คำนำ ภำคเหนือเป็นสถำนท่สี งู สดุ ในประเทศไทย มีทิวทศั นท์ ่สี วยงำม มดี อกไมแ้ ตล่ ะชนดิ ท่สี วยงำม คำขวญั ของแต่ละจงั หวดั ก็มคี วำมหมำยท่ดี ี บง่ บอกถึงควำมเป็นอยุ่ สถำนท่ีสำคญั ธรรมชำติท่ี สวย ผจู้ ดั ทำไดม้ ปี ระสงคจ์ ดั ทำขนึ้ เพ่อื ใชศ้ กึ ษำคำขวญั ตรำสญั ลกั ษณ์ และขอ้ มลู ของดอกไม้ ประจำจงั หวดั ในภำคเหนือ หวงั วำ่ หนงั สอื เลม่ นจี้ ะมีประโยชนต์ ่อผอู้ ่ำน หำกมีประกำรใดผิดพลำด ขออภยั ณ ท่นี ี้ จดั ทำโดย นำงสำว อมุ ำกร บวั มำก
สำรบญั จงั หวดั เชียงใหม่ 1-3 จงั หวดั เชียงรำย 4-5 จงั หวดั นำ่ น 6-8 จงั หวดั พะเยำ 9-10 จงั หวดั แพร่ 11-12 จงั หวดั แมฮ่ ่องสอน 13-14 จงั หวดั ลำปำง 15-16 จงั หวดั ลำพนู 17-18 จงั หวดั อตุ รดติ ถ์ 19-20
จงั หวดั เชียงใหม่ ตราสัญลักษณ์จังหวัดเชียงใหม่ รูปชา้ งเผือกหันหนา้ ตรงในเรือนแกว้ ชา้ งเผือก หมายถึง ชา้ งท่ีเจา้ ผคู้ รองนครเชียงใหม่ นาทูลเกลา้ ถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั และไดข้ ้ึนระวางเป็นชา้ งเผือกเอก เรือนแกว้ หมายถึง ดินแดนท่ีพระพุทธศาสนาไดม้ าต้งั มนั่ เจริญรุ่งเรือง จนเคยเป็นสถานที่สาหรับทาสังคายนา พระไตรปิ ฎก เมื่อ พ.ศ. 2020 คาขวัญจังหวัดเชียงใหม่ ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเป็นสง่า บุปผชาติลว้ นงามตา นามล้าค่านครพิงค์
ดอกไมป้ ระจำชำติจงั หวดั เชียงใหม่ ตน้ ทองกวำว ตน้ ไมป้ ระจำจงั หวดั เชยี งใหม่ ต้นไม้ประจาจังหวัด เชียงใหม่ ชื่อพนั ธ์ุไม้ ตน้ ทองกวาว ช่ือสามัญ Flame of the forest, Bastard Teak, Bengal kinotree, Kino tree ช่ือวิทยาศาสตร์ Butea monosperma Kuntze. วงศ์ LEGUMINOSAE ช่ืออื่น กวาว ก๋าว (ภาคเหนือ), จอมทอง (ภาคใต)้ , จา้ (เขมร), ทองธรรมชาติ ทองพรหมชาติ ทองตน้ (ภาคกลาง)
ลกั ษณะท่วั ไป ตน้ ทองกวาวเป็นไมย้ นื ตน้ ผลดั ใบสูง 8–15 เมตร เปลือกสีเทาคล้าแตกเป็นร่องต้ืนๆ ใบเป็นใบประกอบแบบ ขนนก มีใบยอ่ ย 3 ใบออกสลบั กนั ออกดอกเป็นช่อตามกิ่งกา้ นและท่ีปลายกิ่ง ดอกสีเหลืองถึงแดงแสด ออก ดอกช่วงเดือนธนั วาคม-มีนาคม ผลเป็นฝักรูปขอบขนานแบน มีเมลด็ ท่ีปลายฝัก ขยายพนั ธ์ุ โดยการเพาะเมลด็ สภาพทเี่ หมาะสม ดินร่วนปนทราย ตอ้ งการน้าและความช้ืนปานกลาง แสงแดดจดั ถิน่ กาเนิด ที่ราบลมุ่ ในป่ าผลดั ใบ ป่ าหญา้ หรือป่ าละเมาะท่ีแหง้ แลง้ พบมากทางภาคเหนือ
จงั หวดั เชียงรำย ตราประจาจงั หวัด : รูปช้างสีขาวใต้เมฆ หมายถงึ นมิ ิตของความรุ่งเรืองในอดตี เพราะพญามงั รายเคยใช้ช้าง เป็ นกาลงั สาคญั ในการทาศึกปราบศัตรูจนได้ชัยชนะ นอกจากนี้ ช้างยังเป็ นชนวนให้พญามังรายมาก่อร่างสร้าง เมืองนขี้ ึน้ อกี ด้วย โดยว่ากันว่า หายไปจากหลกั ทผ่ี กู ไว้ พญามงั รายติดตามไปจนถึงภูมิประเทศอนั บริบูรณ์ริมนา้ กก จึงโปรดให้ต้งั เมือง คาขวญั ประจาจังหวดั เหนือสุดในสยาม ชายแดนสามแผ่นดิน ถิ่นวัฒนธรรมล้านนา ลา้ ค่าพระธาตดุ อยตงุ \" ดอกพวงแสด ดอกไมป้ ระจาจงั หวดั เชียงราย
ดอกไม้ประจาจงั หวัด เชียงราย ชื่อดอกไม้ ดอกพวงแสด ชื่อสามญั Orange Trumpet, Flame Flower. ช่ือวิทยาศาสตร์ Pyrostegia venusta., Miers. วงศ์ BIGNONIACEAE ชื่ออ่ืน ลกั ษณะทัว่ ไป พวงแสดเป็นพนั ธุ์ไมเ้ ถาเล้ือยที่มีขนาดใหญ่ สามารถเล้ือยเกาะไดไ้ กลมากกวา่ 40 ฟตุ เถาออ่ นสีเขยี ว เม่ือแก่จะ กลายเป็นสีน้าตาล ใบเป็นใบประกอบ มี 3 ใบยอ่ ย แต่จะมีบางใบที่เป็นคู่โดยใบยอ่ ยท่ีสามที่อยตู่ รงกลางจะ เปล่ียนจากใบเป็นมือเกาะ ใบออกสลบั กนั สีเขยี วเขม้ กา้ นใบส้ันเกือบชิดกิ่ง ใบรูปไข่ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบไม่มีจกั ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ และตามปลายกิ่งส่วนยอดดอกดกจนดูแน่นช่อ มีกลีบรองดอก เป็นรูปถว้ ย หรือรูปกระดิ่งหงาย ดอกเป็นรูปทรงกรวย เรียวยาว ปลายดอกจะบานออกเป็น 4 กลีบ เม่ือดอกบาน เตม็ ที่กลีบดอกจะงอโคง้ ลงขา้ งลา่ ง ดอกยาวประมาณ 5–6 เซนติเมตร ภายในดอกมีเกสรตวั ผู้ 4 อนั ส้นั ยาวไม่ เทา่ กนั ส้นั 2 อนั และยาว 2 อนั เกสรตวั เมีย 1 อนั อยตู่ รงกลาง สีตองอ่อน และยาวกวา่ เกสรตวั ผู้ พวงแสด ออกดอกช่วง เดือนธนั วาคม–มีนาคม ของทุกปี การขยายพนั ธ์ุ ปักชาก่ิง, ตอนก่ิง สภาพท่ีเหมาะสม ดินร่วน ไม่ตอ้ งการน้ามาก แสงแดดจดั ถ่ินกาเนดิ ประเทศบราซิลและอาเจนตินา
จงั หวดั นำ่ น ตรำประจำจงั หวดั น่ำน ตรำประจำจงั หวดั น่ำนเป็นภำพโคอสุ ภุ รำชยืนแทน่ มพี ระธำตเุ จดยี แ์ ชแ่ หง้ ประดิษฐำน อยบู่ นหลงั ขอบตรำเป็นลำยกระหนก พระธำตบุ นหลงั โคอสุ ภุ รำช หมำยถงึ พระธำตแุ ช่แหง้ ซง่ึ เป็นปชู นีย สถำนท่ีศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ ตรำประจำจงั หวดั น่ำน ควำมหมำยของตรำเมอื ง มีตำนำนเลำ่ ว่ำ สมยั พญำผำกอง มีดำรจิ ะ สรำ้ งเมืองนำ่ นยงั สถำนท่ใี หม่ คำขวญั จงั หวดั น่ำน แข่งเรอื ลอื เลื่อง เมอื งงำชำ้ งดำ จิตรกรรมวดั ภมู ินทร์ แดนดนิ สม้ สีทอง เรอื งรองพระธำตแุ ชแ่ หง้ ดอกเส้ียวดอกขาว ดอกไมป้ ระจาจงั หวดั ตาก ดอกไมป้ ระจาจงั หวดั น่าน
ดอกไม้ประจาจังหวัด ตาก, น่าน ชื่อดอกไม้ ดอกเส้ียวดอกขาว ชื่อสามญั Orchid Tree, Purple Bauhinia ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Bauhinia variegata L. วงศ์ LEGUMINOSAE ชื่ออ่ืน เส้ียวป่ าดอกขาว ลกั ษณะท่ัวไป ตน้ สูง 5–10 เมตร ผลดั ใบ เรือนยอดกลม ใบเด่ียวค่อนขา้ งกลม ปลายและโคนใบเวา้ คลา้ ยใบแฝดติดกนั ใต้ ใบมีขน ออกดอกเป็นช่อท่ีซอกใบและปลายกิ่ง 6–10 ดอก มี 5 กลีบคลา้ ยดอกกลา้ ยไมม้ ีกล่ินหอมออ่ นๆ ออกดอกตลอดปี ดอกดกช่วง เดือนพฤศจิกายน–มีนาคม ผลเป็นฝักแบน เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ซีก การขยายพันธ์ุ เพาะเมลด็ สภาพทเ่ี หมาะสม เติบโตไดด้ ีในดินที่ระบายน้าดี ความช้ืนสูง แสงแดดจดั ถิ่นกาเนิด อินเดีย, มาเลเซีย
จงั หวดั พะเยำ ตรำประจำจงั หวดั : รูปพระเจำ้ ตนหลวงวดั ศรีโคมคำ สปี ระจำจงั หวดั : สีบำนเย็น ตน้ ไมป้ ระจำจงั หวดั : สำรภี ไทย (Mammea siamensis) คำขวญั ประจำจงั หวดั : กวำ๊ นพะเยำแหลง่ ชีวติ ศกั ดิส์ ิทธิ์พระเจำ้ ตนหลวง บวงสรวงพอ่ ขนุ งำเมือง งำมลอื เล่ืองดอยบษุ รำคมั คำขวญั จงั หวดั พะเยำ กว๊ำนพะเยำแหลง่ ชวี ิต ศกั ดิส์ ทิ ธิ์พระเจำ้ ตนหลวง บวงสรวงพ่อขนุ งำเมอื ง งำมลอื เล่ืองดอยบษุ รำคมั
ตน้ สารภี ตน้ ไมป้ ระจาจงั หวดั พะเยา ชื่อพนั ธ์ุไม้ ตน้ สารภี ชื่อสามญั ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Mammea siamensis T. Anders. วงศ์ GUTTIFERAE ชื่ออื่น ทรพี (จนั ทบุรี), สร้อยพี (ภาคใต)้ , สารภี (ทวั่ ไป), สารภีแนน (เชียงใหม่) ลกั ษณะทั่วไป ตน้ สารภีเป็นไมย้ นื ตน้ สูง 10–15 เมตร ไมผ่ ลดั ใบ เรือนยอดเป็นพมุ่ ทึบ มียางสีขาว ใบเป็นใบเด่ียวเรียงตรง ขา้ ม รูปไขก่ ลบั แกมขอบขนาน เส้นแขนงใบไม่ชดั เจน แต่เสน้ ใบยอ่ ยแบบร่างแหเห็นชดั ท้งั สองขา้ ง ออกดอก เป็นกระจุกตามก่ิง สีขาว กล่ินหอม ร่วงง่าย มีเกสรเพศผสู้ ีเหลือง ขยายพนั ธ์ุ โดยการเพาะเมลด็ สภาพท่เี หมาะสม สภาพดินร่วนซุย ความช้ืนพอเหมาะ ถิน่ กาเนิด ป่ าเบญจพรรณ ป่ าดงดิบ ในประเทศไทย
จงั หวดั แพร่ ตรำประจำจงั หวดั แพรเ่ ป็นรูปมำ้ ยืน และมีโบรำณ สถำนท่สี ำคญั ของจงั หวดั แพรค่ ือพระธำตชุ อ่ แฮประกอบ อยู่ บนหลงั มำ้ ตน้ ไมป้ ระจำจงั หวดั แพร่ คำขวญั จงั หวดั แพร่ “หมอ้ หอ้ ม ไมส้ กั ถ่นิ รกั พระลอ ชอ่ แฮศรีเมือง ลือเลื่องแพะเมืองผีคนแพรน่ ใี้ จงำม” ดอกยมหิน ดอกไมป้ ระจาจงั หวดั แพร่
ดอกไม้ประจาจังหวดั แพร่ ช่ือดอกไม้ ดอกยมหิน ช่ือสามัญ Almond-wood, Chickrassy Chittagong-wood ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Chukrasia velutina Roem. วงศ์ MELIACEAE ช่ืออื่น โคโ้ ยง่ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม)่ , ชา้ กะเดา (ใต)้ , ยมขาว (เหนือ), ยมหิน มะเฟื องตน้ สะเดาชา้ ง สะเดาหิน (กลาง), ริ้งบา้ ง รี (กะเหร่ียง-แมฮ่ ่องสอน), เสียดคา่ ย (สุราษฎร์ธานี) ลกั ษณะทัว่ ไป เป็นไมย้ นื ตน้ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลดั ใบแต่ผลิใบใหมเ่ ร็ว เรือนยอดเป็นพมุ่ รูปกรวยต่า เปลือกสีน้าตาล คล้า สีเทาหรือ เทาปนดา แตกเป็นร่องลึกตามยาวของลาตน้ ใบเป็นใบประกอบออกเยอ้ื งกนั เลก็ นอ้ ย แผน่ ใบรูป ดาบ ทอ้ งใบมีขนนุ่ม หลงั ใบ เกล้ียง ดอกขนาดเลก็ สีเขยี วแกมเหลือง ออกเป็นช่อตามปลายก่ิง ออกดอกระหวา่ ง เดือนพฤศจิกายนถึงเดือน กมุ ภาพนั ธ์ การขยายพนั ธ์ุ โดยการเพาะเมลด็ สภาพทเี่ หมาะสม เป็นไมก้ ลางแจง้ เจริญเติบโตไดด้ ีในสภาพดินทุกชนิด ตอ้ งการน้าและความชุ่มช้ืนปานกลาง ถิ่นกาเนิด ป่ าเบญจพรรณแลง้ และช้ืนทว่ั ไป
จงั หวดั แมฮ่ ่องสอน ตรำสญั ลกั ษณ์ รูปชำ้ งในทอ้ งนำ้ หมำยถงึ กำรฝึกชำ้ งป่ำใหร้ ูจ้ กั กำรบงั คบั บญั ชำในกำรรบและงำนดำ้ นต่ำง ๆ สำเหตทุ ่ใี ชร้ ูป ชำ้ งในทอ้ งนำ้ ำเป็นตรำประจำจงั หวดั เพรำะเป็นท่มี ำของกำรตงั้ เมืองแมฮ่ ่องสอน โดย เรม่ิ จำกกำรท่ี เจำ้ แกว้ เมอื งมำ ออกจบั ชำ้ งใหเ้ จำ้ เมืองเชยี งใหม่ (พ.ศ. 2368 - 2389) และได้ รวบรวมชำวไทยใหญ่ใหม้ ำตงั้ บำ้ งเมอื ง เป็นหลกั แหลง่ ขึน้ 2 แห่ง มีหวั หนำ้ ผปู้ กครอง คอื ท่บี ำ้ น ปำงหมแู ละบำ้ นแมฮ่ ่องสอน สำเหตทุ ่เี รียกวำ่ แม่ฮ่องสอน ก็เพรำะวำ่ ไดม้ ำตงั้ คอกฝึกชำ้ ง ณ บรเิ วณลำหว้ ยแห่งนีน้ ่นั เอง คำขวญั : หมอกสำมฤดู กองมเู สียดฟ้ำ ป่ำเขียวขจี ผคู้ นดี ประเพณีงำม ลอื นำมถ่นิ บวั ตอง
ต้นไม้ประจาจงั หวดั แมฮ่ ่องสอน ช่ือพนั ธ์ุไม้ ตน้ กระพ้ีจนั่ ช่ือสามัญ ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Millettia brandisiana Kurz วงศ์ LEGUMINOSAE ช่ืออื่น จนั่ ป้ี จน่ั (ทว่ั ไป), ป้ี จนั่ (ภาคเหนือ), กระพ้ีจนั่ (ภาคกลาง) ลกั ษณะทวั่ ไป ตน้ กระพ้ีจน่ั เป็นไมย้ นื ตน้ ผลดั ใบ สูง 8–20 เมตร เปลือกสีเทา ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเวยี นสลบั มีใบยอ่ ย แผน่ ใบรูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบทู่ โคนใบมนหรือสอบเบ้ียวเลก็ นอ้ ย ขอบเรียบ หลงั ใบสีเขียวเขม้ ทอ้ งใบสีจางกวา่ ใบแก่เกล้ียง มีขนประปรายตามเสน้ กลางใบดา้ นลา่ ง ดอกรูปดอกถวั่ สีขาวปนมว่ ง ออกดอก เป็นช่อตามงา่ มใบ ออกดอกระหวา่ งเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ผลเป็นฝักแบน โคนแคบกวา่ ปลาย เปลือกเกล้ียง หนาคลา้ ยแผน่ หนงั ขอบเป็นสนั เมลด็ สีน้าตาลดา ขยายพนั ธ์ุ โดยการเพาะเมลด็ ปักชาราก สภาพที่เหมาะสม สภาพดินทกุ ชนิด ตอ้ งการน้าและความช้ืนปานกลาง ทนแลง้ ไดด้ ี ถน่ิ กาเนิด เอเชียเขตร้อน ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวนั ออกเฉียงใตข้ องไทย
จงั หวดั ลำปำง เคร่ืองหมำยตรำประจำจงั หวดั ลำปำง มรี ูปไกข่ ำวเป็นสญั ลกั ษณส์ ำคญั ยนื อยใู่ นซุม้ มณฑปพระธำตลุ ำปำง หลวง ต่อมำทำงจงั หวดั ลำปำงไดเ้ สนอกระทรวงมหำดไทยขอใหเ้ ครอื่ งหมำยธงดวงตรำประจำจงั หวดั ลำปำง ซ่งึ มรี ูปไก่เผอื ก เป็นสญั ลกั ษณส์ ำคญั นนั้ ไดก้ ำหนดสปี ระจำจงั หวดั ลำปำงดว้ ย คำชวญั จงั หวดั ลำปำง ถำ่ นหินลือชำ รถมำ้ ลอื ล่นั เคร่อื งป้ันลือนำม งำมพระธำตลุ ือไกล ฝึกชำ้ งใชล้ ือโลก ดอกธรรมรักษา ดอกไมป้ ระจาจงั หวดั ลาปาง ดอกไม้ประจาจังหวัด ลาปาง ดอกธรรมรักษา
ช่ือสามญั Heliconia ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Heliconia spp. วงศ์ HELICONIACEAE ชื่ออื่น กา้ มกงุ้ ลกั ษณะทว่ั ไป ธรรมรักษาเป็นพรรณไมล้ ม้ ลุก อวบน้า มีลาตน้ ใตด้ ิน เรียกวา่ เหงา้ ลกั ษณะคลา้ ยกบั กลว้ ย ลาตน้ สูงประมาณ 1–2 เมตร เจริญเติบโตโดยการแตกหน่อออกมาเป็นกอ ลกั ษณะใบคลา้ ยใบกลว้ ย เรียงสลบั กนั มีสีเขียว ผิว เรียบเป็นมนั ขนาดของใบ ข้ึนอยกู่ บั ชนิดของพนั ธุ์ ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลาตน้ ลกั ษณะช่อดอกต้งั และหอ้ ยลงแลว้ แต่ชนิดพนั ธุ์ ในแต่ละช่อดอกมี 4–8 ดอก ดอกมีสีส้ม แดง เหลือง และชมพู ผลคอื ส่วนของ ดอกเมื่อแก่ก็จะกลายเป็น เมลด็ การขยายพนั ธ์ุ เพาะเมลด็ , แยกกอ, เพาะเล้ียงเน้ือเยอื่ สภาพที่เหมาะสม ดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย แสงแดดราไร จนถึงแสงแดดจดั ถ่นิ กาเนิด อเมริกาใต้
จงั หวดั ลำพนู ตรำประจำจงั หวดั ลำพนู เป็นรูปพระบรมธำตหุ รภิ ญุ ชยั ในวงกลม พนื้ สีฟ้ำ พระบรมธำตหุ รภิ ญุ ชยั ตำมตำนำน ก่อสรำ้ งขนึ้ รำว พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗ ในสมยั พญำอำทิตยรำช กษัตรยิ แ์ ห่งรำชวงศ์ จำมเทวีวงศ์ เพ่ือประดษิ ฐำน พระบรมสำรีรกิ ธำตทุ ่ปี รำกฏขนึ้ บนท่ีดินในเขตพระรำชฐำนเดิม ลกั ษณะของพระบรมธำตฯุ คำขวญั จงั หวดั ลำพนู พระธำตเุ ดน่ พระรอดขลงั ลำไยดงั กระเทียมดี ประเพณีงำม จำมเทวี ศรีหรภิ ญุ ชยั ” ตน้ จามจุรี ตน้ ไมป้ ระจาจงั หวดั ลาพูน
ช่ือพนั ธ์ุไม้ ตน้ จามจุรี ชื่อสามัญ Rain Tree, East Indian Walnut, Monkey Pod ช่ือวิทยาศาสตร์ Samanea saman (Jacq.) Merr. วงศ์ LEGUMINOSAE ชื่ออ่ืน กา้ มกราม กา้ มกงุ้ กา้ มปู จามจุรี (ภาคกลาง), ลงั สารสา สาสา (ภาคเหนือ), ตุ๊ดตู่ (ตาก), เส่คุ่ เส่ดู่ (กะเหรี่ยง- แมฮ่ ่องสอน) ลกั ษณะทัว่ ไป ตน้ จามจุรีเป็นไมย้ นื ตน้ ขนาดใหญส่ ูง 10–20 เมตร แผ่พุ่มกวา้ งคลา้ ยร่ม เป็นแบบขนนกสองช้นั ออกสลบั เปลือกตน้ สีดาเป็นเกลด็ โตแขง็ สีเขยี วเขม้ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกคลา้ ยใบแค ปลายใบมนแกนกลางใบ ประกอบและกา้ นใบประกอบแยกแขนงตรงขา้ มกนั บนแขนงมีใบยอ่ ยรูปไขห่ รือรูปรี หรือคลา้ ยรูปส่ีเหล่ียม ขนมเปี ยกปนู ปลายใบมน ขอบใบเรียบ หลงั ใบเกล้ียง ออกดอกเป็นรวมเป็นกระจุก สีชมพอู อ่ น โคนดอกสีขาว ออกตามง่ามใบใกลป้ ลายกิ่ง วงนอกช่อดอกมีขนาดเลก็ กวา่ ดอกวงใน ดอกวงนอกมีกา้ นส้นั ดอกวงใยไมม่ ีกา้ น ส่วนบนมีขนหนาแน่น ปลายหลอดกลีบดอกแยกเป็น 5 แฉก ออกดอกช่วงเดือนสิงหาคม-กุมภาพนั ธ์ ผลเป็นฝัก แบนยาว ฝักอ่อนสีเขยี ว ฝักแก่สีน้าตาล เน้ือในน่ิมสีดา รสหวาน เมลด็ สีน้าตาลเขม้ ขยายพนั ธ์ุ เพาะเมลด็ สภาพทเี่ หมาะสม ดินทกุ ชนิด เป็นไมก้ ลางแจง้ ถ่ินกาเนดิ อเมริกาใตเ้ ขตร้อน
จงั หวดั อตุ รดติ ถ์ ตรำสญั ลกั ษณป์ ระจำจงั หวดั อตุ รดิตถ์ ออกแบบโดย พระพรหมพิจิตร (อู๋ ลำภำนนท)์ ในปี พ.ศ. 2483 ตำม นโยบำยของ จอมพล ป.พบิ ลู สงครำม นำยกรฐั มนตรใี นสมยั นนั้ พระพรหมพิจติ รไดส้ นองนโยบำยท่ใี หน้ ำปู ชนียวตั ถสุ ถำนสำคญั ของจงั หวดั มำผกู เป็นตรำ ท่ำนจงึ ไดน้ ำรูปมณฑปประดิษฐำนพระแท่นศลิ ำอำสน์ โบรำณ สำคญั ของจงั หวดั อตุ รดิตถ์ มำประกอบผกู เขำ้ ไวเ้ ป็นตรำประจำจงั หวดั อตุ รดิตถ์ ตรำท่ผี กู ขนึ้ ใหม่นีเ้ ขียน ลำยเสน้ โดย นำยอณุ ห์ เศวตมำลย์ ไมม่ รี ูปครุฑ, นำมจงั หวดั และลำยกนกประกอบ ต่อมำทำงรำชกำรจงึ ไดเ้ พิม่ รำยละเอยี ดทงั้ สำมเขำ้ ไวใ้ นตรำจงั หวดั ซ่งึ ตรำนยี้ งั คงใชม้ ำจนปัจจบุ นั คำฃวญั จงั หวดั อตุ รดิตถ์ เหลก็ นำ้ พีล้ ือเลื่อง เมืองลำงสำดหวำน บำ้ นพระยำพชิ ยั ดำบหกั ถ่นิ สกั ใหญ่ของโลก
ดอกประดู่ ดอกไมป้ ระจาจงั หวดั อุตรดิตถ์ ประดู่องั สนา หรือ ดู่ป่ า (เหนือ) หรือ อะนอง หรือ ดู่ เป็นพรรณไมย้ นื ตน้ ขนาดกลางถึงขนาดใหญม่ ีความสูง ประมาณ 10-25 เมตร ผิวเปลือกลาตน้ มีสีดาหรือเทาลาตน้ เป็นพูไมก่ ลมแตกกิ่งกา้ นสาขากวา้ ง มีเรือนยอด ทึบแตกเป็นสะเก็ดร่องต้ืนๆ ใบเป็นช่อแตกออกจากปลายก่ิงมีใบยอ่ ยประกอบอยปู่ ระมาณ 6-12 ใบ ลกั ษณะ ของใบเป็นรูปมนรีปลายใบแหลมโคนใบมน ขอบใบเรียบเป็นมนั สีเขียว ใบมีขนาดยาวประมาณ 2-3 นิ้ว กวา้ งประมาณ 1-2 นิ้ว ออกดอกเป็นช่อออกตามปลายกิ่ง ดอกมีขนาดเลก็ สีเหลือง ผลมีขนเลก็ ๆปกคลมุ ขนาด ผลโตประมาณ 4-6 เซนติเมตร
อา้ งองิ (http://www.chiangmai.go.th/)
รวบรววมโดย อมุ ำกร บวั มำก โรงเรยี นเทศบำล 6 (วดั ตนั ตยำภริ ม) สำนกั กำรศกึ ษำ เทศบำลนครตรงั
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: