ความสัมพันธ์ วรรณคดีและประติมากรรมไทย
ความหมาย วรรณคดีและประติมากรรมไทย วรรณคดี แต่งขึ้นโดยมีเนื้อหาทางประวัติศาสตร์เป็นแก่นของเรื่อง ซึ่งอาจจะเป็นประวัติความเป็นมาของคนในชาติขนบธรรมเนียมประเพณีความเป็นอยู่ตลอด จนความรู้สึกนึกคิดของคนในชาติซึ่งอาจเขียนในรูปแบบของเรื่องเล่าที่เป็นตำนาน หรือ พงศาวดาร โดยใช้กลวิธีการเล่าเรื่องที่ให้ความเพลิดเพลินเป็นสำคัญ วรรณคดีในที่นี้ผู้เขียนขยายขอบเขตครอบคลุม จนถึงวรรณกรรมร่วมสมัย ประเภท นวนิยาย ภาพยนตร์บทละคร ในยุคปัจจุบัน เพื่อให้เห็นการศึกษาวรรณคดีที่มีเนื้อหาทันสมัยตามกระแสสังคมในปัจจุบัน ประติมากรรม รูปภาพที่เป็นรูปร่างปรากฏแก่สายตาสามารถสัมผัสได้โดยตรงด้วยการจับต้อง ซึ่งเกิดจากการสร้างสรรค์ด้วยวิธีการปั้น หล่อ แกะสลัก เป็นต้น เพื่อตอบสนองความเชื่อ ความพึงพอใจ ความภาคภูมิใจ ร่วมไปกับการดำรงชีวิต ทั้งส่วนบุคคลและชนในสังคมไทยเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดประสบการณ์ ค่านิยมที่ได้รับ จากสิ่งแวดล้อมและได้แสดงออกมาเป็นงานประติมากรรมอันเป็นสัญลักษณ์ประจำชนชาตินั้นๆ ความหมาย
ประติมากรรมจากศิลาจาริกหลักที่๑ พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร ลักษณะพุทธศิลป์ของพระพุทธมหาสุวรรณปฎิมากรจัดอยู่ในหมวดศิลปะสุโขทัย จึงสันนิฐานว่าองค์พระน่าจะถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยสุโขทัยและเป็นหนึ่งในพระสำคัญใจกลางเมืองสุโขทัยตามข้อความในศิลาจารึกหลักที่ ๑ เมื่อพระพุทธมหาสุวรรณปฎิมากรปรากฏขึ้นอีกครั้งนั้น มีบันทึกว่าองค์พระมิได้เป็นทอง หากแต่เป็นปูนปั้ นทั้งองค์และลักษณะทางพุทธศิลป์ ไม่ได้งดงามนัก โดยประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดโชตินารามหรือวัดพระยาไกร มาตั้งแต่ครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ จนกระทั่งในปี ๒๔๗๔ วัดพระยาไกรขาดการดูแลจึงกลายเป็นที่ร้างและถูกบริษัทอีสต์เอเชียติก จำกัดขอเช่าพื้นที่เพื่อสร้างโรงเลื่อย จึงมีการเคลื่อนย้ายองค์พระของวัดพระยาไกรไปประดิษฐานยังวัดอื่นๆ โดยองค์พระปูนปั้ นถูกนำมาประดิษฐานที่วัดสามจีน (ซึ่งภายหลังคือวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร) แต่เนื่องจากองค์พระมีขนาดใหญ่เกินไป ทำให้เกิดอุบัติเหตุขณะกำลังยกองค์พระขึ้นประดิษฐานจนองค์พระร่วงหล่นมากระแทกกับพื้น ทำให้เกิดรอยแตกที่พระอุระ จนมองเห็นรักที่ฉาบอยู่ด้านในและเมื่อกะเทาะปูนกับลอกรักออกจนหมด ก็พบว่าด้านในนั้นเป็นองค์พระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย ทำด้วยทองคำทั้งองค์และยังพบว่าที่ใต้ฐานขององค์พระนั้นประกอบด้วยกุญแจกลสำหรับถอดองค์พระเป็นส่วนๆได้ ๙ ส่วน ความรู้อื่นๆในหัวข้อที่ได้รับ
ประติมากรรมจากศิลาจาริกหลักที่๑ พระพุทธพระอจนะ พระพุทธรูปปางม ารวิชัยขัดสมาธิราบเป็นวัสดุปูนปั้ นแกนในอิฐและศิลาแลง เป็นศิลปะแบบสุโขทัยเป็นพระประธานองค์ใหญ่ประดิษฐานอ ยู่ในมณฑป” วัดศรีชุม” ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชประกาศอิสรภาพในปี พ.ศ.๒๑๒๗ ที่เมืองแครง หัวเมืองต่างๆยกเลิกการส่งส่วยให้กับพม่า แต่ยังมีเมืองเชลียง (สวรรคโลก) ที่ไม่ยอมทำตามพระราชโองการ พระองค์จึงนำทัพเสด็จมาปราบเมืองเชลียงและได้มีการมาชุมนุมทัพที่วัดศรีชุมแห่งนี้ก่อนที่จะไปตีเมืองเชลียง ด้วยการรบในครั้งนั้นเป็นการรบระหว่างคนไทยกับคนไทยด้วยกัน ทำให้เหล่าทหารไม่มีกำลังใจในการสู้รบ ไม่อยากรบ สมเด็จพระนเรศวรจึงได้วางแผนสร้างกำลังใจโดยการให้ทหารคนหนึ่งปีนบันไดขึ้นไปทางด้านหลังองค์พระและพูดให้กำลังใจแก่เหล่าทหาร ทำให้ทหารเกิดกำลังใจฮึดที่จะต่อสู้ นับเป็นกุศโลบายอันชาญฉลาดของพระมหากษัตริย์ไทย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในการสร้างขวัญ กำลังใจแก่เหล่าทหารหาญให้ฮึกเหิมก่อนจะออกรบ นับจากนั้นเป็นต้นมา “พระอจนะ วัดศรีชุม” ก็ได้รับการร่ำลือว่าเป็นพระพุทธรูปพูดได้ สืบมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงประกอบ “พิธีศรีสัจจะปานะการ (พิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา)” รอยอดีตอันยิ่งใหญ่ของ วัดศรีชุม โบราณสถานสำคัญ และ “พระอจนะ” พระพุทธรูปกลางแจ้งศิลปะสุโขทัยอันเก่าแก่และทรงคุณค่าในเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยนี้ นับเป็น “ไฮไลต์” สำคัญของมรดกโลกสุโขทัย ที่ได้รับความนิยมเยี่ยมชมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ความรู้อื่นๆในหัวข้อที่ได้รับ
ประติมากรรมจากศิลาจาริกหลักที่๑ พระอัฎฐารส เป็นพระพุทธรูปโบราณ อาจกล่าวได้ว่า เป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักรสุโขทัยก่อนที่จะรวมเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพุทธลักษณะจะเป็นพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่สูงตระหง่าน เป็นเอกลักษณ์แสดงถึงอิทธิพลเชิงช่างของสุโขทัย แต่ให้รายละเอียดและความงดงามสมบูรณ์สู้พระนั่งของสุโขทัยได้ไม่เต็มที่นัก เป็นพระที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้าและความรุ่งเรืองทางด้านพุทธศิลป์ของสุโขทัย พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วงมักเสด็จไปนมัสการ เมื่อวันเพ็ญเดือนออก หรือ วันพระสำคัญต่างๆ เข้าใจว่าจะมีการสร้างมาตั้งแต่ก่อนสมัยพระมหาธรรมราลิไท แต่มารุ่งเรืองมากในสมัยของพระองค์ ถึงขนาดเมื่อทรงสร้าง ‘พระพุทธขินราช’ ที่เมืองพระพิษณุโลกแล้ว ยังโปรดให้สร้างวิหารเก้าห้องทางด้านหลัง ประดิษฐาน ‘พระอัฎฐารส’ ก่ออิฐถือปูนด้วย สำหรับ พระอัฏฐารส ที่เห็นในปัจจุบัน บางส่วนขององค์พระโดยเฉพาะพระเศียร พระพักตร์ เป็นส่วนที่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่ ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เพราะก่อนหน้านี้ องค์พระได้ถูกทำลายจนเสียหาย การซ่อมแซมในครั้งนั้น ทำให้ความงดงามของพระพุทธรูปเดิม ซึ่งเป็นศิลปะสุโขทัย สูญเสียไปโดยสิ้นเชิง ‘พระอัฎฐารส’ ตีความตามนามได้ว่า\" อัฎฐะ” แปลว่า แปด เช่น เครื่องอัฎฐบริขารของพระภิกษุสงฆ์ ๘ อย่าง รวมกับ “รส” ซึ่งเข้าใจว่าเพี้ยนมาจากคำว่า “ทศ” แปลว่า สิบ รวมความแล้วหมายถึง พระยืนสูงถึงสิบแปดศอก ความรู้อื่นๆในหัวข้อที่ได้รับ
ประติมากรรมจากเรื่องไตรภูมิพระร่วง ลวดลายข้างพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือเรียกสั้น ๆ ว่า พระปรางค์วัดอรุณฯ เป็นพระปรางค์ สถาปัตยกรรมไทยขนาดใหญ่ ประกอบด้วยปรางค์ประธานและปรางค์รองอีก ๔ ปรางค์ ตั้งอยู่ที่ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ตัวพระปรางค์ปัจจุบันนี้มิใช่พระปรางค์เดิม ที่สร้างขึ้นราว สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยปรางค์ปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นแทน ในสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในปี พ.ศ. ๒๓๖๓ แต่ก็ได้แค่รื้อพระปรางค์องค์เดิม และ ขุดดินวางราก ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้ทรงมีพระราชดำริให้ดำเนินการสร้างต่อ โดยพระองค์เสด็จมาวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๓๘๕ จนแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๔ ใช้เวลารวมกว่า ๙ ปี พระปรางค์วัดอรุณฯ ได้รับการบูรณะเสมอมา จนกระทั่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทำการบูรณะพระปรางค์ครั้งใหญ่ ซึ่งก็คือแบบที่เห็นในปัจจุบัน องค์พระปรางก่ออิฐถือปูน ประดับด้วยชิ้นเปลือกหอย กระเบื้องเคลือบ จานชามเบญจรงค์สีต่าง เป็นลายดอกไม้ ใบไม้ และลายอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก ประเทศจีน เป็นจำนวนมหาศาล นอกจากนี้ยังมีการประดับตกแต่งด้วย กินนร กินรี ยักษ์ เทวดา และพญาครุฑ ส่วนยอดบนสุดของพระปรางค์ติดตั้งยอดนภศูล พระปรางค์วัดอรุณฯ มีความสูงจากฐานถึงยอด ๘๘. ๘๕ เมตร ทำให้กลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในกรุงเทพมาอย่างช้านาน รวมถึงเป็นพระปรางค์ที่สูงที่สุดในประเทศไทยและของโลกอีกด้วย ความรู้อื่นๆในหัวข้อที่ได้รับ
วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง วรรณคดี ประติมากรรม ผลงานประติมากรรมไทยมีทั้งแบบ นูนต่ำ นูนสูง และ ลอยตัว งานประติมากรรมนูนต่ำและนูนสูงมักทำเป็นลวดลายประกอบกับสถาปัตยกรรม เช่นลวด ลายปูนปั้น ลวดลาย แกะสลักประดับตามอาคารบ้านเรือน โบสถ์ วิหาร พระราชวัง ฯลฯ นอกจากนี้ ยังอาจเป็นลวดลายตกแต่งงาน ประติมากรรมแบบลอยตัวด้วย สำหรับงานประติมากรรมแบบลอยตัว มักทำเป็น พระพุทธรูป เทวรูป รูปเคารพ ต่างๆ (ศิลปะประเภทนี้จะเรียกว่า ปฏิมากรรม ) ตุ๊กตา ภาชนะดินเผา ตลอดจนถึงเครื่องใช้ต่างๆ ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปตามสกุลช่างของแต่ละท้องถิ่นหรือแตกต่างกันไปตามคตินิยมในแต่ละยุคสมัย โดยทั่วไปแล้วเรามักศึกษาลักษณะของสกุลช่างที่เป็นรูปแบบของศิลปะสมัยต่างๆ ในประเทศไทยจากลักษณะของพระพุทธรูป เนื่องจากเป็นงานที่มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จัดสร้างอย่างประณีตบรรจง ผู้สร้างมักเป็นช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญที่สุดในท้องถิ่นหรือยุคสมัยนั้น เป็นประติมากรรมที่มีวิธีการจัดสร้างอย่างศักดิ์สิทธิ์เปี่ยมศรัทธา ลักษณะของประติมากรรมของไทยในสมัยต่างๆ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง วรรณคดี ประติมากรรม
วิธีการอนุรักษ์ สืบสาน และ เผยแพร่ เร่งรัดและกระตุ้นให้หน่วยงานของรัฐและประชาชนเอาใจใส่ ควบคุม ดูแล อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมอย่างถูกต้องเหมาะสม แก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้เหมาะสมและได้ผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง ป้องกันมิให้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นไปในทางที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมศิลปกรรม เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่บุคลากรในท้องถิ่นเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันในการคุ้มครองและรักษาสภาพแวดล้อมที่ดีแก่แหล่ง ศิลปกรรม ส่งเสริมให้มีการอบรมและสร้างสามัญสำนึกให้ประชาชน ให้เกิดความรู้สึกหวงแหนและเห็นคุณค่าของศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแหล่งศิลปกรรม พัฒนาวิธีการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ตามแผนพัฒนาการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ศิลปกรรม วิธีการอนุรักษ์ สืบสาน และเผยแพร่
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: