Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติหลวงพ่อขวัญ1

ประวัติหลวงพ่อขวัญ1

Published by sumalee phummarin, 2022-06-14 04:01:35

Description: ประวัติหลวงพ่อขวัญ1

Search

Read the Text Version

1. ประวตั ิหลวงพ่อขวญั ปวโร หรือ พระครพู ิมลธรรมานุศิษฐ์ เดิมช่ือขวัญ หมอกมืด เกิดเม่ือวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2451 ท่ีบ้านไร่ ตาบล สามง่าม อาเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร มารดาช่ือเอ้ียง เป็นคนบ้านไร่ บิดาช่ือ เหลอื หมอกมืด เป็นคนรายชะโด หลวงพ่อขวญั มพี ่ีน้องทง้ั หมด 5 คน คอื 1. ไม่ทราบชือ่ 2. ไมท่ ราบชือ่ 3. นายขวัญ หมอกมืด (หลวงพ่อขวัญ ปวโร) 4. นางทา องศป์ ญั ญัติ 5. กานนั ผล หมอกมดื หลวงพ่อขวัญอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2470 เดือน 4 แรม 8 ค่า ท่ีวัดบ้านนา ตาบลบา้ นนา อาเภอสามงา่ ม (ปัจจุบันอยู่ที่อาเภอวชิรบารม)ี จงั หวัดพจิ ติ ร โดยมีพระครู ศีลธรารักษ์ (หลวงพ่อยิ้ม) วัดท่าหลวง เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ชิด เป็น กรรมวาจาจารย์ และอาจารยฟ์ ัก วดั สนามคลี เป็นอนศุ าสนาจารย์ ขณะนั้นพอดีกับทางวัดบ้านนากาลังจัดงานฉลองศาลา (ศาลาหลังนี้คือหลังที่รื้อไปแล้ว ตงั้ อย่หู ลังพระอุโบสถหลังเก่า) มีการอุปสมบทร่วมกันวันน้ันถึง 19 รูป อุปสมบทอยู่จน ค่าจึงเสร็จ เมื่อหลวงพ่อขวัญอุปสมบทแล้วก็มาอยู่ท่ีวัดบ้านไร่เลย มีลุงโต ยืน นาน (สามีของป้าเอี่ยมพ่ีสาวของแม่หลวงพ่อขวัญ) หลวงลุงโตอุปสมบทพร้อมกันกับ หลวงพ่อขวัญ ตารอด วิมล และนายแหยม ไม่ทราบนามสกุล รวมมีพระใหม่ 4 รูป ด้วยกัน เม่ืออุปสมบทพรรษาแรก หลวงพ่อขวัญเริ่มท่องหนังสือสวดมนต์เจ็ดตานาน และธรรมจักรกปั ปวตั นสตู รจบ พอพรรษาทีส่ องเริม่ มมี ารผจญ คอื สงั ขารมารและเบญจ

ขันธ์มาร เริ่มป่วยตั้งแต่ข้ึน 8 ค่า เดือน 8 สาเหตุที่ป่วยก็เพราะไปอันดับนาคท่ีวัดราย ชะโด กลับมาจนมืด ฝนตกหนัก ต้องบุกน้าลุยโคลนมาตลอด เลยเป็นไข้หวัดอยู่ 3 – 4 วัน เดินออกจากกุฏิไม่ไหว วันแรม 1 ค่า เดือน 8 เดินไปร่วมปฏิญาณพรรษาไม่ได้ กลายเป็นไข้พิษมากข้ึนทุกที เดือดร้อนหมอแผนโบราณมารักษาพยาบาลกัน มีพระ อาจารยช์ ดิ ตงั้ ใจ ซ่งึ เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านนา พร้อมด้วยหมอวัง คงเกษม และหมอ บาง วิมล รักษากันอยู่ถึงเดือน 10 โยมแม่เห็นท่าไม่ดีจึงหาหมอดูมาดู หมอดูดูแล้ว บอกให้ย้ายท่ีอยู่ โยมแม่จึงปลูกกระท่อมข้างกุฏิ จึงย้ายลงไปนอนในกระท่อมอีกนาน ญาติโยมช่วยกันเก็บเครื่องยามาต้มรักษา เศษของเคร่ืองยาที่เหลือเอามากองไว้ปลาย กระดานนอกฝากระทอ่ ม ในกองน้ันมีฝักคูณ (ปัจจุบันเรียกว่าราชพฤกษ์) รวมอยู่ด้วย พรรษาน้ีนา้ มาก ถึงกับทว่ มกระทอ่ ม เลยต้องยา้ ยไปอยบู่ ้านกบั มารดา บรรดาญาติโยม ก็บอกว่า ให้ลาสิกขาบทเสีย บางทีโรคภัยอาจหายได้ เพราะเคยมีคนเขาทากันมาแล้ว เมื่อปว่ ยรกั ษาเท่าไรก็ไม่หายจึงลาสิกขาบทหายมาก็เยอะ บุญไม่ถึงกระมัง แต่หลวงพ่อ ขวัญไม่ยอมฟัง ไม่ยอมลาสิกขาบท ท่านบอกว่าถึงเวลาก็ให้มันตายไป เรียกว่ายอม ตายคาผ้ากาสาวพัตร หลวงพ่อขวัญหนีน้าไปอยู่กับมารดาเพราะน้าท่วมกระท่อม ไป อยู่บ้านมารดาจนน้าลด น่าอัศจรรย์เจ้าฝักคูณที่กองอยู่บนกระดานนอกฝากระท่อมตก ลงดินไปงอกข้ึนเป็นต้นใหญ่ (ตรงข้างทางเดินในบริเวณวัด) ส่วนต้นฉาฉาหรือต้นก้ามปู นั้น หลวงพ่อขวัญท่านว่าร้ือกุฎิศาลา หลุมเสาเอาฉาฉา ฝังลงไปในหลุม (ท่ีเห็นเรียง แถวเดียวกับตน้ คณู นนั่ เอง) เป็นอนั ว่าไปอยบู่ า้ นกบั มารดาและน้อง ๆ ท้งั พรรษา พอถงึ เดือนอ้าย พวกน้อง ๆ ไปอยู่นากันเพื่อเกี่ยวข้าว พอหลวงพ่อขวัญค่อยยังช่ัวก็หัดเดิน บนบ้าน มารดา เฝ้าบ้านให้มารดาไปด้วย ตอนกลางคืนอยู่กับมารดา กลางวันอยู่รูป เดียว พอเช้ามารดาหาอาหารเช้า อาหารเพลถวายไว้ให้แล้วก็ไปเกี่ยวข้าวที่นา เย็นก็ กลบั มาอยูเ่ ปน็ เพ่ือน อยทู่ ่บี า้ นมารดาจนถึงเดอื น 3 จึงแข็งแรงกลับวัดได้ แต่ก็ไม่สู้จะ ดีเทา่ ไรนัก เพราะเกดิ เป็นโรคเหนบ็ ชาแตก่ เ็ ดนิ ได้ เปน็ อยูห่ ลายปจี งึ หายขาด เดือน 7 เดินทางไปบางไผ่ อาเภอบางมูลนาก จะไปอยู่กับนายชื้น พรมมาศ ซึ่งเป็นพระ ลูก ชายของลุงปล้ืม พรมมาศ ได้ข่าวว่าอุปสมบทอยู่ที่น่ัน พอไปถึงปรากฏว่าเขาลาสิกขา ไปเสียแล้ว เพราะเขามคี รอบครัวอยู่กอ่ น หลวงพ่อขวัญเดินทางไปบางไผเ่ พราะมีความ ต้ังใจจะไปเรียนปริยัติธรรม แต่ผลสุดท้ายท่ีวัดนั้นเขาก็ไม่มีพระจะเรียน หลวงพ่อขวัญ ไปพักอาศัยอยู่ 3 – 4 วัน ก็กลับมาอยู่วัดบ้านไร่ตามเดิม ทางวัดบ้านไร่ยังไม่มีเจ้า อาวาส จึงยกให้หลวงลุงโตเป็นเจ้าอาวาส ได้สวดมนต์ ทาวัตรเช้า ทาวัตรเย็นไปตาม สมณเพศจะพงึ กระทา จนออกพรรษาท่ี 3 พอถงึ ฤดแู ล้งราวเดือน 7 จึงชวนอาจารย์

สังเวียน ซ่ึงอยู่วัดบ้านนา ไปเรียนนักธรรมท่ีวัดท่าฬ่อ ปีน้ีบังเอิญเป็นปีที่มีเดือน 8 สองหน เดือน 8 ต้น ทางวัดท่าฬ่อเขาเปิดเรียน ต้องท่องแบบ “นวโกวาท” กัน อยา่ งเอาจริงเอาจงั เพอ่ื ให้ทันเรยี นเขา้ พรรษา เดอื น 8 หลัง ช่วงระหว่างเข้าพรรษา วัดท่าฬ่อปิดเรียนอยู่พักหนึ่ง และต่อมาก็เปิดเรียนอีก มีนักเรียนทั้งหมด 20 รูป หลวงพ่อขวัญเรียนไปได้หน่อยก็เกิดเป็นไข้จับสั่นจะเป็นเฉพาะเวลา 10.00 น. ถึง 11.00 น. ฉันยาควินินก็ไม่หาย อดฉันเพลอยู่หลายวันพอสร่างไข้แล้วตอนประมาณ 13.00 น. ไปเรียนนักธรรม ไดเ้ ปน็ ไขจ้ บั ส่ันอยู่หลายวัน ฉันยาเท่าไรก็ไม่หาย จึงนึก ถึงบารมีหลวงพ่อที่อยู่ในพระอุโบสถ จึงตั้งจิตอธิษฐานบนหลวงพ่อว่า “ถ้ามีบุญญาจะ ไดส้ บื ตอ่ อายุพระพุทธศาสนา ถ้าหายจะปิดทอง 3 แผ่น” ปรากฏว่าไข้จับส่ันหายไป เลย หลวงพ่อขวัญเรียนอยู่จนถึงสอบ พรรษาท่ี 4 สอบได้นักธรรมตรี ระหว่างเรียน นักธรรม กลางพรรษาได้ขอเรียนสมถกรรมฐานกับหลวงพ่อครุฑ วัดท่าฬ่ออยู่จนถึง เดอื น 3 จึงของลากลบั มาวดั บ้านไร่ พอกลบั มาถึงวัดกเ็ ร่มิ ยา้ ยกฏุ ิจากท่เี ดมิ คืออยตู่ รงระหวา่ งตน้ พิกลุ กับฉาฉา 2 ต้น และต้นคณู หา่ งจากทีเ่ ดิมประมาณ 20 เมตร มาต้ังตรงต้นกระดงั งาเมื่อยา้ ยมาจากท่ี เดมิ จงึ เอาตน้ ฉาฉาปักปลูกลงในหลุมเสาท้ังสองต้น ช่วงระหวา่ ง ตน้ ฉาฉาสองตน้ ตอนกลางเปน็ นอกชานกฏุ เิ กา่ หลวงพ่อขวญั ไม่ได้กลับไปเรยี นนักธรรมท่วี ัดทา่ ฬอ่ อีก ต้องประจาอยู่ทว่ี ดั บา้ นนา เพราะไมม่ ีพระอยเู่ ลย พอดีถงึ ฤดูแลง้ นายผล หมอกมืด น้องชายจะอปุ สมบทพรอ้ มกบั นายแจว ยปุ านนั ท์ และนายพร้อม หมอกมดื อุปสมบท พรอ้ มกันทว่ี ดั บ้านนา มีหลวงพอ่ ครุฑ วัดทา่ ฬ่อ เป็นพระอปุ ัชฌาย์ พรรษา 5 วดั บ้าน นาเรมิ่ เปิดเรยี นพระปรยิ ัติธรรม โดยนิมนตพ์ ระจาร วดั ท่าฬอ่ มาชว่ ยสอนนกั ธรรม วดั บ้านนาจงึ เปน็ สานกั เรียนพระปรยิ ัตธิ รรมมาจนตราบทุกวนั นี้ พรรษา 5 อยวู่ ดั ดู หนงั สอื สอบนกั ธรรมชั้นโท ปรากฏวา่ สอบตก พอพรรษา 6 ประมาณ ปี พ.ศ. 2475 ดหู นังสือไปสอบนกั ธรรมช้ันโทใหม่ ครง้ั น้ีปรากฏวา่ สอบได้ เปน็ อันวา่ ทิง้ วดั ไป เรยี นพระปรยิ ตั ิธรรมท่ีวดั ท่าฬ่อ 1 พรรษา แลว้ หลวงพอ่ ขวญั ตอ้ งกลบั มาอยวู่ ัดบ้าน นา ยา้ ยกุฏหิ ลายครั้งหลายหน ทานุบารุงรบั ผดิ ชอบงานวัดมาก

ปี พ.ศ. 2480 ได้ขออนญุ าตญาตโิ ยมไปศึกษาธรรมกับหลวงป่มู าก วัดบาง แก้ว อาเภอบางระกา จงั หวัดพิษณโุ ลก ไปพรอ้ มกบั อาจารย์เจรญิ อ่อนใจ และหลวง พ่อจิต วดั วงั แดง ไปเดอื น 8 เข้าพรรษาเรยี นมูลกระจายจนถงึ เดือน 4 ก็ต้องกลบั วัด อีก 1 พรรษา ท่านจงึ ไมม่ ีโอกาสได้เรยี นสูงกว่าน้ี เพราะหาพระทีจ่ ะอยปู่ ระจาวัด ไม่ได้ 2. ผลงาน พ.ศ. 2475 ไดส้ รา้ งธรรมาสน์ 1 หลงั ปัจจบุ นั ชารดุ ทรุดโทรม มาก พ.ศ. 2478 เรมิ่ ทาการกอ่ สร้างอโุ บสถ โดยไปขออนญุ าตปา่ ไม้ตัดไม้มาทา เสา ตดั แถวบ้านคุยนาดา อยู่หา่ งจากบ้านปลวกสูงไปหนอ่ ย ตอ้ งค้างคนื เพื่อตดั ไม้ นามาทาโครงสร้าง พอไดไ้ ม้จานวนมากพอ กท็ าการทาพิธียกเสาเอก และจัดงาน สมโภช 7 วัน 7 คืน เมอ่ื ทาโครงสร้างหลงั คาเสร็จก็นาแฝกมามุงหลังคา ต่อมาก็ขอ อนญุ าตตั้งวดั และสรา้ งวัดจนเป็นวดั ทสี่ มบรู ณ์ โดยหลวงพอ่ ขวญั ท่าน ขออนญุ าตตั้ง ช่ือว่า “วัดเทพสทิ ธกิ าราม” เพราะตอ้ งการสรา้ งตามชื่อของยายเทพ ซง่ึ ยกท่ดี นิ ถวายใหส้ รา้ งวดั เปน็ เนอ้ื ทปี่ ระมาณ 35 ไร่ แล้วก็ขอวสิ งุ คามสมี า หรือฝังลูกนิมติ ในปี ถดั มา ซงึ่ หลวงพอ่ ขวัญเคยเล่าวา่ การจดั งานฝังลูกนมิ ิต มีเงินเปน็ ทุน สารอง อยู่ 600 บาทเศษ โดยในการผกู พัทธสมี าและฝงั ลกู นมิ ติ ไดน้ ิมนต์หลวงพอ่ ครุฑ วัดทา่ ฬอ่ มาเปน็ ประธานและตัดลกู นิมติ เวลาตดั ลกู นมิ ติ ผู้ใหญ่เขาไม่ใหอ้ ยู่ เขา กลวั จะตาย เลยต้องไปอยู่บ้าน และหลวงพ่อจติ (ปจั จุบนั คือพระครูพินิตธรรม ภาณ) ได้มาอปุ สมบทหลังตัดลูกนมิ ติ ดว้ ยในคนื นั้น เสรจ็ งานกไ็ ด้เงนิ แค่ 600 บาท เศษ เทา่ ทนุ เป็นทนี่ า่ อศั จรรย์ แตเ่ รอ่ื งน้หี ลวงพอ่ ขวญั ท่านวา่ ไมน่ า่ เชอ่ื แต่กเ็ ป็นจริง อยา่ งนัน้ ทุกประการ เพราะขา้ วของสมยั นน้ั ราคาถูก เงินสตางค์มคี ่าเท่ากับเงนิ บาทใน สมัยนี้ ปี พ.ศ. 2481 ออกพรรษาแลว้ ลงไปปากน้าโพกบั ตาสอน คงเกษม ไปซ้อื ปนู มาทา ผนงั โบสถ์ มีเงนิ ไป 300 บาท เศษปนู ทีซ่ ือ้ เป็นปูนทย่ี งั ไมม่ ีตราเหมอื นปจั จบุ ันเป็นปนู ใหม่ บรรทกุ เรอื ข้ึนมาสง่ ถงึ วดั เพราะเปน็ ฤดูน้า น้ายังไม่ลด ในสมยั ก่อนเปน็ คาพูดท่วี า่ เดอื น 11 น้านอง เพราะแรม 1 ค่า เดอื น 11 ออกพรรษาและเดือน 12 น้ายัง ทรงอยูย่ งั ไม่ลด กฐินผา้ ป่าต้องใช้เรือแหส่ นกุ สนานกันจนเปน็ ประเพณี มาสมัยปจั จุบัน หานา้ ไมค่ อ่ ยได้แลว้ ซอ้ื ปนู มา 150 ถุง เหล็ก 3 หุน 4 หนุ มา 9 หาบ

(สมยั ก่อนเขาขายโดยการชง่ั ) บรรทุกเรอื มาพร้อมกับปูน เงนิ ที่มีไป 300 กว่าบาท ยงั ตอ้ งใชเ้ ปน็ คา่ เรอื อกี ดว้ ย ออกพรรษาปนี ัน้ ก็คงจะเป็นพรรษาที่ 11 ถึงเดือน 3 ไป เล่ือยไมท้ ่บี า้ นทงุ่ นาดาหรือคยุ นาดาอีก ครั้งนเ้ี ลื่อยไม้ง้ิวปา่ เพือ่ นามาเป็นแบบปนู เทฝา ผนังอุโบสถ (หลังเกา่ ) ปนู ไมพ่ อต้องไปซอ้ื ปนู ทีพ่ ิษณโุ ลกอีก 10 ถุง เอามาเทเสาหน้า มุขทาช่อฟา้ ใบระกาเอง พร้อมด้วยหนา้ บันกแ็ กะสลักเอง ส่วนซมุ้ หนา้ ต่างจ้างเจ๊กไฝ่ คนบางกระทมุ่ มาทา เรยี กได้ว่าชีวติ ความเปน็ อยู่ของหลวงพอ่ ขวัญ จะเกีย่ วขอ้ งกับการก่อสรา้ ง นับว่าเป็นนักพัฒนา นักสร้าง ด้วยกาลงั กาย กาลงั ปัญญา ดว้ ยศรัทธาต้ังแต่ยังไมไ่ ด้ อุปสมบท ทัง้ การรอื้ ถอน สรา้ งกุฏิมาตลอด ไมว่ า่ จะเป็นไม้หรอื ปูน ส่วนใหญ่จะลงมอื ทา เองเกอื บจะท้ังหมด ท่จี า้ งเขาเปน็ ส่วนนอ้ ย เรียกว่าคลุกคลอี ยู่กับการกอ่ สรา้ ง เช่น สร้างวดั สร้างโรงเรียน เปน็ ตน้ ปี พ.ศ. 2495 เรมิ่ สรา้ งศาลาใหม่แทนศาลาหลังเก่า ซ่ึงบรรดาญาตโิ ยม สรา้ งไว้ ประมาณปี พ.ศ. 2473 ซ่ึงเกา่ และชารดุ สมยั นั้นเรียนหนงั สือทศ่ี าลา เพราะวา่ บ้านไร่ ยงั ไม่มโี รงเรียนเป็นเอกเทศ ตอนทห่ี ลวงพอ่ ขวัญยังไมไ่ ด้ทาฝาผนงั อโุ บสถ หลวงพอ่ ขวญั ได้ทาพิธี หล่อพระหลวงพอ่ ดา ซง่ึ เปน็ พระพุทธรปู ทศ่ี ักดิ์สิทธ์ิ เป็นท่เี คารพนบั ถือของชาวบา้ นไร่ มาจนทกุ วนั น้ี

สาหรับหนา้ ที่ทางคณะสงฆ์นั้นหลวงพอ่ ขวญั เคยเป็นเจา้ คณะหมวดมาก่อนและไดเ้ ปน็ อุปชั ฌาย์มานาน ท่านผ่านพระราชบัญญัตคิ ณะสงฆม์ าถึง 2 สมยั คอื พระราชบญั ญัติ คณะสงฆ์ปี 2484 ซงึ่ สมัยนนั้ การปกครองสงฆ์ แบง่ เปน็ องค์การมีดงั น้ี 1. องคก์ ารปกครอง 2. องคก์ ารศกึ ษา 3. องค์การเผยแพร่ 4. องคก์ ารสาธารณปู การ จนเปลยี่ นมาเปน็ “พระราชบญั ญัตคิ ณะสงฆ์ 2506” และยกเลกิ การปกครอง แบบองค์การไปเป็นอนั วา่ การสร้าง การโยกย้าย การร้ือ ถอน ศาสนสมบตั วิ ดั หลวงพอ่ ขวัญทาอยตู่ ลอดมา หรอื จะเรยี กว่าหลวงพอ่ ขวญั เป็น “นกั กอ่ สร้าง” ก็ได้ เพราะไมใ่ ช่ เฉพาะการสร้างศาสนสมบตั วิ ัดเท่าน้ัน “โรงเรยี นวดั บ้านไร”่ ท่ีลกู หลานของทา่ นได้ ศกึ ษาเล่าเรียนอบรมบม่ นิสยั อย่ทู กุ วันนี้ กน็ ับเป็นผลงานของหลวงพอ่ ขวญั ถงึ แมว้ ่า หลวงพ่อขวญั จะไม่ไดม้ าลงมอื ก่อสร้างเอง แตห่ ลวงพ่อขวญั กไ็ ดใ้ ห้คาปรกึ ษาหารือเป็น อยา่ งดี ซ่งึ ได้สรา้ งเสรจ็ ลงในปี 2503 กม็ ีโรงเรยี นเปน็ เอกเทศต้งั แตน่ ั้นมา ไม่ตอ้ ง เรียนหนังสอื ทศ่ี าลาอกี ระยะท่ีท่านมรี า่ งกายแขง็ แรง ตอนเยน็ ๆ โรงเรยี นเลิกแลว้ หลวงพ่อขวญั จะเดนิ ตรวจตราวัด บริเวณวดั และเดนิ เลยไปถงึ โรงเรียนอีกดว้ ย เป็น การออกกาลังกายอย่างหนึ่งของทา่ น ศาลาหลังน้ี สร้างตรงศาลาหลังแรกโดยกว้างประมาณ 9 วา ยาวประมาณ 12 วา ครงั้ แรกมงุ แฝกตอ่ มาเปลีย่ นเป็นมงุ กระเบอื้ งปูนทาเองหลวงพอ่ ขวญั ทา่ นเห็น วา่ ไมเ่ หมาะสม เพราะกุฏิกย็ า้ ยลอ่ งใตไ้ ปหมดแลว้ ไมถ่ กู ต้อง จงึ ไดย้ ้ายศาลาหลังน้ีมา เม่ือปี พ.ศ. 2512 มาปลกู ตรงทศี่ าลาทก่ี าลังก่อสรา้ งใหมน่ ้ี บัดนไี้ ดร้ ือ้ ถอนและสรา้ ง ขน้ึ ใหม่เมอื่ ปี 2535 ปี พ.ศ. 2514 ไดท้ าการกอ่ สรา้ งอุโบสถหลังใหมข่ ้ึน 1 หลัง (ทเ่ี หน็ อยู่ ปจั จบุ นั ) หลวงพ่อขวญั ได้ทาเอง แตก่ ระจกจา้ งเขาทา โดยขอพระราชทาน วิสงุ คามสมี า ฝงั ลูกนมิ ติ เมอ่ื ปี พ.ศ. 2518 สิน้ คา่ กอ่ สรา้ ง 500,000 บาทเศษ (หา้ แสนบาท) ตอ่ จากน้นั กเ็ ร่ิมไปสรา้ งวัดสระประทุม (บึงบัวนอก) และในปเี ดยี วกัน (ปี พ.ศ. 2518) พรอ้ มด้วยชาวบา้ นบึงบัว หม่ทู ่ี 12 ไดส้ รา้ งกฏุ ิขนึ้ อกี 2 หลัง

อุโบสถของวดั บา้ นไร่ มีความสวยงามเปน็ อยา่ งยิ่ง ท่ีมา : (โดยสุเทพ สอนทมิ ) ปี พ.ศ. 2519 ได้เริม่ สร้างศาลา 1 แหง่ และกฏุ อิ ีก 1 หลงั และทาการ ยา้ ยกุฏิจากเดิม โดยใชว้ ธิ หี ามทงั้ หลงั ไปทางตะวันตกของศาลา เสรจ็ ในปี พ.ศ. 2524 แลว้ เรม่ิ สรา้ งอโุ บสถอกี 1 หลงั เสร็จแลว้ ฝงั ลกู นิมิตเรียบรอ้ ยในปี พ.ศ. 2527 กฏุ สิ งฆ์ทีพ่ บในปจั จบุ ันเปน็ กฏุ ทิ ่ีสร้างขน้ึ มาใหม่ ที่มา : (โดยสเุ ทพ สอนทมิ ) ปี พ.ศ. 2527 สร้างอโุ บสถวดั ดงกระทิงต่อจากสรา้ งทว่ี ดั บึงบวั นอก สร้าง อยู่ทว่ี ดั ดงกระทงิ ถงึ 4 ปีกวา่ จนได้รับอนุญาตผกู พัทธสีมาฝังลกู นิมติ เพราะท่ี กอ่ สรา้ งอโุ บสถเป็นปา่ สงวนของทางราชการและอยู่ในเขตของจงั หวดั กาแพงเพชร กว่า จะไดร้ บั การอนญุ าตนานเหลอื เกนิ ตอ้ งแกไ้ ขกันอยู่นานจนปี พ.ศ. 2530 จงึ ได้ ผูกพัทธสีมาฝงั ลกู นมิ ิตเรียบรอ้ ย จากนน้ั กต็ ิดตามชว่ ยเหลอื ซ่อมสรา้ งวหิ าร “หลวงพอ่ รวม” วดั บงึ บวั เก่า (บึงบวั ใน) สมัยโบราณใหเ้ สร็จเรยี บรอ้ ยอกี ในปี พ.ศ. 2522 ขณะทที่ าการสรา้ งศาลา กุฏิ และยา้ ยกฏุ ิ ณ ท่ีวัดบึงบวั นอก (วัดสระประทมุ วนาราม) อยู่นั้น หลวงพ่อขวญั ไดเ้ ดินทางไปประเทศอินเดยี กับ ทา่ นเจา้ คณุ วสิ ทุ ธว์ิ ราภรณ์ (ผอ่ น ต้งั ใจ) เจ้าอาวาสวัดจันทรวิหาร ณ กรุงเทพมหานคร ท่านเจา้ คุณวสิ ุทธวิ์ ราภรณ์ เป็นน้องชายของลงุ ชื้น ต้ังใจ โดยการ สนับสนุนจากญาตโิ ยมชาวบ้านไร่ และชาวกรงุ เทพ ฯ เป็นบางสว่ น ได้ช่วยกนั บริจาค ปัจจัยเป็นค่าเครอ่ื งบนิ ใหห้ ลวงพอ่ ขวญั ไดไ้ ปเหน็ สถานที่ต่าง ๆ ในประเทศอนิ เดยี ซง่ึ เชือ่

ของพระพทุ ธศาสนา หลวงพอ่ ขวัญไดน้ าดินทส่ี งั เวชนยี สถาน 4 แห่ง คือ ที่พระพุทธเจา้ ประสตู ิ ตรสั รู้ แสดงธรรมจกั รกปั ปวตั นสูตร และปรนิ พิ าน มาหลอ่ เปน็ พระพุทธรปู มี เสมาธรรมจกั รเปน็ รศั มี และหลวงพอ่ ขวญั ยังใส่ใบโพธ์ิไวด้ ้านหลงั พระพุทธรูปท่ีทา่ น หล่อข้นึ ดว้ ย ใบโพธิ์ท่ีกล่าวนหี้ ลวงพอ่ ขวญั ทา่ นก็ไดน้ ามาจากประเทศอนิ เดยี เช่นกัน และหลวงพอ่ ขวัญยังหาตู้มาใส่พระทที่ า่ นหลอ่ ขนึ้ พร้อมท้ังพมิ พ์หนงั สือบอกไวด้ ้วยวา่ หลอ่ ขึ้นเพอ่ื ประสงคอ์ ะไร ไดม้ าอย่างไร เมอื่ ไร พระพุทธรปู ทที่ ่านทาข้ึนมีหนา้ ตักกว้าง 2 นวิ้ มสี ีตะกั่ว ทาข้ึนเพ่อื แจกญาติ โยมทม่ี อี ปุ การะคณุ บรจิ าคคา่ เครอ่ื งบนิ ปี พ.ศ. 2530 เม่ือทา่ นสรา้ งอุโบสถวัดดงกระทิงและได้ทาการผกู พทั ธ สมี าฝังลกู นมิ ติ เสร็จเรยี บร้อย และไดต้ ิดตามซอ่ มแซมสรา้ งวิหารใหห้ ลวงพอ่ รามทว่ี ดั บงึ บัวในแลว้ ท่านได้อาราธนาไปทาชอ่ ฟา้ ใบระกาท่ีวัดวังโขน อาเภอไทรงาม จงั หวดั กาแพงเพชร ต่อจากนน้ั หลวงพอ่ ขวัญไดไ้ ปช่วยสรา้ งกฏุ ทิ ่วี ัดนิคม ตาบลบ้านนา อาเภอ สามงา่ ม กุฏหิ ลงั หนง่ึ สน้ิ ค่าก่อสรา้ ง ประมาณ 7,000 บาท สรา้ งประมาณ 7 หลงั พอสรา้ งกฏุ ิใหว้ ัดนิคมจนแล้วเสรจ็ หลวงพอ่ ขวัญยงั เปน็ ท่ีปรึกษาสรา้ ง อุโบสถวดั วังตะขบ ตาบลบา้ นนา อาเภอสามงา่ ม อกี ดว้ ย จะเห็นไดว้ า่ ตลอดเวลาท่ีผ่าน มาหลวงพอ่ ขวญั ล้วนอยกู่ บั การกอ่ สร้างมาตลอด ท้ังงานทางด้านศาสนานบั แต่ทา่ นได้ เล่ือนยศเป็นเจ้าคณะอาเภอสามงา่ ม มาประมาณ 40 ปี รบั พระราชทานยศชั้น สัญญาบตั ร รับพัดยศพระครชู ัน้ ตรี โท และเอก จนถึงข้นั พเิ ศษ และเมื่อ พ.ศ. 2533 ท่านไดไ้ มร่ บั ตาแหนง่ จากทางราชการแต่ยังเป็นที่ปรึกษาอยู่ และในปี พ.ศ. 2535 ท่านไดส้ รา้ ง ซ่อมกุฏแิ ละศาลาใหม่ พรอ้ มทัง้ สร้างกาแพงรอบวดั เพอื่ จะได้ ดแู ลเปน็ สดั เป็นส่วนและสวยงาม ศาลาหลังใหม่นีป้ ลูกตรงศาลาหลงั เกา่ โดยเริ่มรอื้ ศาลาหลงั เก่าเมอ่ื วันท่ี 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 รื้ออยู่ 3 วัน เสรจ็ เรยี บรอ้ ย นายสมาน ศรนี อ้ ย เอารถแมค็ โครมาขดุ เสาออก ลากดินมาถมให้สงู ขน้ึ แลว้ ใช้ รถแทร็กเตอร์ปรบั ดินใหเ้ รียบร้อย ทาการวางศลิ าฤกษ์ เมอ่ื วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2535 ตรงกับแรม 10 คา่ เดอื น 3 และเรมิ่ ลงมือทาผงั ตอกเข็ม ขดุ หลุม เมอ่ื วนั ที่ 27 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2535

ศาลาหลังนี้ทาเป็นศาลา 2 ชัน้ คือ ช้ันลา่ งเทปนู ขดั มัน สาหรบั ชัน้ ล่างนท้ี าอย่เู ป็น เวลา 4 เดือน 5 วัน มุงหลังคา สว่ นชนั้ บนขดั หินอ่อน สาหรับการทาชอ่ ฟ้า ใบระกาของศาลาหลงั ใหม่นี้ หลวงพอ่ ขวญั รวมท้งั ญาตโิ ยมทมี่ ฝี มี ือและใจศรทั ธาได้ ช่วยกนั ทา ศาลาก่อสรา้ งในปี พ.ศ. 2535 และไดป้ รบั ปรงุ บูรณะตลอดมา ท่มี า : (โดยสเุ ทพ สอนทมิ ) เมื่อสรา้ งศาลาหลังใหมเ่ สร็จแลว้ ก็ไปชว่ ยดาเนนิ การสร้างศาลาวัดหนองทอง อาเภอไทรงาม จังหวดั กาแพงเพชร นอกจากการสร้างศาลาวัดหนองทองแล้ว หลวงพ่อขวญั ยังมีเมตตาจติ ช่วยวดั วงั แดง วัดของหลวงพอ่ จติ ทาช่อฟ้าอุโบสถ ซงึ่ ได้ไปทาการทอดผา้ ปา่ เมอื่ วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2536 เป็นจานวนเงิน 100,000 บาทและในขณะเดยี วกนั ได้เตรียมเงิน ไวใ้ นธนาคาร จานวน 600,000 บาท เพ่อื จะจดั การสรา้ งสะพานข้ามคลองบา้ นไร่ ตรงหน้าวดั ด้านใต้แทนสะพานไมเ้ ดิมอกี ดว้ ย เพื่อใหป้ ระชาชนผู้มีใจบญุ ใจกศุ ลไดใ้ ช้ สญั จรไปมาบาเพญ็ กศุ ลที่วดั ต่อจากการสร้างศาลาหลังใหม่หลวงพอ่ ขวญั ยังสรา้ งหอ้ งนา้ ขึ้นใหม่ 2 แหง่ สร้างประปาและซุม้ ประตวู ัดใหม่

ซุ้มประตทู างเขา้ วัด ทห่ี ลวงพ่อขวญั มดี ารใิ ห้สร้างขึน้ ทม่ี า : (โดยสุเทพ สอนทิม) ท้งั นดี้ ้วยบารมขี องทา่ น ซง่ึ ได้มหี ลายฝา่ ยได้ชว่ ยสนับสนุน สนองนโยบาย ทา ตามคาส่ังของหลวงพอ่ ขวญั ได้จดั แจงเปน็ กาลงั เป็นแรงกาย ช่วยใหท้ า่ นได้สาเรจ็ ตาม ความประสงค์เทา่ ที่จะทาได้ หลวงพอ่ ขวญั เปน็ ผู้มอี ัจฉรยิ ะในการสรา้ งถาวรวัตถุใน พระพทุ ธศาสนา และเปน็ ผู้นาพรอ้ มทั้งเป็นผู้ทใ่ี หค้ าปรกึ ษาหารือได้ในเกอื บทุกดา้ น ไม่ วา่ จะยากดมี จี นอยา่ งไร หรือมาจากไหน ถ้ามใี จฝกั ใฝ่ในพระพทุ ธศาสนา มน่ั ในการทา ความดี ทา่ นยินดใี ห้ความอนุเคราะหเ์ ทา่ ท่ีทา่ นจะมคี วามสามารถและศรทั ธา ยากจะหา พระเถระองคใ์ ดในอาเภอสามง่ามเสมอท่านได้ ขออยา่ งเดียว เมอื่ ไดไ้ ปแล้วอยา่ ไปทาให้ ผิดจากความประสงค์ของท่านทข่ี ออนญุ าตหลวงพ่อขวญั ไว้ “การซือ่ สตั ยส์ ุจริต การทา จิตใจให้บริสุทธ์ิ เว้นจากการทาชั่ว หมั่นทาความดี นบั เป็นหัวใจของพระพทุ ธศาสนา” เพราะเหตุผลดงั กล่าวแลว้ จึงนับได้วา่ “หลวงพ่อขวญั ท่านเปน็ ปูชนยี บคุ คล” ที่ควรให้ ความเคารพบูชาอย่างยง่ิ

ร่างหลวงพ่อขวญั ที่บรรจอุ ยู่ในโลงแก้ว ท่มี า : (โดยสุเทพ สอนทิม) หลวงพ่อขวัญละสังขาร เมอื่ วนั ท่ี 19 ธนั วาคม พ.ศ. 2548 รวมสิริ อายไุ ด้ 97 ปี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook