การศึกษาสมรรถภาพทางกายและเจตคติต่อวิชาพลศึกษา ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 นายชยพล ศรีเทีย่ ง ตำแหน่ง ครผู ชู้ ่วย โรงเรยี นภหู า่ นศกึ ษา อำเภอสชี มพู จังหวัดขอนแก่น สำนกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาขอนแกน่ เขต 5
กิตติกรรมประกาศ การศึกษาครั้งนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาอย่างยิ่งจาก นายอุไร ลาสอน ผู้อำนวยการ โรงเรียนภูห่านศึกษา ที่กรุณาให้ความรู้ ให้คำปรึกษา ตรวจแก้ไขและวิจารณ์ผลงาน ทำให้ผลงานมี ความสมบูรณย์ ิ่งขนึ้ ขอขอบพระคุณ นายนพพร ภูมาก ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนภูห่านศึกษา ครุศาสตร บัณฑิต สาขาคอมพิวเตอร์ศึกษา (ค.บ.) ที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผล และนายธีระพงษ์ เจิดภูเขียว ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนภูห่านศึกษา ครุศาสตรบัณฑิต สาขา คณิตศาสตร์ (ค.บ.) ที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแผนการสอนและนวัตกรรม ช่วยตรวจสอบเครื่องมอื ในการศกึ ษาและให้คำแนะนำในการจัดการเรยี นรู้ ขอขอบพระคณุ คณะครูทุกท่าน และนกั เรียนโรงเรียนภูห่านศึกษาทุกคน ที่ใหค้ วามช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก และให้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง ในการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล จนสำเร็จ ลลุ ่วงดว้ ยดี คุณงานความดี คุณค่าอันพึงมีจากวิจัยฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็นเครื่องบูชาพระคุณแก่ บุพการี บูรพาจารย์ และผู้มีพระคุณทุกท่านทัง้ ในอดีตและปัจจุบนั ที่ได้อบรมสั่งสอน และสร้าง พื้นฐานทางการศึกษาแก่ผู้วิจัยด้วยความรัก ความห่วงใย จนได้ประสบความสำเร็จจนตราบเท่าทุก วันนี้ ชยพล ศรเี ทีย่ ง
เร่ือง การศึกษาสมรรถภาพทางกายและเจตคติต่อวิชาพลศึกษา ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ผศู้ กึ ษา นายชยพล ศรีเทย่ี ง ปกี ารศกึ ษา 2563 ท่ปี รกึ ษา นายอุไร ลาสอน นายนพพร ภมู าก นายธรี ะพงษ์ เจิดภเู ขยี ว บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลด้านสมรรถภาพทางกาย ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 2) เพื่อเป็นแนวทางปรับปรงุ พัฒนา แผนการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา 3) เพื่อเป็นแนวทางการปรับปรุงพัฒนา ทางด้านความแข็งแรงของร่างกาย บุคลิกภาพที่ดีของผู้เรียน 4) เพื่อประเมินเจตคติต่อการเรียนวิชา พลศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนภูห่านศึกษา อำเภอสีชมพู จังหวัด ขอนแกน่ สงั กดั สำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 จำนวน 1 หอ้ งเรียน รวม ทั้งส้นิ 13 คน ซึง่ ไดม้ าโดยวิธีการเลือกกลมุ่ ตัวอยา่ งแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เคร่ืองมือท่ี ใช้ในการศึกษาวจิ ยั ได้แก่ แผนการจัดการเรยี นร้วู ชิ าพลศกึ ษา ระดบั ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 จำนวน 7 แผน จดั ทำการเรยี นรู้ 7 ช่วั โมง แบบทดสอบสมรรถภาพทางกาย และแบบสอบถามวดั เจตคติต่อวิชา พลศึกษา จำนวน 15 ข้อ เป็นแบบมาตราสว่ นประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ สถิติท่ีใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ คา่ เฉล่ยี สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า 1. สมรรถภาพทางกายของนักเรียนชายมีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการวิ่ง 50 เมตร เทา่ กับ 8.34 และ 1.56 วนิ าที มีคา่ เฉล่ียและสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานของการยืนกระโดดไกล เทา่ กับ 150.67 และ 6.41 เซนติเมตร มคี า่ เฉลีย่ และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของการลุก-น่งั 30 วนิ าที เท่ากับ 23.50 และ 2.43 ครง้ั มคี า่ เฉลี่ยและส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานของการวง่ิ เก็บของ เทา่ กับ 11.25 และ 1.43 วินาที มคี า่ เฉลีย่ และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานของการงอตวั ขา้ งหน้า เทา่ กับ 4.48 และ 1.37 เซนตเิ มตร 2. สมรรถภาพทางกายของนักเรียนหญิงมีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการวิ่ง 50 เมตร เทา่ กบั 8.60 และ 1.39 วินาที มีค่าเฉลย่ี และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของการยนื กระโดดไกล เท่ากับ 145.57 และ 11.69 เซนติเมตร มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการลุก-นั่ง 30 วนิ าที เทา่ กบั 20.14 และ 3.02 ครัง้ มีคา่ เฉลยี่ และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานของการว่ิงเก็บของ เท่ากับ 11.44 และ 3.67 วินาที มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการงอตัวข้างหน้า เท่ากับ 3.76 และ 2.14 เซนติเมตร 3. ค่าเฉล่ยี สมรรถภาพทางกายของนักเรียนชาย อยู่ในเกณฑป์ านกลาง จำนวน 3 คน อยู่ใน เกณฑ์ดี จำนวน 3 คน ค่าเฉลี่ยสมรรถภาพทางกายของนักเรียนหญิง อยู่ในเกณฑ์ต่ำ จำนวน 1 คน อยู่ในเกณฑป์ านกลาง จำนวน 1 คน อยู่ในเกณฑด์ ี จำนวน 5 คน 4. เจตคตติ ่อการเรยี นวชิ าพลศึกษาของนกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 มคี วามพึงพอใจอยู่ ในระดับมาก (x̅ = 4.36, S.D. = 0.55) โดยมีค่าเฉล่ยี อยรู่ ะหวา่ ง 3.77 – 4.92 เมื่อพิจารณาแตล่ ะข้อ พบวา่ รายการประเมนิ ที่มีคะแนนเฉล่ียสูงสดุ ได้แก่ การเรียนวิชาพลศึกษาแลว้ ทำใหผ้ เู้ รียนมีสขุ ภาพ รา่ งกายแข็งแรงข้นึ มีเจตคติอยใู่ นระดบั มากท่ีสุด โดยมีคา่ เฉล่ยี เทา่ กับ 4.92 คะแนน ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน เทา่ กับ 0.28 คะแนน รองลงมา ได้แก่ วิชาพลศึกษาเป็นวิชาที่เรียนสนุกและมีความสุข ค่าเฉล่ยี เทา่ กับ 4.85 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.38 คะแนน และทกุ ข้อของรายการ ประเมินมีเจตคติอย่ใู นระดบั มากขึน้ ไปทุกข้อ
สารบัญ หนา้ กติ ตกิ รรมประกาศ.......................................................................................................................... ข บทคัดย่อ.......................................................................................................................... ............... ค สารบัญ............................................................................................................................................ ฉ สารบญั ตาราง.................................................................................................................. ................ ช สารบญั ภาพ..................................................................................................................................... ซ บทที่ 1 บทนำ.......................................................................................................................................1 ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา..........................................................................1 วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย................................................................................................ 2 ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะได้รบั จากการวิจัย.......................................................................... 2 ขอบเขตของการวิจยั ....................................................................................................... 3 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ............................................................................................................ 3 2 เอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง………………………………………………………..........................…... 4 กลุ่มสาระการเรยี นรูส้ ขุ ศึกษาและพลศึกษา ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ………………………………………............................................................ 5 ความหมายของสมรรถภาพทางกาย……………................................................................ องคป์ ระกอบของสมรรถภาพทางกาย…………….............................................................. การทดสอบสมรรถภาพทางกาย……………...................................................................... การสรา้ งเกณฑ์มาตรฐาน……………................................................................................. เจตคติตอ่ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สขุ ศึกษาและพลศึกษา……………......................................
สารบญั (ตอ่ ) บทที่ หน้า 3 วธิ ดี ำเนนิ การวิจัย.................................................................................................................... ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง............................................................................................. เครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นการศกึ ษาวจิ ัย........................................................................................ การสรา้ งและหาประสทิ ธิภาพของเครอ่ื งมอื ................................................................... แบบแผนการทดลอง...................................................................................................... การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ..................................................................................................... การวเิ คราะห์ข้อมลู ........................................................................................................ สถิติทใี่ ช้ในการวจิ ยั ........................................................................................................ 4 ผลการวจิ ัย............................................................................................................................. ลำดับข้นั ตอนในการนำเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล....................................................... ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ..................................................................................................... 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ..................................................................................... สรปุ ผลการวิจัย................................................................................................................ อภปิ รายผลการวิจัย......................................................................................................... ข้อเสนอแนะ.................................................................................................................... บรรณานุกรม……………….………………………………………………..................................……...………..….. ภาคผนวก…………………………………………………………...……………………......................................…… ภาคผนวก ก…………………………….……………………………...…............................................ ภาคผนวก ข………………………………………………….………………………............................….. ภาคผนวก ค………………………………………………………….……………........................…..….. ภาคผนวก ง………………………………………………………….………………...….......................... ประวัตผิ ู้วจิ ัย……………………………………………………….…………................…...……............................
สารบัญตาราง หน้า ตารางท่ี 1 เกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายนกั เรียนชายอายุ 11 ปี………………………………….. 2 เกณฑม์ าตรฐานสมรรถภาพทางกายนักเรียนหญิงอายุ 11 ปี………………………………….. 3 แสดงค่าสมรรถภาพทางกาย ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ของนักเรยี นชายชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 6 คน…………………………………………… 4 แสดงค่าสมรรถภาพทางกาย ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของนกั เรียน หญงิ ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 จำนวน 7 คน……………………………………………………………. 5 แสดงค่าสมรรถภาพทางกาย ของนกั เรียนชายชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 จำนวน 6 คน เม่ือเทยี บกับเกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายนักเรียนชาย อายุ 11 ปี................................................................................................................... 6 แสดงค่าสมรรถภาพทางกาย ของนักเรยี นหญิงช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 จำนวน 7 คน เมื่อเทียบกบั เกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายนกั เรียนหญิง อายุ 11 ปี................................................................................................................... 7 แสดงผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายนักเรียนชาย-หญิง ระดบั ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 5.......................................................................................... 8 แสดงผลคะแนนระดับเจตคตติ อ่ การเรียนวชิ าพลศกึ ษา ของนักเรียน ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5.....................................................................................................
สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 2 3 4 5
บทท่ี 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของการวิจยั การพัฒนาประเทศจะต องพัฒนาคนหรือประชากรในชาติเป นอันดับแรก เพราะ ประเทศชาติจะพัฒนาไดตองอาศยั ประชากรท่ีมคี ุณภาพ มสี ุขภาพสมบูรณและสมรรถภาพทางกายสูง ซึ่งหมายถึง ประชากรที่มีความสามารถทางสติปญญา มีสุขภาพอนามัยที่ดี มีสมรรถภาพทางกายสูง (วาสนา คณุ าอภิสทิ ธ์ิ 2539: 25) ไดกลาวไววา สขุ ภาพดีเปนยอดปรารถนาของทุกคนและมีความจํา เปนตอการดํารงชีวิต เพราะสุขภาพดีเป็นบ่อเกิดของคุณภาพตางๆ อันยังประโยชนตอตนเอง สังคม ประเทศชาตแิ ละโลก กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ. (2544: 1)ไดกลาววาการออกกำลังกายเป็นประจำจะ ช่วยใหบุคคลมีสมรรถภาพทางกายที่ดี คลอเรสเตอรอลในรางกายลดลง สามารถควบคุมน้ำหนักของ ตนเองใหอยูในเกณฑปกติไดดี มีบุคลิกลักษณะท่าทางสง่างาม สามารถเคลื่อนไหวรางกายอยางกระ ฉับกระเฉง คลองแคลววองไว รางกายเจริญเติบโตไดสมสวน ชวยลดความเครียด มีสุขภาพจิตและ สังคมที่ดี สามารถทำงานร่วมกับผูอ่ืนได้อยางมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังลดการเจ็บไขไดปวย ตลอดจนความเช่ือม่ันในตนเองสูง ประสบความสำเร็จในงานมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการเรียนและ สมรรถภาพทางกาย ที่เปนพื้นฐานจําเป็นของชีวิต ความเป็นอยู่ของเด็กและเยาวชนแตละคน โดยมุ งพัฒนาพฤติกรรมการเรียนรู้ทางด้านสาระความรู เกี่ยวกับสุขภาพและสมรรถภาพทางกาย คุณลักษณะนิสัยที่พึงประสงค เชน ความรับผิดชอบ ความมีนิสัยในตนเอง การเคารพสิทธิของผู อ่ืน กฎ กติกา ของสังคมและดานทกั ษะกระบวนการปฏบิ ัติในการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพทย่ี ง่ั ยืน การทดสอบสมรรถภาพทางกายเป็นสิ่งที่สาคัญอย่างยิ่งในการเรียนการสอนกลุ่มสาระการ เรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ซึ่งเป็นดัชนีบ่งชี้ให้ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศกึ ษาและพลศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้องภายในสถานศึกษาได้ทราบถึงพัฒนาการทางด้านร่างกายของนักเรียนว่ามีภาวะ ทางด้านร่างกายเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด และสามารถนาข้อมูลของนักเรียนมาปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพร่อง แบบรายกลุ่มและแบบรายบุคคลได้และ สามารถพัฒนาส่งเสริมความสามารถทางด้าน กีฬาหรือส่งเสริมการออกกาลังกาย รวมท้ังการพัฒนาทักษะในการดาเนินชีวิตประจาวันให้มีความ สมดุลท้ังด้านความรู้ความสามารถ ตลอดจนการนามาแก้ไขและปรับปรุงเทคนิควิธี ด้านการฝึกซ้อม กีฬาและการเรียนการสอนของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ให้มีประสิทธิภาพดี ย่ิงขนึ้
จากที่กล่าวมาท้ังหมดข้างตน้ ทำให้ผู้วจิ ยั มีแนวคิดท่ีจะทาวิจยั ในช้ันเรยี น เรื่อง การศึกษา สมรรถภาพทางกายและเจตคติต่อวิชาพลศึกษา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนภูห่านศึกษา ซ่ึงอยู่ในความดูแลในด้านการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและ พลศึกษา เพื่อนำผลการศึกษามาใช้เป็นแนวทางในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียน ตลอดจนเป็นแนวทางการปรับปรงุ พฒั นาทางดา้ นความแขง็ แรงของร่างกาย บคุ ลกิ ภาพทดี่ ีของผู้เรียน ส่งผลใหผ้ ู้เรียนมสี ุขภาพกายท่ดี ี สขุ ภาพจิตท่ีดี วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย 1. เพอ่ื ศึกษาขอ้ มูลด้านสมรรถภาพทางกาย ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2563 2. เพื่อเป็นแนวทางปรับปรุงพัฒนาแผนการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพล ศึกษา 3. เพื่อเป็นแนวทางการปรับปรุงพัฒนาทางด้านความแข็งแรงของร่างกาย บุคลิกภาพที่ดี ของผ้เู รยี น 4. เพอ่ื ประเมินเจตคติต่อการเรียนวิชาพลศกึ ษาของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 5 ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะได้รับ 1. ทราบถึงข้อมูลด้านสมรรถภาพทางกายของนักเรียนชายและนักเรียนหญิง ช้ัน ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 2. ทราบถงึ แนวทางการปรับปรุงพัฒนาหลกั สตู รและแผนการเรียนรู้ ในวชิ าพลศึกษา 3. นกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรยี นภูหา่ นศกึ ษา มเี จตคติท่ีดีต่อวชิ าพลศกึ ษา
ขอบเขตของการวจิ ยั การศึกษาสมรรถภาพทางกายและเจตคติต่อวิชาพลศึกษา ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ครง้ั นี้ ผวู้ จิ ัยไดก้ ำหนดขอบเขตไว้ ดงั นี้ 1. ขอบเขตดา้ นเนื้อหา เนื้อหาที่ใช้ในการวจิ ยั ครัง้ น้ี เป็นเนื้อหาวิชาพลศกึ ษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 หน่วยการเรียนรู้ที่ 16 เรื่อง สมรรถภาพทางกาย ใช้เวลาเรยี น 7 ชั่วโมง โดยมี หวั ขอ้ ดังต่อไปนี้ 1. กจิ กรรมทดสอบสมรรถภาพทางกาย 2. วงิ่ 50 เมตร 3. ยนื กระโดดไกล 4. ลกุ -นงั่ 30 วินาที 5. วิ่งเกบ็ ของ 6. งอตัวขา้ งหน้า 7. การทดสอบสมรรถภาพทางกาย 2. ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2563 โรงเรยี นภหู ่านศกึ ษา จำนวน 1 หอ้ งเรยี น รวมท้งั สนิ้ 13 คน 2. กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจยั ครั้งน้ี คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563 โรงเรยี นภหู า่ นศกึ ษา จำนวน 1 หอ้ งเรียน รวมทง้ั สนิ้ 13 คน 3. ระยะเวลาทีใ่ ช้ในการศกึ ษา ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ทำการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ใช้เวลาทดลอง สปั ดาหล์ ะ 1 ช่ัวโมง รวม 7 ชว่ั โมง 4. นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ ในการวิจยั คร้ังน้ี ผวู้ จิ ัยได้กำหนดนิยามศพั ท์เฉพาะไวด้ งั น้ี สมรรถภาพทางกาย หมายถึง ความสามารถของร่างกายในการประกอบกิจกรรม ตา่ งๆ รวมถงึ การทำงานในชวี ิตประจำวนั การออกกำลงั กาย และการเลน่ กีฬาได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
การทดสอบสมรรถภาพทางกาย หมายถึง การทดสอบสมรรถภาพทางกายตาม แบบทดสอบมาตรฐานระหวา่ งประเทศ(ICSPFT) ประกอบด้วยรายการทดสอบดงั น้ี 1. ยืนกระโดดไกล (Standing Broad Jump) ใช้วัดพลังกล้ามเนือ้ ขาในการกระโดดไป ข้างหน้า หนว่ ยวดั เป็นเซนติเมตร 2. วิง่ เกบ็ ของ (Shuttle Run) ใช้วดั ความคล่องตัว หนว่ ยวดั เปน็ วินาที 3. ลุก-นั่ง 30 วนิ าที (30 Seconds Sit-ups) ใช้วัดความแขง็ แรงและอดทนของกล้ามเนื้อ ทอ้ งในการทำลกุ -นงั่ หน่วยวดั เปน็ จำนวนคร้ัง ภายในเวลา 30 วนิ าที 4. ความออ่ นตัว(Trunk Forward Flexibility) ใช้วัดความสามารถในการยดื เหยยี ดของ กลา้ มเน้ือและขอ้ ตอ่ จนสดุ ชว่ งของการเคลอ่ื นไหวจากทา่ นั่งเหยยี ดเท้าตรงด้วย เครอ่ื งวดั ความอ่อนตัว(Flexibilimeter) หน่วยวัดเป็นเซนตเิ มตร 5. วิง่ เรว็ ระยะ 50 เมตร(50 Meter Sprints) ใชว้ ดั ความอดทนระบบไหวเวียนของโลหติ และการหายใจ
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกีย่ วขอ้ ง การวิจัยเรอ่ื ง การศึกษาสมรรถภาพทางกายและเจตคติต่อวิชาพลศึกษา ของ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ผูว้ ิจัยไดศ้ กึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ที่เกี่ยวข้อง แบง่ ตามหัวขอ้ ได้ ดังนี้ 1. กลมุ่ สาระการเรียนรู้สขุ ศึกษาและพลศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 2. ความหมายของสมรรถภาพทางกาย 3. องคป์ ระกอบของสมรรถภาพทางกาย 4. การทดสอบสมรรถภาพทางกาย 5. การสรา้ งเกณฑ์มาตรฐาน 6. เจตคติต่อกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา
1. กลุม่ สาระการเรียนรสู้ ขุ ศึกษาและพลศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ศกึ ษาหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุข ศกึ ษาและพลศึกษา ในการวจิ ยั คร้ังน้เี ก่ยี วข้องกับสาระที่ 4 การสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและ การปอ้ งกันโรค โดยมีตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง ดังนี้ (สำนักวิชาการและมาตรฐาน การศกึ ษา, 2551) สาระที่ 4 การสรา้ งเสรมิ สุขภาพ สมรรถภาพและการปอ้ งกันโรค มาตรฐาน พ 4.1 เหน็ คุณค่าและมีทักษะในการสรา้ งเสริมสขุ ภาพ การดำรงสขุ ภาพ การปอ้ งกนั โรค และการสร้างเสรมิ สมรรถภาพเพื่อสุขภาพ ชัน้ ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.5 1. แสดงพฤติกรรมท่เี หน็ ความสำคัญของ ความสำคัญของการปฏบิ ตั ติ นตามสขุ บญั ญัติ การปฏบิ ัตติ นตามสขุ บญั ญตั แิ หง่ ชาติ แห่งชาติ 2. คน้ หาข้อมลู ข่าวสารเพ่ือใช้สร้างเสริม แหล่งและวธิ คี ้นหาขอ้ มลู ข่าวสารทางสขุ ภาพ สขุ ภาพ การใชข้ ้อมูลข่าวสารในการสร้างเสริมสุขภาพ 3. วิเคราะหส์ อ่ื โฆษณาในการตัดสนิ ใจเลือก การตัดสนิ ใจเลือกซอ้ื อาหารและผลติ ภัณฑส์ ุขภาพ ซอื้ อาหาร และผลิตภณั ฑ์สุขภาพอยา่ งมี (อาหารเครอื่ งสำอาง ผลิตภณั ฑ์ดูแลสขุ ภาพในช่อง เหตผุ ล ปากฯลฯ) 4. ปฏิบตั ติ นในการป้องกนั โรคที่พบบ่อยใน การปฏิบตั ติ นในการปอ้ งกนั โรคทีพ่ บบ่อยใน ชวี ิตประจำวัน ชวี ติ ประจำวัน - ไขห้ วดั – ไข้เลือดออก - โรคผิวหนัง - ฟนั ผุและโรคปรทิ ันต์ ฯลฯ 5. ทดสอบและปรบั ปรงุ สมรรถภาพทาง การทดสอบสมรรถภาพทางกาย กายตามผลการทดสอบสมรรถภาพทางกาย การปรบั ปรุงสมรรถภาพทางกายตามผลการ ทดสอบสมรรถภาพทางกาย
2. ความหมายของสมรรถภาพทางกาย กรมพลศึกษา (2545:9-10) ประมวลความหมายของสมรรถภาพทางกาย(Physical Fitness) จากนักวิชาการ อาทิ แฮริสัน คลาร์ค (Harrison Clarke) โดนัล เค แมทธิวส์(Donald K.Mathew) รอเรนซ์และโรแนลด์ นิดสันและเจเวทท์ กล่าวไว้ว่า หมายถึง “ความสามารถของร่างกายที่สามารถ ประกอบกิจกรรมหรือทำงานได้เป็นระยะเวลานานๆติดต่อกัน และผลที่ได้รับมีประสิทธิภาพสูง” นอกจากนี้ยังกล่าวไว้อีกว่า ขณะเดียวกันมีกำลังกายที่สามารถปฏิบัติกิจวัตรอื่นๆ ได้อีก และควร พิจารณาด้านจติ ใจ อารมณ์ และสงั คมควบคกู่ ันไปดว้ ย สพุ ิตร สมาหิโต (2548:5) กลา่ ววา่ “สมรรถภาพทางกาย” หมายถึง สภาวะของร่างกายที่อยู่ ในสภาพดีเพื่อที่จะชว่ ยให้บุคคลสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ บุคคลท่มี สี มรรถภาพทางกาย ดี จะสามารถปฏิบัติภารกิจต่างๆในชีวิตประจำวัน การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา และการแก้ไข สถานการณ์ตา่ งๆไดเ้ ป็นอย่างดี วิลเลี่ยม อี เพร็นทิส (William E Prentice:1999) กล่าวว่า สมรรถภาพทางกาย หมายถึง สภาวะที่ระบบการทำงานต่างๆของร่างกายสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีสุขภาพดี ส่งผลให้ประกอบอาชีพ ประกอบกิจวัตรประจำวนั ได้อกี ทางหน่ึง ดังน้ัน 1. สมรรถภาพทางกายจงึ เปน็ องคป์ ระกอบหนง่ึ ของการมสี ุขภาวะทีด่ ี (Wellness) 2. สมรรถภาพทางกายของแต่ละบุคคลแตกตา่ งกัน ข้นึ อยู่กบั ลักษณะงานหรือกิจกรรมท่ีทำ และการฝึกเพื่อพัฒนาหรือคงสภาพระดับสมรรถภาพทางกายไว้ 3. ระดับสมรรถภาพทางกายท่ีเหมาะสมกบั แต่ละบุคคลขึ้นอยู่กบั อายุ เพศ และรปู รา่ ง (Body Type) อาชพี และข้อจำกดั ทางรา่ งกาย เช่น ข้อจำกดั เมื่อเป็นโรคเบาหวาน โรค หอบหดื เป็นต้น 4. สมรรถภาพทางกายมผี ลกระทบตอ่ ระดับสตปิ ัญญา ความมั่นคงทางอารมณ์ สขุ ภาพ ร่างกาย และระดบั ความเครียด 5. สมรรถภาพทางกายไมส่ ามารถสะสมหรือเก็บไวไ้ ด้ ถา้ ไมได้ใช้หรือฝกึ ซอ้ มทุกวนั ระดับ ของสมรรถภาพกจ็ ะลดลงจากเดิม จากความหมายขา้ งต้น อาจกล่าวสรุปไดว้ า่ “สมรรถภาพทางกาย” หมายถึง การมีสมรรถนะ ทางกายท่ีดี และสง่ ผลให้ปฏิบัตกิ จิ วตั รหรอื การทำงานที่มีประสทิ ธภิ าพ รวมถงึ การมีสขุ ภาวะทางจติ ที่ ดี และปรบั ตัวทางสงั คมไดเ้ ป็นอยา่ งดี
3. องคป์ ระกอบของสมรรถภาพทางกาย สมาคมสุขศึกษา พลศึกษา นันทนาการและเต้นรำประเทศสหรัฐอเมริกา (The American Alliance for Health, Physical Education, Recreation and Dance : AAHPERD) จ ำ แ น ก สมรรถภาพออกเป็น 2 แบบ (William E Prentice,1999:5) คือ 1. ส่วนที่สัมพันธ์กับสุขภาพ (Health-related Fitness) คือ องค์ประกอบของสมรรถภาพท่ี เกี่ยวกับการพัฒนาระบบทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพ และการดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาพดี ประกอบด้วยความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความทนทานของกล้ามเนื้อ ความทนทานของระบบ ไหลเวียนโลหติ และหายใจ ความออ่ นตวั และสัดสว่ นร่างกาย 2. ส่วนที่สัมพันธ์กับทักษะกลไก (Motor Skill-related Fitness) คือ องค์ประกอบของ สมรรถภาพที่เกี่ยวกับทักษะกลไก ประกอบด้วยความเร็ว กำลังกล้ามเนื้อ การทรงตัว ความ คล่องแคล่วว่องไว เวลาปฏิกริยาตอบสนอง และการทำงานประสานสัมพันธ์กัน (Coordination) ท่ี ส่งผลตอ่ ความสามารถในการเลน่ กีฬาหรอื การออกกำลงั กาย องค์ประกอบของสมรรถภาพที่สัมพันธ์กับสุขภาพเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อทักษะกลไกด้วย เชน่ กนั การใช้องคป์ ระกอบสว่ นใดมากน้อยขน้ึ อยกู่ ับชนิดของกจิ กรรมทท่ี ำหรือชนดิ ของกีฬาทเ่ี ล่น 4. การทดสอบสมรรถภาพทางกาย ตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการศึกษาการทดสอบสมรรถภาพทางกายรูปแบบ ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นการทดสอบที่สร้างขึ้นในประเทศยุโรปและอเมริกา จึงมีแบบทดสอบ สมรรถภาพทางกายมากมาย มีทั้งแบบทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ แบบทดสอบสมรรถภาพ ทางกลไก แบบทดสอบประสิทธิภาพการไหลเวียนโลหติ ซึ่งแบบทดสอบสมรรถภาพดังกล่าว (ไพฑูรย์ แสนวิเศษ, 2528) ไดแ้ ก่ 1. แบบทดสอบความแขง็ แรงของกลา้ มเน้ือ ซง่ึ เริม่ ตน้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โดยนักมานุษยวทิ ยาชาว ฝร่งั เศสได้ผลติ ไดนาโมมิเตอร์ (Dynamometer) สำหรับวัดข้ึน และต่อๆมามแี บบทดสอบทสี่ รา้ งข้นึ ไดแ้ ก่ 1.1 แบบทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ของซาเจนท์ (Sargent) ที่เรียกวา่ Intercollegiate Strength Test 1.2 เคร่ืองวดั ความแขง็ แรงของกลา้ มเนื้อ ของเคลล็อกกี้ (Kelloggy) ทเ่ี รียกว่า Universal Dynamometer
1.3 แบบทดสอบสำหรบั วดั กลมุ่ กล้ามเนอ้ื ที่ทำหน้าท่เี คล่อื นไหว 30 ข้อ ของ คลาร์ค (Clarke) 1.4 แบบทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเน้ือของโรเจอร์ (Roger) ทเี่ รยี กว่า Roger PFI Test 1.5 แบบทดสอบความแขง็ แรงของกล้ามเน้ือของเคราส์ (Kraus) ท่เี รยี กว่า Kraus Weber Strength Tests 2. แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไก ซึง่ เร่ิมมีใชใ้ นระหว่างสงครามโลกครง้ั ท่ี 2 ได้แก่ 2.1 แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกของอินเดยี น่า (Indiana Motor Fitness Test) ผ้ทู ่ี คดิ คน้ ขึ้นคือ บุ๊ค วอลเตอร์ (Book Walter) 2.2 แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกของทหารบก (Motor Fitness Test the Armed Force) 2.3 แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายทีใ่ ช้ทดสอบกับนักบินนาวี (The Naval Preflight Program) 2.4 แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกระดับประถมศึกษา (Elementary School Motor Fitness Tests) ของแฟรงคก์ ลิ้นและเลห์สเตน (Franklin and listens) 2.5 แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกของโอเรกอน (Oregon Motor Fitness Test) 3. แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกทว่ั ไป (General Motor Fitness Test) ไดแ้ ก่ 3.1 แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกท่ัวไปของนวิ ตนั (Newtons Motor Ability Test) 3.2 แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกของสก๊อต (Scoot Motor Ability Test) 3.3 แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกของแบรโ์ รว์ (Barrow Motor Ability Test) 3.4 แบบทดสอบความสามารถในการเลน่ กฬี าทั่วไป โดยวัดจากความสามารถทางด้านกลไก ของโคเซน์ (The Coizens Test of General Athletic Motor Ability) 3.5 แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกของลารส์ นั (Larsons Motor Ability) 3.6 แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกทั่วไปของแม็คคลอย (McCloys General Athletic Motor Ability) 4. แบบทดสอบการทำงานของหัวใจและประสทิ ธิภาพในการไหลเวียนโลหิต (Cardio Vascular Test) 5. แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายมาตรฐานระหว่างประเทศ เป็นแบบทดสอบสมรรถภาพทางกาย ตามแบบของคณะกรรมการนานาชาตเิ พื่อจัดหามาตรฐานการทดสอบความสมบูรณ์ทางกาย (International Committee for the Standardization of Physical Fitness Test) ช่ือย่อ ICSPFT แตป่ ัจจบุ นั ได้เปล่ยี นจากนานาชาตเิ พื่อจัดหามาตรฐานการทดสอบความสมบูรณ์ทางกายเปน็
“สภานานาชาตเิ พอ่ื การวิจัยความสมบูรณท์ างกาย” International Council for Physical Fitness Research มีชือ่ ย่อวา่ ICPFR 6. แบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกของสมาคมกีฬาสมัครเลน่ แหง่ ประเทศญป่ี นุ่ Japan Amateur Sport Association (JASA) 7. แบบทดสอบสมรรถภาพทางกาย ฟสิ ิคอล เบสท์ (Physical Best) 5. การสร้างเกณฑ์มาตรฐาน สำนักพฒั นาการพลศกึ ษา สขุ ภาพ และนนั ทนาการ กรมพลศกึ ษา (2540) ไดท้ ำการศกึ ษา วิจัยสมรรถภาพทางกาย ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษา ระดับอายุ 11 ปี มวี ตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาและ สร้างเกณฑม์ าตรฐานสมรรถภาพทางกายของนักเรียน โดยผลการวจิ ัยพบว่า ตารางที่ 1 เกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายนักเรียนชายอายุ 11 ปี รายการ ดีมาก ดี ปานกลาง ต่ำ ต่ำมาก 7.14-8.17 8.18-10.28 10.29-11.32 11.33 ข้นึ ไป 1. วงิ่ 50 เมตร (วนิ าท)ี 7.13 ลงมา 169-184 136-168 119 ลงมา 19.5-22.2 13.7-19.4 120-135 10.7 ลงมา 2. ยนื กระโดดไกล (เซนติเมตร) 185 ขน้ึ ไป 10.8-13.6 12 ลงมา 22-24 16-21 0.35 ลงมา 3. แรงบบี มอื ที่ถนดั (กโิ ลกรัม) 22.3 ขึ้นไป 16.93-22.44 5.88-16.92 13-15 14.38 ขึน้ ไป 10.21-11.24 11.25-13.33 0.36-5.87 3.38 ขึน้ ไป 4. ลกุ -นงั่ 30 วินาที (ครั้ง) 25 ข้นึ 2.17-2.36 2.37-3.17 13.34-14.37 (-1.5) ลงมา 3.18-3.37 5. งอแขนหอ้ ยตวั (วนิ าที) 22.45 ข้นึ ไป 7.5-9.0 2.0-7.0 (-1.0)-1.5 6. วิ่งเกบ็ ของ (วินาที) 10.20 ลงมา 7. วงิ่ 600 เมตร (นาที) 2.16 ลงมา 8. งอตัวขา้ งหนา้ (เซนติเมตร) 9.5 ขึ้นไป
ตารางที่ 2 เกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายนักเรยี นหญิงอายุ 11 ปี รายการ ดีมาก ดี ปานกลาง ต่ำ ตำ่ มาก 1. วง่ิ 50 เมตร (วินาที) 7.49 ลงมา 7.5-8.69 8.70-11.10 11.11-12.30 12.31 ข้ึนไป 2. ยนื กระโดดไกล (เซนตเิ มตร) 173ขน้ึ ไป 157-172 124-156 108 ลงมา 3. แรงบีบมือที่ถนัด (กโิ ลกรัม) 21.9 ขึน้ ไป 19.1-21.8 13.3-19.0 109-123 10.3 ลงมา 4. ลุก-นงั่ 30 วินาที (ครั้ง) 17-19 10.4-13.2 5. งอแขนหอ้ ยตวั (วินาท)ี 20 ขน้ึ 7.09-10.04 11-16 7 ลงมา 6. วงิ่ เกบ็ ของ (วนิ าที) 10.05ขึน้ ไป 9.07-11.23 1.16-7.08 8-10 0 7. วง่ิ 600 เมตร (นาท)ี 9.06 ลงมา 2.34-2.57 11.24-15.58 0.01-1.15 8. งอตวั ข้างหน้า (เซนติเมตร) 2.35 ลงมา 9.0-10.0 2.58-3.45 15.59-17.75 17.76 ข้นึ ไป 10.5 ขึ้นไป 2.0-8.0 3.46-4.09 4.10 ขึน้ ไป (-0.5)-1.5 (-1.0) ลงมา 6. เจตคติต่อกลุม่ สาระการเรียนรู้สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา 6.1 ความหมายของเจตคติ เจตคติหรือทัศนคติ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Attitude มาจากศัพท์ภาษาลาตินว่า “Aptus” ซึ่งตรงกับ คำว่าความเหมาะเจาะ (Fitness) หรือปรุงแต่ง (Adapted ness) เจตคติเป็นพฤติกรรมการเตรียม ความพร้อมทางสมองในการทจ่ี ะกระทำ ซ่งึ จะบ่งบอกถึงหน้าทข่ี องภาวะจิตใจหรือสภาพก่อนที่คนเรา จะตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งในการแก้ปัญหา (ศักดิ์ สุนทรเสณี, 2531, หน้า 1) มีนักจิตวิทยาและ นกั การศึกษาได้ให้ความหมายไว้ ดงั น้ี เพราพรรณ เปลี่ยนภู่ (2540, หน้า 87) กล่าวว่า เจตคติคือ ระดับสภาพหรือสภาวะของ จิตใจ และของสมองในลักษณะพร้อมที่จะกำหนดแนวทางของการสนองตอบของบุคคลหนึ่งต่อสิ่งใด สง่ิ หนง่ึ กุญชรี คา้ ขาย (2540, หน้า 159) ให้ความหมายวา่ ทา่ ที ความร้สู ึก หรอื ความคิดท่ีบุคคลมี ต่อวัตถุ เหตุการณ์ หรือบุคคลอื่น ๆ ซึ่งอยู่แวดล้อมตัวเรา ลักษณะทั่วไปของเจตคติเป็นสิ่งที่ได้จาก การเรียนรู้ ผกู พนั กับเปา้ หมาย มที ิศทางและความเข้มท่ีแปรไปได้ และแสดงออกมาให้เห็นได้ แสงเดือน ทวีสิน (2545, หน้า 67) ได้ให้ความหมายของเจตคติว่า ความรู้สึกของบุคคลท่มี ี ต่อสิ่งใดสิ่งหนึง่ ความรู้สึกดังกล่าวอาจจะเกี่ยวกับบุคคล สิ่งของ สถานการณ์ เหตุการณ์ เป็นต้น เมื่อ เกิดความรสู้ ึก บคุ คลนน้ั จะมกี ารเตรียมพร้อมเพื่อมปี ฏิกิรยิ าไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งตามความรู้สึก ของตนเอง
6.2 องคป์ ระกอบของเจตคติ กุญชรี ค้าขาย (2540, หน้า 159) ได้อธิบายองค์ประกอบของเจตคติไว้ 3 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ 6.2.1 องค์ประกอบด้านความรู้ หมายถึง ภาพรวมที่เกิดขึ้นภายในความคิดของบุคคล เมื่อบุคคลรับรู้สิ่งเร้า ความรู้นี้อาจอยู่ในรูปของความเชื่อ ความเห็นหรือความรู้จักสิ่งเร้านั้น ๆ โดย ปกตอิ งคป์ ระกอบด้านความรู้จะเปน็ ตัวกำหนดองค์ประกอบด้านความรู้และพฤตกิ รรม 6.2.2 องค์ประกอบด้านความรู้สึก เป็นภาวะความรู้สึกหรือสภาวะทางอารมณ์ของ บุคคลที่มตี อ่ สง่ิ เรา้ ในลักษณะของการประเมิน องค์ประกอบด้านน้ีเห็นไดช้ ัดกวา่ ดา้ นความรู้ เนื่องจาก เม่ือเกิดความรสู้ ึกจะมีผลต่อดา้ นสรีระด้วย 6.2.3 องค์ประกอบด้านพฤติกรรม เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นกับความคิดและ กระบวนการทางสรีระ ทำให้พร้อมที่จะแสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อสิง่ เร้าตามความรู้และความรู้สกึ ทีม่ อี ยู่ 6.3 ลกั ษณะของเจตคติ แสงเดอื น ทวีสิน (2545, หนา้ 68) ได้แบง่ เจตคตไิ ว้ 2 ลักษณะ ดงั น้ี 6.3.1 เจตคติทางบวก (Positive Attitude) คือความรู้สึกที่ดี ที่ชอบ ที่อยากมี ความสมั พนั ธก์ บั สง่ิ ใดสิ่งหนึ่ง 6.3.2 เจตคติทางลบ (Negative Attitude) คือความรู้สกึ ท่ไี มด่ ี ไม่ชอบ ไมอ่ ยากมี ความสมั พันธ์กับสงิ่ ใดสิ่งหนึง่ 6.4 การเปลย่ี นแปลงเจตคติ สุชา จันเอม และสุรางค์ จันเอม (๒๕๒๐:๑๑๐-๑๑๑) กล่าวว่า เจตคติของบุคคล สามารถเปลี่ยนแปลงไดเ้ น่อื งมาจาก 6.4.1 การชักชวน (Persuasion) ทัศนคติจะเปลี่ยนแปลงหรอื ปรับปรุงใหมไ่ ด้หลังจาก ทไี่ ด้รับคำแนะนำ บอกเล่า หรือไดร้ ับความรู้เพิม่ พนู ขึ้น 6.4.2 การเปล่ียนแปลงกล่มุ (Group change) ช่วยเปลีย่ นทศั นคตขิ องบคุ คลได้ 6.4.3 การโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) เป็นการชักชวนให้บุคคลหันมาสนใจหรือ รบั ร้โู ดยการสร้างสงิ่ แปลกๆใหม่ๆข้ึน
6.5 สง่ิ ท่มี อี ิทธิพลต่อเจตคติ คอื 6.5.1 บดิ า มารดา ของเด็ก 6.5.2 ระเบยี บแบบแผน วฒั นธรรมของสังคม 6.5.3 การศึกษาเล่าเรียน 6.5.4 สิ่งแวดลอ้ มในสังคม 6.5.5 การพักผ่อนหยอ่ นใจท่ีแต่ละคนใช้ประจำตวั 6.6 การแกไ้ ขเจตคติหรือวธิ ีสรา้ งเจตคติ เจตคติเป็นเรื่องที่แก้ไขได้อยากถ้าจำเป็นจะต้องช่วยแก้ไขเปลี่ยนเจตคติของคนอาจใช้วิธี เหลา่ นน้ั คอื 6.6.1 การค่อย ๆ ช้นื ลงใหเ้ ขา้ ใจ 6.6.2 หาสิ่งเร้าและส่ิงจงู ใจอย่างเขม้ ข้นมาย่ัวยุ 6.6.3 คบหาสมาคมกบั เพือ่ นดดี ี 6.6.4 ใหอ้ ่านหนังสือดมี ีประโยชน์ 6.6.5 ให้ลองทำจนเหน็ ชอบแลว้ กลบั ตัวดเี อง 6.7 วิธวี ัดเจตคติ งามตา วนินทานนท์ (2534, หนา้ 220-224) ไดก้ ลา่ วถงึ วธิ กี ารวัดเจตคติวา่ มอี ยู่ 6 วธิ ี ได้แก่ 6.7.1 วธิ ีการสงั เกต 6.7.2 วิธีสมั ภาษณ์ 6.7.3 วธิ ีใช้แบบสอบถาม 1) วิธีการใช้ค่าประจำประโยคของเธอรส์ สโตนและคณะ 2) วิธกี ารประเมนิ บนมาตรสว่ นของลเิ คิรท์ 3) วิธีการใช้ความหมายแฝงของคณุ ศพั ท์ของออสกดู และคณะ 6.7.4 วิธวี ดั โดยทางออ้ มหรอื วิธกี ารสะท้อนภาพมี 3 วธิ ี คือ 1) วิธีการตอ่ ให้จบประโยค
2) วิธีการโยงความสัมพนั ธ์ของคำตา่ ง ๆ 3) วิธีการเล่าเรื่องราวจากภาพ 6.7.5 วธิ ีการศึกษาแบบไม่ว่นุ วาย 6.7.6 วิธกี ารวดั โดยทางอิสระ 6.8 ประโยชนข์ องการวดั เจตคติ ดวงเดือน พันธุมนาวนิ (2529, หน้า 98-101) ได้กลา่ วถึงประโยชน์ของการวัดเจตคติไวด้ งั นี้ 6.8.1 วัดเพื่อทำนายพฤติกรรม เจตคติต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งของบุคคลเป็นเครื่องแสดงว่า บุคคลมีความรู้ทางด้านดีหรือไม่ดีเกี่ยวกับสิ่งนั้นมากน้อยเพียงใดและมีความรู้สึกชอบ ไม่ชอบสิ่งน้ัน เพียงใด เจตคติของบุคคลต่อสิ่งนั้นจึงสามารถใช้เป็นเครื่องทำนายว่าบุคคลหนึ่งจะมีการกระทำต่อสงิ่ นั้นไปในทำนองใด 6.8.2 วัดเพ่ือหาทางป้องกัน ในการประกอบอาชีพบางประเภทต้องได้บุคคลที่มีเจตคติ ที่เหมาะสมมาเป็นผู้ปฏิบัติ เช่น ผู้เป็นครูถ้ามีเจตคติที่ไม่ดีตอ่ การเปน็ ครแู ล้วอาจทำให้เกิดผลเสียหาย แกจ่ ติ ใจและพฤติกรรมของนักเรียน ดงั นั้นเพอื่ เป็นการป้องกนั จึงควรวดั เจตคติต่อวิชาชีพครูสำหรับผู้ ทจี่ ะเข้าเรยี นวชิ าทางการศึกษา และผทู้ สี่ มัครสอบบรรจเุ ป็นครู เป็นต้น 6.8.3 วัดเพื่อหาทางแก้ไข เช่น การวัดเจตคติต่อการรู้จักทำความสะอาดบ้านเรือน และที่สาธารณะต่าง ๆ เพื่อดูว่าเจตคติเป็นเช่นไร จะได้หาทางรณรงคห์ รือใช้วิธีการอื่น ๆ เพื่อที่จะได้ ทำใหเ้ กดิ ความร่วมมอื ร่วมใจ ในการทำความสะอาดบ้านเรอื นและท่สี าธารณะต่าง ๆ เปน็ ต้น 6.8.4 วัดเพื่อให้เข้าใจสาเหตุและผล เจตคติต่อสิ่งต่าง ๆ นั้นเปรียบเสมือนสาเหตุ ภายในตัวบุคคล ซึ่งมีกำลังผลักดันให้เขาไปกระทำไปได้ต่าง ๆ กัน ดังนั้นการจะเข้าใจถึงอิทธิพลของ สาเหตุภายนอกที่มีการกระทำต่าง ๆ ของบุคคลให้ชัดเจน บางกรณีอาจจำเป็นต้องวัดเจตคติของ บุคคลตอ่ สาเหตภุ ายนอกด้วย จะเห็นได้ว่าการวัดเจตคติของบุคคลในเรื่องหนึ่งเรื่องใดนั้น อาจนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่าง กว้างขวาง โดยเฉพาะเรื่องของการศึกษาเจตคติมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นตัวบ่งบอกว่า นักเรียนมีความสนใจมากน้อยเพียงไร และสามารถวัดเจตคติของนักเรียนเกิดความรักและสนใจใน วิชาน้ัน และสง่ เสริมใหผ้ ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรยี นสูงขึ้น
บทที่ 3 วธิ ดี ำเนินการวจิ ัย ผู้วิจยั ไดด้ ำเนินการศกึ ษาคน้ คว้าตามลำดบั ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นการศึกษาวจิ ยั 3. แบบแผนการทดลอง 4. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมลู 6. สถิติที่ใช้ในการวจิ ยั 1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2563 โรงเรยี นภหู ่านศึกษา จำนวน 1 หอ้ งเรียน รวมท้ังส้ิน 13 คน 1.2 กลุ่มเป้าหมายท่ใี ช้ในการวจิ ัยคร้ังนี้ คอื นกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2563 โรงเรียนภูห่านศึกษา จำนวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 13 คน ได้มาโดยใช้การสุ่ม ตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) 2. เครื่องมือทีใ่ ชใ้ นการศึกษาวจิ ยั เครื่องมอื ทใี่ ชใ้ นการศึกษา ไดแ้ ก่ 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง สมรรถภาพทางกาย ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5 จำนวน 7 แผน จดั ทำการเรียนรู้ 7 ชั่วโมง 2.2 แบบวัดเจตคติต่อวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้วิจัย สรา้ งข้ึน เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating Scale) 5 ระดบั จำนวน 15 ข้อ
3. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู 3.1 กำหนดรายละเอยี ดข้นั ตอน และวนั เวลาทีจ่ ะดำเนนิ การเกบ็ ขอ้ มลู ผู้เรยี น 3.2 จดั เตรียมความพร้อมของอุปกรณ์ตา่ งๆ ที่ใช้ในการทดสอบสมรรถภาพทางกาย 3.3 ดำเนนิ การจัดการเรยี นร้ตู ามแผนการจดั การเรียนรวู้ ชิ าพลศึกษา ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 จำนวน 7 ชว่ั โมง เพอ่ื ทดสอบสมรรถภาพทางกายและบนั ทึกข้อมลู ของผู้ทดสอบ 3.4 ประเมินเจตคติตอ่ วชิ าพลศกึ ษา ดว้ ยแบบประเมินเจตคติ 3.5 นำขอ้ มลู หรอื คะแนนที่ได้ไปวเิ คราะหต์ ามวธิ กี ารทางสถิติต่อไป 4. การวิเคราะหข์ อ้ มูล 4.1 การวิเคราะห์ข้อมูล ได้ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ผลการเจริญเติบโตและสมรรถภาพทางกาย 5 ด้าน โดยสร้างขึ้นจากโปรแกรม Microsoft Excel 2003 ใช้เกณฑ์อ้างอิง มาตรฐานสมรรถภาพทาง กายของกรมพลศึกษา กระทรวงศกึ ษาธกิ ารเป็นฐานข้อมูล และประเมินผลผู้เรยี นตามเกณฑ์ 5 ระดับ ดังนี้ 4.1.1 เกณฑ์ดมี าก 4.1.2 เกณฑด์ ี 4.1.3 เกณฑป์ านกลาง 4.1.4 เกณฑ์ต่ำ 4.1.5 เกณฑต์ ำ่ มาก 4.2 หาคา่ เฉลี่ยเลขคณิต ( X ) สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) และร้อยละ (Percentage) ของ สมรรถภาพทางกาย 4.3 วิเคราะห์เจตคติต่อการเรยี นวิชาพลศึกษา 5. สถติ ทิ ใี่ ชใ้ นการวจิ ัย 5.1 คา่ เฉล่ียเลขคณติ ของตวั อยา่ ง (Mean) ใชส้ ูตร ดังนี้ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2553 : 123 - 124) X = X N เม่อื X แทน ค่าเฉลย่ี X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
N แทน จำนวนนกั เรียนในกลมุ่ ตวั อย่าง 5.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของตัวอย่าง (Standard Deviation) ใช้สูตรดังน้ี (สมนกึ ภทั ทยิ ธนี, 2553 : 250 ) S.D. = (X - X)2 (n -1) เมอ่ื S.D. แทนค่าสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนของนักเรยี นแต่ละคน X แทน คะแนนเฉลีย่ ของนกั เรยี นในกลุ่มตัวอย่าง n แทน จำนวนนกั เรียนท้งั หมดในกลุ่มตัวอยา่ ง 5.3 ค่ารอ้ ยละ (Percentage) ใช้สูตร ดังน้ี (บุญชม ศรีสะอาด, 2553 : 121 - 122) P = f 100 N เมอื่ P แทน รอ้ ยละ f แทน ความถที่ ่ตี ้องการแปลงเป็นรอ้ ยละ N แทน จำนวนความถท่ี ้งั หมด
บทที่ 4 ผลการวจิ ัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยขอนำเสนอผลการวิเคราะห์ตามจุดประสงค์ของการวิจัย ดังน้ี 1) เพื่อศึกษาข้อมูลด้านสมรรถภาพทางกาย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 2) เพื่อเป็นแนวทางปรับปรุงพัฒนาแผนการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษา และพลศกึ ษา 3) เพื่อเป็นแนวทางการปรับปรงุ พฒั นาทางด้านความแข็งแรงของร่างกาย บคุ ลิกภาพท่ี ดีของผู้เรียน 4) เพือ่ ประเมินเจตคติต่อการเรยี นวิชาพลศึกษาของนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 5 4.1 ลำดับข้ันตอนในการนำเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล ซง่ึ ผู้วจิ ยั ไดด้ ำเนินการวิเคราะหข์ ้อมลู ตามลำดับขนั้ ตอน ดงั นี้ 4.1.1 ผลการศึกษาข้อมูลด้านสมรรถภาพทางกาย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 4.1.2 ผลการศึกษาเจตคติต่อการเรียนวิชาพลศึกษาของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 5 4.2 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล ตอนที่ 1 ผลการศึกษาข้อมูลด้านสมรรถภาพทางกาย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 แยกเป็นเพศชายและเพศหญิง และภาพรวม ผลการวิเคราะห์ ปรากฏผลดังตาราง
ตารางที่ 3 แสดงค่าสมรรถภาพทางกาย ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของนกั เรยี นชายชั้น ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 จำนวน 6 คน ช่ือ-สกุล ว่ิง 50 สมรรถภาพทางกาย งอตวั เมตร ยนื กระโดด ลกุ -นั่ง 30 ว่ิงเกบ็ ข้างหนา้ 1. ด.ช.วิชติ นอ้ ยเมอื ง (วนิ าที) (เซนติเมตร) 2. ด.ช.กวีเอก สมราชา 10.39 ไกล วินาที ของ 3. ด.ช.ณัฎฐากร วงศส์ ุกร 7.15 (เซนตเิ มตร) (ครัง้ ) (วนิ าที) 3.50 4. ด.ช.ปิยพทั ธ์ พมิ พแ์ หวน 7.06 4.20 5. ด.ช.ภาณวุ ัฒน์ เตชะ 8.13 155 20 13.01 4.70 6. ด.ช.รชั ต พามา 10.18 147 25 10.24 4.50 7.10 151 26 10.18 3.00 คา่ เฉล่ีย( X ) 153 24 10.35 7.00 8.34 140 21 13.16 4.48 ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) 158 25 10.56 1.56 150.67 23.50 11.25 1.37 6.41 2.43 1.43 จากตารางที่ 3 พบว่า สมรรถภาพทางกายของนักเรียนชายมีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของการวิ่ง 50 เมตร เท่ากับ 8.34 และ 1.56 วินาที มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการยืนกระโดด ไกล เท่ากับ 150.67 และ 6.41 เซนติเมตร มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการลุก-นั่ง 30 วินาที เท่ากับ 23.50 และ 2.43 ครั้ง มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการวิ่งเก็บของ เท่ากับ 11.25 และ 1.43 วนิ าที มีค่าเฉล่ยี และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของการงอตัวข้างหน้า เท่ากบั 4.48 และ 1.37 เซนติเมตร
ตารางท่ี 4 แสดงค่าสมรรถภาพทางกาย ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ของนกั เรียนหญิงชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 จำนวน 7 คน ชอ่ื -สกุล ว่ิง 50 สมรรถภาพทางกาย งอตัว เมตร ยนื กระโดด ลกุ -นั่ง 30 วง่ิ เก็บ ข้างหนา้ 1. ด.ญ.กรรณกิ าร์ ตอ่ ชพี (วนิ าที) (เซนตเิ มตร) 11.19 ไกล วินาที ของ 2. ด.ญ.ชลลดา ภแู ซมศรี 9.63 (เซนติเมตร) (ครงั้ ) (วนิ าที) 1.00 7.45 1.50 3. ด.ญ.ธดิ าภรณ์ เอ้ยี มออง 7.38 122 15 17.80 5.60 8.74 142 18 15.63 7.10 4. ด.ญ.วนดิ า มุกดาหาร 7.95 158 23 9.84 3.30 7.84 154 24 8.97 3.80 5. ด.ญ.อรสิ รา สมราชา 145 20 9.59 4.00 8.60 148 20 9.21 3.76 6. ด.ญ.กนกพชิ ญ์ เสรี 150 21 9.03 1.39 145.57 20.14 11.44 2.14 7. ด.ญ.พชั รา ภมู ี คา่ เฉลย่ี ( X ) 11.69 3.02 3.67 สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) จากตารางที่ 4 พบว่า สมรรถภาพทางกายของนักเรียนหญิงมีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของการวิ่ง 50 เมตร เท่ากับ 8.60 และ 1.39 วินาที มีค่าเฉลีย่ และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของการยืนกระโดด ไกล เท่ากับ 145.57 และ 11.69 เซนติเมตร มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการลุก-นั่ง 30 วินาที เท่ากับ 20.14 และ 3.02 ครั้ง มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการวิ่งเก็บของ เท่ากับ 11.44 และ 3.67 วินาที มคี ่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการงอตัวข้างหน้า เท่ากับ 3.76 และ 2.14 เซนตเิ มตร
ตารางท่ี 5 แสดงค่าสมรรถภาพทางกาย ของนักเรยี นชายช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 จำนวน 6 คน เมือ่ เทียบ กับเกณฑม์ าตรฐานสมรรถภาพทางกายนกั เรียนชายอายุ 11 ปี สมรรถภาพทางกาย ชื่อ-สกุล วิ่ง 50 ยืนกระโดด ลกุ -นั่ง 30 วิ่งเกบ็ งอตัว คา่ เฉล่ยี เมตร ขา้ งหน้า สมรรถภาพ 1. ด.ช.วิชติ นอ้ ยเมอื ง (วนิ าที) ไกล วินาที ของ (เซนติเมตร) ทางกาย 2. ด.ช.กวีเอก สมราชา ตำ่ ปานกลาง ปานกลาง 3. ด.ช.ณฎั ฐากร วงศส์ ุกร ดี (เซนตเิ มตร) (ครง้ั ) (วนิ าที) 4. ด.ช.ปิยพัทธ์ พมิ พ์แหวน ดีมาก ปานกลาง ดี 5. ด.ช.ภาณวุ ัฒน์ เตชะ ดี ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ดี 6. ด.ช.รชั ต พามา ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ดมี าก ปานกลาง ดมี าก ดี ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ดี ปานกลาง ดีมาก ดีมาก ปานกลาง ดี ตำ่ ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ดีมาก ดี จากตารางท่ี 5 พบว่า คา่ เฉลย่ี สมรรถภาพทางกายของนักเรยี นชาย อยู่ในเกณฑ์ตำ่ มาก จำนวน 0 คน อยู่ในเกณฑ์ต่ำ จำนวน 0 คน อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง จำนวน 3 คน อยู่ในเกณฑ์ดี จำนวน 3 คน อยู่ในเกณฑ์ดี มาก จำนวน 0 คน ตารางที่ 6 แสดงค่าสมรรถภาพทางกาย ของนกั เรียนหญงิ ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 5 จำนวน 7 คน เม่ือเทียบ กับเกณฑม์ าตรฐานสมรรถภาพทางกายนักเรียนหญิงอายุ 11 ปี สมรรถภาพทางกาย ค่าเฉล่ยี ชอื่ -สกุล วิ่ง 50 ยนื กระโดด ลกุ -นัง่ 30 วิ่งเก็บ งอตวั สมรรถภาพ เมตร ไกล วินาที ของ ขา้ งหน้า ทางกาย (วนิ าที) (เซนติเมตร) (ครัง้ ) (วินาที) (เซนติเมตร) 1. ด.ญ.กรรณกิ าร์ ตอ่ ชีพ ตำ่ ตำ่ ปานกลาง ต่ำมาก ตำ่ มาก ต่ำ 2. ด.ญ.ชลลดา ภูแซมศรี ปานกลาง ปานกลาง ดี ตำ่ ตำ่ ปานกลาง 3. ด.ญ.ธดิ าภรณ์ เอย้ี มออง ดีมาก ดี ดมี าก ดี ปานกลาง ดี 4. ด.ญ.วนิดา มกุ ดาหาร ดีมาก ปานกลาง ดีมาก ดี ปานกลาง ดี 5. ด.ญ.อรสิ รา สมราชา ปานกลาง ปานกลาง ดีมาก ดี ปานกลาง ดี 6. ด.ญ.กนกพชิ ญ์ เสรี ดี ปานกลาง ดีมาก ดี ปานกลาง ดี 7. ด.ญ.พชั รา ภมู ี ดี ปานกลาง ดีมาก ดีมาก ปานกลาง ดี
จากตารางที่ 6 พบว่า ค่าเฉลี่ยสมรรถภาพทางกายของนักเรียนหญิง อยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก จำนวน 0 คนอยู่ในเกณฑต์ ำ่ จำนวน 1 คน อยู่ในเกณฑป์ านกลาง จำนวน 1 คน อยู่ในเกณฑ์ดี จำนวน 5 คน อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก จำนวน 0 คน ตารางที่ 7 แสดงผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายนักเรยี นชาย-หญิง ระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5 สมรรถภาพ ชาย (คน) รอ้ ยละ หญิง(คน) ร้อยละ รวม(คน) ร้อยละ ทางกาย (%) (%) (%) ต่ำมาก 0 0 0 0 0 0 ตำ่ 0 0 1 14.29 1 7.69 ปานกลาง 3 50 1 14.29 4 30.77 ดี 3 50 5 71.43 8 61.54 ดีมาก 0 0 0 0 0 0 จากตารางท่ี 7 พบว่า ร้อยละของสมรรถภาพทางกายนกั เรียนชายและนกั เรยี นหญิง อยใู่ นเกณฑ์ต่ำ มาก ร้อยละ 0 อยูใ่ นเกณฑ์ตำ่ ร้อยละ 7.69 อยู่ในเกณฑป์ านกลาง รอ้ ยละ 30.77 อยู่ในเกณฑด์ ี ร้อยละ 61.54 อย่ใู นเกณฑด์ มี าก รอ้ ยละ 0
ตอนที่ 2 ผลการศึกษาเจตคติต่อการเรียนวิชาพลศึกษา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการ วเิ คราะหป์ รากฏผลดังตาราง ตารางท่ี 8 แสดงผลคะแนนระดับเจตคตติ อ่ การเรยี นวิชาพลศึกษา ของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 5 รายการประเมิน ระดบั เจตคติ x̅ S.D. ความหมาย 1. วชิ าพลศกึ ษาเป็นวชิ าท่ีมีความสำคญั ต่อการดำเนินชีวติ ประจำวนั 4.23 0.73 มาก 2. การเรยี นวชิ าพลศึกษาทำใหม้ ีสมรรถภาพทางกายดีข้ึน 4.46 0.52 มาก 3. วชิ าพลศึกษาส่งเสริมให้ผูเ้ รยี นมีภาวะการเปน็ ผนู้ ำ 4.15 0.80 มาก 4. การเรียนวิชาพลศึกษามีโอกาสพัฒนาทักษะในการเล่นกีฬาที่ 4.62 0.51 มากทีส่ ุด ตนเองถนัดไดด้ ีขึน้ 5. การเรียนวิชาพลศึกษาแลว้ ทำให้ผู้เรียนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง 4.92 0.28 มากทสี่ ดุ ขึน้ 6. วิชาพลศึกษาเปน็ วิชาทเี่ รียนสนกุ และมีความสุข 4.85 0.38 มากที่สดุ 7. กิจกรรมในวิชาพลศกึ ษาเป็นกจิ กรรมทไ่ี มน่ ่าเบื่อและน่าสนใจ 4.54 0.52 มากที่สดุ 8. การเรียนวิชาพลศกึ ษาทำให้ผูเ้ รยี นสามารถพัฒนาบคุ ลิกภาพของ 4.00 0.58 มาก ตนเองไดด้ ีขน้ึ 9. การเรียนวิชาพลศึกษาส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง 3.92 0.76 มาก สูงขน้ึ 10. กจิ กรรมในวิชาพลศกึ ษาเน้นให้นักเรียนมสี ่วนรว่ ม 4.39 0.51 มาก 11. กจิ กรรมในวิชาพลศึกษามคี วามหลากหลายและเหมาะสม 4.54 0.52 มากท่ีสุด 12. ข้าพเจ้ามีความสขุ เม่ือได้เรยี นวชิ าพลศกึ ษา 4.62 0.51 มากท่ีสดุ 13. วชิ าพลศึกษาทำใหน้ ักเรียนกล้าแสดงออก 3.77 0.60 มาก 14. การเรียนวิชาพลศึกษาทำให้ขา้ พเจ้าเห็นคุณคา่ และความสำคัญ 4.23 0.60 มาก ของการออกกำลงั กายมากขนึ้ 15. นกั เรียนมเี จตคติทด่ี ตี อ่ วิชาพลศกึ ษา 4.15 0.38 มาก เฉลีย่ 4.36 0.55 มาก จากตารางที่ 8 เจตคติตอ่ การเรียนวิชาพลศึกษาของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 5 มคี วามพึงพอใจ อยใู่ นระดับมาก (x̅ = 4.36, S.D. = 0.55) โดยมีคา่ เฉล่ียอยู่ระหว่าง 3.77 – 4.92 เมื่อพิจารณาแตล่ ะขอ้ พบวา่ รายการประเมนิ ท่ีมคี ะแนนเฉล่ยี สูงสดุ ไดแ้ ก่ การเรียนวชิ าพลศกึ ษาแลว้ ทำใหผ้ ู้เรียนมีสขุ ภาพร่างกาย แข็งแรงข้นึ มเี จตคตอิ ยใู่ นระดบั มากทีส่ ดุ โดยมีค่าเฉลีย่ เท่ากบั 4.92 คะแนน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เทา่ กับ 0.28 คะแนน รองลงมา ได้แก่ วชิ าพลศกึ ษาเปน็ วิชาทเี่ รียนสนกุ และมีความสุข คา่ เฉลยี่ เท่ากบั 4.85 คะแนน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.38 คะแนน และทุกข้อของรายการประเมนิ มเี จตคติอยใู่ นระดบั มากขึน้ ไป ทกุ ข้อ
บทที่ 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัย การศึกษาสมรรถภาพทางกายและเจตคติต่อวิชาพลศึกษา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาข้อมูลด้านสมรรถภาพทางกาย ของนักเรียน ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563 เป็นแนวทางปรบั ปรุงพัฒนาแผนการเรียนรู้กลุ่มสาระ การเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เป็นแนวทางการปรับปรุงพัฒนาทางด้านความแข็งแรงของร่างกาย บคุ ลิกภาพทดี่ ขี องผู้เรยี น และเพอ่ื ประเมนิ เจตคติต่อการเรียนวิชาพลศึกษาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคน้ คว้า ได้แก่ นักเรียนทีก่ ำลังศึกษาอยู่ในชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรียนภูหา่ น ศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมจำนวนนักเรียน 13 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการ เลอื กกลุม่ ตวั อยา่ งแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการศกึ ษาวจิ ัย ไดแ้ ก่ แผนการจัดการ เรียนรู้วิชาพลศึกษา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 7 แผน จัดทำการเรียนรู้ 7 ชั่วโมง แบบทดสอบ สมรรถภาพทางกาย และแบบสอบถามวัดเจตคติต่อวิชาพลศึกษา จำนวน 15 ข้อ เป็นแบบมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน 5.1 สรปุ ผลการวจิ ยั 1. คาเฉลี่ยและสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลการทดสอบแต่ละรายการของนักเรียนชายและนกั เรียน หญิงช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 1.1 สมรรถภาพทางกายของนักเรียนชายมคี ่าเฉล่ยี และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานของการวง่ิ 50 เมตร เทา่ กับ 8.34 และ 1.56 วินาที มีคา่ เฉล่ียและสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของการยนื กระโดดไกล เทา่ กับ 150.67 และ 6.41 เซนติเมตร มีค่าเฉลยี่ และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของการลุก-นงั่ 30 วนิ าที เท่ากบั 23.50 และ 2.43 คร้งั มีคา่ เฉล่ยี และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานของการวิ่งเกบ็ ของ เท่ากับ 11.25 และ 1.43 วินาที มคี า่ เฉลี่ย และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของการงอตวั ขา้ งหน้า เท่ากบั 4.48 และ 1.37 เซนติเมตร 1.2 สมรรถภาพทางกายของนักเรยี นหญงิ มีค่าเฉลีย่ และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานของการวิ่ง 50 เมตร เท่ากับ 8.60 และ 1.39 วินาที มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการยืนกระโดดไกล เท่ากับ 145.57 และ 11.69 เซนติเมตร มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการลุก-นั่ง 30 วินาที เท่ากับ 20.14 และ 3.02 ครง้ั มคี ่าเฉลี่ยและสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานของการวิ่งเก็บของ เทา่ กับ 11.44 และ 3.67 วินาที มีค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของการงอตวั ข้างหนา้ เทา่ กบั 3.76 และ 2.14 เซนติเมตร
2. ค่าสมรรถภาพทางกายของนักเรียนชายและนักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เมื่อเทียบกับ เกณฑม์ าตรฐานสมรรถภาพทางกายนกั เรียนอายุ 11 ปี 2.1 ค่าเฉลี่ยสมรรถภาพทางกายของนักเรียนชาย อยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก จำนวน 0 คนอยู่ในเกณฑ์ต่ำ จำนวน 0 คน อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง จำนวน 3 คน อยู่ในเกณฑ์ดี จำนวน 3 คน อยู่ในเกณฑ์ดีมาก จำนวน 0 คน 2.2 ค่าเฉลี่ยสมรรถภาพทางกายของนักเรียนหญิง อยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก จำนวน 0 คนอยู่ในเกณฑ์ต่ำ จำนวน 1 คน อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง จำนวน 1 คน อยู่ในเกณฑ์ดี จำนวน 5 คน อยู่ในเกณฑ์ดีมาก จำนวน 0 คน 3. ร้อยละของสมรรถภาพทางกายนักเรียนชายและนักเรียนหญิง อยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก ร้อยละ 0 อยู่ใน เกณฑ์ต่ำ ร้อยละ 7.69 อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ร้อยละ 30.77 อยู่ในเกณฑ์ดี ร้อยละ 61.54 อยู่ในเกณฑ์ดีมาก ร้อยละ 0 4. เจตคตติ ่อการเรยี นวชิ าพลศึกษา ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 5 มีความพงึ พอใจอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.36, S.D. = 0.55) โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 3.77 – 4.92 เมื่อพิจารณาแต่ละข้อ พบว่า รายการ ประเมินที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ การเรียนวิชาพลศึกษาแล้วทำให้ผู้เรียนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น มี เจตคตอิ ยูใ่ นระดับมากที่สุด โดยมคี า่ เฉลย่ี เท่ากับ 4.92 คะแนน สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน เท่ากบั 0.28 คะแนน รองลงมา ไดแ้ ก่ วิชาพลศึกษาเปน็ วิชาทเ่ี รียนสนุกและมคี วามสุข ค่าเฉลยี่ เทา่ กับ 4.85 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน เท่ากับ 0.38 คะแนน และทุกข้อของรายการประเมนิ มีเจตคตอิ ยู่ในระดบั มากขน้ึ ไปทุกข้อ 5.2 อภิปรายผลการวิจยั จากผลการวจิ ัย สามารถอภิปรายผลได้ดงั น้ี 5.2.1 สมรรถภาพทางกายของนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 5 สมรรถภาพทางกายของนักเรียนชายหลายรายการมีความสามารถดีกว่านักเรียนหญิง เพราะเป็นไปตามพัฒนาการของร่างกายที่มีการเจรญิ เติบโตขึ้น ความสามารถของสมรรถภาพทางกายก็มีการ พัฒนาเพิ่มขึ้นตาม เป็นไปตามธรรมชาติของกระบวนของการพัฒนาตามอายุและเพศ ทำให้ระดับสมรรถภาพ ทางกายของนักเรียนชายและนักเรียนหญิงแตกต่างกัน ซึ่งสอดคล้อง ธนกร ปัญญาวงศ์(2552) ได้กล่าวไว้ว่า ขดี จำกดั สรีรวทิ ยาของการออกกำลังกายแตกต่างกนั ไปดว้ ยปจั จัยสำคญั ต่าง ๆ ท่ีเปน็ ปจั จยั ภายใน คอื ข้อที่ 1 อายุวัยที่แตกต่างกัน ความสามารถของกล้ามเนื้อ ความแข็งแรง ความอดทน และกำลังย่อมแตกต่างกัน ความสามารถของกล้ามเนื้อจะค่อย ๆ พัฒนาขึ้นจนถึงวัยประมาณ 30 ปี ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจะมี พัฒนาการถึงขีดสูงสุด แต่ความอดทนจะมีการพัฒนาต่อไปอีกจนถงึ อายุ 40 ปีไปแล้ว มีความสามารถในการ รับการฝึกจะลดลงเป็นลำดับ ข้อที่ 2 เพศ เนื่องจากลักษณะ โครงสร้างของร่างกายทั้งกล้ามเนื้อและกระดูก
รวมทั้งประสิทธิภาพการทำงานทุกระบบของร่างกาย ของชายและหญิงมีความแตกต่างกัน โดยธรรมชาติถ้า เทียบสว่ น (โดยน้ำหนัก) ผู้หญงิ จะมรี ปู ร่างด้อย กวา่ ผชู้ าย น้ำหนักเฉล่ียของหญิงนอ้ ยกว่าชาย สว่ นของน้ำหนัก ตัวทีเ่ ปน็ กล้ามเน้ือยอ่ มน้อยกวา่ จึงมคี ำกลา่ ววา่ “ไม่สามารถฝึกผ้หู ญิงให้มีความสามารถเท่าเทียมกบั ผู้ชายได้” ข้อที่ 3 สภาพร่างกายและจิตใจ สภาพร่างกายของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน เนื่องจากผลทางด้านพันธุกรรม และอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เกิดสภาพร่างกายที่สังเกตได้จากภายนอก ได้แก่ ความสูง ความหนาของ ลำตัว แขน ขา ลำตวั นว้ิ มือ น้ิวเทา้ ฯลฯ และ 5.2.3 ผลการศกึ ษาเจตคตติ ่อการเรยี นวิชาพลศกึ ษา เจตคตติ อ่ การเรยี นวชิ าพลศกึ ษาของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ 5 มคี วามพงึ พอใจอยู่ ในระดับมาก (x̅ = 4.36, S.D. = 0.55) โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 3.77 – 4.92 เมื่อพิจารณาแต่ละข้อ พบว่า รายการประเมินท่ีมคี ะแนนเฉล่ียสงู สุด ได้แก่ การเรียนวิชาพลศึกษาแลว้ ทำให้ผู้เรียนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ขึ้น มีเจตคติอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.92 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.28 คะแนน รองลงมา ได้แก่ วิชาพลศึกษาเป็นวิชาท่ีเรียนสนุกและมีความสขุ ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.85 คะแนน ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.38 คะแนน และทุกข้อของรายการประเมนิ มเี จตคติอยู่ในระดับมากขึ้นไปทุกขอ้ ทง้ั น้อี าจเปน็ เพราะสาเหตดุ งั ต่อไปน้ี กระบวนการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสุขศึกษาและพลศึกษา เป็นกระบวนการท่ี หลากหลายตอ่ เนื่องเหมาะสมกบั ระดับความสามารถ ความต้องการและความสนใจของผู้เรยี น เน้นกิจกรรมที่ พัฒนาความสามารถในการตัดสินใจ ตั้งแต่การวางแผน การฝึกปฏิบัติ การตรวจสอบ และการประเมินผลให้ ครอบคลุมทางกิจกรรมสขุ ภาพท้ังดา้ นปอ้ งกัน ส่งเสรมิ และดำรงสขุ ภาพ โดยการใช้วธิ กี ารเรียนอย่างมีชีวิตชวี า ให้ผู้เรียนฝึกความรับผิดชอบ ฝึกทักษะการคิด ทักษะการจัดการ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการเผชิญ สถานการณ์ การเรียนรู้จากปัญหา และประยุกต์ความรู้มาใช้ป้องกันและแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง หมั่นฝึกฝน และเอาใจใส่ดูแลสุขภาพตนเองและความแข็งแกร่งของร่างกาย เข้าร่วมในกิจกรรม พลศึกษาและกีฬาท้ัง ประเภทบุคคล และประเภททีมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการฝึกฝนตนเองตามกฎ กติกา ระเบียบและ หลกั การวทิ ยาศาสตร์ ได้แข่งขนั และได้ทำงานรว่ มกันเป็นทีม และยอมรบั วา่ ตนเองมสี ่วนรว่ มหรือเป็นส่วนหน่ึง ของสภาวะสขุ ภาพและความปลอดภยั ของผอู้ ่ืนของดว้ ย 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.3.1 ข้อเสนอแนะจากผลการวจิ ยั ในคร้งั นี้ ครูผู้สอนวิชาพลศึกษาสามารถนำผลจากการศึกษาไปประเมินสมรรถภาพทางกายของนักเรียนใน ทุกภาคเรียนอยา่ งสมำ่ เสมอ เพอื่ ใช้ในการพัฒนาและส่งเสริมให้นกั เรยี นมีสมรรถภาพทางกายทด่ี ขี น้ึ
5.3.2 ข้อเสนอแนะในการวิจยั ครั้งต่อไป ควรมีการศกึ ษาสมรรถภาพทางกายของนักเรยี นทุกชัน้ เรียน ทกุ ปีการศกึ ษา เพอ่ื ติดตามพัฒนาการ ระดบั สมรรถภาพทางกายของนกั เรยี น และเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพของนักเรยี นใหส้ ูงย่ิงข้นึ
บรรณานุกรม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2551). หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : กรม วิชาการ. ธานินทร์ บุญญาลงกรณ.์ (2544). เจตคติของนักเรยี นมธั ยมศึกษาตอนตน้ ที่มตี ่อวชิ าพลศกึ ษาตามหลักสตู ร การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2544. วทิ ยานพิ นธ์ ครุศาสตรมหาบณั ฑิต. กรุงเทพฯ : จฬุ าลง กรณมหาวทิ ยาลยั . วรวฒุ ิ สวสั ดชิ ัย (2551). สมรรถภาพทางกายของนักศกึ ษามหาวิทยาลัยธรุ กจิ บณั ฑติ ย์ ชัน้ ปีท่ี1 ปีการศึกษา 2550. ปริญญานิพนธก์ ศ.ม (พลศึกษา) กรุงเทพฯ: บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. สนอง แย้มดี. (2553). สมรรถภาพทางกายของนกั ศกึ ษาสถาบันการพลศึกษา ในเขตภาคเหนือ ปีการศึกษา 2551. หลกั สูตรปรญิ ญาการศึกษามหาบัณฑติ สาขาวิชาพลศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ.
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก - ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 หน่วย การเรียนรู้ท่ี 16 เรื่อง สมรรถภาพทางกาย
แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 3 เร่อื ง ยืนกระโดดไกล ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 เวลา 7 ช่ัวโมง กล่มุ สาระการเรยี นรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เวลา 1 ช่ัวโมง หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 16 เร่ือง สมรรถภาพทางกาย สอนวันท่ี……….…..เดือน……..……………..………พ.ศ.……..…..…. 1 สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด การทดสอบยนื กระโดดไกลจัดเปน็ การทดสอบสมรรถภาพทางกายของขา ซ่ึงผู้ทดสอบจะตอ้ งปฏิบตั ิ อยา่ งถูกวิธี 2 ตวั ช้ีวัด/จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 2.1 ตัวช้ีวดั พ 4.1 ป.3/5 สรา้ งเสรมิ สมรรถภาพทางกายไดต้ ามคำแนะนำ 2.2 จุดประสงค์การเรยี นรู้ - ทดสอบการยืนกระโดดไกลได้อย่างถูกวธิ ี 3 สาระการเรยี นรู้ 3.1 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง - การสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายเพ่ือสขุ ภาพ - วธิ ีการทดสอบสมรรถภาพทางกาย 3.2 สาระการเรียนรู้ทอ้ งถิ่น (พจิ ารณาตามหลกั สูตรสถานศึกษา) 4 สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน 4.1 ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการวิเคราะห์ 2) ทกั ษะการประเมิน 4.2 ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต 5 คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1. มวี ินยั 2. ตรงต่อเวลา 3. ใฝเ่ รียนรู้
6 กจิ กรรมการเรยี นรู้ วิธีสอนโดยใชก้ ารสาธติ ขั้นท่ี 1 เตรียมการสาธติ สื่อ/แหล่งการเรยี นรู้ : 1. หนังสอื เรยี น สขุ ศกึ ษาฯ ป.5 2. บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ 3. อาคารอเนกประสงคโ์ รงเรียนภหู า่ นศกึ ษา 1. ครพู านกั เรียนไปทอ่ี าคารอเนกประสงค์โรงเรียนภูห่านศึกษา 2. ครูเตรียมการสาธิตและอุปกรณ์ที่ใช้ในการสาธิตยืนกระโดดไกล เพื่อให้ครูสามารถอธิบายประกอบ ในแต่ละขัน้ ตอนไดง้ า่ ยข้นึ 3. ครูแนะนำให้นักเรียนศึกษาความรู้เรือ่ ง ยืนกระโดดไกล จากหนังสือเรียนหรือบทเรียนคอมพิวเตอร์ Smart L.O. LMS Lite เพิม่ เตมิ นอกเวลาเรียน ขัน้ ที่ 2 สาธิต สือ่ /แหลง่ การเรียนรู้ : 1. เอกสารประกอบการสอน 2. อาคารอเนกประสงคโ์ รงเรียนภูหา่ นศึกษา 1. ครูอธบิ ายวธิ ที ดสอบการยนื กระโดดไกล จากนนั้ ใหน้ กั เรยี นอบอุ่นร่างกายก่อนฝกึ ยนื กระโดดไกล 2. ครูขออาสาสมัครนักเรียน 2-3 คน ออกมาสาธิตการยืนกระโดดไกลให้เพื่อนดู โดยครูอธิบาย ประกอบในแต่ละขั้นตอน เพ่อื ให้อาสาสมคั รนกั เรยี นสามารถปฏิบัตไิ ดอ้ ยา่ งถูกต้องและคล่องแคล่ว 3. นักเรียนแต่ละคนฝึกทดสอบการยืนกระโดดไกล ตามที่ได้ดูจากการสาธิต หากไม่เข้าใจให้สอบถาม ครูผูส้ อน หรอื ศกึ ษาเพิม่ เตมิ จากเอกสารประกอบการสอน 4. ครูสังเกตการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนแต่ละคน และเน้นย้ำให้นักเรียนคำนึงถึงความปลอดภัย ขั้นท่ี 3 สรุปการสาธติ สอ่ื /แหลง่ การเรยี นรู้ : คำถามกระตนุ้ ความคดิ 1. ครแู ละนกั เรียนร่วมกันสรุปวธิ ีทดสอบการยนื กระโดดไกล 2. นักเรยี นตอบคำถามกระตุ้นความคิด เพราะเหตุใด การยืนกระโดดไกลจึงตอ้ งซอ้ มเหวีย่ งแขนทง้ั สองไปดา้ นหลงั พร้อมกบั ก้มตัว (พิจารณาตามคำตอบของนักเรยี น โดยใหอ้ ย่ใู นดลุ ยพนิ ิจของครผู ู้สอน)
ขัน้ ที่ 4 วดั ผลประเมินผล 1. ครูวัดผลประเมนิ ผลนักเรียนแต่ละคนจากการทดสอบยนื กระโดดไกล วธิ ที ดสอบ 1) ผทู้ ดสอบยืนใหป้ ลายเทา้ ท้ังสองชิดเส้นเรมิ่ 2) ซ้อมเหวีย่ งแขนทงั้ สองไปดา้ นหลังพร้อมกบั ก้มตวั เมื่อได้จงั หวะเหว่ยี งแขนไปข้างหนา้ อย่างแรง พร้อมกบั กระโดดด้วยเท้าทั้งสองไปขา้ งหน้าให้ไกลท่สี ุด 3) วดั ระยะทางจากจุดทส่ี น้ เทา้ ลงบนพ้นื ถึงเสน้ เรมิ่ ถ้าผ้ทู ดสอบเสยี หลักหงายหลังกน้ หรือมอื แตะพนื้ ใหท้ ำการทดสอบใหม่ 2. ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั อภิปรายเกีย่ วกบั ประโยชน์ทีไ่ ด้รบั จากการทดสอบยนื กระโดดไกล
7 การวดั และประเมนิ ผล วธิ ีการ เคร่อื งมือ เกณฑ์ ประเมินทักษะกระบวนการพลศกึ ษา แบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการพล ระดับคุณภาพ 2 ผ่าน สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล ศึกษา เกณฑ์ สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่ แบบสงั เกตพฤติกรรมการทำงาน ระดับคุณภาพ 2 ผา่ น สงั เกตความมวี นิ ัย ตรงต่อเวลา และใฝ่ รายบคุ คล เกณฑ์ เรียนรู้ แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงาน ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ น กล่มุ เกณฑ์ แบบประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พึง ระดับคุณภาพ 2 ผ่าน ประสงค์ เกณฑ์ 8 สอ่ื /แหลง่ การเรียนรู้ 8.1 ส่ือการเรียนรู้ 1) หนังสอื เรียน สุขศึกษาและพลศกึ ษา ป.5 2) บทเรียนคอมพิวเตอร์ Smart L.O. LMS Lite สุขศกึ ษา ป.5 บริษัท เพลย์เอเบิล จำกัด 3) เอกสารประกอบการสอน 8.2 แหลง่ การเรียนรู้ - อาคารอเนกประสงค์โรงเรียนภหู า่ นศกึ ษา
บันทึกการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ 1. ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 2. ปัญหาและอปุ สรรค .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางปรับปรุงแก้ไข .................................................................................................. ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................... ........................................... ....................................................................................... ....................................................................................... ลงชื่อ...............................................ผู้สอน (นายชยพล ศรีเทีย่ ง) ความคดิ เห็นของผู้บรหิ ารสถานศึกษา ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงชื่อ ...............................................ผู้ตรวจ (นายอุไร ลาสอน) ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นภหู า่ นศึกษา วนั ท่ี…………เดือน………………….……. พ.ศ. …………..
ภาคผนวก ข - แบบสอบถามวดั เจตคติต่อการเรยี นวิชาพลศกึ ษา ของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรยี นภูห่านศึกษา
แบบสอบถามวัดเจตคตติ อ่ การเรียนวชิ าพลศึกษา ของนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 โรงเรียนภูห่านศึกษา คำชแ้ี จง 1. แบบสอบถามน้ีเป็นแบบวัดความรู้สึกพึงพอใจ และความคดิ เหน็ ของนักเรียนทม่ี ีต่อการเรยี นวชิ า พลศึกษา ในด้านการเรยี นการสอน เนอ้ื หาและประโยชนท์ ีไ่ ดร้ บั จากการเรยี น 2. การตอบแบบสอบถามไมม่ ีคำตอบที่ถูกหรือผิดคำตอบของนกั เรียนไมม่ ผี ลต่อการเรยี นของนักเรยี น แต่อย่างใด 3. ให้พิจารณาข้อความแลว้ ทำเครอ่ื งหมาย ✓ หลงั ขอ้ ความแตล่ ะข้อความลงในช่องที่นักเรียนเหน็ ว่า ตรงกับระดับความคิดเห็นของนักเรยี น ดังนี้ พอใจมากที่สดุ ให้ 5 คะแนน พอใจมาก ให้ 4 คะแนน พอใจปานกลาง ให้ 3 คะแนน พอใจน้อย ให้ 2 คะแนน พอใจนอ้ ยทส่ี ดุ ให้ 1 คะแนน รายการประเมนิ ระดับความพึงพอใจ 5 4 3 21 1. วิชาพลศกึ ษาเป็นวชิ าทม่ี ีความสำคัญตอ่ การดำเนินชวี ิตประจำวัน 2. การเรียนวิชาพลศกึ ษาทำให้มีสมรรถภาพทางกายดีขน้ึ 3. วิชาพลศกึ ษาส่งเสริมให้ผเู้ รียนมีภาวะการเปน็ ผู้นำ 4. การเรยี นวิชาพลศึกษามีโอกาสพฒั นาทักษะในการเล่นกีฬาทต่ี นเอง ถนัดได้ดีขนึ้ 5. การเรียนวชิ าพลศึกษาแลว้ ทำให้ผูเ้ รียนมสี ขุ ภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น 6. วชิ าพลศึกษาเปน็ วิชาทเี่ รียนสนุกและมีความสุข 7. กิจกรรมในวิชาพลศึกษาเป็นกิจกรรมท่ีไม่นา่ เบื่อและน่าสนใจ 8. การเรยี นวิชาพลศึกษาทำให้ผู้เรยี นสามารถพัฒนาบุคลกิ ภาพของ ตนเองได้ดขี น้ึ 9. การเรียนวชิ าพลศึกษาส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนมคี วามเช่ือมัน่ ในตนเองสูงข้ึน 10. กิจกรรมในวชิ าพลศกึ ษาเน้นให้นักเรียนมีสว่ นร่วม 11. กิจกรรมในวชิ าพลศึกษามคี วามหลากหลายและเหมาะสม 12. ข้าพเจ้ามีความสขุ เมือ่ ได้เรยี นวิชาพลศกึ ษา 13. วชิ าพลศึกษาทำให้นักเรยี นกลา้ แสดงออก 14. การเรียนวิชาพลศึกษาทำใหข้ า้ พเจ้าเหน็ คณุ คา่ และความสำคญั ของ การออกกำลังกายมากขึ้น 15. นกั เรียนมีเจตคติทีด่ ตี ่อวิชาพลศึกษา
ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
ภาคผนวก ค - รายนามผู้เชี่ยวชาญ
รายนามผ้เู ชีย่ วชาญ 1) นายอุไร ลาสอน ผู้อำนวยการโรงเรียนภูห่านศึกษา ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการ บริหารการศึกษา (ศษ.ม.) มีความเชย่ี วชาญดา้ นเน้ือหา 2) นายนพพร ภูมาก ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนภูห่านศึกษา ครุศาสตรบัณฑิต สาขา คอมพวิ เตอร์ศึกษา (ค.บ.) มีความเช่ยี วชาญด้านการวัดและประเมินผล 3) นายธีระพงษ์ เจิดภูเขียว ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนภูห่านศึกษา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาคณติ ศาสตร์ (ค.บ.) มคี วามเช่ยี วชาญดา้ นแผนการสอนและนวตั กรรม
ภาคผนวก ง - ตัวอย่างภาพประกอบการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษา หน่วยการเรียนรู้ที่ 16 เรื่อง สมรรถภาพทาง กาย ของนกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 - ตวั อย่างใบบันทึกผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 5
ภาพที่ 1 การจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษา หน่วยการเรียนรู้ที่ 16 เรื่อง สมรรถภาพทางกาย ของ นกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563
Search