เอกสารการสอนประกอบรายวชิ า 0606208 ศลิ ปะการละคร 3 : Dramatic Arts 3 อ. สวุ ภทั ร พนั ธ์ปภพ
นอกจากท่ีผู้กากับการแสดงจะต้องทาหน้าท่ีเป็ นผู้นา ในการคัดสรรเลือก เฟ้ นองค์ประกอบต่างๆให้มารวมกันแล้ว ส่ิงท่ีสาคัญก็คือ สาร หรือ ความคิดหลัก ท่ีต้องการจะบอกผู้ชม เพ่ือให้สารนัน้ ไปกระตุ้นหรือ สะท้อนบางส่ิงในชีวิต เพ่ือให้ผู้ชมเกิดการเรียนรู้ เป็ นแนวทางในการ ดาเนินชีวติ ผู้กากับการแสดงจึงต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึง้ และชัดเจนในประเดน็ ท่ี ตนเองต้องการจะพูด เพราะหากผู้กากับการแสดงไม่ชัดเจน ทุกๆอย่างท่ี เกิดขึน้ ในงานก็จะเป็ นไปอย่างคลุมเครือ เปรียบเหมือนคนกุมบังเหียน ท่ีไร้ทศิ ทาง
1. เนือ้ เร่ือง มีเนือ้ หาสาระน่าสนใจ มีการผูก Plot ท่ีน่าตดิ ตาม มีปมขัดแย้ง ท่ีน่าต่ืนเต้น เร้าอารมณ์ (dramatic) 2. ตัวละครเอก และตัวขัดแย้ง มีมิติท่ีซับซ้อน น่าศึกษา สะท้อนความ จริงของมนุษย์ 3. มีแนวคดิ หลัก (theme) และแนวคดิ ท่ีเป็ นสากล เป็ นสัจธรรม มีคุณค่า 4. เหมาะสมกับโอกาสท่จี ะแสดง วัยวุฒิ และพืน้ ฐานของผู้ชม 5. เหมาะสมกับสถานท่ี เวทที ่จี ัดแสดง 6. บทละครเป็ นแนว /สไตล์ (Styles) ท่นี ่าสนใจ หรืออยู่ในความถนัด ของผู้กากับการแสดง
การค้นคว้าหาข้อมูลเพ่มิ เตมิ เท่าท่จี าเป็ นต้องใช้ เพ่อื ทาความรู้จัก กับบทละครให้มากย่งิ ขนึ้ 1) ประวตั ศิ าสตร์ (Historical) 2) สังคม (Sociological) 3) ส่งิ แวดล้อม (Environmental) 4) ชีวประวตั ิ (Biographical) ของผู้แต่ง /ตัวละครท่อี ้างองิ จากบุคคลจริงๆ 5) จติ วทิ ยา (Psychological) 6) ข้อมูลเก่ียวกับละคร (Theatrical) เคยถกู ทาเป็ นละครมาก่อนหรือไม่ เม่อื ไหร่ อย่างไร / ถกู พดู ถงึ อย่างไร
วิเคราะห์หาแก่ นเร่ือง (Theme) และแนวคิดหลัก (Message) ว่าตรงกับท่ตี นเช่ือหรือต้องการจะส่ือสารหรือไม่ พัฒนามาได้อย่างไร เหน็ ได้จากตวั ละครใดเป็ นหลกั การกระทา (action) ใดเป็ นหลกั วิเคราะห์ศึกษาตัวละคร (Characterization) การกระทา การ ตัดสินใจ เหตุผลเบือ้ งหลังการกระทา ความสัมพันธ์ท่ีมีต่อกัน และ ต่อเร่ือง ศึกษาโครงเร่ือง (Plot) ละครเร่ิมต้น พัฒนาปัญหา จนถึงจุดวิกฤติ จุดสูงสุด และจุดคล่ีคลายได้อย่างไร ค้นหานา้ เสียงของละครเร่ืองนี้ เป็ นเชิงถาม หรือสอน หรือบอก หรือเหน็บแนม หรือกระตุ้นให้คิด หรือให้ปลงในเร่ืองใด อย่างไร
ความคดิ ในละครเป็ นการตอบคาถามว่า “นิทานเร่ืองนีส้ อนให้รู้ว่า...” สุดท้ายเม่ือผู้ชมชมละครเร่ืองนีจ้ บ เขาต้องได้รับบทเรียนอะไรกลับไป หรือ ส่วนใดช่วงใดของละครเร่ืองนีก้ ระตุ้นให้คนดูได้นาไปคดิ ต่อหรือนาไป วเิ คราะห์พจิ ารณาตวั เองและคนรอบข้าง โดยปกตผิ ู้เขียนจะแทรกคาพูดหรือเหตุการณ์ท่ีสะท้อน “แก่นของเร่ือง” เอาไว้เราต้องหาส่งิ เหล่านัน้ ในบทละครให้เจอ และช่วยขยายความให้คนดู ค่อยๆเหน็ ความคดิ ในเร่ือง เพ่อื ให้คนดูได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกับเราและสรุป ความคดิ ในตอนท้ายได้ในท่สี ุด
ความคดิ หลัก (Message) คือ เร่ือง/ข้อความ ท่ผี ู้กากับการแสดงอยากจะพดู ต้องการส่ือสารกับผู้ชม เป็ นข้อความเสียงส่วนตัวของผู้กากับ สามารถสังเคราะห์ได้จาก การกระทา (Action) ของตัวละคร กล่าวคือ ... อะไรคือเป้ าหมาย (Objective) ความต้องการสูงสุดของตวั ละคร แล้วตวั ละครมีพฤตกิ รรมหรือการกระทาอย่างไร เพ่อื ให้ได้มาซ่งึ ส่งิ ท่ีตนต้องการ ความต้องการ การกระทา เป้ าหมาย ความต้องการ การกระทา1 ความขัดแย้ง การกระทา2 เป้ าหมาย แล้วทุกส่งิ ทกุ อย่างท่ตี วั ละครแสดงออกมานัน้ มนั มคี วามเก่ียวเน่ืองเป็ นเหตเุ ป็ นผล เช่อื มโยงกนั อย่างไร และสอดคล้องกบั ความคิดหลักหรือไม่
ปั ญหาของผู้กากับการแสดงส่ วนใหญ่ คือ แม้ จะรู้ว่ าแก่ นความคิด (Theme) ของเร่ืองคืออะไร แต่ก็ไม่สามารถท่ีจะส่ือสารออกมาได้ อย่าง ชัดเจน มักจะไปให้ความสาคัญกับบทพูด การแสดงออกของนักแสดง หรือองค์ประกอบภายนอกมากกว่า แต่เม่ือเราจับแกนความคิดหลัก (message) ได้แล้ว ก็จะเป็ นการง่ายใน การกาหนดทิศทางในการกากับการแสดง ง่ายต่อการส่ือสารกับทีมงาน ฝ่ ายต่างๆ รวมทัง้ การส่ือสารไปยังผู้ชมได้อย่างชัดเจนและตรงตาม เป้ าหมายท่ีผู้กากับการแสดงต้องการ แม้ว่าศลิ ปิ นจะมีอสิ รภาพในการตคี วามหมายงานศลิ ปะด้วยภาษาส่วนตัว ของตัวเอง และบทละครท่ีดีก็มักมีแก่นเร่ืองท่ีกินความหมายครอบคลุม ลึกซงึ้ แต่ผู้กากับต้องไม่หลงประเดน็ ทุกอย่างบนเวทตี ้องเป็ นเหตุเป็ นผล เป็ นเอกภาพและมุ่งสู่ความคดิ หลักของเร่ืองทงั้ สนิ้
“ตัวละครหลัก และตัวละครปะทะ จ ะ ส ะ ท้อ น โ ค ร ง เ ร่ื อ ง แ ล ะ ส า ร ะ สา คัญ ข อ ง เ ร่ื อ ง ไ ด้ชัด เ จ น ท่ี สุ ด \" วเิ คราะหค์ วามเป็นตวั ละคร ตวั ละครหลกั /ตวั เอก (Protagonist) (Characterization) ตวั ละครปะทะ /คูก่ รณี (Antagonist) 1. ลกั ษณะทางกายภาพ 2. ลกั ษณะทางนติ วทิ ยา ลกั ษณะนิสยั 3. ภมู ิหลงั ตวั ละครแบบกลม (Well Rounded Character) วเิ คราะหไ์ ดน้ ากอะไรบา้ ง? มคี วามซบั ซอ้ น มคี วามเป็นมนุษย์ มีทง้ั ดา้ นดีและดา้ นไม่ดี 1. คาบรรยายของนกั เขียน ตวั ละครแบบแบน (Typed /Flat Character) 2. คาพูดของตวั ละครตวั น้นั ไม่ซบั ซอ้ น มองเหน็ ดา้ นเดียว ดมี าก หรอื ชวั่ รา้ ยมาก 3. คาพูดของตวั ละครตวั อน่ื บทบาทหรอื บคุ ลกิ ภาพ 4. การกระทาของตวั ละคร ตวั ละครแบบตายตวั (Static Character) มีบคุ ลกิ และนิสยั คงท่ไี ม่มีเปล่ยี นตลอดทง้ั เร่อื งตง้ั แต่ตน้ นนนบ ตวั ละครแบบมพี ฒั นาการ (Dynamic Character) ปรบั เปลย่ี นนิสยั และทศั นคตไิ ปตามประสบการณ์หรอื สภาพนติ ในได้
ลักษณะทางกายภาพ คือรูปภายนอกของตวั ละคร ท่าทาง การยนื เดนิ น่ัง สวย หล่อ พกิ าร สีผวิ ผมหยกิ นิสัยท่ชี อบทาประจา การพดู นา้ เสียง การแต่ง กาย มารยาท ลักษณะทางจติ วทิ ยา คือลักษณะภายใน สตปิ ัญญา ความเช่ือ สุขภาพจติ อารมณ์ ความคดิ สร้างสรรค์ เหตกุ ารณ์ท่เี ปล่ยี นแปลงชีวิตส่งผลต่อจิตใจ มุมมอง ความคดิ และทศั นคติ ภมู หิ ลังของตวั ละคร (Background) พนื้ ฐานครอบครัว ชีวติ วยั เดก็ การศกึ ษา เพ่อื นฝูง สภาพการสมรส อาชีพ งานอดเิ รก รสนิยมส่วนตวั อะไรคือความต้องการสูงสุดของตัวละคร (Super Objective) อะไรคืออุปสรรคของตัวละคร (Obstacle) เช่น สภาวะทางครอบครัว เง่อื นไข ทางวฒั นธรรม ความเช่ือ สภาพการเงนิ การกระทาของตัวละครอีกตัวหน่ึง) ตวั ละครนีเ้ อาชนะอุปสรรคโดยใช้กลยุทธ์ (Tactic) ใดบ้าง
Climax นุดสูงสดุ ทางอารมณ์ /นดุ แตกหกั Crisis Falling Action นุดวกิ ฤติ นดุ คลค่ี ลาย /แกป้ ม Conflict Resolution บทสรุปของเร่อื งราว ความขดั แยง้ Middle End Exposition การปูเร่อื ง ตวั ละคร Beginning
ลักษณะวธิ ีการของการส่ือสารความคดิ ของละครเรื่องน้ี เป็ นเชิงถาม / สอน /บอก / เหน็บแนม / กระตุ้นให้คิด / ให้ปลง ในเรื่องใด? อย่างไร?
คือการตคี วามหมาย คาพดู และคาบรรยายในบทละครให้เป็ น การกระทาของตัวละคร ซ่งึ เป็ นจริงและเข้าใจได้ รู้สกึ ได้ทัง้ กับนักแสดงและผู้ชม ต้องหา “ความหมายโดยตรง (Directly)” และ “ความหมายโดยนัย (Subtext)” ช่วง (Beat) และเส้นต่อเนื่องของการกระทา (Through Line of Action) ละครเร่ืองหน่ึงอาจแบ่งเป็ นองก์ (Act) แต่ละองก์แบ่งเป็ นฉาก (Scene) และในหน่ึงฉากกอ็ าจย่อยเป็ นช่วง (Beat) เลก็ ๆได้อีก แบ่งตามการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ท่ีดาเนินตามความต้องการของตัว ละครเป็ นหลัก แบ่งตามการเข้าออกของตัวละคร
ช่วง (Beat) และเส้นต่อเน่ืองของการกระทา (Through Line of Action) ในช่วง Beat เล็กๆนัน้ ตัวละครหลัก ก็จะมีความต้องการเฉพาะช่วง (Beat objective) ซ่งึ เม่อื กระทาจนความต้องการนัน้ สาเร็จ ความต้องการใหม่ก็จะเกดิ ขนึ้ มีการกระทาใหม่เกดิ ขนึ้ หรือถ้ากระทานัน้ ไม่สาเร็จกจ็ ะเปล่ยี นวิธีการ เปล่ียนการ กระทา จนเกดิ ช่วงใหม่ขนึ้ เช่นกนั ต้องมีความต่อเน่ืองเป็ นเหตุเป็ นผลกันเรียงร้อยกันเป็ นความต้องการของฉาก (Scene Objective) เป็ นเส้นต่อเน่ืองของการกระทา เป็ นเส้นตรงต่อเดียวกันไป ตลอดทงั้ เร่ือง การกระทา1 การกระทา2 การกระทา3 การกระทา4 การกระทา5 เส้นต่อเน่ืองของการกระทา แล้วสุดท้ายผ้กู ากับการแสดงสามารถทาให้เส้นต่อเน่ืองของการกระทาท่ี ตนตคี วามไว้นั้น ออกมาได้อย่างมีความชัดเจนหรือไม่ แล้วเส้นตรงน้ีมัน ไปสนับสนุนความคดิ หลักของเร่ืองหรือไม่ อย่างไร
ละครเร่ืองเดยี วกัน ผู้กากับการแสดงแต่ละคนกอ็ าจมองเหน็ ต่างกนั แล้วแต่ การตีความ แต่ไม่ว่าจะ Style ไหน กต็ ้องส่ือสารให้ตรงกับความคดิ หลักของเร่ือง แนวเหมือนจริง (Representational) คือ ให้ภาพชีวติ ความเป็ นจริงสะท้อนชีวติ ในสังคม ออกมาเป็ นเร่ืองราว ดังคากล่าวท่วี ่า \"ละครคือชีวติ “ แนวไม่เหมือนจริง (Presentational) คือ ให้ภาพของการแสดงหลุดออกไปจาก ชวี ติ ประจาวนั ผู้ดจู ะเกดิ ความรู้สกึ ว่าส่ิงท่ปี รากฏไม่ใช่ชีวติ จริง ฉาก (Scene Design) แสง (Lighting Design) เสือ้ ผ้า (Costume Design) เสียง / เพลง (Sound / Music)
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: