รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) โครงการโมเดลทางเลือกในการพัฒนาคนไทย 4.0 บนพืน้ ที่สงู ในภาคเหนอื ตอนบน (Alternative Models of the Development Khon Thai 4.0 for Highland Communities in Northern Thailand) โดย รศ.ดร.ศิริพร กิรติการกุล และคณะ ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนงานคนไทย 4.0 สนับสนุนโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กันยายน 2563
เลขท่ีสัญญา 2562/2-02 รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) โครงการโมเดลทางเลือกในการพฒั นาคนไทย 4.0 บนพื้นท่ีสูงในภาคเหนือตอนบน (Alternative Models of the Development Khon Thai 4.0 for Highland Communities in Northern Thailand) โดย 1. รศ.ดร.ศิริพร กิรติการกุล มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 2. ดร.อัครพงศ์ อั้นทอง มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 3. รศ.ดร.จงกล พรมยะ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 4. ดร.สุขสถิตพ์ พิสิษฐ์สัชญา นักวิจัยอิสระ 5. ดร.นลินี คงสุบรรณ์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 6. ดร.วันวสา วิโรจนารมย์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนงานคนไทย 4.0 สนับสนุนโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
กติ ติกรรมประกาศ โครงการวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) คณะผู้วิจยั ขอขอบคุณ วช. ท่ี ให้การสนับสนุนทุนในการทำวิจัยครั้งน้ี และขอขอบคุณหน่วยบริหารจัดการและส่งมอบผลลัพธ์ (ODU) แผนงาน คนไทย 4.0 ท่ีให้ความอนุเคราะห์สนับสนุนการทำงานท้ังในเชิงพื้นที่ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาเพ่ือให้โครงการ สามารถดำเนินการแล้วเสร็จ แม้จะประสบปัญหาการลงพ้ืนท่ีเน่ืองด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ส่งผลให้การดำเนินโครงการมีความล่าช้ากว่ากำหนด ขอขอบพระคุณ ศาสตราจารย์ ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด ประธานอำนวยการแผนงานคนไทย 4.0 ตลอดจนผู้ทรงคุณวุฒิท้ัง 3 ท่าน ได้แก่ รศ.สมพร อิศวิลานนท์ รศ.ดร.เบญจพรรณ เอกะสิงห์ และคุณสุนันทา สมพงษ์ ที่กรุณาให้คำแนะนำ แนวทางในการพัฒนาโจทย์วิจัยเพื่อการตอบโจทย์ แนวทางในการดำเนินกิจกรรมการวิจัย ตลอดจนข้อเสนอแนะ ในการปรับปรุงรายงานให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งข้ึนและเกิดการใช้ประโยชน์ท่ีเป็นรูปธรรมแก่หน่วยงานที่ เก่ยี วข้อง ขอขอบคุณเกษตรกร ผู้นำเกษตรกร ผู้นำชุมชน หน่วยงานเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน รวมถึง หน่วยงานภาครัฐที่เก่ียวข้อง อาทิ บุคลากรของกรมปศุสัตว์ บุคลากรของกรมส่งเสริมการเกษตร นักวิชาการ ท่ี ความอนุเคราะห์ให้ความสะดวก และให้ข้อมูล รวมทั้งคำแนะนำท่ีเป็นประโยชน์ในการวิจัยครั้งน้ีจนบรรลุตาม วัตถปุ ระสงคข์ องโครงการ หากมขี ้อผดิ พลาดหรือบกพร่อง คณะผู้วิจัยพร้อมนำขอ้ เสนอแนะไปปรับปรุงแก้ไขในโอกาสถดั ไป คณะผู้วจิ ัย กนั ยายน 2563 I
II
บทคดั ยอ่ โครงการน้ีพยายามเสนอตัวอย่างโมเดลทางเลือกในการพัฒนาบนพ้ืนท่ีสูงท่ีสอดรับกับบริบทและ ความหลากหลายของพื้นที่ โดยใช้วิธี Rapid appraisal วิเคราะห์ศักยภาพในท้องถ่ินและสแกนพืช สัตว์ และ ประมง 82 รายการ เพื่อนำมาพัฒนาฐานข้อมูลต้นทุน-ผลตอบแทน การศึกษาได้วิเคราะห์ด้วยเทคนิค ท่ีหลากหลายได้แก่ Cost Benefit Analysis, Linear Programming, Focus Group Meetings, In-depth Interview, Personas และ Design Thinking จากการศกึ ษามีขอ้ คน้ พบสำคัญ คือ 1. น่านมีพ้ืนที่เหมาะสมต่อการเกษตรจำกัด พื้นท่ีเกษตรอยู่ที่สูงแต่น้ำอยู่ท่ีลุ่ม ต้นทุนคมนาคมสูง และเงื่อนไข คทช. สง่ ผลให้การพฒั นาสนิ ค้าเกษตรมีต้นทุนสูง และตอ้ งการการจัดการดนิ และน้ำอย่างเปน็ ระบบ 2. เกษตรกรก่อหน้ีเพ่ือจุนเจือการบริโภคในครัวเรือน แม้ว่าบางรายสามารถใช้หนี้ได้ แต่ส่วนใหญ่ เป็นหน้ตี ลอดชีวติ โดยมกี รมธรรม์เปน็ หลกั ประกันการชำระหนี้ 3. แม้ว่าทางเลือกเกี่ยวกับระบบเกษตรมีมากมายและหลากหลาย แต่ด้วยเงื่อนไขทางกายภาพและ เศรษฐกิจครัวเรือนทำให้ทางเลือกเหลือน้อย การตัดสินใจของเกษตรต้องการข้อมูลผลตอบแทนและต้นทุนที่ ชัดเจน ทราบขนาดเงินลงทนุ (หนส้ี นิ ) และตอ้ งใหไ้ ดร้ ายได้ไมน่ ้อยกวา่ 1 แสนบาท/ป/ี ครวั เรือน 4. ข้าวโพด เป็นทางเลือกท่ีลงทุนน้อย รายได้ดี และมีความเส่ียงด้านตลาดต่ำท่ีสุด แต่ต้องใช้ พ้ืนท่ีมาก และใช้วิธีการเผาหลังเก็บเกี่ยวท่ีทำลายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เพื่อให้มีรายได้ระดับเดียวกับข้าวโพด กัญชง (ผลติ เส้นใย) หมอ่ น และกล้วยน้ำวา้ เปน็ สามทางเลอื กท่ดี ีท่ีสุด และยังใชพ้ ้นื ทน่ี ้อยกว่า สว่ นไม้ผลตอ้ งใช้ เวลาอยา่ งน้อย 3 ปี และลงทุนสูง สำหรับการปลกู พืชผสมผสานท่ีเหมาะสมควรมี 2 ชนิด เนอื่ งจากจะมีรายได้ คมุ้ คา่ กบั การลงทุน สำหรบั ปศุสตั วอ์ ย่างแพะและไก่พนื้ เมืองแมว้ า่ ใช้พืน้ ทีน่ ้อยแต่ใชเ้ งินลงทุนสงู 5. ในพนื้ ที่ลมุ่ นำ้ หนึ่งและสอง กรณีท่มี ีปา่ อย่แู ลว้ 5.1 ไม่มีพืชเศรษฐกิจที่จะสามารถแซมลงไปในป่าเพื่อหารายได้ได้ในปีแรกท่ีจะทำให้ครัวเรือนมี ชีวิตดีข้ึน 5.2 หากต้องการสร้างรายได้ในปีแรก ต้องเล้ียงไก่พื้นเมือง 4 รุ่น/ปี (รุ่นละ 400 ตัว) จะใช้เงิน ลงทนุ 58,000 บาท สรา้ งรายไดส้ ทุ ธิเท่ากับ 48,000 บาท 5.3 พืชที่ปลูกใต้ป่าได้ดีท่ีสุด แต่ต้องรอ 2 ปี จึงจะได้รายได้ ได้แก่ หวาย ผักหวาน บุก สร้าง รายไดไ้ ด้ 98,000 95,000 และ 49,000 บาท/ปี ตามลำดับ โดยใช้เงินลงทุนไม่เกนิ 100,000 บาท 6. ในพื้นที่ลุ่มน้ำหนึ่งและสอง กรณีที่ปลูกพืชไปพร้อมๆ กับปลูกไม้ป่ามีทางเลือกค่อนข้างจำกัด ทางเลอื กทด่ี ีทีส่ ุด 3 ลำดับแรก ไดแ้ ก่ 6.1 กล้วยน้ำว้า สามารถเก็บเกี่ยวได้ภายใน 1 ปี ปลูกคละกับป่าในพ้ืนท่ี 20 ไร่ (2,400 ต้น) ลงทุน และบำรงุ รกั ษา 92,000 บาท ได้รบั รายไดส้ ทุ ธิ 84,000 บาท/ปี 6.2 มะขามเปร้ียว จะเก็บเกี่ยวได้ภายใน 3 ปี ปลูก 16 ต้น/ไร่ ในพ้ืนท่ี 20 ไร่ (320 ต้น) ลงทุน และบำรุงรักษา 64,000 บาท ได้รายได้ 126,000 บาท/ปี III
6.3 มะไฟจีน จะเก็บเกี่ยวได้ภายในปีที่ 4 ปลูกแซมป่า 20 ไร่ (188 ต้น) ลงทุน 100,000 บาท ไดร้ ายได้ 135,000 บาท/ปี 7. พื้นทล่ี ุ่มน้ำสาม สี่ และหา้ 7.1 การเพาะปลูกในลุ่มน้ำนี้ไม่มีข้อจำกัดในเร่ืองพืช ระบบเกษตรท่ีสร้างรายได้สูงกว่าพืชเชิงเดี่ยว และระบบท่ีสร้างรายได้สูงสุดต่อพ้ืนที่ 20 ไร่ ไดแ้ ก่ กัญชง (ผลิตเส้นใย) หญ้าเนเปยี ร์ หม่อน กล้วยน้ำว้า โกโก้ และกาแฟ 7.2 การผลิตพืชใหม่ กัญชง (ผลิตเส้นใย) และหญ้าเนเปียร์ต้องสร้างตลาดใหม่ ส่วนโกโก้ต้องการน้ำ กาแฟต้องการความสูงของพ้ืนท่ีปลูก ดังนั้น กล้วยน้ำวา้ มคี วามพร้อมมากที่สดุ และมีห่วงโซอ่ ุปทานอยู่บ้างแล้ว แตต่ อ้ งมกี ารแปรรูปมากขึ้น สำหรับทางเลอื กการพฒั นาระดบั โครงการต้องสร้างแรงจูงใจโดย 1. การจ่ายค่าคืนพื้นที่ 5,000 บาท/ไร่ ควรทยอยจ่ายในลักษณะของการปลูกและดูแลป่า คือ ค่าปลูกและดูแลป่าในปีแรก 2,000 บาท/ไร่ ค่าปลูกซ่อมและดูแลป่าในปีท่ีสองและสามปีละ 1,500 บาท/ไร่ ตามลำดบั ทั้งนี้ ในพน้ื ท่นี ้จี ะไม่มกี ารปลูกพืชเกษตร 2. เกษตรกรเลือกปลูกข้าวโพดเพราะได้สินเช่ือง่าย จึงสามารถนำเงินในอนาคตมาใช้เพื่ออุปโภค บริโภคได้ก่อน ดังนั้น ในช่วงเปลี่ยนผ่านอาจจะต้องยอมให้ปลูกข้าวโพด แต่ต้องใช้วิธีไม่เผาในพื้นท่ี คทช. ควรต้องให้แรงจูงใจทำเกษตรไม่เผาสำหรับข้าวโพดในสามปีแรกท่ีเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยมีเงินสนับสนุน ข้าวโพดไม่เผากิโลกรัมละ 2 บาท โดยเฉลยี่ 1 ไร่ จะไดป้ ระมาณ 1,400 บาท/ไร่ 3. การเปลี่ยนพืช เกษตรกรตอ้ งเลือกเองตามศกั ยภาพของตน 4. การสนบั สนนุ การจัดการนำ้ เป็นโอกาสลดความเสีย่ งและเพิ่มทางเลือกของเกษตรกร 5. การสนับสนนุ ดา้ นการปรบั โครงสร้างสินเช่อื จะจำเป็นสำหรบั เกษตรกรกล่มุ ทีม่ หี นี้สะสมสูงมาก IV
Abstract This project has endeavored to provide alternative models for upland development. These models are compatible with the context and variety of areas. The Rapid appraisal was used to analyze the potential of communities. In addition, a scan of 82 plants, animals, and fishes to develop the cost and return data for investment was carried out. Various tools included Cost Benefit Analysis, Linear Programming, Focus Group Meetings, In-depth Interview, Personas, and Design Thinking. The main findings were as follows: 1. Nan has a limited land for agricultural activities. Lands for agriculture are located uphill while the water supply is far downhill. High cost of logistics and transportation as well as the rules under National Land Policy Committee (NLPC) result in high cost of agricultural products. In addition, good governance in soil and water is required. 2. Farmers are in debt due to daily household consumption. Some can pay off the debt, while most are in debt for the whole of their lives with a mortgaged property/collateral for repayment. 3. Although there are many choices of agricultural systems, the limitations of physical features of the land and socio-economic situation of farmers lead to fewer options. The decision of farmers depends on the clear data of cost and return for investment. They would like to know how much they need to invest (loan) to generate income at least 100,000 Thai Baht/year/household. 4. Corn is the priority because of good income and low risk in marketing; however, this plant depends upon large areas of land and subsequent burning after post-harvest. This is detrimental to the environment and public health. To find similar levels of income from corn cultivation, three alternative plants including hemp (for clothes and textile fibers), Mulberry, cultivated banana (Namwa) might be suitable with less land degradation. Fruit trees need a high investment and takes at least three years to gain an income. The applicable companion plants or agroforest should have two types to gain an appropriate profit. For livestock, like goat and native chicken, although less land is needed, high investment is committed. 5. In sites one and two, where there are forests, a. There is no economical crop which can be planted in the forest to gain additional income in the first year to provide households with a better standard of living. V
b. If farmers would like to earn an income in the first year, they must raise native chicken (four crops/year: 400 chicken/crop). This requires 58,000 Baht for investment and expected profit is 48,000 Baht. c. The best companion crops in agroforest take two years to provide an additional income including Rattan palms, sweet leaf (Phak wan), and Konjac. These crops could provide an income of 98,000 95,000 and 49,000 Baht/year, respectively with not more than 100,000 Baht investment. 6. In sites one and two, in cases using agroforestry, there are a few options. The first three priorities include: a. The cultivated banana (Namwa) can be harvested within one year and it can be assorted planting within an agroforestry area (2,400 banana trees in 20 Rai). The investment and maintenance cost are approximately 92,000 Baht while the expected profit 84,000 Baht/year, b. The sour tamarind will be harvested after three years: planting 16 tamarinds /Rai in 20 Rai (320 Trees). The investment and maintenance costs are approximately 64,000 Baht while the expected profit 126,000 Baht/year, c. The Wampee will be harvested after four years. This plant will be a companion plant in agroforestry (188 trees in 20 Rai). The investment and maintenance costs iare approximately 100,000 Baht while the expected profit is 135,000 Baht/year, 7. In sites, three, four, and five a. There are no constraints on plant culture in these sites. Agricultural systems with a better return than mono-cultivation are hemp (for clothes and textile fibers), Napier Grass, Mulberry, cultivated banana (Namwa), Cacao and coffee tree, b. There is a need to generate a new market for the development of new potential economic crop. Cacao production needs a good water supply while coffee trees need land with a high elevation. Thus, cultivated banana (Namwa) is the most appropriate since there is some supply chain. However, various aspects of post processing are required to be studied. The success of the project for this alternative development depends on developing motivation as follows: 1. The 5,000 Baht/Rai for area reimbursement, gradually paid in installments for planting and taking care of forest; 2,000 Baht/Rai in the first year and 1,500 Baht/Rai in the second and third year. There is no crop cultivation in this area, VI
2. As farmers decide to grow corn due to easy access to a loan, they can allocate some of the loan for daily consumption. In the interim, corn can be cultivated; however, there is no burning in a restricted area (NLPC). Farmers should be encouraged not to burn the cultivated and harvested areas in the first three years through a subsidy, two baht/kg of corn without burning activities, approximately 1,400 Baht/Rai, 3. The plant replacement: farmers must select their own depending on their potential, 4. Water governance and support are required to reduce the risk and increase opportunities for alternative planting for farmers, 5. The credit or loan restructure is needed for farmers who have a high accumulated debt. VII
VIII
สารบัญ หน้า I กติ ตกิ รรมประกาศ III บทคดั ยอ่ V Abstract IX สารบญั XI สารบัญตาราง สารบญั ภาพ XIII 1. กายภาพของพื้นท่ี และกฏหมาย/ระเบยี บทเ่ี กี่ยวข้องกบั พน้ื ท่ีสงู ในจังหวัดนา่ น 2 2. บทเรยี นจากโครงการพฒั นาพ้ืนที่สูงที่ผ่านมา 7 3. สภาพเศรษฐกิจและหนสี้ ินของครัวเรือนเกษตรบนพื้นทสี่ งู 8 4. โมเดลทางเลือกในการพัฒนาพืน้ ที่สูงในตำบลนำร่อง 12 12 4.1 ระบบเกษตรที่จะเป็นตวั สรา้ งรายไดใ้ หก้ ับครัวเรอื นเกษตรทีด่ กี ว่าปัจจุบัน 15 4.2 ห่วงโซอ่ ปุ ทานการผลิตทางการเกษตรท่ีมศี ักยภาพของจงั หวัดน่าน 17 4.3 ระบบเกษตรที่เปน็ ตัวเลือกในการสร้างรายได้สำหรับครัวเรือนเกษตร 22 4.4 โมเดลทางเลอื กการพัฒนาระดบั โครงการ 25 5. แนวทางยกระดับสมรรถนะเยาวชนบนพืน้ ที่สูง 26 6. ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบายในการพฒั นาบนพ้นื ทสี่ ูง 26 6.1 ข้อเสนอแนะเชิงโยบายท่เี ก่ียวกบั การพัฒนาเศรษฐกจิ ครัวเรือน 27 6.2 ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบายสำหรับโมเดลอาชพี ทางเลอื กและหว่ งโซอ่ ุปทาน 28 6.3 ขอ้ เสนอแนะเชิงโยบายสำหรบั การยกระดบั สมรรถนะเยาวชน 30 บรรณานกุ รม IX
X
สารบัญตาราง ตารางท่ี 1 รายได-้ รายจา่ ย และภาระหนสี้ ินในรอบปีของครัวเรือนเกษตรบนพื้นทส่ี ูง หนา้ ตารางท่ี 2 ทางเลือกระบบเกษตรในพ้นื ที่ลุ่มน้ำช้นั ที่ 3, 4, 5 ตารางที่ 3 ทางเลือกระบบเกษตรในพ้นื ท่ีลุ่มน้ำชั้นท่ี 1, 2 11 ตารางที่ 4 หว่ งโซอ่ ุปทานการผลิตเกษตรที่มีศักยภาพของจังหวดั นา่ น 13 ตารางที่ 5 ตัวแบบครัวเรือนเกษตร (Personas) 14 ตารางที่ 6 ระบบเกษตรทางเลือก มาตรการ และแนวทางชว่ ยเหลอื สำหรับตวั แบบ 16 ครัวเรือนที่ 2 และ 3 18 ตารางที่ 7 ประมาณการรายไดข้ องตัวแบบครวั เรอื นท่ี 2 ตารางท่ี 8 ประมาณการรายได้ของตัวแบบครวั เรือนที่ 3 18 ตารางที่ 9 ประมาณการค่าใชจ้ า่ ยสำหรบั แต่ละทางเลือกในการพฒั นา 20 22 24 XI
XII
สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ 1 เส้นช้นั นำ้ ฝนของจงั หวัดนา่ นในปี พ.ศ. 2556 3 ภาพที่ 2 พ้ืนที่เผาไหมบ้ ริเวณจังหวัดน่านช่วงวันท่ี 1 มกราคม – 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 4 ภาพท่ี 3 แผนที่ความยากจนของจังหวัดนา่ นในปี พ.ศ. 2560 5 XIII
XIV
โมเดลทางเลือกในการพัฒนาคนไทย 4.0 บนพ้นื ท่สี ูงในภาคเหนือตอนบน กว่าก่ึงศตวรรษท่ีผ่านมา ภาคส่วนต่างๆ ท้ังภาครัฐและเอกชน เช่น สถาบันวิจัยและพัฒนาพ้ืนท่ีสูง โครงการหลวง หน่วยงานทหาร บริษัทเอกชนและ/รัฐวิสาหกิจ เป็นต้น เข้าไปดำเนินโครงการต่างๆ เพ่ือให้ ความช่วยเหลือและพัฒนาพ้ืนที่สูงในภาคเหนือตอนบนอย่างต่อเน่ือง โดยมีเป้าหมายเพ่ือความม่ันคง และ พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนบนพ้ืนที่สูงให้มีความมั่นคงทางอาหารและยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น รวมท้ัง ความพยายามลดการบกุ รุกพื้นทปี่ ่าทถี่ ูกนำมาใช้เป็นพ้ืนท่ีทำกิน รวมถงึ ปัญหาหมอกควันจากการเผาไร่ เช่น ไรข่ ้าวโพด เปน็ ต้น ภาคสว่ นตา่ งๆ พยายามสรา้ งโอกาสทางอาชีพใหม้ ีความหลากหลายมากขึ้น ใหค้ วามรูแ้ ละ เทคโนโลยีที่ทำใหก้ ารผลติ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึน้ รวมทง้ั การสรา้ งโอกาสทางการตลาดใหก้ ับ ผลิตผลท่ีผลิต เพ่อื ให้เกิดการเปลย่ี นแปลงสถานภาพการผลติ และการประกอบอาชีพ รวมถึงการใช้ทดี่ ินของ คนบนพื้นท่ีสูงทีซ่ ง่ึ ส่วนใหญเ่ ป็นพ้ืนทที่ บั ซอ้ นระหว่างพืน้ ทท่ี ำกนิ กบั พื้นทปี่ า่ ปัจจุบันได้เกิดแนวโน้มสำคัญด้านนโยบายที่จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์พื้นท่ีสูงใน ภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะในพื้นท่ีจังหวัดน่านได้มีโครงการบริหารพื้นท่ีรูปแบบพิเศษเพ่ือการจัดสรร ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมทย่ี ่งั ยนื : พ้ืนทีจ่ ังหวัดน่าน ท่เี ป็นพืน้ ท่ีทดลองนวตั กรรมการบรหิ ารจัดการ ทด่ี นิ ในพื้นท่ีปา่ สงวนภายใต้คณะกรรมการดำเนนิ งานตามคำส่ังนายกรฐั มนตรีเพ่อื ขับเคล่ือนการแกไ้ ขปญั หาทีด่ ิน ป่าไม้ และการใช้ประโยชน์ที่ดนิ ในพนื้ ทีจ่ ังหวัดน่าน จัดสรรสทิ ธิท่ีทำกนิ ตาม พ.ร.บ ของคณะกรรมการนโยบาย ที่ดนิ แหง่ ชาติ พ.ศ. 2562 ให้ประชาชนสามารถอาศัยในพื้นทอ่ี นรุ กั ษอ์ ย่างถูกต้องตามกฎหมายและคนื สภาพปา่ ดังน้ันด้วยความพร้อมและความตอ้ งการของผูใ้ ชป้ ระโยชนผ์ ลการศกึ ษา รวมทง้ั เพอ่ื ให้บรรลุเป้าประสงค์ และเห็นผลลพั ธ์เชิงประจักษ์ โครงการวจิ ัยนี้จงึ เลือกพื้นทจี่ ังหวัดน่านเป็นพน้ื ท่ีศึกษาวจิ ัย โดยมตี ำบลนาไร่หลวง อำเภอสองแคว และตำบลเมืองจัง อำเภอภูเพียง เป็นกรณีศึกษา เน่ืองจากมีข้อมูลและความพร้อมของทั้ง ภาคราชการและชมุ ชนสูงกว่าพื้นทอี่ ื่นๆ ในจงั หวัดนา่ น รวมท้ังมีหน่วยงานที่สนใจนำผลผลิตของโครงการไปใช้ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานเกษตรและปศุสัตว์ในระดับอำเภอ เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์ การศกึ ษาพอสงั เขปดงั นี้ 1) ศกึ ษาปัจจยั เง่ือนไข และข้อจำกดั ด้านกายภาพ กฏหมาย/ระเบยี บ เศรษฐกิจครัวเรือนของการพฒั นา บนพืน้ ทส่ี ูง เพ่ือประกอบการประเมินอาชีพทางเลอื กท่ีมีศกั ยภาพและสอดคล้องกบั ภูมินเิ วศของพื้นที่ ชุมชน และครวั เรือน 2) ถอดบทเรียนการพัฒนาบนพน้ื ท่ีสูงเพือ่ คน้ หาเงอื่ นไขและข้อจำกดั ของการพัฒนาท่นี ำไปส่กู ารพัฒนา และสง่ เสรมิ อาชีพท่ใี ช้ทรพั ยากรอย่างมปี ระสทิ ธิภาพและร่วมกนั ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม 3) เสนอโมเดลธุรกจิ ชุมชนทีเ่ ป็นทางเลอื กที่สอดรับกับบริบทและความหลากหลายของพืน้ ท่ี 4) เสนอแนวทางยกระดับสมรรถนะเยาวชนบนพื้นท่ีสงู ให้เป็นเกษตรกร 4.0 ท่รี กั หวงแหนบ้านเกิด และมีจติ อาสาในการใหบ้ ริการสงั คม 5) เสนอนโยบายและแนวทางการพัฒนาคนบนพ้ืนท่ีสูงที่สอดประสานกับเป้าหมายคนไทย 4.0 บนพื้นฐานของความหลากหลายของบรบิ ทพ้ืนที่และสังคมบนพนื้ ทสี่ งู
ทง้ั น้ี โครงการวิจัยนี้ยังอยู่ในระดบั ของการออกแบบโมเดลอาชีพทางเลอื กในการพัฒนาคนบนพ้ืนท่ีสูง ในภาคเหนือตอนบนที่เป็นคนไทย 3.0 ท่ีเป็นการพัฒนาบนพ้ืนฐานสมรรถนะการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างเครอื ข่าย สร้างนวตั กรรมใหมๆ่ นำไปสูก่ ารผลติ ด้วยความรู้เหล่านัน้ ทำงานน้อยลงแต่ได้ผลผลิตมากขึ้น โดยมีวิธีการและขั้นตอนการดำเนินงานพอสรปุ สังเขป ดงั น้ี 1) สำรวจและทบทวนศักยภาพของพ้ืนท่ีในจังหวัดน่านและตำบลนำร่องทั้งสอง และบทเรียน ความสำเรจ็ และความล้มเหลวของโครงการพัฒนาที่ผา่ นมา โดยวิธสี ัมภาษณแ์ ละ Rapid appraisal 2) รวบรวมข้อมูลพืช ปศุสัตว์และประมงจากพื้นที่สูงในจังหวัดต่างๆ ของภาคเหนือตอนบน ท่สี ามารถผลติ ไดใ้ นจังหวดั น่าน กอ่ นพัฒนาเป็นฐานข้อมูลตน้ ทนุ -ผลตอบแทน จำนวน 82 รายการ ท่มี ีศักยภาพ ทางเศรษฐกจิ ที่สามารถผลิตในจังหวดั น่าน 3) พัฒนาโปรแกรมเชิงเส้น (Linear programming) จากฐานข้อมูลต้นทุน-ผลตอบแทนพืช ปศุสตั ว์และประมง จำนวน 82 รายการ เพื่อหาระบบการผลิตทางการเกษตรทใี่ ห้รายไดส้ ูงสุดภายใต้เง่ือนไข ของขนาดพื้นท่ี การลงทนุ และต้นทุนการดแู ลบำรงุ รักษา 4) สำรวจเศรษฐกิจครัวเรือนเกษตรในตำบลนำร่องรายครัวเรือนตัวอย่างในเชิงลึก เพ่ือนำข้อมูล มาจัดแบ่งกลุ่มและสร้างตัวแบบครัวเรือน (Personas) ที่เป็นตัวแทนกลุ่มครัวเรือนเป้าหมาย โดยพิจารณา จากคา่ กลางของตวั แปรและคณุ สมบัติหลกั ของครัวเรือนเกษตร 5) เลอื กตวั แบบครัวเรอื นนำร่องที่สามารถพัฒนาได้ในระยะแรก มาวเิ คราะห์หาทางเลือกของระบบ การผลิตทางการเกษตรที่เหมาะสมสำหรับครัวเรือนเกษตรในแต่ละกลุ่ม และสอดรับกับเงื่อนไขการใช้ ประโยชน์ที่ดนิ ตามข้อจำกัดทางดา้ นกฎหมาย/ระเบียบ 6) ประยกุ ตใ์ ช้ Design thinking ออกแบบโมเดลทางเลือกในการพัฒนาในระดบั โครงการ สำหรับแนวทางการยกระดับสมรรถนะเยาวชนบนพ้ืนที่สูง ดำเนินการโดยการออกแบบกิจกรรม เตรียมความพร้อมเกษตรกร 4.0 ผ่านโครงการ “เยาวชนน่านรกั บ้านเกิด” ท่ีเป็นการเช่ือมโยงกับฐานเรียนรู้ ในชุมชนท่ีแตกต่างกัน 4 รปู แบบ ได้แก่ บ้าน วดั โรงเรยี น และชุมชน (บวร + ชมุ ชน) กอ่ นนำไปดำเนนิ การกับ กลมุ่ เยาวชนในพ้นื ทต่ี า่ งๆ ของจงั หวัดนา่ น จากการศกึ ษาสามารถสรุปเปน็ ประเด็นสำคญั ได้ 6 ประเดน็ พอสงั เขป ดังน้ี 1. กายภาพของพื้นท่ี และกฏหมาย/ระเบียบทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั พนื้ ท่ีสูงในจังหวดั น่าน จังหวัดน่านมีพ้ืนที่ท่ีเป็นปา่ ตน้ น้ำสำคัญของไทย โดยเป็นแหลง่ น้ำท่าใหก้ ับแม่น้ำเจา้ พระยาประมาณ รอ้ ยละ 40 พื้นท่ีกว่าร้อยละ 84 เป็นท่ีสงู ท่ีมคี วามลาดชันเกิน 35% และมีพ้ืนทท่ี ีม่ ีดินทีเ่ หมาะสมต่อการเกษตร (ปานกลางและเล็กน้อย) เพียงร้อยละ 11.14 แบ่งเป็น เหมาะสมสำหรับการปลูกข้าว พืชไร่/ไม้ผล/ไม้ยืนต้น และพืชไร่และหญ้าเล้ยี งสัตว์ ร้อยละ 2.90 2.58 และ 5.66 ตามลำดับ ขณะเดียวกนั ดว้ ยปริมาณนำ้ ฝนที่ไม่สูง และส่วนใหญม่ ีปริมาณมากทางตอนเหนอื และตะวันออกของจงั หวัดท่เี ปน็ ภูเขาสงู (ภาพท่ี 1) ที่เป็นพน้ื ที่เผาไหม้สงู (ภาพท่ี 2) และมีครัวเรือนยากจนมากกว่าพ้ืนท่ีอ่ืนๆ (ภาพที่ 3) รวมท้ังเง่ือนไขของแรงงานท่ีมีจำกัด ต้นทุน การคมนาคมท่ีสูงเมื่อเทียบกบั จังหวดั อื่นในภาคเหนือ ส่งผลให้การพัฒนาการเกษตรในจังหวัดน่านจึงมตี ้นทุนสูง 2
และต้องดำเนนิ การปลูกพืชที่เหมาะสมต่อสภาพพนื้ ทแ่ี ละภูมิอากาศ โดยมีการจัดการดินและน้ำอย่างเป็นระบบ เพอ่ื ให้มีการใชท้ ด่ี นิ ท่ียงั่ ยนื และมคี วามม่ันคงทางอาหาร รวมทง้ั มีผลผลติ ทางการเกษตรทีม่ ีตลาดรบั ซอ้ื ภาพท่ี 1 เสน้ ชั้นน้ำฝนของจงั หวดั นา่ นในปี พ.ศ. 2556 ที่มา: กรมอตุ ุนยิ มวทิ ยา (2556) 3
ภาพที่ 2 พนื้ ท่เี ผาไหม้บรเิ วณจังหวดั นา่ นช่วงวันท่ี 1 มกราคม – 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ท่มี า: สำนกั งานพฒั นาเทคโนโลยอี วกาศและภูมสิ ารสนเทศ (องคก์ ารมหาชน):GISTDA (2562) 4
ภาพที่ 3 แผนที่ความยากจนของจงั หวดั นา่ นในปี พ.ศ. 2560 ทมี่ า: ขอ้ มูลจากสำนักงานสถิตแิ หง่ ชาติ (2562) 5
จาก พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 “.....อนุญาตให้ผู้ที่อยู่อาศัยในพ้ืนที่ป่าอนุรักษ์ดังกล่าวก่อนวันที่ 30 มิถุนายน 2541 สามารถ อยู่ต่อได้อีก 20 ปี หากเข้าโครงการอนุรักษ์ป่าไม้ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธ์ุพืช รวมทั้ง มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ทอี่ นุญาตให้ผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นท่ีป่าไม้ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ 1 และ 2 สามารถอยู่ตอ่ ได้ หากอยูม่ าก่อนวนั ที่ 30 มิถุนายน 2541” ซึง่ กรณีของจงั หวดั น่านมีพื้นท่ีจำนวน 7,170,045 ไร่ หากจำแนกตามพื้นท่ีอยู่อาศัยและพ้ืนที่ทำกินในเขตป่าสงวนฯ ตามคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1, 2, 3, 4 และ 5 สามารถจำแนกเป็นพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1, 2 จำนวน 9 แสนไร่ และพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 3, 4, 5 จำนวน 4.6 แสนไร่ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เป็นหน่วยงานหลกั ในการจัดทำนโยบายและแผนบริหาร จัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ รวมถึงระเบียบและกฎหมายต่างๆ สร้างการมีส่วนร่วมระหว่าง หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งโครงการบริหารพ้ืนท่ีรูปแบบพิเศษเพ่ือการจัดสรร ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อมที่ย่ังยืน: พ้ืนทีจ่ ังหวัดน่าน เป็นโครงการต้นแบบระดบั จงั หวัดท่ีนำนโยบาย และแผนบรหิ ารจดั การทด่ี นิ ในพน้ื ทป่ี า่ สงวนมาแกป้ ญั หาการบุกรุกพ้นื ที่ปา่ เพอ่ื ปลกู ข้าวโพดเลย้ี งสตั ว์ โดยการสรา้ ง อาชีพการเกษตรอย่างย่ังยนื ให้กับเกษตรกร โครงการดังกล่าวเป็นนวตั กรรมนำรอ่ งด้านการบรหิ ารจัดการภายใต้ คณะกรรมการดำเนนิ งานตามคำสั่งนายกรฐั มนตรี ท่ี 48/2561 ลงวนั ท่ี 14 กมุ ภาพันธ์ 2561 เพื่อขับเคลื่อนการ แก้ไขปัญหาที่ดิน ป่าไม้ และการใช้ประโยชน์ท่ีดินในพื้นท่ีจังหวัดน่าน จัดสรรสิทธิที่ทำกินตาม พ.ร.บ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแหง่ ชาติ พ.ศ. 2562 ที่ให้ประชาชนสามารถอาศัยในพ้ืนท่ีอนรุ ักษ์อยา่ งถูกต้องตาม กฎหมายและคนื สภาพปา่ จดั หาเงนิ ทุนสนับสนุนการปรบั เปลย่ี นระบบการผลติ ทางการเกษตรและการเลี้ยงชีพ ในช่วงระยะเวลาของการเปลี่ยนผ่านเป็นการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม องค์ความรู้ท่ีได้จากการแก้ไข ปัญหาน้ีจะเปน็ ตน้ แบบใหพ้ ืน้ ทอี่ น่ื ในประเทศไทยทม่ี บี รบิ ทและปญั หาใกลเ้ คียงกนั นำไปใชใ้ นการพฒั นาทย่ี งั่ ยนื อยา่ งไรก็ตาม แมว้ ่าการดำเนนิ งานของโครงการฯ ทผี่ ่านมาประสบความสำเร็จในระดับหน่งึ แตย่ ังคง มีปัญหาสำคัญคือ แนวทางการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมให้ชุมชนเกษตรอยู่รอด มีคุณภาพชีวิตท่ีดี เพื่อให้ คนอยรู่ ว่ มกับปา่ ได้ ซ่ึงการพัฒนาตามโครงการฯ ยงั ต้องการความตอ่ เนอ่ื งและขยายผลให้ครอบคลมุ พนื้ ทท่ี ัง้ จังหวัด สำหรับข้อมูลกายภาพของตำบลท่ีเป็นกรณีศึกษา พบว่า ตำบลเมืองจัง อำเภอภูเพียง มีพ้ืนท่ีที่มี ความลาดชันสูงกว่า 35% ที่ควรเป็นพื้นที่ป่าไม้ จำนวน 21,503 ไร่ (หรือร้อยละ 39.80 ของพื้นท่ีท้ังหมด) และเม่ือพิจารณาความเหมาะสมของดินเพื่อการเกษตร พบว่า ตำบลเมืองจัง มีดินต้ืนประมาณ 6,880 ไร่ (หรือร้อยละ 12.73) นอกน้ันเป็นดินลึก พื้นท่ีบริเวณท่ีราบริมแม่นำ้ น่านแนะนำให้ปลูกพืชผัก ข้าว ส่วนพ้ืนท่ี อื่นๆ แนะนำให้ปลูกข้าวไร่ ไม้ผล ไม้ยนื ต้น ไผ่ และหญ้าเลี้ยงสัตว์ โดยควรมีการอนุรักษ์ดินและน้ำเพือ่ ป้องกัน ความเสื่อมโทรมของดิน ส่วนตำบลนาไร่หลวง อำเภอสองแคว มีพ้ืนที่ที่มีความลาดชันสูงกว่า 35% จำนวน 65,644 ไร่ (หรือร้อยละ 55.98 ของพื้นท่ีทั้งหมด) พื้นที่ที่มีความลาดชันต่ำกว่า 35% ซึ่งมีจำนวน 51,640 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นดินลึกมีความเหมาะสมปานกลางต่อการเกษตร พืชที่แนะนำให้ปลูกคือ พืชผัก ข้าวไร่ ไม้ผล ไมย้ ืนต้น ไผ่ และหญา้ เลย้ี งสตั ว์ โดยมีระบบการอนุรักษด์ ินและน้ำ 6
2. บทเรียนจากโครงการพัฒนาพื้นทสี่ ูงที่ผา่ นมา จากการถอดบทเรียนทั้งทปี่ ระสบความสำเร็จและไมป่ ระสบความสำเรจ็ ของโครงการพฒั นาบนพ้นื ทส่ี งู ท่ผี ่านมา พบว่า โครงการเพื่อการพัฒนามหี ลากหลายวตั ถปุ ระสงค์และหลายระดบั หากเป็นโครงการในระดับท่ี ภาครัฐให้การสนับสนุน เช่น โครงการปิดทองหลังพระ โครงการภูฟา้ โครงการสร้างป่าสร้างอาชีพ โครงการหลวง เป็นต้น จะมีการบูรณาการการทำงานจากหลายภาคส่วน และเป็นโครงการขนาดใหญ่ ใช้เวลาดำเนินงาน ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน มีเปา้ หมายสำคัญ 2 ประการ คือ อนรุ ักษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม และ สร้างอาชพี ซ่งึ จุดแข็งของโครงการในระดบั ภาครฐั คอื เปน็ โครงการขนาดใหญ่ทม่ี ีงบประมาณรองรับอย่างตอ่ เนื่อง มคี วามพร้อมในเรื่องเคร่ืองมอื และอปุ กรณก์ ารพัฒนา มพี น้ื ท่ีทดลองหลายพ้ืนท่ี รวมทง้ั มกี ิจกรรมที่มีนักวชิ าการ จากสถาบันการศึกษาหลายแหง่ รว่ มเป็นเครือขา่ ยและฝงั ตัวทำงานรว่ มกับทหารในพ้ืนท่ี สำหรบั ลักษณะงานสรา้ ง อาชีพส่วนใหญ่เริ่มจากการสร้างรายได้ด้วยการสร้างศรัทธา มีการสนับสนุนโครงสร้างพ้ืนฐาน (เช่น น้ำและ การจัดการน้ำ/ถนน เป็นต้น) ให้ความสำคัญกับการผลิตเพื่อบริโภคและเน้นปากท้องเป็นลำดับแรก โดยใช้ ทรัพยากรในพ้นื ท่ีสร้างความม่นั คงทางอาหารและ/ความม่ันคงทางสงั คม เพอื่ ดงึ ดูดให้ชุมชนร่วมแรง และยอมรับ เทคโนโลยีมาใชเ้ พ่ือเพมิ่ ผลติ ภาพการผลิต สำหรบั การผลติ ทางการเกษตรเชิงพาณิชยจ์ ากพชื สายพันธุ์ใหมท่ ี่มี มลู ค่าสูงเปน็ ผลงานการวิจัยที่ผ่านการทดสอบในแปลงทดลองจากสถานที ดลองในพื้นที่ เพอื่ ทดสอบและพสิ ูจนว์ ่า มีศกั ยภาพในการสง่ เสรมิ แกเ่ กษตรกรและชมุ ชนได้จรงิ รวมถึงมีตลาดรองรบั ผลผลติ มีตราสินค้าท่ีขายได้เปน็ ท่ีรจู้ กั สามารถทำการตลาดทงั้ ภายในและนอกพื้นท่ี และสนบั สนุนผลิตภณั ฑ์ของชมุ ชนใหเ้ กิดมลู คา่ เพ่ิม ขณะที่จุดออ่ นสำคญั ของโครงการในระดบั ภาครัฐ ได้แก่ ความสำเร็จท่มี ่งุ เน้นสร้างความมน่ั คงทางอาหาร และ/ความม่นั คงทางสงั คมมากกวา่ สรา้ งรายได/้ พัฒนาอาชีพที่ยั่งยนื หากโครงการภาครัฐเหล่าน้ีถอนตัวจากพ้ืนที่ เกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเอง ไม่สามารถแข่งขันในเชิงธุรกิจ และไม่สามารถขยายผลไปสู่ การสร้างอาชีพในชุมชนพ้ืนท่ีอื่นๆ เนื่องจากยังขาดการจัดการในการรวมกลุ่มเกษตรกร/ชุมชน ท่ีทำให้เกิด การแบ่งงานตลอดห่วงโซ่อุปทานจนสร้างตลาดที่ชัดเจน สร้างเครือข่ายการตลาดอย่างมืออาชพี ท่ีทำให้เกิด ธรุ กจิ ชมุ ชนที่แข่งขันได้ สำหรับโครงการในระดับชมุ ชน สว่ นใหญ่เปน็ โครงการทีเ่ กดิ จากการรวมกลุ่มของชุมชนโดยมีแกนนำ ชมุ ชน วัด โรงเรียน องคก์ รท้องถ่นิ และหน่วยงานระดับท้องถ่ินรว่ มกิจกรรม/ให้การสนบั สนุน มีเป้าหมายในการ สร้างรายได้เพื่อให้คนในชมุ ชนสามารถยึดเป็นอาชพี กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการทำงานโดยท้องถิ่น/ชุมชน มสี ่วนร่วม มักต้องมีผู้นำที่มีวสิ ัยทัศน์ มีความสามารถในการบริหารจดั การ โครงการในระดับชุมชนมีจดุ แข็ง ทส่ี ำคญั ไดแ้ ก่ การเปน็ โครงการขนาดเล็กท่ีมคี วามคลอ่ งตัว การทำความเข้าใจและสรา้ งการมสี ว่ นรว่ มภายในชมุ ชน เพื่อเฟ้นหาเกษตรกร ผู้ประกอบการท่ีสมัครใจ มีความพร้อมในการลงทุน มีความเป็นเจ้าของ ไม่เพียงเป็นแค่ ผู้รับบริการ/ปจั จยั การผลติ ฟรี แมเ้ ปน็ เกษตรกรรายย่อยแตม่ เี ปา้ หมายรว่ มกันก็สามารถพฒั นาเป็นธรุ กิจชุมชน ท่ีประสบผลสำเร็จได้ แต่จุดอ่อนของโครงการในระดับชุมชนได้แก่ การมีงบประมาณไม่เพียงพอในการจัดหา สาธารณูปโภค/ลงทุนข้ันพื้นฐานท่ีจำเป็นต่อการผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะอยา่ งย่ิง การจัดการแหล่งน้ำ เพ่ือการเกษตร การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในพืชท่ีมีศักยภาพและมีมูลค่าสูง เกษตรกรส่วนใหญ่มีปัญหา 7
เมื่อต้องการเงินลงทุนสูง และยังขาดความเข้มแข็งในส่วนกลางน้ำและปลายน้ำด้านการตลาดและการแปรรูป เพ่อื เพม่ิ มูลคา่ ทเ่ี ป็นมอื อาชพี ตอ้ งการองค์ความรู้เพ่อื การบรหิ ารจัดการให้เป็นธุรกิจชุมชนท่ีแข่งขันได้ จากการถอดบทเรียนโครงการพัฒนาบนพ้ืนที่สูงท่ีผ่านมาของท้ังในระดับภาครัฐและระดับชุมชน พอสรุปไดว้ ่า ปัจจัยแหง่ ความสำเร็จท่ีสำคัญคือ ต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทงั้ ทางกายภาพ โดยเฉพาะ การจดั การน้ำและการตลาดอยา่ งตอ่ เน่อื งแล้ว ยงั ตอ้ งมที นุ ให้แกค่ รัวเรอื นเพ่ือเปน็ แรงจูงใจ และตอ้ งมีกิจกรรม การจดั การห่วงโซ่อุปทานอย่างครบวงจรในพน้ื ท่ี สำหรับความลม้ เหลวทเ่ี กดิ ขึน้ เกดิ จากความพยายามเข้าไปพฒั นา ตามภารกจิ เดยี วหรือส่งเสริมในระดับครัวเรอื นโดยตรง โดยไม่มีการลงทุนในโครงสร้างพ้ืนฐานท่ีสำคัญอย่าง การจัดการน้ำ การพัฒนาห่วงโซ่การผลิตและการตลาด 3. สภาพเศรษฐกจิ และหนีส้ นิ ของครัวเรือนเกษตรบนพืน้ ที่สูง จากข้อมูลการสมั ภาษณเ์ ชิงลึกเก่ยี วกับสภาพเศรษฐกิจและหน้สี นิ ของครัวเรอื นเกษตรตวั อย่างในพนื้ ท่ีสงู พบวา่ ครวั เรือนเกษตรส่วนใหญ่มจี ำนวนแรงงานน้อย (ประมาณ 2 คน) และกำลงั เข้าสวู่ ยั ผูส้ งู อายุ (อายุ 50 ปี ขนึ้ ไป) ซึง่ เป็นข้อจำกัดสำคัญของการทำการเกษตรที่ตอ้ งใช้ (กำลัง) แรงงาน และ/ใชพ้ ้นื ทีข่ นาดใหญ่ โดยเฉพาะ พืชไรอ่ ย่างข้าวโพดท่ีเป็นพืชเศรษฐกิจเดมิ และยงั คงมีความสำคญั กับบางครวั เรอื น ครวั เรือนเกษตรส่วนใหญ่มี พ้ืนท่ีการเกษตรในเขตพื้นท่ีป่าและไม่มีเอกสารสิทธิ์ (มากกว่าร้อยละ 80 อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นท่ี 1 และ 2) โดยมีพืน้ ท่ีทำกินประมาณครัวเรือนละ 3 แปลง ขนาดรวมกันประมาณ 15-30 ไร่ ปลกู พืช 3-5 ชนิด เพื่อให้มี รายได้หลายชว่ งในรอบปี (ลดความเสย่ี งจากการพง่ึ พารายได้เพียงครั้งเดียวในรอบปี) อย่างไรกต็ าม พืชไร่ เช่น ขา้ วโพด มันสำปะหลัง ขา้ วไร่ (เพอื่ บรโิ ภค) เป็นต้น และไม้ผล เช่น มะมว่ ง ลน้ิ จี่ ลำไย เปน็ ต้น ยังคงเป็นพืชที่ ครัวเรือนเกษตรนิยมปลกู โดยพงึ่ พาน้ำฝนและแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นสำคัญ ดังนน้ั ในช่วงฤดแู ล้งเกษตรกรจึงมัก เผชิญกบั ปัญหาการขาดน้ำเปน็ ประจำทกุ ปี ครัวเรือนเกษตรจะมีรายได้จากพืชไร่ในช่วงปลายปีถึงต้นปีถัดไป ส่วนกลางปีจะมีรายได้จากไม้ผล (ปัจจุบันไม้ผลโดยเฉพาะล้ินจี่เร่ิมมีอายุมาก และเกษตรกรไม่มีกำลังแรงท่ีจะทำพืชไร่เนื่องจากเริ่มเข้าสู่วัย ผู้สูงอายุ เขา้ ข่ายท่ีว่า “ไมผ้ ลแก่ ไม่มีแรงทำพืชไร่”) ขณะทก่ี ารรับจา้ งหรือการประกอบอาชีพนอกภาคเกษตร จะเป็นตัวเสริมสภาพคล่องให้กับครัวเรือนในช่วงท่ีรอรายได้จากภาคการเกษตร ท้ังนี้เพ่ือให้มั่นใจว่ามีข้าว ไว้บริโภคท้ังปี (ความม่ันคงทางอาหาร) ครัวเรือนส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธ์ุ) จะปลูกข้าวไว้บริโภค ประมาณ 30-50 กระสอบ (ส่วนใหญ่หากเป็นกลุ่มชาติพันธ์ุจะปลูกข้าวไร่ ส่วนพ้ืนราบจะปลูกข้าวนา) และมปี ศุ สัตว์โดยเฉพาะหมูและไกส่ ำหรบั ใช้ในงานเทศกาลประเพณตี ่างๆ เช่น งานปีใหม่ งานแต่งงาน งานศพ เป็นต้น นอกจากน้ี บางครัวเรือนพ่ึงพารายได้จากการผลิตทางการเกษตรท่หี ลากหลายมากข้ึน แทนการพึ่งพาจากพืชไร่ อย่างข้าวโพดและไม้ผลอย่างล้ินจ่ี ลำไย มะม่วง เพียงอย่าเดียว โดยเกษตรกรส่วนหน่ึงหันไปปลูกผัก (ปลอดสารพิษ) ผลิตพืชผักโรงเรือน (เช่น พริกหวาน มะเขือเทศ) มันสำปะหลัง ยางพารา กาแฟ มะนาว ฯลฯ ปศุสัตว์ และประมง เช่น โค หมู (ดำ) ไก่ (พ้ืนเมือง) แพะ ปลาดุก กบ ฯลฯ รวมถึงอาชีพนอกภาคเกษตร เช่น การปักผ้า ขับรถรบั ส่ง ออกไปทำงานต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งทำให้ครัวเรือนเกษตรมีรายได้ (หรือมีเงินสด) ไวใ้ ชจ้ ่ายตลอดทัง้ ปี 8
การผลิตทางการเกษตรของเกษตรกรส่วนให ญ่พ่ึงพาทุนจากการ กู้เงินที่ มีการกู้เป็นประจำทุกปี (กู้ในช่วงต้นฤดูการผลิตและชำระหักคืนเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต) จากนโยบายของภาครัฐในปี พ.ศ. 2547 ทำให้ เกษตรกรกจู้ ากพอ่ เล้ียงน้อยลง (เกือบไมม่ แี ล้ว) และหันไปกู้จากธนาคารเพอ่ื การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกองทนุ หมบู่ า้ นมากขึน้ ส่วนใหญม่ ยี อดเงินกู้มากกว่าต้นทนุ การผลติ ท้ังนเี้ กษตรกรจะจดั สรรเงินกู้ บางสว่ นไปใช้นอกภาคการเกษตรซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้ เชน่ ใช้จา่ ยเพ่อื การบริโภค ใช้จ่ายเกย่ี วกับบุตรหลาน ซ้อื ยานพาหนะ เปน็ ต้น โดยท่ัวไปเกษตรกรจะใช้เงนิ กูเ้ พือ่ การเกษตรเพยี งครงึ่ หน่งึ ทเี่ หลือจะถูกใชจ้ ่ายในครวั เรือน รวมถึงการใช้จ่ายท่ีเกี่ยวข้องกับบุตรหลาน นอกจากน้ี บางรายนำเงินกู้ทั้งหมดมาซื้อสินทรัพย์โดยเฉพาะ ยานพาหนะ และ/ใช้สร้างหรือปรับปรุงที่อยู่อาศัย ดั้งนั้น หากรายรับจากการผลิตทางการเกษตรไม่เป็นไป ตามท่ีคาดหมาย เช่น เกิดภัยพิบัติ (น้ำท่วม พายุ ภัยแล้ง) ราคาผลผลิตตกต่ำ เป็นต้น ก็จะนำมาสู่จุดเร่ิมต้น ของการสะสมเพ่ิมพูนหนีข้ องครวั เรือนเกษตร แม้ว่าเกษตรกรจะทำการผลิตทางการเกษตรมากกว่า 1 ชนิด เพ่ือให้มีรายได้ทั้งปี แต่ยังคงมีรายได้ เปน็ เงินก้อนมใิ ช่เปน็ รายเดอื นตามการใช้จา่ ย (ส่วนใหญ่จะมแี บบแผนการผลติ ทางการเกษตรในรอบปีที่มีกระแส รายได้คล้ายคลึงกัน คือ รายได้ปลายปี/ต้นปีจากพืชไร่ รายไดก้ ลางปีจากไม้ผล ส่วนข้าวและปศุสัตว์ไว้บริโภค) ทำใหเ้ กษตรกรเผชญิ กับการขาดสภาพคลอ่ งในบางช่วงของปี และบางครัวเรอื นมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการใช้จา่ ย ในรอบปี เน่ืองจาก ครัวเรือนเกษตรมีการใชจ้ ่ายที่จำเปน็ เพิ่มข้ึนมากกว่าในอดีต โดยเฉพาะคา่ ใช้จ่ายเก่ียวกับ ยานพาหนะ (ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าบำรุงรักษา) ค่าใช้จ่ายเกีย่ วกับการสื่อสาร (ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต) คา่ ใชจ้ ่ายเก่ียวกบั บตุ รหลาน ดงั น้นั ครัวเรือนเกษตรจึงหารายได้เพ่ือเสริมสภาพคล่องดว้ ยการประกอบอาชีพ นอกภาคเกษตรโดยใช้เวลาท่ีเหลือจากการทำการเกษตร เช่น การรับจ้างนอกฤดูการผลิตและ/เก็บเก่ียว การคา้ ขายเล็กๆ นอ้ ยๆ เป็นต้น สำหรับบางครวั เรือนมรี ายได้เสรมิ ทเ่ี ปน็ เงินโอนจากสมาชิกในครัวเรือน ซ่งึ ถอื ไดว้ ่า เป็นหนงึ่ ในรายไดห้ ลกั และสำคญั สำหรับครัวเรือน ขณะทเ่ี งนิ โอนจากภาครัฐในรูปแบบต่างๆ เช่น บตั รสวสั ดกิ าร แห่งรัฐ บัตรผู้สูงอายุ ฯลฯ เป็นตัวช่วยเสริมสภาพคล่องสำหรับจับจ่ายซ้ือของใช้ (อุปโภค) ในแต่ละเดือนของ ครัวเรอื นเกษตร (ดรู ายละเอียดรายไดใ้ นตารางท่ี 1) รายจ่ายด้านการบริโภคยังคงเป็นรายจ่ายหลักของครัวเรือนเกษตร และแปรผันตรงกับการเพ่ิมข้ึนของ รายได้ของครัวเรือนเกษตรตามสมมติฐานการบริโภคแบบรายได้ถาวรในวงจรชีวิต (Life cycle permanent income hypothesis) กล่าวคือ ครัวเรือนเกษตรใช้จ่ายเพื่อการบริโภคตามระดับรายได้ที่เพ่ิมขึ้น โดยมีระดับ รายจ่ายด้านการบริโภคในสัดส่วนประมาณร้อยละ 30-45 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของครัวเรือนเกษตร (ดรู ายละเอียดรายจ่ายในตารางที่ 1) ส่วนคา่ ใช้จ่ายเกย่ี วกบั การคมนาคมสือ่ สารและบตุ รหลาน กลายมาเป็นหนึง่ ใน ค่าใช้จ่ายจำเป็นของครัวเรอื น (มีสัดส่วนรวมกันสูงถึงรอ้ ยละ 30-50 ของค่าใชจ้ ่ายท้ังหมดของครัวเรือนเกษตร) โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายเก่ียวกับบุตรหลานจะเพิ่มขึ้นเมื่อบุตรหลานมีการศึกษาในระดับที่สูงข้ึน (หากบุตรหลาน เรียนระดับอุดมศึกษา เกษตรกรจะมีรายจ่ายมากกว่า 1 แสนบาท/ปี) ขณะท่ีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการคมนาคม สว่ นหนึง่ มาจากพฤตกิ รรมการใชช้ วี ิตท่เี ปลยี่ นไปของเกษตรกร โดยเกษตรกรนิยมเดนิ ทางไปพกั ผอ่ นหยอ่ นใจและ ซ้ือของใช้ในตัวเมือง (น่าน) เกือบทุกเดือน ซึ่งทำให้มีต้นทุนค่าคมนาคมสูงขึ้น ขณะท่ีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุรา 9
ไม่ได้สูงกว่าการแบ่งปันเงินไปออมในลักษณะของกองทุน และงานสังคม/ทำบุญ โดยคนเมืองจะมีค่าใช้จ่าย เกี่ยวกบั สุรามากกว่าชนบท ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่า ชาวบ้าน (บางราย) มีทัศนคติเกี่ยวกับหนเ้ี ปล่ียนไปจากในอดีต โดยหนม้ี ใิ ช่ภาระแต่เปน็ เงนิ ยมื เพ่อื การลงทนุ ทัง้ ในภาคการเกษตรและทรพั ย์สนิ (เช่น ยานพาหนะ สรา้ ง/ปรับปรุง ที่พักอาศัย) และเป็นท่ีมาของรายได้สำหรับเสริมสภาพคล่องเม่ือรายได้หลักไม่เพียงพอและ/ได้รับไม่ทัน ในชว่ งเวลาท่มี รี ายจา่ ยเขา้ ในแต่ละเดอื น เช่น การใช้จ่ายเกยี่ วกบั บตุ รหลาน การบริโภคประจำเดอื น การผ่อนชำระ สิ่งอำนวยความสะดวกในครัวเรือน เป็นต้น ครัวเรือนเกษตรส่วนใหญ่เป็นหนี้ ธ.ก.ส สะสมประมาณ 100,000-200,000 บาท/ครัวเรือน/ปี และกองทนุ หม่บู ้านไม่เกิน 50,000 บาท/ครวั เรือน/ปี คร่งึ หน่ึงของเงินกู้ ถูกใช้จ่ายทางการเกษตร (ยกเวน้ กรณีซ้ือและ/ลงทุนในสินทรัพย์ เช่น สรา้ งและ/ปรับปรุงท่ีอยู่อาศยั รถยนต์ และ/มอเตอร์ไชค์ ที่มกี ารนำเงินกปู้ ระมาณร้อยละ 80-100 มาใช้ในการลงทุนดงั กล่าว) สำหรบั การใช้จ่ายภายใน ครวั เรือนและ/บตุ รหลาน จะถกู จดั สรรจากยอดเงนิ กูป้ ระมาณร้อยละ 20-30 นอกจากแหล่งเงินกู้ทั้งสองแล้ว ในทุกหมู่บ้านมีแหล่งเงินกู้เพิ่มข้ึน โดยเป็นลกั ษณะของกองทุนต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการออมร่วมกันของ ชาวบ้านในลักษณะของการเป็นสมาชิก แล้วนำเงนิ ดังกล่าวมาปลอ่ ยกู้ โดยให้สมาชกิ ชำระดอกเบ้ียตามที่กำหนด ซึ่งกลายมาเป็นเงินปันผลประจำปีให้กับสมาชิก (คล้ายกับระบบแชร์) ทั้งน้ีเป็นท่ีน่าสังเกตว่า ครัวเรือนที่ปลูก ข้าวโพดและไม้ผล (โดยเฉพาะล้ินจ)่ี จะมรี ะดับหนสี้ ินสงู กวา่ การผลิตทางการเกษตรอืน่ ๆ ส่วนครัวเรือนท่มี หี นีส้ ูง ส่วนใหญ่เป็นการกู้ยืมระยะยาวเพื่อใช้ลงทุนในทรัพย์สิน เช่น สร้างและ/ต่อเติม/ปรับปรุง/ตกแต่งที่พักอาศัย ซือ้ ทีด่ ิน ซ้อื รถยนต์ เป็นต้น ซึ่งจะมีท้งั ท่กี ูจ้ ากธนาคารออมสนิ และ/ธนาคารเพือ่ การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปน็ สำคญั มีบางรายทก่ี ู้ยมื มาเพ่ือลงทุนในอาชีพ เชน่ เปิดร้านขายของ ซอื้ รถบรรทุกเพือ่ รบั จ้างขนสง่ สินค้าทางการเกษตร เป็นต้น ท้ังน้ี มีเพียงเล็กน้อยที่มูลค่าหนี้สินที่สูงเกิดจากการสะสมเพิ่มพูนของหนี้สิน จากการผลิตทางการเกษตรท่ีอาจเป็นผลมาจากราคาผลผลติ ต่ำกว่าท่ีคาดหมาย และ/การเผชิญกับภัยพิบัติ อย่างนำ้ ทว่ ม ภยั แล้ง การระบาดของโรคพชื และ/แมลง เป็นต้น สำหรบั เหตผุ ลความจำเป็นในการกอ่ หนี้ นอกจากปญั หาการมรี ายไดไ้ ม่เพยี งพอตอ่ คา่ ใชจ้ ่าย ภาระในเรื่อง ของบตุ รหลานเป็นหน่ึงในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ครัวเรือนเกษตรจำเป็นต้องก่อหน้ี (นอกจากสร้างหนี้เพ่ือตัวเองยัง สรา้ งหนีเ้ พ่อื บตุ รหลาน) บางครัวเรือนกเู้ งินมาเพ่ือสำรองใหก้ บั บตุ รหลาน (ค่าใชจ้ า่ ยรายเดอื น) โดยเฉพาะเม่อื มี การเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ครัวเรือนเกษตรส่วนใหญ่มีหน้ีสินจากการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค ประจำเดือน เนื่องจากมีรายได้ตามฤดูกาลผลิตที่ถูกหักชำระหน้ีสินที่กู้และ/หยิบยืมมาใช้ลงทุนทางการเกษตร จึงเหลือเป็นเงินก้อนท่ีต้องบริหารจัดให้สามารถใชไ้ ด้ตลอดทง้ั ปีจนกว่าจะมีรายได้จากการผลิตทางการเกษตร ในรอบใหม่ หากเดือนไหนไม่พอใช้ก็จะหยิบยืมคนใกล้ชิดหรือพยายามหางานนอกภาคเกษตรทำ เช่น รับจ้าง ปักผา้ ค้าขาย เป็นตน้ แตส่ ำหรับครัวเรือนท่ขี ยนั มกั จะไมม่ ีปญั หาเรอื่ งรายไดไ้ มเ่ พยี งพอต่อรายจ่าย ท้ังนเี้ ปน็ ท่ีน่าสังเกตว่า ภาระหนส้ี นิ ของหลายครวั เรือน ส่วนหนง่ึ มีสาเหตุมาจากการใชจ้ ่ายในการบริโภค ตามระดับรายได้ท่ีเพ่ิมขน้ึ และรายไดท้ ่ีคาดหมายว่าจะไดร้ บั ในอนาคต กลา่ วคือ เมอ่ื มรี ายได้เพม่ิ ขึ้นจากการเพม่ิ ขนึ้ ของราคาสินค้าเกษตร กจ็ ะใช้จ่ายเพิ่มข้ึน เช่น ใชจ้ ่ายเพ่ือการบริโภคเพ่ิมข้ึน ซอ้ื สง่ิ อำนวยความสะดวกภายใน 10
ครวั เรอื น เปน็ ตน้ โดยไม่มีการเก็บออม หรือเม่อื เห็นว่าราคาพืชผลมรี าคาดกี ็มีการลงทุนมากข้ึน ซง่ึ ในท่ีสดุ แล้ว ในชว่ งเก็บเกีย่ วราคาผลผลิตกลับตกตำ่ เนื่องจากมีการผลิตกันมาก เปน็ ต้น ตารางที่ 1 รายได-้ รายจ่าย และภาระหนี้สนิ ในรอบปีของครวั เรือนเกษตรบนพ้ืนทสี่ งู รายการ พ้นื ทช่ี นบท พนื้ ท่ใี กล้เมอื ง (ตำบลนาไร่หลวง) (ตำบลเมืองจงั ) 1. ที่มาของรายไดใ้ นรอบปี - ภาคการเกษตร (หกั ต้นทุนการผลติ ) 68,000 65,000 • ภาคการเกษตร (ไมห่ ักต้นทนุ การผลิต) 90,000 95,000 - นอกภาคการเกษตร 46,000 69,000 • เงินโอนจากสมาชิกในครวั เรอื น 25,000 36,000 • รับจา้ ง 14,000 24,000 • สวสั ดกิ ารของภาครฐั 7,000 9,000 114,000 134,000 รายได้รวมต่อปี (หักตน้ ทุนทางการเกษตร) 2. ภาระรายจา่ ยในรอบปี 48,000 55,000 28,000 17,000 - การบริโภค 5,000 3,000 - การคมนาคมสื่อสาร (คา่ น้ำมนั เช้อื เพลิงและโทรศพั ท)์ 6,500 4,400 - ทำบญุ และงานสังคม 4,500 6,100 - กองทนุ (โดยเฉพาะ ฌาปณกจิ ) 23,000 51,000 - สรุ า/บุหร่ี (ส่วนใหญ่เปน็ สุรา) - เกี่ยวกบั บุตรหลาน (เฉพาะท่มี บี ุตรหลาน) รายจา่ ยรวมตอ่ ปี (ไม่รวมบุตรหลาน) 154,000 145,000 3. ยอดเงนิ กู้สำหรบั การผลิตทางการเกษตรในรอบปี 54,000 86,000 4. ภาระหนี้สนิ สะสม 130,000 170,000 - ธนาคารเพ่อื การเกษตรและสหกรณก์ ารเกษตร (ธ.ก.ส.) • ยอดเงินท่ีนิยมกู้ 100,000 100,000 • ภาระหนี้สินสะสม 100,000 130,000 - กองทุนหมบู่ ้าน 40,000 40,000 ที่มา: ประมวลและสงั เคราะห์จากข้อมูลการสัมภาษณ์ครัวเรือนตัวอย่างในตำบลนาไร่หลวงและตำบลเมืองจัง จำนวน 101 ครัวเรอื น ในเชิงลึก ร่วมกบั การประยุกตใ์ ช้วิธี Bootstrapped confidence intervals for a mean ณ ระดับความเชอ่ื มัน่ ทร่ี อ้ ยละ 95 จากการสำรวจสภาพเศรษฐกิจและหน้ีสินของครัวเรือนเกษตรในเชิงลึกพอสรุปได้ว่า รายได้ของ ครัวเรือนเกษตรบนพ้ืนท่ีสูง (โดยเฉพาะรายได้นอกภาคเกษตร) เกษตรกรมีภาระหน้ีสินสะสมสูงประมาณ สองหรือสามเท่าของรายได้ต่อปี (ประมาณ 100,000 บาทต่อครัวเรือน) ธ.ก.ส. เป็นแหล่งเงินกู้สำคัญของ ครัวเรือนเกษตร ขณะท่ีกองทนุ หมูบ่ า้ นเป็นแหลง่ เงินกู้ท่ีเป็นข้อตอ่ สำคญั ให้ครวั เรอื นเกษตรสามารถชำระหน้แี ละ เร่มิ การกู้ใหม่ในฤดูการผลิตถดั ไป หนส้ี ินรายการใหญ่จะเปน็ หนีส้ ินท่นี ำมาลงทุนในสนิ ทรัพย์ เช่น ซ้ือท่ีดิน สรา้ ง และ/ปรับปรุงท่ีอยู่อาศัย ผ่อนยานพาหนะ เป็นต้น (ของมันต้องมี) หนี้สินการเกษตรที่กู้มาจาก ธ.ก.ส. ประมาณคร่ึงหนึง่ ถูกใชใ้ นการผลติ ทางการเกษตรจริง ท้งั น้ีเปน็ ท่นี า่ สังเกตว่า รายจา่ ยดา้ นคมนาคมและการสอ่ื สาร 11
เปน็ รายจ่ายจำเปน็ ทม่ี สี ดั ส่วนคอ่ นขา้ งสงู ดงั น้ันระบบเกษตรทีเ่ ปน็ ตัวเลอื กควรสามารถสร้างรายไดไ้ มน่ ้อยกว่า 100,000 บาท/ปี และยงั ตอ้ งมีรายได้เหลือสำหรบั นำไปชำระคืนหนีส้ นิ สะสมท่มี กี วา่ 100,000 บาท/ครัวเรือน ขณะเดยี วกันควรหาแหล่งเงินกูส้ ำหรบั ใช้ในการลงทนุ ใหก้ ับเกษตรกรในช่วงแรกของการปรับเปลี่ยนอาชีพ 4. โมเดลทางเลือกในการพัฒนาพ้ืนทส่ี ูงในตำบลนำร่อง หวั ข้อน้ีพยายามตอบคำถามสำคญั 4 คำถาม ได้แก่ 1) ระบบเกษตร (พืช ปศุสัตว์ และประมง) อะไรท่ี จะเป็นตัวสร้างรายได้ให้กบั ครัวเรือนเกษตรไดด้ ีกว่าที่เป็นอยู่ในปจั จุบัน 2) ระบบเกษตรที่เป็นตัวเลือกสำคัญ และมศี ักยภาพมีความเข้มแขง็ ของห่วงโซ่อุปทานอยา่ งไรบา้ ง 3) ภายใต้เง่อื นไขเชิงกายภาพและเศรษฐกจิ ของ ครวั เรอื นเกษตร (เป้าหมาย) ระบบเกษตรอะไรเปน็ ตัวเลอื กในการสร้างรายไดท้ ด่ี ีที่สุดสำหรับครัวเรอื นเกษตร และ 4) โมเดลทางเลือกในการพัฒนาพ้ืนท่ีสูงในระโครงการมีอะไรบ้าง โดยมีรายละเอียดในแต่ละประเด็น พอสงั เขปดงั น้ี 4.1 ระบบเกษตรทีจ่ ะเป็นตัวสรา้ งรายได้ให้กบั ครัวเรือนเกษตรทีด่ กี ว่าปัจจุบนั จากการประยุกต์ใช้โปรแกรมเชิงเส้น (Linear programming) วิเคราะห์ข้อมูลต้นทุน-ผลตอบแทน ของการผลติ พชื ปศสุ ตั ว์ และประมง จำนวน 82 รายการ ค้นหาทางเลือกระบบเกษตรที่จะทำให้ครวั เรือนเกษตร มีรายได้สุทธิที่สอดคล้องกับภาระค่าใช้จ่ายต่อปีใน 3 ระดับ คือ 100,000 150,000 และ 200,000 บาท/ปี และมีการใชพ้ ื้นที่นอ้ ยกว่าการปลูกข้าวโพด โดยมีข้อตกลงเบื้องต้นในการวิเคราะห์ท่ีสำคัญ คือ 1) ในต้นทุน การผลิตได้รวมค่าจา้ งแรงงานและค่าเสียโอกาสของการใช้ท่ีดินไวแ้ ลว้ 2) สำหรับพืชและ/ปศุสัตว์ที่มิได้ให้ผล ผลติ ภายใน 1 ปี ไดร้ วมคา่ ดแู ลก่อนการให้ผลผลิตไวใ้ นเงินลงทนุ ทค่ี ดิ เปน็ มลู ค่าปจั จบุ ัน และ 3) ในการวเิ คราะห์ ไม่ได้รวมเงื่อนไขทางกายภาพ และได้นำไปขอความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและชุมชนแล้ว โดยสามารถสรุปผล การวิเคราะหไ์ ดพ้ อสังเขปดงั นี้ (ดรู ายละเอยี ดในตารางที่ 2 และ 3) กรณพี นื้ ท่ีลุ่มนำ้ ชัน้ ที่ 3, 4, 5 (ดรู ายละเอยี ดในตารางท่ี 2) ก. กรณีพืชเชิงเด่ียวที่เก็บเกี่ยวภายใน 1 ปี พบว่า ข้าวโพดเป็นตัวเลือกที่มีเหตุผลของชาวบ้าน เนือ่ งจากมกี ารลงทุนต่ำ แต่ถ้าต้องการรายได้สูงจะใช้พ้นื ที่มาก และนิยมใช้วิธีการเผาหลังเกบ็ เกี่ยว ซ่งึ ก่อให้เกิด ปญั หาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หากจะออกจากขา้ วโพด พืชที่เสนอตามลำดับเงินลงทุนและพ้ืนที่ พบว่า กัญชง (ผลิตเส้นใย) เป็นพืชทางเลือกท่ีให้ผลตอบแทนสูงแต่มีตลาดจำกัด เช่นเดียวกับหม่อนที่เป็นพืชทางเลือก ในลำดับรองลงมา ทั้งน้ีเนื่องจากเป็นพืชใหม่จึงต้องทำการตลาด (ไม่มีตลาดในท้องถิ่น) รวมถึงการศึกษา ห่วงโซ่อปุ ทาน (Supply chain) สำหรบั กลว้ ยน้ำว้าเป็นพชื ทางเลอื กที่มีความพรอ้ มมากท่ีสุด จาก 3 ลำดับพืช ทีม่ ีศกั ยภาพในการทดแทนข้าวโพด และยังมีหว่ งโซอ่ ปุ ทานท่สี ามารถต่อยอดไดใ้ นจงั หวัดนา่ น โดยการปลกู พืช ทั้ง 3 รายการ จะใชพ้ ้ืนทน่ี ้อยกวา่ ขา้ วโพดไม่น้อยกว่าร้อยละ 26 เพ่ือใหไ้ ด้รายไดร้ ะดับเดียวกบั ข้าวโพด ข. กรณีไม้ผลและ/ไม้ยืนต้น พบว่า โกโก้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในกรณีนี้ รองลงมาได้แก่ มะม่วง นำ้ ดอกไม้ และกาแฟอาราบิก้า สว่ นมะขามเปร้ียวและไผ่ซางเป็นสองตัวเลือกสุดท้ายใน 5 อันดับแรก ท้ังน้ี ในการผลิตไมผ้ ลและ/ไมย้ ืนต้นตอ้ งใชเ้ วลา 3 ปี ถงึ จะได้ผลผลติ และตอ้ งการการลงทุนท่สี ูงขึ้น ยกเวน้ ยางพารา ท่ีต้องใชเ้ วลาถึง 7 ปี ถึงจะกรีดได้ และสามารถกรีดได้ประมาณ 13 ปี ดังนั้น ในช่วงก่อนที่ไม้ผลและ/ไม้ยืนต้น 12
จะใหผ้ ลผลิตจำเป็นต้องมอี าชพี เสรมิ ให้กับชาวบ้าน หรืออาจอนุโลมให้ชาวบ้านสามารถปลูกข้าวโพดและ/พืชไร่ ที่เหมาะสมโดยไม่เผาไร่ควบคู่กับการปลูกไม้ผลและ/ไม้ยืนต้น หรอื ส่งเสริมการผลิตพืชผักปลอดภัยโดยเน้น ตลาดในระดบั ชุมชน อำเภอ จังหวดั รวมถงึ ตลาดขาจร ควบคู่ไปด้วยในระหวา่ งทร่ี อผลผลติ จากไม้ผลและ/ไม้ยนื ต้น ค. กรณปี ลกู แบบผสมผสาน พบว่า การปลูกพชื ผสมผสานทเี่ หมาะสมควรมเี พียง 2 ชนดิ เนื่องจาก การผสมผสานพืชมากกว่านจี้ ะได้รายได้เพิ่มขึน้ ไมค่ มุ้ ค่ากบั การลงทนุ ทีเ่ พมิ่ ข้ึน ระบบเกษตรทเ่ี ป็นทางเลือกทดี่ ีทีส่ ุด ในกรณีนี้ คือ การปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้ควบคู่กับโกโก้ รองลงมาได้แก่ การปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้ควบคู่กับ กล้วยน้ำว้า/กาแฟ เป็นท่ีนา่ สังเกตว่า มะม่วงน้ำดอกไม้จะเป็นพืชทางเลือกท่ียืนพ้ืนในการผสมผสานกบั พืชอื่นๆ เนือ่ งจาก เปน็ หนง่ึ ในไม้ผลทีม่ ีอัตราสว่ นผลตอบแทนตอ่ เงนิ ลงทุนสูง และยงั มีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 4 ปี ตารางท่ี 2 ทางเลือกระบบเกษตรในพ้นื ทีล่ มุ่ นำ้ ชัน้ ที่ 3, 4, 5 รายการพชื รายไดส้ ุทธิ 100,000 บาท/ปี รายไดส้ ุทธิ 150,000 บาท/ปี รายไดส้ ทุ ธิ 200,000 บาท/ปี พื้นท่ี (ไร)่ เงนิ ลงทุน (บาท) พืน้ ที่ (ไร)่ เงนิ ลงทนุ (บาท) พนื้ ท่ี (ไร่) เงนิ ลงทุน (บาท) ก. พืชเด่ียวทเ่ี กบ็ เกีย่ วใน 1 ปี ขา้ วโพด 18 60,000 27 89,000 36 120,000 1. กัญชง (ผลิตเสน้ ใย) 4 50,000 6 75,000 8 100,000 2. หมอ่ น 7 72,000 10 110,000 14 150,000 3. กล้วยนำ้ ว้า 14 110,000 22 160,000 29 220,000 ข. ไม้ผลและ/ไมย้ นื ตน้ 1. โกโก้ 7 94,000 10 140,000 14 190,000 2. มะม่วงนำ้ ดอกไม้ 10 120,000 15 170,000 21 230,000 3. กาแฟอาราบกิ ้า 18 140,000 27 210,000 35 280,000 4. มะขามเปร้ยี ว 16 52,000 25 77,000 33 100,000 5. ไผซ่ าง 11 180,000 16 280,000 21 370,000 ค. ปลกู พืชแบบผสมผสาน 1. มะมว่ งน้ำดอกไม้ + โกโก้ 4.0 : 4.0 100,000 5.5 : 7.0 150,000 6.5 : 10.0 200,000 2. มะมว่ งน้ำดอกไม้ + กล้วยนำ้ วา้ 7.0 : 5.0 110,000 11.0 : 6.5 170,000 15.5 : 8.0 230,000 3. มะม่วงนำ้ ดอกไม้ + กาแฟ 6.5 : 7.0 120,000 11.0 : 8.0 180,000 15.5 : 9.0 240,000 หมายเหตุ: การเลือกระบบเกษตรแต่ละรายการพิจารณาเรยี งลำดบั จากขนาดของพ้ืนทแี่ ละเงินลงทุน กรณีพ้นื ท่ีลุ่มนำ้ ช้ันท่ี 1, 2 (ดูรายละเอยี ดในตารางที่ 3) จากข้อจำกัดตามเง่ือนไขของ คทช. และกรมป่าไม้ โดยที่กรมป่าไม้ได้กำหนดคุณลักษณะ ของพ้ืนทปี่ า่ ไวว้ ่า ตอ้ งมไี ม้เดิมท่ีมีเรอื นยอดสูงไม่นอ้ ยกวา่ 5 เมตร ปกคลมุ มากกว่ารอ้ ยละ 10 ของพ้นื ที่ ดังนั้น พืชทางเลือกท่ีเสนอในกรณีลมุ่ น้ำชั้นที่ 1, 2 จึงเปน็ พชื ท่ีสามารถเจริญเติบโตภายใต้ภูมนิ ิเวศและอย่รู ่วมกับป่า ไดใ้ นลักษณะปลกู แซมกับไมเ้ ดมิ ก. กรณีปลูกพืชอย่างเดียว พบว่า มะขามเปร้ียวเป็นทางเลือกท่ีใช้พ้ืนท่ีและเงินลงทุนน้อยที่สุด โดยใช้ระยะเวลาปลูก 3 ปี ก็สามารถเก็บเก่ียวผลผลิตได้ จึงเป็นทางเลือกท่ีดีกว่าผักหวานป่า และยางพารา 13
(พิจารณาในแง่ของการใชพ้ ื้นที่และเงนิ ลงทุน) สำหรับยางพาราเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาถึง 7 ปี จึงสามารถกรีดได้ และมรี ะยะเวลากรีดประมาณ 13 ปี ทั้งน้ี หากต้องการให้มีการใช้พน้ื ที่น้อยลง ควรเพิ่มทางเลือกปศุสัตว์ ได้แก่ แพะ ไก่พ้ืนเมอื ง และโคพ้นื บ้าน ร่วมกับการปลูกพืช ข. กรณปี ลูกพืช + ปศุสตั ว์ พบว่า การทำปศสุ ัตวแ์ มว้ า่ จะใช้เงินลงทนุ สูง (ไมน่ อ้ ยกวา่ 1 แสนบาท) แต่ก็ให้รายได้สูงเช่นเดียวกัน ดังนั้นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรบั พื้นท่ีลมุ่ น้ำชั้นที่ 1, 2 คือ ปลูกป่า (/ไม้ยืนต้น) + ปศุสตั ว์ โดยทางเลือกท่ีดีท่ีสุดในกรณีน้ี ได้แก่ การปลูกมะขามเปร้ยี วร่วมกับการเลี้ยงแพะ รองลงมาไดแ้ ก่ การปลกู ไผ่ซางร่วมกับการเลย้ี งแพะ ตารางที่ 3 ทางเลอื กระบบเกษตรในพนื้ ทลี่ ุ่มนำ้ ช้นั ที่ 1, 2 รายการพืช รายได้สทุ ธิ 100,000 บาท/ปี รายไดส้ ุทธิ 150,000 บาท/ปี รายไดส้ ุทธิ 200,000 บาท/ปี พนื้ ที่ (ไร)่ เงินลงทนุ (บาท) พ้ืนท่ี (ไร)่ เงนิ ลงทนุ (บาท) พนื้ ท่ี (ไร่) เงินลงทนุ (บาท) ก. ปลูกพชื อย่างเดยี ว 16 52,200 25 77,000 33 100,000 1. มะขามเปรย้ี ว 2. ผกั หวานป่า 15 105,000 22 157,000 29 210,000 3. ยางพารา 14 340,000 21 500,000 29 670,000 ข. ปลูกพืข + ปศสุ ตั ว์ 1. มะขามเปร้ียว + แพะ - - 7.5 153,000 15.5 179,000 2. ไผซ่ าง + แพะ - - 5.0 210,000 10.0 300,000 หมายเหตุ: การเลือกระบบเกษตรแต่ละรายการพจิ ารณาเรยี งลำดบั จากขนาดของพื้นท่แี ละเงินลงทนุ นอกจากน้ี ในกรณีของยางพาราซึ่งใช้เวลา 7 ปี ถึงจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้จนถึง 13 ปี เป็นหน่ึงใน ทางเลือกที่ดีสำหรับลุ่มน้ำชั้นที่ 3, 4, 5 แต่สำหรับพ้ืนที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1, 2 ยางพาราไม่ถือว่าเป็นไม้ป่า แต่มี ครวั เรอื นเกษตรบางรายทป่ี ลูกยางพาราในพน้ื ท่ลี มุ่ น้ำชั้นที่ 1, 2 และกำลงั อย่ใู นระยะเกบ็ เกยี่ วผลผลิต การให้ ชาวบ้านตัดโค่นยางพาราในพื้นที่ลุ่มนำ้ ช้ันที่ 1, 2 ไม่ใช่ทางเลอื กสำหรบั ชาวบ้าน เพราะหากยางพาราพร้อม กรีดชาวบ้านจะลงทุนไปแล้ว 470,000 บาท ต่อพ้ืนท่ี 20 ไร่ และคาดหวังจะมีรายได้ปีละ 220,000 บาท ดงั น้นั จึงควรผอ่ นปรนให้สามารถเกบ็ เก่ียวผลผลิตโดยไม่ต้องตัดในหา้ ปีแรก และใหม้ ีการทยอยตดั ยางพาราปี ละ 20% เพ่อื เปล่ยี นพชื ในปีท่ีหก ระหวา่ งน้ีกใ็ ห้มกี ารปลูกพืชเศรษฐกจิ ภายใต้รม่ ต้นยางพาราได้ เม่ือสภาพป่า สมบูรณ์ การเลยี้ งผึ้งเชงิ พาณชิ ยจ์ ะมีศักยภาพในการสร้างรายไดใ้ นพ้นื ทลี่ ุ่มนำ้ ช้ันท่ี 1, 2 ทีเ่ ปน็ พ้ืนท่ี คทช. ดังน้ัน ควรผอ่ นปรนให้มีการเลี้ยงผึ้งเชงิ พาณิชย์ได้ 14
4.2 ห่วงโซ่อุปทานการผลิตทางการเกษตรทีม่ ศี ักยภาพของจงั หวัดน่าน การจดั การห่วงโซ่อุปทานอย่างครบวงจรในพ้ืนที่เป็นหน่ึงในปัจจัยแห่งความสำเร็จท่ีสำคัญของ การพัฒนาบนพื้นท่ีสูง และยังเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญในการออกแบบโมเดลอาชีพทางเลือกท่ีเป็นต้นน้ำของ การผลิตทางการเกษตร นอกจากนี้ เพอ่ื ให้โมเดลการพัฒนามีความต่อเนือ่ งและประสบความสำเรจ็ รวมทงั้ เป็น อาชีพทางเลือกทสี่ ามารถทดแทนการปลูกข้าวโพดได้น้ัน จำเป็นต้องพัฒนาตลอดห่วงโซอ่ ุปทานเพื่อเพมิ่ มลู ค่า ใหก้ ับผลิตภัณฑ์ทางการตลาด ซง่ึ จากตน้ ทนุ -ผลตอบแทนของเมนอู าชีพทางเลอื ก และเกณฑก์ ารพิจารณาศักยภาพ การพัฒนาหว่ งโซ่อุปทาน 3 เกณฑ์ ไดแ้ ก่ 1) ความเหมาะสมดา้ นกายภาพในพื้นทที่ ่สี ามารถทำการผลิตซ่ึงเป็น ส่วนต้นน้ำของโซ่อุปทานได้ 2) มีศกั ยภาพการรวมกลุ่มในรปู แบบของวิสาหกิจชุมชนบ้างแล้ว/มีตลาดในพื้นที่ รองรับ และ 3) มีเทคโนโลยีที่สามารถนำทรัพยากรในพื้นทม่ี าลดต้นทนุ /เพิ่มมูลค่าได้ พบว่า ในกรณีพื้นท่ีสูง ของจังหวัดน่านมีเมนูอาชีพทางเลือกที่มีศักยภาพเพียงพอจะพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน ได้ 10 รายการ ประกอบดว้ ย 1) กลุ่มพืช 6 รายการ ได้แก่ ลำไย (เป็นไมผ้ ลเดิมทม่ี ีห่วงโซอ่ ปุ ทานที่เขม้ แข็ง) มะม่วงน้ำดอกไม้ โกโก้ ไผ่ซาง กาแฟ และมะม่วงหิมพานต์ 2) ปศุสัตว์ 3 รายการ ได้แก่ โคเนื้อ ไก่พ้นื เมือง และแพะ 3) ประมง 1 รายการ ได้แก่ ปลาดกุ จากการวิเคราะห์แบบแผนการจัดการห่วงโซ่อุปทานของเมนูทางเลือกการผลิตทางเกษตรทั้ง 10 รายการ ร่วมกับประเมินความเข้มแข็งของโซ่อุปทานการผลิตในจังหวัดน่าน พบว่า เมนูทางเลือก การผลิตทางเกษตรทั้ง 10 มีการรวมกลุ่มในรูปของวิสาหกิจชุมชน/มีตลาดในพ้ืนที่รองรับและมีเทคโนโลยี ท่ีสามารถนำทรพั ยากรในพ้นื ทมี่ าลดตน้ ทนุ /เพิ่มมลู ค่าได้ แตใ่ นการส่งเสรมิ ใหเ้ กิดการลงทุนควรมกี ารวเิ คราะห์ เปรียบเทียบระบบการผลิตของเมนตู ่างๆ เพิ่มเติม ตลอดจนความได้เปรียบเสยี เปรียบของแต่ละเมนูการผลิต ซ่งึ ห่วงโซ่อปุ ทานที่มีการบรหิ ารจัดการและมีความเข้มแขง็ จะมีขีดความสามารถท่ีจะพัฒนาเป็นธุรกิจชุมชน ท่พี ่ึงพาตนเองและสามารถแข่งขันไดใ้ นอุตสาหกรรมมีจำนวน 8 ห่วงโซ่อุปทาน ไดแ้ ก่ ลำไย มะม่วงน้ำดอกไม้ โกโก้ โคเนือ้ ไกพ่ ้ืนเมือง ไผ่ซาง กาแฟ และแพะ ตามลำดบั สำหรบั ปลาดุกและมะมว่ งหมิ พานต์ ห่วงโซอ่ ปุ ทาน ยังขาดความเข้มแข็ง เน่ืองจาก ขาดการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบและมีความเสียเปรียบในด้านคุณภาพ การแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพ่มิ ยังต้องอาศยั เทคโนโลยีหรอื วทิ ยาศาสตร์การอาหารเพอ่ื พัฒนาให้เกิดผลติ ภณั ฑ์ หลากหลายรปู แบบ ท่สี ามารถตอบสนองความตอ้ งการผ้บู ริโภค รวมถึงการจดั การโซป่ ลายน้ำ ดงั รายละเอียด ในตารางที่ 4 นอกจากนี้ การทอ่ งเท่ยี วยงั เป็นอกี หน่ึงในเคร่อื งมอื สำหรับเพิ่มมลู ค่า (Add value) ใหก้ บั ผลผลิต ทางการเกษตรในฐานะของการเป็นผู้ใช้ผลิตผลทางการเกษตร โดยการเชื่อมต่อโซ่อุปทานของการผลิตทาง การเกษตรกับภาคการท่องเที่ยวภายในจังหวัด โดยเฉพาะโซ่อุปทานของผักซึ่งมีโอกาสสูงกว่าผลิตผลทาง การเกษตรอ่ืนๆ การเช่ือมต่อดังกล่าว ตัวเกษตรกรต้องมีการรวมกลุ่มและบริหารจัดการในเรื่องของ ความตอ่ เนือ่ งทีต่ ้องสอดคลอ้ งกบั ความต้องการท่ีมีความเป็นฤดกู าล รวมถงึ คณุ ภาพและมาตรฐานของผลติ ผล ทางการเกษตรที่จะป้อนให้กับสถานท่ีพักแรมและร้านอาหาร นอกจากเช่ือมต่อโซ่อุปทานของการผลิตทาง การเกษตรแล้ว ยังสามารถใช้การทอ่ งเท่ียวดึงตลาดเข้ามาซ้ือสินค้าและบรกิ ารภายในชุมชน ในลักษณะของ 15
การจัดการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรนิเวศน์โดยชมุ ชน ด้วยการออกแบบกจิ กรรมการท่องเท่ียวที่ให้ผู้มาเยือน ไดร้ บั ประสบการณจ์ ากการเรียนรกู้ ารทำการเกษตร และ/วิถีชวี ิตชนบทของภาคเกษตรไทย ซงึ่ สามารถเรยี นรู้ และ/ดูตัวอยา่ งได้ในหลายพน้ื ท่ีท้งั ภายในตัวจังหวดั น่าน อย่างเช่น ทีอ่ ำเภอปัว บอ่ เกลือ หรือต่างจังหวัด เช่น ตำบลออนใต้ จังหวดั เชียงใหม่ นาต้นจัน่ จังหวดั สุโขทัน บา้ นทา่ ขนั ทอง จังหวดั เชียงราย เปน็ ต้น เพ่อื เปน็ การ เพิ่มเติมความหลากหลายของกิจกรรมการท่องเที่ยวให้กับจังหวัดน่าน และยังสามารถใช้การท่องเที่ยวเป็น เครอื่ งมือในการเพม่ิ มูลคา่ และเชอ่ื มต่อโซ่อปุ ทานของการเกษตรได้อีกด้วย ตารางท่ี 4 ห่วงโซอ่ ุปทานการผลิตเกษตรทีม่ ศี กั ยภาพของจงั หวดั น่าน เมนกู ารผลิต ห่วงโซอ่ ุปทานการผลติ ความได้เปรยี บ/เสียเปรยี บ ความเขม้ แข็ง 1. ลำไย ของห่วงโซ่อุปทาน 2. มะม่วงนำ้ ดอกไม้ 3. โกโก้ - พรอ้ มลงทุน - มกี ารสนับสนุนของภาครัฐเพ่อื การยกระดับ 4.โคเนอ้ื - พร้อมลงทุนเพิ่มในกลางน้ำถึงปลาย - สามารถเชือ่ มโยงโซก่ ารผลติ ตน้ นำ้ กับลำไย 5. ไกพ่ ้นื เมอื ง นำ้ - มกี ารสนบั สนุนของภาครัฐเพ่ือการยกระดับ 6. ไผซ่ าง - ต้องลงทนุ เพิ่มในโซ่กลางน้ำถึงปลาย - สามารถเช่อื มโยงกับกาแฟ 7. กาแฟ น้ำ - กลางนำ้ และปลายน้ำมีน้อยราย 8. แพะ - มีอยู่บ้างแล้วแต่ต้องเช่ือมโยงกลาง - มกี ารสนบั สนุนของภาครัฐ 9. ปลาดุก 10. มะม่วงหมิ พานต์ นำ้ ถงึ ปลายนำ้ - แนวโน้มตลาดดที ัง้ ส่งออกและภายในประเทศ - มีรปู ธรรมของการเช่ือมโซ่อุปทาน - มีเป็นรูปธรรม สามารถพัฒนาเป็น - มีเครือข่ายเชอื่ มทั้งระดับจังหวัดและภาค ธรุ กจิ ชุมชน - มมี ลู ค่าต่อหน่วยและผลตอบแทนระยะส้นั - เกษตรกรพรอ้ มลงทุน - มีการสนับสนนุ ของหนว่ ยงานภาครับ - ยงั ไม่มกี ารเชื่อมตอ่ ท่ชี ัดเจน - ไมส่ ามารถสรา้ งมลู ค่าเพม่ิ /แปรรูปไดห้ ลากหลาย - ตอ้ งพฒั นากลางน้ำและปลายน้ำ - ต้นทนุ ขนสง่ สงู หากอยใู่ นห่างไกล - มีศกั ยภาพแตต่ อ้ งลงทุนเพมิ่ - เชื่อมโยงกบั โกโกไ้ ด้ - มรี ูปธรรมของการเชื่อมโซอ่ ปุ ทาน - มีอยู่บ้าง สามารถพัฒนาเป็นธุรกิจ - มกี ารสนบั สนนุ จากภาครัฐ ชมุ ชน - มีตลาด/ข้อตกลงกบั ผ้ปู ระกอบการรองรับผลผลติ - เกษตรกรพร้อมลงทุน - ไม่มีการเช่ือมโยง แต่มีศักยภาพในการ - ตลาดในพน้ื ทส่ี งู มแี นวโนม้ ดี (แหลง่ อาหารโปรตนี ) พฒั นา - ลงทนุ ตำ่ ผลตอบแทนสงู (เทยี บกับปศสุ ตั ว์) - ไมม่ คี วามพร้อมในโซ่อปุ ทานการผลติ - เสียเปรียบในดา้ นคณุ ภาพ - การแปรรปู เพื่อสร้างมูลคา่ เพม่ิ ตอ้ งอาศยั เทคโนโลยี - ยังขาดการจัดการโซป่ ลายนำ้ ท่ีชัดเจน 16
4.3 ระบบเกษตรทีเ่ ป็นตัวเลอื กในการสร้างรายได้สำหรบั ครัวเรือนเกษตร การออกแบบระบบเกษตรทางเลือกในการสร้างรายได้สำหรับครัวเรือนเกษตร (โมเดลอาชีพ ทางเลอื ก) จำเป็นต้องสร้างตัวแบบครัวเรือนเกษตร (Personas) เป้าหมายที่จะเข้าไปดำเนนิ การ ซ่งึ จากขอ้ มลู การสำรวจสภาพเศรษฐกิจและหนีส้ ินของครวั เรอื นเกษตรในเชิงลึกของตำบลนำร่องท้ังสอง สามารถนำมาใช้ สรา้ งตัวแบบครวั เรอื นเกษตร เพื่อออกแบบระบบเกษตรทางเลือกทส่ี อดรบั กับแนวทางการจัดการพ้นื ท่ปี า่ ตาม นโยบายของ คทช. ท่ีสง่ ผลให้เกษตรกรลดพน้ื ท่ีทำการเกษตร และบางรายต้องเลกิ ปลกู ข้าวโพด (ที่มกี ารเผา) โดยสามารถแบ่งตัวแบบครวั เรือนเกษตรกรได้ 4 กลุ่ม (ดูรายละเอยี ดในตารางที่ 5) ไดแ้ ก่ 1. กลุ่มครัวเรือนเกษตรทพี่ ึง่ พาตวั เองได้ เป็นกลุ่มท่มี ีรายไดเ้ พยี งพอตอ่ รายจ่าย มหี น้ีสินไมม่ าก ส่วนใหญ่มีท่ดี ินทำกินท่ีมสี ภาพดินและน้ำดี จึงนยิ มทำการผลติ ทางการเกษตรท่มี ีมลู คา่ สูง เชน่ กาแฟ พืชผัก โรงเรือน หม่อนไหม ไมผ้ ล (เงาะ ลำไย มะม่วง) เปน็ ตน้ จงึ ทำให้มีรายไดจ้ ากภาคการเกษตรทีค่ อ่ นขา้ งม่นั คง 2. กลุม่ ครัวเรือนเกษตรทีต่ ้องการระยะเวลาในการปรับตวั เป็นกลมุ่ ที่มีรายไดน้ ้อยกว่ารายจ่าย ประมาณร้อยละ 10-20 มีหน้ีสินสะสมประมาณ 130,000-190,000 บาท ส่วนใหญ่จะปลูกไม้ผลและ/ไม้ยืน ต้น เช่น มะม่วง ยางพารา เป็นต้น แต่เร่ิมปรับเปลี่ยนมาผลิตพืชหลากหลายชนิดมากข้ึน หรือปลูกแบบ ผสมผสาน 3. กลุ่มครัวเรือนเกษตรที่ต้องเปล่ยี นอาชีพใหม่ เป็นกลุ่มท่ีมีรายไดน้ ้อยกว่ารายจ่ายประมาณ ร้อยละ 20-30 มหี นีส้ ินสะสมประมาณ 1 เทา่ ของรายได้ (ประมาณ 150,000 บาท) สว่ นใหญ่ปลกู ขา้ วโพดกับไม้ผล เช่น ลิ้นจ่ี มะมว่ ง เป็นต้น และพง่ึ พาเงินลงทุนทางการเกษตรจากการกยู้ ืมเปน็ สำคญั 4. กลุ่มครัวเรือนเกษตรท่ีต้องเปล่ียนอาชีพและปรับโครงสร้างหนี้ เป็นกลุ่มท่ีมีรายได้ น้อยกวา่ รายจ่ายประมาณร้อยละ 20-30 เชน่ เดยี วกับกล่มุ ท่ี 3 แต่มีหนส้ี นิ สะสมในจำนวนทสี่ ูงมาก (ประมาณ 300,000-540,000 บาท) ส่วนใหญ่ปลูกข้าวโพดกับไม้ผลที่มีอายุมากและ/ให้ผลผลิตน้อย เช่น ล้ินจ่ี เป็นต้น การผลิตทางการเกษตรของครัวเรือนกลุ่มนี้พึง่ พาเงินทุนจากการกู้ยืม แต่มกี ารนำเงินกู้ทางการเกษตรมาใชใ้ น กจิ กรรมนอกภาคการเกษตร เช่น ผอ่ นชำระทรพั ย์สิน ซื้อสนิ ทรัพย์ ใช้จ่ายเกี่ยวกับบตุ รหลาน เปน็ ตน้ (ประมาณ ร้อยละ 30-50 ของยอดเงินกู้ทางการเกษตรทงั้ หมด) 17
ตารางท่ี 5 ตัวแบบครวั เรือนเกษตร (Personas) ตัวแบบครวั เรือนที่ 1: ตัวแบบครัวเรอื นท่ี 2: ตัวแบบครัวเรือนที่ 3: ตวั แบบครัวเรือนที่ 4: พงึ่ พาตัวเองได้ ตอ้ งการระยะเวลาปรับตวั ต้องปรบั เปล่ียนอาชพี ใหม่ เปล่ียนอาชพี &ปรับโครงสร้างหนี้ - มรี ายไดม้ ากกว่ารายจา่ ย - มรี ายได้น้อยกว่ารายจ่าย - มรี ายได้น้อยกว่ารายจา่ ย - มีรายได้นอ้ ยกว่ารายจ่าย ประมาณ 10-20% ประมาณ 20-30% ประมาณ 20-30% - มหี นีส้ ินไมเ่ กนิ 50,000 บาท - มหี นีส้ ินประมาณ - มหี นสี้ นิ สงู กวา่ รายได้ประมาณ - มีหนี้สนิ สะสมประมาณ - มที ่ีดินประมาณ 25 ไร่ ท่ีดินมี 130,000-190,000 บาท 1 เทา่ (ประมาณ 150,000 บาท) 300,000-540,000 บาท สภาพดนิ และน้ำดี - มีท่ดี ินประมาณ 30 ไร่ - มที ี่ดินประมาณ 20 ไร่ - มที ่ดี นิ ประมาณ 20 ไร่ - การผลิตทางการเกษตรสว่ นใหญม่ ี - การผลิตทางการเกษตร - การผลติ สว่ นใหญเ่ ปน็ ข้าวโพด - การผลติ ส่วนใหญเ่ ปน็ ข้าวโพด/ มลู ค่าสงู เชน่ กาแฟ พืชผกั โรงเรอื น ส่วนใหญเ่ ป็นไมผ้ ล/ไม้ยนื ต้น ร่วมกับไมผ้ ล เช่น ล้ินจี่ มะมว่ ง ไมผ้ ล เช่น ลิ้นจี่ มะมว่ ง เป็นต้น หม่อนไหม ไม้ผล (เงาะ ลำไย มะมว่ ง) เชน่ มะมว่ ง ยางพารา เปน็ ต้น เป็นต้น ท่มี อี ายมุ าก/ให้ผลผลติ น้อย - รายได้จากภาคการเกษตร - เรม่ิ มีการปรับเปล่ยี นการผลิต - การผลิตทางการเกษตรพ่ึงพา - การผลิตทางการเกษตรพงึ่ พาเงินทนุ เร่มิ มคี วามมน่ั คง ไปปลูกพืชทหี่ ลากหลายมากข้นึ เงนิ ทุนจากการกยู้ มื จากการก้ยู ืม ซ่งึ มีการนำไปใช้ นอกวตั ถุประสงค์ประมาณ 30-50% จากตัวแบบครัวเรือนเกษตรทั้ง 4 แบบ เพ่ือให้ได้มาซ่ึงโมเดลทางเลือกการพัฒนาที่ชัดเจน ในการศึกษาจะเลือกตัวแบบครัวเรือนเกษตรท่ี 2 และ 3 มานำร่อง เนื่องจากมีศักยภาพและความพร้อมท่ีจะ ปรบั เปลย่ี นอาชีพ เม่อื เทยี บกับตัวแบบครัวเรอื นเกษตรท่ี 4 ท่ตี อ้ งเข้าไปจดั การเรื่องหน้สี นิ เพม่ิ เตมิ ขณะท่ีตวั แบบ ครวั เรือนเกษตรท่ี 1 นน้ั เริ่มมีความม่ันคงของรายไดจ้ ากภาคการเกษตรแล้ว โดยมเี ง่ือนไขการเลือกระบบเกษตร ท่สี ำคญั คอื กำหนดใหม้ ีพน้ื ทีท่ ำกินไม่เกิน 20 ไร่ มเี งินลงทุนในปีแรกไม่เกิน 100,000 บาท และมีความเป็นได้ ในการพัฒนาโซ่อุปทานเพิ่มเติม ซ่ึงสามารถกำหนดระบบเกษตรทางเลือก มาตรการ และแนวทางช่วยเหลือ สำหรบั ตวั แบบครวั เรือนเกษตรท่ี 2 และ 3 ได้ดังแสดงในตารางท่ี 6 ตารางท่ี 6 ระบบเกษตรทางเลือก มาตรการ และแนวทางช่วยเหลือสำหรบั ตัวแบบครัวเรอื นท่ี 2 และ 3 รายการ ตวั แบบครวั เรือนที่ 2: ต้องการระยะเวลาปรบั ตัว ตัวแบบครัวเรอื นท่ี 3: ตอ้ งปรบั เปล่ียนอาชพี ใหม่ ระบบเกษตรทางเลือก - หากพ้ืนทเ่ี หมาะสมควรส่งเสริมใหป้ ลูกกาแฟ - ปรบั เปลย่ี นการผลติ พชื เป็นไผ่ซาง กัญชง (ผลติ เส้นใย) - เพมิ่ ปศสุ ัตว์ เช่น แพะ ไกพ่ ื้นมอื ง โคพืน้ บา้ น กาแฟ ไม้ผล/ไมย้ นื ต้น เชน่ มะขามเปร้ียว เป็นตน้ - เพ่ิมประมง ไดแ้ ก่ กบ และ/ปลาดุก มาตรการ - ยงั คงกรดี ยางพาราและ/เกบ็ เกย่ี วผลผลติ ได้ 10 ปี - อุดหนนุ เพือ่ ลดพนื้ ท่ปี ลูกข้าวโพด 2,000 บาท/ไร่ - ปรบั ลดพนื้ ที่ 20% ในปีที่ 6 ตอ่ เน่อื งจนถึงปีที่ 10 - ผ่อนปรนให้สามารถแลกเปลี่ยนพน้ื ทีไ่ ด้ แนวทางชว่ ยเหลือ - พัฒนาอาชพี เลย้ี งปศสุ ตั ว์ตลอดโซ่อุปทานตัง้ แต่การหา - ประสานงานแหล่งเงนิ กใู้ นการพฒั นาอาชีพ แหลง่ สนิ เชื่อจนถึงการเช่อื มโยงกลมุ่ โซ่อุปทานกลางน้ำ - ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลติ และปลายน้ำ - พฒั นาวสิ าหกจิ ชมุ ชนในลกั ษณะ Sharing economy - กรณีทีจ่ ำเปน็ ตอ้ งปลกู ขา้ วโพดเพ่ือใหม้ ีรายได้ในช่วง - กรณีที่จำเป็นต้องปลูกข้าวโพดเพ่ือให้มีรายได้ในช่วง ของการปรับเปลี่ยนใน 3 ปีแรก จะมีการอุดหนุน ของการปรับเปล่ียนใน 3 ปีแรก จะมีการอดุ หนุน ขา้ วโพดไม่เผา 2 บาท/กิโลกรัม เปน็ ระยะเวลา 3 ปี ขา้ วโพดไม่เผา 2 บาท/กิโลกรัม เป็นระยะเวลา 3 ปี หมายเหตุ: กรณีอุดหนุนข้าวโพดไม่เผา 2 บาท/กิโลกรมั คิดจากตน้ ทุนที่เพ่ิมขึ้นจากการไถกลบ อยา่ งไรกต็ าม ในการนำไปใช้ในทางปฏิบัติควรมี การศึกษาวิจัยเพม่ิ เติมว่าจะคิดค่าอดุ หนนุ ณ ราคาตลาดที่หน้าฟาร์ม หรือราคานำเข้า 18
จากการท่ีเกษตรกรส่วนใหญ่มีพ้ืนท่ีทำกินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1และ 2 ดังนั้นระบบเกษตร ทางเลือกทเ่ี หมาะสมในกรณนี ้ีแบง่ ออกเปน็ 2 แนวทาง ไดแ้ ก่ 1. กรณที ีม่ ีปา่ อยแู่ ลว้ พบว่า ไม่มพี ชื เศรษฐกจิ ทส่ี ามารถปลกู แซมลงในปา่ แลว้ ทำใหค้ รวั เรือนเกษตร มีรายได้และ/ชีวิตท่ีดีข้ึนในปีแรก ดังนั้นในปีแรกจึงจำเป็นต้องส่งเสริมให้มีการเลี้ยงไก่พื้นเมืองขุน เพ่ือให้ ครัวเรือนเกษตรมีรายได้ในปีแรก โดยขนาดท่ีเลี้ยงควรเป็นขนาด 400 ตัวต่อรุ่น เลี้ยงปีละ 4 รุ่น จะใช้เงิน ลงทุนประมาณ 58,000 บาท/ปี และจะมีรายได้สุทธิประมาณ 48,000 บาท/ปี สำหรับพืชใต้ป่าที่ดีที่สุด ที่ทำให้ครัวเรือนได้รับรายได้ในปีท่ี 2 ด้วยเงื่อนไขว่า มีเงินลงทุนเร่ิมต้นไม่เกิน 100,000 บาท ในปีแรก ประกอบดว้ ยพชื เพยี ง 3 ชนิด ได้แก่ (เรียงตามลำดับขนาดพ้นื ที่ และรายไดส้ ทุ ธิ) - หวาย ขนาดพื้นท่ีปลกู 10 ไร่ รายไดส้ ทุ ธิ 98,000 บาท/ปี - ผกั หวาน ขนาดพนื้ ที่ปลกู 14 ไร่ รายได้สทุ ธิ 95,000 บาท/ปี - บกุ ขนาดพ้นื ท่ปี ลกู 19 ไร่ รายไดส้ ทุ ธิ 49,000 บาท/ปี 2. กรณที ปี่ ลูกพชื พร้อมการปลกู ปา่ มที างเลือกค่อนขา้ งจำกัดบนเงื่อนไขทีว่ า่ มีเงนิ ลงทุนเร่มิ ต้น และคา่ บำรงุ รักษาตอ่ ปีไมเ่ กนิ 100,000 บาท มพี น้ื ท่ีปลูกไม่เกนิ 20 ไร่ โดยตัวเลือกทดี่ ที ส่ี ดุ 3 ลำแรก ได้แก่ - กล้วยน้ำว้า: สามารถเก็บเก่ียวผลผลิตได้ในปีแรก มีขนาดการปลูก 120 ต้น/ไร่ รวม 2,400 ต้นตอ่ พื้นท่ี 20 ไร่ มีเงนิ ลงทุนและค่าบำรงุ รักษาในแตล่ ะปีประมาณ 92,000 บาท และมีรายได้สทุ ธิประมาณ 84,000 บาท/ปี - มะขามเปร้ียว: สามารถเกบ็ เก่ียวได้ในปที ่สี าม มีขนาดการปลกู 16 ต้น/ไร่ รวม 320 ต้น ต่อพื้นที่ 20 ไร่ โดยมีเงินลงทุนก่อนให้ผลผลิตสะสมเท่ากับ 64,000 บาท มีค่า บำรุงรักษาหลังให้ผลผลิตประมาณ 59,000 บาท/ปี และมีรายได้สุทธิประมาณ 126,000 บาท/ปี - มะไฟจีน: สามารถเกบ็ เกี่ยวไดใ้ นปที ่ีส่ี มขี นาดการปลูกประมาณ 9 ต้น/ไร่ รวม 188 ต้น ตอ่ พื้นที่ 20 ไร่ โดยมีเงินลงทนุ ก่อนให้ผลผลิตสะสมเท่ากบั 100,000 บาท มีค่าบำรงุ รักษา หลงั ให้ผลผลิตประมาณ 26,000 บาท/ปี และมรี ายไดส้ ทุ ธิประมาณ 135,000 บาท/ปี จากระบบเกษตรทางเลอื ก มาตรการ และแนวทางช่วยเหลือ จะทำให้ครัวเรือนเกษตรท่ีมีพน้ื ที่ทำกนิ ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 และ 2 มีรายได้จากภาคการเกษตรเพิ่มขึ้นแตกต่างกัน จากตารางที่ 7 พบว่า ครัวเรือน เกษตรในกลุ่มตัวแบบครวั เรือนท่ี 2 ที่สว่ นใหญ่ปลูกข้าวโพดร่วมกบั ไม้ผล และไม่มีกำลงั แรงงานเพยี งพอสำหรับ ทำการผลิตทางการเกษตรประเภทพืชเพิ่มเติมแต่สามารถทำปศุสัตว์ได้ โดยแบ่งครัวเรือนออกเป็น 3 กลุ่ม ตามรูปแบบการผลิตที่แตกต่างกัน ได้แก่ (ดรู ายละเอยี ดในตารางที่ 7) 1) กลุ่มเลี้ยงแพะ (11 ตัว) จะมีรายได้สุทธิตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไปจนถึงปีท่ี 10 เฉลี่ยประมาณ 124,800 บาท/ปี สูงกว่ารายได้เดิมจากภาคการเกษตร และท้ังหมดประมาณร้อยละ 128 และร้อยละ 14 ตามลำดบั 19
2) กลุ่มทปี่ ลูกกลว้ ยน้ำว้า 5 ไร่ (เพ่อื ใหม้ ีรายไดป้ แี รก) ร่วมกับมะขามเปรี้ยว 15 ไร่ (ใหผ้ ลผลิตปที ี่ 3) จะมีรายไดส้ ทุ ธิในสองปแี รกประมาณ 34,000 บาท/ปี และตง้ั แตป่ ที ี่ 3 จะมีรายได้สุทธปิ ระมาณ 128,500 บาท/ปี สงู กว่ารายไดเ้ ดมิ จากภาคการเกษตร และทัง้ หมดประมาณรอ้ ยละ 157 และรอ้ ยละ 29 ตามลำดบั 3) กลมุ่ ที่ปลูกกลว้ ยน้ำว้า 5 ไร่ ร่วมกับมะไฟจีน 5 ไร่ (ให้ผลผลติ ในปีท่ี 4) จะมีรายได้ในสามปีแรก ประมาณ 34,000 บาท/ปี และต้ังแต่ปีท่ี 4 เป็นต้นไป จะมีรายได้สุทธิประมาณ 124,100 บาท/ปี สูงกวา่ รายได้เดิมจากภาคการเกษตร และทัง้ หมดประมาณรอ้ ยละ 148 และรอ้ ยละ 24 ตามลำดับ ตารางท่ี 7 ประมาณการรายไดข้ องตวั แบบครัวเรอื นท่ี 2 หน่วย: บาทต่อครัวเรอื น อาชพี ทางเลอื ก ปที ่ี 1-2 ปที ่ี 3 ปีท่ี 4 เทยี บกับรายได้สุทธเิ ดิม (หนว่ ย: ร้อยละ) 1.แพะ 11 ตัว (ได้กำไรปที ่ี 3) ยังไม่ไดก้ ำไร 113,900 116,400 ภาคการเกษตร = 128 ทั้งหมด = 14 2.กลว้ ยน้ำวา้ 5 ไร่ + มะขามเปร้ยี ว 15 ไร่ 34,000 128,500 128,500 ภาคการเกษตร = 157 ทั้งหมด = 29 3.กล้วยน้ำว้า 5 ไร่ + มะไฟ 5 ไร่ 34,000 124,100 124,100 ภาคการเกษตร = 148 ทงั้ หมด = 24 หมายเหตุ: รายไดส้ ุทธิเดิมจากภาคการเกษตรประมาณ 50,000 บาทต่อปี และทั้งหมดประมาณ 100,000 บาทต่อปี สำหรับครวั เรอื นเกษตรท่อี ยูใ่ นตวั แบบครวั เรือนท่ี 3 ซึ่งสว่ นใหญพ่ งึ่ พารายได้จากข้าวโพดเป็นสำคัญ จำเป็นตอ้ งปรบั เปล่ยี นจากการปลูกข้าวโพดมาปลูกกล้วยนำ้ วา้ อยา่ งเดียวและ/พร้อมทงั้ เลย้ี งไกพ่ ื้นเมอื งขุน เพ่อื ให้ มรี ายได้ในปแี รกมากกว่ารายไดจ้ ากภาคเกษตรเดิม ขณะเดียวกนั ก็ลงทนุ ปลูกพืชที่อยรู่ ่วมกับป่าอย่างผักหวานป่า หวาย และบุกท่ีจะให้ผลผลิตในปีท่ีสอง สำหรับมะขามเปร้ียวซ่ึงเป็นพืชที่ปลูกพร้อมกับป่าจะเร่ิมปลูกในปีที่ 2 เน่อื งจากในปีแรกมเี งนิ ลงทุนไม่พอกับการลงทนุ กับการปลูกมะขามเปรี้ยว โดยแบ่งครัวเรอื นออกเป็น 2 กลุม่ ใหญ่ ไดแ้ ก่ (ดูรายละเอยี ดในตารางท่ี 8) 1) กลุม่ ทีพ่ ึง่ พารายไดป้ ีแรกจากกล้วยน้ำว้า 10 ไร่ ซ่ึงจะมรี ายได้ในแรกประมาณ 68,000 บาท สว่ นรายได้ในปีท่ี 2-4 ข้ึนอยกู่ ับวา่ จะปลูกร่วมกบั อะไร และขนาดพื้นทีเ่ ทา่ ไหร่ ดงั น้ี - ปลูกผักหวานป่า 3 ไร่ ในปีแรก และมะขามเปรี้ยว 7 ไร่ ในปีท่ี 2 ทำให้ในปีท่ี 2 -3 จะมีรายไดส้ ุทธิประมาณ 89,000 บาท และในปที ่ี 4 จะมีรายไดเ้ พ่มิ เปน็ 133,000 บาท ซึ่งสูงกว่ารายได้เดิมจากภาคการเกษตร และท้ังหมดประมาณร้อยละ 166 และร้อยละ 33 ตามลำดับ - ปลูกหวาย 4 ไร่ ในปีแรก และมะขามเปร้ียว 6 ไร่ ในปีท่ี 2 ทำให้ในปีท่ี 2 -3 จะมี รายได้สุทธิประมาณ 108,500 บาท และในปีที่ 4 จะมีรายได้เพ่ิมเป็น 146,300 บาท ซึ่งสูงกว่ารายได้เดิมจากภาคการเกษตร และท้ังหมดประมาณร้อยละ 193 และ ร้อยละ 46 ตามลำดบั 20
- ปลูกบุก 5 ไร่ ในปีแรก และมะขามเปร้ียว 5 ไร่ ในปีท่ี 2 ทำให้ในปีที่ 2 -3 จะมี รายได้สุทธิประมาณ 81,100 บาท และในปีท่ี 4 จะมีรายได้เพ่ิมเป็น 112,600 บาท ซ่ึงสูงกว่ารายได้เดิมจากภาคการเกษตร และท้ังหมดประมาณร้อยละ 125 และ รอ้ ยละ 13 ตามลำดบั 2) กลุ่มทพี่ ่ึงพารายได้ปีแรกจากไกพ่ นื้ เมืองขุนรว่ มกบั ปลกู กล้วยน้ำวา้ 2 ไร่ ซง่ึ จะมรี ายได้ในแรก ประมาณ 62,000 บาท ส่วนรายได้ในปที ่ี 2-4 ขนึ้ อย่กู บั วา่ จะปลูกรว่ มกับอะไร และขนาดพน้ื ทเ่ี ทา่ ไหร่ ดงั น้ี - ปลูกผักหวานป่า 10 ไร่ ในปีแรก และมะขามเปรี้ยว 8 ไร่ ในปีที่ 2 ทำให้ในปีที่ 2-3 จะมีรายได้สุทธิประมาณ 131,000 บาท และในปีที่ 4 จะมีรายได้เพ่ิมเป็น 181,300 บาท ซึ่งสงู กว่ารายได้เดิมจากภาคการเกษตร และทั้งหมดประมาณร้อยละ 263 และร้อยละ 81 ตามลำดับ - ปลูกหวาย 6 ไร่ ในปีแรก และมะขามเปร้ียว 12 ไร่ ในปีที่ 2 ทำให้ในปีท่ี 2-3 จะมี รายได้สุทธิประมาณ 123,000 บาท และในปีที่ 4 จะมีรายได้เพิ่มเป็น 199,000 บาท ซึ่งสูงกว่ารายได้เดิมจากภาคการเกษตร และท้ังหมดประมาณร้อยละ 298 และ ร้อยละ 99 ตามลำดับ ทั้งนี้เพ่ือสนับสนุนการปรบั เปล่ียนอาชีพควรมแี นวทางการการดำเนินการเพิ่มเติมดงั น้ี 1) กรณเี กษตรกรในกลุ่มตัวแบบครัวเรือนท่ี 2 การพัฒนาอาชีพปศสุ ัตวค์ วรมีการประสานงาน กบั ปศสุ ัตวจ์ ังหวัดเพ่ือหาเงนิ กู้ มีการถา่ ยทอดเทคโนโลยมี าตรฐานฟารม์ การวางระบบพชื อาหารสัตว์ในพ้ืนท่ี การกำหนดและจดั ทำพื้นทีก่ กั สัตว์ และการพัฒนากลุม่ โซ่อุปทาน 2) กรณีเกษตรกรในกลุ่มตัวแบบครัวเรือนท่ี 3 ให้ความสำคญั กับการพัฒนาวสิ าหกิจชุมชนใน ลักษณะระบบเศรษฐกจิ แบง่ ปนั 3) ควรศกึ ษาอาชีพทางเลอื กอนื่ ๆ ที่ชว่ ยเพม่ิ มูลค่าใหก้ บั ผลผลิตทางการเกษตร เชน่ การแปรรปู การท่องเที่ยวเชิงเกษตรนิเวศน์ สินคา้ OTOP อ่ืนๆ ฯลฯ ทั้งน้ีอาจต้องมีการศึกษาเรื่องการตลาดและการพัฒนา ตราสนิ ค้า และการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน 21
ตารางที่ 8 ประมาณการรายไดข้ องตวั แบบครัวเรือนท่ี 3 หนว่ ย: บาทตอ่ ครวั เรือน อาชีพทางเลอื ก ปีที่ 1 ปีที่ 2-3 ปีท่ี 4 เทียบกบั รายไดส้ ุทธเิ ดิม (หน่วย: ร้อยละ) 1.กลว้ ยน้ำว้า 10 ไร่ + ผกั หวานป่า 3 ไร่ 68,000 89,000 133,000 ภาคการเกษตร = 166 + มะขามเปรี้ยว 7 ไร่ (ปลกู ปีที่ 2) ท้งั หมด = 33 2.กลว้ ยน้ำว้า 10 ไร่ + หวาย 4 ไร่ 68,000 108,500 146,300 ภาคการเกษตร = 193 + มะขามเปรีย้ ว 6 ไร่ (ปลกู ปีท่ี 2) ทง้ั หมด = 46 3.กล้วยนำ้ วา้ 10 ไร่ + บกุ 5 ไร่ 68,000 81,100 112,600 ภาคการเกษตร = 125 + มะขามเปรย้ี ว 5 ไร่ (ปลกู ปที ี่ 2) ทง้ั หมด = 13 4.ไก่ 4 รุน่ ๆ ละ 400 ตวั + กลว้ ยนำ้ ว้า 2 ไร่ 62,000 131,000 181,300 ภาคการเกษตร = 263 + ผักหวานปา่ 10 ไร่ + มะขามเปรีย้ ว 8 ไร่ ทัง้ หมด = 81 (ปลูกปที ่ี 2) 5.ไก่ 4 รนุ่ ๆ ละ 400 ตวั + กลว้ ยนำ้ วา้ 2 ไร่ 62,000 123,000 199,000 ภาคการเกษตร = 298 + หวาย 6 ไร่ + มะขามเปร้ยี ว 12 ไร่ ทั้งหมด = 99 (ปลูกปีท่ี 2) หมายเหตุ: รายได้สุทธเิ ดิมจากภาคการเกษตรประมาณ 50,000 บาทต่อปี และทัง้ หมดประมาณ 100,000 บาทตอ่ ปี 4.4 โมเดลทางเลือกการพฒั นาระดับโครงการ การออกแบบทางเลอื กการพัฒนาในรายงานฉบับนี้ เปน็ กรณตี วั อยา่ งของการออกแบบโมเดลทางเลอื ก การพัฒนาคนอยูก่ ับปา่ ของรฐั ในระดับโครงการ โดยมีข้อตกลงเบอ้ื งตน้ ท่ใี ชอ้ อกแบบทางเลือกในการพฒั นาดงั นี้ 1. กำหนดให้การเยียวยาการคืนพื้นที่ป่าเป็นไปตามข้อมูลจากการสัมภาษณ์นายกองค์การ บริหารส่วนตำบลนาไร่หลวงเม่อื วันท่ี 9 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ที่วา่ ชุมชนจะคืนพ้ืนท่ีล่าสุดประมาณ 4,000 ไร่ โดยได้รับเงินสนับสนุนการคืนพ้ืนท่ีไร่ละ 5,000 บาท รวมเป็นเงิน 20,000,000 บาท โดยในเบ้ืองต้นสมมติให้ เท่ากันท้งั สองตำบล และควรทยอยจ่ายเป็นงวดในลกั ษณะของการปลกู และดูแลป่า คอื ค่าปลูกและดูแลป่า ในปีแรก 2,000 บาท/ไร่ ค่าปลกู และดแู ลปา่ ในปที ส่ี องและสามปีละ 1,500 บาท/ไร่ ตามลำดับ รวม 5,000 บาท/ไร่ ทัง้ นีใ้ นพื้นทน่ี ีจ้ ะไม่มกี ารปลูกพืชเกษตร 2. เกษตรกรเลอื กปลกู ขา้ วโพดเพราะได้สินเชื่องา่ ย จึงสามารถนำเงินในอนาคตมาใชเ้ พื่ออปุ โภค บรโิ ภคไดก้ ่อน ดงั นั้นในชว่ งเปล่ียนผา่ นอาจยอมให้ปลกู ข้าวโพด แตต่ อ้ งไม่มีการเผาในพื้นท่ี คทช. โดยใชแ้ รงจูงใจ ด้วยการเพิ่มราคาให้กับข้าวโพดที่ไม่เผากิโลกรัมละ 2 บาท จากระดับราคาตลาด1 (รัฐบาลควรปรบั เปลีย่ นจาก การประกนั ราคาทวั่ ไปเปน็ การประกันราคาขา้ วโพดไม่เผาแทน) จากขอ้ มลู ในระดบั พื้นทพี่ บว่า ตำบลนำร่องทงั้ สอง มีผลผลิตของข้าวโพดเฉล่ยี ประมาณ 700 กโิ ลกรัมต่อไร่ ดงั นน้ั ส่วนนจี้ ะมคี า่ ใช้จ่ายประมาณไร่ละ 1,400 บาท2 1 กรณีอุดหนุนข้าวโพดไม่เผา 2 บาท/กิโลกรัม คิดจากต้นทุนที่เพิ่มข้ึนจากการไถกลบ อย่างไรก็ตาม ในการนำไปใช้ในทางปฏิบัติควรมี การศกึ ษาวจิ ัยเพิม่ เติมว่าจะคิดคา่ อุดหนนุ ณ ราคาตลาดที่หนา้ ฟาร์ม หรือราคานำเข้า 2 ขอ้ มลู การสำรวจรายแปลงของน่านแซนดบ์ ็อกซ์พบว่า ตำบลนาไร่หลวงมพี ื้นที่ปลูกข้าวโพดในพืน้ ทปี่ ่า 2,050 ไร่ ส่วนตำบลเมอื งจังมี 3,000 ไร่ 22
3. การสนับสนุนการจัดการน้ำเป็นโอกาสลดความเสี่ยงและเพิ่มทางเลือกของเกษตรกร โดยกำหนดให้ค่าใช้จ่ายในการจัดการน้ำเพ่ือการเกษตรของชุมชนเป็นไปตามข้อมูลจากการสัมภาษณ์นายก องค์การบริหารส่วนตำบลนาไร่หลวงเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ท่ีว่า ชุมชนต้องการงบประมาณ ในการจัดการนำ้ เพอื่ การเกษตรประมาณ 60,000,000 บาท เปน็ ระบบการสูบน้ำดว้ ยไฟฟา้ จากพ้ืนราบขน้ึ ไปสำรอง ไว้บนทสี่ ูงกอ่ นกระจายกลับมาใหพ้ ื้นที่ทำการเกษตร โดยใหเ้ ท่ากนั ทงั้ สองตำบลในเบื้องต้น 4. เพื่อให้โครงการมีการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม จึงจำเป็นต้องจัดต้ังหน่วยประสานงาน เพื่อการพัฒนาชุมชน โดยกำหนดให้มีการดำเนินงานเป็นระยะเวลา 3 ปี ซ่ึงคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินงานของหนว่ ยประสานงานฯ พอสงั เขปดงั นี้ - เงินเดือนผจู้ ดั การหนว่ ยฯ จำนวน 1 คน 50,000 บาท/เดอื น - เบ้ียเล้ยี งลงพ้นื ท่ีของผู้จดั การ จำนวน 20 วนั /เดอื น 1,000 บาท/วัน - ค่าเช่ารถรวมน้ำมนั จำนวน 20 วนั /เดือน 1,000 บาท/วัน - เจา้ หน้าท่ปี ระจำ office จำนวน 2 คน 15,000 บาท/คน/เดอื น - เจ้าหน้าทเ่ี กีย่ วกบั สินเช่อื (หากต้องมี) จำนวน 1 คน 15,000 บาท/คน/เดือน - ค่าบริหาร office 5,000 บาท/เดอื น 5. ครวั เรือนเกษตรทเ่ี ปน็ เป้าหมายในการดำเนินงานระยะแรก เปน็ ครวั เรือนตวั แบบท่ี 2 และ 3 ท่ีมีระดับรายได้จากภาคการเกษตรประมาณ 50,000 บาท/ครัวเรือน/ปี ดังนั้นโมเดลอาชีพทางเลือก ท่ีเสนอตอ้ งมีรายไดไ้ มน่ อ้ ยกวา่ ระดับดงั กลา่ ว 6. กำหนดครัวเรือนเปา้ หมายทีอ่ ยใู่ นพ้ืนทล่ี มุ่ น้ำชั้นท่ี 1 และ 2 จำนวน 210 ดังน้ี - ครัวเรือนตัวแบบที่ 2 มีจำนวนครัวเรือนเป้าหมาย 100 ครัวเรือน มีรูปแบบอาชีพ ทางเลอื ก 3 รูปแบบ สำหรบั ส่งเสรมิ และสนับสนนุ ดงั น้ี • แพะ 11 ตัว/ครวั เรอื น ครวั เรอื นเป้าหมาย 50 ครัวเรือน • กลว้ ยนำ้ ว้า 5 ไร่ + มะขามเปรยี้ ว 15 ไร่ ครวั เรือนเป้าหมาย 25 ครัวเรือน • กลว้ ยน้ำว้า 5 ไร่ + มะไฟ 5 ไร่ ครวั เรอื นเปา้ หมาย 25 ครวั เรือน - ครัวเรือนตัวแบบที่ 3 มีจำนวนครัวเรือนเป้าหมาย 110 ครัวเรือน มีรูปแบบอาชีพ ทางเลือก 5 รูปแบบ สำหรับส่งเสรมิ และสนบั สนุน ดังนี้ • กลว้ ยน้ำวา้ 10 ไร่ + ผกั หวานปา่ 3 ไร่ + มะขามเปรีย้ ว 7 ไร่ ครวั เรอื นเปา้ หมาย 30 ครัวเรือน • กลว้ ยน้ำว้า 10 ไร่ + หวาย 4 ไร่ + มะขามเปรี้ยว 6 ไร่ ครวั เรือนเป้าหมาย 10 ครัวเรือน • กลว้ ยนำ้ วา้ 10 ไร่ + บุก 5 ไร่ + มะขามเปรย้ี ว 5 ไร่ ครวั เรอื นเป้าหมาย 20 ครวั เรอื น • ไก่ 4 รุ่นๆ ละ 400 ตัว + กลว้ ยน้ำวา้ 2 ไร่ + ผกั หวานป่า 10 ไร่ + มะขามเปรีย้ ว 8 ไร่ ครัวเรอื นเป้าหมาย 30 ครวั เรอื น 23
• ไก่ 4 รนุ่ ๆ ละ 400 ตวั + กลว้ ยนำ้ ว้า 2 ไร่ + หวาย 6 ไร่ + มะขามเปรย้ี ว 12 ไร่ ครัวเรอื นเปา้ หมาย 20 ครวั เรอื น 7. กำหนดให้ทางเลือกในการพัฒนามี 3 รปู แบบ (ดคู วามแตกต่างในตารางที่ 9) ไดแ้ ก่ ทางเลอื กที่ 1: จ่ายเงนิ ค่าเยยี วยาการคืนพ้ืนท่ีปา่ และอดุ หนนุ ราคาขา้ วโพดไมเ่ ผาเป็นระยะเวลา 1 ปี แต่ไม่มีการลงทุนจัดการน้ำ และให้หน่วยประสานและพัฒนาดำเนินงาน ป ร ะส าน กับ ห น่ วยงาน แล ะ ภาคส่ วนท่ี เก่ีย วข้ อง เก่ียวกับ ก าร ให้ สินเชื่อแล ะ ความช่วยเหลอื ตา่ งๆ เช่น การยืมพอ่ -แม่พนั ธุ์ การใหค้ วามรแู้ ละเทคโนโลยี เปน็ ตน้ ทางเลอื กที่ 2: จ่ายเงินค่าเยียวยาการคืนพื้นที่ป่า อุดหนุนราคาข้าวโพดไม่เผาเป็นระยะเวลา 1 ปี และลงทุนจัดการน้ำ ขณะท่ีหน่วยประสานและพัฒนาดำเนินงานประสานกับ หนว่ ยงานและภาคสว่ นทีเ่ กี่ยวข้องเก่ียวกับการให้สนิ เชื่อและความช่วยเหลือต่างๆ เช่น การยมื พอ่ -แมพ่ ันธุ์ การใหค้ วามรแู้ ละเทคโนโลยี เปน็ ตน้ ทางเลอื กท่ี 3: เปน็ ทางเลือกการพฒั นาท่ี Full option โดยมีการจา่ ยเงนิ ค่าเยียวยาการคืนพน้ื ทปี่ ่า อุดหนุนราคาข้าวโพดไม่เผาเป็นระยะเวลา 1 ปี และลงทุนจัดการน้ำ รวมท้ังการ จดั หาแหลง่ สินเชอ่ื ดอกเบีย้ ต่ำให้เกษตรกรก้ยู มื เพ่อื ใช้ในลงทุนในการผลิตปแี รก ตารางท่ี 9 ประมาณการคา่ ใชจ้ ่ายสำหรับแตล่ ะทางเลอื กในการพัฒนา รายการค่าใชจ้ า่ ย รายละเอียด ทางเลือกท่ี 1 ทางเลือกที่ 2 ทางเลือกที่ 3 + การจัดการน้ำ + หาแหล่งสนิ เชื่อ คา่ ใช้จา่ ย ประสานกบั กลไกรัฐ 20,000,000 20,000,000 1) เยยี วยาการคนื พื้นทป่ี ่า ( 4,000 ไร)่ 5,000 บาท/ไร่ 20,000,000 8,610,000 8,610,000 2) อดุ หนุนขา้ วโพดไมเ่ ผา (( 2,050 ไร)่ 2 บาท/กิโลกรัม 8,610,000 60,000,000 60,000,000 3) ลงทนุ ในการจดั การนำ้ 60 ล้านบาท - 4,500,000 4,500,000 4) ค่าดำเนนิ งานของหน่วยประสานและพัฒนา ดำเนินงาน 3 ปี 4,500,000 5) หาแหล่งสนิ เชื่อสำหรบั การผลิต -- - 27,727,300 ทางการเกษตร ครัวเรือนตัวแบบท่ี 2 จำนวน 100 ครวั เรือน - แพะ 11 ตัว 50 ครวั เรอื น 8,877,500 4,737,500 - กลว้ ยน้ำวา้ + มะขามเปรี้ยว/มะไฟ 50 ครวั เรือน ครัวเรือนตัวแบบที่ 3 จำนวน 110 ครัวเรือน - กลว้ ยน้ำวา้ + ผักหวานป่า/หวาย/บกุ 7,308,500 + มะขามเปร้ยี ว 60 ครัวเรอื น - ไก่พน้ื เมอื งขุน + กลว้ ยน้ำวา้ + ผกั หวานป่า/หวาย 6,803,800 93,110,000 120,837,300 + มะขามเปรีย้ ว (ปลูกปีที่ 2) 50 ครวั เรอื น ประมาณการค่าใชจ้ า่ ย รวม 33,110,000 210 ครวั เรือน (ล้านบาท) 24
จากข้อตกลงเบ้ืองตน้ ทง้ั 7 สามารถนำมาคำนวณเปน็ คา่ ใช้จ่ายทตี่ อ้ งใชใ้ นการพัฒนาตามแนวทาง แต่ละทางเลือก โดยในกรณีทางเลือกท่ี 1 จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 33.11 ล้านบาท สำหรับทางเลือกที่ 2 ซง่ึ เพ่มิ การลงทนุ ในการจดั การนำ้ 60 ลา้ นบาท ทำให้มคี ่าใช้จา่ ยรวมสำหรับทางเลือกนป้ี ระมาณ 93.11 ล้านบาท ส่วนทางเลือกท่ี 3 ต้องหาแหล่งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้เกษตรกรในปแี รก จะมคี ่าใช้จ่ายประมาณ 120.84 ลา้ นบาท แต่หลงั จากนน้ั เกษตรจะผอ่ นชำระคืนสนิ เชอ่ื ประมาณ 27.73 ล้านบาท (ดรู ายละเอยี ดในตารางที่ 9) 5. แนวทางยกระดับสมรรถนะเยาวชนบนพน้ื ท่ีสงู แนวทางการยกระดับสมรรถนะเยาวชนบนพื้นท่ีสูงอยู่บนพื้นฐานคุณลักษณะคนไทย 4.0 ท่ีสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านสมรรถนะเชิงดิจิทัล 2) ด้านสมรรถนะเชิงเศรษฐกิจแบบใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ 3) ด้านสมรรถนะเชิงสังคม-วัฒนธรรมไทย และ 4) ด้านสมรรถนะเชิงจิตสาธารณะ โดยมีการดำเนินกิจกรรม เพ่ือสรา้ งกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันกับเยาวชน ผ่านฐานเรยี นรู้ 4 ฐาน ได้แก่ บ้าน (ครัวเรือน) วัด โรงเรียน และชุมชน ซ่ึงเป้าหมายของกิจกรรมที่ดำเนินการมุ่งเน้นวิธีคิดใหม่ (New Mindset) ให้กับเยาวชนบนพ้ืนท่ีสูง ท่ีประกอบด้วย 1) การเป็นผปู้ ระกอบการในทอ้ งถนิ่ (Home-based entrepreneurs) ทไ่ี มต่ อ้ งเขา้ ไปทำงาน ในกรุงเทพฯ หรือในเมือง 2) การเกษตรยุคใหม่ที่ไม่ใช่แค่การผลิต หรือเกี่ยวกับพืชเท่าน้ัน (Agri-oriented activates) และ 3) การตลาดท่ีไม่ใช่แค่ตลาดในพ้ืนที่ อาจรวมถึงตลาดออนไลน์ (Online enterprise) ทั้งนี้ เพื่อสนบั สนุนให้เกิดเยาวชนทร่ี กั หวงแหนบ้านเกิด เป็นผู้ประกอบการยุคใหมใ่ นท้องถิ่น และมีจติ อาสาในการ ให้บริการสังคม เพือ่ ให้เปน็ แกนนำทม่ี ีจิตอาสาร่วมกันพฒั นาชุมชนในอนาคต และลดการอพยพเข้าเมืองของ คนรุ่นใหม่ โดยมีแนวทางการยกระดับสมรรถนะของเยาวชนบนพ้ืนท่ีสูงท้ัง 4 ด้าน ผ่านกจิ กรรมต่างๆ ดังมี รายละเอยี ดพอสังเขปดงั นี้ 1. แนวทางการยกระดับสมรรถนะเชิงดิจิทัล: จัดกิจกรรมเสริมสร้างทักษะและสมรรถนะท่ีเป็น ความรู้ ความสามารถ เช่ียวชาญ เข้าใจใช้และพฒั นาส่ือดิจิทลั (สบื ค้นและใช้งาน สรา้ งสรรค์นวัตกรรมท่ีเป็น เอกลักษณ)์ รวมถึงการสอ่ื สารและประสานงาน 2. แนวทางการยกระดบั สมรรถนะเศรษฐกิจแบบใหม่ในยุคโลกาภวิ ัตน์: จดั กิจกรรมเสริมสรา้ งทักษะ และสมรรถนะท่ีเป็นการวิเคราะห์และสังเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจภายนอกให้สามารถเชื่อมโยงกับ เศรษฐกจิ ชุมชน 3. แนวทางการยกระดับสมรรถนะเชิงสังคม-วัฒนธรรมไทย: จัดกิจกรรมเสริมสร้างทักษะและ สมรรถนะที่นำมาส่กู ารรกั ถ่นิ ฐาน รกั บ้านเกิด (อยบู่ ้าน) ปฏิสมั พันธ์ระหว่างคนในชมุ ชนท่เี ปน็ ทุนสงั คม (Social capital) ในการขับเคลื่อนสังคมร่วมกัน และเชือ่ มโยงแลกเปล่ยี นประสบการณ์และความรรู้ ะหวา่ งกลุ่มต่างๆ ภายในชมุ ชน 4. แนวทางการยกระดับสมรรถนะเชิงจิตสาธารณะ: จดั กิจกรรมเสริมสร้างทักษะและสมรรถนะท่ี กระตุ้นและสรา้ งจิตสำนึกในการทำประโยชนเ์ พือ่ ส่วนรวม ชว่ ยเหลอื ชุมชนและ/สังคม และรูจ้ กั แบ่งปัน 25
สำหรบั ขนั้ ตอนการยกระดับสมรรถนะของเยาวชนบนพ้นื ทีส่ ูง มี 4 ขัน้ ตอน ดังน้ี 1. สำรวจศักยภาพเครือข่าย และความพร้อมของพื้นท่ี: สำรวจสภาวะแวดล้อม เพื่อประเมิน ศักยภาพและความพร้อมด้านบุคลากร องค์ความรู้ และสถานที่ ของเครือข่ายและฐานเรียนรู้ต่างๆ ในพ้ืนท่ี เช่น โรงเรียน ชุมชนเกษตร วัด ครัวเรือน สภาชุมชน กลุ่มแม่บ้าน วิสาหกิจชุมชน แกนนำเกษตรกร ฯลฯ รวมถึงเยาวชนกลมุ่ เปา้ หมาย ผลผลิตของข้ันตอนที่ 1 ได้แก่ 1) ฐานเรียนรู้ท่ีมีศักยภาพและพร้อมดำเนินงาน 2) องค์ความรู้ สำหรับออกแบบกิจกรรมฐานเรยี นรู้ เชน่ ความร้ดู า้ นการผลติ พืช ปศสุ ตั ว์ ประมง ความรดู้ า้ นการตลาด เป็นต้น และ 3) เยาวชนกลุม่ เปา้ หมาย 2. การพัฒนาและออกแบบกจิ กรรม: 1) ประชมุ สรา้ งความเข้าใจและการมสี ่วนร่วมของผู้มีส่วนเกีย่ วข้อง โดยตรง 2) ออกแบบกิจกรรมในฐานเรยี นรแู้ ละสร้างตวั ชีว้ ดั 3) วางแผนและปฏทิ ินการดำเนนิ งานที่สอดคล้องกับ ช่วงเวลาท่ีสะดวกของผู้ที่เก่ียวข้อง 4) สร้างและเตรียมเครื่องมือ/อุปกรณ์สำหรับดำเนินกิจกรรม และ 5) ประสานงานผ้มู สี ่วนเกี่ยวข้องเพอ่ื เตรยี มความพรอ้ มในการดำเนนิ งาน ผลผลิตของขั้นตอนท่ี 2 ได้แก่ 1) คณะทำงานและผ้มู สี ว่ นร่วม 2) กจิ กรรมการยกระดบั สมรรถนะ เยาวชนพร้อมตวั ชี้วัด และ 3) เคร่อื งมือ/อปุ กรณส์ ำหรบั ดำเนินกจิ กรรม 3. การดำเนินกิจกรรม: 1) ติดต้ังและทดสอบระบบ พร้อมทั้งประชุมทำความเข้าใจกับทีมดำเนิน กจิ กรรม และ 2) ดำเนนิ กิจกรรมตามแผนที่วางไว้ ผลผลิตของขนั้ ตอนท่ี 3 ได้แก่ 1) กระบวนการเรยี นรู้ เพอ่ื ยกระดบั สมรรถนะเยาวชน 2) กลุ่มเยาวชน ทีไ่ ด้รับการยกระดับสมรรถนะ และ 3) ผลผลิตสืบเนื่องจากกิจกรรม เช่น ผลผลิตทางการเกษตร รายได้จาก การขายสนิ ค้า เป็นตน้ 4. การตดิ ตามและประเมินผล: การตดิ ตามมเี ป้าหมายเพ่ือ 1) ให้เปน็ ไปตามแผนท่ีวางไว้ 2) รับฟังปญั หา และแนวทางการแก้ไขปัญหา และ 3) ค้นหาองค์ความรู้ หรือกระบวนการเรียนรู้ใหม่ของเยาวชน โดยประยกุ ต์ใช้ แนวทางปฏบิ ัติการอย่างมสี ว่ นรว่ ม (Participatory) และวธิ ตี ดิ ตามทเี่ หมาะสมกับบรบิ ทของกลุ่มเยาวชน และ ทำการวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ในทุกฐานและทุกข้ันตอน โดยนำผลได้ตามตัวชี้วัดจากการดำเนินงานมา เทียบกับคา่ เปา้ หมาย ผลผลติ ของข้ันตอนที่ 4 ได้แก่ 1) เครอื่ งมือติดตามการดำเนินกิจกรรม 2) แนวทางแก้ไขปัญหา เฉพาะหนา้ และ 3) ผลสัมฤทธท์ิ แ่ี สดงถงึ ทกั ษะและสมรรถนะทเี่ พิ่มขึน้ 6. ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาบนพ้นื ท่ีสูง จากการศกึ ษาสามารถแบง่ ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบายออกเปน็ 3 กลุ่ม ดงั น้ี 6.1 ข้อเสนอแนะเชิงโยบายท่ีเกยี่ วกบั การพัฒนาเศรษฐกจิ ครวั เรอื น 1) เกษตรกรส่วนใหญ่มีอายุมากมีทักษะและประสบการณ์กับอาชีพเดิมอย่างพืชไร่และไม้ผล ดังน้ันอาชพี ทางเลือกใหมค่ วรสอดคล้องกับทักษะและประสบการณ์เดิม และควรเป็นอาชีพท่ใี ช้กาํ ลังแรงงาน และพ้ืนทน่ี ้อย แตใ่ ช้ความใสใ่ จและประณีต เชน่ พชื ผักปลอดภัย พชื ผกั โรงเรอื น ปศุสัตว์ ประมง เป็นต้น หรือ มีการส่งเสริมให้มกี ารใชเ้ ทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตที่เหมาะสม 26
2) เนื่องจากแรงงานเกษตรของครัวเรือนมีน้อยและสูงอายุ ดังนั้นในการผลิตพืชไร่ต้องมี การรวมกลุ่ม (และ/วิสาหกิจ) แล้วทำการผลิตในลักษณะแปลงใหญ่ท่ีใช้เทคโนโลยีช่วยในการผลิต เช่น เครื่องจักรกล ระบบการให้น้ำ เป็นต้น เพื่อแชร์ต้นทุน ขณะเดียวกันก็เพ่ือได้ปริมาณผลผลิตที่คุ้มกับต้นทุน การขนสง่ ไปจําหนา่ ยเอง ณ ตลาดปลายทาง รวมทงั้ มีการวางแผนการผลิตและการจดั การร่วมกนั เพอื่ เช่อื มโยง เกษตรกรรมแปลงเล็กแปลงน้อยใหม้ ีขนาดที่สามารถรองรับเทคโนโลยีและการจัดการการผลติ ใหม่ๆ โดยอาจมี คนวยั หนุม่ สาวเป็นผ้ใู ห้บรกิ าร (Service provider) ทไ่ี มใ่ ช่ผ้ผู ลติ แต่เป็นผู้ประสานงานภายในชมุ ชน 3) เนื่องจากไม้ผลเศรษฐกิจท่ีสำคัญของครัวเรือน เช่น ล้ินจี่ ส้ม เป็นต้น ปัจจุบันมีอายุ คอ่ นข้างมาก ต้องพึ่งพาสภาพอากาศหนาวเย็น และใช้เคมีภัณฑ์เพื่อการผลิตสูงจึงจะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ตรงกับความต้องของการตลาด อย่างไรก็ตาม เกษตรกรมีทัศนคติท่ีต้องการจะลดการใช้เคมีภัณฑ์เหล่าน้ี ดงั นั้นจึงควรสง่ เสรมิ ใหเ้ กษตรกรปรบั เปลย่ี นประเภทของไม้ผล โดยให้เป็นไปตามความเหมาะสมของพน้ื ที่และ โอกาสทางการตลาด เชน่ มะมว่ ง เงาะ ฯลฯ เปน็ ตน้ หรือเปลี่ยนเปน็ ไมย้ นื ตน้ ทสี่ ามารถสรา้ งรายไดต้ ลอดท้ังปอี ยา่ ง ยางพารา แต่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของพื้นที่และ/ให้ใช้วิธีการปลูกท่ีแตกต่างจากเดิม เช่น ในกรณีของ ยางพาราในพ้ืนทีส่ ูงชัน ควรปลูกดว้ ยเมลด็ แล้วคอ่ ยตดิ ตา แทนการปลกู ยางชําถุง เป็นต้น 4) เน่ืองจากบางนโยบายของภาครัฐอาจนํามาสู่การผลิตท่ีไม่มีประสิทธิภาพและ/เกษตรกร ผลติ แบบไม่ตง้ั ใจ เชน่ นโยบายการชว่ ยเหลือในลักษณะของการประกันราคาและ/การจาํ นองผลผลติ เป็นต้น ดงั น้ันภาครัฐควรใช้นโยบายในลกั ษณะอืน่ ทกี่ ระตนุ้ ให้เกดิ การผลติ ท่ีมปี ระสทิ ธิภาพและ/ต้ังใจในการผลติ เช่น การสนับสนนุ งบประมาณให้ครัวเรือนเกษตรทผ่ี ลิตผลผลิตเหมือนกัน ตง้ั วิสาหกิจชุมชนเพื่อรวบรวมผลผลิต แล้วนําไปขายต่อให้กบั ตลาดปลายทาง เพ่ือให้เกดิ กลไกการควบคมุ คุณภาพภายในกล่มุ ผ้ผู ลิต เปน็ ตน้ 5) เน่ืองจากจังหวัดน่านมีข้อจํากัดในเร่ืองของต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงกว่าพื้นท่ีอื่นๆ ซง่ึ เป็นหนึ่งใน เง่ือนไขที่ทำให้ต้องมีผลผลิตที่เพียงพอต่อการขนส่ง ดังนั้นภาครัฐจึงควรการสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดร้านค้า ชมุ ชนและ/แหล่งรวบรวมผลผลิตภายในชมุ ชนเพื่อเปน็ ศนู ยก์ ลางตดิ ตอ่ และขายผลผลิตใหก้ บั ผูร้ ับซอ้ื ภายนอก นอกจากนี้ จากการขยายตัวของธุรกิจส่งของและการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคท่ีหันไปสั่งซื้อของทาง Online มากขึน้ ภาครฐั ควรพัฒนา Platform ร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับให้ชุมชนค้าขายผลผลติ บางประเภท ทงั้ ภายในพน้ื ท่ี ชุมชน/ต่างอำเภอ/ต่างจงั หวัด (ขยายตลาดให้กว้างมากข้นึ ) 6) ในการสง่ เสรมิ การผลิตทางการเกษตรควรเลอื กกิจกรรมการผลิตทส่ี ามารถส่งเสริมไดต้ ลอด หว่ งโซอ่ ุปทาน (Supply chain) เพ่ือให้เกิดความต่อเน่ืองในการการสร้างมูลค่าเพมิ่ ที่มาจากการแปรรูปและ การมีตลาดรองรับทแ่ี น่นอน เชน่ กรณไี ก่พ้นื เมืองที่ตอ้ งส่งเสริมตง้ั แต่การผลิตลูกไก่ การเลี้ยงไก่ขุน การชาํ แหละ การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ จนถึงการทำการตลาดทั้งภายในชุมชนทเ่ี ป็นตลาดทอ้ งถ่นิ (รองรับที่แนน่ อน) และนอกชมุ ชนที่ตอ้ งอาศยั การพฒั นามาตรฐาน 6.2 ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับโมเดลอาชพี ทางเลอื กและหว่ งโซอ่ ุปทาน 1) โมเดลอาชีพทางเลือกในพ้ืนที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1, 2 ซึ่งมีพ้ืนท่ีกว่า 9 แสนไร่ ในจังหวัดน่าน การ พฒั นาอาชีพเกษตรทย่ี ัง่ ยืน ควรพัฒนาระบบเกษตรใหเ้ ปล่ียนผ่านจากระบบการผลิตเกษตรเชิงเดี่ยวเปน็ ระบบ เกษตรผสมผสานและบูรณาการการปลูกพืชทมี่ ีศักยภาพ 2 ชนิด และเสรมิ ด้วยปศสุ ตั ว์หรอื ประมง ทง้ั นตี้ ้องมี 27
การสนบั สนุนโครงสรา้ งพ้ืนฐาน โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงการจดั การน้ำ และมกี ารจดั การโครงการพัฒนาแบบบูรณา การในพ้ืนที่ ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต พี่เล้ียงและหน่วยประสานงานในพ้ืนที่ พร้อมทั้งสนับสนุนให้เกิด การเข้าถึงแหล่งเงินทุนและโอกาสทางการตลาดให้แก่เกษตรกรท่ีต้องการระยะเวลาปรับตัว (กลุ่มท่ีต้อง ปรบั เปล่ยี นอาชีพ) และกลุ่มครัวเรือนที่มหี น้ีสูง (ต้องการการปรบั โครงสรา้ งหนี้) 2) ทางเลือกสำหรับระบบการผลิตการเกษตรใหม่ เช่น กัญชง (ผลิตเส้นใย) หม่อน ผ้ึง แพะ ประมง เป็นต้น ต้องมีการทดสอบความเป็นไปได้ของพืช/ปศุสัตว์ในพ้ืนที่จริงก่อนท่ีจะดำเนินการจัดทำเป็น โครงการส่งเสริมและจัดการในระดบั พื้นที่ 3) การพัฒนาโซ่อุปทานสำหรับเมนูอาชีพท่ีมีศักยภาพ มีความจำเป็นต้องพัฒนาต่อยอดให้เกิด มูลค่าเพ่ิมในการแปรรปู และการตลาด จนกว่าธุรกิจชุมชนของเกษตรกรจะเข้มแข็งและแข่งขันได้ ดังน้ันจึงต้อง ไดร้ บั การสนบั สนุนเทคโนโลยี การพฒั นาผลติ ภัณฑ/์ บรรจภุ ณั ฑ์ การสรา้ งแบรนด์ การจดั การตลาด และสนับสนุน การสร้างอาชพี ใหม่ ซึ่งต้องการเข้าถงึ แหล่งเงินทุนและเทคโนโลยีทเี่ หมาะสม โดยมีหน่วยงานที่เกยี่ วขอ้ งในพื้นที่ ให้การสนบั สนนุ อย่างต่อเนอ่ื ง 4) การพฒั นาอาชพี การเกษตรสำหรับเกษตรกรท่ตี อ้ งการเปลีย่ นอาชีพ และกลุม่ เกษตรกรทยี่ ัง พึ่งพาตนเองไม่ได้ ซึ่งมีพื้นที่จำกัด/ห่างไกล/ดินไม่อุดมสมบูรณ์ ควรพัฒนาให้เป็นวิสาหกิจชุมชนในลักษณะ เศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing economy) เพื่อให้เกิดการจัดการพ้ืนท่ีขนาดใหญ่รว่ มกัน เกิดการใช้ประโยชน์ ในโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐไดล้ งทนุ ไว้ และทำใหเ้ กดิ ความสามารถในการชำระหน้ี 5) การนำโมเดลอาชีพทางเลือกไปขยายผลให้เกิดความสมดุลของมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และ ทรัพยากรธรรมชาติในพ้ืนที่สูงอ่ืนๆ ของจังหวัดน่าน หรือในพ้ืนที่จังหวัดอ่ืนในภาคเหนือตอนบนท่ีมีบริบท คล้ายคลึงกัน โดยมีงบประมาณสนับสนุนให้เกดิ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและเอกชน เช่น เยียวยาการคืน พ้ืนทปี่ ่า อุดหนนุ ข้าวโพดไมเ่ ผา เป็นตน้ ภาครัฐควรมีนโยบายและมาตรการสนับสนนุ เชน่ ลงทุนในการจัดการน้ำ หาแหลง่ สนิ เช่อื เป็นตน้ ที่มเี ปา้ หมายของระยะเวลาการปรบั เปลีย่ นไม่น้อยกวา่ 5 ปี 6) โมเดลอาชพี ทางเลอื กจากการศึกษาในครั้งน้ี ควรนำไปส่กู ารขบั เคลื่อนให้เกดิ เปน็ เครือข่ายหรือ ธุรกิจชุมชนในพ้ืนที่จริง โดยเฉพาะโมเดลอาชีพทางเลือกท่ีเสริมด้วยปศสุ ัตว์/ประมง หรอื พืชใหม่ที่สอดคลอ้ งกับ ความต้องการของชุมชน เพ่ือนำไปสู่การเป็นต้นแบบและเกิดการขยายผลในจังหวัดน่าน หรือพื้นที่ภาคเหนือ ตอนบนท่ีมีบรบิ ทคลา้ ยคลึงกนั 6.3 ขอ้ เสนอแนะเชิงโยบายสำหรบั การยกระดับสมรรถนะเยาวชน 1) เยาวชนบนพื้นท่ีสงู ควรได้รบั การเสรมิ สรา้ งสมรรถนะอย่างนอ้ ย 2 ด้าน คือ ดา้ นเศรษฐกจิ ยุคใหม่ และด้านดิจิทัล เพ่ือบรรลุเป้าประสงค์ด้านอาชีพให้สามารถเข้าสู่งานบริการและงานวิชาชีพเฉพาะ โดยการ รวมกลมุ่ เยาวชนให้เกดิ วสิ าหกจิ เยาวชนในพ้นื ท่ี ด้วยการจัดทำโครงการเช่อื มโยงหน่วยงานทีส่ นับสนุนในพ้นื ท่ี สร้างเครือข่ายให้เยาวชน เพื่อพัฒนาห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพในชุมชนให้สามารถสร้าง platforms การตลาดออนไลน์ และการตลาดแบบ pre-order แก่เยาวชนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการ แกป้ ญั หาดา้ นการตลาดและการสร้างเครือขา่ ยการตลาด 28
2) แนวทางการส่งเสริมยกระดับสมรรถนะเยาวชน ควรผ่านสถาบัน หรือส่ืออันมีองค์ประกอบ 5 ส่วน ได้แก่ บ้าน วัด โรงเรียน ชุมชน และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือใหเ้ ยาวชนร้ทู ันสถานการณ์ และ ปรับตวั ให้ทันกับโลกยคุ โลกาภิวตั น์ โดยเฉพาะการค้นคว้าข้อมลู การเรียนร้นู อกห้องเรียน ดังนั้นภาครัฐควรให้ การสนับสนุนในการลดความเหล่ือมล้ำของเยาวชนบนพื้นที่สูงกับเยาวชนในชมุ ชนเมืองในการเข้าถึงการใช้ ประโยชน์ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 3) เยาวชนสนใจอาชพี การเกษตรในฐานะอาชพี เสรมิ การลดการเคลื่อนยา้ ยเยาวชนจากชุมชนสู่ ชุมชนเมอื ง/เมืองหลวง ควรขยายโอกาสหรือสรา้ งแนวทางการเปน็ ผู้ประกอบการ/ผู้แปรรูป หรือสรา้ งมลู ค่าเพิ่ม ที่ชุมชนมีศักยภาพการผลิต โดยอุตสาหกรรมจังหวัด พาณิชย์จังหวัด ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ การเกษตร (ธ.ก.ส.) สามารถสร้างความร่วมมือในการพัฒนาสนับสนุนและผลักดันเพ่ือสร้างเยาวชนให้เป็น นักธรุ กิจกลุ่ม start up 29
บรรณานกุ รม กรมอุตนุ ยิ มวิทยา. 2556. ภมู อิ ากาศจงั หวัดน่าน. กรุงเทพฯ: กรมอตุ ุนิยมวิทยา. สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยอี วกาศและภมู ิสารสนเทศ (องค์การมหาชน):GISTDA. 2562. พน้ื ทเ่ี ผาไหม้บริเวณ จังหวัดน่านชว่ งวันที่ 1 มกราคม – 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562. กรงุ เทพฯ: สำนกั งานพฒั นาเทคโนโลยี อวกาศและภมู ิสารสนเทศ (องค์การมหาชน). สำนกั งานสถติ ิจังหวัดน่าน. 2562. สถานการณ์ความยากจนของจังหวัดนา่ น ปี 2561. น่าน: สำนักงานสถติ ิ จังหวัดน่าน. 30
Search
Read the Text Version
- 1 - 48
Pages: