สตั วเ ลยี้ งลูกดวยนม สัตวเล้ยี งลกู ดวยนมที่กนิ พชื ๆ แบงออกเปน 2 กลมุ ใหญไดแกส ตั วเ ค้ียวเอ้ือง ซึ่งเปน สตั วเลย้ี งลกู ดว ยนมทก่ี ินพืชผกั และหญาอื่น กลุมของสัตวท ีก่ ินหญา เชน มา หมู กวาง วัว มาลาย ยีราฟ ควาย แพะและแกะเปนตน สาํ หรบั สตั วเล้ียงลูก ดวยนมอีกกลมุ คือสัตวฟ น แทะและกระตาย สตั วเลีย้ งลกู ดว ยนมทก่ี นิ พืชเปนอาหาร จะมฟี น และเข้ยี วซเ่ี ลก็ ๆ ฟน กรามคอ นขางกวา ง ตัวฟนดานหนาจะสงู และมกี ารเคลอื บฟนเปน สนั เพ่อื ไวสําหรับบดอาหาร สัตวฟน แทะ เชน กระรอก กระจอ นจะมีฟนตดั ในลกั ษณะคลายกับสว่ิ อยูต ลอดชีวติ เมอ่ื มกี ารหักหรือสกึ กรอ นกส็ ามารถ สรางใหมข ้ึนทดแทน สตั วเลีย้ งลกู ดวยนมทีก่ นิ พชื จะมกี ารปรบั ตัวเพ่ือการกินอาหารหลากหลายประการ เซลลูโลสซง่ึ เปน คารโ บไฮเดรตของพชื ซ่งึ ประกอบไปดว ยหนวยของกลโู คสจะเรียงตวั จบั กนั เปน สายยาวดว ย พันธะทางเคมี ซึง่ จะมนี าํ้ ยอยอยูเพียงไมก ีช่ นิดทีจ่ ะสามารถยอยใหแ ตกสลายได สัตวม ีกระดกู สนั หลังทุกชนิด จะไมม เี อมไซมส าํ หรบั ยอยสลายเซลลูโลส ดังนั้นจงึ จาํ เปน จะตองมแี บคทเี รยี ท่ีไมใ ชออกซเิ จนอยภู ายในสว น ของระบบทางเดินอาหาร ที่มีการหมกั อาหารจําพวกพชื ผกั ผลไม แบคทเี รยี จะทาํ หนา ท่ยี อยสลายเซลลโู ลสให เปน กรดไขมัน น้าํ ตาลและแปง เพอ่ื ใหส ัตวเ ลี้ยงลูกดวยนมทก่ี ินพืชสามารถดดู ซึมไปใชเ ลยี้ งรางกาย \\ สัตวเ ลยี้ งลกู ดวยนมท่กี ินพืชเปนอาหาร จะมีทอทางเดนิ อาหารขนาดใหญและยาว และจะตองกินพชื เปนอาหารในปรมิ าณครัง้ ละมาก ๆ เพือ่ การอยูร อด เชน ชา งแอฟรกิ ันที่มีขนาดรา งกายใหญโ ตและมนี ้าํ หนักถงึ 6 ตนั จาํ เปน ทีจ่ ะตอ งกินพืชประมาณ 135 - 150 กโิ ลกรมั ตอวัน จงึ จะพอเพยี งตอ ความตอ งการ และสามารถ ยอยสลายดดู ซมึ ไปหลอเล้ียงรา งกายได แตส ําหรบั สตั วเ ล้ียงลกู ดว ยนมท่ีกนิ พืชเปน อาหารบางชนิด เชน มา และ กระตา ย จะมที อ ทางเดนิ อาหารยื่นออกมาเปนแขนงเรียกวาซีคัม (cecum) ไวสาํ หรับทาํ หนา ทใี่ นการหมกั และ ดูดซมึ อาหารเขาสูรางกาย กระตายปาหรือกระตายบา นและสตั วฟ น แทะบางชนดิ จะกนิ กอนอจุ จาระของ ตนเองเพื่อนําไปยอ ยสลายซํา้ อีกครั้ง สตั วเล้ยี งลกู ดวยนมที่กินเนื้อ สตั วเ ลย้ี งลกู ดว ยนมทกี่ นิ เนอ้ื เปน อาหาร ไดแก หมาปา สุนขั จิง้ จอก อีเห็น แมว วลู ฟเวอรนิ เสือ สิงโต เสอื ดาว เสอื ชีตาห ไฮยนี า หมาใน ฯลฯ จะมฟี นและเขยี้ วเล็บท่แี หลมคม เพื่อใชสําหรบั กดั และขย้ําเหย่อื รวมท้ังมีขาคูหนา และกงเล็บทแี่ ข็งแรงสําหรบั ใชในการตะปบและฆาเหยือ่ เนอ่ื งจากเนอื้ สัตวเปน อาหารทีย่ อ ย สลายไดง า ยกวา พืช ทอ ทางเดินอาหารสําหรับสตั วเลี้ยงลูกดว ยนมทีก่ นิ เนอื้ เปนอาหารจะสนั้ ลง และในสว นของ ซคี มั จะหดลงหรอื หายไป มกี ารกนิ อาหารเปน มอ้ื เม่อื เวลาหิว และมเี วลาพกั ผอนหลังจากการกนิ อาหารเพอ่ื ให เนื้อสัตวท ก่ี นิ เขา ไปไดยอยสลาย สตั วเ ล้ียงลูกดว ยนมท่ีกนิ เน้อื เปน อาหาร จะมคี วามวอ งไว ปราดเปรียวและมชี วี ิตทต่ี น่ื เตน เราใจ มากกวา สตั วเลยี้ งลกู ดว ยนมท่กี นิ พืชเปนอาหาร การไลล า เหยือ่ เพ่อื เปนอาหาร ทําใหก ารตดิ ตามและคน หา เหย่อื กระทําดว ยความฉลาดและไหวพรบิ มกี ารวางแผนการในการลา สมองจะมีการพัฒนามากกวาสัตวเ ลยี้ ง
ลกู ดว ยนมชนดิ อนื่ ๆ เชนแมวจะมคี วามฉลาดและไหวพรบิ ในการลาหนู เสือและสิงโตจะมกี ารซุมโจมตเี หยือ่ รวมทั้งการวางแผนในการลาเหยือ่ อกี ดว ย ซ่ึงการววิ ัฒนาการนีจ้ ะเปนประโยชนแกสตั วเ ลี้ยงลูกดวยนมทก่ี ิน เน้อื สตั วเ ปน อาหารมากกวา สตั วเ ลี้ยงลกู ดวยนมที่กินพืชเปนอาหาร แตความสาํ เรจ็ ในการไลลา จะเปนตวั กระตุนใหส ตั วเลีย้ งลกู ดว ยนมทก่ี ินพืชเปนอาหาร มกี าร พัฒนาการในการปองกันอนั ตรายของตนเองจากศัตรนู ักลา ดว ยการเพิ่มความสามารถในดานการตรวจสอบ คอื การพฒั นาอวัยวะในการรบั ความรูส กึ ใหไวมากข้นึ กวาเดมิ สตั วเ ลีย้ งลูกดว ยนมที่กินพืชเปนอาหารบางชนิด สามารถเอาตัวรอดจากเสอื และสิงโตไดดว ยขนาดของรา งกายท่ใี หญโ ตมาก เชนชาง หรือการรวมกลมุ กันเพอื่ ปองกันตัวและลูกออนเชน มาลาย ตวั จามรี เปนตน โดยการลอมวงเขาหากันเพ่อื ปองกนั ลกู ออ นที่อยูภายในวง ลอ ม เมื่อเสอื และสิงโตเขา ใกลจ ะถกู ดีดดวยเทาหลัง จนยอมแพแ ละลา ถอยไปเอง สัตวเ ล้ียงลกู ดวยนมท่ีกินแมลง สัตวเ ลย้ี งลูกดวยนมท่ีกินแมลงเปน อาหาร ไดแกต ัวตุน และสตั วฟ น แทะเชนหนู กระรอก กระแต กระจอน ตวั กินมด สมเสรจ็ และคา งคาว ซ่งึ สวนใหญนักสัตววิทยาจะแยกสัตวเล้ยี งลกู ดวยนมทีก่ ินแมลงเปน อาหาร จะทาํ ไดอยางไมช ัดเจนมากนัก เนือ่ งจากสตั วเลยี้ งลูกดว ยนมที่กนิ พืชเปนอาหาร และสตั วเลี้ยงลกู ดวย นมท่ีกนิ เนือ้ สัตวเ ปนอาหาร หรือแมแตสัตวกินพืชบางชนดิ กย็ งั กินแมลงเปนอาหารเขาไปดว ย สัตวเลีย้ งลกู ดว ยนมท่ีเคี้ยวเอือ้ ง สัตวเล้ียงลูกดว ยนมที่เคยี้ วเอื้อง เชน ววั ควาย แพะ แกะ ววั ปาไบซนั จะมีกระเพาะอาหารขนาดใหญ แบง ออกเปน 4 หอง ซง่ึ เมื่อแทะเลม็ หรอื กินหญา เขาไปเปน อาหาร หญา จะผานหลอดอาหารเขาสูรูเมน (rumen) ซงึ่ จะมีจลุ ินทรยี ที่ทาํ การยอ ยสลายอาหาร และทาํ ใหกลายเปน กอนขนาดเลก็ เรยี กวาคัด (cud) เมอื่ สัตวเ ลีย้ งลกู ดว ยนมทกี่ ินพชื เปน อาหาร อยูในเวลาทีพ่ กั หรอื อยูเฉย ๆ กจ็ ะสามารถสาํ รอกเอาคดั กลบั เขามาท่ี ปาก เพ่อื เคีย้ วตดั เสนใยของพชื ใหสั้นลง หรือทีเ่ รียกกันวา เคย้ี วเอือ้ ง ภายหลังเม่ือสตั วเล้ียงลกู ดวยนมที่เค้ียวเอื้อง เคย้ี วคดั เสร็จเรียบรอ ยกจ็ ะกลืนอาหารกลบั ลงไปที่รูเมน อีกครัง้ เพ่อื ใหแ บคทเี รียยอยสลายเซลลูโลส อาหารจะผา นไปยังกระเพาะอาหาร สว นที่ 2 คอื เรทิคูลมั (reticulum) ตอไปยงั โอมาซมั (omasum) และสนิ้ สุดกระบวนการยอยสลายอาหารทีอ่ โบมาซัม (abomasum) ซง่ึ จะเปน กระเพาะอาหารทแี่ ทจรงิ มนี ํ้ายอยโปรตนี และมีการยอยสลายอาหารตามปกติเกิดขึน้ ท่ีอโบมาซัม สัตวเ ลี้ยงลกู ดวยนมทกี่ นิ พชื และสัตว สตั วเ ล้ยี งลกู ดวยนมทกี่ ินพืชและสตั วเ ปน อาหาร เชน นม แรคคนู มนษุ ยแ ละสตั วอ่ืน ๆ ในอนั ดบั ไพร เมต ซงึ่ ตามปกตสิ ตั วเ ล้ยี งลูกดวยนมทกี่ ินสัตวด ว ยกันเปนอาหารหลายชนดิ จะใชก ารกินพชื ผักผลไมเ ชน ลกู เบอ รแี่ ทนในเวลาที่อาหารขาดแคลน เชน สนุ ขั จง้ิ จอกจะกินหนูและสัตวฟ นแทะขนาดเล็ก หรอื นกตวั เลก็ ๆ เปน
อาหาร แตถ า อาหารภายในปาเกดิ การขาดแคลน กจ็ ะเปลี่ยนมากนิ ผลไมเชนแอปเปล มะเดือ่ หรือขาวโพดแทน เพ่อื การอยูรอด โดยท่วั ไป สตั วเลย้ี งลกู ดวยนมสว นใหญ จะใชเวลาเกอื บทง้ั หมดไปกับการเสาะแสวงหาอาหาร ซึง่ สภาพภมู อิ ากาศจะมีผลกระทบตอการหาอาหารดวยเชนกัน ในเขตอบอนุ จะมกี ารเปลย่ี นแปลงของอาหารตาม ฤดกู าล มีความเดน ชัด เชนชว งฤดรู อ น อาหารจะอดุ มสมบรู ณ สามารถหาไดง ายตอการดํารงชีวติ แตในฤดู หนาว อาหารจะเร่ิมหายากและขาดแคลน ทาํ ใหส ตั วเ ลย้ี งลูกดวยนมหลายชนิดท่ีกินสัตวเปนอาหาร ตองออก เดนิ ทางเพอ่ื เสาะแสวงหาอาหารเพอ่ื การอยูรอด ทาํ ใหต องเดินทางไกลเพ่อื หลีกหนจี ากสภาพการขาดแคลน อาหาร สัตวเลย้ี งลูกดว ยนมบางชนดิ จะมกี ารจําศลี โดยการนอนในตลอดชว งฤดหู นาว และมีสตั วเ ลี้ยงลูกดวย นมหลายชนิด ที่จะตอ งมกี ารสะสมอาหารเอาไวสาํ หรับฤดูการขาดแคลนอาหาร โดยจะพบมากในประเภทของ สัตวฟ น แทะ เชนกระรอก กระแต และหนูเปนตน โดยจะสะสมเมล็ดพืชหรอื ผลไมแ หง เมลด็ สนแลว ฝงซอ น เอาไวในหลาย ๆ ท่ีดว ยกนั โดยเฉพาะกระรอกชิพมังค สามารถสะสมเมลด็ สนและลูกนัทไดม ากถึง 8 แกลลอน ดวยกนั การจาํ ศลี เม่อื ยางเขาสฤู ดูหนาว สัตวเ ล้ยี งลูกดวยนมสว นใหญจะมีวธิ กี ารเอาตวั รอดในสภาพอากาศทหี่ นาวเย็น ดว ยกัน 2 วิธีคอื การจําศีลและการอพยพยา ยถิ่นฐาน ซึง่ วธิ กี ารแกปญหาของสตั วเ ลยี้ งลูกดว ยนมในสภาพ ภูมอิ ากาศท่ที ารณุ ดว ยความหนาวเยน็ นอกเหนือจากการอพยพยา ยถิน่ ฐาน เพ่ือเสาะแสวงหาทอ่ี ยูใหมแลว การจําศีลก็เปนอีกทางเลอื กหนง่ึ ของสัตวเลย้ี งลูกดวยนม ดว ยการหลับตลอดชว งฤดหู นาว ซ่ึงจะพบการจาํ ศลี ไดใ นฤดทู ่แี ลง หรือหนาวจัด หรือเกิดการขาดแคลนอาหาร โดยทัว่ ไปสัตวเลยี้ งลูกดวยนมทีม่ กี ารจําศลี จะเปน สัตวข นาดเลก็ เชนหนูตนไม กระรอกดนิ กระจอน เปนตน แตสัตวเ ล้ียงลูกดว ยนมท่ีเปนสัตวข นาดใหญเชน หมี ก็มกี ารจําศลี ในฤดูหนาวเชนกนั สตั วเ ลีย้ งลูกดว ยนม จะมวี ธิ กี ารจําศลี ดว ยการหลบซอนตวั อยใู นท่ที ่ีปลอดภัย เชน ขดุ รูหรือหลบซอน ในโพรงไมหรือภายในถํ้า การจาํ ศีลของสัตวเ ล้ียงลกู ดวยนมจะเปนการอยูน ่งิ ๆ ไมขยบั หรอเคล่ือนไหวสว นใด สว นหน่งึ ของรา งกาย ระบบสรีระของรางกายกจ็ ะมกี ารปรบั ตวั เชนกนั เชน อณุ หภูมภิ ายในโพรง ถา หรอื ในรู บางครั้งอาจจะมีอณุ หภูมิทีต่ า่ํ มากจนเกือบถงึ จดุ เยือกแข็ง ก็จะมีการปรับตัวทางสรรี ะดว ยการลดอัตราการเม ทาโบลิซึมลง อตั ราการเตนของหวั ใจจะชามาก เชน กระรอกดิน กอ นจาํ ศลี จะมอี ัตราการเตน ของหัวใจ ประมาณ 200 - 400 คร้ัง/นาที[12] แตเม่อื จาํ ศีลอตั ราการเตน ของหัวใจจะลดลงเหลือเพียงแค 4 - 5 คร้งั / นาทีเทาน้นั สตั วเลย้ี งลูกดว ยนมบางชนดิ จะจาํ ศลี ทงั้ ในฤดรู อนและฤดูหนาว เมื่อสภาพภูมอิ ากาศภายนอกเปน ปกติ จงึ จะยุตกิ ารจาํ ศีล
สตั วบ างชนดิ เชน หมี สกงั ค โอพอสซัม จะนอนหลบั เปนเวลายาวนานในตลอดฤดหู นาว จะต่นื และ เคลือ่ นไหวรางกายบางเปน ครัง้ คราวเทานน้ั อณุ หภมู ิภายในรา งกายจะคงท่ี ไมม กี ารเปลีย่ นแปลง ปรมิ าณการ ใชออกซเิ จนในชว งการจาํ ศลี จะต่าํ กวา ปกติเพยี งเลก็ นอย ซ่ึงวธิ ีการจําศีลแบบนี้ไมใชการจาํ ศลี ทแ่ี ทจรงิ
Search
Read the Text Version
- 1 - 4
Pages: