ใบความรู้ เรื่อง ความสาคัญของพระพทุ ธศาสนาและพทุ ธประวัติ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนเทศบาลตาบลเวยี งปา่ เปา้ สังกัดกองการศึกษา เทศบาลตาบลเวียงป่าเป้า
ใบความรู้ เรื่อง ความสาคัญของพระพทุ ธศาสนาและพทุ ธประวตั ิ รายวชิ าสังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 พระพทุ ธศาสนาเป็นศนู ยร์ วมจติ ใจของพุทธศาสนกิ ชน พระพุทธศาสนากาเนิดในประเทศอินเดียและได้เผยแผ่เข้ามาในดินแดนสวุ รรณภมู ิซึ่งรวมทั้งที่เป็น ดินแดนของไทยในปจั จบุ ัน และดนิ แดนของประเทศเพ่ือนบ้าน ซง่ึ อยู่ในราวประมาณ ๓,๐๐๐ กว่าปี พระมหากษตั ริยไ์ ทยทุกพระองค์ทรงนับถือพระพทุ ธศาสนา ทรงเป็นพุทธมามกะ และได้ใหค้ วามอปุ ถัมภ์ค้าชู พระพุทธศาสนามาโดยตลอด คนไทยสว่ นใหญน่ ับถอื พระพุทธศาสนาจงึ ได้นาหลักคาสอนของพระพทุ ธเจา้ มาเปน็ หลักสาคญั ใน การดารงชวี ติ ทาให้อยรู่ ่วมกนั อยา่ งมีความสุข ชวี ิตคนไทยผูกพันอยูก่ ับพระพทุ ธศาสนา จะเห็นได้วา่ ทุกหมู่บ้านจะมพี ระสงฆ์เปน็ ศนู ย์รวมทาง จติ ใจคอยช่วยแนะแนวทางเพ่ือแกไ้ ขปัญหาต่าง ๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ และมีวัดเปน็ ศนู ยก์ ลางในการจดั งานต่าง ๆ ทง้ั ทางดา้ นสังคม ศลิ ปวฒั นธรรม ประเพณีและอนื่ ๆ ดังนั้น พระพทุ ธศาสนาจึงเป็นศูนย์รวมจติ ใจของชาวพุทธ ทุกคน พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจาชาตไิ ทย และเปน็ ศนู ยร์ วมทางจิตใจของชาวพุทธ จึงมีอิทธพิ ลและ ความสาคญั ต่อวถิ ชี ีวิตของคนไทยหลายประการ คอื ดา้ นอุปนสิ ยั หลักธรรมคาสอนในพระพทุ ธศาสนาทาให้คนไทยมีอปุ นิสัย เชน่ ความกตญั ญกู ตเวที เคารพเชื่อฟงั ผใู้ หญ่ ออ่ นนอ้ มถอ่ มตน ใหอ้ ภยั ซึ่งกันและกนั มีความเมตตากรุณา เปน็ ตน้ ซึ่งส่งิ เหล่าน้ีลว้ น ไดร้ ับจากการอบรมส่งั สอนตามหลักธรรมในพระพทุ ธศาสนาท้ังส้ิน ด้านสงั คม วดั เป็นศูนย์รวมของการดาเนนิ ชวี ิตของสงั คมไทย ไม่วา่ จะเป็นงานเทศกาลต่าง ๆ มกั จะ จัดที่วัด ทาใหป้ ระชาชนในทอ้ งถ่ินนัน้ ๆ ได้รบั ความสนุกสนาน ได้พกั ผ่อนหย่อนใจ วดั ยงั เป็นศนู ยร์ วมความ สามัคคี เปน็ สมบัติส่วนรวมทีป่ ระชาชนจะมาพบปะสังสรรค์และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เปน็ ต้น ด้านการศึกษา ในสมยั โบราณ ชาวบ้านมกั จะพาลกู หลานไปฝากไว้กับพระสงฆท์ ีว่ ัด เพื่อให้เรยี น หนังสือ และไดร้ บั การอบรมส่ังสอนเกีย่ วกบั หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา วัดจงึ เปน็ สถานที่ศึกษาเลา่ เรยี น และในปัจจบุ ันได้มกี ารจดั สรา้ งโรงเรียนขึน้ ในวัด หรอื อาศยั ท่ดี ินของวัดปลกู สร้างโรงเรียนอีกดว้ ย ด้านประเพณแี ละวัฒนธรรม ประเพณแี ละวฒั นธรรมของไทยสว่ นใหญ่มีรากฐานมาจาก พระพุทธศาสนา เชน่ ประเพณกี ารทอดกฐิน การอปุ สมบท การทาบญุ เลย้ี งพระ และบางประเพณีกน็ า พระพทุ ธศาสนาเข้าไปผสมผสาน เช่น งานแต่งงาน งานสงกรานต์ งานศพ เป็นต้น ตลอดจนวฒั นธรรมการ กราบไหว้ ทคี่ นไทยไดส้ ืบตอ่ กันมาจนเป็นวัฒนธรรมไทยทเี่ ป็นเอกลักษณข์ องชาติ
พทุ ธประวัติ ประสูติ เมอื่ ประมาณ ๓,๐๐๐ ปีมาแลว้ มีราชธานเี มืองหน่งึ ชอ่ื วา่ กรงุ กบิลพัสดุ์ ตง้ั อยู่ในอาณาจักร ชมพู ทวีป มีพระราชาพระนามว่า พระเจ้าสทุ โธทนะ เปน็ ผ้คู รองนคร และมีพระมเหสีพระนามวา่ พระนางสริ ิมหา มายา เม่อื พระนางสิริมหามายาทรงมีพระครรภ์ จึงไดท้ ลู ขออนญุ าตจากพระราชสวามี เพ่อื เสด็จไปยงั กรุง เทวทหะ อันเปน็ ถ่นิ กาเนดิ ของพระนาง คร้นั เม่ือขบวนเสด็จผา่ นมาถึงสวนลุมพินี พระนางก็ไดป้ ระสูติ พระโอรส ซึ่งตรงกับวนั ข้นึ ๑๕ ค่า เดอื น ๖ หลงั จากนนั้ กเ็ สดจ็ กลับกรงุ กบิลพสั ด์ุ เมอื่ พระโอรสประสูตไิ ด้ ๕ วัน พระเจา้ สทุ โธทนะทรงประกอบพิธีขนานพระนาม โดยเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คน มาประชุมเพ่ือทาพิธี ในครง้ั น้นั ทรงขนานพระนามว่า สทิ ธตั ถะ แปลวา่ ผสู้ าเร็จตามความ ประสงค์ และยังไดท้ านายว่า ถา้ พระโอรสอยูค่ รองเมอื งจักเปน็ พระเจา้ จักรพรรดทิ ่ยี ่ิงใหญ่ แตถ่ า้ ออกผนวชจะ ได้เปน็ ศาสดาเอกของโลก หลังจากทเี่ จา้ ชายสิทธตั ถะประสูตไิ ด้ ๗ วัน พระนางสิรมิ หามายาไดส้ นิ้ พระชนมล์ ง เจา้ ชายสิทธตั ถะ จึงไดอ้ ยู่ในความดูแลของพระนางปชาบดโี คตมี ซึ่งเปน็ นอ้ งสาวของพระนางสริ มิ หามายา เจา้ ชายสิทธตั ถะมี พระชนมพรรษาได้ ๗ พรรษา ดังนัน้ พระราชบดิ าให้ศกึ ษาศิลปวิทยาในสานักครูวศิ วามติ ร เจ้าชายสามารถ เรยี นรไู้ ด้อย่างรวดเร็วจนสิ้นความร้ขู องอาจารย์
เม่ือเจ้าชายสิทธตั ถะมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา ไดอ้ ภเิ ษกสมรสกับพระนางพมิ พา หรอื ยโสธรา และ เมื่อพระชนมายไุ ด้ ๒๙ พรรษา มพี ระโอรสองค์หนงึ่ พระนามวา่ ราหลุ ตรสั รู้ ครัง้ หน่งึ เจ้าชายสิทธตั ถะไดเ้ สด็จออกประพาสอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเหน็ เทวทูต ๔ ได้แก่ คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และสมณะ ทาใหพ้ ระองค์คดิ ว่า คนทงั้ หลายล้วนตอ้ งประสบการเกดิ แก่ เจบ็ และตายไม่มีใคร รอดพน้ และคิดวา่ การออกบวชจะชว่ ยใหพ้ ้นทุกข์ได้ พระองค์จึงเสด็จออกบวชในคนื นน้ั โดยมีม้ากณั ฐกะ และมี นายฉันนะเปน็ ผ้ตู ดิ ตามและบวชทฝ่ี ั่งแม่นา้ อโนมา เม่ือเจา้ ชายสทิ ธัตถะผนวชแล้ว ไดไ้ ปศกึ ษาอย่ใู นสานักอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบสราม บตุ ร ศกึ ษาจนสาเรจ็ กไ็ มพ่ บทางพ้นทกุ ข์ จึงเสดจ็ ไปแสวงหาธรรมท่อี ่ืนต่อไป ตอ่ มาพระองค์ได้บาเพญ็ ทกุ รกิรยิ ากลน้ั ลมหายใจเข้าออก อดอาหาร จนพระวรกายผา่ ยผอม ก็ยงั ไม่ พบหนทางพน้ ทุกข์ จึงทรงเลกิ วธิ ีทรมานรา่ งกายเปน็ เหตุใหป้ ัญจวคั คีย์ทเ่ี ฝ้าปรนนิบตั อิ ยู่เห็นวา่ พระองค์ทรง เลิกบาเพญ็ เพยี รแล้วจงึ ไดพ้ ากนั หนีไปอยู่ ณ ปา่ อิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี พระสทิ ธัตถะได้กลบั มาเสวยอาหารเพ่ือให้รา่ งกายแขง็ แรง แล้วบาเพ็ญเพยี รด้วยการน่งั สมาธิ ทาจิต ให้เกดิ สมาธแิ น่วแน่ พิจารณาความเป็นไปของธรรมชาติจงึ เกิดความรู้แจ้งตรสั รใู้ น อริยสัจ ๔ ซ่งึ ถือเปน็ หนทาง แหง่ การดับทกุ ข์ ณ ใต้ตน้ ศรีมหาโพธ์ิ รมิ ฝั่งแมน่ ้าเนรญั ชรา ตาบลอุรุเวลาเสนานิคม เมื่อวันขน้ึ ๑๕ ค่าเดือน ๖ ขณะทม่ี พี ระชนมายไุ ด้ ๓๕ พรรษา และได้รับการขนานพระนามใหม่ว่า พระพุทธเจ้า
การประกาศหลักธรรม หลังจากพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงตอ้ งการใหผ้ อู้ ่ืนรู้ตาม จึงเสด็จออกประกาศธรรม โดยทรงโปรด ปญั จวคั คีย์เปน็ กลุ่มแรก และมีผเู้ ลอ่ื มใสเข้ามาขอบวชเปน็ จานวน ๖๐ รูป พระองคจ์ งึ ทรงสง่ พระสาวก เหล่าน้นั ไปประกาศธรรมตามตาบลต่าง ๆ ส่วนพระองคแ์ สดงธรรมโปรดชฎิล ๓ พ่ีน้อง ณ ตาบลอุรเุ วลาเสนา นิคม โปรดชฎลิ ชฎิลเปน็ นกั บวชลัทธิหนึง่ ทบี่ ูชาไฟ และจัดเปน็ ลทั ธใิ หญท่ ่ีมีประชาชนนับถือมาก ในแควน้ มคธ พ่ีชาย คนโตชอื่ อุรุเวลกัสสปะ มบี รวิ าร ๕๐๐ คน คนทส่ี องชือ่ นทีกสั สปะ มีบรวิ าร ๓๐๐ คน และคนสุดท้ายช่อื คยากสั สปะ มีบรวิ าร ๒๐๐ คน ตง้ั อาศรมอยู่ริมฝ่ังแมน่ า้ เนรัญชรา เพ่ือพระพุทธเจ้าทรงพจิ ารณาเห็นว่า ถ้าประกาศศาสนาให้รวดเรว็ จะตอ้ งทาให้ชฎิล ๓ พน่ี อ้ งนบั ถือ เสยี ก่อน เพราะทั้งสามเปน็ ผู้มีหมู่ชนนับถือมากมาย พระองค์จึงไดเ้ สด็จไปแสดงธรรมโปรดพ่ีชายคนโตก่อน และแสดงธรรมแกค่ นท่ีสองและคนท่ีสามตามลาดับ ดว้ ยพระเทศนาช่ือวา่ อาทิตตปรยิ ายสูตร จนชฎลิ ๓ พี่ นอ้ งเกดิ ความเลอื่ มใสศรัทธาและขอบวชในพระพุทธศาสนา และไดบ้ รรลุเปน็ พระอรหันตใ์ นเวลาตอ่ มา ส่วน นักบวชทเี่ ปน็ สาวก จานวน ๑,๐๐๐ คน ได้ขอบวชเป็นสาวกของพระพทุ ธเจา้ และได้บรรลุเปน็ พระอรหันต์ดว้ ย
โปรดพระเจ้าพมิ พสิ าร เม่อื พระพทุ ธเจ้าโปรดชฎิล ๓ พน่ี อ้ ง จงึ พรอ้ มด้วยพระอรหนั ต์สาวกจานวน ๑,๐๐๓ องค์ ไดเ้ สด็จไปสู่ กรงุ ราชคฤห์ เพ่ือแสดงธรรมแกพ่ ระเจา้ พมิ พสิ าร เม่อื พระพทุ ธเจ้าเสดจ็ ถงึ กรุงราชคฤห์ พระเจ้าพมิ พสิ ารพรอ้ ม ด้วยข้าราชบริพารเสดจ็ เข้าเฝา้ พระพทุ ธเจา้ พระพุทธเจา้ ทรงโปรดให้พระอรุ เุ วลกัสสปะชแ้ี จงแก่คนทั้งหลายถึง สาเหตุทีไ่ ด้เปลย่ี นมานับถอื พระพุทธศาสนาพระอรุ ุเวลกัสสปะประกาศวา่ พระพุทธเจา้ เปน็ พระศาสดาและตวั ท่านเปน็ สาวกของพระพุทธเจ้า จากน้ันพระพทุ ธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดพระเจา้ พิมพสิ ารพรอ้ มทั้งขา้ ราชบรพิ าร จนเกิดความ เลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนาพรอ้ มกบั ไดป้ ระกาศเป็นสาวกของพระองค์ พระเจ้าพมิ พิสารไดแ้ สดงความเคารพ นบั ถือพระรตั นตรยั โดยทรงถวายพระราชอุทยานเวฬุวนั สวนไผ่ เพื่อใหเ้ ปน็ ท่ีประทบั ของพระพทุ ธเจ้าพรอ้ ม ทัง้ พระสาวก เวฬุวนั นบั ว่าเป็นวัดแห่งแรกในพระพทุ ธศาสนา แตง่ ตั้งพระอคั รสาวก พระสารบี ุตรและพระโมคคลั ลานะ เป็นพุทธสาวกทีส่ าคัญ ที่ถือเป็นแบบอย่างในความพากเพียร พยายาม ท่ีจะทาตนให้สาเร็จ ถือเป็นกาลังสาคญั ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาของพระพทุ ธเจา้ พระสารบี ตุ ร ไดร้ บั การแต่งต้ังเป็นพระอคั รสาวกเบื้องขวาของพระพทุ ธเจ้า และพระโมคคลั ลานะไดเ้ ปน็ พระอคั รสาวกเบื้อง ซ้ายของพระพทุ ธเจ้ามเี รื่องราวน่าสนใจดงั น้ี ในระยะเวลาท่ีพระพุทธเจา้ ประทับอย่ใู กล้นครราชคฤห์ ซง่ึ มเี จา้ ลทั ธิผู้หนง่ึ ชื่อ สัญชัย ตงั้ สานักอยู่ใกล้ กรุงราชคฤห์ และมีสาวกประมาณ ๕๐๐ คน ซ่งึ ในบรรดาสาวกเหล่านั้นมีสาวกสองคนชือ่ อปุ ตสิ สะและโกลิตะ ทงั้ สองคนน้มี ีสติปญั ญามาก พบว่าคาสอนของทา่ นสญั ชัยไม่อาจนาไปสู่ความพน้ ทุกข์ได้ จงึ ตกลงกันว่า ถา้ ผใู้ ด เหน็ ธรรมกอ่ น กใ็ ห้กลับมาบอกแกก่ ัน วนั หนงึ่ อปุ ตสิ สะได้พบกับพระอัสสชิ บังเกดิ ความเลอ่ื มใสจงึ เข้าไปสนทนาและซักถามวา่ ใครเป็น อาจารย์ของทา่ นพระอสั สชไิ ดก้ ลา่ ววา่ พระพทุ ธเจา้ เป็นศาสดาของท่าน
อุปตสิ สะได้ขอรอ้ งให้พระอัสสชแิ สดงคาส่ังสอนของพระพทุ ธเจา้ ให้ฟงั พระอสั สชจิ ึงกล่าว่า พระ ศาสดาได้สงั่ สอนดังนี้ ธรรมเหลา่ ใดเกดิ แต่เหตุ พระตถาคตเจ้าตรสั เหตเุ กิดแหง่ ธรรมนน้ั และตรสั ความดบั แหง่ ธรรมเหลา่ นัน้ พระมหาสมณะมีปกตติ รัสอย่างนี้ เมื่อพระอัสสชิกล่าวจบ อปุ ติสสะกไ็ ด้บรรลุธรรมเบ้ืองตน้ และกลบั มาแจง้ แกโ่ กลิตะ โกลติ ะบรรลธุ รรม เบอ้ื งตน้ เช่นเดียวกัน อปุ ตสิ สะและโกลติ ะจึงไดอ้ าลาท่านสัญชยั และพาสหายอกี ๒๕๐ คน ไปเฝ้า พระพุทธเจา้ ทีว่ ัดเวฬวุ นั ทูลขอบวช เมอื่ บวชแล้วอุปตสิ สะ มนี ามว่า พระสารีบุตร สว่ นโกลติ ะ มนี ามวา่ พระโมคคลั ลานะ ท้ังสองท่านได้ ปฏบิ ัตธิ รรมโดยพากเพยี รจนสาเรจ็ เปน็ พระอรหันต์ และได้รบั แตง่ ต้งั เป็นพระอัครสาวกของพระพทุ ธเจ้า โดย พระสารีบตุ รเป็นพระอคั รสาวกเบื้องขวา สว่ นพระโมคคัลลานะเปน็ พระอัครสาวกเบอ้ื งซา้ ย แสดงโอวาทปาฎิโมกข์ หลังจากท่ีพระพทุ ธเจ้าประกาศพระพทุ ธศาสนาเปน็ เวลา ๙ เดือน ครนั้ เมอื่ ถงึ วนั เพญ็ เดือน ๓ ได้มี พระสงฆส์ าวกจานวน ๑,๒๕๐ รูป เดนิ ทางมาเฝา้ พระองค์ทีเ่ วฬุวนารามโดยมิได้นดั หมายกนั มาก่อน ในการ ประชุมครั้งน้ี พระพุทธเจา้ ได้แสดง โอวาทปาฏโิ มกข์ ซ่ึงถอื เป็นหลกั คาสอนที่เปน็ หวั ใจสาคัญของ พระพทุ ธศาสนาอยา่ งแทจ้ ริง ปรนิ ิพพาน
พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ได้เสดจ็ โปรดสัตว์และแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดระยะเวลา 45 พรรษา ทรงสดับว่า อีก 3 เดอื นขา้ งหน้าจะปรินพิ พาน จงึ ได้ทรงปลงอายุสงั ขาร ขณะนัน้ พระองค์ได้ ประทับจาพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมอื งเวลาสี แคว้นวชั ชี โดยกอ่ นเสดจ็ ดับขนั ธ์ปรินพิ พาน 1 วัน พระองค์ไดเ้ สวยสกุ รมัททวะท่นี ายจนุ ทะทาถวาย แต่เกิดอาพาธลง ทาให้พระอานนท์โกรธ แต่ พระองคต์ รสั ว่า \"บณิ ฑบาตท่ีมอี านสิ งส์ทสี่ ุด มี 2 ประการ คือ เม่ือตถาคต (พทุ ธองค)์ เสวยบิณฑบาต แลว้ ตรสั รู้ และปรนิ ิพพาน\" และมีพระดารสั ว่า \"โย โว อานนท ธมม จ วินโย มยา เทสโิ ต ปญญต โต โส โว มมจจเยน สตถา\" อนั แปลวา่ \"ดูกอ่ นอานนท์ ธรรมและวินัยอนั ท่ีเราแสดงแลว้ บญั ญตั ิ แล้วแกเ่ ธอท้ังหลาย ธรรมวนิ ัยนน้ั จักเปน็ ศาสดาของเธอท้งั หลาย เมือ่ เราล่วงลบั ไปแลว้ \" พระพุทธเจ้าทรงประชวรหนัก แตท่ รงอดกลั้นมุ่งหนา้ ไปยังเมอื งกสุ ินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพ่ือเสด็จดบั ขนั ธ์ปุ รินิพพาน โดยก่อนทจี่ ะเสด็จดับขนั ธ์ปรนิ พิ พานน้นั พระองคไ์ ดอ้ ุปสมบทแก่พระ สุภทั ทะปริพาชก ซ่ึงถอื ไดว้ า่ \"พระสภุ ภัททะ\" คอื สาวกองคส์ ุดทา้ ยที่พระพุทธองคท์ รงบวชให้ ใน ทา่ มกลางคณะสงฆ์ทง้ั ทีเ่ ปน็ พระอรหันต์ และปถุ ชุ นจากแคว้นตา่ งๆ รวมทง้ั เทวดา ทม่ี ารวมตวั กนั ใน วันน้ี ในครานน้ั พระองค์ทรงมปี ัจฉิมโอวาทว่า \"ดูก่อนภิกษทุ ้ังหลาย เราขอบอกเธอทง้ั หลาย สังขาร ทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเปน็ ธรรมดา พวกเธอจึงทาประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อน่ื ให้ สมบูรณ์ด้วยความไมป่ ระมาทเถดิ \" (อปปมาเทน สมปาเทต) จากนั้นได้เสด็จดบั ขันธ์ปรนิ ิพพาน ใตต้ น้ สาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตรยิ ์ เมืองกสุ ินารา แควน้ มลั ละ ในวันขนึ้ 15 ค่า เดือน 6 รวมพระชนม์ 80 พรรษา และวนั น้ถี อื เปน็ การเร่ิมต้นของ พทุ ธศกั ราช
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: