Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เกษตรน่ารู้ ebook

เกษตรน่ารู้ ebook

Published by emmanuelle nn, 2021-08-26 09:03:47

Description: จัดทำองค์ความรู้ ในการจัดการดิน ปุ๋ย และน้ำ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบของพืช

Keywords: ดิน ปุ๋ย น้ำ

Search

Read the Text Version

เกษตรน่ารู้ โครงการนวตั กรรมสร้างรอยยมิ้ กล่มุ ปตท. จัดทาโดย พนกั งานRESTART THAILAND ช่วยปฏบิ ตั ิงานSmart Farming บริษัทปตท.จากดั มหาชน

1 คานา มนุษยม์ ีปัจจยั พ้ืนฐานสาหรับการดารงชีวิต 4 อย่างคือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ท่ีอยอู่ าศยั และยารักษา โรคมาจากดิน ในบรรดาปัจจยั จาเป็ นสาหรับมนุษยท์ ้งั 4 อย่างดงั กล่าว จะไดม้ าจากพืชเป็นหลกั พืชกบั ดิน เป็ นธรรมชาติที่คู่กัน และอยู่ร่วมกันมาตลอดโดยท่ีพืชตอ้ งอาศยั ดินในการหยงั่ รากในพ้ืนดิน ยืนตน้ แผ่ กิ่งกา้ นสาขา ชูใบ ออกดอก และใหผ้ ลผลิต ดิน ยดึ เกาะติดกนั ส่วนหน่ึงดว้ ยรากพืช และส่วนต่างๆ ของพืชท่ี ตายทบั ถมลงไปในดิน กลายเป็นองคป์ ระกอบของดินท่ีสาคญั มนุษยเ์ ป็นผคู้ อยเกบ็ เกี่ยวผลประโยชน์จากดิน และพชื พร้อมกบั มีหนา้ ที่สาคญั ตอ้ งบารุงรักษาทรัพยากรดินและพืชเอาไวใ้ หเ้ กิดประโยชน์กบั มนุษย์ น้าเป็นปัจจยั หลกั สาหรับการเพาะปลูกพืช ภายใตส้ ภาพการปลกู พืชที่มีน้าเพยี งพอต่อความตอ้ งการ ของพืช ดินอุดมไปดว้ ยธาตุอาหาร สภาพฟ้าอากาศเหมาะสมสม พืชสามารถสังเคราะห์แสงสร้างอาหาร นาไปใชใ้ นการเจริญเติบโต เก็บสะสมอาหารให้เป็นผลผลิตที่มนุษยต์ อ้ งการไดอ้ ย่างเต็มท่ี การปลูกพืชจึง ตอ้ งให้ไดร้ ับน้าอย่างเพียงพอและเหมาะสมตามระยะเวลาที่ตอ้ งการ สภาพการปลูกพืชท่ีอาศยั น้าฝนตาม ฤดูกาลเพียงอย่างเดียวมีโอกาสท่ีพืชจะขาดน้าในระยะใดระยะหน่ึง การจดั การให้พืชปลูกไดร้ ับน้าอย่าง เพียงพอและเหมาะสมจให้น้าแก่พืชโดยการเพิ่มความช้ืนให้แก่ดินเพ่ือใหด้ ินมีความชุ่มช้ืนพอเหมาะแก่การ เจริญเติบโตของพืช บริษทั ปตท.จากดั (มหาชน) ภายใตโ้ ครงการ Restart Thailand เป็ นโครงการที่สนับสนุนนโยบาย ของภาครัฐ ดา้ นการกระตุน้ เศรษฐกิจและการจา้ งงาน ดา้ นพฒั นาศกั ยภาพชุมชนทอ้ งถิ่น โดยฝึ กอบรม นักศึกษาจบใหม่โครงการ Restart Thailand ให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวตั กรรมพลังงานเพ่ือ การเกษตร (SMART Farming) เพื่อช่วยปฏิบตั ิงานในโครงการนวตั กรรมสร้างรอยย้มิ กลุ่ม ปตท. สถานท่ี ปฏิบตั ิงานน้นั ครอบคลุมในพ้ืนที่กรุงเทพมหานคร ระยอง เชียงใหม่ กาฬสินธุ์ พทั ลุงและสถานท่ีอ่ืนๆ ทวั่ ท้งั ประเทศโดยมีระยะสญั ญาจา้ งอยทู่ ี่ 1 ปี เริ่มต้งั แต่วนั ท่ี 1 มกราคม – 31 ธนั วาคม 2564 จากการลงพ้ืนที่ปฏิบตั ิงานจริง พนกั งาน Restart Thailand ช่วยปฏิบตั ิงานsmart Farming ไดเ้ ลง็ เห็น ถึงความสาคญั ของการจดั ทาองค์ความรู้ ในการจดั การดิน ป๋ ุย และน้า เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบของพืช พนักงาน Restart Thailand ช่วยปฏิบัติงานsmart Farming จึงได้จัดทาสื่อเพื่อเผยแพร่แก่เกษตรกรและ ประชาชนทวั่ ไป พร้อมจดั ทาในรูปแบบหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book)เพ่ือเพิ่มช่องทางการสร้างความรู้ และความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ทรัพยากรดิน ป๋ ยุ และน้า ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและสะดวกยงิ่ ข้นึ

2 หวงั เป็ นอย่างย่ิงว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) “เกษตรน่ารู้” จะช่วยให้เกษตรกรและ ประชาชนท่ัวไป ตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากร และถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรและ ประชาชนทว่ั ไป เพ่อื สามรถใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและยง่ั ยนื สืบเนื่องไป พนกั งาน Restart Thailand ช่วยปฏิบตั ิงานsmart Farming ตาบลลาสินธุ์ อ.ศรีนครินทร์ จงั หวดั พทั ลุง ผจู้ ดั ทา

สารบญั 3 คานา 1 สารบัญ 3 ดิน 5 ความหมายและความสาคญั ของดิน 5 การสร้างตวั ของดิน 6 ปัจจยั ที่ควบคุมในการสร้างดิน 7 8 -สภาพภูมิอากาศ 8 -สิ่งมีชีวติ หรือปัจจยั ทางชีวภาพ 9 -สภาพภูมิประเทศ 9 -วตั ถตุ น้ กาเนิด 10 -เวลา 10 ลกั ษณะและสมบตั ิของดิน 11 -ความลึกของดิน 12 -สีของดิน 13 -โครงสร้างของดิน 14 ความเป็ นกรดด่างของดิน 14 ดินท่ีมีปัญหาดา้ นการเกษตร 15 16 -ดินเปร้ียว -ดินอนินทรีย์ -ดินเคม็

-ดินทรายจดั 4 -ดินต้ืน -พ้ืนที่ลาดชนั เชิงซอ้ น 16 ธาตอุ าหารและหนา้ ที่ของธาตอุ าหารในดิน 17 18 ป๋ ุย 19 ป๋ ยุ คอื อะไร 21 ประเภทของป๋ ุย 22 การใชป้ ๋ ุยตามคา่ วเิ คราะห์ดินหรือป๋ ยุ สั่งตดั 24 ขอ้ ดีขอ้ เสียของป๋ ุยอินทรีย์ ป๋ ุยเคมี และป๋ ยุ ชีวภาพ 24 น้า 25 27 การใชน้ ้าของพชื 27 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งน้ากบั ดิน 29 แหล่งน้าที่พชื ไดร้ ับ 31 หลกั การใหน้ ้าแก่พชื 31 วธิ ีการใหน้ ้า 33 36 -การใหน้ ้าแบบฉีดฝอย 38 -การใหน้ ้าแบบผิวดิน 40 -การใหน้ ้าทางใตผ้ วิ ดิน -การใหน้ ้าแบบน้าหยด บรรณานุกรม คณะผจู้ ดั ทา

5 ดิน ความหมายและความสาคญั ของดนิ ดิน (soil) หมายถึง เทหวตั ถธุ รรมชาติ (natural body) ที่เกิดจากการสลายตวั ของหินและแร่ธาตตุ ่างๆ ผสมคลุกเคลา้ กบั อินทรียวตั ถุ ซ่ึงปกคลุมผิวดินโลก อยู่เป็ นช้นั บางๆ เป็ นวตั ถุท่ีค้าจุนการเจริญเติบโตและ การทรงตวั ของพืช ดินประกอบดว้ ยแร่ธาตุ ท่ีเป็นของแขง็ อินทรียวตั ถุ น้า และอากาศ ท่ีมีสัดส่วนแตกต่าง กนั ข้นึ อยกู่ บั ชนิดของดิน ดินทาหนา้ ท่ีเป็ นท่ีให้รากพืชไดเ้ กาะยึดเหนี่ยว เพ่ือให้ลาตน้ ของพืชยืนตน้ ไดอ้ ย่างมนั่ คง แข็งแรง ขณะท่ีพืชเจริญเติบโต รากของพืชจะเติบโตชอบไชหยงั่ ลึกแพร่กระจายลงไปในดินอยา่ งกวา้ งขวาง ท้งั แนว ลึก และแนวราบ ดินท่ีร่วนซุย และมีช้นั ดินลึก รากพืชจะเจริญเติบโตแข็งแรง สามารถเกาะยึดดิน ตา้ นทาน ต่อลมพายุ ไม่ทาให้ตน้ พืชลม้ หรือถอนโคนได้ ดินเป็นแหล่งให้ธาตุอาหารท่ีจาเป็นต่อการเจริญเติบโตของ พืช ท้งั น้ีเน่ืองจากธาตุอาหารพืชจะถูกปลดปล่อยออกจากอินทรียวตั ถุ และแร่ต่างๆ ที่เป็นองคป์ ระกอบของ ดิน ใหอ้ ยใู่ นรูปท่ีรากพชื สามารถดึงดูดไปใชป้ ระโยชนไ์ ดง้ ่าย ดินเป็นแหล่งท่ีเกบ็ กกั น้า หรือความช้ืนในดิน ให้อยู่ในรูปท่ีรากพืชสามารถดึงดูดไดง้ ่าย เพื่อนาไปหล่อเล้ียงลาตน้ และสร้างการเจริญเติบโต น้าในดิน จะตอ้ งอย่ใู นสภาพที่เหมาะสมเท่าน้นั ที่รากพืชสามารถดึงดูดข้ึนมาใชป้ ระโยชน์ได้ การรดน้าพืชจนขงั แฉะ รากพืชไม่สามารถดึงดูดน้าข้ึนไปใชป้ ระโยชน์ได้ จะทาให้พืชเห่ียวเฉาและตายในที่สุด ดินเป็นแหล่งที่ให้ อากาศในดิน ท่ีรากพืชใช้ เพื่อการหายใจ รากพืชประกอบดว้ ยเซลล์ท่ีมีชีวิต ตอ้ งการออกซิเจนสาหรับการ หายใจ ทาให้เกิดพลงั งาน เพ่ือการดึงดูดน้า ธาตุอาหาร และการเจริญเติบโต ดินท่ีมีการถ่ายเทอากาศดี ราก พชื จะเจริญเติบโตแขง็ แรง ดูดน้าและ ธาตุอาหารไดม้ าก ทาใหต้ น้ พืชเจริญเติบโตแขง็ แรง และใหผ้ ลิตผลสูง

6 การสร้างตวั ของดิน พฒั นาการของดินเกิดจากกระบวนการตา่ งๆ หลายกระบวนการแบง่ ไดเ้ ป็น 2 ลกั ษณะใหญๆ่ คือ 1) กระบวนการทาลาย 2. กระบวนการสร้าง กระบวนการท้งั สองแบบน้ีอาจเกิดข้นึ พร้อมๆกนั หรือเกิดกระบวนการทาลายก่อนแลว้ เกิดการ กระบวนการสร้างดิน อนิ ทรีย์วตั ถุ การสลายตวั หนิ และแร่ กระบวนการสลายตวั การทบั ถมของส่วนท่ี กระบวนการสรา้ งดนิ ดิน สลายตวั ผุพงั เกดิ เป็ น ดนิ กระบวนการทาลาย วตั ถตุ น้ กาเนดิ ดิน กระบวนการ ก่อสร้างก่อสรา้ ง

7 ปัจจยั ที่ควบคุมการสร้างตัวของดนิ 1.สภาพภูมิอากาศ ปัจจยั ดา้ นภูมิอากาศท่ีมีผลต่อการสร้างตวั ของดินท่ีสาคญั คอื อณุ หภมู ิและหยาดน้าฟ้า เช่น ฝน น้าคา้ ง หิมะ แสงแดด ฯลฯ เน่ืองจากปัจจยั เหลา่ น้ี เป็นตวั ควบคมุ การเกิดปฏิกิริยาตา่ งๆ ท้งั กายภาพ เคมี และชีวภาพ ซ่ึงมีผลตอ่ อตั ราการผพุ งั สลายตวั ของวสั ดุตา่ งๆ ท้งั หิน แร่ และเศษซากสิ่งมีชีวิต ต่างๆ รวมท้งั ยงั มีอิทธิพลต่อกระบวนการ เปล่ียนแปลง เคล่ือนยา้ ย และสะสมวสั ดุตา่ งๆ ท่ี เกิดข้ึนในดินดว้ ย โดยทว่ั ไปการผพุ งั สลายตวั ของวสั ดุตา่ งๆ ในพ้นื ที่เขตร้อน (ส่วนของผิวโลกท่ีอยรู่ ะหวา่ งเสน้ รุ้งที่ 23.5 องศาเหนือและใตจ้ ากเส้นศนู ยส์ ูตร) จะ เกิดไดร้ วดเร็วกวา่ ในเขตอบอุ่นหรือเขตหนาว (ส่วน ของผิวโลกที่อยเู่ หนือเสน้ รุงที่ 23.5 องศาเหนือและ ใตข้ ้นึ ไป) เนื่องจากอณุ หภูมิที่สูงและปริมาณ ความช้ืนท่ีมากกวา่ ทาใหก้ ระบวนการตา่ งๆ ดาเนิน ไปไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ส่งผลใหเ้ กิดสภาวะที่มีการ สูญเสียธาตุอาหารออกปากดินอยา่ งต่อเนื่อง ดินที่ พบในเขตร้อนส่วนใหญ่ จึงเป็นดินท่ีมีการพฒั นาสูงและมกั จะขาดความอดุ มสมบูรณ์ นอกจากน้ีภูมิอากาศ ยงั มีผลต่อชนิดของสิ่งมีชีวิตและพืชพรรณ ซ่ึงเป็นปัจจยั การสร้างตวั ของดินอีกอยา่ งหน่ึง

8 2.ส่ิงมชี ีวิตหรือปัจจยั ทางชีวภาพ ส่ิงมีชีวิตในที่น้ีหมายถึง พืชพรรณธรรมชาติ สตั ว์ รวมถึงเอนไซมแ์ ละสารต่างๆ ท่ีผลิตออกมาจาก พืช สัตว์ จุลินทรีย์ และกิจกรรมของมนุษย์ ซ่ึงมีผลตอ่ การเปล่ียนแปลงทางกายภาพและเคมีของ ส่วนประกอบในดิน และเป็นปัจจยั ที่สาคญั ท่ีทาใหเ้ กิดความแตกต่างกนั ของดิน เช่น การสะสมอินทรียวตั ถุ ในดิน การผสมคลกุ เคลา้ ภายในหนา้ ตดั ดิน การหมุนเวียนของธาตอุ าหารพชื และความคงทนของโครงสร้าง ดิน เป็นตน้ 3. สภาพภูมิประเทศ ความสูงต่าหรือระดบั ท่ีไม่เท่ากนั ของพ้ืนท่ี ความลาดชนั และทิศทางของความลาดชนั ซ่ึงมีอิทธิพล ต่ออตั ราการไหลบา่ ของน้า การชะลา้ งพงั ทลายของดิน การทบั ถมของอินทรียวตั ถใุ นดิน และอณุ หภมู ิดินซ่ึง เก่ียวขอ้ งกบั การเกิดลกั ษณะต่างๆ ในดิน เช่น ความลึกของดิน ช้นั ดิน และสีของดิน ฯลฯ โดยทว่ั ไป ดินท่ีพบบริเวณที่มีความลาดชนั มากๆ มกั จะเป็นดินต้ืน มีช้นั ดินนอ้ ย ช้นั ดินบนบาง หรือ อาจจะไมม่ ีช้นั ดินบนเลยก็ได้ มีโอกาสเกิดการชะลา้ งหนา้ ดินไดม้ าก ตา่ งจากดินท่ีอยบู่ ริเวณเชิงเนินที่มกั จะมี ดินช้นั บนที่หนากวา่ และดินลึกมากกวา่

9 4.วัตถตุ ้นกาเนิดดิน วตั ถุตน้ กาเนิดดินท่ีสลายตวั มาจากหินทราย หรือหินแกรนิต ท่ีมีแร่องคป์ ระกอบส่วนใหญ่เป็ นพวก แร่มีสีจาง เช่น ควอตซ์ เม่ือมีการพฒั นาจนกลายเป็นดิน มกั จะมีเน้ือหยาบ มีสีจาง มีธาตุอาหารพืชนอ้ ย ความ อุดมสมบูรณ์ต่า แต่ถา้ เป็นดินท่ีเกิดจากการสลายตวั ของหินปูนหรือหินบะซอลท์ ซ่ึงมีแร่องคป์ ระกอบส่วน ใหญ่เป็ นพวกท่ีมีสีเขม้ มกั จะเกิดดินท่ีมีเน้ือละเอียดกว่า อาจมีสีดา น้าตาล เหลือง หรือแดง มีความอุดม สมบรู ณ์ต้งั แตร่ ะดบั ต่าถึงสูง 5. เวลา ช่วงเวลาท่ีต่อเนื่องกนั ไปโดยไมม่ ีเหตุการณ์ท่ี รุนแรงมาขดั จงั หวะการพฒั นาตวั ของดิน ซ่ึงการที่จะบอก วา่ ดินหน่ึงแก่กวา่ หรือเก่ากวา่ อีกดินชนิดหน่ึงน้นั ไม่ได้ เร่ิมนบั จากระยะเวลาท่ีดินน้นั เร่ิมเกิดข้นึ แต่อาศยั การ พจิ ารณาจากลกั ษณะและสมบตั ิของดินที่เราตรวจสอบได้ ณ ปัจจุบนั ซ่ึงสามารถจะบง่ ช้ีไดว้ า่ ดินน้นั ๆ ไดผ้ า่ น กระบวนการผพุ งั กระบวนการชะลา้ ง กระบวนการสะสม หรือกระบวนการแปรสภาพมาอยา่ งตอ่ เนื่องยาวนาน เพียงใด

10 ลกั ษณะและสมบัติทส่ี าคัญของดนิ ควลามกั ลษกึ ขณองดะินและสมบตั ทิ ่สี าคญั ของดนิ ดินต้ืนมาก คือ ดินที่มีความหนาไม่เกิน เซนติเมตร นบั จากผิวหนา้ ดินลงไป ดินต้ืน คือ ดินท่ีมีความหนาต้งั แต่ 25-5 เซนติเมตร นบั จากผวิ หนา้ ดิน ดินลึกปานกลาง คือ ดินที่มีหนาต้งั ดินต้ืนมาก คือ ดินท่ีมีความหนาไมเ่ กิน 25 เซนติเมตร นบั จากผิวหนา้ ดินลงไเปซนติเมตร นบั จากผิวหนา้ ดิน ดินต้ืน คอื ดินที่มีความหนาต้งั แต่ 25-50 เซนติเมตร นบั จากผิวหนา้ ดิน ดินลึก-ลึกมาก คือ ดินที่มีความหนาม ดินลึกปานกลาง คอื ดินที่มีหนาต้งั แต่ 50-100 เซนติเมตร นบั จากผวิ หนา้ ดิน ดินลึก-ลึกมาก คือ ดินท่ีมีความหนามากกวา่ 100 เซนติเมตร นบั จากผิวหนา้ ดเซินนลงตไิเปมตร นบั จากผวิ หนา้ ดินลงไป

สีของดนิ 11 ดินสีดา สีน้าตาลเข้มหรือสีคลา้ ส่วนใหญ่มกั จะเป็นดินท่ีมีความอุดมสมบูรณ์สูง เน่ืองจากมีการคลกุ เคลา้ ดว้ ยอินทรียวตั ถุมาก โดยเฉพาะดินช้นั บน แต่บางกรณี สีคล้าของดิน อาจจะเป็ นผลมาจากอิทธิพลของปัจจยั ท่ีควบคุม การเกิดดินอื่นๆ นอกเหนือไปจากการมีปริมาณอินทรียวตั ถุในดินมากก็ได้ เช่น ดินท่ีพฒั นามาจาก วตั ถุตน้ กาเนิดดินท่ีผุพงั สลายตัวมาจากหินท่ีประกอบด้วยแร่ที่มีสีเขม้ เช่น หินภูเขาไฟ และมี ระยะเวลาการพฒั นาไมน่ าน หรือดินมีแร่แมงกานีสสูง ก็จะใหด้ ินท่ีมีสีคล้าไดเ้ ช่นกนั ดนิ สีเหลืองหรือแดง สีเหลืองหรือแดงของดินส่วนใหญ่จะเป็ นสีออกไซด์ของเหล็กและอลูมิเนียม แสดงถึงการที่ดินมี พฒั นาการสูง ผ่านกระบวนการผพุ งั สลายตวั และซึมชะมานาน เป็ นดินที่มกี ารระบายนา้ ดี แต่มกั จะ มีความอุดมสมบูรณ์ต่า ดินสีเหลืองแสดงว่าดินมีออกไซด์ของเหล็กท่ีมีน้าเป็ นองค์ประกอบ ส่วน ดนิ สีแดงจะเป็ นดินที่ออกไซด์ของเหลก็ หรืออลูมเิ นียมไม่มีน้าเป็ นองค์ประกอบ ออกไซดข์ องเหลก็ หรืออลูมิเนียมไมม่ ีน้าเป็นองคป์ ระกอบ ดินสีขาวหรือสีเทาอ่อน การท่ีดินมีสีอ่อน อาจจะแสดงว่าเป็นดินที่เกิดมาจากวตั ถุตน้ กาเนิดดินพวกที่สลายตวั มาจาก หินที่มีแร่สีจาง เป็นองคป์ ระกอบอยมู่ าก เช่น หินแกรนิต หรือหินทรายบางชนิด หรืออาจจะเป็นดิน ท่ีผ่านกระบวนการชะลา้ งอย่างรุนแรง จนธาตุอาหารที่มีประโยชน์ต่อพืชถูกซึมชะออกไปจนหมด หรือมีสีอ่อนเนื่องจากมีการสะสมปูน ยิปซัม หรือเกลือชนิดต่างๆ ในหนา้ ตดั ดินมากก็ได้ ซ่ึงดิน เหลา่ น้ีส่วนใหญ่มกั จะเป็นดินที่มีความอุดมสมบรู ณ์ต่า ดินสีเทาหรือสีน้าเงิน การที่ดินมีสีเทา เทาปนน้าเงิน หรือน้าเงิน บง่ ช้ีวา่ ดินอยใู่ นสภาวะท่ีมีน้าแช่ขงั เป็นเวลานาน เช่น ดิน นาในพ้นื ท่ีล่มุ หรือดินในพ้นื ท่ีป่ าชายเลนที่มีน้าทะเลทว่ มถึงอยเู่ สมอ มีสภาพการระบายน้าและการ ถ่ายเทอากาศไมด่ ี ทาใหเ้ กิดสารประกอบของเหลก็ พวกท่ีมีสีเทาหรือสีน้าเงิน ดินมีสีจดุ ประ แต่ถา้ ดินอยใู่ นสภาวะท่ีมีน้าแช่ขงั สลบั กบั แหง้ ดินจะมีสีจุดประ ซ่ึงโดยทวั่ ไปมกั ปรากฏเป็นจุดประ สีเหลืองหรือสีแดงบนพ้ืนสีเทา ซ่ึงเป็ นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสารประกอบออกไซด์ของ เหล็กที่สะสมอยใู่ นดิน โดยสารเหล่าน้ีจะเปลี่ยนแปลงไปอยใู่ นรูปท่ีมีสีเทาเม่ืออยู่ในสภาวะท่ีมีน้า แช่ขงั ขาดออกซิเจนเป็นเวลานานๆ และเปล่ียนไปอยใู่ นรูปท่ีใหส้ ารสีแดงเม่ือไดร้ ับออกซิเจน

12 โครงสร้างของดิน โครงสร้างของดินมีไดห้ ลายลกั ษณะ แบง่ ไดเ้ ป็น 5 ประเภท คอื 1. แบบกอ้ นกลม (granular) มีรูปร่างคลา้ ยทรงกลม เม็ดดินมีขนาดเล็กประมาณ 1-10 มิลลิเมตร มักพบในดินช้ันบนท่ีคลุกเคล้าด้วยอินทรียวัตถุ โครงสร้างประเภทน้ี จะเกิดช่องวา่ งขนาดใหญ่ ข้ึนระหวา่ งเมด็ ดิน ทาให้ดินมีความพรุนมาก สามารถระบายน้าและอากาศ ไดด้ ีี 2. แบบก้อนเหลย่ี ม (blocky) มีรูปร่างคลา้ ยกล่อง เมด็ ดินมีขนาดประมาณ 1-5 เซนติเมตร มกั พบในดินช้นั ล่าง โครงสร้างประเภทน้ี จะมีสภาพที่น้าและ อากาศซึมไดใ้ นเกณฑป์ านกลาง 3. แบบแผ่น (platy) กอ้ นดินมีรูปร่างแบน วางตวั ในแนวราบ และซ้อนเหลื่อม กนั เป็ นช้นั มกั พบในดินช้นั บนที่ถูกบีบอดั จากการบดไถของ เคร่ืองจกั รกล โครงสร้างดินลกั ษณะน้ีจะขดั ขวางการไหลซึม ของน้า การระบายอากาศและการชอนไชของรากพืช 4. แบบแท่งหัวเหลย่ี ม (prismatic) ก้อนดินมีรูปร่างเป็ นแท่ง มกั พบในช้ันดินล่างของดินบาง ชนิด โดยเฉพาะดินเค็มที่มีการสะสมโซเดียมสูงๆ หน่วย โครงสร้างแบบน้ีมักมีขนาดใหญ่ คือมีความยาว 10-100 มิลลิเมตร เรียงตวั กันในแนวต้ัง ถา้ ส่วนบนของปลายแท่งมี รูปร่างแบนราบ 5. แบบแท่งหัวมน (columnar) ส่วนบนของปลายแท่งมีลกั ษณะโคง้ มน ปกคลุมดว้ ยเกลือ เม็ดดินมีขนาด 1-10 เซนติเมตร พบในดินช้นั ลา่ ง ของดินที่เกิด ในเขตแห้งแล้ง และมีการสะสมของโซเดียมสูง ดินท่ีมี โครงสร้ างลักษณะน้ี มักจะมี สภาพให้น้ าซึ มได้น้อยถึงปาน กลาง

13 ความเป็ นกรด-ด่างของดิน สภาพดนิ เป็ นกรด-เป็ นด่าง ดินเปร้ียวจดั หรือดินกรดกามะถนั (acid sulfate soils) หมายถึงดินท่ีมีสารประกอบไพไรต์ (FeS2) เป็ น องคป์ ระกอบ เม่ือผ่านกระบวนการออกซิเดชนั่ จะทาให้เกิดกรดกามะถนั (H2SO4) ในช้นั ดิน และฤทธ์ิของ ความเป็นกรดรุนแรงมากจนส่งผลกระทบต่อการปลูกพืช ดินชนิดน้ีมกั พบจาโรไซต์ [KFe3(SO4)2(OH)6] ลกั ษณะสีเหลืองฟางขา้ วท่ีช้นั ใดช้นั หน่ึงในหนา้ ตดั ดิน เกิดในบริเวณท่ีราบลุ่มชายฝั่งทะเลที่มีหรือเคยมีน้า ทะเล หรือมีน้ากร่อยท่วมถึงในอดีต ลกั ษณะของดินเป็ นกรด ดินเป็ นกรดหรือดินเปร้ียว มีเน้ือดินเป็ นดินเหนียวจดั พบสารสีเหลืองฟางขา้ ว หรือตะกอนน้า ทะเลท่ีมีองคป์ ระกอบของสารกามะถนั มากภายในความลึก 150 เซนติเมตรจากผิวดิน สภาพพ้ืนที่โดยทวั่ ไป เป็นที่ลมุ่ ต่าน้าท่วมขงั มีตน้ กกหรือกระถินทุ่งข้ึนอยทู่ วั่ ไป คณุ ภาพน้าในบริเวณดงั กลา่ วใสมากและเป็นกรด จดั มาก มกั จะพบคราบสนิมเหลก็ ในดินและท่ีผิวน้า เม่ือดินแห้งจะแตกระแหงเป็นร่องกวา้ งและลึก เม่ือขุด ดินหรือยกร่องลึกจะพบสารสีเหลืองฟางขา้ วกระจายอยทู่ วั่ ไป หรือพบช้นั ดินเลนเหนียวหรือร่วนเหนียวปน ทรายแป้ง ช้นั ดินเลนน้ีเมื่อแห้งมีปฏิกิริยาดินเป็นกรดจดั มากถึงเป็นกรดรุนแรงมาก มีค่าความเป็นกรดเป็ น ด่างของดิน (คา่ pH) ต่ากวา่ 4.5

14 ดนิ ทม่ี ีปัญหาด้านการเกษตร 1.ดนิ เปรีย้ วจดั ปัญหา การปรับปรุงดิน ภาพประกอบ การท่ีดินมีความเป็นกรดสูงเกินไป สาหรับดินท่ีมีปฏิกิริยาของดิน ทาใหเ้ กิดการขาดแคลนธาตอุ าหาร เป็นกรดไม่รุนแรง อาจใชว้ ิธีการ ที่สาคญั ต่อการเจริญเติบโตของพชื ทาให้กรดเจือจางลง โดยการใช้ เช่น ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส น้าชะล้างความเป็ นกรดในดิน นอกจากน้ีสภาพท่ีเป็ นกรดสูงยงั หรื อการขังน้ าไว้นานๆ แล้ว ทาให้ธาตุเหล็กและอะลูมินัม ระบายออกก่อนปลกู พชื ร่วมกบั ละลายออกมาอยู่ในดินมากจนถึง การเลือกพันธุ์พืชท่ีทนต่อดิน ระดบั ท่ีเป็นพิษต่อพืชที่ปลูก กรด สาหรับการจัดการดินท่ีมี ปฏิกิริ ยาของดินเป็ นกรดรุ นแรง มาก จะใชว้ ธิ ีการใส่วสั ดุปนู เช่น ปูนมาร์ล ปูนขาว หินปูนบด หินปูนฝ่ ุน ผสมคลุกเคล้ากับ หนา้ ดินในอตั ราที่เหมาะสมตาม ความต้องการปูนของดิน เพ่ือ ช่วยลดความเป็ นกรดในดิน หรื อใช้ปูนควบคู่ไปกับการใ ช้ น้าชะลา้ งและควบคุมระดับน้า ใต้ดิน ซ่ึงเป็ นวิธีการท่ีสมบูรณ์ ที่สุดและใช้ได้ผลมากในพ้ืนที่ ซ่ึงดินเป็ นกรดรุนแรงมากและ ถูกปล่อยทิ้งร้างเป็ นเวลานาน

15 2.ดินอนิ ทรีย์ ปัญหา การปรับปรุงดนิ ภาพประกอบ เป็นดินที่มีชิ้นส่วนของพชื เป็น เลือกพ้ืนท่ีที่มีแหล่งน้าจืดบริเวณ องคป์ ระกอบมาก พ้นื ที่มกั จะมีน้าขงั ขอบพรุ และมีช้นั วสั ดุอนิ ทรียห์ นา หากระบายน้าออกจนแห้ง ดนิ จะยบุ ตวั นอ้ ยกวา่ 100 ซม.จากผิวดิน มีแนว มาก มีน้าหนกั เบา ติดไฟงา่ ย และตน้ พืช ป้องกนั น้าท่วมร่วมกบั คลองระบาย ท่ีปลกู ไม่สามารถต้งั ตรงอยไู่ ด้ น้า และคลองส่งน้าในระบบ ที่ นอกจากน้ีในบริเวณที่มดี ินท่ีมีศกั ยภาพ สามารถป้องกนั อนั ตรายจากน้าทว่ ม เป็นดินเปร้ียวจดั อยตู่ อนลา่ ง หลงั จากมี ได้ เพอ่ื ใชป้ ลกู ขา้ ว โดยเลือกปลูก การระบายน้าออก ดินจะกลายเป็นดิน ขา้ วพนั ธุ์พ้นื เมือง หรือพนั ธุท์ ท่ี นตอ่ กรดจดั รุนแรงดว้ ย สภาพความเป็ นกรดของดินใน บริเวณท่ีปลกู พืชไร่ ควรมีแนว ป้องกนั น้าท่วม และครู ะบายน้า มี การควบคุมระดบั ใตด้ ินใหค้ งท่ี เพื่อ ป้องกนั การเกิดกรดของดินเพ่ิมข้นึ หากดินเป็นกรดจดั มาก ปรับสภาพ ความเป็นกรดในดนิ และเพ่มิ ความ เป็นประโยชนข์ องธาตุอาหาร โดยไถ คลุกเคลา้ วสั ดุปูน หินปูนฝ่นุ อตั รา 2.5-3.0 ตนั /ไร่ ใหท้ วั่ บนสันร่อง และ หวา่ นในร่องคนู ้า

16 3.ดนิ เค็ม การปรับปรุงดนิ ภาพประกอบ ปัญหา ใชเ้ ทคโนโลยีพ้นื บา้ น เช่น การใชพ้ ชื ปลกู พชื ไมไ่ ดผ้ ลหรือผลผลิตลดลงและ ทนเคม็ การไถกลบพชื ป๋ ยุ สด ป๋ ุย มีคณุ ภาพต่า เน่ืองจากมีปริมาณเกลือที่ ละลายไดใ้ นน้ามากเกินไป จนเป็น อนิ ทรีย์ หรือใส่วสั ดุปรับปรุงดิน เช่น อนั ตรายตอ่ พชื พืชเกิดอาการขาดน้า และไดร้ ับพิษจากธาตทุ ่ีเป็น แกลบ เพอื่ ปรับปรุงโครงสร้างดนิ ส่วนประกอบของเกลือท่ีละลายออกมา และความอุดมสมบรู ณ์ของดิน หรือ การปลูกขา้ วโดยใชต้ น้ กลา้ ที่อายุ มากกวา่ ปกติ และปักดาดว้ ยจานวน ตน้ มากกว่าปกติ ในขณะเดียวกนั ก็ ตอ้ งระมดั ระวงั ในการทากิจกรรม บางอยา่ งที่ จะมีผลกระทบตอ่ การที่ จะทาให้เกลือแพร่กระจายไปยงั บริเวณอื่นได้ เช่น การทาเหมืองเกลือ ขนาดใหญ่ การตดั ไมท้ าลายป่ า หรือ การสร้างอา่ งเกบ็ น้าในพ้นื ท่ีท่ีมีแหล่ง สะสมเกลือ 4.ดินทรายจัด ปัญหา การปรับปรุงดนิ ภาพประกอบ ดินระบายน้าดีเกินไป อุม้ น้าไดน้ อ้ ย มี ปรับปรุงบารุงดินดินและเพิ่มความ ความสามารถในการจบั หรือแลกเปลี่ยน อดุ มสมบรู ณ์ของดิน โดยการใช้ ประจุธาตุอาหารต่า ความอดุ มสมบรู ณ์ ป๋ ุยเคมี และป๋ ุยอินทรีย์ เช่นป๋ ุยหมกั ต่ามาก มีธาตุอาหารนอ้ ย เกิดการชะลา้ ง ป๋ ุยคอก หรือปลกู พชป๋ ุยสดแลว้ ไถ พงั ทลายไดง้ า่ ย กลบ เพ่ือเพ่มิ ความสามารถในการอมุ้ น้าของดนิ และปริมาณธาตอุ าหารให้ เพยี งพอแก่ความตอ้ งการของพชื และควรจะตอ้ งมีระบบการอนุรักษ์ ดินและน้าอยา่ งเหมาะสม

17 5.ดนิ ตื้น การปรับปรุงดิน ภาพประกอบ ปัญหา การจดั การดินในพ้ืนทเ่ี หล่าน้ีจะตอ้ ง กระทาอยา่ งระมดั ระวงั ควรเลือกทา ดินต้ืนน้นั เป็นดนิ ที่ไมเ่ หมาะสมตอ่ การ การเกษตรในพ้นื ท่ีท่ีมีหนา้ ดินหนา เพาะปลูกเพราะ มีปริมาณชิ้นส่วนหยาบ มากกว่า 25 ซม. และไมม่ ีกอ้ นกรวด ปนอยใู่ นดินมาก ทาให้มีเน้ือดินนอ้ ย มี หรือลูกรังกระจดั กระจายอยทู่ ี่ผิวดิน ธาตุอาหารนอ้ ย ไม่อุม้ น้า ช้นั ล่างของ มาก ปรับปรุงดินดว้ ยการไถกลบพืช ดินชนิดน้ีจะแน่นทบึ รากพชื ชอนไชไป ป๋ ุยสด ร่วมกบั การปรับปรุงดนิ ดว้ ย ไดย้ าก พืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ป๋ ุยหมกั หรือป๋ ุยคอกอตั รา 2-3 ตนั /ไร่ อยา่ งปกติ หรือขดุ หลุมปลูกไมผ้ ลขนาด 75x75x75 ซม. หรือถึงช้นั หินพ้ืน และปรับปรุงหลุมปลกู ดว้ ยหนา้ ดิน ที่ไมม่ ีกอ้ นกรวดหรือลูกรังร่วมกบั ป๋ ุยหมกั หรือป๋ ุยคอก ใชป้ ๋ ุยเคมีตาม ชนิดพชื ท่ีปลกู ร่วมกบั ป๋ ุยอนิ ทรียน์ ้า และผลิตภณั ฑส์ ารปรับปรุงดิน พด.3 และพด.7 หรือพฒั นาเป็นทงุ่ หญา้ เล้ียงสตั ว์

18 6.พื้นทล่ี าดชันเชิงซ้อน การปรับปรุงดนิ ภาพประกอบ ปัญหา ควรปลอ่ ยไวใ้ หเ้ ป็นป่ าตามธรรมชาติ มีความลาดชนั สูงมาก ในพ้ืนท่ีทา การเกษตรจะเกิดการชะลา้ งพงั ทลาย เป็นท่ีอยอู่ าศยั ของสัตวป์ ่ า แหล่งตน้ สูญเสียหนา้ ดินอยา่ งรุนแรง ขาดแคลน น้าและบางพ้นื ท่ีอาจพบช้นั หินพ้นื หรือ น้าลาธาร ในกรณีที่จาเป็นตอ้ ง เศษหินกระจดั กระจายอยบู่ ริเวณหนา้ ดิน นามาใชป้ ระโยชน์ทางการเกษตร จาเป็นตอ้ งมีการศึกษาดินก่อน เพ่อื ใหท้ ราบถึงความเหมาะสมของ ดินสาหรับการปลกู พืช โดยมีการใช้ ประโยชน์ทด่ี ินในเชิงอนุรักษห์ รือวน เกษตร ในบริเวณพ้นื ท่ีที่เป็นดินลกึ และสามารถพฒั นาแหลง่ น้าได้ มี ระบบอนุรักษด์ ินและน้า เช่น ปลูก พืชคลุมดิน ทาแนวร้ัวหญา้ แฝกและ ขดุ หลุมปลูกเฉพาะตน้ โดยไม่มีการ ทาลายไมพ้ ้ืนล่าง สาหรับในพ้ืนทีท่ ่ี ไม่มีศกั ยภาพทางการเกษตร ควร รักษาไวใ้ หเ้ ป็นสวนป่ า สร้างสวนป่ า หรือใชป้ ลูกไมใ้ ชส้ อยโตเร็ว

19 ธาตอุ าหารและหน้าที่ธาตุอาหารในดนิ ธาตอุ าหารหลกั เป็นส่วนท่ีช่วยในการเจริญเติบโตของพชื ท้งั ยงั เป็นอาหารหลกั ของพชื ช่วยทาให้พชื ใบ เขยี วต้งั ตวั ได้ โดยไนโตรเจนยงั เป็นส่วนหน่ึงของเซลลพ์ ชื เป็นส่วนหน่ึงของการสร้าง 1.ไนโตรเจน (N) โปรตีน ไนโตรเจนยงั มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างอาหารและสร้างพลงั งานให้กบั พืช 2.ฟอสฟอรัส (P) ฟอสฟอรัสก็มีส่วนสาคญั ท่ีช่วยในการสงั เคราะห์แสง มีส่วนช่วยในการผลิตแป้งและ 3.โพแทสเซียม (K) น้าตาล ฟอสฟอรัสมีส่วนช่วยในการเปลี่ยนพลงั งานแสงอาทิตยเ์ ป็นพลงั งานทางเคมีในพืช ช่วยผลิตอาหาร มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโต กระตุน้ การออกดอกและการเจริญเติบโตของ ธาตุอาหารรอง ราก 1.แคลเซียม (Ca) โพแทสเซียมจะมีอยใู่ นดนิ ช้นั ลา่ ง จะถกู ดูดซึมโดยรากพืช มีส่วนช่วยในการสร้างโปรตีน 2.แมกนีเซียม (Mg) ทาให้ผลมีคุณภาพ ลดโรคพืช โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตทุ ี่อยใู่ นดิน วตั ถุอินทรียแ์ ละป๋ ยุ 3.กามะถนั (S) อนิ ทรีย์ ช่วยในการแบง่ เซลล์ ผสมเกสร การงอกของเมลด็ มีส่วนสาคญั ตอ่ โครงสร้างของเซลลพ์ ืช ช่วยในการลาเลียงอาหาร แคลเซียมช่วยในการปรับสมดุลท้งั กรดและดา่ งของพืช เป็นองคป์ ระกอบของคลอโรฟิลล์ ช่วยในการสงั เคราะห์กรดอะมิโน วิตามิน ไขมนั และ น้าตาล ช่วยในการสังเคราะหแ์ สง นอกจากน้ียงั ช่วยกระตุน้ การทางานของเอนไซมท์ ่ีจาเป็น ต่อการเจริญเติบโต เป็นองคป์ ระกอบของกรดอะมโิ น วิตามินและโปรตนี ช่วยสร้างคลอโรฟิ ลล์ ช่วยเพ่ิมการ เจริญเติบโตของรากและเมลด็ พชื ทาให้พืชแขง็ แรงและทนตอ่ ความเยน็

ธาตอุ าหารเสริม 20 1.โบรอน (B) ช่วยในการสร้างสารอาหารและควบคมุ สารอาหารท่ี 2.ทองแดง (Cu) จาเป็นต่อการพฒั นาการเจริญเติบโตของเมลด็ พนั ธุ์ ช่วยใน การออกดอก ผสมเกสร ช่วยในการติดผลและยา้ ยน้าตาล 3.คลอรีน (CI) มาสู่ผล 4.เหลก็ (Fe) ช่วยในการเจริญเติบโตของระบบสืบพนั ธุ์พืช ช่วยใน 5.แมงกานีส (Mn) การเผาผลาญอาหารของรากพชื และเป็นประโยชนต์ อ่ การ 6.โมลิบดีนมั (Mo) ใชโ้ ปรตีนของพชื การสงั เคราะหค์ ลอโรฟิ ลลแ์ ละกระตุน้ 7.สังกะสี (Zn) การทางานของเอนไซม์ พบในดิน ช่วยกระตนุ้ การยอ่ ยอาหารสาหรับพืช มี 8.นิกเกิล (Ni) บทบาทสาคญั เกี่ยวกบั ฮอร์โมนพชื จาเป็นต่อการสร้างคลอโรฟิ ลล์ การสงั เคราะห์ คลอโรฟิ ลลแ์ ละสังเคราะหแ์ สง ช่วยในการทางานของเอนไซม์ มีส่วนประกอบของ คาร์บอนไดออกไซดแ์ ละการยอ่ ยไนโตรเจน ช่วยในการดึงไนโตรเจนออกมาใชง้ านและช่วยในการ สงั เคราะหโ์ ปรตีน พบธาตชุ นิดน้ีในดิน ช่วยสังเคราะห์ฮอร์โมนออกซิน คลอโรฟิ ลลแ์ ละแป้ง ควบคมุ การยอ่ ยน้าตาลของพชื เป็นส่วนหน่ึงในการทางาน ขอเอนไซมท์ ่ีมีส่วนในการควบคมุ การเจริญเติบโตของพืช และจาเป็นตอ่ การเปลี่ยนสภาพของคาร์โบไฮเดรต เป็นธาตอุ าหารทาสาคญั ต่อเอนไซม์ ทาหนา้ ท่ี ปลดปลอ่ ยไนโตรเจนใหอ้ ยใู่ นรูปที่จะนาไปใชไ้ ด้ และยงั ช่วยในกระบวนการงอกของเมลด็ อีกดว้ ย

21 ป๋ ุย ป๋ ุย คือ วสั ดุท่ีมีธาตุอาหารพืชเป็นองคป์ ระกอบ หรือสิ่งมีชีวิตท่ีก่อให้เกิดธาตุอาหารพืช เม่ือใส่ลง ไปในดินแลว้ จะปลดปลอ่ ยหรือสังเคราะหธ์ าตอุ าหารที่จาเป็นใหแ้ ก่พืช ประเภทของป๋ ุย ป๋ ยุ แบ่งเป็น 3 ประเภท คอื ป๋ ุยอินทรีย์ ป๋ ยุ เคมี และป๋ ยุ ชีวภาพ 1. ป๋ ุยอนิ ทรีย์คือ สารประกอบท่ีไดจ้ ากสิ่งที่มีชีวติ ไดแ้ ก่ พชื สัตวแ์ ละจุลินทรียผ์ า่ นกระบวนการ ผลิตทางธรรมชาติป๋ ุยอินทรียส์ ่วนใหญใ่ ชใ้ นการปรับปรุงสมบตั ิทางกายภาพของดิน ทาใหด้ ินโปร่ง ร่วนซุย ระบายน้าและถา่ ยเทอากาศไดด้ ีทาใหร้ ากพชื ชอนไชไปหาธาตุอาหารไดง้ ่ายข้ึน ป๋ ุยอินทรีย์ มีปริมาณธาตุ อาหารนอ้ ยเมื่อเปรียบเทียบกบั ป๋ ุยเคมีและธาตุอาหารพชื ส่วนใหญ่อยใู่ นรูปของสารประกอบอินทรีย์ พืชไม่ สามารถดูดไปใช้ ประโยชน์ไดท้ นั ทีตอ้ งผา่ นกระบวนการยอ่ ยสลายโดยจุลินทรียใ์ นดินก่อน แลว้ จึง ปลดปล่อยธาตอุ าหารออกมาในรูปสารประกอบอินทรียพ์ ืชจึงดูดไปใชป้ ระโยชนไ์ ดป้ ๋ ยุ อินทรียม์ ี3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1.ป๋ ุยคอก เป็นป๋ ยุ อินทรียท์ ี่ไดม้ าจากสิ่งขบั ถ่ายของสัตว์ 2.ป๋ ุยหมกั เช่น โค กระบือ สุกร เป็ด ไก่ และห่าน โดย อาจจะใชใ้ นรูปป๋ ุยคอก แบบแหง้ หรือนาไป หมกั ใหเ้ กิดการยอ่ ยสลายก่อนแลว้ ก่อน นาไปใช้ เป็นป๋ ยุ อินทรียช์ นิดหน่ึงซ่ึงไดจ้ ากการนา ชิ้นส่วนของพืชวสั ดุเหลือใชท้ างการเกษตร หรือวสั ดุเหลือใชจ้ ากโรงงานอตุ สาหกรรม เช่น หญา้ แหง้ ใบไมฟ้ างขา้ ว ซงั ขา้ วโพด กาก ออ้ ยจากโรงงานน้าตาล แกลบจากโรงสีขา้ ว ข้ี เล่ือย จากโรงงานแปรรูปไมเ้ ป็นตน้ มาหมกั ใน รูปของการกองซอ้ นกนั บนพ้ืนดิน หรืออยู่ ใน หลุม เพอ่ื ใหผ้ า่ นกระบวนการยอ่ ยสลายใหเ้ น่า เป่ื อย โดยอาศยั กิจกรรมของจุลินทรียด์ ิน

22 3.ป๋ ุยพืชสด เป็ นป๋ ุยอินทรีย์ซึ่งได้จากการไถกลบต้น ใบ และส่วนต่างๆ ของพืช โดยเฉพาะพืชตระกูล ถั่วในระยะช่ วงออกดอกจนถึงดอกบานเต็มท่ี ซ่ึงเป็ นช่วงที่มีธาตุไนโตรเจนในลาต้นสูงสุด แล้วปล่อยไว้ให้เน่าเป่ื อยผุพัง ย่อยสลายเป็ น อาหารแก่พืชท่ีจะปลูกตามมาพืชตระกูลถั่วที่ ควรใช้เป็ นป๋ ุยพืชสด ได้แก่ ถ่ัวพุ่ม ถ่ัวเขียว ถ่ัว ลาย ปอเทือง ถั่วขอถ่ัวแปบ และโสน เป็ นต้น ป๋ ุยพืชสด นอกจากจะให้ธาตุไนโตรเจน ซ่ึง เปนธาตอุ าหารหลกั แก่พืชแล้ว ยังให้ธาตุอาหาร รองอ่ืนๆ ที่จาเป็ นแก่พืช 2. ป๋ ุยเคมีคือสารประกอบอนินทรียท์ ี่ใหธ้ าตุอาหารพืชเป็นสารประกอบที่ผ่านกระบวนการผลิตทางเคมีเมื่อ ใส่ลงไปในดินท่ีมีความช้ืนท่ีเหมาะสม ป๋ ุยเคมีจะละลายใหพ้ ชื ดูดไปใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ป๋ ุยเคมีแบ่งเป็ น 2 ประเภท คือ ป๋ ยุ เดี่ยวหรือแม่ป๋ ยุ ป๋ ุยเด่ียวหรือแม่ป๋ ุยคือ ป๋ ยุ ท่ีมีธาตุ ป๋ ุยผสม อาหารคือไนโตรเจน (N)หรือ ฟอสฟอรัส (P) หรือ โพแทสเซียม(K) เป็น องคป์ ระกอบอยหู่ น่ึงหรือสอธาตุ แลว้ แตช่ นิดของสารประกอบที เป็นแม่ป๋ ยุ น้นั ๆ มีปริมาณขอธาตุ อาหารที่คงที่ และมีความเขม้ ขน้ สูง ป๋ ุยท่ีมีการนาเอาแมป่ ๋ ุยหลายชนิด มาผสมรวมกนั เพ่ือใหป้ ๋ ยุ ที่ผสม ไดม้ ีปริมาณและสดั ส่วนของธาตุ อาหาร N P และ K ตามท่ี ตอ้ งการเพือ่ ใหไ้ ดป้ ๋ ยุ ท่ีเหมาะท่ี จะใชก้ บั พืชและดินที่แตกตา่ งกนั

23 ป๋ ุยชีวภาพ ป๋ ุยที่ประกอบดว้ ยจุลินทรียท์ ี่ยงั มีชีวิตอยแู่ ละมีคุณสมบตั ิพิเศษสามารถสงั เคราะห์สารประกอบธาตุ อาหารพืชไดเ้ องหรือสามารถเปลี่ยนธาตุอาหารพืชที่อยใู่ นรูปท่ีไม่เป็นประโยชน์ต่อพืช ใหม้ าอยใู่ นรูปท่ีพืช สามารถดูดไปใชป้ ระโยชน์ไดป้ ๋ ยุ ชีวภาพแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.กลุ่มจุลินทรียท์ ่ีสามารถ ไรโซเบียมที่อยใู่ นปมรากพืช สังเคราะห์สารประกอบ ตระกลู ถว่ั สาหร่ายสีเขยี วแกม อาหารพชื ไนโตรเจนไดเ้ อง น้าเงินที่อยใู่ นโพรงใบของ แหนแดงและยงั มีจุลินทรียท์ ่ี 2.กลุ่มจุลินทรียท์ ี่ช่วยทาให้ อาศยั อยใู่ นดินอยา่ งอิสระอีก ธาตอุ าหารพชื ในดิน ละลาย มาก ท่ีสามารถตรึงไนโตรเจน ออกมาเป็นประโยชนต์ ่อพชื จากอากาศใหแ้ ก่พืชไดเ้ ช่นกนั มากข้นึ ไมคอร์ไรซาที่ช่วยให้ ฟอสฟอรัสท่ีถกู ตรึงอยใู่ นดิน ละลายออกมาอยใู่ นรูปท่ีพชื ดูดไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้

24 การใช้ป๋ ยุ ตามค่าวิเคราะห์ดนิ หรือป๋ ุยสั่งตัด มีทางเลือก 2 วธิ ี ไดแ้ ก่ 1. ใชป้ ๋ ยุ สาเร็จรูป สูตรที่ใหธ้ าตอุ าหาร เอน็ -พี-เค (N-P-K) ใกลเ้ คียงกบั คาแนะนาตามค่าวิเคราะห์ดิน 2. ผสมป๋ ุยใชเ้ อง โดยนาแมป่ ๋ ุย (ป๋ ยุ ท่ีมีธาตอุ าหารในสูตรเขม้ ขน้ มาก)เช่น ป๋ ยุ สูตร 46-0-0, 18-46-0 และ 0-0- 60 มาผสมใชเ้ อง ผลดีคอื แม่ป๋ ุยมีความเขม้ ขน้ ของธาตอุ าหารสูง ไมม่ ีสารตวั เติม และ ปลอมยาก สามารถ นามาผสม ข้อดี-ข้อเสียของป๋ ุยอนิ ทรีย์ ป๋ ยุ เคมแี ละป๋ ยุ ชีวภาพ ข้อดีของป๋ ุยอนิ ทรีย์ ข้อเสียของป๋ ยุ อนิ ทรีย์ 1. ช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดีข้นึ 2. อยใู่ นดินนา (ค่อย ๆ ปลอ่ ยธาตอุ าหารใหแ้ ก่พชื 1.มีปริมาณธาตุอาหารตอ่ น้าหนกั ป๋ ยุ ต่า อยา่ งตอ่ เน่ือง) 2.ใชเ้ วลาในการปลดปลอ่ ยธาตอุ าหารนาน 3. ช่วยใหป้ ๋ ุยเคมีเป็นประโยชนแ์ ก่พชื มากข้นึ 3.ราคาแพงเมื่อเทียบต่อหน่วยธาตุอาหารพืช 4. ส่งเสริมสิ่งมีชีวติ ที่มีประโยชน์ในดิน 4.หาซ้ือยากในปริมาณมาก ๆ 5.ไมส่ ะดวกนาไปใช้ ข้อดีของป๋ ุยเคมี ข้อเสียของป๋ ยุ เคมี 1.มีปริมาณธาตอุ าหารพชื สูงมาก 2. 1.ป๋ ุยแอมโมเนียทาใหด้ ินเป็นกรด เมื่อใชเ้ ป็น ปล่อยธาตุอาหารพชื ไดเ้ ร็ว 3. เวลานาน ราคาถูก 4.หาซ้ือง่าย 2. ไม่ช่วยเร่ืองปรับปรุงสมบตั ิทางกายภาพของดิน 3.มีความเคม็ ข้อดขี องป๋ ุยชีวภาพ ข้อเสียของป๋ ยุ ชีวภาพ 1.ใหธ้ าตอุ าหารบางชนิด 1.เป็นจุลินทรียท์ ี่สามารถสังเคราะห์ธาตอุ าหารที่เป็น 2.ตอ้ งระวงั การเกบ็ รักษา เนื่องจากจุลินทรียม์ ีชีวติ 3.ใชไ้ ดก้ บั พืชบางชนิด ประโยชนข์ องพชื 2.ใชไ้ ดใ้ นช่วงระยะเวลาจากดั 3. ตน้ ทุนต่า 4. ใชร้ ่วมกบั ป๋ ุยเคมี ช่วยลดการใชป้ ๋ ยุ เคมี

25 น้า การใช้น้าของพืช การใชน้ ้าของพชื เป็นปริมาณน้าท้งั หมดท่ีสูญเสียจากพ้ืนที่เพาะปลกู สู่บรรยากาศในรูปของไอน้า จากกระบวนการที่สาคญั คือ การคายน้าของพชื และการระเหย การคายน้าของพชื เป็นการท่ีพชื ดูดน้าไปจาก ดินเขา้ สู่ลาตน้ ไปสู่ใบและสูญเสียไปในบรรยากาศในรูปของไอน้าทางรูเปิ ดปากใบ โดยเซลลใ์ บของพืช บริเวณรูเปิ ดปากใบอยตู่ ิดกบั ทอ่ ลาเลียงน้า (รูปที่ 3.1) เมื่อน้าจากเซลลใ์ บถกู คายออกไป ทาใหเ้ ซลลใ์ บเห่ียว และมีแรงดูดน้าจากท่อลาเลียงน้ามากข้นึ เป็นผลใหน้ ้าเคล่ือนยา้ ยจากลาตน้ เขา้ สู่ใบ เม่ือน้าในลาตน้ นอ้ ย ทา ใหร้ ากพชื ตอ้ งดูดน้าจากดินเพ่ิมข้นึ ดงั น้นั ถา้ ดินมีความช้ืนอยา่ งเพยี งพออยตู่ ลอดเวลา อตั ราท่ีพชื ดูดน้าจาก ดินจะข้นึ อยกู่ บั อตั ราการคายน้า (transpiration rate) แต่ถา้ ความช้ืนในดินลดลงจนไมเ่ พยี งพอกบั ความ ตอ้ งการของพืช อตั ราการคายน้ากจ็ ะข้ึนอยกู่ บั อตั ราที่พชื ดูดน้าไดจ้ ากดิน การคายน้าของพืชเป็นการระเหย ของน้าในช่องอากาศระหวา่ งเซลลข์ องใบ (intercellular space) และแพร่กระจาย (diffuse) ออกจากรูเปิ ดปาก ใบสู่บรรยากาศช่องอากาศในใบจะมีไอน้าอยเู่ กือบอิ่มตวั การคายน้าของพืชจึงข้ึนอยกู่ บั ความแตกตา่ ง ระหวา่ งความเขม้ ขน้ ของไอน้าในใบกบั บริเวณรอบๆ ใบ ดงั น้นั ถา้ อากาศแหง้ หรือความช้ืนสัมพทั ธต์ ่า รูป เซลลใ์ บของพชื ที่มีรูเปิ ดปากใบ(Klein and Klein,1988)

26 ไอน้าในบรรยากาศมีนอ้ ย พืชก็ย่งิ มีการคายน้ามากข้ึน และเมื่อใบของพืชไดร้ ับพลงั งานความร้อน จากดวงอาทิตย์ จะทาให้ใบมีอุณหภูมิสูงกว่าบรรยากาศที่อยู่รอบๆ ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิท้งั 2 บริเวณน้ี อาจจะมากถึง 3-6 ° C เม่ืออุณหภูมิของบรรยากาศสูงข้ึน ทาใหค้ วามช้ืนที่จุดอิ่มตวั สูงข้นึ ดงั น้นั ใบ พืชซ่ึงมีอุณหภูมิสูงกว่า จะมีความเขม้ ขน้ ของไอน้าในช่องอากาศในใบมากกวา่ บริเวณรอบ ๆ ซ่ึงทาใหก้ าร แพร่กระจายของไอน้าจากรูเปิ ดปากใบสูงข้ึน และพืชจะมีการคายน้าเพ่ิมข้ึน การคายน้าของพืชเมื่อเกิดข้ึน ติดต่อกนั ทาใหไ้ อน้าในบรรยากาศรอบๆ ตน้ พืชมีความเขม้ ขน้ สูงข้ึน เป็นผลใหอ้ ตั ราการคายน้าลดลง แตถ่ า้ หากมีลมพดั มาพดั พาไอน้ารอบๆ ตน้ พชื ไป อตั ราการคายน้าของพชื ก็จะเพ่ิมสูงข้ึน เม่ือระดบั ความช้ืนในดิน ลดลง หรืออตั ราการคายน้าของพืชสูงกว่าอตั ราท่ีพืชดูดน้าไดจ้ ากดิน พืชก็จะเหี่ยว รูเปิ ดปากใบจะปิ ด การ คายน้าของพืชจะลดลงหรือหยุดการคายน้า กลไกดงั กล่าวเป็นการป้องกนั ไม่ใหพ้ ืชตอ้ งไดร้ ับความเสียหาย มาก เพราะการท่ีพืชไม่มีการคายน้าจะทาให้เซลล์เห่ียว และลดการสังเคราะห์แสงลง เป็ นผลให้การ เจริญเติบโตของพืชลดลง ดงั น้นั ในทางปฏิบตั ิดูแลรักษาพืชปลูก จึงมีทางป้องกนั ไม่ใหเ้ กิดความเสียหายแก่ พืช โดยพยายามจดั ให้พืชน้นั มีน้าใช้อย่างพอเพียงตลอดเวลา และทาให้ดินมีคุณสมบตั ิที่จะทาให้รากพืช สามารถแพร่กระจายออกไปได้อย่างกวา้ งขวางและลึก ซ่ึงจะทาให้พืชดูดน้าไปใช้อย่างเพียงพออยู่ตลอด การระเหยน้า เป็นการแพร่กระจาย ของน้าในรูปของไอน้าจากผิวดินสู่บรรยากาศ อตั ราการระเหย จะข้ึนอยูก่ บั ลกั ษณะของผิวดินที่มีการระเหย ความแตกต่างระหวา่ งความดนั ไอน้า ซ่ึงข้ึนอย่กู บั อุณหภูมิ ลม แสงแดด ความเร็วของลมและความกดดนั ของบรรยากาศ ฯลฯ นอกจากน้นั การเขตกรรม เช่น วิธีการใหน้ ้า การจดั การดิน หรือวิธีการเพาะปลูกพืชลว้ นมีผลต่อการระเหยน้า การให้น้าแก่พืชคร้ังละน้อย ๆ แต่ให้ บ่อยคร้ังจะทาใหม้ ีการสูญเสียน้าโดยการระเหยมากข้ึน ถา้ หากใหน้ ้าแก่พืชในปริมาณเท่ากนั แต่ใหน้ อ้ ยคร้ัง ลงจะช่วยลดการระเหยไดม้ าก เพราะผิวดินมีการเปี ยกนอ้ ยคร้ัง และน้าซึมลงไปเก็บไวใ้ นดินไดล้ ึกกว่า ซ่ึง เป็นผลใหน้ ้าที่พืชจะดูดไปใชไ้ ดม้ ากกว่า การใหน้ ้าแก่พืชโดยวิธีใหน้ ้าท่วมผิวดิน โอกาสการระเหยน้าจาก ผิวดินและผิวน้าโดยตรงเกิดข้นึ ไดม้ าก ส่วนการใหน้ ้าแบบฉีดฝอย ซ่ึงมีระยะเวลาการใหน้ ้ายาวนาน จะมีการ สูญเสียน้าเนื่องจากการระเหยมากกวา่ การใหน้ ้าแบบอื่น อยา่ งไรก็ตามการระเหยจากผิวดินผิวน้าและจากที่ เกาะอยู่ตามใบและตน้ พืช ก่อให้เกิดประโยชน์กบั พืชโดยการที่พลงั งานความร้อนส่วนน้นั ไม่ถูกใชไ้ ปใน การทาใหเ้ กิดการคายน้าของพืชเพ่ิมข้ึน ในพ้ืนท่ีที่ปลูกพืชตน้ ชิดกนั เช่น พวกขา้ ว หรือหญา้ เล้ียงสัตว์ การ ระเหยน้าจากผิวดินจะลดลง ท้งั น้ีเพราะนอกจากพืชจะใช้ความช้ืนในดินไปในการคายน้าเป็ นจานวนมาก แลว้ ใบของพชื ยงั ปกคลมุ มิใหแ้ ดดส่องไปถึงผิวดิน และความหนาแน่นของตน้ พืชจะช่วยป้องกนั มิให้ลมพดั พาเอาอากาศรอบตน้ พชื ซ่ึงมีไอน้ามากไปจากพ้นื ท่ีเพาะปลูกอยา่ งรวดเร็วอีกดว้ ย

27 การระเหยของน้าจากผิวดินจะถูกควบคมุ จากเน้ือดินดว้ ย ดินที่มีการไหลซึมของความช้ืน (capillary movement) สูงจะมีการระเหยจากผิวดินมาก ในทางตรงกันข้าม ดินท่ีมีเน้ือหยาบซ่ึงมีการไหลซึมของ ความช้ืนไดช้ า้ กว่าจะมีการระเหยจากผิวดินได้น้อย แต่อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิ ความเร็วลม ความช้ืนของ อากาศ ฯลฯ จะมีผลต่อการระเหยลง น้าจากผิวดินดงั กล่าวตลอดเวลา การคลุมดิน และการให้ร่มเงาแก่ดิน จะช่วยลดการระเหยจากผิวดินลงได้ ความสัมพนั ธ์ระหว่างดนิ และน้า ดินประกอบดว้ ยสสาร 3 สถานะ คือของแข็งท้งั อินทรียว์ ตั ถุและอนินทรียว์ ตั ถุ ของเหลวซ่ึงส่วน ใหญ่คือน้า และแก๊ส เน้ือดินและโครงสร้างของดินจะกาหนดขนาดช่องวา่ งของเม็ดดินให้เป็ นที่อยู่ของน้า และแก๊ส ดินที่มีเน้ือหยาบ เช่นดินทรายมีคุณสมบตั ิใหน้ ้าซึมผ่านไดง้ ่าย แต่อุม้ น้าไวไ้ ดน้ อ้ ย ในทางตรงกนั ขา้ มดินเน้ือละเอียดเช่นดินเหนียว มีคุณสมบตั ิให้น้าซึมผ่านไดย้ ากจึงอุม้ น้าไวไ้ ดม้ าก ท้งั ดินเน้ือหยาบและ ละเอียดเกินไป จึงมีคุณสมบตั ิในการอุม้ น้าและระบายน้าไม่เหมาะสมตามความตอ้ งการของพชื ดินท่ีเหมาะ ต่อการเพาะปลูกพืชและสามารถจดั การชลประทานไดเ้ หมาะสมควรเป็นดินเน้ือปานกลางที่สามารถเก็บกกั และระบายน้าไดด้ ี ช่วยให้น้าท่ีถูกส่งเขา้ มายงั บริเวณรากพืชจะถูกดูดยดึ เก็บกกั เอาไวใ้ ชไ้ ดม้ ากและหากน้า มากเกินความตอ้ งการดินก็สามารถระบายออกไปไดด้ ี น้าในดินหรือความช้ืนท่ีพืชดูดไปใชไ้ ด้ (available moisture) เป็นน้าดูดซึม (capillary water) ต้งั แต่ ระดบั ความช้ืนชลประทาน (field capacity) คอื ความช้ืนในดินหลงั จากน้าอิสระถูก ระบายออกไปแลว้ จนถึง ความช้ืนที่จุดเห่ียวถาวร (permament wilting point) คือความช้ืนในดินท่ีมีนอ้ ยจนกระทงั่ พืชไม่สามารถดูด มาใชท้ ดแทนการคายน้าจนพืชเห่ียวเฉาอยา่ งถาวร แหล่งน้าที่พืชได้รับ โดยทั่วไปน้ าท่ีพืชดูดเข้าไปใช้ในการเจริ ญเติบโตจะได้มาจาก 4 แหล่งด้วยกันคือ 1) ความช้ืนที่ยงั มีอยู่ในดินตามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน ความช้ืนดงั กล่าวถา้ มีปริมาณมากพอพืชก็ สามารถนาไปใชไ้ ด้ บางพ้ืนท่ีอาจจะไดร้ ับเพิ่มเติมจากฝนท่ีตกนอกฤดูกาลเพาะปลูกดว้ ย อย่างไรก็ตามน้า จากแหล่งน้ีมีใหพ้ ืชเอาไปใชไ้ ม่มากนกั โดยเฉพาะพชื ท่ีมีรากต้ืน เพราะดินช้นั บนจะมีการสูญเสียน้าโดยการ ระเหยจากผิวดินไปไดม้ ากกวา่ ดินช้นั ล่าง

28 รูป การจาแนกความช้ืนในดินและความช้ืนที่พชื นาไปใชไ้ ดแ้ ละไมไ่ ด้ 2) น้าใตด้ ิน ถา้ หากน้าใตด้ ินอยใู่ นระดบั ท่ีจะซึมข้ึนมาถึงเขตรากได้ รากพืชก็สามารถใชน้ ้าส่วนน้ีได้ แต่น้าตอ้ งมีคณุ ภาพดี ไมม่ ีการสะสมของเกลือในเขตรากข้ึน จนทาใหก้ ระทบกระเทือนตอ่ การเจริญเติบโต ของพืช 3) ฝนท่ีตกในฤดูกาลเพาะปลูก ซ่ึงพชื อาจนาไปใชไ้ ดเ้ พยี งบางส่วนเท่าน้นั โดยจะถกู กาหนดจาก ปัจจยั หลายอยา่ งดว้ ยกนั เช่น อตั ราและปริมาณของฝน อตั ราการซึมของน้าลงไปในดิน ความสามารถเกบ็ กกั น้าของดิน และความช้ืนเดิมของดินก่อนฝนตก เป็นตน้ ถา้ อตั ราที่ฝนตกสูงกวา่ อตั ราที่น้าฝนจะซึมลงไป ในดิน ส่วนที่เกินกจ็ ะกลายเป็นน้าผวิ ดิน (runoff) ไหลลงสู่แมน่ ้าลาคลอง หรือถา้ ปริมาณท่ีซึมลงไปในดิน มากกวา่ ที่ดินจะเกบ็ ไวไ้ ดก้ จ็ ะมีการซึมเลยเขตรากพชื ออกไปอีก ดงั น้นั ปริมาณน้าฝนท่ีพืชจะนาไปใชไ้ ด้ อยา่ งแทจ้ ริงจึงจากดั อยเู่ ฉพาะส่วนท่ีเกบ็ กกั อยใู่ นเขตรากหรือในแปลงปลกู ที่พชื สามารถนาไปใชไ้ ดเ้ ทา่ น้นั

29 4) น้าชลประทานที่จะตอ้ งจดั หามาใหแ้ ก่พชื ปลกู เพม่ิ เติมจากขอ้ 1 ถึง 3 เนื่องจากวา่ ความช้ืนที่ เหลืออยใู่ นดินและที่ซึมข้นึ มาจากใตด้ ินมีปริมาณไมม่ าก ดงั น้นั น้าชลประทานที่จดั หามาเพมิ่ เติมใหก้ บั พืช คือปริมาณน้าที่พชื ตอ้ งการสาหรับการระเหยและคายน้ารวมกบั น้าที่จะนาไปใชเ้ พ่ือเหตุผลอื่น เช่น ควบคมุ ความเขม้ ขน้ ของเกลือในเขตราก หลกั ของการให้นา้ แก่พืชปลกู ในการกาหนดการใหน้ ้าแก่พืชเพ่ือใหพ้ ืชเจริญเติบโตและใหผ้ ลตอบแทนสูงน้นั จะคานึงถึงวา่ เม่ือไรจึงจะควรใหน้ ้าแก่พืชและใหเ้ ป็นปริมาณเท่าใด ซ่ึงในทางปฏิบตั ิจะตอ้ งคานึงถึงปัจจยั ท่ีกาหนด 3 ประการคอื พชื ดินและน้า ดงั น้ีคือ 1) ปริมาณน้าที่พชื ตอ้ งการที่ช่วงเวลาต่าง ๆ ตลอดอายพุ ชื 2) ความสามารถในการอุม้ น้าของดินในเขตราก 3) ปริมาณของน้าท่ีจะหามาทาการชลประทานได้ ปริมาณน้าที่พชื ตอ้ งการท่ีช่วงเวลาต่างๆ ตลอดอายขุ องพืชและความสามารถอมุ้ น้าของดินในเขต ราก เป็นขอ้ มูลสาคญั เบ้ืองตน้ ซ่ึงจะตอ้ งนามาใชห้ าความถี่ในการใหน้ ้าและปริมาณน้าท่ีจะตอ้ งใหแ้ ต่ละคร้ัง อยา่ งไรก็ตามในบางคร้ังไมส่ ามารถใหน้ ้าแก่พืชไดเ้ ตม็ จานวนตามที่พชื ตอ้ งการเสมอไปเน่ืองจากวา่ น้าท่ีมี อยนู่ ้นั มีจานวนจากดั หรือในขณะท่ีพชื กาลงั ตอ้ งการน้าน้นั ยงั ไม่ถึงกาหนดส่งน้าจากโครงการชลประทาน ดงั น้นั จึงตอ้ งทราบดว้ ยวา่ จะมีน้าที่สามารถใหแ้ ก่พืชไดอ้ ยา่ งแน่นอนเท่าไรและมีกาหนดการส่งน้ามา อยา่ งไร เพ่ือจะไดจ้ ดั เวลาท่ียอมใหพ้ ืชขาดน้าอยใู่ นช่วงท่ีจะกระทบกระเทือนต่อผลผลิตนอ้ ยท่ีสุด หรือถา้ มี น้าอยา่ งเพยี งพอแต่ไมต่ รงกบั ท่ีพชื ตอ้ งการจะไดจ้ ดั เตรียมเกบ็ กกั น้าไวใ้ ชใ้ นช่วงที่มิไดม้ ีการส่งน้าดว้ ย พืชท่ีกาลงั เจริญเติบโตย่อมมีการใชน้ ้าอยตู่ ลอดเวลา อตั ราการใชน้ ้าจะข้ึนอย่กู บั ชนิดและอายุของ พืช อุณหภูมิ และสภาพของภูมิอากาศอ่ืนๆ การใหน้ ้าแก่พืชในแต่ละคร้ัง ปริมาณท่ีใหค้ วรเพียงพอกบั ความ ตอ้ งการน้าของพืชไปจนกวา่ กาหนดการใหน้ ้าคราวหนา้ พืชเกือบทุกชนิดจะให้ผลผลิตลดลง หรือคุณภาพ เลวลง ถา้ มีการขาดน้าที่ช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง ช่วงเวลาที่เม่ือมีการขาดน้า แลว้ จะก่อใหเ้ กิดความเสียหายแก่ ผลผลิตมากท่ีสุดเรียกวา่ ช่วงวกิ ฤติ (critical period) ดงั น้นั ในช่วงเวลาดงั กล่าวจะตอ้ งคอยรักษาดินใหม้ ีความ ชุ่มช้ืนอยเู่ สมอ ช่วงเวลาวิกฤติของพืชปลูกบางชนิดแสดงไวใ้ นตาราง

30 ตาราง แสดงช่วงวิกฤติในการขาดน้าของพชื ปลูกบางชนิด ชนิดพืช ช่วงวกิ ฤติ กะหล่าปลี เร่ิมออกดอกจนเก็บเกี่ยว กะหล่าดอก ตลอดฤดูกาลปลูก ขา้ วโพด ผลิดอกจนถึงติดฝัก ถวั่ ผลิดอกจนถึงออกฝัก ธญั พืช ต้งั ทอ้ งออกรวง ฝ้าย ผลิดอกจนถึงสมอแก่ มะเขือเทศ ผลิดอกออกผล ไมผ้ ลประเภทส้ม ผลิดอกออกผล ยาสูบ สูงประมาณ 50 ซม. ถึงผลิดอก ออ้ ย ช่วงเจริญเติบโตเตม็ ที่ การท่ีจะรักษาความช้ืนของดินใหอ้ ยทู่ ี่ระดบั ใดตลอดฤดูกาลเพาะปลกู ได้ นอกจากน้นั พชื แตล่ ะชนิด ยงั ตอ้ งการดินที่มีความช้ืนแตกต่างกนั พืชบางชนิดตอ้ งการดินที่มีความช้ืนสูงตลอดเวลา จึงจะใหผ้ ลผลิต คุณภาพดีในขณะท่ีพชื หลายชนิดตอ้ งการความช้ืน แต่ละระยะการเจริญเติบโตแตกต่างกนั ในไมผ้ ลเขตร้อน ช้ืนหลายชนิด เช่น ทุเรียน เงาะ มงั คดุ ลางสาด ลองกอง และส้มโอ เป็นตน้ จะมีการเจริญเติบโตทางลาตน้ เช่น การแตกใบและยอดอ่อนมากในช่วงฤดูฝน หรือเมื่อไดร้ ับน้าและความช้ืนสูงติดต่อกนั นาน เม่ือหมดฤดู ฝน หรือเขา้ สู่ช่วงหนา้ แลง้ อตั ราการเจริญเติบโตทางลาตน้ จะค่อย ๆ ลดลง เกิดการพกั ตวั สะสมอาหาร จน นาไปสู่การออกดอก ดงั น้นั การออกดอกของไมผ้ ลเขตร้อนช้ืนหลายชนิด เกี่ยวขอ้ งอยกู่ บั ความช้ืนของดิน และความช้ืนบรรยากาศตลอดเวลา ไมผ้ ลเหลา่ น้ีจะออกดอกในสภาพความช้ืนของดินและบรรยากาศ ค่อนขา้ งต่า แตใ่ นช่วงเวลาดงั กลา่ วหากมีฝนตกลงมามาก และติดตอ่ กนั นานจะส่งผลทาใหเ้ กิดการ เจริญเติบโตทางลาตน้ แทนที่การออกดอกได้ กาหนดการให้น้าแก่พชื ปลกู นอกจากพิจารณาถึงคุณสมบตั ิของดินและความตอ้ งการของพืชที่ปลกู แลว้ ปัจจยั อ่ืนท่ีจะตอ้ งพิจารณาร่วมดว้ ย คือ สภาพภมู ิอากาศ เช่น รังสีดวงอาทิตย์ อณุ หภมู ิ และความช้ืน

31 บรรยากาศ และการจดั การเพาะปลกู เช่น ฤดูกาลท่ีทาการเพาะปลกู และเก็บเก่ียว ความหนาแน่นของพืชปลูก การใชป้ ๋ ยุ เป็นตน้ วิธีการให้น้าแก่พืชปลูก การใหน้ ้าแก่พืชอาจทาไดห้ ลายวธิ ีการท่ีจะเลือกวิธีใดวธิ ีหน่ึง จะตอ้ งพิจารณาลกั ษณะของภูมิ ประเทศ คณุ สมบตั ิของดิน ลกั ษณะของพ้นื ท่ีที่ไดเ้ ตรียมไว้ พชื ท่ีจะปลูก วธิ ีการเพาะปลกู เงินทนุ ตลอดจน น้าตน้ ทนุ ที่จะนามาใหแ้ ก่พืช โดยทวั่ ไปวิธีการใหน้ ้า แบง่ ออกเป็น 4 แบบใหญๆ่ ดว้ ยกนั คือ 1.การใหน้ ้าแบบฉีดฝอย (sprinkler irrigation) 2.การใหน้ ้าทางผวิ ดิน (surface irrgation) 3.การใหน้ ้าทางใตผ้ ิวดิน (subsurface irrigation) 4.การใหน้ ้าแบบหยด (drip irrigation) 1. การให้น้าแบบฉีดฝอย การชลประทานแบบน้ีจะใหน้ ้าแก่พชื โดยการฉีดน้าจากหัวฉีดข้ึนไปในอากาศแลว้ ให้หยดน้าตกลง มาเป็นฝอย โดยมีรูปทรงการแผก่ ระกระจายของหยดน้าสม่าเสมอ และอตั ราของน้าท่ีตกลงบนผวิ ดินมีคา่ นอ้ ยกวา่ อตั ราการซึมของน้าผา่ นผิวดิน ระบบชลประทานแบบฉีดฝอยอาจแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดว้ ยกนั คือ 1) แบบติดต้งั อยกู่ บั ที่ (permanent system) 2) แบบเคล่ือนยา้ ยไดเ้ พียงบางส่วน (semiportable system) 3) แบบเคล่ือนยา้ ยไดท้ ้งั หมด (portable system) ประสิทธิภาพในการใหน้ ้าของการชลประทานฉีดฝอยอยรู่ ะหวา่ ง 75-85 เปอร์เซ็นต์ โดยมีอปุ กรณ์ท่ีเป็น ส่วนประกอบที่สาคญั ของการใหน้ ้าแบบฉีดฝอย ดงั น้ี 1) เคร่ืองสูบน้า (pumping unit) ทาหนา้ ท่ีสูบน้าจากแหล่งน้าและเพิ่มความดนั ใหก้ บั หวั จ่ายน้า 2) ทอ่ ประธาน (mainline pipe unit) ทาหนา้ ท่ีส่งน้าจากเคร่ืองสูบน้าไปสู่ทอ่ แยก 3) ท่อแยก (lateral pipe unit) ทาหนา้ ท่ีส่งน้าจากท่อประธานใหก้ บั หวั จ่ายน้า 4) หวั จ่ายน้า (sprinkler unit) ทาหนา้ ที่จ่ายน้าใหก้ บั พืชปลูก โดยส่วนใหญ่จะจ่ายน้าโดยการหมนุ หวั ฉีดเป็น วงกลมในแนวราบ (rotary sprinkler)

32 รูป อปุ กรณ์ของระบบใหน้ ้าแบบฉีดฝอย รูประบบใหน้ ้าแบบฉีดฝอย

33 ขอ้ ดีของการใหน้ ้าแบบฉีดฝอย ขอ้ เสียของการใหน้ ้าแบบฉีดฝอย 1) ลดการเสียพ้ืนท่ีจากการจดั ทาระบบ 1) คา่ ลงทนุ คร้ังแรกสูงมาก และอาจตอ้ งเสีย คา่ ใชจ้ ่ายในการดูแลรักษาและดาเนินการสูง ชลประทาน เช่น การขดุ คูร่องน้าลงได้ 2) การเคล่ือนยา้ ยทาไดแ้ ตไ่ ม่สะดวก 2) มีประสิทธิภาพในการให้น้าสูง 3) มีผลทาใหก้ ารแพร่กระจายและแขง่ ขนั ของ 3) ใชน้ ้าเพอ่ื ประโยชน์ทางการเกษตรหรืออื่นๆ วชั พชื เกิดข้ึนไดม้ าก ร่วมกนั ได้ เช่น ใชใ้ นบา้ นใชเ้ ล้ียงสัตว์ 4) การสูญเสียน้าไปโดยการระเหยจะเกิดข้ึนไดม้ าก 4) การใหน้ ้าแบบให้นอ้ ย ๆ แต่บอ่ ยคร้ัง เช่น การ ใหน้ ้าแก่พืชรากต้ืนหรือพชื ท่ีเริ่มงอกจะมี ประโยชน์มาก 5) สามารถพว่ งการใหป้ ๋ ยุ และสารเคมีอ่ืนๆ ร่วมไป กบั ระบบการใหน้ ้าแบบน้ีได้ 2.การให้นา้ ทางผิวดนิ การชลประทานแบบน้ีใหน้ ้าโดยการขงั หรือปลอ่ ยใหน้ ้าไหลไปบนผิวดินและซึมลงไปในดินตรง บริเวณที่มีรากพชื การใหน้ ้าทางผิวดินอาจแบง่ ออกเป็น 2 ลกั ษณะใหญ่ดว้ ยกนั คือ 1) แบบใหน้ ้าท่วมผิวดินเป็นแปลงใหญ่ (flooding) 2) แบบใหน้ ้าท่วมเฉพาะในร่องคู (furrow) รูปการใหน้ ้าทางผวิ ดิน

34 รูปการใหน้ ้าทางผวิ ดิน แบบทว่ มผวิ ดินแปลงใหญ่ (บน) และแบบทว่ มเฉพาะในร่องคู (ลา่ ง) สาหรับวิธีการให้น้าท่วมเป็ นผืนใหญ่น้นั โดยปกติแลว้ ตอ้ งการอตั ราการให้น้ามากกวา่ แบบให้น้า ท่วมเฉพาะในร่องคู ในแปลงปลูกท่ีไม่มีความลาดเทจะตอ้ งการอตั ราการให้น้ามากกวา่ แปลงปลูกท่ีมีความ ลาดเทเพราะแปลงที่ไม่มีความลาดเทน้าจะไหลไปถึงจุดต่าง ๆ ในแปลงไดช้ า้ ดงั น้นั จะตอ้ งใหน้ ้าดว้ ยอตั รา สูงเพื่อให้น้าท่วมแผไ่ ปท้งั แปลง หรือไหลจากหัวร่องไปถึงทา้ ยร่องอย่างรวดเร็ว การใหน้ ้ากบั แปลงลาดเท ถา้ หากน้าไหลไปถึงทา้ ยแปลงแลว้ จะตอ้ งลดอัตราการให้น้าลง เพราะมิฉะน้ันน้าจะไหลเลยท้ายแปลง ออกไป ทาใหเ้ กิดการสูญเสียน้าโดยเปล่าประโยชน์

35 รูป แผนผงั แสดงวิธีการใหน้ ้าทางผิวดินแบบตา่ ง ๆ จากการท่ีมีวธิ ีการใหน้ ้าทางผวิ ดินหลายวิธีทาใหป้ ระสิทธิภาพในการให้น้าจึงแตกตา่ งกนั ไปไดม้ าก แตโ่ ดยเฉล่ียแลว้ ประสิทธิภาพในการใหน้ ้าจะอยรู่ ะหวา่ ง 40-80 เปอร์เซ็นต์ ขอ้ ดีของการใหน้ ้าทางผิวดิน ขอ้ เสียของการใหน้ ้าทางผวิ ดิน 1) สามารถใชไ้ ดด้ ีกบั ดินและพืชเกือบทุกชนิด 1) พ้นื ที่ไมร่ าบเรียบและลาดเทไมส่ ม่าเสมอจะไม่ 2) มีความคล่องตวั สูง โดยสามารถใหน้ ้าแก่พชื ใน เหมาะสมกบั การใหน้ ้าแบบน้ี ระยะเวลาอนั ส้ัน เม่ือเปรียบเทียบกบั ระยะเวลาที่ไมไ่ ด้ 2) อาจเกิดการกดั เซาะแปลงข้นึ หากพ้ืนที่มีความลาดเท ใหน้ ้า เช่น อาจใหน้ ้าแก่พชื 10 วนั ต่อคร้ัง โดยใชเ้ วลาให้ มาก น้าเพยี งวนั เดียวหรือสองวนั 3) คนั ดินและคูน้าอาจเป็นสิ่งกีดขวางการทางานของ 3) ถา้ มีน้าอยแู่ ลว้ จะใหน้ ้าแก่พชื เม่ือไรกไ็ ด้ โดยไมต่ อ้ ง เคร่ืองจกั รกลเกษตร อาศยั เครื่องมืออื่น ๆ ฉะน้นั ความเสียหายของพืชอนั 4) ส่วนมากตอ้ งการความรู้และแรงงานในการให้น้า เน่ืองมาจากจดั หาน้าใหไ้ มท่ นั จึงมีโอกาสเกิดข้ึนนอ้ ย แบบน้ีคอ่ นขา้ งสูง 4) หากมีการออกแบบและใหน้ ้าท่ีเหมาะสม จะทาใหก้ าร ใหน้ ้าแบบน้ีมีประสิทธิภาพสูงมาก

36 3. การให้น้าทางใต้ผวิ ดนิ การชลประทานแบบน้ีเป็นการใหน้ ้าโดยการยกระดบั น้าใตด้ ินใหข้ ้ึนมาอยใู่ นระดบั ท่ีน้าจะไหลซึม ข้นึ มาสู่เขตรากได้ วธิ ีการเพิ่มระดบั น้าใตด้ ินอาจทาได้ 2 แบบ คือ 1) โดยการใหน้ ้าในคู 2) โดยการใหน้ ้าในท่อซ่ึงฝังไวใ้ ตด้ ิน รูป การใหน้ ้าทางใตผ้ ิวดนิ แบบคเู ปิ ด (บน) และแบบทอ่ ฝังดิน (ล่าง)

37 ภาพ แปลงเพาะปลูกให้น้าทางใตผ้ วิ ดินโดยการฝังท่อ (ท่ีมา : sswm.info) ภาพ การวางท่อรองประธานเพื่อให้น้าทางใตผ้ วิ ดิน (ที่มา : sswm.info) ความลึกของระดบั น้าใตด้ ินขณะให้น้าจะอยรู่ ะหว่าง 30-60 ซม. แต่โดยทวั่ ไปแลว้ การให้น้าแบบ ทางใตผ้ ิวดินไม่ค่อยนิยมเพราะมีขอ้ จากดั มาก ประสิทธิภาพในการให้น้าจะมีค่าระหวา่ ง 30-50 เปอร์เซ็นต์ แต่บางแห่งมีโอกาสสูงถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ ได้ ถ้าหากพ้ืนที่มีความเหมาะสม การให้น้าทางใตผ้ ิวดิน เหมาะสมท่ีจะใชก้ บั ดินที่มีเน้ือดินชนิดเดียวกนั และการดูดซึมน้าพอที่จะปล่อยใหน้ ้าไหลลงไปในดินไดเ้ ร็ว ท้งั ดา้ นขา้ งและแนวดิ่ง น้าจะลงไปภายในระดับความลึกพอสมควรใตเ้ ขตรากพืช ช้นั ดินก็จะตอ้ งมีวตั ถุ รองรับเพ่ือมิให้เกิดการสูญเสียโดยการไหลลึกลงไปในดินในจานวนที่มากเกินไป โดยมีช้นั ที่น้าเกือบจะ ผา่ นลงไปไม่ไดใ้ นดินช้นั ล่าง หรือโดยมีระดบั น้าใตด้ ินสูงซ่ึงจะทาให้สามารถรักษาระดบั น้าที่เขา้ ไปใตด้ ิน

38 ไดต้ ลอดฤดูปลูก การใหน้ ้าทางใตผ้ ิวดินเหมาะสมที่จะใชก้ บั พืชผกั พืชไร่ ทุ่งหญา้ เล้ียงสตว์ พืชอาหารสัตว์ และสวนไมป้ ระดบั ขอ้ ดีของการใหน้ ้าทางใตผ้ ิวดิน ขอ้ เสียของการใหน้ ้าทางใตผ้ วิ ดิน 1) สามารถใชไ้ ดก้ บั ดินที่มีอตั ราการซึมของน้าเขา้ 1) เนื่องจากวิธีน้ีตอ้ งการใหม้ ีช้นั ดินที่น้าซึมผา่ นได้ ไปในดินสูง แต่มีความสามารถเกบ็ น้าไวไ้ ดน้ อ้ ย ยากหรือมีระดบั น้าใตด้ ินอยใู่ นเขตรากและดิน ซ่ึงไมเ่ หมาะกบั การใหน้ ้าทางผิวดิน จะตอ้ งมีความสามารถใหน้ ้าซึมผา่ นไดด้ ีพอสมควร 2) สามารถควบคุมน้าใตด้ ินใหอ้ ยใู่ นระดบั ที่จะเป็น ดงั น้นั จึงใชไ้ ดก้ บั พ้นื ที่เพยี งบางส่วนเทา่ น้นั ประโยชนต์ ่อพืชท่ีอายุต่างๆ ได้ 2) โดยปกติแลว้ พ้ืนที่ที่อยขู่ า้ งเคียงจะตอ้ งใหน้ ้าวิธี 3) มีการสูญเสียน้าเน่ืองจากการระเหยนอ้ ยมาก น้ีเหมือนกนั มิฉะน้นั จะก่อใหเ้ กิดปัญหาเร่ืองการ 4) การแพร่กระจายของเมลด็ วชั พืชเน่ืองจากถูกน้า ระบายน้าได้ พดั พาไปนอ้ ย 3) น้าชลประทานตอ้ งมีคุณภาพดี มิฉะน้นั จะเกิด 5) ระบบการใหน้ ้าทางดินอาจใชเ้ ป็นระบบระบาย ปัญหาเร่ืองการสะสมของเกลือบนผวิ ดินและใน น้าไดด้ ว้ ย เขตรากข้ึนได้ 4) สามารถใชไ้ ดก้ บั พชื เพยี งบางชนิด พชื ท่ีมีรากลึก เช่น พชื สวน และพืชยนื ตน้ ไมเ่ หมาะที่จะใหน้ ้าโดย วธิ ีน้ี 4.การให้น้าแบบหยด เป็นการใหน้ ้าแก่พชื ที่จุดใดจุดหน่ึงหรือหลายๆ จุดบนผิวดินหรือในเขตราก โดยอตั ราท่ีใหน้ ้นั ไม่ มากพอท่ีจะทาใหด้ ินในเขตรากอิ่มน้าเป็นบริเวณกวา้ ง โดยปกติแลว้ ผวิ ดินจะเปี ยกแตเ่ ฉพาะตรงจุดที่ให้น้า เท่าน้นั การชลประทานแบบน้ีจะใหป้ ระสิทธิภาพในการใหน้ ้าสูงมาก เน่ืองจากมีการสูญเสียโดยการระเหย นอ้ ย ดงั น้นั ผลผลิตต่อหน่ึงหน่วยปริมาตรของน้าท่ีใชจ้ ึงมากกวา่ การชลประทานแบบอื่นๆ สามารถที่จะ นาไปใชก้ บั การปลกู พชื แทบทุกชนิด ท้งั ไมย้ นื ตน้ พชื ผกั พืชไร่ และไมด้ อกไมป้ ระดบั ส่วนประกอบที่ สาคญั ของระบบการใหน้ ้าแบบหยด 1) หวั ปล่อยน้า (emitter) ทาหนา้ ท่ีควบคุมปริมาณการไหลของน้าจากทอ่ แขนงไปสู่พ้ืนดินจานวน หวั ปล่อยน้าต่อจานวนตน้ พชื แตกต่างกนั ตามขนาดและความตอ้ งการน้าของพชื เช่น ในพืชไร่หรือพืชผกั ใช้ หวั ปล่อยน้า 1 หวั ต่อพืชหลายตน้ แตถ่ า้ เป็นไมผ้ ลยนื ตน้ อาจใชห้ วั ปลอ่ ยน้า 1-8 หวั ต่อตน้ 2) ทอ่ แขนง (lateral) เป็นท่อแยกมาจากท่อประธานวางขนานไปกบั แถวพืช ถา้ เป็นการปลูกพืชแบบ แถวแคบ เช่น พืชไร่หรือพชื ผกั อาจใชท้ ่อแขนง 1 แนวสาหรับพชื 1-12 แถว แตถ่ า้ เป็นการปลูกพืชแบบแถว ห่าง เช่นไมผ้ ลยนื ตน้ จะใชท้ อ่ แขนง 1 แนวต่อการปลกู 1 แถว 3) ท่อแยกประธาน (submain) อาจจะไมม่ ีกไ็ ด้ ถา้ หากการวางระบบท่อไมซ่ บั ซอ้ น และท่อแขนง

39 แยกออกไปจากทอ่ ประธานโดยตรง 4) ทอ่ ประธาน (mainline) เป็นทอ่ ใหญซ่ ่ึงนาน้าจากแหล่งน้ามาเชื่อมกบั ท่อแยกประธานหรือท่อ แขนง โดยทวั่ ไปใชท้ อ่ ขนาดเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางประมาณ 2 นิ้ว 5) ถงั กรองน้า (filter tank) ทาหนา้ ที่กรองน้าใหส้ ะอาดป้องกนั ปัญหาการอุดตน้ ที่หวั ปล่อยน้า 6) แหลง่ น้าและเคร่ืองสูบน้า ปริมาณการใชน้ ้าอาจไม่มาก แต่น้าตอ้ งสะอาด ภาพ แปลนการใหน้ ้าแบบหยด (Drip or Trickle Irrigation) ขอ้ ดีของการใหน้ ้าแบบหยด ขอ้ เสียและปัญหาการใหน้ ้าแบบหยด 1) สามารถใชน้ ้าไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพสูงสุด 1. คา่ ลงทนุ คร้ังแรกสูงเพราะตอ้ งใชท้ อ่ มาก สามารถรักษาระดบั ความช้ืนในดินรอบตน้ พชื ให้ 2. ตอ้ งมีระบบการกรองน้าท่ีดีถา้ มีตะกอนอยหู่ วั อยใู่ นเกณฑพ์ อเหมาะตลอดเวลา Trickle อาจจะอุดตนั ไดน้ อกจากนี Trickle อาจจะ 2) ประหยดั แรงงาน ใชก้ าลงั คนในการจดั การนอ้ ย อดุ ตนั เนื่องจากตะไคร่น้ากไ็ ด3้ . ตอ้ งการระยะเวลา 3) สามารถป้องกนั และควบคุมโรคและแมลง ใหน้ ้านาน จึงไม่เหมาะกบั การส่งน้าแบบรอบเวร4. ศตั รูพืชได้ เพราะน้าหยดเป็นบริเวณเฉพาะทาให้ ตอ้ งใชเ้ ทคนิคในการออกแบบสูง โรคและแมลงศตั รูพืชระบาดไดน้ อ้ ย 4) ป้องกนั การสะสมเกลือ ใชไ้ ดผ้ ลดีมากในบริเวณ ที่เป็นดินเคม็ เพราะน้าท่ีหยดลงไปในดินจะไปทา ใหเ้ กลือในบริเวณท่ีน้าหยดเจือจางลงไปมาก 5) เพมิ่ ประสิทธิภาพในการใชป้ ๋ ยุ เพราะป๋ ยุ ที่ให้ บริเวณโคนตน้ สามารถละลายน้าใหพ้ ืชดูดไป ใชไ้ ดอ้ ยา่ งเตม็ ที่

40 บรรณานุกรม กองบริรักษท์ ่ีดิน. 2525. คมู่ ือการวางแผนระบบการใหน้ ้าในไร่นาและความสมั พนั ธ์ระหวา่ งดิน พืช และน้า. กรมพฒั นาท่ีดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. 139 หนา้ . วิบูลย์ บุญยธโรกุล. 2526. หลกั การชลประทาน. ภาควิศวกรรม ชลประทาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. 274 หนา้ . อภิชาติ อนุกูลอาไพ วบิ ลู ย์ บุญยธโรกุล วราวุธ วุฒิวณิชย์ โกวทิ ย์ ทว้ มเสงี่ยม และ มนตรี ค้าชู. 2524. คู่มือการชลประทานระดบั ไร่นา. ภาควิชาวิศวกรรมเกษตรและอาหาร สถาบนั เทคโนโลยีแห่งเอเซีย. 354 หนา้ กองส่งเสริมการอารักขาพืชและการจดั การดินป๋ ุย 2558. ดินและป๋ ุย. กรมส่งเสริมการเกษตร. กรุงเทพฯ.247 หนา้ ทศั นีย์ อตั ตะนนั ทน์ และ ประทีป วีระพฒั นนิรันดร์. 2558 ธรรมชาติของดินและป๋ ุย. นภาพร พนั ธุ์กมลศิลป์ . 2558 เอกสารประกอบการบรรยายการฝึ กอบรมความรู้ดา้ นดินละป๋ ุยแก่ เจา้ หนา้ ท่ีกรมส่งเสริมการเกษตรภายใตโ้ ครงการส่งเสริมการใชป้ ๋ ยุ เพ่ือลดตน้ ทุนการผลิต 2559. วนั ที่ 23-27 พฤศจิกายน 2558 โรงแรมแอบีน่าเฮาส์ หลกั สี่ กรุงเทพฯ. สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน. ดินและป๋ ุย แหล่งที่มา :htpp://www.saranukromthai.or.th/ สานักนิเทศและถ่ายทอดเทคโนโลยีการพฒั นาท่ีดิน 2551. เทคนิคการเลือกซ้ือป๋ ุยท่ีคุม้ ค่า. กรม พฒั นาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. สานักสารวจวิจยั ทรัพยากรดินและความรู้เรื่องดินสาหรับเยาวชน กรมพฒั นาท่ีดิน แหล่งที่มา : htpp://oss101.ldd.go.th/

41 โครงการนวตั กรรมสร้างรอยยมิ้ กลุม่ ปตท. (SMART FARMING) ท่ีมีการจดั สรรบคุ ลากรจากโครงการ RESTART THAILAND มาช่วยปฏิบตั ิงาน บริษทั ปตท.จากดั มหาชน คณะผู้จัดทา วา่ ที่ร้อยตรีหญิง ณฐั ฑริกา รอดมาก พนกั งาน Restart Thailand ช่วยปฏิบตั ิงาน Smart Farming นางสาวศิริพร ศรีรักษา พนกั งาน Restart Thailand ช่วยปฏิบตั ิงาน Smart Farming นายศุภกิจ วงศท์ องเก้ือ พนกั งาน Restart Thailand ช่วยปฏิบตั ิงาน Smart Farming นายชโลธร พริกแกว้ พนกั งาน Restart Thailand ช่วยปฏิบตั ิงาน Smart Farming ทป่ี รึกษา นายกิติคุณ คมั ภิรานนท์ ทีมปตท. คนส.

42


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook