Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 20200914_หนังสือการตัดสินใจในระยะท้ายของชีวิตกับสังคมไทย

20200914_หนังสือการตัดสินใจในระยะท้ายของชีวิตกับสังคมไทย

Published by pawnin.chaiyabat, 2020-09-13 22:34:04

Description: 20200914_หนังสือการตัดสินใจในระยะท้ายของชีวิตกับสังคมไทย

Keywords: การุณยฆาต,การตัดสินใจระยะท้าย,การตัดสินใจในระยะท้ายของชีวิตกับสังคมไทย,คนไทย4.0

Search

Read the Text Version

ในการเขา้ ถงึ การดแู ลแบบประคบั ประคองอยา่ งถว้ นหนา้ (Universal Access to Pallia- tive Care Services) ควรเปน็ เงอื่ นไขทสี่ ำ� คญั ของการมกี ฎหมายการณุ ยฆาต (เพราะหาก การดแู ลแบบประคบั ประคองมไี มเ่ พยี งพอแลว้ กอ็ าจมปี ระชาชนจำ� นวนมากเกนิ ไปทจ่ี ะ เลอื กจบชวี ติ ด้วยการณุ ยฆาต) และ (2) ภายใตก้ ฎหมายการณุ ยฆาต แพทยค์ วรมสี ทิ ธิ ในการปฏเิ สธการกระทำ� การณุ ยฆาต อกี ทง้ั หนว่ ยดแู ลแบบประคบั ประคอง (Palliative Care Units) ในสถานพยาบาลกไ็ มค่ วรเป็นหน่วยงานที่รบั ผดิ ชอบกระทำ� การุณยฆาต เพราะอาจสรา้ งความสับสนในการปฏบิ ตั ิงานได้ 40

ตารางที่ 2.3 ตวั อยา่ งของงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ทศั นคตแิ ละการยอมรบั ตอ่ ทางเลอื กในการยตุ ชิ วี ติ ของผปู้ ว่ ยระยะทา้ ย ผเู้ ขยี น วัตถุประสงค์ ระเบียบวิธวี ิจัย กล่มุ ตวั อย่าง ผลการศกึ ษา Cohen et al. (2012) เพ่อื ศึกษาแนวโน้มของการยอมรับ การวิเคราะหแ์ นวโน้มและการ ข้อมลู มาจากการส�ำรวจ กลุม่ ตวั อย่างในประเทศในแถบยโุ รปตะวนั Kouwenhoven et al. (2012) การณุ ยฆาตของสาธารณชน ทดสอบนัยส�ำคญั ของสถติ ิ European Values Survey ตกส่วนมาก (11 ประเทศจาก 13 ประเทศ) ในทวีปยุโรป 23 ประเทศ เชิงพรรณนา ในปี 1981, 1990, 1999 มีแนวโน้มทจ่ี ะยอมรบั การุณยฆาตมากข้นึ Cohen et al. (2014) ในช่วงปี ค.ศ. 1981-2008 และ 2008 (N = 102,701) อยา่ งต่อเนื่องในชว่ งปี ค.ศ. 1981-2008 ใน เพื่อศกึ ษาทัศนคติต่อกฎหมาย การทดสอบนัยสำ� คัญของสถิติ ขณะท่ีกลมุ่ ตัวอย่างในประเทศในแถบยโุ รป เชงิ พรรณนา การุณยฆาตของบุคลากรทางการแพทย์ ตะวนั ออกส่วนมาก (8 ประเทศ จาก ในประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ การทดสอบนัยสำ� คญั ของสถิติเชงิ 10 ประเทศ) มีแนวโน้มทจ่ี ะยอมรบั เพอื่ ศกึ ษาระดับการยอมรบั พรรณนา สมการถดถอย การุณยฆาตน้อยลง หรือไม่เพม่ิ ขนึ้ การณุ ยฆาตของสาธารณชน และการวเิ คราะหค์ ลสั เตอร์ ในทวปี ยุโรป 47 ประเทศ (Cluster Analysis) ในปี ค.ศ. 1990-2008 ในปี ค.ศ. 2008 41 ข้อมูลปฐมภูมิมาจากการสำ� รวจ แพทยแ์ ละพยาบาลเห็นดว้ ยกับกฎหมาย แพทย์ 793 คน และ พยาบาล โดยรอ้ ยละ 33 และรอ้ ยละ 58 ของแพทย์ 1,243 คน ในช่วง 8 ปีหลงั จากท่ี และพยาบาลเหน็ ดว้ ยกบั การอนญุ าตให้ระบุ ความประสงคใ์ หก้ ารกระทำ� การณุ ยฆาตใน มกี ฎหมายการุณยฆาต พินยั กรรมชีวิตได้ ตามลำ� ดบั ประชาชนในประเทศในแถบยโุ รปตะวันตกมี การยอมรบั การกระทำ� การณุ ยฆาตทส่ี ูงกว่า ประเทศในแถบยุโรปตะวันออกอยา่ งชดั เจน ในภาพรวมของท้งั ทวีป การยอมรับการ กระทำ� การุณยฆาตอยใู่ นระดับตำ่� ถงึ ปาน ข้อมลู มาจากการส�ำรวจ กลาง โดยมีประเทศทม่ี ีระดบั การยอมรับ European Values Survey ในปี ทีส่ งู เปน็ พเิ ศษ 7 ประเทศ ไดแ้ ก่ เบลเยยี ม ลักเซมเบริ ก์ เนเธอรแ์ ลนด์ ฝรั่งเศส สเปน 2008 (N = 67,786) เดนมาร์ก และสวีเดน ทัง้ นี้ ในประเทศ 3 ประเทศแรก การณุ ยฆาตเป็นการกระทำ� ที่ ถกู กฎหมายแล้ว แตใ่ นอีก 4 ประเทศ ทเี่ หลือ การุณยฆาตยงั ผิดกฎหมายอยู่

ผู้เขียน วัตถุประสงค์ ระเบียบวิธวี จิ ยั กลุม่ ตวั อยา่ ง ผลการศึกษา Danyliv and O’Neill (2015) เพือ่ ศึกษาทศั นคตติ อ่ การทำ� ให้ การทดสอบนยั ส�ำคญั ของสถิติ 42 การฆา่ ตวั ตายโดยความช่วยเหลือ เชงิ พรรณนา และสมการถดถอย ข้อมลู มาจากการส�ำรวจ British ประชาชนในประเทศสหราชอาณาจกั รมี Kranidiotis et al. (2015) Social Attitudes Survey ใน แนวโน้มที่จะสนับสนนุ ให้การฆา่ ตวั ตายโดย ของแพทยถ์ ูกกฎหมาย การวิเคราะห์เชิงปรมิ าณแบบ ปี 1983, 1984, 1989, 1994, ความชว่ ยเหลือของแพทยเ์ ป็นการกระทำ� ที่ ในประเทศสหราชอาณาจักร พรรณนา 2005 และ 2012 (N = 8,099) ถกู กฎหมายเพิ่มขึ้นเร่อื ยๆ โดยสัดส่วนของ ในช่วงปี ค.ศ. 1983-2012 การเกบ็ ข้อมลู ปฐมภูมแิ บบสะดวก ประชาชนทเ่ี หน็ ด้วยกับนโยบายดงั กล่าว (Descriptive เพมิ่ ขึ้นจากรอ้ ยละ 76.95 ในปี ค.ศ. 1983 เพอ่ื ศกึ ษาทศั นคตติ ่อการณุ ยฆาตของ Quantitative Analysis) ของกลุ่มตัวอย่าง เปน็ ร้อยละ 83.86 ในปี ค.ศ. 2012 ปจั จยั บุคลากรทางการแพทย์ในแผนก ICU ใน (Convenient Sample) ท่ีสำ� คัญทส่ี ุดในการอธบิ ายความเข้มขน้ ที่ ทป่ี ระกอบไปดว้ ยแพทย์ 39 คน เพิ่มขน้ึ ของการสนบั สนนุ ดงั กลา่ ว คอื การ ประเทศกรีซ ในปี ค.ศ. 2010 และพยาบาล 107 คน ลดลงของความเครง่ ศาสนา (Religiosity) โดยท้งั หมดท�ำงานในแผนก ICU ของประชาชน และสดั สว่ นทเ่ี พ่ิมขน้ึ ของ ของโรงพยาบาล 2 แห่ง ประชาชนทบ่ี อกว่าตนเองไม่มีศาสนา ในกรุงเอเธนส์ (Religious Affiliation) รอ้ ยละ 28 และ 26 ของแพทย์และ พยาบาลในกลุม่ ตัวอยา่ ง เหน็ ดว้ ยกบั การกระท�ำการุณยฆาต และรอ้ ยละ 59 และ 64 ของแพทย์และ พยาบาลในกลมุ่ ตัวอย่างสนับสนุนให้รัฐ ทำ� ให้การุณยฆาตเปน็ การกระท�ำที่ถกู กฎหมาย กลา่ วคอื แม้บุคลากรทางการ แพทย์กลุ่มหน่ึงจะไม่เห็นด้วยกับการุณย ฆาต แตห่ ากการุณยฆาตเปน็ การกระทำ� ท่ี ถกู กฎหมายแลว้ ก็จะปฏิบตั ิตาม ทั้งน้ี ผลการศึกษาอาจไมส่ ะท้อนความคิดเหน็ ของบคุ ลากรทางการแพทย์ท้งั ประเทศ เพราะกล่มุ ตวั อย่างมีจ�ำนวนน้อย และอยใู่ น แผนก ICU ซึง่ เผชญิ กับความเป็นความตาย มากกว่าบุคลากรทางการแพทย์ในแผนกอน่ื จงึ อาจมีความคิดเห็นในเชงิ บวกกับการเรง่ การยตุ ชิ ีวิตมากกวา่ กลมุ่ อื่นๆ ดว้ ย

ผ้เู ขยี น วตั ถปุ ระสงค์ ระเบียบวธิ ีวิจัย กลุ่มตัวอยา่ ง ผลการศกึ ษา Marsala (2019) เพือ่ ศึกษาทัศนคติต่อการุณยฆาต การวิเคราะห์แนวโน้ม ขอ้ มูลมาจากการสำ� รวจ กล่มุ ตวั อย่างมแี นวโนม้ ทจ่ี ะเหน็ ด้วยกบั ของประชาชนในประเทศสหรฐั อเมรกิ า และสมการถดถอย General Social Survey 16 การุณยฆาตเพม่ิ ขนึ้ เรื่อยๆ โดยกลุ่ม รอบ ในช่วงปี ค.ศ. 1985-2004 ประชากรทม่ี คี วามน่าจะเป็นในการท่จี ะ ในช่วงปี ค.ศ. 1985-2004 เหน็ ดว้ ยกบั การุณยฆาตมากทส่ี ดุ คอื กลุม่ (N = 6,638) Baby Boomers (เกดิ ปี ค.ศ. 1946-1965) กลุม่ ท่ีมคี วามคดิ ทางการเมอื งแบบเสรีนยิ ม 43 และกลุ่มทไ่ี ม่เครง่ ศาสนา โดยผวู้ ิจยั อธิบาย วา่ Baby Boomers นับคนเปน็ ร่นุ แรกของ ประเทศสหรัฐอเมริกาท่ีมศี าสนา หรอื เครง่ ศาสนาลดลงจากเดิมมาก และพวกเขายังได้ สง่ ผา่ นความเครง่ ศาสนาท่ลี ดลงนไี้ ปยงั รนุ่ ลกู ท�ำใหค้ นในปัจจุบนั เห็นด้วยกบั การุณยฆาตเพิม่ ขนึ้

2.3.2 พฤติกรรมการยตุ ชิ วี ิตของผู้ป่วยระยะทา้ ย ตวั อยา่ งของการศกึ ษาเชงิ ประจกั ษท์ เี่ กยี่ วขอ้ งกบั พฤตกิ รรมการยตุ ชิ วี ติ ของผปู้ ว่ ยระยะ ท้ายได้แสดงไว้ในตารางท่ี 2.4 จะเห็นได้ว่า การศึกษาในกลุ่มน้ีจัดท�ำท้ังในประเทศ หรือพื้นที่ที่มีกฎหมายรองรับทางเลือกในการยุติชีวิตต่างๆ ของผู้ป่วยระยะท้ายแล้ว และประเทศทีย่ งั ไม่มกี ฎหมายรองรับการกระท�ำดงั กลา่ ว ท้ังน้ี ในประเทศทม่ี กี ฎหมาย การณุ ยฆาต การศกึ ษาจำ� นวนหนง่ึ ทำ� การเปรยี บเทยี บอตั ราการเสยี ชวี ติ อนั สบื เนอ่ื งจาก การกระท�ำดังกล่าวในช่วงก่อนและหลังมีกฎหมาย เพ่ือทดสอบว่ากฎหมายท�ำให้ พฤติกรรมของประชาชนและแพทย์เปล่ียนแปลงไปหรือไม่ ส่วนในประเทศท่ียังไม่มี กฎหมายการณุ ยฆาต จะเหน็ ได้ว่า การยอมรบั ต่อทางเลอื กในการยตุ ิชวี ติ ของบคุ ลากร ทางการแพทย์ที่สะท้อนผ่านพฤติกรรมของแพทย์ เป็นหัวข้อที่มีการศึกษามากที่สุด เนื่องด้วยเป็นปัจจัยที่น่าจะส่งผลมากที่สุดต่อความเป็นไปได้ของการมีกฎหมาย ในอนาคต (Onwuteaka-Philipsen et al., 2012) การศกึ ษาทงั้ หมดพจิ ารณาผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ใน “ตลาด” 2 กลมุ่ ไดแ้ ก่ ประชาชน (อปุ สงค์ ของทางเลือกในการยุติชีวิต) ซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจรับบริการโดยสมัครใจ และบุคลากร ทางการแพทย์ (อุปทานของทางเลือกในการยุติชีวิต) ซ่ึงเป็นผู้ให้บริการโดยสมัครใจ โดยการศกึ ษาทงั้ หมดพจิ ารณาถงึ ผลลพั ธข์ องปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งประชาชนและบคุ ลากร ทางการแพทย์ (ดุลยภาพในตลาด) ท่ีสะท้อนผ่านสถิติการร้องขอการเร่งการตายของ ผปู้ ว่ ย หรอื สถติ กิ ารรบั การรอ้ งขอของแพทย์ หรอื สถติ ลิ กั ษณะของการตายจากฐานขอ้ มลู ใบมรณบตั ร (Death Certificates) ผลของการศกึ ษาในตารางที่ 2.4 สอดคลอ้ งกันในหลายประการ ดังน้ี (1) ในทุกประเทศท่ีมีการศึกษา ท่ีประกอบไปด้วยประเทศท่ีมีกฎหมาย การุณยฆาต ทงั้ ในช่วงกอ่ นและหลังมีกฎหมาย และประเทศที่ไม่มีกฎหมาย ดังกลา่ ว บคุ ลากรทางการแพทยเ์ คยได้รับการรอ้ งขอใหก้ ระท�ำการณุ ยฆาต หรอื ชว่ ยเหลอื ใหผ้ ปู้ ว่ ยฆา่ ตวั ตาย อกี ทงั้ บคุ ลากรทางการแพทยก์ เ็ คยกระทำ� การุณยฆาตหรือช่วยเหลือให้ผู้ป่วยฆ่าตัวตายด้วยตัวเอง หรือเคยเห็นผู้อื่น กระทำ� การดงั กลา่ ว 44

(2) ในประเทศที่มีกฎหมายการุณยฆาต จ�ำนวนของผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ยื่น ค�ำร้องให้กระท�ำการุณยฆาตคิดเป็นสัดส่วนต่อประชากร (ท่ีสามารถย่ืน ค�ำร้องได้) ท่ีไม่ได้สูงมากนัก และสัดส่วนของค�ำร้องท่ีได้รับการตอบสนอง โดยบคุ ลากรทางการแพทยก์ ม็ จี ำ� กดั เชน่ ในประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ ในปี ค.ศ. 2005 สัดส่วนของผู้ยื่นค�ำร้องให้กระท�ำการุณยฆาตคิดเป็นร้อยละ 7 ของ ผปู้ ว่ ยระยะสดุ ทา้ ยทงั้ หมด และเพยี งประมาณรอ้ ยละ 20 ของคำ� รอ้ งทงั้ หมด ไดร้ บั การตอบสนองโดยแพทย์ (Onwuteaka-Philipsen et al., 2010) (3) ประชากรท่ีเลือกยุติชีวิตด้วยการกระท�ำการุณยฆาตหรือการฆ่าตัวตายโดย ความช่วยเหลือของแพทย์มีคุณลักษณะร่วมกัน ได้แก่ อยู่ในวาระสุดท้าย ของชวี ติ เปน็ ผปู้ ว่ ยมะเรง็ มโี รคเรอื้ รงั หรอื มโี รคทางระบบประสาท เพศชาย และมกี ารศึกษาสงู (Levene and Parker, 2011; Materstvedt et al., 2003; Onwuteaka-Philipsen et al., 2010; Steck et al., 2013; Tolle et al., 2004) ทงั้ น้ี อายขุ องผูป้ ่วยทีย่ นื่ ค�ำร้องแตกต่างกันไปตามบรบิ ทการ ศกึ ษา แตส่ ว่ นมาก พบวา่ ผปู้ ว่ ยทยี่ นื่ คำ� รอ้ งมกั มอี ายนุ อ้ ยเมอื่ เปรยี บเทยี บกบั ผู้ปว่ ยที่ไม่ไดย้ ืน่ คำ� รอ้ ง (Onwuteaka-Philipsen et al., 2010; Tolle et al., 2004; Washington State Department of Health, 2013, 2014, 2015, 2016, 2017, 2018, 2019) และ (4) สาเหตสุ ว่ นใหญใ่ นการร้องขอการเรง่ การตายของผ้ปู ว่ ย คือ การขาดความ สามารถในการพ่ึงพาตนเอง (Loss of Autonomy) การขาดความสามารถ ในการควบคุมร่างกาย (Loss of Control of Bodily Functions) การ ขาดความสามารถในการเข้าร่วมกิจกรรมท่ีสร้างความร่ืนรมย์ให้ชีวิต (Inability to Participate in Activities that Make Life Enjoyable) และความปรารถนาในการเลอื กวถิ กี ารตายของตนเอง (Determination to Control Manner of Death) (Parpa et al., 2010; Tolle et al., 2004) อย่างไรก็ตาม การศึกษาด้านพฤติกรรมการยุติชีวิตมีความแตกต่างในประเด็นส�ำคัญ ประการหนึ่ง นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของประชาชนและแพทย์ ในประเทศท่ีมกี ฎหมายการณุ ยฆาต ในขณะทกี่ ารศกึ ษาของ Rietjens et al. (2009), 45

Onwuteaka-Philipsen et al. (2003, 2012) และ van der Heide et al. (2012) สรุปว่าอัตราการกระท�ำการุณยฆาตในประเทศเนเธอร์แลนด์ในช่วงก่อนและหลัง มกี ฎหมายการณุ ยฆาตไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั ในทางสถติ ิการศกึ ษาของStecketal.(2013) ช้ีให้เห็นว่า ในทุกประเทศในกลุ่มตัวอย่าง ซ่ึงรวมถึงประเทศเนเธอร์แลนด์ด้วย อัตรา การกระท�ำการุณยฆาตและการฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์สูงขึ้นในช่วง หลงั มกี ฎหมายเมอื่ เปรยี บเทยี บกบั ชว่ งกอ่ นมกี ฎหมาย ตวั อยา่ งเชน่ ในประเทศเบลเยยี ม ผ้ปู ่วยทีเ่ สยี ชีวิตดว้ ยการุณยฆาตคิดเป็นร้อยละ 0.23 และ 1.1 ของการเสียชีวิตทั้งหมด ในประเทศในปี ค.ศ. 2003 และ 2011 ตามล�ำดบั ในขณะทีใ่ นประเทศเนเธอร์แลนด์ ตัวเลขผู้ป่วยที่ประสงค์จะท�ำการุณยฆาต และเสียชีวิตจากทางเลือกดังกล่าวสูงที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยตัวเลขผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยการุณยฆาตคิดเป็นร้อยละ 1.8-2.9 ของการเสียชีวิตทั้งหมดในประเทศในช่วงปี ค.ศ. 1991-2012 เป็นต้น ท้ังนี้ การเพมิ่ ขน้ึ ของตวั เลขในทวปี ยโุ รปในการศกึ ษาของ Steck et al. (2013) นน้ั สอดคลอ้ ง กับสถิติในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่พบว่า อัตราการฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือ ของแพทย์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น ในรัฐโอเรกอน การฆ่าตัวตายโดย ความช่วยเหลือของแพทย์ได้เพิ่มขึ้นจาก 155 กรณี ในปี ค.ศ. 2014 มาเป็น 249 กรณีในปี ค.ศ. 2018 (Death with Dignity National Center, n.d.) ในรฐั วอชงิ ตนั การฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ได้เพ่ิมขึน้ จาก 121 กรณีในปี ค.ศ. 2012 มาเปน็ 267 กรณีในปี ค.ศ. 2018 (Washington State Department of Health, 2013, 2014, 2015 2016, 2017, 2018, 2019) และรัฐแคลิฟอร์เนีย การฆา่ ตวั ตาย โดยความช่วยเหลือของแพทย์ไดเ้ พ่มิ ขึน้ จาก 191 กรณใี นปี ค.ศ. 2016 มาเปน็ 452 กรณีในปี ค.ศ. 2018 (California Department of Public Health, 2017, 2018, 2019) บทสรุปที่แตกต่างกันในด้านอัตราการกระท�ำการุณยฆาตในช่วงก่อนและหลัง มกี ฎหมายนีส้ ะทอ้ นถึงช่องวา่ งของวรรณกรรมท่ีต้องมีการศึกษาเพม่ิ เตมิ ตอ่ ไป 46

ตารางที่ 2.4 ตวั อย่างของงานวจิ ัยท่เี กี่ยวขอ้ งกบั พฤตกิ รรมการยตุ ชิ วี ิตของผปู้ ว่ ยระยะทา้ ย ผูเ้ ขียน วตั ถปุ ระสงค์ ระเบยี บวิธีวิจยั กลุ่มตัวอยา่ ง ผลการศกึ ษา สถิตเิ ชงิ พรรณนา ผลการศกึ ษา พบว่า (1) รอ้ ยละ 76 ของ การวิเคราะห์แนวโนม้ และการ แพทยท์ ี่ตอ้ งดแู ลผู้ปว่ ยในระยะสดุ ท้ายระบุ ทดสอบนัยสำ� คญั ของสถติ ิเชงิ วา่ ไดพ้ ยายามทจ่ี ะหาข้อมลู และท�ำการ ศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ถึงวธิ ีการใชย้ าเพ่อื บรรเทา พรรณนา ความเจ็บปวดให้กบั ผปู้ ว่ ย (2) รอ้ ยละ 36 เพ่ือศกึ ษาทัศนคตแิ ละพฤตกิ รรมการ ของกลมุ่ ตัวอย่าง เคยถูกผู้ป่วยถามวา่ จะ Ganzini et al. (2001) ใหค้ วามชว่ ยเหลือแกผ่ ปู้ ่วยในการ การส�ำรวจความคดิ เหน็ ของแพทย์ ยินดใี ห้ยาเพอื่ ช่วยเหลือในการฆ่าตวั ตาย ฆา่ ตวั ตาย ในรฐั โอเรกอน ประเทศ ที่มีคณุ สมบตั ิในการใหค้ วามช่วย หรอื ไม่ และ (3) มแี พทย์จำ� นวน 73 คนใน สหรัฐอเมรกิ า ในปี ค.ศ. 1999 หลงั จาก เหลอื แก่ผปู้ ่วยในการฆ่าตัวตายได้ กลุ่มตวั อย่าง ทร่ี ะบุว่าตนเองยนิ ดใี หย้ าเพื่อ ท่มี ีกฎหมายรองรบั การกระท�ำดงั กลา่ ว ชว่ ยเหลือในการฆา่ ตัวตายแกผ่ ้ปู ว่ ย และ แลว้ (Death with Dignity Act 1997) จำ� นวน 2,641 คน ในจำ� นวนนี้ รอ้ ยละ 27 ระบวุ ่าตนเองไม่ ม่นั ใจวา่ จะสามารถตัดสนิ ใจถึงสภาวะของ 47 ความเจบ็ ปว่ ยได้อยา่ งถูกต้องตามเกณฑ์ท่ี กฎหมายกำ� หนดไว้ (กล่าวคือ ผู้ปว่ ยตอ้ งมี ชีวติ อยู่ไดไ้ มถ่ ึง 6 เดือน) Onwuteaka-Philipsen et al. เพอื่ ศกึ ษาทศั นคติและพฤตกิ รรมการ การสัมภาษณแ์ พทยจ์ ำ� นวน 405 ผลการศึกษา พบว่า (1) รอ้ ยละ 39-44 ของ (2003) กระทำ� การุณยฆาตของแพทย์ในประเทศ 406 และ 410 คน รวมท้งั ศกึ ษา การเสียชวี ิตทั้งหมดในประเทศมีสาเหตุมา เนเธอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1990 1995 จากการเร่งการเสียชวี ติ ในรูปแบบใดรูป ฐานขอ้ มูลของใบมรณบัตร แบบหนึ่ง (ไมไ่ ด้จำ� กัดเฉพาะการณุ ยฆาต) และ 2001 กอ่ นทจี่ ะมกี ฎหมาย จ�ำนวน 1.3 แสนใบตอ่ ปี โดยความชว่ ยเหลอื ของแพทย์ (2) รอ้ ย การุณยฆาต ละ 13-27 ของแพทย์รายงานว่าตนเองเคย กระทำ� การุณยฆาต และ (3) รอ้ ยละ 56-64 ของแพทยม์ คี วามเหน็ วา่ ผ้ปู ว่ ยมสี ิทธใิ น ร่างกายของตนโดยสมบูรณ์ ท้งั นี้ ทัศนคติ และพฤตกิ รรมของแพทย์มีการเปลีย่ นแปลง น้อยมากในทางสถติ ิตลอดชว่ งเวลาของ การศกึ ษา

ผู้เขียน วัตถุประสงค์ ระเบียบวิธีวิจยั กล่มุ ตวั อยา่ ง ผลการศึกษา van der Heide et al. (2003) เพื่อศึกษาทศั นคตแิ ละพฤตกิ รรมของ การทดสอบนยั ส�ำคัญของสถิตเิ ชงิ การศึกษาฐานขอ้ มูลของใบ ผลการศึกษา พบว่า แม้วา่ การศกึ ษานจ้ี ะ การยุติชวี ติ ในรูปแบบตา่ งๆของแพทย์ พรรณนา มรณบตั รจ�ำนวน 20,480 ใบ เกบ็ ขอ้ มลู ในชว่ งก่อนการมกี ฎหมาย ในประเทศเบลเยยี ม เดนมาร์ก อิตาลี การเกบ็ ขอ้ มูลปฐมภูมแิ บบ การณุ ยฆาตในแทบทกุ ประเทศ เวน้ สวติ - เนเธอรแ์ ลนด์ สวเี ดน และสวิตเซอร์ เฉพาะเจาะจงของกลุม่ ตัวอย่างที่ เซอรแ์ ลนด์ ทีอ่ นุญาตให้มีการฆา่ ตวั ตายโดย ประกอบไปด้วยแพทย์ 19 คน ความช่วยเหลือของแพทย์แล้ว แต่แพทย์ใน แลนด์ ในปี ค.ศ. 2001-2002 ทกุ ประเทศในกลมุ่ ตวั อย่างก็ได้ให้ค�ำปรกึ ษา แกผ่ ู้ปว่ ยในด้านทางเลอื กของการยุติชีวิต 48 โดยแพทย์ในประเทศอติ าลีมีระดบั การใหค้ �ำ ปรึกษาดังกล่าวนอ้ ยทส่ี ุดท่ีร้อยละ 23 ของ Blondeau et al. (2009) เพอื่ ศกึ ษาวิธกี ารให้ยาเพอ่ื ให้ผปู้ ่วยระยะ การศกึ ษาเชิงส�ำรวจ แพทย์ในกลมุ่ ตวั อย่าง และแพทยใ์ นประ สุดทา้ ยเกดิ ภาวะสงบ (End-of-Life (Exploratory Study) เทศสวิตเซอรแ์ ลนด์มรี ะดับการให้คำ� ปรึกษา Sedation) ของแพทยใ์ นรฐั ควิเบก ด้วยการสมั ภาษณเ์ ชิงลึก ดงั กล่าวสูงท่ีสดุ ที่รอ้ ยละ 51 นอกจากน้ี ยังพบวา่ แม้ว่าการเร่งการตายจะยังไมถ่ ูก ประเทศแคนาดา และเพื่อศึกษาประเด็น กฎหมาย แตป่ ระมาณร้อยละ 1 ของการ ทางจริยธรรมทีเ่ ก่ยี วข้อง ตายท้ังหมดในประเทศเดนมาร์ก อติ าลี สวีเดน และสวติ เซอรแ์ ลนดก์ ม็ าจากการให้ ยาเพ่อื เรง่ การตายของแพทย์ และสดั ส่วน ของการกระทำ� ดงั กล่าวอยู่ทร่ี ้อยละ 1.82 ในประเทศเบลเยียม และ 3.40 ในประเทศ เนเธอรแ์ ลนด์ (1) แพทยท์ กุ คนในกลมุ่ ตวั อย่างเคยได้รบั การร้องขอใหจ้ ่ายยาเพื่อให้ผู้ปว่ ยระยะ สุดท้ายเกดิ ภาวะสงบ (2) แพทยท์ ุกคนมี ความเห็นตรงกนั วา่ การใหย้ าเพอื่ ให้ผปู้ ว่ ย ระยะสดุ ทา้ ยเกิดภาวะสงบควรกระทำ� กต็ ่อ เม่ือผปู้ ว่ ยไมต่ อบสนองต่อการรกั ษาใดๆ (Refractory Symptoms) และมีความเจบ็ ปวดทางกายท่ีไมส่ ามารถควบคมุ ได้แล้ว

ผู้เขียน วตั ถปุ ระสงค์ ระเบยี บวิธวี จิ ยั กลุม่ ตัวอย่าง ผลการศกึ ษา Parpa et al. (2010) 49 (3) แพทย์ 13 คน จาก 19 คน เห็นวา่ การ ให้ยาเพือ่ ใหผ้ ูป้ ว่ ยระยะสดุ ทา้ ยเกิดภาวะ สงบสามารถกระท�ำไดด้ ว้ ย หากผปู้ ว่ ยมี ความทรมานในการดำ� รงชีวิตหรอื มีความ ทุกขท์ างอารมณ์ (Emotional or Existen- tial Suffering) อยา่ งไรก็ดี แพทย์ 7 คนใน กลุม่ น้ีก็แสดงถึงความไมส่ บายใจในการให้ ยาเพื่อให้ผ้ปู ว่ ยระยะสดุ ทา้ ยเกดิ ภาวะสงบ ภายใตเ้ ง่อื นไขน้ี (4) แพทยท์ กุ คนในกลมุ่ ตวั อย่างมองว่าการให้ยาเพ่อื ให้เกดิ ภาวะ สงบแตกต่างจากการณุ ยฆาต แตก่ ม็ องวา่ ในแงจ่ ริยศาสตร์ การให้ยาเพือ่ ให้เกิดภาวะ สงบกบั การณุ ยฆาตลว้ นแตต่ ้งั อย่บู นพ้นื ฐาน ของความสามารถและความต้องการในการ ควบคุมตนเอง (Autonomy) ของผู้ปว่ ยทัง้ สน้ิ และมองว่าการแยกสองเร่อื งนอี้ อกจาก กนั ท�ำได้ยาก (1) ร้อยละ 43.3 และร้อยละ 41.3 ของ แพทยแ์ ละญาตผิ ปู้ ว่ ยมะเร็งในกลมุ่ ตวั อย่าง ระบุว่า การปฏิเสธการรักษาในวาระทา้ ย เพื่อศกึ ษาการเลือกทางเลือกในการยตุ ิ การทดสอบนัยส�ำคญั ของสถติ เิ ชงิ การเก็บข้อมลู ปฐมภมู แิ บบสะดวก ของชวี ติ เปน็ ทางเลอื กท่เี หมาะสม หากไม่ ชวี ติ ของผ้ทู ่ีเกี่ยวขอ้ งกับผปู้ ่วยมะเรง็ พรรณนา ของกลุ่มตัวอย่างที่ประกอบไป สามารถรกั ษาผ้ปู ่วยไดแ้ ลว้ ในระยะกา้ วหนา้ อนั รวมถึง บุคลากร ด้วยแพทย์ 215 คน พยาบาล (2) รอ้ ยละ 20.5 ของแพทยใ์ นกล่มุ ตวั อยา่ ง ทางการแพทย์ ญาตขิ องผปู้ ่วย และ 250 คน ญาตผิ ปู้ ว่ ยมะเร็ง 218 ระบุวา่ เคยถูกรอ้ งขอใหท้ ำ� การุณยฆาต แต่ ประชาชนทัว่ ไปในประเทศกรีซในปี ค.ศ. คน และประชาชนทว่ั ไป 246 ไมไ่ ด้กระทำ� ตามคำ� รอ้ งขอดังกล่าว คนในโรงพยาบาลทวั่ ไปทัว่ (3) ผทู้ ่ีเกี่ยวข้องทุกกล่มุ ในกลุ่มตวั อยา่ งเชอ่ื 2003-2005 ว่าแพทย์ในปจั จบุ นั มีการช่วยเหลอื ผูป้ ว่ ย ประเทศกรีซ ระยะสดุ ทา้ ยด้วยการจ่ายยาอนั ตราย เพอื่ วัตถปุ ระสงคใ์ นการเร่งการตาย

ผู้เขียน วตั ถปุ ระสงค์ ระเบยี บวิธีวจิ ยั กลุ่มตัวอย่าง ผลการศึกษา ค�ำรอ้ งขอการกระท�ำการณุ ยฆาตอย่ทู ี่ ประมาณ 3.1 คร้งั ต่อประชากร 10,000 เพือ่ ศกึ ษาสถิตขิ องการยตุ ชิ ีวติ ทง้ั ชว่ ง คน และ 2.8 ครัง้ ตอ่ ประชากร 10,000 คน van Alphen et al. (2010) กอ่ น (ค.ศ. 1998-2002) และหลัง (ค.ศ. การทดสอบนัยส�ำคัญของสถติ เิ ชิง ส�ำรวจตัวเลขคำ� รอ้ งขอในการกระ ก่อนและหลังการบังคบั ใช้กฎหมายตาม 2003-2007) การมีกฎหมายการุณยฆาต พรรณนา ทำ� การณุ ยฆาตในทางปฏิบัติจาก ล�ำดับ และพบวา่ การเปล่ียนแปลงดังกลา่ ว เครือขา่ ยทางการแพทย์ 45 แห่ง ไมม่ ีนัยสำ� คญั ในทางสถิติ สะท้อนให้เห็น ในประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ วา่ แพทย์ยอมรบั และกระท�ำการุณยฆาตมา ต้งั แต่กอ่ นมีกฎหมายแลว้ 50 ในปี ค.ศ. 2001 ก่อนท่จี ะมีกฎหมายกา รณุ ยฆาต ร้อยละ 2.6 ของการตายท้งั หมด van der Heide et al. (2012) เพอ่ื ศึกษาสถิตขิ องการยตุ ิชีวติ ภาย การทดสอบนยั ส�ำคัญของสถติ ิเชิง ศกึ ษาฐานข้อมูลของใบมรณบตั ร ในประเทศมสี าเหตุมาจากการุณยฆาต และ ใตก้ ฎหมายการุณยฆาตในประเทศ พรรณนา รอ้ ยละ 0.2 มาจากการฆ่าตวั ตายโดยความ เนเธอรแ์ ลนดใ์ นช่วงกอ่ นและหลัง ชว่ ยเหลือของแพทย์ ในขณะท่ีในปี ค.ศ. การมกี ฎหมายการณุ ยฆาต ในปี ค.ศ. 2005 หลงั จากท่ีมกี ฎหมายค้มุ ครองการณุ ย ฆาตแลว้ ร้อยละ 1.7 และร้อยละ 0.1 ของ 2001-2005 การตายทั้งหมดในประเทศมีสาเหตุมาจาก การุณยฆาตและการฆ่าตัวตายโดยความ ชว่ ยเหลอื ของแพทย์ ตามล�ำดับ ท้ังนี้ van der Heide et al. (2012) เช่อื วา่ การลด ลงของการกระท�ำการุณยฆาตเกดิ มาจาก อตั ราการยตุ ชิ ีวติ ทเ่ี พ่มิ ขึ้นด้วยการดูแลแบบ ประคบั ประคองอยา่ งเข้มข้น (Aggressive Palliative Care)

ผ้เู ขียน วตั ถุประสงค์ ระเบียบวธิ ีวิจยั กลุ่มตัวอย่าง ผลการศกึ ษา 51 Onwuteaka-Philipsen et al. เพ่อื ศึกษาทศั นคตแิ ละพฤตกิ รรมการ การทดสอบนยั สำ� คัญของสถติ ิ การศกึ ษาฐานขอ้ มูลของใบ โดยเฉพาะการจา่ ยยาระงับปวดกลุม่ โอปิ (2012) กระทำ� การณุ ยฆาตของแพทย์ในประเทศ เชิงพรรณนา มรณบัตรจ�ำนวน ออยด์ (Opioids) อนั จะท�ำให้ผู้ป่วยนอน หลับจนเสียชวี ิตไปในท่ีสดุ ทงั้ นี้ แพทย์ใน เนเธอร์แลนดใ์ นปี ค.ศ. 1990 1995 5,000-10,000 ใบต่อปี กลุ่มตัวอย่างมองวา่ การใหย้ าเพ่อื ให้ผู้ป่วย และ 2001 ก่อนมกี ฎหมายการุณยฆาต สลบจนเสยี ชีวติ ไม่ใช่การณุ ยฆาต และมัก และ ปี ค.ศ. 2005 และ 2010 หลังมี จะไมร่ ายงานการกระท�ำดงั กล่าวตอ่ คณะ กรรมการตรวจสอบดว้ ย แมว้ า่ ผลลพั ธ์ กฎหมายการุณยฆาต ต่อผู้ปว่ ยจะเหมอื นกันกต็ าม ทัศนคติและพฤตกิ รรมการกระท�ำการณุ ย ฆาตของแพทย์แทบไมม่ กี ารเปลีย่ นแปลงใน ช่วงเวลาสองช่วงดังกลา่ ว และพบว่า ในช่วง ปี ค.ศ. 2005 และ 2010 มีการตายอันสบื เนื่องจากการใหย้ าเพ่อื ให้ผู้ปว่ ยสลบเพม่ิ ขึ้น อย่างมาก แม้ว่าการศึกษาในทางการแพทย์ จะพบว่าการให้ยาเพื่อให้ผปู้ ่วยสลบจะไม่ ท�ำใหผ้ ู้ปว่ ยตายกต็ าม Steck et al. (2013) เพอ่ื ศกึ ษาจำ� นวน คณุ ลกั ษณะ (ของผู้ การท�ำวรรณกรรมปรทิ ัศน์อยา่ ง จากการศกึ ษาทง้ั หมด 1,043 (1) การฆ่าตวั ตายโดยความช่วยเหลอื ของ ป่วย) และแนวโน้มของการกระทำ� เป็นระบบ โดยใชฐ้ านขอ้ มูล ชนิ้ ในฐานขอ้ มูล คณะผ้วู ิจยั คดั แพทยค์ ิดเปน็ รอ้ ยละ 0.1-2.9 ของการเสีย การณุ ยฆาตและการฆา่ ตัวตายโดยความ เลอื กการศกึ ษา 25 ชิ้นเขา้ สูก่ าร ชีวิตทงั้ หมด แตกต่างตามแตล่ ะพนื้ ที่ ช่วยเหลือของแพทย์ ในประเทศหรอื Medline และ Embase นับต้งั แต่ (2) แนวโนม้ ของการเสียชีวติ ด้วยกระบวน- พื้นทีท่ ่ีการกระทำ� ดงั กลา่ วถูกกฎหมาย ปที ีก่ ารกระทำ� การุณยฆาตและ ศึกษาน้ี การการุณยฆาตและการฆ่าตัวตายโดยความ รวม 4 ประเทศ ไดแ้ ก่ เบลเยียม การฆา่ ตวั ตายโดยความช่วยเหลือ ช่วยเหลอื ของแพทย์สูงขึ้นในทุกพน้ื ท่ี ลกั เซมเบริ ก์ เนเธอร์แลนด์ และ ของแพทยถ์ กู กฎหมาย จนถงึ ปี (3) คณุ ลกั ษณะของผทู้ เี่ ลือกทีจ่ ะยุติชีวิต สวติ เซอรแ์ ลนด์ กบั อกี 3 มลรฐั ใน ดว้ ยกระบวนการข้างต้นส่วนใหญ่เปน็ ผู้ป่วย ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แก่ โอเรกอน ค.ศ. 2012 มะเรง็ เพศชาย มกี ารศกึ ษาสงู และอยใู่ น ช่วงอายุ 60-85 ปี วอชงิ ตัน และมอนทานา

2.3.3 ประเด็นถกเถยี งทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ทางเลอื กในการยตุ ชิ ีวิตของผ้ปู ว่ ยระยะท้าย นอกเหนือจากการศึกษาใน 2 หัวข้อข้างต้นแล้ว วรรณกรรมในต่างประเทศยังมีการ พิจารณาประเด็นถกเถียงที่เกี่ยวข้องกับทางเลือกในการยุติชีวิตอีกด้วย การศึกษาใน กลมุ่ นมี้ กั มกี ระบวนการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ และมรี ะเบยี บวธิ วี จิ ยั ทเี่ ปน็ การวจิ ยั เชงิ เอกสาร เป็นหลกั (Documentary Research) อาจทำ� การปรทิ ัศน์วรรณกรรมอยา่ งเป็นระบบ (Systematic Review) พิจารณากรณีศึกษา (Case Study) หรือวิพากษ์ในเชิง ความคิดเห็นท่ีอ้างอิงกรอบแนวคิดทางทฤษฎี (Theoretical Research) ก็ได้ การศกึ ษาทพี่ จิ ารณาประเดน็ ถกเถยี งเกยี่ วขอ้ งกบั ทางเลอื กในการยตุ ชิ วี ติ อาจแบง่ ไดเ้ ปน็ หมวดหมู่ ดังนี้ การจัดหมวดหมู่ (Classification) ทางเลอื กในการยตุ ิชีวิตของผปู้ ่วยระยะท้าย นอกเหนือจากการจัดหมวดหมู่ทางเลือกในการยุติชีวิตตามตารางที่ 2.1 ข้างต้นแล้ว ประเดน็ ถกเถยี งในวรรณกรรมระยะหลงั คอื การดแู ลแบบประคบั ประคองอยา่ งเขม้ ขน้ (Aggressive Palliative Care) โดยเฉพาะการให้ยาสลบเพ่อื ให้ผปู้ ่วยระยะสดุ ท้ายเกดิ ภาวะสงบอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งผู้ป่วยเสียชีวิต (Palliative Sedation) ควรนับเป็น ทางเลือกหนึ่งในการยุติชีวิตของผู้ป่วยระยะท้ายหรือไม่ หรือควรมองว่าเป็นส่วนหนึ่ง ของการดูแลแบบประคับประคอง หรือควรมองว่าเป็นทางเลือกในการเร่งการตายใน ประเทศท่ไี ม่มีกฎหมายการณุ ยฆาตกันแน่ แพทย์ท่ีให้การดูแลแบบประคับประคองมีจุดยืนท่ีชัดเจนว่าการให้ยาเพ่ือให้ผู้ป่วย ระยะสุดท้ายเกิดภาวะสงบเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการดูแลแบบประคับประคอง เพราะมีเจตนาที่จะบรรเทาความเจ็บปวด ไม่ได้มีเจตนาให้ผู้ป่วยเสียชีวิต จึงไม่ควร นับเป็นทางเลือกในการเร่งความตาย การศึกษาของ Radbruch et al. (2016) ใน ฐานะตัวแทนของสมาคมการดูแลแบบประคับประคองแห่งภาคพื้นยุโรป (European Association for Palliative Care) ระบุว่าการให้ยาเพื่อให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายเกิด ภาวะสงบเปน็ กระบวนการทยี่ อมรบั ไดท้ างจรยิ ศาสตร์ (Ethically Acceptable) เมอื่ ใช้ กับผู้ป่วยที่ใกล้เสียชีวิตแล้วอย่างเหมาะสม และไม่ใช่การุณยฆาต เพราะกระบวนการ 52

แตกตา่ งกนั อยา่ งสนิ้ เชงิ การใหย้ าเพอื่ ใหผ้ ปู้ ว่ ยระยะสดุ ทา้ ยเกดิ ภาวะสงบมวี ตั ถปุ ระสงค์ ในการลดทอนความทรมานของผปู้ ว่ ย ดว้ ยกระบวนการใหย้ าสลบ และมผี ลลพั ธค์ อื การ ลดภาวะตึงเครียดของผู้ป่วย ในขณะที่การุณยฆาตมีวัตถุประสงค์ในการยุติชีวิตผู้ป่วย ด้วยกระบวนการให้ยาอนั ตราย และมีผลลัพธ์คือการตายโดยทันทีของผู้ปว่ ย2 การศึกษาทางการแพทย์ก็ให้บทสรุปท่ีสอดคล้องกัน การศึกษาของ Maltoni et al. (2009) ทเ่ี ก็บขอ้ มูลจากผปู้ ว่ ยจำ� นวน 518 คนจากสถานพยาบาลในอติ าลใี นชว่ ง ค.ศ. 2005-2006 และการศึกษาของ Maltoni et al. (2012) ทท่ี ำ� การปรทิ ัศน์วรรณกรรม ในช่วง ค.ศ. 1980-2010 อยา่ งเปน็ ระบบ พบวา่ การให้ยาเพ่อื ใหผ้ ู้ป่วยระยะสดุ ทา้ ย เกิดภาวะสงบไม่มีผลให้อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยเปล่ียนแปลงไปแต่อย่างใด และ เน่ืองด้วยการให้ยาเพ่ือให้ผู้ป่วยเกิดภาวะสงบไม่ก่อให้เกิดการตายโดยทันทีของผู้ป่วย การกระทำ� ดงั กล่าวจงึ ไม่ควรนบั เปน็ การกระท�ำการุณยฆาต อย่างไรก็ดี การศึกษาอีกจ�ำนวนหน่ึงได้ระบุไว้ถึงปัญหาของการนิยามข้างต้นในอย่าง น้อย 5 มติ ิ (1) การให้ยาเพื่อให้เกิดภาวะสงบอาจก่อให้เกิดความตายได้ ในทาง ปฏิบัติ การให้ยาเพื่อให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายเกิดภาวะสงบมีวิธีการที่ หลากหลาย แพทย์แต่ละคนมีวิธีการในแง่ของประเภทและปริมาณยา สลบท่ใี ชแ้ ตกต่างกัน (Broeckaert, 2011; ten Have and Welie, 2014) อกี ทงั้ ผปู้ ว่ ยกม็ กั จะตอ้ งอดนำ�้ และอาหารกอ่ นและระหวา่ งการไดร้ บั ยาสลบ การใช้ยาสลบในระดับที่แตกต่างกันผนวกกับการอดน�้ำและอาหารนั้น อาจทำ� ให้ผู้ปว่ ยบางคนตายเรว็ กว่าการตายตามธรรมชาตไิ ด้ (Parpa et al., 2010) และหากมีการเสยี ชีวติ เกดิ ขึ้นจรงิ การให้ยาเพอื่ ใหเ้ กิดภาวะสงบจะ ยงั แตกต่างจากการุณยฆาตอย่หู รือไม่ 2 “Palliative sedation in those imminently dying must be distinguished from euthanasia. In palliative sedation, the intention is to relieve intolerable suffering, the procedure is to use a sedating drug for symptom control and the successful outcome is the alleviation of distress. In euthanasia, the inten- tion is to end the life of the patient, the procedure is to administer a lethal drug and the successful outcome is immediate death.” 53

(2) การให้ยาเพ่ือให้เกิดภาวะสงบอาจมีวัตถุประสงค์เพื่อการยุติชีวิต ถึงแม้ว่านิยามการให้ยาเพื่อให้เกิดภาวะสงบและการุณยฆาตจะแตกต่าง กัน เนื่องด้วยวัตถุประสงค์ของกิจกรรมท้ังคู่ไม่เหมือนกัน แต่วัตถุประสงค์ ของแพทย์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้วิจัยหรือสมาคมทางการแพทย์จะสามารถสังเกตได้ Broeckaert (2011) และ ten Have and Welie (2014) มองว่าการให้ ยาเพ่ือให้เกิดภาวะสงบท่ีแท้จริงต้องไม่มีวัตถุประสงค์ท่ีจะท�ำให้ผู้ป่วยตาย แต่หากแพทยม์ วี ัตถุประสงค์ในการท�ำใหผ้ ู้ป่วยตาย แม้ว่าจะใชย้ าสลบและ ไม่ได้ใช้ยาอันตรายก็ตาม การกระท�ำดังกล่าวก็ไม่ควรถูกเรียกว่า “การให้ยาเพื่อให้เกิดภาวะสงบ” แต่จะเรียกอะไรแทนนั้นก็ตามแต่ผู้วิจัย เชน่ Broeckaert (2011) เสนอใหเ้ รยี กการกระทำ� ดงั กลา่ ววา่ “การณุ ยฆาต อยา่ งช้า” (Slow Euthanasia) แทน เป็นต้น (3) แพทย์และประชาชนมองว่าการให้ยาเพ่ือให้เกิดภาวะสงบเป็นทาง เลือกของการุณยฆาต แม้ว่าจุดยืนของสมาคมทางการแพทย์จะระบุอย่าง ชัดเจนว่าการให้ยาเพ่ือให้เกิดภาวะสงบกับการุณยฆาตเป็นกิจกรรมท่ีแตก ต่างกัน แต่การศึกษาท่ีพิจารณาความคิดเห็นของแพทย์และประชาชนใน ฐานะปัจเจกบุคคลกลับให้บทสรุปที่ขัดแย้งกับจุดยืนดังกล่าว ตัวอย่างเช่น การศึกษาของ Blondeau et al. (2009) และ Onwuteaka-Philipsen et al. (2012) พบว่า แพทยจ์ �ำนวนหนึ่งมีความเห็นวา่ การใหย้ าเพ่อื ให้เกดิ ภาวะสงบเปน็ ทางเลอื กของการณุ ยฆาต นอกจากนี้ ในมมุ มองของประชาชน ทว่ั ไป การใหย้ าเพอ่ื ใหเ้ กดิ ภาวะสงบกน็ บั วา่ เปน็ ทางเลอื กในการเรง่ การตาย ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากเอกสารของ Death with Dignity National Center (n.d.) ซงึ่ เปน็ องคก์ รไมแ่ สวงหากำ� ไรในประเทศสหรฐั อเมรกิ าทรี่ ะบไุ วอ้ ยา่ งชดั เจน ว่า ในกรณีที่ไม่ได้อยู่ในมลรัฐท่ีมีกฎหมายคุ้มครองการฆ่าตัวตายโดยความ ช่วยเหลือของแพทย์ ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ประสงค์จะเร่งการตายก็อาจจะ อดน�้ำและอาหารเอง (Voluntary Stopping of Eating and Drinking) อาจปฏิเสธการรักษาในวาระท้ายของชีวิต (Stopping Treatment) หรืออาจร้องขอการใหย้ าเพือ่ ให้เกิดภาวะสงบ ทง้ั น้ี Death with Dignity National Center ระบุไวอ้ ยา่ งชดั เจนว่าในขณะทท่ี างเลอื กอ่ืนเปน็ “สทิ ธิ” 54

ของผู้ป่วย การได้รับยาเพ่ือให้เกิดภาวะสงบน้ันไม่ใช่ “สิทธิ” ของผู้ป่วย กลา่ วคือ บคุ ลากรทางการแพทย์อาจปฏเิ สธทจ่ี ะกระทำ� การดงั กล่าวก็ได้ (4) การให้ยาเพื่อให้เกิดภาวะสงบจนเสียชีวิตเป็นกิจกรรมที่แพร่หลาย การให้ยาเพ่ือให้เกิดภาวะสงบที่มีวัตถุประสงค์ในการท�ำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต เป็นกจิ กรรมทีแ่ พรห่ ลายในหลายประเทศ เชน่ ฝรั่งเศส มกี ฎหมายรองรบั การใหย้ าเพอ่ื ใหเ้ กดิ ภาวะสงบจนเสียชวี ิต (Baumann et al., 2011; de Nonneville et al., 2016) หรือเนเธอร์แลนด์ มีอัตราการเสียชีวิตจาก การดูแลแบบประคับประคองอย่างเข้มข้นด้วยวัตถุประสงค์ร่วมในการเร่ง การตาย (Alleviation of Symptoms with Possible Life-Shortening Effects) ทีส่ ูงถงึ ร้อยละ 20 และรอ้ ยละ 36 ของการตายทง้ั หมดในประเทศ ในปี ค.ศ. 2001 และ 2010 ตามลำ� ดับ (Onwuteaka-Philipsen et al., 2003, 2012) และหากพจิ ารณาถงึ การใหย้ าเพอื่ ใหเ้ กดิ ภาวะสงบเพยี งอยา่ ง เดยี ว กพ็ บว่า เป็นสาเหตุหลกั ของร้อยละ 12 ของการตายในปี ค.ศ. 2010 และมีแนวโนม้ ท่ีตวั เลขนจ้ี ะสงู ขึน้ เรอื่ ยๆ (Onwuteaka-Philipsen et al., 2012) และ (5) การให้ยาเพ่ือให้เกิดภาวะสงบและการุณยฆาตอาจไม่มีความแตกต่าง ในด้านจริยศาสตร์ ในแง่จริยศาสตร์ การให้ยาเพื่อให้เกิดภาวะสงบและ การุณยฆาตอาจไม่ได้แตกต่างกันนัก การศึกษาของ Blondeau et al. (2009) และ Lipuma (2013) มองว่าการกระท�ำทั้งคู่ตั้งอยู่บนพื้น ฐานของความเคารพต่อความสามารถและความต้องการในการควบคุม ตนเอง (Autonomy) ที่แพทย์มีต่อผู้ป่วย และการกระท�ำทั้งคู่เป็นไปเพื่อ การลดความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย จะแตกต่างกันก็เพียงผลลัพธ์สุดท้าย ว่าจะเป็นการตายโดยทันทีหรือไม่เท่าน้ัน การแยกการกระท�ำท้ังสอง อย่างนีอ้ อกจากกันจึงทำ� ไดย้ ากในทางปฏบิ ัติ จากประเดน็ ทง้ั หมดขา้ งตน้ จงึ สรปุ ไดว้ า่ แมว้ า่ นยิ ามอยา่ งเปน็ ทางการของการใหย้ าเพอ่ื ใหเ้ กดิ ภาวะสงบและการณุ ยฆาตจะแตกตา่ งกนั แตก่ ารแบง่ แยกการกระทำ� ทง้ั สองอยา่ ง ในทางปฏิบตั แิ ละในเชงิ คุณค่าท�ำได้ยาก 55

ประเด็นถกเถียงทเี่ ก่ยี วกับกฎหมายการุณยฆาต เพื่อให้ง่ายต่อการท�ำความเข้าใจ การปริทัศน์วรรณกรรมในส่วนน้ีจะแบ่งเนื้อหาใน แต่ละประเด็นท่ีเก่ียวกับกฎหมายการุณยฆาตออกเป็น (1) เน้ือหาท่ีเก่ียวข้องกับ การสนบั สนุน (กฎหมาย) การณุ ยฆาต (Proposition) และ (2) เน้อื หาทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับ การตอ่ ตา้ น (กฎหมาย) การณุ ยฆาต (Opposition) เสมอื นหนง่ึ เปน็ การโตว้ าที (Debate) ประเดน็ ถกเถียงทส่ี �ำคญั มีด้วยกัน 5 ประการหลกั ไดแ้ ก่ (1) ประเดน็ สิทธขิ องผปู้ ่วย (Autonomy Argument) o การสนบั สนนุ กฎหมายการณุ ยฆาตนบั เปน็ รปู แบบหนง่ึ ของรฐั ในการเคารพ สทิ ธขิ องประชาชนทพี่ งึ มอี สิ รภาพในการตดั สนิ ใจทเี่ กยี่ วกบั ชวี ติ ของตน โดย การตดั สนิ ใจทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ความเปน็ ความตายควรเปน็ เรอ่ื งสว่ นบคุ คล และ หากบคุ คลนน้ั กระท�ำการตัดสนิ ใจอย่างมีเหตมุ ีผล (Rational) มขี อ้ มลู ครบ ถว้ น (Informed) และตดั สินใจโดยสมคั รใจ (Voluntary) บนพนื้ ฐานของ คุณค่าของตนเองแล้ว รัฐก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจดังกล่าว (Schafer, 2013) o การต่อต้าน การเคารพสิทธิของประชาชนโดยรัฐไม่ใช่หลักการแบบ ขาว-ดำ� (Absolute) เพราะการตดั สนิ ใจตามสทิ ธใิ นเรอ่ื งสว่ นบคุ คลอาจสง่ ผล กระทบต่อสังคมโดยรวมได้ รัฐจึงจ�ำเป็นท่ีจะต้องให้สิทธิแก่ประชาชน ด้วยความระมัดระวัง ทั้งนี้ บทบาทที่ส�ำคัญของรัฐประการหนึ่ง คือ การ ปกปอ้ งไมใ่ หม้ ีการใช้สทิ ธิในทางทผี่ ดิ ในการพิจารณากฎหมายการณุ ยฆาต รฐั จงึ ตอ้ งพจิ ารณาวา่ ประชาชนจะสามารถตดั สนิ ใจในเรอ่ื งการตายไดอ้ ยา่ งมี เหตมุ ผี ล มขี อ้ มลู ครบถว้ น และสมคั รใจอยา่ งแทจ้ รงิ และตอ้ งมกี ลไกในการ ปอ้ งกนั ไม่ใหม้ ีการตดั สนิ ใจท่ีไร้เหตผุ ล ไม่มีขอ้ มูลครบถ้วน และไม่สมคั รใจ อยา่ งไรกด็ ี รฐั จะมนั่ ใจไดอ้ ยา่ งไรวา่ กลไกทเี่ กยี่ วขอ้ งมปี ระสทิ ธภิ าพเพยี งพอ และจะมนั่ ใจไดอ้ ยา่ งไรว่าผปู้ ว่ ยจะไม่ถกู บังคบั ไม่วา่ จะโดยบุคคลภายนอก หรอื ภายในครอบครัว (ซึ่งรัฐไมอ่ าจพสิ จู น์หรือเฝ้าระวงั ได)้ ให้เลือกกระท�ำ การการุณยฆาตเพื่อลดความรู้สึกเป็นภาระแก่ครอบครัวในระยะสุดท้าย ของชีวิต (Hartling, 2006) การออกกฎหมายการุณยฆาตจึงอาจกระทบ 56

ต่อศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์ของผู้ป่วยระยะท้าย อันส่งผลต่อหลักการ ของความยุติธรรมและความเท่าเทียมในสังคม และอาจมองได้ว่าเป็นการ ทำ� ลายอสิ รภาพในการใชส้ ทิ ธทิ เี่ กยี่ วกบั ความตายของประชาชนดว้ ย เพราะ อาจท�ำให้ผู้ป่วยบางคนต้องตายด้วยวิธีการท่ีตนไม่ต้องการ (Mendelson and Bagaric, 2013) o อยา่ งไรกด็ ี การศกึ ษาในระยะหลงั ไดม้ กี ารถกเถยี งอยา่ งตอ่ เนอ่ื งถงึ ประเดน็ ขา้ งตน้ วา่ ผปู้ ว่ ยปราศจากอสิ รภาพในการใชส้ ทิ ธทิ เ่ี กย่ี วกบั ความตายของตน (Autonomy) จรงิ หรอื ไม่ การศกึ ษาของ Farsides (1996) และ Sjöstrand et al. (2013) ชใ้ี ห้เหน็ วา่ การห้ามไม่ใหม้ ีกฎหมายการณุ ยฆาตนั้นเปน็ การ ลิดรอนอิสรภาพในการใช้สิทธิที่เกี่ยวกับความตายของประชาชนมากกว่า การอนุญาตใหม้ กี ฎหมายดังกลา่ ว ดว้ ยเหตผุ ล 2 ประการ ได้แก่ (1) หากรฐั มองวา่ อสิ รภาพในการใชส้ ทิ ธขิ องประชาชนเปน็ เรอื่ งสำ� คญั อสิ รภาพในการ ใชส้ ทิ ธทิ เ่ี กย่ี วกบั ความตายกต็ อ้ งเปน็ เรอ่ื งทส่ี ำ� คญั ดว้ ย (Prudential Value) และการที่รัฐไม่ให้อิสรภาพในการใช้สิทธิที่เกี่ยวกับความตายในปัจจุบัน (กล่าวคือ ไม่ออกกฎหมายการุณยฆาต) ก็อาจมีนัยต่อบทบาทของรัฐต่อ การให้อิสรภาพในการใช้สิทธิด้านอื่นๆ (Future Autonomy) ในอนาคต และ (2) ในขณะทก่ี ารห้ามไมใ่ หม้ กี ฎหมายการณุ ยฆาตอาจจะช่วยปกป้อง ประชาชนทเี่ ปราะบาง (Vulnerable Population) บางกลุ่มได้ เชน่ ผปู้ ่วย สูงอายุหรือผพู้ กิ าร ที่อาจถูกกดดันโดยครอบครัวให้จบชวี ติ ดว้ ยการกระทำ� การณุ ยฆาตแทนท่จี ะตายอย่างธรรมชาติ เป็นต้น แต่ก็เปน็ การลิดรอนสิทธิ ของประชาชนกลุ่มอ่ืนๆ ทเ่ี ห็นด้วยกบั กฎหมายการุณยฆาต o โดยสรุป กฎหมายการุณยฆาตมีท้ังประโยชน์และโทษ ประโยชน์ในกรณี น้ี คือ การลดความทกุ ข์ทรมานของผู้ปว่ ยระยะทา้ ยและการให้อสิ รภาพใน การใช้สิทธิท่ีเก่ียวกับความตายแก่ประชาชนท่ีเห็นด้วยกับการมีกฎหมาย การุณยฆาต ในขณะท่ีโทษ คือ ผลกระทบทางสังคมท่ีมีต่อผู้ป่วยท่ีเปราะ บาง การพจิ ารณาว่าประเทศใดควรมกี ฎหมายการณุ ยฆาตหรือไม่ควรต้อง พิจารณาท้ังประโยชน์และโทษ และควรต้ังอยู่บนหลักฐานท่ีชัดเจนและ พสิ ูจน์ได้ (Mendelson and Bagaric, 2013; Schafer, 2013) 57

(2) ประเดน็ การปกปอ้ งผทู้ เี่ ปราะบางในสงั คม (Protection of the Vulnerable) o การสนับสนุน แม้ว่าการมีกฎหมายการุณยฆาตอาจก่อให้เกิดผลกระ ทบทางลบแก่ประชาชนท่ีเปราะบาง แต่รัฐก็สามารถออกแบบกฎหมาย การุณยฆาตให้พิทักษ์บุคคลเปราะบางได้ (Safeguard Measures) ด้วย การก�ำหนดเกณฑ์ต่างๆ ทีเ่ ขม้ งวดมากเพยี งพอเพื่อปอ้ งกันการใชก้ ฎหมาย ในทางท่ีผิด ตัวอย่างเช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์มีการก�ำหนดคุณลักษณะ ของผู้ป่วยที่สามารถร้องขอให้มีการกระท�ำการุณยฆาตแก่ตนได้ มีการ ก�ำหนดกระบวนการท่ีชัดเจนว่าแพทย์ท่ีกระท�ำการุณยฆาตจะต้องปฏิบัติ ตนอยา่ งไร จะตอ้ งปรึกษาใครเพมิ่ เติมบา้ ง และมกี ารตรวจสอบการปฏิบัติ ตามกระบวนการดงั กล่าว (Rietjens et al., 2009) เปน็ ต้น o การต่อต้าน แม้ว่ารัฐจะสามารถออกมาตรการป้องกันการใช้กฎหมาย การุณยฆาตในทางที่ผิดได้ แต่ก็ไม่น่าจะมีกฎหมายใดท่ีจะมีประสิทธิภาพ เพียงพอ การห้ามไม่ให้มีกฎหมายการุณยฆาตเท่านั้นที่จะสามารถพิทักษ์ บคุ คลเปราะบางได้ ทง้ั น้ี บคุ คลเปราะบางไมไ่ ดห้ มายถงึ ผสู้ งู อายหุ รอื ผพู้ กิ าร ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เท่านั้น แต่ผู้ที่สภาพทางกายภาพสมบูรณ์ ก็อาจจะมีความเปราะบางขึ้นมาได้หากมีการเปลี่ยนแปลงบางประการใน ชีวติ เช่น ความพกิ ารทางกายและใจ ความเจบ็ ปว่ ย ความเหงา และความ โดดเดี่ยว เป็นต้น ภาวะเปราะบางนี้ท�ำให้บุคคลเกิดความรู้สึกว่าคุณค่า ของชีวิตน้อยลง จนอาจเลือกกระท�ำการุณยฆาตได้ แม้ว่าการุณยฆาตจะ ไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีที่สุดส�ำหรับตนในสภาวะปกติ (Mendelson and Bagaric, 2013) o ท้ังนี้ การศึกษาเชิงประจักษ์ท่ีเก่ียวข้องกับกลุ่มเปราะบางมีไม่มากนัก พบเพียงการศึกษาของ Battin et al. (2007) ท่ีพิจารณาข้อมูลจากรัฐ โอเรกอน ประเทศสหรฐั อเมริกา และประเทศเนเธอร์แลนด์ ผลการศกึ ษา พบว่า การกระทำ� การณุ ยฆาตและฆา่ ตัวตายโดยความช่วยเหลอื ของแพทย์ ของประชากรทไ่ี มเ่ ปราะบางและทเ่ี ปราะบางไมไ่ ดม้ คี วามแตกตา่ งกนั ในทาง สถิติ (กลุ่มเปราะบางในการศกึ ษาน้ี หมายถงึ ผูส้ งู อายุ ผหู้ ญงิ ผู้มีการศึกษา น้อย ผู้ยากไร้ ผู้ป่วยทางกาย ผมู้ ปี ัญหาทางจิต ผู้ทไ่ี ม่มปี ระกันสขุ ภาพ และ 58

กลุ่มผิวส)ี ซึง่ สะท้อนให้เห็นว่า การต่อตา้ นกฎหมายการุณยฆาตเพอ่ื พทิ กั ษ์ บคุ คลเปราะบางอาจจะไม่ได้ตั้งอยู่บนพนื้ ฐานของขอ้ มลู อย่างแท้จริง (3) ประเด็นด้านความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วย (Physician-Patient Relationship) o การสนบั สนนุ บคุ ลากรทางการแพทยม์ หี นา้ ทท่ี างวชิ าชพี สองประการ ไดแ้ ก่ หน้าทใ่ี นการดูแลผปู้ ่วย (Duty of Care) อันรวมถงึ การลดทอนความทกุ ข์ ทรมานของผปู้ ว่ ย และหนา้ ทใ่ี นการเคารพสทิ ธขิ องผปู้ ว่ ย (Importance of Patient Autonomy) (Blondeau et al., 2009; Gillett and Chamberlain, 2013) กฎหมายการุณยฆาตอาจมองได้ว่าเป็นวิธีการท่ีเอ้ือให้แพทย์ได้ท�ำ ตามหนา้ ทที่ างวชิ าชพี ของตนอยา่ งเตม็ ที่ เพราะในการทำ� การณุ ยฆาต แพทย์ ไมเ่ พยี งแต่ลดทอนความทรมานของผู้ป่วย แตย่ ังเคารพตอ่ สิทธใิ นการเลอื ก วถิ ีการตายของผู้ป่วยด้วย (Schafer, 2013) o การต่อต้าน กฎหมายการุณยฆาตอาจท�ำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์ กับผู้ป่วยเปล่ียนแปลงไป Gillett and Chamberlain (2013) ศึกษา กลไกทางจิตวิทยาของบุคลากรทางการแพทย์จากมุมมองทางจริยศาสตร์ และอธิบายว่าในกระบวนการการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้ป่วย บคุ ลากรทางการแพทยต์ อ้ งชง่ั นำ้� หนกั ระหวา่ งหนา้ ทท่ี างวชิ าชพี สองประการ ข้างต้น (หน้าที่ในการดูแลผู้ป่วย และหน้าท่ีในการเคารพสิทธิของผู้ป่วย) ซ่ึงหน้าท่ีสองประการน้ีมักจะขัดแย้งกันและก่อให้เกิดความล�ำบากใจ (Ethical Dilemma) แต่ก็ได้ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์พิจารณาราย ละเอียดของผู้ป่วยแต่ละกรณีได้อย่างถี่ถ้วนขึ้น กฎหมายการุณยฆาตจะ ส่งผลให้น้�ำหนักของหน้าท่ีท้ังสองประการน้ีเปล่ียนไป เพราะรัฐไปก�ำหนด โครงสร้างทางกฎหมายและสังคมที่ท�ำให้หน้าที่ในการเคารพสิทธิของ ผู้ป่วยส�ำคัญกว่าหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วย ซึ่งแม้จะลดความขัดแย้งทาง จริยศาสตร์ของบุคลากรทางการแพทย์ลง แต่ก็อาจส่งผลท่ีไม่คาดคิดอ่ืนๆ ได้ ตัวอย่างเช่น กฎหมายการุณยฆาตอาจท�ำให้แพทย์มีบทบาทกับความ เป็นความตายของผู้ป่วยในเชิงพาณิชย์มากขึ้น ท�ำให้ขอบเขตของวิชาชีพ 59

และความสัมพันธ์กับผู้ป่วยเปล่ียนแปลงไป จนอาจเกิดความไม่ไว้เน้ือ เช่ือใจ (Distrust) และท�ำให้แพทย์มีความชินชากับความตายมากเกินไป (Physician Desensitization) และอาจทำ� ใหแ้ พทยใ์ หก้ ารรกั ษาพยาบาลใน กรณคี วามเจบ็ ปว่ ยอน่ื ๆ อยา่ งไมเ่ ตม็ ทไ่ี ด้ (Mendelson and Bagaric, 2013) o อย่างไรก็ดี การศึกษาเชิงประจักษ์ในวรรณกรรมไม่ได้แสดงให้เห็นว่าการ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยในการฆ่าตัวตายจะส่งผลกระทบต่อความ สัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย หรือท�ำให้ผู้ป่วยเชื่อมั่นในแพทย์น้อยลง แตอ่ ยา่ งใด (Blondeau et al., 2009; Ganzini et al., 2001) (4) ประเดน็ ดา้ นจ�ำนวนการกระท�ำการณุ ยฆาต (Slippery Slope Argument) o ประเดน็ ตอ่ ตา้ นทส่ี �ำคัญ คอื แนวคดิ ท่มี องวา่ กฎหมายการณุ ยฆาตจะทำ� ให้ มีการกระท�ำการุณยฆาตมากเกินความต้องการของสังคม หรือที่เรียกว่า Slippery Slope ในกรณีนี้ หากประเทศใดมีกฎหมายการุณยฆาตแล้ว การกระท�ำการุณยฆาตก็อาจจะมีความถ่ีมากข้ึน สังคมจึงต้องประเมิน ว่าความเสี่ยงของการมีการกระท�ำการุณยฆาตมากเกินไปนี้ คุ้มค่ากับ การลิดรอนสิทธิของผู้ป่วยท่ีทนทุกข์ทรมานและต้องการให้มีกฎหมาย การณุ ยฆาตหรอื ไม่ (Schafer, 2013) o หัวข้อที่ 2.3.2 ข้างต้นแสดงถงึ หลักฐานที่ใชป้ ระกอบการพิจารณาประเด็น ดา้ นจ�ำนวนการกระท�ำการุณยฆาต (Slippery Slope Argument) ซง่ึ จะ เหน็ ไดว้ า่ ยงั ไม่มีบทสรปุ ท่ชี ัดเจนในวรรณกรรม (5) ประเด็นดา้ นระบบการดูแลแบบประคับประคอง o ประเด็นต่อต้านอีกประการหนึ่ง คือ กฎหมายการุณยฆาตอาจก่อให้เกิด ปัญหาต่อการพัฒนาระบบการดูแลแบบประคับประคอง หากพิจารณา ต้นทุนของการด�ำเนินการแล้ว จะพบว่า การอนุญาตให้ผู้ป่วยสามารถฆ่า ตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ได้เป็นทางเลือกที่ถูกกว่าการให้การ ดูแลแบบประคับประคอง ซ่ึงใช้เวลายาวนานและประกอบด้วยกิจกรรม ที่อาจจะไม่ได้ท�ำให้สุขภาพดีขึ้น นอกจากนี้ การมีกฎหมายการุณยฆาต 60

โดยที่ไม่ได้พัฒนาการดูแลแบบประคับประคองอย่างเพียงพอยังอาจท�ำให้ ประชาชนมองขา้ มการดแู ลแบบประคับประคองในฐานะทางเลือกของการ ยตุ ชิ วี ติ ในระยะทา้ ย และเลอื กกระทำ� การณุ ยฆาตโดยทไี่ มไ่ ดไ้ ตรต่ รองอยา่ ง ถ่ถี ว้ นกเ็ ป็นได้ (Buiting et al., 2011; Mendelson and Bagaric, 2013) o อย่างไรก็ดี ผลกระทบเชิงลบของการุณยฆาตต่อการดูแลแบบประคับ ประคองยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์มารองรับ จะเห็นได้ว่า ในประเทศ ท่ีมีกฎหมายการุณยฆาตในปัจจุบัน เช่น ประเทศในกรณีศึกษาอย่าง เนเธอรแ์ ลนดแ์ ละแคนาดา ระบบการดแู ลแบบประคบั ประคองอยู่ในระดับ ตน้ ๆ ของโลก (The Economist, 2015) อยา่ งไรกต็ าม การสรปุ วา่ กฎหมาย การุณยฆาตไม่ได้ส่งผลต่อระบบการดูแลแบบประคับประคองก็ไม่สามารถ กระทำ� ไดเ้ ช่นกนั เพราะประเทศทมี่ ีกฎหมายการณุ ยฆาตอาจจะเลือกทจ่ี ะ มกี ฎหมายดังกลา่ ว เนอ่ื งจากระบบการดูแลประคบั ประคองในประเทศอยู่ ในระดับที่ดีอยู่แลว้ กเ็ ป็นได้ นอกเหนอื จากประเดน็ ถกเถียงข้างตน้ แลว้ การประเมินว่ากฎหมายการุณยฆาตเหมาะ สมกับบริบททางสังคมที่สนใจหรือไม่ อาจพิจารณาได้จากมุมมองทางปรัชญาและ จริยศาสตร์ จะเห็นได้ว่า ประเทศท่ีไม่มีกฎหมายการุณยฆาตส่วนใหญ่จะมีกฎหมาย รับรองการปฏิเสธการรักษาในวาระท้ายของชีวิต ค�ำถามที่ส�ำคัญในทางจริยศาสตร์ คือ การุณยฆาตกับการปฏิเสธการรักษามีความแตกต่างกันอย่างไร ในเม่ือผู้ท่ีเลือก กระท�ำการุณยฆาตกับผู้ที่เลือกปฏิเสธการรักษาก็อาจจะเป็นผู้ป่วยที่ไม่ได้มีเหตุมีผล ไม่มีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ และไม่ได้ตัดสินใจโดยสมัครใจเหมือนกัน นอกจากนี้ ในการกระท�ำการุณยฆาตและการไม่รักษาผู้ป่วย บทบาทของแพทย์ก็คล้ายคลึงกัน การไม่รักษาผู้ป่วย ซ่ึงอาจมองได้ว่าเป็นการไม่กระท�ำการใด (Inaction) แท้จริงแล้ว เปน็ การกระทำ� (Action) รปู แบบหนง่ึ เพราะแพทยไ์ ดเ้ ลอื กแลว้ ทจ่ี ะไมก่ ระทำ� การรกั ษา และดงึ เครอื่ งชว่ ยหายใจและเครอื่ งพยงุ ชวี ติ ออก อนั สง่ ผลใหผ้ ปู้ ว่ ยตายเรว็ ขนึ้ เมอื่ เปรยี บ เทียบกับการที่ผู้ป่วยได้รับการรักษา ดังนั้น หากไม่พิจารณาถึงระยะเวลาที่ใช้ในการ เสยี ชวี ติ การกระทำ� ดงั กลา่ วแตกตา่ งจากการใหย้ าอนั ตรายแกผ่ ปู้ ว่ ยอยา่ งไร (Schafer, 2013) ภายใตม้ มุ มองน้ี การตดั สนิ ใจปฏเิ สธการรกั ษาจะผดิ หลกั การของการมอี สิ รภาพ 61

ในการใชส้ ทิ ธสิ ว่ นบคุ คล และการปกปอ้ งผทู้ เ่ี ปราะบางในสงั คมดว้ ยหรอื ไม่ และทำ� ไมรฐั หน่งึ ๆ จึงจะอนุญาตให้มกี ารกระท�ำหนึ่ง แต่ไมอ่ นุญาตใหม้ ีการกระท�ำหนึ่ง ทงั้ ท่ีในทาง จรยิ ศาสตรแ์ ล้ว การกระทำ� ทง้ั สองอยา่ งอาจจะไมไ่ ดแ้ ตกตา่ งกนั ในลกั ษณะเดียวกัน ประเด็นตอ่ ตา้ นกฎหมายการณุ ยฆาตประการหน่ึง คือ การมองวา่ หากผปู้ ่วยต้องการจะเสยี ชวี ิตเร็วกว่าการตายตามธรรมชาติ ผปู้ ่วยก็สามารถฆ่าตวั ตาย เองได้ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม (ด้วยการอดอาหารและน�้ำ) ไม่ควรจะต้องให้รัฐ หรือแพทย์เขา้ มาเกี่ยวขอ้ งดว้ ย อย่างไรก็ดี การพิจารณาประเดน็ นี้ในเชิงนโยบายตอ้ ง กระท�ำอยา่ งระมดั ระวงั เพราะ (1) การฆ่าตัวตายสร้างตน้ ทนุ ใหก้ บั สังคม เชน่ ตน้ ทนุ ในการจดั เกบ็ ศพ ตน้ ทนุ ในการทำ� ความสะอาดสถานท่ี และตน้ ทนุ ทางดา้ นอารมณแ์ ละ สุขภาพจติ ของผู้ท่รี บั ทราบถงึ การฆ่าตัวตายของผู้อน่ื เป็นต้น (2) การไมอ่ อกกฎหมาย การณุ ยฆาตเพอ่ื ใหผ้ ปู้ ว่ ยฆา่ ตวั ตายเองเปน็ การกดี กนั และลดิ รอนสทิ ธผิ ปู้ ว่ ยทม่ี ขี อ้ จำ� กดั ทางกายภาพซึ่งไม่สามารถฆ่าตัวตายด้วยตัวเองได้ (ท้ังท่ี ผู้ป่วยกลุ่มน้ีเป็นกลุ่มท่ีอาจ ต้องการการุณยฆาตมากที่สุด) และ (3) การพยายามฆ่าตัวตายอาจสร้างความทุกข์ ทรมาน หากฆ่าตัวตายไม่ส�ำเร็จ เพราะอาจก่อให้เกิดความเจ็บปวดเพ่ิมเติมและท�ำให้ การตายของผู้ป่วยเปน็ การตายช้าๆ อย่างทรมาน ลดคุณภาพชวี ติ และลดศักด์ศิ รีของ ผปู้ ว่ ย ซึง่ อาจไม่ใช่ผลลัพธท์ ี่สังคมต้องการ ทั้งนี้ การพิจารณากฎหมายการุณยฆาตในเชิงคุณค่าอาจแยกออกเป็น (1) มุมมอง ภายใต้กรอบแนวคิดจริยศาสตร์ กับ (2) มุมมองภายใต้กรอบแนวคิดทางศาสนา แม้ว่าการศึกษาด้านจริยศาสตร์จะยังมีข้อถกเถียงถึงความเหมาะสมของการุณยฆาต เมอื่ เปรียบเทยี บกบั ทางเลอื กในการยตุ ชิ วี ติ อน่ื ทสี่ ังคม “ยอมรับได”้ แตก่ ารศกึ ษาดา้ น จริยศาสตร์ก็มักจะสรุปว่าทางเลือกในการยุติชีวิตต่างๆ มีความแตกต่างกันน้อยมาก ในขณะเดียวกัน การศึกษาท่ีเก่ียวข้องกับศาสนามีแนวโน้มท่ีจะไม่เห็นด้วยกับ การณุ ยฆาต ตัวอย่างของการศึกษาในมมุ มองของศาสนาพทุ ธ ได้แก่ • การศึกษาของ Lecso (1986) อธิบายว่าศาสนาพุทธไม่เห็นด้วยกับการ กระท�ำการุณยฆาต เพราะมองว่าเทียบเท่ากับการฆ่าตัวตายโดยเจตนา ซึง่ เปน็ บาป 62

• การศึกษาของ Keown and Keown (1995) เปรยี บเทยี บศาสนาพุทธกบั ศาสนาคริสต์ และระบุว่าทั้งสองศาสนาไม่เห็นด้วยกับการุณยฆาต เพราะ ตา่ งก็สอนใหค้ นเคารพต่อชีวติ (Sanctity of Life) • การศกึ ษาของ Perrett (1996) มองวา่ แมว้ า่ ศาสนาพทุ ธโดยทวั่ ไปจะไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั การณุ ยฆาต แต่ศาสนาพุทธมดี ว้ ยกนั หลายนิกาย และแตล่ ะนกิ าย ก็มมี ุมมองทแ่ี ตกตา่ งกันในเรื่องความตาย อย่างไรกด็ ี ทุกนิกายของศาสนา พทุ ธตอ่ ตา้ นการณุ ยฆาตในระดบั ทนี่ อ้ ยกวา่ ศาสนาครสิ ต์ เพราะศาสนาพทุ ธ เช่ือในการกลับมาเกิดใหม่และเช่ือว่าความตายเป็นส่ิงท่ีเกิดข้ึนตาม ธรรมชาติ ในขณะท่ีศาสนาคริสต์เช่ือว่าคนมีเพียงชีวิตเดียวและการฆ่า ตัวตายไม่ใช่คำ� สอนของพระเจา้ และ • การศึกษาของ Keown (2005) ช้ีให้เห็นถึงความซับซ้อนของศาสนาพุทธ โดยอธิบายว่าศาสนาพุทธไม่เห็นด้วยกับการุณยฆาต แต่ในขณะเดียวกัน ศาสนาพุทธก็มองว่าการรักษาเพ่ือย้ือชีวิตท่ีไม่สามารถด�ำรงอยู่ต่อไป ได้แล้วก็ไม่ใช่เร่ืองท่ีจ�ำเป็น การปฏิเสธการรักษาเม่ือไม่สามารถ รักษาไดแ้ ล้วจงึ ไมใ่ ช่เรอื่ งผดิ ศีลธรรมตามหลกั “ทางสายกลาง” หากแต่ใน กระบวนการดังกล่าว ศาสนาพุทธก็ยังไม่เห็นด้วยกับการให้ผู้ป่วยอดข้าว อดน�้ำ เพราะมองว่านั่นคอื วิธกี ารทางออ้ มในการฆ่าตัวตายของผู้ปว่ ย อยา่ งไรกด็ ี ในขณะทว่ี รรณกรรมดา้ นศาสนาพทุ ธขา้ งตน้ จะมขี อ้ สรปุ ไปในทศิ ทางเดยี วกนั ว่าการุณยฆาตเป็นเร่ืองผิดศีลธรรม แต่การศึกษาท้ังหมดก็ใช้เพียงกรอบของศีล 5 เท่าน้ัน ท้ังท่ีค�ำสอนของศาสนาพุทธละเอียดอ่อนเกินกว่าท่ีจะมีบทสรุปในประเด็นดัง กล่าวทเี่ ป็นความจรงิ โดยสมบรู ณ์ (Whole Truth) การศกึ ษาของ Perrett (1996) ช้ี ให้เห็นวา่ แม้ว่าการุณยฆาตจะไม่สอดคลอ้ งกบั คำ� สอนของศาสนาพุทธในภาพรวม แต่ การศกึ ษาของศาสนาพทุ ธนกิ ายมหายานกไ็ ดม้ กี ารระบถุ งึ กรณที กี่ ารฆา่ ตวั ตายเปน็ เรอื่ ง ที่ “ยอมรับได้” ด้วยถือว่าอาจเป็นพิธีกรรมทางศาสนารูปแบบหนึ่ง และชีวิตก็ไม่ใช่ สิ่งที่เป็นจริง หากแต่เป็นรูปแบบของการชดใช้กรรมเพื่อไปสู่นิพพาน ตัวอย่างในการ ศกึ ษาของ Perrett (1996) ได้แก่ กรณีของพระทิก กว๋าง ด๊ึก (Thích Quảng Đức) 63

ท่ีเผาตัวเองจนมรณภาพเพ่ือประท้วงความไม่เท่าเทียมกันทางศาสนาในเวียดนาม และ กรณีของพระญี่ปุ่นที่กระท�ำการเซ็ปปูกุ (Seppuku) หรือฮารากิริ (Harakiri) คว้านทอ้ งฆ่าตวั ตายเพ่ือความเจริญของศาสนา การศกึ ษาในประเทศไทย (ซึ่งจะกล่าว ถึงในรายละเอียดในบทถัดไป) ก็ได้มีการกล่าวถึงกรณีการฆ่าตัวตายที่พระพุทธเจ้าไม่ ไดท้ รงตำ� หนเิ ช่นกนั การศึกษาของพระมหาสุรชยั ชยาภวิ ฑฺฒโน (พ.ศ. 2560) และการ ศึกษาของณทั ธรี ์ ศรีดี (พ.ศ. 2560) พบว่า คัมภีร์ทางพทุ ธปรชั ญาเถรวาทมีการกลา่ ว ถึงกรณีของพระฉันนะเถระและพระโคธิกะเถระ ซึ่งทั้งคู่อาพาธหนักและได้ฆ่าตัวตาย หลังจากได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว โดยเห็นว่าการฆ่าตัวตายดังกล่าวเป็นการตัดกิเลส ของผู้ที่อบรมปัญญามามากจนจิตได้พ้นจากอาสวะกิเลสแล้ว ไม่ได้มีเจตนาในทางไม่ดี (กลา่ วคอื โลภะ โทสะ โมหะ) ในการยตุ ชิ วี ติ และเมอ่ื จติ มคี วามบรสิ ทุ ธอ์ิ ยา่ งแทจ้ รงิ การ ฆ่าตวั ตายจึงไมใ่ ชป่ าณาติบาต โดยสรุป ในแง่คณุ คา่ การประเมนิ วา่ กฎหมายการณุ ยฆาตเหมาะสมหรือไม่นัน้ จะต้อง แยกพิจารณาระหว่างมุมมองทางจริยศาสตร์กับมุมมองทางศาสนา เพราะท้ังสองมุม มองอาจมแี นวคดิ ในเรอ่ื งชวี ติ และความตายทไ่ี มเ่ หมอื นกนั (Secular Doctrine versus Religious Doctrine of the Sanctity of Life) และควรพจิ ารณาถึงความซบั ซ้อน ขององค์ความร้ใู นทัง้ สองมมุ มองอย่างถ่ถี ้วน 64

65

บทที่ 3 วรรณกรรมในประเทศไทย 66

เน้ือหาในบทน้ีเป็นการพิจารณาวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องในประเทศไทย เพ่ือประมวล องคค์ วามรทู้ ม่ี อี ยใู่ นปจั จบุ นั และชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ชอ่ งวา่ งของวรรณกรรมทต่ี อ้ งเตมิ เตม็ ตอ่ ไป ในอนาคตหากจะใหส้ งั คมไทยพจิ ารณาทางเลอื กในการยตุ ชิ วี ติ อยา่ งรอบคอบ บทความ ทร่ี วมอยใู่ นบทนี้มจี ำ� นวนทั้งสน้ิ 13 ช้นิ มาจากการสบื ค้นฐานข้อมลู ของศนู ยด์ ชั นีการ อ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index: TCI) ณ วันท่ี 1-12 ธันวาคม พ.ศ. 25623 ท้งั นี้ รายละเอยี ดของกระบวนการคดั เลอื กวรรณกรรมและรายละเอยี ด ของบทความอน่ื ๆ ในฐาน TCI ทไี่ ม่ได้รวบรวมไวใ้ นบทนี้ไดอ้ ธิบายไว้ในภาคผนวกท่ี 1 และตาราง A.1 3.1 องคค์ วามรดู้ ้านทางเลือกในการยตุ ิชวี ิตในประเทศไทย การศกึ ษาทงั้ หมดในประเทศไทยพจิ ารณาทางเลอื กในการยตุ ชิ วี ติ ของผปู้ ว่ ย 2 ทางเลอื ก เปน็ หลกั ไดแ้ ก่ (1) การณุ ยฆาต และ (2) การปฏเิ สธการรกั ษาในวาระทา้ ยของชวี ติ ผา่ น หนังสือแสดงเจตนาไม่รับบริการสาธารณสุขเพ่ือยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือพินัยกรรมชีวิต นอกจากน้ี ยังมีการศึกษาจ�ำนวนหน่ึงท่ีมีการกล่าวถึงการ ฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ (Physician-Assisted Suicide) (ดวงเด่น นาคสหี ราช, พ.ศ. 2561; อรรมั ภา ไวยมกุ ข์ และคณะ, พ.ศ. 2562) แตเ่ ปน็ การพจิ ารณา การกระท�ำดังกล่าวจากมุมมองทางกฎหมายเท่านั้น (ว่าถูกกฎหมายหรือไม่) ไม่มีการ อธบิ ายถงึ กระบวนการ หรอื การกลา่ วถงึ ในเชงิ ปรชั ญาหรอื เชงิ คณุ คา่ วา่ แตกตา่ งจากทาง เลือกในการยุติชวี ิตอนื่ ๆ อย่างไร เน้อื หาของบทความทัง้ หมดไดส้ รุปไวใ้ นตารางที่ 3.1 โดยสามารถจดั หมวดหมู่ขององคค์ วามรูใ้ นประเทศไทยได้ ดังน้ี 3 จากการสบื ค้นฐานข้อมูล TCI ณ วันท่ี 1-12 ธนั วาคม พ.ศ. 2562 พบวา่ เมอื่ คัดบทความที่ซำ�้ กนั ออกไปแลว้ บทความท่ี มชี อ่ื (Title) หรอื มคี ำ� สำ� คญั (Keywords) ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ทางเลอื กในการยตุ ชิ วี ติ ภายใตข้ อบเขตของหนงั สอื เลม่ นม้ี จี ำ� นวน ทง้ั สน้ิ 109 ชน้ิ และเมอ่ื คดั กรองเฉพาะบทความทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั หนงั สอื เลม่ นโ้ี ดยตรงดว้ ยการพจิ ารณาบทคดั ยอ่ (Abstract) อยา่ งละเอยี ด พบวา่ จำ� นวนบทความทีเ่ กย่ี วขอ้ งจะเหลือ 13 ชิ้น 67

สถานะทางกฎหมายของทางเลอื กในการยุติชวี ติ การศึกษาในประเทศไทยระบุว่าทางเลือกในการยุติชีวิตในรูปแบบต่างๆ มีสถานะ ทางกฎหมายที่แตกต่างกัน การุณยฆาต ในปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับการท�ำการุณยฆาต และตามประมวลกฎหมายอาญาแลว้ การทำ� การณุ ยฆาตนบั วา่ ผดิ กฎหมายอาญามาตรา 288 (หรือ 289 หากกระทำ� ต่อบุพการี หรือมีการไตร่ตรองไว้ก่อน) เทียบเท่ากับการ ฆา่ ผอู้ นื่ โดยเจตนา แมว้ า่ การฆา่ ดงั กลา่ วจะเกดิ จากการรอ้ งขอของผถู้ กู ฆา่ และมมี ลู เหตุ จูงใจ (Motive) ท่ีดี อย่างไรกด็ ี มลู เหตจุ ูงใจกไ็ มใ่ ชอ่ งคป์ ระกอบความผิดตามกฎหมาย อาญาไทย จึงไม่สามารถอ้างมูลเหตุจูงใจให้พ้นผิดได้ (ดวงเด่น นาคสีหราช, พ.ศ. 2561; อรรัมภา ไวยมุกข์ และคณะ, พ.ศ. 2562) ทงั้ นี้ สถานะทางกฎหมายและความผดิ ของการทำ� การณุ ยฆาตภายใตก้ ฎหมายไทยแตก ต่างจากกฎหมายของประเทศอ่ืนๆ มีบางประเทศในโลกท่ีรองรับการุณยฆาตในทาง กฎหมาย เชน่ เนเธอรแ์ ลนด์ แคนาดา และเบลเยยี ม เป็นตน้ (ดวงเด่น นาคสีหราช, พ.ศ. 2561) และมีบางประเทศในโลก ที่แม้วา่ จะยงั ไมม่ ีกฎหมายการุณยฆาต แตก่ ไ็ ด้ ระบุความผิดของการกระท�ำการุณยฆาตไว้อย่างแตกต่างจากการฆ่าผู้อ่ืนโดยเจตนา อรรมั ภา ไวยมกุ ข์ และคณะ (พ.ศ. 2562) ไดศ้ กึ ษากฎหมายเยอรมนั และพบวา่ กฎหมาย เยอรมนั ไดร้ ะบโุ ทษของการฆา่ ผอู้ นื่ ไวล้ ะเอยี ดกวา่ กฎหมายไทย โดยมกี ารกำ� หนดมาตรา ขน้ึ มาเปน็ พเิ ศษ (มาตรา 216) วา่ ดว้ ยการทำ� ใหผ้ อู้ น่ื ตายตามคำ� รอ้ งขอซง่ึ มโี ทษเบากวา่ ความผดิ ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาอนื่ การฆา่ ตวั ตายโดยความชว่ ยเหลอื ของแพทย์ ประเทศไทยยงั ไมม่ กี ฎหมายรองรบั การ ฆา่ ตวั ตายโดยความชว่ ยเหลอื ของแพทย์ (Physician-Assisted Suicide) เชน่ กนั อยา่ งไร กด็ ี ความผดิ ทางอาญาของการฆา่ ตวั ตายโดยความชว่ ยเหลอื ของแพทยส์ ามารถอนมุ าน ได้จากกฎหมายในประเด็นใกล้เคียง ตามประมวลกฎหมายอาญา ผู้ที่ฆ่าตัวตายแล้ว ไมต่ ายไมม่ คี วามผดิ ทางอาญา (และไมน่ บั เปน็ ความผดิ ฐานพยายามฆา่ ตามมาตรา 288 68

ประกอบมาตรา 80) (ดวงเดน่ นาคสหี ราช, พ.ศ. 2561) และผทู้ ฆี่ า่ ตวั ตายแลว้ ตายกไ็ มม่ ี ความผิด เพราะประเทศไทยไมม่ ีการบญั ญตั กิ ฎหมายลงโทษการฆ่าตัวตาย ดังน้ัน การ ช่วยเหลือให้ผู้อ่ืนฆ่าตัวตายในสภาวะท่ีผู้ฆ่าตัวตายมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ก็ต้องไม่มี ความผดิ ดว้ ยเช่นกนั (ดวงเด่น นาคสหี ราช, พ.ศ. 2561; อรรัมภา ไวยมุกข์ และคณะ, พ.ศ. 2562) สอดคลอ้ งกับการตคี วามของ ดวงเด่น นาคสหี ราช (พ.ศ. 2561) ท่ีมองว่า “การฆา่ ตวั ตายในประเทศไทยเป็นเสรภี าพ” กรณีเดียวที่จะสามารถระบุความผิดอาญาของการฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของ แพทย์ได้ คือ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 293 ท่รี ะบุถงึ “การชว่ ย เหลอื หรอื ยยุ งเดก็ อายยุ งั ไมเ่ กนิ สบิ หกปี หรอื ผซู้ ง่ึ ไมส่ ามารถเขา้ ใจวา่ การกระทำ� ของตน มสี ภาพหรอื สาระสำ� คญั อยา่ งไร หรอื ไมส่ ามารถบงั คบั การกระทำ� ของตนได้ ฆา่ ตวั ตาย” (อรรัมภา ไวยมกุ ข์ และคณะ, พ.ศ. 2562) การปฏเิ สธการรักษาในวาระท้ายของชวี ติ การปฏเิ สธการรกั ษาในวาระทา้ ยของชีวิต โดยการทำ� “พนิ ยั กรรมชวี ติ ” (Living Will) เปน็ ทางเลอื กในการยตุ ชิ วี ติ ทไ่ี ดร้ บั การรองรบั ภายใต้กฎหมายไทย มีการระบุไว้ในมาตรา 12 ของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 วา่ “บคุ คลมสี ทิ ธทิ ำ� หนงั สอื แสดงเจตนาไมป่ ระสงคจ์ ะรบั บรกิ ารสาธารณสขุ ทเ่ี ปน็ ไปเพยี งเพอ่ื ยดื การตายในวาระสดุ ทา้ ยของชวี ติ ตนหรอื เพอ่ื ยตุ กิ ารทรมานจากการ เจ็บป่วยได้ การด�ำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลัก เกณฑ์และวิธีการท่ีก�ำหนดในกฎกระทรวง เม่ือผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหน่ึงแล้ว มิให้ถือว่าการกระท�ำน้ันเป็นความผิด และให้พ้นจากความรบั ผิดท้ังปวง” (จินตนา สวุ ทิ วสั , พ.ศ. 2562; ดวงเดน่ นาคสหี ราช, พ.ศ. 2561; แสวง บญุ เฉลมิ วภิ าส, พ.ศ. 2558; อรรมั ภา ไวยมกุ ข์ และคณะ, พ.ศ. 2562; อารยา เนอื่ งจ�ำนงค์, พ.ศ. 2560) ในการรบั บริการทางการแพทย์ใดๆ ผ้ปู ว่ ยทกุ คนในประเทศไทยจะตอ้ งไดร้ ับคำ� อธบิ าย จากบุคลากรทางการแพทยจ์ นเขา้ ใจลักษณะของบรกิ ารแลว้ และมี “สิทธทิ จ่ี ะเลือก” กล่าวคือ สิทธิที่จะเลือกรับหรือปฏิเสธบริการประเภทใดประเภทหนึ่งก็ได้ โดยหาก เลือกที่จะรับบริการ ผู้ป่วยก็ต้องแสดงความยินยอมที่เรียกว่า “ความยินยอมที่ได้รับ 69

ค�ำอธิบายแล้ว” (ดวงเด่น นาคสีหราช, พ.ศ. 2561) “สิทธิที่จะเลือก” นี้มีผลในทุก สภาวะของผปู้ ว่ ย รวมถงึ วาระสดุ ทา้ ยของชวี ติ การ “เลอื ก” ไมร่ บั บรกิ ารทางการแพทย์ จงึ เปน็ สทิ ธทิ กี่ ฎหมายคมุ้ ครอง สอดคลอ้ งกบั หมวด 3 ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั ร ไทย พุทธศักราช 2560 ท่ีว่าด้วยเร่ืองสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย (จินตนา สวุ ิทวัส, พ.ศ. 2562) หนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข หรือพินัยกรรมชีวิต เป็นการ แสดงความประสงค์ในการใช้ “สิทธิที่จะเลือก” อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และเป็น เอกสารที่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย “พินัยกรรมชีวิต” จึงต้องกระท�ำเมื่อผู้ท�ำหนังสือ อยู่ในภาวะที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ และจะมีผลบังคับใช้เมื่อผู้ท�ำหนังสืออยู่ในวาระ สุดท้ายของชีวิต หรือในภาวะที่ไม่อาจแสดงเจตนาได้ด้วยตนเองแล้ว ท้ังนี้ มาตรา 2 ของกฎกระทรวงก�ำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการด�ำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพือ่ ยุติการทรมานจากการเจบ็ ป่วย พ.ศ. 2553 ระบวุ ่า “วาระสุดท้ายของชีวิต” หมายถึง “ภาวะของผู้ทําหนังสือแสดงเจตนาอันเกิดจากการบาดเจ็บหรือโรคที่ไม่อาจ รักษาให้หายได้ และผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้รับผิดชอบการรักษาได้วินิจฉัยจาก การพยากรณ์โรคตามมาตรฐานทางการแพทย์ว่าภาวะนั้นนําไปสู่การตายอย่างหลีก เลี่ยงไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้จะถึง และให้หมายความรวมถึงภาวะที่มีการสูญเสีย หน้าท่ีอย่างถาวรของเปลือกสมองใหญ่ท่ีทําให้ขาดความสามารถในการรับรู้และติดต่อ สื่อสารอย่างถาวรโดยปราศจากพฤติกรรมการตอบสนองใดๆ ที่แสดงถึงการรับรู้ได้ จะมเี พยี งปฏกิ ริ ยิ าสนองตอบอตั โนมตั เิ ทา่ นน้ั ” นยิ ามขา้ งตน้ นใ้ี นทางการแพทย์ เรยี กวา่ “สภาพผักถาวร” (Persistence Vegetative State) (ดวงเด่น นาคสีหราช, พ.ศ. 2561; แสวง บุญเฉลิมวภิ าส, พ.ศ. 2558; อรรมั ภา ไวยมกุ ข์ และคณะ, พ.ศ. 2562; อารยา เนอื่ งจ�ำนงค์, พ.ศ. 2560) การก�ำหนดให้มี “พนิ ัยกรรมชีวติ ” และการระบุนยิ ามที่ชดั เจนของ “วาระสุดทา้ ยของ ชวี ติ ” อนั เปน็ การกำ� หนดชว่ งเวลาทพ่ี นิ ยั กรรมชวี ติ สง่ ผลนน้ั เปน็ ไปเพอ่ื คมุ้ ครองบคุ ลากร ทางการแพทย์ ตามปกตแิ ลว้ บคุ ลากรทางการแพทยใ์ นสถานบรกิ ารของรฐั หรอื ใหบ้ รกิ าร ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่มีสิทธิปฏิเสธการให้บริการแก่ผู้ป่วยโดยไม่มีเหตุสมควร 70

ในทุกกรณี (ดวงเด่น นาคสีหราช, พ.ศ. 2561) แต่เมื่อกฎหมายกำ� หนดให้ผู้ปว่ ยแสดง เจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขผ่านพินัยกรรมชีวิตได้ บุคลากรทางการ แพทย์ท่ีปฏิบัติตามพินัยกรรมชีวิตในช่วงเวลาที่สอดคล้องกับนิยาม “วาระสุดท้าย ของชวี ติ ” ขา้ งตน้ กพ็ งึ ไดร้ บั การคมุ้ ครองใหไ้ มม่ คี วามผดิ ฐานทอดทง้ิ ผปู้ ว่ ยตามมาตรา 307 แห่งประมวลกฎหมายอาญา (อรรมั ภา ไวยมุกข์ และคณะ, พ.ศ. 2562) หากตีความตามกฎหมายแล้ว เม่ือผู้ป่วยได้ท�ำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะ รบั บรกิ ารสาธารณสขุ เปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรไวแ้ ลว้ แพทยต์ อ้ งเคารพสทิ ธผิ ปู้ ว่ ยและตอ้ ง ยุติการรักษาที่เป็นไปเพื่อยืดการตายหรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย (จินตนา สวุ ิทวัส, พ.ศ. 2562) แตย่ งั อาจใหก้ ารดูแลแบบประคับประคองที่ไมไ่ ด้มีวตั ถปุ ระสงค์ เพื่อยืดการตายได้อยู่ (แสวง บุญเฉลิมวิภาส, พ.ศ. 2558) ทั้งนี้ สิทธิในการปฏิเสธ การรักษาได้รับการตีความให้ชัดเจนขึ้นโดยศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ. 11/2558 โดยศาลรบั รองวา่ “สทิ ธใิ นการปฏเิ สธการรกั ษาเปน็ การกระทำ� ทช่ี อบดว้ ย กฎหมาย ... มีผลทำ� ให้แพทยต์ ้องเคารพการตัดสนิ ใจดังกลา่ ว ... (สิทธนิ ี้เปน็ ) สิทธิใน การเลอื กทจ่ี ะปฏเิ สธการรกั ษาพยาบาลเพอ่ื ทจ่ี ะไดต้ ายตามธรรมชาติ (และ) ... เปน็ การ แสดงสิทธิในชวี ติ และร่างกาย และไมใ่ ช่การกระท�ำท่ขี ัดต่อความสงบเรยี บร้อยและศีล ธรรมอันดขี องประชาชน” (ดวงเดน่ นาคสีหราช, พ.ศ. 2561) อยา่ งไรกด็ ี การศึกษา ในประเทศไทยไม่ได้กล่าวถึงกรณีท่ีบุคลากรทางการแพทย์ไม่ปฏิบัติตามหนังสือแสดง เจตนาไมป่ ระสงคจ์ ะรบั บรกิ ารสาธารณสขุ ของผปู้ ว่ ย วา่ เปน็ การละเมดิ สทิ ธผิ ปู้ ว่ ยหรอื ไม่ และมีความผิดหรือไม่ อย่างไร การตดั สนิ ใจและปจั จยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ การทำ� หนงั สอื แสดงเจตนาไมป่ ระสงคจ์ ะรบั บรกิ าร สาธารณสุข วรรณกรรมในประเทศไทยไดท้ ำ� การศกึ ษาถงึ การตดั สนิ ใจในการทำ� หนงั สอื แสดงเจตนา ไมป่ ระสงคจ์ ะรบั บรกิ ารสาธารณสขุ และการตดั สนิ ใจยตุ หิ รอื ปฏเิ สธบรกิ ารสาธารณสขุ (โดยไมค่ ำ� นงึ ถงึ วา่ ผปู้ ว่ ยจะทำ� หนงั สอื ไวก้ อ่ นหรอื ไมก่ ต็ าม) ไวพ้ อสมควร อกี ทง้ั ยงั ไดร้ ะบุ ถึงปัจจัยท่ีส่งผลต่อการตัดสินใจดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ดี การศึกษาทั้งหมดมีขอบเขต 71

การศึกษาที่จ�ำกัดอยู่แค่ในระดับชุมชนหรือระดับโรงพยาบาลเท่านั้น ไม่มีการศึกษาใด เลยในปัจจุบันที่ท�ำการส�ำรวจในระดับประชากร ผลของการศึกษาจึงไม่น่าใช่ตัวแทน ของประชากร อย่างไรก็ดี การศึกษามีข้อพบที่น่าสนใจ บทความที่พิจารณาการตัดสินใจในการท�ำ หนงั สอื แสดงเจตนาไมป่ ระสงคจ์ ะรบั บรกิ ารสาธารณสขุ มดี ว้ ยกนั 3 ชนิ้ มบี ทสรปุ เกยี่ วกบั ระดบั ความตงั้ ใจในการทำ� หนงั สอื แสดงเจตนาไมป่ ระสงคจ์ ะรบั บรกิ ารสาธารณสขุ ดงั นี้ • พศิน ภูริธรรมโชติ (พ.ศ. 2560) ศึกษาทัศนคติต่อการท�ำพินัยกรรมชีวิต ของผปู้ ว่ ยในของโรงพยาบาลบรบอื จำ� นวน 70 คนในชว่ งเดอื นสงิ หาคม พ.ศ. 2557 พบวา่ รอ้ ยละ 61.4 และร้อยละ 37.1 ของกล่มุ ตัวอยา่ งมที ศั นคติทด่ี ี ต่อพินัยกรรมชีวิตในระดับปานกลางและระดับสูง ตามล�ำดับ และร้อยละ 57.1 ของกลุ่มตวั อยา่ งระบวุ ่าจะเขียนพินัยกรรมชวี ิตในอนาคต • ชนกิ านต์ วงศ์ประเสรฐิ สุข และ ธัญญรตั น์ ประมวลวงษ์ธรี (พ.ศ. 2561) ศึกษาทัศนคติต่อการเขียนหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการ สาธารณสขุ ของผปู้ ว่ ยศนู ยก์ ารแพทยป์ ญั ญานนั ทภกิ ขุ อายรุ ะหวา่ ง 20-80 ปี จ�ำนวน 30 คน พบว่า แมว้ ่าผู้ปว่ ยส่วนใหญ่จะเห็นขอ้ ดีของหนงั สือแสดง เจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข แต่เกือบทั้งหมดยังไม่ได้เขียน หนงั สอื ดงั กลา่ ว และเหน็ วา่ เวลาทเี่ หมาะสมตอ่ การเขยี นหนงั สอื แสดงเจตนา ไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข คือ ช่วงอายุประมาณ 60-70 ปี หรือช่วงที่เริ่มเจ็บปว่ ยด้วยโรคที่ร้ายแรง • รุ่งมณี พุกไพจิตร์ และคณะ (พ.ศ. 2561) ศึกษาการตัดสินใจเขยี นหนงั สือ แสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขของผู้ป่วยทหารผ่านศึก กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยในหอผู้ป่วยอัมพาตของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก จำ� นวน 40 คน พบวา่ แมว้ า่ ผปู้ ว่ ยทง้ั 40 คนจะยงั ไมม่ คี วามรเู้ กย่ี วกบั การเขยี น หนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข แต่ก็แสดงออก ซ่ึงความต้องการในการท�ำหนังสือดังกล่าว โดยบริการสาธารณสุขท่ีผู้ป่วย ทหารผา่ นศึกตอ้ งการทีจ่ ะปฏิเสธมากทส่ี ดุ คือ การบริการท่ที ำ� ใหเ้ จบ็ ปวด หรือทรมานมาก (ไดแ้ ก่ การชว่ ยฟ้นื คนื ชพี และการใส่ท่อช่วยหายใจ) 72

จะเหน็ ไดว้ า่ กลมุ่ ตวั อยา่ งในทกุ การศกึ ษาขา้ งตน้ มที ศั นคตทิ ด่ี ตี อ่ การเขยี นหนงั สอื แสดง เจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข และแสดงออกซึ่งความประสงค์จะเขียน หนังสือดังกล่าวในอนาคต หากแต่สัดส่วนของผู้ที่ได้ท�ำหนังสือดังกล่าวไว้แล้วนับว่ามี น้อยมาก เม่ือพิจารณาถึงปัจจัยท่ีส่งผลต่อการเขียนหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะ รบั บรกิ ารสาธารณสุข พบว่า สามารถประมวลได้ ดังนี้ (1) ความเช่ือทางศาสนา การศึกษาของ ชนิกานต์ วงศ์ประเสริฐสุข และ ธญั ญรัตน์ ประมวลวงษธ์ ีร (พ.ศ. 2561) และ รุ่งมณี พุกไพจิตร์ และคณะ (พ.ศ. 2561) พบว่าความเช่ือทางศาสนามีผลเชิงบวกต่อการเขียนหนังสือ แสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรบั บรกิ ารสาธารณสขุ ในกลมุ่ ตวั อย่างของทัง้ สอง การศกึ ษา โดยผปู้ ว่ ยและครอบครวั ทนี่ บั ถอื ศาสนาพทุ ธสว่ นใหญม่ คี วามเชอื่ ทเ่ี ออ้ื ตอ่ การเขา้ ใจและยอมรบั การตาย จงึ แสดงเจตนาไมป่ ระสงคจ์ ะรบั การ รักษา หากอยใู่ นวาระสดุ ท้ายของชวี ติ แลว้ (2) ทัศนคติและการสอื่ สารในครอบครัว การศกึ ษาของ ชนิกานต์ วงศป์ ระเสรฐิ สุข และ ธัญญรัตน์ ประมวลวงษ์ธีร (พ.ศ. 2561) พบว่าทัศนคติของ ครอบครัวอาจส่งผลเชิงลบต่อการเขียนหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะ รับบริการสาธารณสุข โดยการเขียนหนังสือดังกล่าวมักถูกมองว่าเป็นลาง ไมด่ ี เสมอื นเปน็ การสาปแชง่ จงึ ไมไ่ ดร้ บั การยอมรบั จากคนในครอบครวั การ สื่อสารภายในครอบครัวจึงมีความส�ำคัญต่อการเขียนหนังสือแสดงเจตนา ไม่ประสงค์จะรับบรกิ ารสาธารณสุข (3) ความรู้ท่ีเก่ียวกับหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข การศึกษาของ พศิน ภูริธรรมโชติ (พ.ศ. 2560) การศึกษาของ รุ่งมณี พุกไพจิตร์ และคณะ (พ.ศ. 2561) และการศึกษาของ ชนิกานต์ วงศ์ประเสริฐสุข และ ธัญญรัตน์ ประมวลวงษ์ธีร (พ.ศ. 2561) พบว่า การศึกษาในเร่ืองหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ยังมีอยู่น้อยมากในสังคมไทย ส่งผลให้ประชาชนมีการรับรู้และมีความรู้ เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวน้อยมาก และพบด้วยว่า ในกลุ่มตัวอย่างที่รับรู้ ถึงมาตรา 12 ส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีความรู้ว่าควรจะเขียนหนังสือแสดงเจตนา 73

ไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขอย่างไร และควรให้ใครเก็บหนังสือ ไว้ การปราศจากซ่ึงความรู้น้ีส่งผลให้อัตราการเขียนหนังสือแสดงเจตนา ไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขในสังคมไทยต�่ำกว่าความต้องการของ ประชาชน อาจมองไดว้ า่ เปน็ ความตอ้ งการทไ่ี มไ่ ดร้ บั การตอบสนอง (Unmet Needs) ประการหนง่ึ ในสงั คมไทย นอกเหนอื จากการศกึ ษาขา้ งต้นท่มี ีหนว่ ยการวิเคราะหเ์ ปน็ ผูป้ ่วย การศกึ ษาของ แสวง บุญเฉลิมวิภาส (พ.ศ. 2558) ยังได้ระบุอุปสรรคในการบังคับใช้หนังสือแสดงเจตนา ไมป่ ระสงคจ์ ะรบั บรกิ ารสาธารณสขุ ในมมุ มองของบคุ ลากรทางการแพทย์ โดยระบวุ า่ ยงั มีบุคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งท่ียังไม่เคารพสิทธิของผู้ป่วย เนอ่ื งจากไมเ่ ขา้ ใจในบทบญั ญตั ขิ องกฎหมาย หรอื ตอ้ งการทำ� ตามความประสงคข์ องญาติ ที่ต้องการให้แพทย์รักษาผู้ป่วยจนถึงที่สุด นอกจากนี้ ยังได้ระบุถึงกรณีพิพาทระหว่าง โรงพยาบาลกบั ญาตผิ ปู้ ่วยกรณีหน่งึ ในกรณีนี้ ญาตผิ ปู้ ่วยไดแ้ สดงหนงั สือแสดงเจตนา ไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข แต่กระท�ำหลังจากท่ีโรงพยาบาลได้ใส่เคร่ืองช่วย หายใจไปแล้ว ในกรณีนี้ ญาติมองว่าโรงพยาบาลต้องเคารพสิทธิของผู้ป่วย ในขณะ ที่โรงพยาบาลมองว่าการถอดเครื่องช่วยหายใจ เมื่อใส่ไปแล้วนั้นไม่มีการรองรับทาง กฎหมาย ท้ังหมดน้สี ะทอ้ นให้เห็นวา่ การบังคับใช้หนังสือแสดงเจตนาไมป่ ระสงค์จะรับ บรกิ ารสาธารณสุขยงั คงมอี ุปสรรคอยู่ และเปน็ ประเด็นทม่ี ีความซับซอ้ นในเชงิ ปฏิบตั ิ ส�ำหรับบทความที่พิจารณาการตัดสินใจไม่รับบริการสาธารณสุขมีด้วยกัน 2 ชิ้น มรี ายละเอยี ด ดังนี้ • นิการีหม๊ะ นิจินิการี และคณะ (พ.ศ. 2551) ศึกษาการตัดสินใจในระยะ สดุ ทา้ ยของชวี ติ ของผปู้ ว่ ยไทยมสุ ลมิ ทเี่ จบ็ ปว่ ยดว้ ยโรคเรอ้ื รงั (แตย่ งั ไมอ่ ยใู่ น วาระสุดท้ายของชีวิต) ในโรงพยาบาลท่ัวไปและโรงพยาบาลศูนย์ใน 5 จงั หวัดชายแดนภาคใต้ จำ� นวน 375 ราย พบว่า ร้อยละ 83.7-88.2 ของ กลุ่มตวั อยา่ งระบวุ ่า หากตนเองถึงวาระสดุ ท้ายของชีวติ แลว้ ก็จะตัดสินใจ ยตุ กิ ารรกั ษาในขณะทร่ี อ้ ยละ6.4-9.3ตดั สนิ ใจรบั การรกั ษาตอ่ รอ้ ยละ1.9-5.1 จะปล่อยให้เป็นวิจารณญาณของบุคลากรทางการแพทย์ และร้อยละ 74

1.9-3.5 จะปลอ่ ยใหเ้ ปน็ วจิ ารณญาณของครอบครวั ทงั้ นี้ การเกบ็ ขอ้ มลู ของ การศึกษาน้ีเกิดข้ึนก่อนท่ีมาตรา 12 ของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 จะมีผลบังคับใช้ การศึกษาจึงไม่มีประเด็นท่ีเก่ียวข้องกับ พินัยกรรมชีวติ โดยตรง • เพลินพิศ ฐานิวัฒนานนท์ และคณะ (พ.ศ. 2559) ศกึ ษาความปรารถนาใน ช่วงสุดท้ายของชีวิตของผู้สูงอายุโรคเรื้อรังในระยะสุดท้ายในอ�ำเภอ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จ�ำนวน 22 คน โดยผู้ดูแลหลักท่ีบ้านเป็นผู้ให้ ข้อมูลแทน โดยค�ำว่า “ความปรารถนาในช่วงสุดท้ายของชีวิต” ในการ ศึกษาน้ี หมายถึง การมีเป้าหมายในการดูแลรักษาเม่ือผู้สูงอายุมีอาการ ทรุดหนัก พบว่า มีผู้สูงอายุเพียง 4 ใน 22 รายที่แสดงความปรารถนา ในช่วงสุดท้ายของชีวิตด้วยการแสดงเจตจ�ำนงล่วงหน้าในภาวะที่มี สติสัมปชัญญะสมบูรณ์กับผู้ดูแลหลัก โดย 1 ราย เขียนบันทึก เป็นลายลักษณ์อักษร และอีก 3 ราย ส่ังด้วยวาจา โดยทุกคนระบุว่าไม่ ปรารถนาใหม้ กี ารสอดใสอ่ ปุ กรณท์ างการแพทยเ์ มอื่ ตนเองมอี าการทรดุ หนกั จะเห็นได้ว่า ผลการศึกษาของบทความ 2 ชิ้นนี้สอดคล้องกับบทความข้างต้นอยู่พอ สมควร โดยพบวา่ กลมุ่ ตวั อยา่ งมคี วามปรารถนาไมร่ บั การรกั ษาในวาระสดุ ทา้ ยของชวี ติ แตม่ ผี ทู้ แ่ี สดงเจตจำ� นงลว่ งหนา้ นอ้ ยมากโดยเปรยี บเทยี บ โดยปจั จยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ การตดั สนิ ใจปฏเิ สธการรกั ษา มดี ังน้ี (1) ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาทั้งสองการศึกษาข้างต้น (นิการีหม๊ะ นจิ นิ กิ ารีและคณะ,พ.ศ.2551;เพลนิ พศิ ฐานวิ ฒั นานนท์และคณะ,พ.ศ.2559) มีกลุ่มตัวอย่างเป็นคนไทยมุสลิม และมีบทสรุปตรงกันว่าความเชื่อทาง ศาสนาสง่ ผลตอ่ ทัศนคติตอ่ ความตาย อนั สง่ ผลโดยตรงต่อการตัดสนิ ใจของ ผู้ป่วยว่าจะปฏิเสธการรักษาเพื่อปล่อยให้ตนเองตายตามธรรมชาติหรือไม่ อย่างไรกด็ ี เมื่อวเิ คราะหใ์ นรายละเอียด จะพบวา่ แม้วา่ คนในกล่มุ ตัวอย่าง จะนับถือศาสนาเดียวกัน แต่ก็อาจมีความเช่ือทางศาสนาในด้านความตาย ทแี่ ตกต่างกนั ได้ นิการหี ม๊ะ นิจนิ กิ ารี และคณะ (พ.ศ. 2551) พบว่า ผูป้ ่วย 75

ไทยมุสลิมท่ีตัดสินใจยุติการรักษาระบุว่าตนเองเช่ือว่าอัลลอฮฺเป็นผู้ก�ำหนด ทุกอย่าง รวมทัง้ ความตายของตนดว้ ย และความตาย (อย่างเปน็ ธรรมชาต)ิ จะเป็นหนทางไปหาพระเจ้า ในขณะเดียวกัน ผู้ป่วยไทยมุสลิมที่ตัดสินใจ รับการรักษาต่อเนื่องก็มองว่าศาสนาอิสลามมีหลักค�ำสอนว่าเม่ือเจ็บป่วยก็ ตอ้ งรกั ษา ดงั นน้ั การยตุ กิ ารรกั ษาถอื วา่ เปน็ บาป ทง้ั หมดนช้ี ใ้ี หเ้ หน็ วา่ ความ เชอ่ื ทางศาสนามคี วามซบั ซอ้ นและอาจสง่ ผลตอ่ การตดั สนิ ใจของคนทน่ี บั ถอื ศาสนาเดยี วกนั ในรูปแบบทห่ี ลากหลาย (2) การรับรู้ต่อผลลัพธ์ของการรักษาและการพยากรณ์โรค การศึกษาของ นกิ ารหี ม๊ะ นิจนิ กิ ารี และคณะ (พ.ศ. 2551) พบวา่ หากผู้ป่วยรับร้วู ่าตนเอง จะต้องทนทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยและการรักษาในระยะสุดท้าย ผปู้ ว่ ยจะมแี นวโนม้ ตดั สนิ ใจยตุ กิ ารรกั ษามากขนึ้ และยงั ระบดุ ว้ ยวา่ นอกจาก การหลกี หนคี วามทกุ ขท์ รมานทางกายแลว้ การปฏเิ สธการรกั ษายงั เปน็ การ ตัดตอนความรู้สึกไร้คุณค่า หรือความรู้สึกที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ของผปู้ ว่ ยอกี ด้วย (3) การเป็นภาระแก่ครอบครัวและปัจจัยด้านเศรษฐกิจ การศึกษาท้ังสอง การศึกษาข้างตน้ (นกิ ารหี ม๊ะ นิจินกิ ารี และคณะ, พ.ศ. 2551; เพลินพศิ ฐานวิ ัฒนานนท์ และคณะ, พ.ศ. 2559) ช้ีให้เหน็ วา่ การดูแลในระยะสุดทา้ ย ของชีวิตสร้างต้นทุนทั้งในด้านเวลาและเงินให้กับครอบครัวของผู้ป่วย และพบว่า หากผู้ป่วยคาดไว้ว่าตนเองจะสร้างภาระทางการดูแลและ การเงิน หรือสร้างความทุกข์แก่ครอบครัว ผู้ป่วยก็จะมีแนวโน้มตัดสินใจ ยตุ ิหรือปฏิเสธการรักษามากขึ้น หากพิจารณาวรรณกรรมในส่วนนี้ร่วมกัน จะพบว่า กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา ส่วนใหญ่มีความต้องการปฏิเสธการรักษาในระยะสุดท้ายของชีวิต มีความสนใจใน การเขียนหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข แต่ในขณะเดียวกัน กย็ งั ไมไ่ ดเ้ ขยี นหนงั สอื ดงั กลา่ ว สำ� หรบั ปจั จยั ในการเขยี นหนงั สอื แสดงเจตนาไมป่ ระสงค์ จะรับบริการสาธารณสุข และปัจจัยในการปฏิเสธการรักษาในระยะสุดท้ายของชีวิต พบว่า มีส่วนที่ทับซ้อนกันอยู่ เช่น ความเชื่อทางศาสนา และความสัมพันธ์ 76

ภายในครอบครัว เป็นต้น อย่างไรก็ดี ผลของปัจจัยท่ีทับซ้อนกันน้ันอาจส่งผลต่อ การตัดสินใจในแต่ละประเด็นแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ปัจจัยภายในครอบครัว ในขณะท่ีผู้ป่วยมักจะระบุว่าต้องการปฏิเสธการรักษา และท�ำหนังสือแสดงเจตนาไม่ ประสงคจ์ ะรบั บรกิ ารสาธารณสขุ เพราะตอ้ งการลดความทกุ ขข์ องคนในครอบครวั ทตี่ อ้ ง แบกรับภาระการตายของตนเอง แตก่ ลายเปน็ วา่ คนในครอบครวั เองอาจเป็นผทู้ ก่ี ดี กนั ไม่ให้ผู้ป่วยท�ำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข เน่ืองด้วยมอง ว่าการพูดเรื่องตายเป็นเร่ืองไม่ดี จนอาจท�ำให้ผู้ป่วยไม่ได้เขียนหนังสือแสดงเจตนา ไม่ประสงคจ์ ะรับบรกิ ารสาธารณสขุ ในท่ีสุด เป็นตน้ นอกจากน้ี วรรณกรรมข้างต้นยังช้ีให้เห็นในทางอ้อมด้วยว่าหนังสือแสดงเจตนา ไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขมีประโยชน์ในหลายมิติ โดยเฉพาะประโยชน์ ตอ่ คนในครอบครัวทย่ี งั ต้องมีชวี ติ อยตู่ ่อไป • ประการแรก คือ ประโยชน์ในการลดต้นทุนการรักษาในระยะสุดท้าย ของชวี ติ ทเ่ี ปน็ ตวั เงนิ (Monetary Cost) โดยการรกั ษาสว่ นนเ้ี ปน็ การรกั ษาท่ี ปราศจากผลิตภาพแล้วและมีมูลค่าสูงมาก กระทบต่อครัวเรือนท่ีมี รายได้น้อยได้ (นิการีหม๊ะ นิจินิการี และคณะ, พ.ศ. 2551; เพลินพิศ ฐานิวัฒนานนท์ และคณะ, พ.ศ. 2559) การท�ำหนังสือแสดงเจตนา ไม่ประสงคจ์ ะรบั บรกิ ารสาธารณสุขจงึ จะช่วยไมใ่ ห้เกิดต้นทุนในส่วนน้ี • ประการทส่ี อง คอื ประโยชนใ์ นการลดตน้ ทนุ ทางจติ ใจ (Mental Cost) กลา่ ว คือ การท�ำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขช่วยให้ คนในครอบครัวรู้สึกผิด (Guilt) ในการปล่อยให้ผู้ป่วยตายตามธรรมชาติ นอ้ ยลง เพราะถอื เปน็ ความประสงคข์ องผปู้ ว่ ยเอง อกี ทงั้ ยงั ทำ� ใหไ้ มเ่ กดิ การ ทะเลาะเบาะแวง้ ท่ไี มจ่ �ำเป็น (ซึ่งกอ่ ให้เกิดตน้ ทุนทางอารมณ์และจติ ใจ) ใน หมญู่ าตใิ นการจดั การกบั ความตายของผปู้ ว่ ยอกี ดว้ ย ทง้ั น้ี หากไมม่ หี นงั สอื แสดงเจตนาไมป่ ระสงคจ์ ะรบั บรกิ ารสาธารณสขุ แลว้ กระบวนการของโรง พยาบาลก็ต้องมีการระบุผู้มีอ�ำนาจตัดสินใจแทน ว่าควรจัดการกับผู้ป่วย อย่างไร และถ้าหากระบุผู้มีอ�ำนาจตัดสินใจแทนไม่ได้ ก็ต้องมีการประชุม ในหมู่ญาติ ซึ่งอาจไม่สามารถหาข้อตกลงได้ และผลของการตัดสินใจ 77

ก็อาจไมเ่ ปน็ ไปตามทีผ่ ู้ป่วยต้องการด้วย และ • ประการสุดท้าย คือ ประโยชน์ของหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับ บรกิ ารสาธารณสขุ ในฐานะทเ่ี ปน็ เครอ่ื งมอื ในการสือ่ สารกับโรงพยาบาลถึง ความประสงค์ของผปู้ ่วย การศึกษาของ แสวง บุญเฉลมิ วภิ าส (พ.ศ. 2558) ได้ระบุถึงกรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้ท�ำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการ สาธารณสุขไว้ แต่ญาติได้ตัดสินใจว่าต้องการให้ผู้ป่วยได้จากไปอย่างสงบ ในกรณนี ้ี โรงพยาบาลมองวา่ การกระทำ� ดงั กล่าวเทียบเทา่ การไม่ไดใ้ ห้การ รักษาพยาบาล ผู้ป่วยจึงไม่ควรอยู่ในโรงพยาบาล และญาติควรน�ำผู้ป่วย กลับบ้านไปดูแลเอง (เสมือนว่าหากจะเสียชีวิตในโรงพยาบาล ก็ต้องรับ การรักษาอย่างถึงท่ีสุดเท่าน้ัน) การปราศจากซ่ึงหนังสือแสดงเจตนา ไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขจึงเป็นการซ้�ำเติมให้เกิดความทุกข์ เพิม่ เติมแกญ่ าติ คุณค่าและความเชอ่ื ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับการุณยฆาต การศึกษาในประเทศไทยมีการกล่าวถึงทัศนคติต่อการท�ำการุณยฆาตในเชิงคุณค่าอยู่ พอสมควร การศึกษาท้ังหมดมองไปในทิศทางเดียวกันว่าการุณยฆาตไม่ใช่นโยบาย ทีเ่ หมาะสมกบั ประเทศไทย และมีคณุ คา่ ทางศาสนาในเชิงลบ (กอ่ ใหเ้ กิดบาป) รวมทัง้ ขัดตอ่ หลักจรยิ ธรรมของบุคลากรทางการแพทยด์ ว้ ย ส�ำหรับมุมมองด้านจริยธรรมของบุคลากรทางการแพทย์ การศึกษาในประเทศไทย ท้ังหมดอ้างอิงถึง “ปฏิญญาแพทยสมาคมว่าด้วยการุณยฆาต” (World Medical Association Declaration on Euthanasia) ของแพทยสมาคมโลก (World Medical Association) ซง่ึ ระบไุ ว้ว่า “การกระทำ� โดยต้ังใจทจี่ ะทำ� ลายชวี ิตของผู้ป่วย แมว้ า่ จะเปน็ การทำ� ตามคำ� รอ้ งขอของผปู้ ว่ ย หรอื ญาตสิ นทิ กต็ ามถอื วา่ ผดิ หลกั จรยิ ธรรม แต่ไม่รวมถึงการดูแลของแพทย์ที่เคารพต่อความปรารถนาของผู้ป่วยในวาระสุดท้าย ของชีวิต ซ่ึงประสงคท์ จี่ ะเสียชวี ติ ตามธรรมชาติ” (ดวงเด่น นาคสีหราช, พ.ศ. 2561; พระครอู าทรกจิ จาภริ กั ษ์ และคณะ, พ.ศ. 2561; แสวง บญุ เฉลมิ วิภาส, พ.ศ. 2558; 78

อรรมั ภา ไวยมุกข์ และคณะ, พ.ศ. 2562) และในการศึกษาของ ดวงเด่น นาคสีหราช (พ.ศ. 2561) ก็ยังได้มีการกล่าวถึงจรรยาบรรณแพทย์ท่ีตั้งอยู่บนค�ำปฏิญาณที่ว่า จะไม่ให้ค�ำแนะน�ำหรือการรักษาใดๆ อันเป็นการท�ำลายชีวิตผู้ป่วย มุมมอง ด้านจริยธรรมท้ังหมดน้ีเป็นมุมมองท่ีต่อต้านแนวคิดของการท�ำการุณยฆาต โดยตรง เพราะการท�ำการุณยฆาตคือ การร้องขอให้แพทย์เร่งการเสียชีวิตของผู้ป่วย ใหเ้ รว็ กว่าการตายตามธรรมชาติ นอกจากน้ี การทำ� การณุ ยฆาตยงั ถอื วา่ เปน็ สง่ิ ทข่ี ดั ศลี ธรรมในแงม่ มุ ทางศาสนา เนอ่ื งจาก หลักค�ำสอนของทุกศาสนามีลักษณะคล้ายกันในประเด็นเรื่องการห้ามฆ่า การศึกษา ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ในประเทศไทยมี 1 ชิ้น ได้แก่ วรัญญู นางงาม และคณะ (พ.ศ. 2561) ที่ได้ศึกษาจริยธรรมในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ในโรง พยาบาลเซนตห์ ลยุ ส์ ตามหลกั ศลี ธรรมคาทอลกิ วรญั ญู นางงาม และคณะ (พ.ศ. 2561) พบว่า บุคลากรทางการแพทย์ในกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการท�ำการุณย- ฆาต เนื่องจากมองว่าเป็นจริยธรรมทางการแพทย์ที่ต้องช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างสุดความ สามารถเสียก่อน มองว่าการท�ำการุณยฆาตเป็นการไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในการรักตนเองและเพ่ือนมนุษย์ และมองว่าการเจ็บป่วยเป็นบททดสอบของพระ ผู้เปน็ เจ้าใหค้ นตอ่ ส้แู ละเชอ่ื มนั่ ในพระองค์ นอกจากนี้ บทบัญญตั ขิ องพระเจ้าประการ ท่ี 5 ตามเอกสารของพระศาสนจักรคาทอลกิ Evangelium Vitae ขอ้ ที่ 65 ยงั กล่าว ไว้ว่า “การท�ำการุณยฆาตเป็นการผิดหนักต่อบทบัญญัติของพระเจ้า เพราะการ กระทำ� เช่นน้เี ปน็ การฆา่ ชวี ติ มนุษยต์ ามอ�ำเภอใจของตน และเปน็ สิง่ ทยี่ อมรับไม่ไดท้ าง ศลี ธรรมกฎธรรมชาติและพระวาจาของพระเจา้ ทเ่ี ขยี นไว้โดยการปฏเิ สธไมย่ อมรกั ตนเอง และการละทิ้งกฎข้อบังคับในเรื่องความยุติธรรมและความรักที่จะต้องปฏิบัติต่อเพื่อน มนุษย์ อีกท้ังยังเป็นการปฏิเสธไม่ยอมรับอ�ำนาจสูงสุดของพระเจ้าเหนือชีวิตและ ความตาย” (Paul, 1995) การศึกษาท่ีเก่ียวข้องกับศาสนาพุทธในประเทศไทยโดยตรงมี 3 ช้ิน ได้แก่ พัทธ์ธีรา วุฒิพงษ์พัทธ์ (พ.ศ. 2559) พระครูอาทรกิจจาภิรักษ์ และคณะ (พ.ศ. 2561) และ พระมหาสุรชัย ชยาภิวฑฺฒโน (พ.ศ. 2560) นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาของ ดวงเด่น 79

นาคสหี ราช (พ.ศ. 2561) และแสวง บญุ เฉลิมวิภาส (พ.ศ. 2558) ที่ไมไ่ ดถ้ กเถียงถงึ มมุ มองของการท�ำการุณยฆาตในทางพุทธศาสนาโดยตรง แต่กก็ ลา่ วถึงคุณค่าของชวี ติ ในมมุ มองทางพุทธศาสนาด้วย และมีบทสรุปทสี่ อดคลอ้ งกับการศกึ ษาหลัก 3 ชิ้นน้ี การศกึ ษาทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ศาสนาพทุ ธทง้ั 3 ชน้ิ มกี ารกลา่ วถงึ บาปของการทำ� การณุ ยฆาต ในระดบั ท่ีแตกตา่ งกนั การศกึ ษาของพัทธ์ธรี า วฒุ พิ งษ์พัทธ์ (พ.ศ. 2559) ไม่ได้กล่าว อย่างชัดเจนว่าการท�ำการุณยฆาตเป็นบาปแต่อธิบายว่า ในพุทธศาสนา มนุษย์มีการ เวียนว่ายตายเกิดนับครั้งไม่ถ้วน การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่อยู่ใน กระแสเดียวกันและมีการไหลเลื่อนอยู่ตลอด การตายจึงเป็นเรื่องธรรมชาติและมนุษย์ ควรเตรยี มพรอ้ มกบั การตายตามความเชอ่ื ของตน ในขณะเดยี วกนั การศกึ ษาของพระครู อาทรกจิ จาภริ กั ษ์ และคณะ (พ.ศ. 2561) และการศกึ ษาของพระมหาสรุ ชยั ชยาภวิ ฑฒฺ โน (พ.ศ. 2560) กล่าวอย่างชัดเจนว่าการท�ำการุณยฆาตเป็นบาป โดยพระครูอาทร กจิ จาภริ กั ษ์ และคณะ (พ.ศ. 2561) อา้ งองิ ถงึ พทุ ธวจนะหนง่ึ วา่ “ใหบ้ คุ คลพงึ สละทรพั ย์ สมบัติเพื่อรักษาอวัยวะ ให้บุคคลพึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต” และ “ตราบใดที่ยังมี ชีวิตอยู่ ตราบน้ันชีวิตก็ยังมีค่า” และตีความว่าการเร่งเวลาตายเร็วข้ึนแม้จะเพียงแค่ วนิ าทีเดยี วก็เปน็ บาป ทง้ั นี้ พระครูอาทรกิจจาภริ กั ษ์ และคณะ (พ.ศ. 2561) ไดอ้ ธบิ าย เพม่ิ เตมิ วา่ การทำ� การณุ ยฆาตนน้ั เปน็ บาป เพราะผดิ หลกั ของศลี 5 ของพระพทุ ธศาสนา และเพราะเปน็ การลว่ งละเมดิ ตอ่ ชวี ติ ของผอู้ น่ื โดยเจตนากรรม อนั ทำ� ใหเ้ กดิ การตดั วงจร แห่งกรรมหรอื วบิ ากกรรมทผ่ี ้ตู ายต้องเผชิญ ในมมุ มองของศีล 5 นัน้ พระครูอาทรกิจ จาภิรักษ์ และคณะ (2561) มองว่าหลักการของศลี 5 ไมไ่ ด้ใหค้ วามส�ำคญั กับเหตผุ ล ทางจริยธรรม แต่เป็นหลักการที่ชี้ชัดว่าสิ่งใดถูกต้องและสิ่งใดผิดต่อหลักธรรมวินัย การล่วงละเมิดหลักการของศีลจึงย่อมมีโทษและบาปกรรม ไม่ว่าจะมีเจตนาอย่างไร ดังนนั้ การทำ� การณุ ยฆาต แมจ้ ะกระทำ� โดยปรารถนาดี ก็ถือเป็นการกระทำ� ทปี่ ระกอบ ไปด้วยเจตนาท่เี ป็นอกศุ ลกรรม เป็นบาป การศกึ ษาของพระมหาสรุ ชยั ชยาภวิ ฑฒฺ โน (พ.ศ. 2560) สรปุ วา่ การทำ� การณุ ยฆาตเปน็ บาปเช่นกัน แต่ได้อธิบายตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาทว่าบาปของการท�ำการุณยฆาต อาจมนี อ้ ยกว่าการฆ่าตามปกติ พระมหาสุรชัย ชยาภวิ ฑฒฺ โน (พ.ศ. 2560) อธิบายว่า 80

การวินิจฉัยปัญหาทางพุทธจริยศาสตร์จะมีเกณฑ์วินิจฉัยหลัก คือ หลักพระธรรมวินัย โดยในกรณีของการท�ำการุณยฆาตนี้จะหมายถึงศีลข้อที่ 1 ซึ่งตามหลักแล้วการท�ำ การณุ ยฆาตกน็ บั วา่ ผดิ ศลี อยา่ งไรกด็ ี การวนิ จิ ฉยั ปญั หาทางพทุ ธจรยิ ศาสตรย์ งั พจิ ารณา คณุ หรอื โทษทน่ี ำ� มาวเิ คราะหร์ ว่ มวา่ บาปหนกั หรอื เบา โดยองคป์ ระกอบทต่ี อ้ งพจิ ารณา มี 3 ประการ ได้แก่ (1) การกำ� หนดโดยวตั ถุ วา่ ฆ่ามนษุ ย์หรือสตั วท์ ไี่ ม่มีความผดิ หรอื ประทุษร้ายแก่ตนหรอื ไม่ ฆ่ามนุษยห์ รือสตั ว์ทีม่ ีอปุ การคณุ แก่ตนหรอื ไม่ และฆา่ มนุษย์ หรอื สตั วท์ ม่ี คี ณุ งามความดหี รอื ไม่ (2) การกำ� หนดโดยเจตนา วา่ ตงั้ ใจฆา่ โดยหาเหตมุ ไิ ด้ หรอื ไม่ ฆา่ ดว้ ยกเิ ลสตณั หามกี ำ� ลงั กลา้ หรอื ไม่ และฆา่ ดว้ ยความพยายามอนั รา้ ยกาจหรอื ไม่ และ (3) การกำ� หนดโดยประโยค วา่ ความพยายามและวธิ ฆี ่าสรา้ งความทรมานมาก หรอื ไม่ พระมหาสุรชัย ชยาภิวฑฺฒโน (พ.ศ. 2560) วิเคราะห์ว่าการท�ำการุณยฆาตอาจบาป นอ้ ยกวา่ การฆา่ ตามปกติ เนอื่ งดว้ ย (1) เจตนาในการฆา่ ของการทำ� การณุ ยฆาตแตกตา่ ง จากการฆ่าตามปกติ ในกรณีนี้ แพทยม์ ีเจตนาประกอบด้วยโลภะ โทสะ และโมหะน้อย และไม่ได้กระท�ำการฆ่าด้วยความพยายามอันร้ายกาจ และ (2) ประโยคหรือความ พยายามในการฆ่าของการท�ำการุณยฆาตแตกต่างจากการฆ่าตามปกติ ในกรณีนี้ แพทย์ไม่ได้ท�ำให้ผู้ตายเจ็บปวดหรือทรมานก่อนตาย หากแต่ช่วยให้พ้นจากความ ทรมาน การกำ� หนดระดบั บาปโดยเจตนาและโดยประโยคจงึ ชใี้ หเ้ หน็ วา่ บาปของการทำ� การณุ ยฆาตควรจะนอ้ ยกวา่ การฆา่ ตามปกติทงั้ นี้พระมหาสรุ ชยั ชยาภวิ ฑฒฺ โน(พ.ศ.2560) ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า แม้ว่าการท�ำการุณยฆาตจะมีบาปน้อยกว่า แต่ก็ไม่สอดคล้อง กบั พุทธปรชั ญาเถรวาท 81

ตารางท่ี 3.1 ตารางสรปุ องค์ความรู้ของงานวิจัยทีเ่ กยี่ วข้องในประเทศไทย ผเู้ ขยี น หวั ข้องานวจิ ยั วตั ถปุ ระสงค์ ระเบยี บวิธวี ิจัย กล่มุ ตวั อยา่ ง ผลการศกึ ษา ข้อเสนอแนะ อรรมั ภา 82 ไวยมกุ ข์ การณุ ยฆาตเชงิ รุกโดย ศึกษาสถานะและพจิ ารณาถึง การวจิ ัยเอกสาร - การณุ ยฆาตเชงิ รุกโดยสมัครใจเป็นการกระท�ำท่ี พฒั นากฎหมายอาญา และคณะ สมัครใจกบั ความรับผดิ ทาง ความเหมาะสมของกฎหมาย การวิจยั เอกสาร และ แพทย์ 1 คน ผดิ กฎหมายอาญาไทยตามมาตรา 288 หรอื 289 ของไทยให้สอดคลอ้ ง (พ.ศ. 2562) อาญา : ศกึ ษาเปรียบเทียบ อาญาของประเทศไทยและ การสมั ภาษณ์เชิงลกึ พยาบาล 1 คน เทียบเทา่ กบั การฆ่าผอู้ ื่นโดยเจตนา แม้ว่าการุณย- กบั ข้อเทจ็ จรงิ ของการ กฎหมายไทย-เยอรมนั เยอรมันในปัจจุบัน เม่อื น�ำไป บคุ คลท่เี กี่ยวขอ้ ง ผูป้ ว่ ย 1 คน ฆาตจะเกิดจากการรอ้ งขอของผถู้ ูกฆ่าเองซึ่งเปน็ ข้อ การุณยฆาตโดยสมัคร ดวงเด่น สิทธิของผูป้ ว่ ยท่สี ิน้ หวงั ใน บังคับใชก้ บั กรณกี ารุณยฆาต ผพู้ พิ ากษา 1 คน เท็จจรงิ ทีแ่ ตกต่างจาก “การฆ่าผอู้ ื่นโดยเจตนา“ ใจ โดยไม่ตอ้ งบัญญัติ นาคสหี ราช การตายอย่างสงบในจังหวัด เชงิ รกุ โดยสมัครใจ พนักงานอัยการ 1 คน โดยท่ัวไป ในขณะเดยี วกนั แม้ว่ากฎหมายอาญา รบั รองความชอบดว้ ย (พ.ศ. 2561) 1) ศกึ ษาแนวคดิ เก่ยี วกบั สิทธิ ทนายความ 1 คน เยอรมันจะปฏิเสธความชอบด้วยกฎหมายของ กฎหมายของความ มหาสารคาม ของผปู้ ว่ ยท่สี น้ิ หวงั ในการตาย เจ้าหน้าทร่ี าชทัณฑ์ การณุ ยฆาตด้วยหลกั คณุ ธรรมทางกฎหมาย ยนิ ยอมของผเู้ สียหาย อยา่ งสงบ 1 คน เหมอื นกบั กฎหมายอาญาไทย แต่การพิจารณา ในความผิดต่อชีวติ 2) ศึกษาหลักเกณฑ์ของ นิสิตนกั ศกึ ษา 3 คน ผลทางกฎหมายของการณุ ยฆาตโดยสมคั รใจใน 1) โรงพยาบาลควรมี กฎหมายทเี่ กย่ี วกบั สิทธิของ ประชาชน 4 คน โดย ประเทศเยอรมันก็นำ� ข้อเทจ็ จรงิ ทว่ี ่าการณุ ยฆาต แนวทางปฏบิ ัตแิ ละจดั ผ้ปู ว่ ยท่ีสิน้ หวังในการตาย กลุ่มตวั อย่างทัง้ หมดอยู่ เกดิ จากการรอ้ งขอของผูถ้ ูกฆา่ มาเปน็ องคป์ ระกอบ ฝึกอบรมบคุ ลากรให้ อย่างสงบ ในจงั หวดั มหาสารคาม ผลทางกฎหมายของการณุ ยฆาตจึงแตกตา่ งจาก มคี วามรคู้ วามชำ� นาญ 3) ศึกษากฎหมายท่เี ก่ยี วกับ การฆา่ โดยเจตนา ในการดแู ลผปู้ ่วยระยะ สิทธิของผู้ปว่ ยท่ีสนิ้ หวงั ในการ ประชาชน 4 คน โดยกลุ่มตัวอย่างทงั้ หมดอยใู่ น สุดท้าย ตายอยา่ งสงบในประเทศไทย จงั หวดั มหาสารคาม ผลการศกึ ษา แสดงใหเ้ หน็ วา่ 2) ควรแก้ไขกฎหมาย การณุ ยฆาตเชิงรุกเปน็ การกระทำ� ทผ่ี ดิ กฎหมาย มาตรา 12 ใหญ้ าตทิ ่ีมี ในประเทศไทย ท้ังนี้ ประเทศไทยมกี ฎหมายที่ ความสมั พันธใ์ กล้ชดิ รองรับเฉพาะการปฏิเสธการรกั ษาของผูป้ ่วยตาม กบั ผู้ป่วยแสดงเจตนา พ.ร.บ.สขุ ภาพแหง่ ชาติ พ.ศ. 2550 เท่าน้นั แตผ่ ู้ ปฏเิ สธการรกั ษาแทน ป่วยจะตอ้ งแสดงเจตนาเปน็ หนังสอื ลว่ งหน้า ผู้ปว่ ยทไี่ มม่ ีสติ ทงั้ นี้ กฎหมายไมค่ รอบคลมุ กรณที แ่ี พทย์ สัมปชัญญะได้ ท�ำให้ผปู้ ่วยตายจากการกระท�ำโดยตรง และ ไม่ครอบคลุมกรณีท่ผี ปู้ ว่ ยไมไ่ ด้แสดงเจตนาเปน็ หนงั สอื หรอื ใหผ้ อู้ ำ� นาจตามกฎหมายแสดงเจตนา แทนแตอ่ ยา่ งใด

ผ้เู ขียน หวั ขอ้ งานวจิ ยั วัตถปุ ระสงค์ ระเบยี บวธิ วี ิจยั กลุ่มตวั อย่าง ผลการศกึ ษา ข้อเสนอแนะ จนิ ตนา สุวทิ วัส การพทิ ักษส์ ทิ ธิผปู้ ว่ ย: สทิ ธิ การวจิ ยั เอกสาร - (พ.ศ. 2562) การตายในวาระสดุ ท้าย 4) ศกึ ษาทศั นะและความคิด ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบถงึ สทิ ธใิ นการปฏิเสธ 3) หากผปู้ ว่ ยระยะ เห็นของผเู้ กี่ยวขอ้ ง รวมถงึ การรักษาตาม พ.ร.บ.สุขภาพแหง่ ชาติ พ.ศ. 2550 สดุ ท้ายแสดงเจตนา ของชีวิต ปญั หาเกยี่ วกบั ทางปฏบิ ัติและ สว่ นบคุ ลากรทางการแพทย์มองวา่ ตนเองมหี นา้ ที่ เป็นหนงั สอื บคุ ลากร ทางกฎหมายเกยี่ วกับสทิ ธิของ ในการดแู ลประคับประคองผปู้ ่วยใหด้ ีท่สี ุด และ ทางการแพทย์กค็ วร ผู้ป่วยทีส่ ้นิ หวงั ในการตายอย่าง ถอื วา่ การุณยฆาตเป็นส่งิ ที่ขดั กบั ศีลธรรม และ เคารพสทิ ธิในชวี ิตและ สงบในจงั หวัดมหาสารคาม กงั วลว่าหากให้สทิ ธิในการปฏิเสธการรักษาแก่ญาติ ร่างกายของผู้ปว่ ย 5) เสนอแนะแนวทางการแก้ กอ็ าจไม่สะทอ้ นเจตนาของผูป้ ่วยอย่างแทจ้ รงิ 4) ควรมีการเผยแพร่ ปัญหาเก่ียวกบั สิทธขิ องผูป้ ว่ ยที่ แต่อาจเป็นการลดคา่ ใชจ้ ่ายหรือเรอื่ งกองมรดก ความรู้ใหป้ ระชาชน สิน้ หวงั ในการตายอยา่ งสงบใน ทราบถงึ การแสดง จงั หวดั มหาสารคาม การวจิ ยั เจตนาในหนงั สอื ลว่ ง เอกสาร และการสมั ภาษณ์เชิง หน้าเปน็ ลายลักษณ์ ลกึ บุคคลทเ่ี กีย่ วข้อง อกั ษร 1) ศกึ ษาแนวคิดเก่ยี วกบั สทิ ธิ 83 ของผู้ป่วยที่สิ้นหวังในการตาย ผปู้ ว่ ยที่อย่ใู นวาระสุดท้ายของชวี ติ มีสทิ ธิการตาย พยาบาลมหี น้าท่ีในการ อย่างสงบ 2) ศกึ ษาหลักเกณฑข์ อง ตามธรรมชาติ กลา่ วคอื มสี ทิ ธิปฏเิ สธการรักษาที่ พทิ ักษ์สทิ ธทิ ่จี ะตายใน กฎหมายที่เกีย่ วกับสิทธขิ อง ชะลอการตาย รวมถึงมีสทิ ธิในการได้รับขอ้ มลู เก่ยี ว วาระสดุ ท้ายของชีวติ ผปู้ ว่ ยท่ีส้นิ หวังในการตาย กบั การเจ็บป่วยและการรักษาท่ีถูกตอ้ ง ผูป้ ว่ ย โดย (1) เคารพ อยา่ งสงบ และการท�ำหนงั สือแสดงเจตนาไม่ประสงคจ์ ะรบั เอกสทิ ธิข์ องผูป้ ว่ ยดว้ ย 3) ศึกษากฎหมายทเ่ี ก่ียวกบั บริการสาธารณสุข ดังนน้ั พยาบาลทด่ี ูแลผูป้ ว่ ยจึง การใหข้ ้อมูลเกย่ี วกับ สทิ ธขิ องผปู้ ่วยทสี่ ้นิ หวังในการ ควรตระหนกั และเคารพในสทิ ธิของผ้ปู ่วย แมจ้ ะไม่ การทำ� หนังสือแสดง ตายอย่างสงบในประเทศไทย เหน็ ดว้ ยกับการตดั สนิ ใจของผปู้ ่วย เจตนาไม่ประสงค์จะ รับบริการสาธารณสขุ ให้แก่ผปู้ ว่ ย (2) ทำ� หนา้ ทแี่ ทนผู้ ปว่ ยในการส่ือสาร ความตอ้ งการของผู้ ป่วย (3) ดแู ลผู้ปว่ ย อย่างเท่าเทียมกัน

ผ้เู ขยี น หวั ข้องานวจิ ัย วัตถุประสงค์ ระเบยี บวธิ วี ิจัย กลุ่มตัวอยา่ ง ผลการศกึ ษา ขอ้ เสนอแนะ แสวง การรกั ษาพยาบาลผปู้ ว่ ย เสนอแนวทางปฏิบัติให้กับ การวจิ ัยเอกสาร - บุญเฉลิมวิภาส วาระสุดท้าย: ความจริง บคุ ลากรสาธารณสขุ ในดา้ น แพทย์ส่วนหนงึ่ ยงั ไมเ่ ขา้ ใจถงึ สิทธขิ องผู้ป่วยในการ บคุ ลากรทางการแพทย์ (พ.ศ. 2558) ทางการแพทยก์ ับขอบเขต การรกั ษาพยาบาลผ้ปู ว่ ยใน ปฏิเสธการรกั ษาของผปู้ ่วยตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่ง ควรพดู คยุ กับญาติให้ ทางกฎหมาย วาระสุดท้าย ตามเจตนารมณ์ ชาติ พ.ศ. 2550 และแม้จะรับรูถ้ งึ สทิ ธิดงั กลา่ ว ก็ เกดิ ความเขา้ ใจตาม ของผู้ป่วยและขอบเขตของ ไมแ่ น่ใจว่าควรปฏิบัตติ นอยา่ งไรในสถานการณ์ ความเปน็ จริงและให้ กฎหมาย ทผ่ี ้ปู ว่ ยมีการเขยี น Living Will ไวแ้ ล้ว แตญ่ าติ ความรู้แกญ่ าตเิ กย่ี วกับ ต้องการใหท้ ำ� การรกั ษาพยาบาลตอ่ ไป การรักษาแบบประคบั ประคอง 84 รุ่งมณี การตดั สินใจใช้สทิ ธทิ ำ� 1) อธิบายคณุ ลกั ษณะส่วน การวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ ผูป้ ่วยทหารผา่ นศึก 1) กลุ่มตวั อยา่ งทุกคนแสดงความจำ� นงในการใช้ 1) ควรมีการส่ง พุกไพจิตร์ หนงั สือแสดงเจตนาไม่ บคุ คล ความเช่ือทางศาสนา โดยใช้เครอื่ งมือ ทพี่ กั รักษาตวั ในหอผู้ สิทธทิ �ำหนงั สอื แสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบรกิ าร เสริมใหค้ วามรูค้ วาม และคณะ ประสงคจ์ ะรับบรกิ าร ประสบการณเ์ กีย่ วกบั ความ การสังเกตและแบบ ปว่ ยอมั พาตของโรง สาธารณสุข แม้ว่าจะไมม่ ีความรูเ้ กี่ยวกบั การใช้ เขา้ ใจในเรือ่ งการทำ� (พ.ศ. 2561) สาธารณสุขทเี่ ปน็ ไปเพื่อยดื ตาย ความร้เู กยี่ วกับการใช้สทิ ธิ สมั ภาษณเ์ ชิงลกึ พยาบาลทหารผ่านศกึ สทิ ธิท�ำหนังสือแสดงเจตนาไมป่ ระสงค์รบั บริการ หนงั สือแสดงเจตนาไม่ การตายในวาระสุดท้ายของ ท�ำหนงั สือแสดงเจตนาฯ ของผู้ จำ� นวน 40 คน สาธารณสุข ประสงคจ์ ะรับบริการ ชวี ิตของผปู้ ว่ ยทหารผา่ นศึก ป่วยทหารผา่ นศึก 2) เม่ือพจิ ารณาประเภทของการรักษาพยาบาลที่ สาธารณสขุ ใหผ้ ูป้ ่วย 2) อธบิ ายระดับการปฏบิ ตั ิ กลุ่มตัวอย่างปฏิเสธ พบว่า กลมุ่ ตวั อยา่ งเลอื กที่ ทหารผ่านศกึ ทราบ กจิ วัตรประจ�ำวนั ของผูป้ ว่ ย จะปฏิเสธบริการทที่ �ำให้ร้สู ึกเจบ็ ปวดและทรมาน มากขนึ้ โดยจดั ให้ ทหารผา่ นศกึ มากที่สดุ ความร้ขู า้ งเตยี งผู้ปว่ ย 3) อธิบายการตัดสนิ ใจใช้สิทธิ 3) ร้อยละ 51.9 ของผ้ปู ่วยและครอบครัวท่นี บั ถอื 2) ผูบ้ ริหารโรง ท�ำหนงั สอื แสดงเจตนาฯ ของผู้ ศาสนาพุทธ ตัดสินใจยตุ กิ ารรักษา และรอ้ ยละ พยาบาลทหารผ่านศกึ ปว่ ยทหารผา่ นศกึ 28.6 ต้องการใหแ้ พทยห์ รอื ครอบครัวตดั สินใจแทน ควรมีแนวปฏบิ ัติใน ดา้ นการท�ำหนังสือ แสดงเจตนาไม่ ประสงค์จะรบั บริการ สาธารณสุขอยา่ ง ชัดเจน

ผเู้ ขียน หวั ข้องานวจิ ยั วตั ถุประสงค์ ระเบียบวิธวี ิจัย กล่มุ ตวั อย่าง ผลการศึกษา ข้อเสนอแนะ ชนิกานต์ ทัศนคตติ ่อการเขียนแสดง 1) ศกึ ษาทัศนคติของผปู้ ่วย การวิจยั เชิงคณุ ภาพ ผู้ป่วยศนู ย์การ 1) ปัจจัยที่มผี ลต่อการวางแผนในวาระสดุ ทา้ ย บุคลากรทางการแพทย์ วงศป์ ระเสรฐิ สขุ เจตนารมณ์ของตนเองใน ศนู ย์การแพทยป์ ญั ญานันท- โดยการสมั ภาษณ์ แพทยป์ ญั ญานนั ทภิกขุ ได้แก่ ครอบครัว สงั คม ความเชื่อทางศาสนา และ สามารถสนับสนุน และ วาระสดุ ท้ายของชีวิต ภกิ ขตุ อ่ การเขยี นแสดง เชงิ ลกึ อายรุ ะหว่าง 20-80 ปี ประสบการณท์ เี่ คยพบเหน็ ผปู้ ว่ ยในระยะสดุ ทา้ ย ผู้ปว่ ยในการเขยี น ธญั ญรัตน์ เจตนารมณ์ในวาระสุดทา้ ย จำ� นวน 30 คน 2) ประเด็นของวางแผนในวาระสุดท้าย ไดแ้ ก่ การ หนงั สอื แสดงเจตจำ� นง ประมวลวงษ์ธีร ของชีวิต จัดการทรพั ยส์ นิ การดแู ลรกั ษาและการช่วยฟน้ื ในวาระสดุ ทา้ ยของ (พ.ศ. 2561) 2) ศกึ ษาอปุ สรรคตอ่ การเขียน คืนชพี สถานทแ่ี ละบรรยากาศในวาระสดุ ทา้ ยของ ชีวติ และส่ือสารถึง แสดงเจตนารมณข์ องตนเองใน ชวี ติ การดแู ลคนในครอบครัว และการจัดการ ประเด็นเรอ่ื งวาระ วาระสุดทา้ ยของชีวติ หลงั เสยี ชวี ิต สุดทา้ ยของชวี ติ เพื่อ 3) ศึกษาอปุ สรรคในการตอบ 3) ผใู้ ห้สัมภาษณ์เกอื บทั้งหมดยังไมไ่ ด้เขียน ใหม้ กี ารดูแลรักษาท่ี สนองเจตนารมณ์ของผู้ป่วยใน เจตนารมณใ์ นวาระสดุ ท้ายเปน็ ลายลกั ษณอ์ ักษร ถกู ต้องและตอบสนอง วาระสุดทา้ ยของชีวิต 4) ผูใ้ ห้สัมภาษณ์เห็นว่าเวลาทเี่ หมาะสมในการ ตอ่ ความตอ่ การของผู้ เขยี นเจตนารมณ์ คือ ชว่ งอายปุ ระมาณ 60-70 ปี ปว่ ยและการสนบั สนุน 85 หรือเริ่มเจ็บปว่ ย จากครอบครวั ในวาระ สดุ ท้ายของชวี ติ พศิน ทัศนคติต่อการท�ำพินยั กรรม 1) ศึกษาความรูเ้ กีย่ วกบั การ การวิจยั เชงิ วเิ คราะห์ ผู้ปว่ ยที่พกั รกั ษาตัว 1) ผู้ป่วยส่วนใหญม่ ที ศั นคติทีด่ ีตอ่ พินัยกรรม 1) ควรสง่ เสริมใหม้ ี ภูริธรรมโชติ ชวี ติ และปจั จัยทมี่ ผี ลตอ่ การ รกั ษาแบบประคับประคองและ แบบตดั ขวาง (เชงิ ในโรงพยาบาลบรบือ ชวี ติ ทงั้ ที่ส่วนใหญแ่ ลว้ ไมเ่ คยรู้จักหรือได้ยนิ มา การใหค้ วามรู้ท้งั แก่ (พ.ศ. 2560) ตัดสินใจท�ำพินัยกรรมชวี ติ ทศั นคตติ อ่ การท�ำพนิ ยั กรรม ปรมิ าณ) จังหวัดมหาสารคาม ท่ี ก่อน และรอ้ ยละ 57.1 มีแนวโนม้ ที่จะตดั สนิ ใจทำ� บุคลากรทางการแพทย์ ของผ้ปู ว่ ยโรงพยาบาลบรบือ ชวี ติ ของผูป้ ว่ ย มีอายุต้ังแต่ 18 ปขี ้นึ ไป พนิ ัยกรรมชวี ติ และประชาชนเกีย่ ว 2) คน้ หาปจั จัยท่ีมีผลต่อการ จำ� นวน 70 คน ในชว่ ง 2) ระดับความรเู้ ก่ียวกบั การรกั ษาแบบประคบั กับการดแู ลรกั ษาแบบ ตัดสนิ ใจเขียนและไม่เขียน เวลาตั้งแตว่ ันท่ี 1-15 ประคองและพนิ ัยกรรมชีวติ และระดบั ทศั นคติต่อ ประคับประคองและ พินัยกรรมชีวติ ของผู้ปว่ ย สงิ หาคม พ.ศ. 2557 พนิ ัยกรรมชวี ิตมคี วามสมั พนั ธ์กับการตัดสนิ ใจทำ� พนิ ัยกรรมชีวติ พนิ ัยกรรมชวี ติ 2) ควรมีการศกึ ษาวจิ ยั 3) ญาติมีบทบาทอยา่ งมากตอ่ การตดั สินใจเกยี่ วกับ เก่ยี วกบั รปู แบบและ การรักษาในระยะสุดท้ายและการเขยี นพนิ ยั กรรม บริบทที่เหมาะสมของ ชีวติ การทำ� พนิ ยั กรรมชวี ติ

ผู้เขยี น หวั ข้องานวจิ ยั วัตถุประสงค์ ระเบยี บวธิ ีวจิ ัย กลมุ่ ตวั อย่าง ผลการศึกษา ข้อเสนอแนะ นิการีหม๊ะ นิจนิ ิการี มุมมองเก่ยี วกับการตดั สินใจ ศกึ ษาการตดั สนิ ใจในระยะ การวจิ ยั เชิงบรรยาย ผ้ปู ว่ ยไทยมุสลิมทีเ่ จ็บ กลุ่มตัวอยา่ งสว่ นใหญ่ (รอ้ ยละ 83.7-88.2) คดิ ว่า บุคลากรทางสขุ ภาพ และคณะ ในระยะสุดทา้ ยของชีวติ ของ สุดทา้ ยของชีวติ ตามมุมมอง (คณะผ้วู จิ ัยใชก้ าร ปว่ ยดว้ ยโรคเรือ้ รงั ท่ีไม่ หากตนเองอยใู่ นระยะสุดท้ายของชีวติ แลว้ ก็จะ ควรให้ผู้ปว่ ยมสี ่วน (พ.ศ. 2551) ผปู้ ่วยเรอ้ื รังไทยมสุ ลมิ ใน 5 ของผ้ปู ่วยไทยมุสลิม และ วจิ ยั แบบผสม) ไดอ้ ยใู่ นระยะสุดท้าย ตัดสนิ ใจยตุ กิ ารรักษา และกลุ่มตวั อยา่ งมากกวา่ รว่ มในการตดั สินใจใน จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ปจั จัยทเ่ี กยี่ วข้องกบั การ ที่เขา้ รบั การรกั ษา ร้อยละ 80 ระบุวา่ การตัดสนิ ใจวา่ จะรบั การรกั ษา กระบวนการรกั ษาของ ตัดสนิ ใจ ในโรงพยาบาลใน 5 ตอ่ หรอื ไม่เกดิ จากความเช่ือด้านศาสนาอิสลามเปน็ ตนเอง และท�ำความ จงั หวัดชายแดนภาค หลกั ตามดว้ ยภาวะการเจบ็ ป่วยเร้ือรัง ความร้สู กึ เขา้ ใจเกย่ี วกับความ เพลินพศิ ความปรารถนาในชว่ ง ศกึ ษาความปรารถนาในช่วง การวจิ ัยเชิงคุณภาพ ใต้ จ�ำนวน 375 ราย เปน็ ภาระแก่ครอบครวั และการรบั ทราบถึงสภาพ เช่ือทางศาสนาเพ่อื ฐานิวัฒนานนท์ สดุ ทา้ ยของชวี ิตและสุขภาพ สุดทา้ ยของชวี ติ และสุขภาพ คัดเลือกแบบเฉพาะ ทางกายภาพของตน และปจั จัยดา้ นเศรษฐกิจ ใหผ้ ู้ป่วยตัดสินใจโดย 86 และคณะ ของผสู้ ูงอายโุ รคเร้อื รงั ใน ของผูส้ งู อายโุ รคเรื้อรงั ในระยะ เจาะจง 1) ผ้สู ูงอายใุ นกลุ่มตวั อยา่ ง 4 จาก 22 คน มี สอดคลอ้ งกับคุณค่า (พ.ศ. 2559) ระยะสดุ ท้ายตามการรับรู้ สดุ ทา้ ยตามการรับรขู้ องผ้ดู แู ล ผู้ดูแลหลัก 22 คนที่ พินัยกรรมชีวิต (ทงั้ ดว้ ยการบอกกล่าวหรอื เขยี น ความเชื่อ และความ ของผู้ดแู ล เป็นสมาชกิ ครอบครวั เป็นลายลักษณ์อักษร) และไดแ้ สดงเจตนาไม่รบั ตอ้ งการของตนเอง และใหก้ ารดูแลผ้สู ูง การรักษา ด้วยการฟน้ื คืนชีพหรือใสท่ อ่ ช่วยหายใจ ทีแ่ ทจ้ ริง อายโุ รคเรื้อรงั 22 คนท่ี เนื่องจากมที ัศนคตติ อ่ ความตายว่าเป็นไปตามกฎ 1) ควรจัดใหม้ แี นวทาง เขา้ สูร่ ะยะสดุ ท้ายของ ธรรมชาติ การส่อื สารระหว่างผู้ ชีวิต ในอ�ำเภอหาดใหญ่ 2) ผ้สู ูงอายุส่วนใหญข่ าดการสือ่ สารในครอบครวั ให้การรกั ษากบั ผ้สู ูง จงั หวดั สงขลา เนอ่ื งจากมที ัศนคตติ อ่ การพดู ถงึ ความตายว่า อายุและครอบครัว เปน็ การสาปแช่ง และขาดการส่อื สารกับผรู้ ักษา เก่ียวกับการดำ� เนนิ โรค 3) การรับรูถ้ ึงการวินิจฉยั โรคและการดำ� เนินโรค และจดั ใหม้ ีการส่ือสาร เป็นปัจจัยสำ� คญั ของการแสดงเจตจ�ำนงล่วงหนา้ ภายในครอบครวั เกย่ี ว ทง้ั น้ี ผู้ป่วยโรคเรอ้ื รงั มกั ขาดการตระหนักตอ่ ความ กับความเชอื่ ทัศนคติ ตาย ขณะที่ผปู้ ่วยมะเรง็ จะตระหนักต่อความตาย ต่อการตายดี ทันทีเมือ่ ไดร้ บั รู้การวินจิ ฉยั 2) ทีมเยย่ี มบ้านควร 4) การขาดการสอ่ื สารภายในครอบครวั และผ้รู กั ษา สนับสนุนผู้ดแู ลให้การ ส่งผลให้ผตู้ ดั สินใจแทนอาจตดั สนิ ใจไมต่ รงกับ ดูแลที่สอดคล้องกบั ความต้องการในวาระสุดทา้ ยของผ้สู ูงอายุ ความเช่ือและค�ำสอน 5) ความเช่อื ทางศาสนาชว่ ยให้ผ้สู ูงอายุและผดู้ แู ล ทางศาสนา และขยาย เข้าใจและยอมรับการตาย บริการการดูแลประ คบั ประคองท่ีบ้านให้ ทว่ั ถงึ

ผเู้ ขยี น หวั ข้องานวิจัย วัตถปุ ระสงค์ ระเบียบวธิ ีวจิ ัย กลมุ่ ตัวอยา่ ง ผลการศึกษา ขอ้ เสนอแนะ พัทธธ์ รี า การดูแลผู้ปว่ ยระยะสดุ ทา้ ย ผู้เขียนไมไ่ ดร้ ะบไุ ว้ แตเ่ นอื้ หา การวิจยั เอกสาร - การดแู ลแบบประคับประคองท่เี หมาะสมต้องอาศยั 1) พยาบาลควรตอบ วฒุ ิพงษ์พัทธ์ แบบประคบั ประคองตาม ของบทความเปน็ การเสนอ หลักความเช่อื ทางศาสนา ซึง่ จะชว่ ยใหท้ ั้งผปู้ ่วย สนองต่อความตอ้ งการ (พ.ศ. 2559) ความเช่ือทางศาสนาและ แนะแนวทางในการดูแลผู้ บคุ ลากรทางการ และบุคลากรทางการแพทย์เขา้ ใจชวี ิตและยอมรบั ข้นั พนื้ ฐานของผู้ปว่ ย ความต้องการครัง้ สดุ ทา้ ย ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับ แพทย์ โรงพยาบาล ความตาย ไมพ่ ยายามทจ่ี ะยอ้ื ชวี ิตไว้โดยไม่จำ� เป็น ดว้ ยความเออื้ อาทร ของชวี ิต ประคอง ในรูปแบบท่พี จิ ารณา เซนต์หลุยส์ จำ� นวน นอกจากน้ี โรงพยาบาลควรเปดิ โอกาสให้ผู้ปว่ ย และรบกวนเวลาผู้ป่วย ความเช่อื ทางศาสนาและ 205 คน โดยวธิ กี าร และญาติไดก้ ระทำ� พธิ ีทางศาสนาตามความเชือ่ ใหน้ อ้ ยทสี่ ุด จิตวญิ ญาณของผู้ป่วยและ สุ่มแบบแบง่ ประเภท ก่อนเสียชวี ติ 2) บคุ ลากรทางการ ครอบครัวด้วย ตามสดั สว่ น และผ้ทู รง ศาสนาพทุ ธ ญาติจะบอกให้ระลึกถงึ กรรมดี แพทยส์ ามารถเยียวยา คณุ วฒุ ิ 6 คน โดยการ (“พุทโธ”) ไปเรือ่ ยๆ จนสิ้นลม จิตใจของผ้ปู ว่ ยและ 87 เลอื กแบบเจาะจง ศาสนาครสิ ต์ บาทหลวงหรอื ญาตจิ ะอา่ นคมั ภรี ์ ญาตไิ ด้ ดว้ ยการสอื่ สาร สวดมนต์ อภัยบาปในนามพระเจา้ และเจิมศลี ท่เี ป่ียมไปดว้ ยความ วรัญญู นางงาม จริยธรรมท่สี ่งเสริมชีวิตตาม 1) ศกึ ษาจริยธรรมในการ การวจิ ัยแบบผสม สดุ ท้ายเพื่อสง่ วิญญาณ เมตตา และพิจารณา และคณะ หลักศีลธรรมคาทอลิกในโรง ปฏบิ ัตงิ านของบุคลากร ศาสนาอสิ ลาม ญาตจิ ะให้บุคคลท่รี ักและไว้ใจ ความตอ้ งการของผู้ (พ.ศ. 2561) พยาบาลเซนต์หลยุ ส์ ทางการแพทย์ โรงพยาบาล เตอื นผปู้ ว่ ยใหส้ ำ� นกึ ผิดและกล่าว “ลาอลิ า ฮะ ปว่ ยและญาติ เซนตห์ ลยุ ส์ อิลอลั ลอฮ”์ จนสิ้นลม 3) โรงพยาบาลควร 2) ศกึ ษาจรยิ ธรรมท่สี ่งเสรมิ ยืดหยนุ่ กฎระเบยี บ ชวี ติ ตามหลกั ศลี ธรรมคาทอลิก บคุ ลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลเซนตห์ ลยุ ส์ และขอ้ จ�ำกดั ในการ ในโรงพยาบาลเซนต์หลยุ ส์ มคี วามคิดเห็นสอดคล้องกนั ในเรือ่ งของคุณคา่ เย่ยี มท่ปี ดิ กัน้ การ และศักด์ศิ รคี วามเปน็ มนษุ ย์ แต่มคี วามเหน็ ท่แี ตก แสดงออกทางศาสนา ต่างกันในการทำ� การุณยฆาต โดยสว่ นใหญไ่ มเ่ ห็น และจติ วญิ ญาณ ด้วย เพราะมองว่าหลักจริยธรรมทางการแพทย์ 1) บคุ ลากรของโรง ต้องช่วยผูป้ ว่ ยอย่างสุดความสามารถ หากละเว้น พยาบาลควรปฏิบัติ ถอื เปน็ การฆา่ คน ไมเ่ คารพศกั ดิ์ศรมี นุษย์ และไม่ หนา้ ที่อยา่ งมจี ริยธรรม เคารพพระเจา้ ผู้ทรงชวี ติ ซงึ่ ขัดกับหลักจรยิ ธรรม และเพ่ิมพูนศลี ธรรม ของโรงพยาบาลเซนตห์ ลยุ ส์ ในตนเอง โดยยึดหลกั Spiritual Care กับผู้ ปว่ ยทุกคน

ผูเ้ ขยี น หัวข้องานวจิ ัย วตั ถุประสงค์ ระเบยี บวิธวี ิจัย กลุม่ ตวั อยา่ ง ผลการศกึ ษา ขอ้ เสนอแนะ - 2) โรงพยาบาลเซนต-์ 88 หลยุ ส์ควรพิจารณา ทบทวนพันธกิจ วสิ ยั ทศั น์ และคา่ นยิ มหลกั ให้สอดคล้องกบั หลกั ศีลธรรมคาทอลกิ 3) โรงพยาบาลเซนต-์ หลยุ สค์ วรสรา้ งความ เขา้ ใจให้เกิดการดแู ลผู้ ปว่ ยโดยไม่ท�ำ การณุ ยฆาต และควร จัดกิจกรรมให้บุคลากร เพิ่มพูนศีลธรรมท่สี ง่ เสรมิ ชีวติ ในเร่ือง การณุ ยฆาต พระมหาสรุ ชยั พทุ ธจรยิ ศาสตรว์ า่ ดว้ ย 1) ศึกษาแนวคดิ ด้าน การวิจยั เชงิ คุณภาพ พฤตกิ รรมในการฆ่าคนหรือสตั ว์นับเปน็ สังคมควรจะตอ้ ง ชยาภิวฑฺฒโน ปาณาตบิ าต จรยิ ศาสตร์ในทางพทุ ธปรัชญา ดา้ นมนษุ ยศาสตร์ ปาณาตบิ าตซ่งึ ผิดศลี และก่อใหเ้ กิดบาป ในมมุ มอง ปลกู ฝังด้านคุณธรรม (พ.ศ. 2560) เถรวาท โดยวิธีวภิ าษวิธีและ ทางพทุ ธจรยิ ศาสตร์ ผ้เู ขยี นได้วเิ คราะห์ตวั อยา่ ง จริยธรรมตามหลัก 2) ศึกษากรณตี วั อยา่ งปญั หา วธิ หี าเหตผุ ลด้วย ของรปู แบบการฆา่ คนในสังคมปัจจุบัน 3 ตัวอย่าง พระธรรม การเยียวยา และวิธกี ารวนิ ิจฉยั ด้าน วจิ ารณญาณ เพ่ือแสดงให้เหน็ หลกั แนวคิดดา้ นจรยิ ศาสตร์ในทาง ปญั หาสังคมต้องอาศยั จริยศาสตรใ์ นทางพทุ ธปรัชญา พุทธปรัชญาเถรวาท ได้แก่ อัตวินิบาต การณุ ยฆาต ความรว่ มมอื เพ่ือ เถรวาท และเพชฌฆาตกบั นกั โทษประหาร โดยอธิบาย แสวงหาจดุ ร่วมในการ 3) นำ� ไปประยุกตใ์ ชเ้ ป็น ว่าการกระทำ� ทงั้ หมดน้ผี ดิ ศลี และผดิ บาปแนน่ อน แก้ปัญหา โดยใชห้ ลกั แนวทางแกป้ ัญหาสังคม แตบ่ าปมากหรอื น้อย ขึ้นอยู่กบั องค์ประกอบร่วม ของความเมตตากรุณา ปัจจุบนั ได้แก่ 1) โดยวัตถุ 2) โดยเจตนา (โลภะ โทสะ โมหะ) และ 3) โดยประโยค (ความพยายามในการ ฆ่า)

ผเู้ ขยี น หัวขอ้ งานวจิ ัย วตั ถุประสงค์ ระเบยี บวธิ วี จิ ยั กลมุ่ ตัวอย่าง ผลการศึกษา ข้อเสนอแนะ - โดยองคป์ ระกอบทงั้ สามจะเปน็ หลกั มนุษยธรรม สำ� หรับให้ความเป็นธรรมวา่ จะมโี ทษหนกั หรือเบา ในกรณกี ารุณยฆาต ผเู้ ขียนวเิ คราะห์วา่ เปน็ บาป นอ้ ย เนื่องจากการฆ่ามีเจตนา คอื โลภะ โทสะ โมหะนอ้ ย และมคี วามพยายามในการฆ่าใหเ้ กดิ ความทรมานน้อย บาปของผู้ฆ่า (ในกรณีนี้ คือ แพทย์) จงึ น้อยตามไปดว้ ย พระครูอาทรกจิ ศลี 5 กับปญั หาการุณยฆาต สะทอ้ นและให้ขอ้ คิดเชิงเปรียบ การวิจยั เอกสาร หลักศลี 5 ของพระพุทธศาสนาถือว่าการณุ ยฆาต หมอ พยาบาล และ จาภริ กั ษ์ และ เทยี บระหว่างการแกป้ ญั หา เป็นการลว่ งละเมิดตอ่ ชวี ติ ผอู้ นื่ และเปน็ การตัด ญาติ ตอ้ งมเี มตตา คณะ (พ.ศ. ชีวิตดว้ ยการทำ� การุณยฆาต วงจรแห่งกรรมหรือวิบากกรรมทีผ่ ปู้ ่วยกำ� ลงั ได้ กรณุ า และเขา้ ใจความ 2561) และการป้องกนั ปัญหาชีวติ รับผลอยู่ นับวา่ เปน็ บาป นอกจากน้ี ผ้เู ขียนยัง ร้สู ึก จึงจะสามารถชว่ ย กอ่ นที่จะเกิดการทำ� การณุ ย- ประเมินวา่ การทำ� การุณยฆาตมีโอกาสเติบโตเปน็ เหลอื ผ้ปู ว่ ยทางจิตใจได้ 89 ฆาต ในมมุ มองของศีล 5 ธุรกิจ ซึ่งเปน็ การท�ำลายความมัน่ คงของมนษุ ยแ์ ละ และรฐั ไม่ควรท�ำใหก้ า สง่ เสรมิ การไร้ซงึ่ มนุษยธรรมในสงั คม รณุ ยฆาตเป็นเรอ่ื งที่ถกู กฎหมาย