พุ ทธประวั ติ
รายงาน เร่ือง พุทธประวัติ จดั ทาํ โดยนางสาว นิชญานันท์ สุขจรัสวงศ์ ม.4/2 เลขท่ี 39 เสนอ ครู สริภรณ์ แจ่มใส
คาํ นาํ รายงานฉบบั นีเ้ป็ นสว่ นหน่ึงของวิชาวิทยาการคํานวณ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 4 โดยมีจดุ ประสงค์ เพ่ือการศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่องพทุ ธประวตั ิ ซงึ่รายงานนีม้ ีเนือ้ หาเก่ียวกับความรู้จากพุทธศาสนา เกี่ยวกับประวัติของพระพทุ ธเจ้าผ้จู ดั ทําได้เลือก หวั ข้อนีใ้ นการทํารายงาน เนื่องมาจากเป็ นเรื่องที่น่าสนใจเป็ นแนวทางการศึกษา ผ้จู ดั ทําหวงั ว่ารายงานฉบบั นีจ้ ะให้ความรู้ และเป็ นประโยชน์แกผ่ ้อู า่ นทกุ ๆ ทา่ น ผ้จู ดั ทํา นางสาว นิชญานนั ท์ สขุ จรัสวงศ์ ก
สารบญั 1 2•ประสตู ิ 3•วยั เดก็ 4•เสดจ็ ออกผนวช 5•ตรัสรู้ (15 ค่ําเดือน 6) 6•การแสดงปฐมเทศนา 7•การเผยแพร่ พระพทุ ธศาสนา•เสดจ็ ดบั ขนั ธ์ปรินิพพานข
ประสูติ 1
วยั เด็ก - หลงั ประสูติได้ 7 วนั พระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์ จึงทรงอยู่ในความดูแลของพระนางปชาบดีโคตมี ซ่ึงเป็ นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา - ศึกษาเล่าเรียนจนจบระดบั สูงของการศึกษาทางโลกในสมยั น้นัศิลปะศาสตร์ถึง 18 ศาสตร์ ในสาํ นกั ครูวศิ วามิตร - พระบิดาไม่ประสงคจ์ ะให้เจา้ ชายสิทธัตถะเป็ นศาสดาเอก จึงพยายามให้สิทธตั ถะพบแต่ความสุขทางโลก เช่น สร้างปราสาท 3 ฤดู และเม่ืออายุ 16 ปี ไดใ้ หเ้ จา้ ชายสิทธตั ถะอภิเษกกบั นางพิมพาหรือยโสธรา ผเู้ ป็นพระธิดาของพระเจา้ กรุงเทวทหะซ่ึงเป็นพระญาติฝ่ ายพระมารดา - เม่ือมีพระชนมายุ 29 ปี พระนางพิมพากใ็ หป้ ระสูติ ราหุล (บ่วง) 2
เสด็จออกผนวช - เม่ือทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณตามลาํ ดบั จึงทรงคิดว่าชีวติ ของทุกคนตอ้ งตกอยใู่ นสภาพเช่นน้นั ไม่มีใครหลีกเล่ียงได้ จึงเกิดแนวความคิดวา่ -ทรงเห็นความสุขทางโลกเป็ นเพียงมายา ความสุขในกามคุณเป็ นความสุขจอมปลอม เป็ นเพียงภาพมายาท่ีชวนให้หลงว่าเป็ นความสุขเท่าน้ัน ในความจริงแลว้ ไม่มีความสุข ไม่มีความเพลิดเพลินใดท่ีไม่มีความทุกขเ์ จือปน - ส่ิงที่ทรงพบเห็นเรียกวา่ \"เทวทูต(ทูตสวรรค)์ \" จึงตดั สินพระทยั ทรงออกผนวชในวนั ที่พระราหุลประสูติเล็กน้อย พระองคท์ รงมา้ กณั ฐกะออกผนวช มีนายฉนั ทะตามเสด็จโดยมุ่งตรงไปท่ีแม่น้าํ อโนมานที ทรงตดั พระเกศา และเปลี่ยนเคร่ืองทรงเป็ นผา้ กาสาวพกั ตร์(ผา้ ยอ้ มดว้ ยรสฝาดแห่งตน้ ไม)้ ทรงเปล้ืองเครื่องทรงมอบใหน้ ายฉนั นะนาํ กลบั พระนคร การออกบวชคร้ังน้ีเรียกวา่ การเสดจ็ ออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสดจ็ ออกเพือ่ คุณอนั ยง่ิ ใหญ่) - หลงั จากทรงผนวชแลว้ จึงทรงมุ่งไปท่ีแม่น้าํ คยา แควน้ มคธ เพ่ือคน้ ควา้ ทดลองในสํานักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร เมื่อเรียนจบท้งั สองสํานัก(บรรลุฌาณช้นั ที่แปด) กท็ รงเห็นวา่ ไม่ใช่ทางพน้ ทุกขต์ ามที่มุ่งหวงั ไว้ - จากน้ันจึงเสด็จไปท่ีแม่น้ําเนรัญชรา ในตาํ บลอุรุเวลาเสนานิคม (ปัจจุบนั น้ีสถานท่ีน้ีเรียกวา่ ดงคศิริ) เม่ือบาํ เพญ็ ทุกรกิริยา โดยขบฟันดว้ ยฟัน กล้นั หายใจและอดอาหารหลงั จากทดลองมา 6 ปี ก็ยงั ไม่พบทางพน้ ทุกข์ จึงทรงเลิกบาํ เพญ็ ทุกรกิริยา หนั มาบาํ รุงพระวรกายโดยปกติตามพระราชดาํ ริวา่ \"เหมือนสายพิณควรจะขึงพอดีจึงจะไดเ้ สียงท่ีไพเราะ\" ซ่ึงพระอินทร์ไดเ้ สด็จลงมาดีดพิณถวาย พิณสายหน่ึงขึงไวต้ ึงเกินไป พอถูกดีดก็ขาดผึงออกจากกนั จึงพิจารณาเห็นทางสายกลางวา่ เป็นหนทางที่จะนาํ ไปสู่พระโพธิญาณได้ - ระหวา่ งท่ีทรงบาํ เพญ็ ทุกรกิริยา ปัญจวคั คีย์ (โกญฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทิยา มหานามะ อสั สชิ) มาคอยปรนนิบตั ิพระองค์โดยหวงั ว่าจะทรงบรรลุธรรมวิเศษ เมื่อพระองค์เลิกบาํ เพญ็ ทุกรกิริยา ปัญจวคั คียจ์ ึงหมดศรัทธา พากนั ไปอยทู่ ี่ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั เมืองพาราณสี (ต.สารนาถ) 3
ตรสั รู้(15 ค่าํ เดอื น 6) - ขณะมีพระชนมายุได้ 35 พรรษา ในวนั ที่พระองค์ตรัสรู้ นางสุชาดาได้ถวายขา้ วมธุปายาส(หุงดว้ ยนม) ใตต้ น้ ไทร เมื่อเสวยเสร็จแลว้ ทรงลอยถาดทองในแม่น้าํเนรัญชรา ทรงอธิษฐานเสี่ยงพระบารมีวา่ ... “ถา้ อาตมาจะไดต้ รัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแลว้ ขอให้ถาดน้ีจงลอยทวนกระแสน้าํ ข้ึนไป ” ถาดทองน้นั ลอยทวนกระแสน้าํ ข้ึนไป ๑ เสน้ แลว้ ก็จมลงตรงนาคภพพิมานแห่งพญากาฬนาคราช พระองคท์ รงโสมนสั และแน่พระทยั วา่ จะไดต้ รัสรู้ เป็นพระสพั พญั �ูสมั พทุ ธเจา้ โดยหาความสงสยั มิได้ - ในเวลาเยน็ โสตถิยะใหถ้ วายหญา้ คา 8 กาํ มือ ปูลาดเป็นอาสนะ ณ โคนใต้ตน้ โพธิ ตาํ บลอุรุเวลาเสนานิคม ริมฝั่งแม่น้าํ เนรัญชรา (ปัจจุบนั คือ ต.พุทธคยา ประเทศอินเดีย) - ทรงต้งั พระทยั แน่วแน่วา่ จะบรรลุโพธิญาณ ประทบั หนั พระพกั ตร์ไปทางทิศตะวนั ออก - ทรงบรรลุรูปฌาณท้งั 4 ช้นั แลว้ ใชส้ ติปัญญาพิจารณาจนเกิดความรู้แจง้คือ1.) เวลาปฐมยาม ทรงไดป้ ุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ความรู้เป็นเหตุใหร้ ะลึกชาติได้2.) เวลามชั ฌิมยาม ทรงไดจ้ ุตูปปาตญาณ(ทิพยจกั ษุญาณ)คือรู้เร่ืองเกิด-ตายของสัตว์ท้งั หลายวา่ เป็นไปตามกรรมที่ตนกระทาํ ไว้3.) เวลาปัจฉิมยาม ทรงได้ อาสวกั ขยญาณ คือ ความรู้ที่ทาํ ให้สิ้นอาสวะหรือกิเลสหมายถึง ตรัสรู้อริยสจั 4 - อาสวกั ขยญาณ ที่ทรงไดท้ าํ ให้ทรงพิจารณาถึงขนั ธ์ 5 และใช่แห่งความเป็นเหตุท่ี เรียกวา่ ปฏิจจสมุปบาท อนั เป็นตน้ ทางใหเ้ ขาถึงอริยสจั 4 - เมื่อพระองค์ทรงรู้เห็นแลว้ จึงละอุปาทานและตรัสรู้เป็ นพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ 4
แสดงปฐมเทศนา หลงั จากพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรัสรู้แลว้ ทรงพิจารณาธรรมที่พระองคต์ รัสรู้มาเป็ นเวลา 7 สัปดาห์ และทรงเห็นว่าพระธรรมน้ันยากต่อบุคคลทวั่ ไปที่จะเขา้ ใจและปฏิบตั ิได้ พระองคจ์ ึงทรงพิจารณาว่า บุคคลในโลกน้ีมีหลายจาํ พวกอยา่ ง บวั 4 เหล่า ที่มีท้งั ผทู้ ี่สอนไดง้ ่าย และผทู้ ่ีสอนไดย้ าก พระองคจ์ ึงทรงระลึกถึงอาฬารดาบสและอุทกดาบส ผูเ้ ป็ นพระอาจารย์ จึงหวงั เสด็จไปโปรด แต่ท้งัสองท่านเสียชีวติ แลว้ พระองคจ์ ึงทรงระลึกถึงปัญจวคั คีย์ ท้งั 5 ท่ีเคยมาเฝ้ ารับใช้จึงไดเ้ สดจ็ ไปโปรดปัญจวคั คียท์ ี่ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั ธรรมเทศนากณั ฑแ์ รกที่พระองคท์ รงแสดงธรรมคือ \"ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร\" แปลว่าสูตรของการหมุนวงลอ้ แห่งพระธรรมให้เป็ นไป ซ่ึงถือเป็ นการแสดงพระธรรมเทศนาคร้ังแรก ในวนั เพ็ญ ข้ึน 15 ค่าํ เดือน 8 ซ่ึงตรงกบั วนัอาสาฬหบูชา ในการน้ีพระโกณฑญั ญะไดธ้ รรมจกั ษุ คือดวงตาเห็นธรรมเป็ นคนแรกพระพทุ ธองคจ์ ึงทรงเปล่งวาจาวา่ \"อญั ญาสิ วตโกณฑญั โญ\" แปลวา่ โกณฑญั ญะไดร้ ู้แลว้ ท่านโกณฑญั ญะ จึงไดส้ มญาวา่ อญั ญาโกณฑญั ญะ และไดร้ ับการบวชเป็ นพระสงฆอ์ งคแ์ รกในพระพุทธศาสนา โดยเรียกการบวชที่พระพุทธเจา้ บวชใหว้ า่ \"เอหิภิกขอุ ุปสมั ปทา\" หลงั จากปัญจวคั คียอ์ ุปสมบทท้งั หมดแลว้ พุทธองค์จึงทรงเทศน์อนัตตลกั ขณสูตร ปัญจวคั คียจ์ ึงสาํ เร็จเป็นอรหนั ตใ์ นเวลาต่อมา 5
การเผยแผ่พระพุ ทธศาสนา ต่อมาพระพทุ ธเจ้าได้เทศน์พระธรรมเทศนาโปรดแก่ยสกลุ บตุ รรวมทงั้ เพ่ือนของยสกลุ บตุ ร จนได้สําเร็จเป็ นพระอรหนั ต์ทงั้ หมด รวม60 รูป พระพุทธเจ้ าทรงมีพระราชประสงค์จะให้ มนุษย์โลกพ้ นทุกข์พ้นกิเลส จึงตรัสเรียกสาวกทงั้ 60 รูป มาประชุมกนั และตรัสให้พระสาวก 60 รูป จาริกแยกย้ายกันเดินทางไปประกาศศาสนา 60 แห่งโ ด ย ลํ า พัง ใ น เ ส้ น ท า ง ที่ ไ ม่ ซํ า้ กัน เ พื่ อ ใ ห้ ส า ม า ร ถ เ ผ ย แ ผ่พระพทุ ธศาสนาได้ในหลายพืน้ ท่ีอย่างครอบคลมุ สว่ นพระองค์เองได้เสดจ็ ไปแสดงธรรม ณ ตําบลอรุ ุเวลา เสนานิคม หลังจากสาวกได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพืน้ ท่ีต่างๆ ทําให้มีผู้เลื่อมใสพระพทุธศาสนาเป็ นจํานวนมาก พระองค์จึงทรงอนญุ าตให้สาวกสามารถดําเนินการบวชได้ โดยใช้วิธีการ \"ติสรณคมนูปสัมปทา\" คือ การปฏิญาณตนเป็ นผู้ถึงพระรัตนตรัยพระพุทธศาสนาจึงหยั่งรากฝั งลึกและแพร่ หลายในดินแดนแห่งนัน้เป็ นต้นมา 6
เสด็จดับขนั ธ์ ปรินิพพาน พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ โปรดสตั วแ์ ละแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดระยะเวลา 45พรรษา ทรงสดับว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรินิพพาน จึงได้ทรงปลงอายุสังขาร ขณะน้ันพระองค์ไดป้ ระทบั จาํ พรรษา ณ เวฬุคาม ใกลเ้ มืองเวลาสี แควน้ วชั ชี โดยก่อนเสด็จดบั ขนั ธ์ปรินิพพาน 1 วนั พระองคไ์ ดเ้ สวยสุกรมทั ทวะที่นายจุนทะทาํ ถวาย แต่เกิดอาพาธลง ทาํ ใหพ้ ระอานนท์โกรธ แต่พระองค์ตรัสว่า \"บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ท่ีสุด มี 2 ประการ คือ เมื่อตถาคต(พุทธองค)์ เสวยบิณฑบาตแลว้ ตรัสรู้ และปรินิพพาน\" และมีพระดาํ รัสว่า \"โย โว อานนทธมม จ วินโย มยา เทสิโต ปญญตโต โส โว มมจจเยน สตถา\" อนั แปลว่า \"ดูก่อนอานนท์ธรรมและวินยั อนั ท่ีเราแสดงแลว้ บญั ญตั ิแลว้ แก่เธอท้งั หลาย ธรรมวินยั น้นั จกั เป็นศาสดาของเธอท้งั หลาย เมื่อเราล่วงลบั ไปแลว้ \" พระพุทธเจา้ ทรงประชวรหนกั แต่ทรงอดกล้นั มุ่งหนา้ ไปยงั เมืองกุสินารา ประทบั ณ ป่ าสาละ เพ่ือเสด็จดับขนั ธุ์ปรินิพพาน โดยก่อนที่จะเสด็จดับขนั ธ์ปรินิพพานน้ัน พระองค์ได้อุปสมบทแก่พระสุภทั ทะปริพาชก ซ่ึงถือไดว้ ่า \"พระสุภภทั ทะ\" คือสาวกองค์สุดทา้ ยที่พระพุทธองคท์ รงบวชให้ ในท่ามกลางคณะสงฆท์ ้งั ท่ีเป็ นพระอรหนั ต์ และปุถุชนจากแควน้ ต่างๆรวมท้งั เทวดา ท่ีมารวมตวั กนั ในวนั น้ี ในคราน้นั พระองคท์ รงมีปัจฉิมโอวาทว่า \"ดูก่อนภิกษุท้งั หลาย เราขอบอกเธอท้งั หลายสังขารท้งั ปวงมีความเส่ือมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจึงทาํ ประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผอู้ ่ืนใหส้ มบรู ณ์ดว้ ยความไม่ประมาทเถิด\" (อปปมาเทน สมปาเทต) จากน้นั ไดเ้ สด็จดบั ขนั ธ์ปรินิพพาน ใตต้ น้ สาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามลั ลกษตั ริย์เมืองกุสินารา แควน้ มลั ละ ในวนั ข้ึน 15 ค่าํ เดือน 6 รวมพระชนม์ 80 พรรษา และวนั น้ีถือเป็ นการเร่ิมตน้ ของพทุ ธศกั ราช 7
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: