ่ืน โดยเฉพำะเน้ือไม้ มอด ปลวก และแมลง ไม่ทำอันตรำย เนื้อไม้มีสี เหลืองทอง ลวดลำยสวยงำม เล่ือยไสกบตบแต่งง่ำย จึงนิยมใช้ทำบ้ำนเรือนที่ ต้องกำรควำมสวยงำม ในสมัยโบรำณไม้สักทองหำง่ำย รำคำไม่แพง กำรสร้ำง บ้ำนเรือน ใช้ไม้สักทองทำเสำเรือนด้วย เพรำะมีควำมทนทำน สำมำรถอยู่ในดินได้ เป็นเวลำนำนๆ ปัจจุบันไม้สักทองหำยำกและมีรำคำแพง จึงต้องใช้ไม้สักทองอย่ำง ประหยัด และคุ้มคำ่ โดยนำไมส้ กั ทองมำเข้ำเคร่ืองฝำนเป็นแผ่นบำงๆ เพ่ือทำเป็นไม้ อดั แทนกำรใชไ้ มส้ กั ทง้ั แผน่ นอกจำกนี้ ยังนำไม้ขนำดเล็ก เศษไม้ ปลำยไม้ มำใช้ทำ เฟอร์นิเจอร์ แกะสลกั ปำรเ์ ก้ โมเสค วงกบ กรอบและบำนประตูหน้ำต่ำง อย่ำงไรก็ ตำมในขณะที่ไม้สักทองในปำ่ ธรรมชำติ กำลังจะหมดไป รัฐบำลก็มีนโยบำย ส่งเสริม ใหเ้ อกชนปลูกไมส้ กั ทองจำกสวนป่ำท่ีปลูกขน้ึ มำใช้แทนกนั ได้ แมว้ ่ำ ไม้สกั ท่ปี ลูกจะมี ลวดลำยไม่สวยงำมเหมือนไม้สักทองในป่ำธรรมชำติ แต่ก็มีควำมแข็งแรงทนทำน เหมอื นกัน
ต้นพะยูง 91 ชอ่ื วิทยำศำสตร์ : Dalbergia cochinchinensis ชอ่ื เรียกอ่ืน : ขะยุง, พยงุ , แดงจนี และประดูเ่ สน ชื่อวงศ์ : FABACEAE ลักษณะ : พะยูงเป็นไม้ต้น ผลัดใบ สูง 15–25 เมตร เปลือกสีเทำเรียบ ใบเป็นช่อ แบบขนนกปลำยใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบย่อยเรียงสลับจำนวน 7–9 ใบ ขนำดกว้ำง 3–4 เซนติเมตร ยำว 4–7 เซนติเมตร ปลำยใบแหลม โคนใบสอบ ผิวใบด้ำนบนสี เขยี วเข้ม ท้องใบสจี ำง ดอก ขนำดเล็กสีขำว กล่ินหอมอ่อน ออกรวมกันเป็นช่อตำม ง่ำมใบ และตำมปลำยกิ่ง ผล เป็นฝักรูปขอบขนำนแบนบำงขนำดกว้ำง 1.2 เซนติเมตร ยำว 4–6 เซนตเิ มตร มีเมล็ด 1–4 เมล็ด
92 กำรกระจำยพันธุ์ : กำรขยำยพันธ์ุที่นิยมทำกันก็คือ กำรนำเมล็ดมำเพำะให้เป็นต้น กล้ำ ซ่ึงเป็นวิธีท่ีสะดวกและนิยมกันมำก สำหรับวิธีกำรขยำยพันธ์ุโดยวิธี อื่นๆ กส็ ำมำรถทำไดโ้ ดยกำรนำเหง้ำมำปกั ชำ สำมำรถขึน้ ไดใ้ นดนิ ทกุ ชนดิ ทนแล้งไดด้ ี ประโยชน์ : สำมำรถปลกู เป็นไม้ประดับเพื่อให้ร่มเงำที่สำธำรณะหรือในบริเวณบ้ำน ได้ เน่อื งจำกมพี มุ่ ใบละเอียดและมดี อกหอม ผลใชท้ ำเป็นไมป้ ระดับแห้งได้
เครือ่ งจักสำน 93 เคร่ืองจักสำน เป็นงำนศิลปหัตถกรรมอย่ำงหนึ่ง คิดค้นข้ึนโดยมนุษย์เพ่ือใช้สร้ำง เครื่องมือเคร่ืองใช้ในชีวิตประจำวัน ผลิตข้ึนโดยกำรสอด ขัด และสำนของวัสดุที่มี ลกั ษณะเป็นเสน้ เป็นร้วิ เพอ่ื ให้ได้ลวดลำยท่สี วยงำม และเพ่อื ให้เกิดควำมคงทนของ เครือ่ งจักสำน ประวัติควำมเปน็ มำของเครอื่ งจักสำน มนุษยไ์ ด้มกี ำรคิดค้นท่ีจะผลิตเครื่องมือเคร่ืองใช้ขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศำสตร์ใน ยุคหินแล้ว เห็นได้จำกหลักฐำนทำงโบรำณคดีที่มนุษย์ยุคก่อนได้นำเอำวัตถุจำก ธรรมชำติมำสร้ำงเป็นเคร่ืองมือเคร่ืองใช้อย่ำงง่ำย ๆ สำหรับในประเทศไทยมี หลักฐำนท่ีพบ เช่น ได้พบเคร่ืองมือท่ีทำด้วยหินจำพวกขวำน และเครื่องป้ันดินเผำ สมยั หินเก่ำ ท่ีบำ้ นทำ่ มะนำว ตำบลลำดหญ้ำ อำเภอเมอื ง จงั หวดั กำญจนบรุ ี เป็นต้น นอกจำกนีน้ กั โบรำณคดยี งั พบหลักฐำนสำคัญเกี่ยวกับกำรทำเคร่ืองจักสำนในยุคหิน ใหม่ท่ีบริเวณถ้ำแห่งหน่ึงในเขตอำเภอศรีสวัสด์ิ จังหวัดกำญจนบุรี เครื่องจักสำนที่ พบทำดว้ ยไมไ้ ผ่ เป็นลำยขัดสองเสน้ มีอำยมุ ำกกวำ่ 4,000 ปี เก่ำกว่ำเคร่ืองจกั สำนท่ี พบจำกแหล่งโบรำณคดอี ื่น ๆ ในทวปี เอเชยี แอฟริกำ และอเมรกิ ำ
94 หลักฐำนเก่ียวกับกำรทำเครื่องจักสำนของมนุษย์น้ัน ได้พบในหลำยท่ีหลำยแห่งทั่ว โลก ไม่ว่ำจะเป็นหลักฐำนเคร่ืองจักสำนขอองชำวอียิปต์โบรำณ หรือหลักฐำน เก่ียวกับเครื่องจักสำนของมนุษย์ยุคหินในบริเวณแหลมมำลำยู ซึ่งมีลักษณะเป็น ภำชนะอย่ำงหน่ึงท่ีเรียกว่ำ \"ล่วม\" สำนด้วยใบไม้ชนิดหน่ึง กองรวมอยู่ในกลุ่ม เครื่องใช้ของคนตำย แสดงให้เห็นว่ำเครื่องจักสำนได้เข้ำมำมีส่วนเกี่ยวข้องกับคติ ควำมเช่ือของมนษุ ย์นอกเหนอื จำกทำขน้ึ เพ่ือประโยชน์ใช้สอยในชีวติ ประจำวนั เคร่ืองจักสำนของไทย โดยทั่วไปกำรสร้ำงเครื่องจักสำนจะขึ้นอยู่กับเง่ือนไขทำงควำมต้องกำรด้ำน ประโยชนใ์ ชส้ อยตำมสภำพภูมิศำสตรร์ วมถงึ ประเพณี ควำมเชื่อ ศำสนำ และวัสดุใน ท้องถิน่ นั้น ๆ ประกอบกนั ข้นึ เป็นเครือ่ งจกั สำนในรูปแบบและลวดลำยตำ่ งๆ จำกอดีตมำถึงปัจจุบันจะเห็นว่ำรูปแบบและลวดลำยของเครื่องจักสำนที่ทำขึ้นโดย ชนชำติต่ำงๆจะมีลักษณะคล้ำยคลึงกัน โดยเฉพำะอย่ำงย่ิงลวดลำยในกำรสำนจะมี จำกดั อยู่ไม่มำกลำยนัก และควำมจำกัดของลวดลำยน้ที ำให้รปู ทรงของเครือ่ งจักสำน มีลักษณะท่ีใกล้เคียงกันไปด้วย นอกจำกน้ีวัสดุที่ใช้ในกำรทำเครื่องจักสำนยังพบว่ำ ในกลุ่มประเทศท่ีอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันก็มีกำรใช้วัสดุชนิดเดียวกัน เช่น กำรทำ เคร่ืองจกั สำนดว้ ยไม้ไผ่ พบวำ่ มที ำกันในกลมุ่ ประเทศแถบเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น ไทย และฟิลปิ ปนิ ส์ เปน็ ต้น กำรทำเคร่ืองจกั สำนนัน้ เปน็ หัตถกรรมพื้นบ้ำนพื้นเมืองที่มีทำ กันมำแต่โบรำณ และมีทำท่วั ไปในทกุ ภำคของประเทศ ปัจจุบันเคร่ืองจักสำนของไทยได้รับควำมสนใจจำกชำวต่ำงชำติเป็นอันมำก เนื่องจำกเป็นงำนหัตถกรรมอันทรงคุณค่ำ ผลิตขึ้นจำกควำมคิดสร้ำงสรรค์และฝีมือ อันประณตี ของคนไทย และมกี ำรออกแบบทที่ ันสมยั ประกอบกับเปน็ ผลิตภัณฑ์ท่ีทำ ขึน้ จำกวัสดธุ รรมชำติซง่ึ มคี วำมงดงำมตำมธรรมชำตอิ ยูแ่ ล้ว
95 สำน สำนเป็นข้ันตอนถัดจำกกำรจัก ถือว่ำเป็นขั้นตอนท่ีสำคัญมำก เป็นขบวนกำรทำง ควำมคิดสร้ำงสรรคแ์ ละฝมี ือของมนษุ ย์เป็นหลัก ซึ่งมีมำชำ้ นำนแล้ว และสืบต่อกนั มำ จนถึงปจั จุบัน กำรสำนของคนไทยนั้นถือได้ว่ำเป็นควำมรู้พื้นบ้ำนพื้นเมืองสืบต่อกัน มำโดยกำรถ่ำยทอดให้กันในครอบครัว ชนิดพ่อสอนลูก โดยมิได้มีกำรร่ำเรียนกัน อย่ำงจรงิ จงั และไมม่ ีกำรจดบนั ทึกเปน็ ตำรับตำรำแตอ่ ยำ่ งใด ซึง่ รูปทรงและลวดลำย บำงอย่ำงยังคงไว้แต่บำงอย่ำงอำจมีกำรปรับแต่งให้เข้ำกับยุคสมัย แต่ควำม เปลี่ยนแปลงทีเ่ กดิ ขึ้นน้ี มักจะเปลี่ยนไปอย่ำงชำ้ ๆ ชนดิ คอ่ ยเปน็ ค่อยไป กำรสำนของ คนไทยน้ันจะสำนดว้ ยรปู แบบและลวดลำยแบบใดขึ้นอยูก่ ับลักษณะกำรนำไปใช้งำน และควำมนยิ มของแตล่ ะท้องถน่ิ ซ่ึงมกี ำรสำนได้หลำกหลำย เช่น ถำ้ ตอ้ งกำรภำชนะ ที่มีตำหำ่ งๆ เชน่ ชะลอม เข่ง ก็มักจะสำนด้วยลำยเฉลว เป็นต้น นอกจำกนี้ช่ือเรียก ของลวดลำยในแต่ละท้องถ่นิ กอ็ ำจจะเรียกแตกต่ำงกนั ออกไปแม้จะเป็นลำยเดียวกัน ก็ตำม กำรสำนเครอ่ื งจักสำนโดยทวั่ ไปแล้ว อำจจำแนกออกเป็นลกั ษณะใหญ่ๆ ไดด้ งั น้ี 1. กำรสำนด้วยวิธีกำรสอดขดั กัน 2. กำรสำนด้วยกำรสอดขัดกันด้วยเสน้ ทแยง 3. กำรสำนดว้ ยวิธขี ดั เป็นวง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107