รายงาน เรื่อง สิ่งประดิษฐก์ บั ดกั ยงุ จดั ทาโดย นายอนุสรณ์ มีบุญ เลขท่ี ๒ นางสาวปิ ยธิดา ปาคา เลขท่ี ๖ นางสาววริ ดา กิตินนั ท์ เลขที่ ๘ นางสาวมาริสา มีบญุ เลขที่ ๑๑ นายนิธิกร ธญั ญะ เลขท่ี ๓๔ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๕/๒ เสนอ คุณครู ดารงค์ คนั ธะเรศย์ โรงเรียนปัว เขตพ้นื ที่การศึกษามธั ยมศึกษา ๓๗
บทคดั ย่อ โครงงานเล่มนีเ้ ป็ นโครงงานวทิ ยาศาสตร์ซึ่งทาให้ได้รู้ถึงเรื่อง การดกั ยงุ ว่าอย่างไร ใช่ไร ทา จากการทาทดี่ ักยงุ จากขวดพลาสตกิ และทาให้เป็ นความรู้ส่วนบุคคล เป็ นประโยชน์ต่อทกุ ๆ คนอกี ด้วย ผลทไ่ี ด้จากการทดลอง ได้ทาทด่ี กั ยุงเสร็จแล้ว ทาไปต้งั ภายในห้องนอน ต้งั แต่ 1 สัปดาห์ ได้ผลสาเร็จดักยงุ ได้ดอี กี ด้วย กติ ติกรรมประกาศ จากทไ่ี ด้จดั ทาโครงงานเล่มนี้ ทไ่ี ด้ สาเร็จลลุ ่วงไปได้ดเี พราะได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลอื จาก คุณครู ดารงค์ คนั ธะเรศย์ ทใ่ี ห้ คาปรึกษามากมายเกยี่ วกบั โครงงาน และขอขอบคุณ เพอ่ื นๆให้ความสนับสนุนช่วยเหลอื ในเรื่อง ต่างๆ และ ช่วยเหลอื ให้การสอบถามต่างๆ คณะผู้จัดทาขอขอบคุณทกุ ๆคน ทช่ี ่วยเหลอื ในเร่ือง เล่มโครงงาน สถานที่ และ เป็ นประโยชน์ต่อพวกเราอย่างมากๆอกี ด้วย จดั ทาโดย
บทท่ี 1 บทนา ทมี่ าและความสาคญั ยงุ เป็ นปัญหาสาคญั อยา่ งหน่ึงทางดา้ นสาธารณสุขของประเทศไทยโดยเฉพาะโรคที่มียงุ ลายเป็น พาหะ ไดแ้ ก่ ไขเ้ ลือดออกสายพนั ธุใ์ หมท่ ี่มีความรุนแรงมากข้ึนและโรคชิคนุ กนุ ยา จากรายงานสถานการณ์ เฝ้ าระวงั ทางระบาดวทิ ยาของ Burea of Epidermiology, Department of Disease Control Ministry of Public Health (2016) พบโรคไขเ้ ลือดออกมีแนวโนม้ สูงข้ึน ประเทศไทย มีผปู้ ่ วยจากไขเ้ ลือดออกจานวน 129,040 คน และมผี เู้ สียชีวติ 125 คน ในปี 2558 คาดการณ์วา่ จะมีผปู้ ่ วยเพมิ่ ข้ึนตลอดปี 2559 ประมาณ 166,000 คน โดยพบผปู้ ่ วยสูงสุดในช่วงฤดูฝน (เดือนมิถนุ ายน - สิงหาคม) ปัจจุบนั ยงั ไม่มียาหรือวคั ซีนใดท่ี ใช้ รักษาท้งั โรคไขเ้ ลือดออกและโรคชิคุนกนุ ยาไดโ้ ดยตรง การป้ องกนั โรคไขเ้ ลือดออก ไขส้ มองอกั เสบ เทา้ ชา้ ง และไข้ มาลาเรีย ยงั คงใหคว้ ามสาคญกั บกั ารควบคุมยงุ พาหะนาโรคเป็นมาตรการหลกั (WHO, 2012) สารเคมีท่ีนิยมนามาใชใ้ นการฆ่า ลกู น้ายงุ ไดแ้ ก่ กล่มุ ออร์แกโนฟอสเฟต (Organophosphates) ตวั อยา่ งเช่น Temphos (Abate®) Malathion และ Fenthion เป็ นตน้ ผลิตภณั ฑป์ ้ องกนั แมลงและไลย่ งุ ในทอ้ งตลาด จะมีสารออกฤทธ์ิที่สาคญั คือ N, N-diethyl-m-toluamide (DEET) ซ่ึงเป็ นสาร สงั เคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ สูงออกฤทธ์ิกวา้ งในการไลย่ งุ นิยมใชอ้ ยา่ งกวา้ งขวางในผลิตภณั ฑก์ นั ยงุ ที่วางขายในทอ้ งตลาด แตม่ ีขอ้ เสีย คือ มีกลิ่นค่อนขา้ งฉุน และอาจเกิดอาการแพส้ ารและมีความเป็ นพษิ ต่อผบู้ ริโภค นอกจากน้ียงั ก่อใหเ้ กิด ความ เสียหายแก่วสั ดุผา้ สงั เคราะห์ พลาสติก และยางได้ (Sharma, 2001; Qui et al., 1998) และสารออก ฤทธ์ิ IR3535 (Ethyl Butylacetylaminopropionate) เป็ นสารที่ทาใหเ้ กิดการระคายเคืองตอ่ ตาและผวิ (WHO, 2006) ท้งั DEET และ IR3535 เป็ นสารเคมีท่ีไม่มี ความปลอดภยั สาหรับเด็กมีผลทาใหเ้ ด็กเกิด อาการผิดปกติทางสมอง (Encephalopathy) (Abdel-Rahman et al., 2001) ดงั น้นั เพือ่ เป็ น การลดผล กระทบที่เกิดข้ึนการนาสารธรรมชาติจากพชื สมุนไพรมาใชจ้ ึงเป็ นอีกทางเลือกหน่ึงท่ีจะนามาใชเ้ พอื่ ทดแทน การ ใชส้ ารเคมี เนื่องจากสารจากพืชสมนุ ไพรมีความเป็ นพษิ ตอ่ มนุษยแ์ ละสตั วเ์ ล้ียงต่า (Murugan et al., 2007) สารสกดั หยาบจากพืช มีฤทธ์ิในการฆ่าลกู น้ายงุ และไลย่ งุ โดยใชต้ วั ทาละลายในการสกดั แตกตา่ งกนั เช่น ตวั ทาละลายเมทานอลท่ีใชส้ กดั สารสกดั หยาบจากข้ึนฉ่าย (Apium graveolens) จากประเทศไทยมี ฤทธ์ิดีในการฆ่าลกู น้ายงุ ลายบา้ น Ae. aegypti (Choochote et al., 2004) ใช้ สกดั สารสกดั หยาบจากใบ บวั หลวง (Nelumbo nucifera) มีฤทธ์ิดีในการฆ่าลกู น้ายงุ กน้ ปล่อง An. stephensi และยงุ ราคาญ Cx. quinquefasciatus การใชส้ กดั สารสกดั หยาบจากตน้ ลูกใตใ้ บ (Phyllanthus amarus) มีฤทธ์ิดีในการ ฆา่่ลกนู า่้ยงุกนป้ ลอ่ง An. stephensi และยงุราคาญ Cx. quinquefasciatu (Kamaraj et al., 2011) ตวั ทา ละลายเอทานอลทใ่่ี ่ชสก้ ดสั ารสกดหั ยาบจากใบตน้ ลาโพงขาว (Datura stramonium) จากประเทศอนิ เดียที่ ความเขม้ ขน้ 1 เปอร์เซ็นตไ์ มม่ ีฤทธ์ิในการไล่ยงุ ลายบา้ น Ae. aegypti มี ฤทธ์ิปานกลางในการไล่ยงุ กน้ ปลอ่ ง An. dirus และมีฤทธ์ิดีในการไลย่ งุ ราคาญ Cx. quinquefasciatus (Swathi et al., 2012) และตวั ทา ละลายเอธิลอะซิเตท (Ethyl Acetate) ท่ีใชส้ กดั สารสกดั หยาบจากเมลด็ พริกไทยมีฤทธ์ิในการฆ่าลกู น้ายงุ กน้ ปลอ่ ง An. stephensi และยงุ ราคาญ
จากการที่ไดจ้ ดั ทาศึกษาและคน้ ควา้ เรื่องยงุ ซ่ึงยงุ ทาใหแ้ ต่ละครัวเรือนรู้สึกราคาญและแถมยงั กลวั โรคที่มาจากยงุ อีก มากมาย เช่น ไขเ้ ลือดออก เป็ นตน้ จึงไดจ้ ดั ทาโครงงานเร่ือง กบั ดกั ยงุ จากขวดพลาสติก ท่ีไดจ้ ดั ทาโครงงานเรื่อง กบั ดกั ยงุ จากขวดพาสติกไดศ้ ึกษามาวา่ ยงุ ตวั เมียจะหาเหยอ่ื จากกา๊ ซ co2 ท่ีคนเราหายใจ ออกมา แกส๊ ท่ีออกมาจากปอดเราคือ คาบอนไดออกไซด์ และยงุ ตวั เมียสามารถไดก้ ล่ินจากแกส๊ น้ีทาใหย้ งุ ตวั เมียเขา้ ไปอยู่ ในขวดยสี ต์ เมื่อผสมกบั น้าหวานจะคายก๊าซคาบอนไดออกไซดอ์ อกมาในปริมาณเทียบเท่ากบั การหายใจออกตลอดเวลา เพอ่ื ใชด้ กั ยงุ จากหอ้ งน้าของเรา กบั ดกั ยงุ จากขวดพลาสติกน้ี มีประโยชน์มากในโรงเรียน โรงพยาบาล บา้ น หรือ หอ้ งของทกุ ๆคน โดยไมต่ อ้ งฉีดหรือ พน่ สารเคมีซ่ึงมีผลกระทบตอ่ สงั คมส่ิงแวกลอ้ มและครอบครัวของทุกๆคน วตั ถุประสงค์ 1.เพอ่ื กาจดั ยงุ ในบา้ นได้ 2.เพอื่ เป็ นการใชจ้ ากสารเคมที ี่เป็นอนั ตรายภายในบา้ นใหน้ อ้ ยลง ขอบเขตการศึกษา สถานท่ีท่ีมียงุ ปริมาณมากพอในการทดลองและวสั ดุจากท่ีหาไดง้ า่ ย และไม่มีคา่ ใชจ้ ่ายในการประดิษฐ์ ท่ีแพงเกินไป ผลทคี่ าดว่าจะได้รับ 1.ปริมาณของยงุ ภายในบา้ นลดนอ้ ยลง 2.ประหยดั คา่ ใชจ้ ่ายภายในบา้ นโดยไม่ตอ้ งไปซ้ือ ยาฉีดยงุ ใหส้ ิ้นเปลือง
บทท2ี่ เอกสารทเ่ี กย่ี วข้อง ยสี ต์ หรือ ส่าเหล้า (องั กฤษ: yeast) คือ รากลมุ่ หน่ึงที่ส่วนใหญเ่ ป็ นเซลลเ์ ดี่ยวมขี นาด 5-10 ไมครอน เม่ือแตกหน่อและ เซลลต์ อ่ กนั เป็นสาย เรียกวา่ ซูโดมยั สิเลียม (psudomycelium) บางชนิดสร้างเสน้ ใยที่ แทจ้ ริง true mycelium เช่น เดียวกบั เช ่ื่้ อรา มีรูปร่างหลายแบบ ท้งั แบบกลม รูปไข่ รูปไขป่ ลายแหลม รูปคนโท สามเหล่ี ยม ทรงกระบอก และ รูปเลมอน ส่วนใหญ่จะ สืบพนั ธุแ์ บบไมอ่ าศยั เพศ โดยการแตกหน่อ (budding) เราสามารถพบยสี ตไ์ ดท้ ว่ั ไปในธรรมชาติท้งั ในดิน ในนา้ํ หรือในส่วนต่างๆ ของพชื ยสี ตบ์ างชนิด อาจพบอยกู่ บั แมลง หรือแมแ้ ตใ่ นกระเพาะของสตั ว์ บางชนิด แต่ แหลง่ ท ่่ี ่ พบยสี ตไ์ ดบ้ ่อยๆ คือ แหล่งที่มี นา้ํ ตาลความเขม้ ขน้ สูง เช่น นา้ํ ผลไมท้ ี่มีรสหวาน ยสี ตท์ ่ีมีอยตู่ ามธรรมชาติ มกั จะปนลงไปในอาหาร เป็นเหตใุ หอ้ าหารเน่าเสียได้ ยสี ตเ์ ป็นส่ิงมีชีวติ ท่ีมีขนาดเลก็ มาก มีเยอื่ หุม้ นิวเคลียส (eukaryotic micro-organisms) จดั อยใู่ นกลมุ่ จาพวกเห็ด รา (Fungi) มีท้งั ที่เป็ นประโยชนแ์ ละโทษตอ่ อาหาร มีการนายสี ตม์ าใช้ ประโยชนน์ านมาแลว้ โดยเฉพาะการผลิตอาหารที่มีแอลกอฮอล์ จากคุณสมบตั ิท่ีมีขนาดเลก็ มาก สามารถเพาะเล้ียงใหเ้ กิด ไดใ้ นเวลาอนั รวดเร็ว และวธิ ีการไมย่ งุ่ ยาก ทาใหย้ สี ตเ์ ร่ิมมีบทบาทที่สาคญั ในวงการเพาะเล้ียงสตั วน์ ้า โดยสามารถนามาใช้ เป็ นอาหารสาหรับเล้ียงอาหารธรรมชาติที่สาคญั อีกทีหน่ึง เช่น ไรแดง โรติเฟอร์ และอาร์ทีเมีย นอกจากน ่่ี ้ เรายงั สามารถพบยสี ตไ์ ดใ้ นผกั ดอง ผลไม้ ดอง และอาหารหมกั ในบางระยะ ยงุ เป็นแมลงที่พบไดท้ วั่ โลกแตพ่ บมากในเขตร้อนและเขตอบอนุ่ โดยปกติ ลกู น้ามกั จะกินจาพวก แบคทีเรีย โปรโตซวั ยสี ต์ สาหร่าย และพืชน้าที่มีขนาดเลก็ ยงุ ตวั เมียกินน้าหวานและเลือดเป็นอาหาร ส่วนตวั ผมู้ กั จะกินน้าหวานจากดอกไม้ ยงุ ยงั เป็ นแมลงท่ีเป็ นพาหะแพร่เช้ือโรคอีกดว้ ย เช่น ไขเ้ ลือดออก ยงุ ทว่ั โลกมีอยปู่ ระมาณ 3450 ชนิด แตพ่ บในประเทศไทย ประมาณ 412 ชนิด แตท่ ่ีคุน้ เคยกนั ดี คือ ยงุ กน้ ปลอ่ ง (Anopheles) และยงุ ลาย (Aedes) กบั ดกั คือ เคร่ือง ดกั สตั ว์ เพือ่ ใหส้ ตั วเ์ ขา้ มาติด ขวดพลาสตกิ คือขวดท่ีทาจากพลาสติก ใชบ้ รรจุของเหลว เช่น น้า น้าอดั ลม น้ามนั เคร่ือง น้ามนั ประกอบอาหาร ยา ยา สระผม นม และหมึก มีต้งั แตข่ นาดเลก็ จนถึงขวดคาร์บอยขนาดใหญ่ นา้ ตาล เป็ นชื่อเรียกทวั่ ไปของคาร์โบไฮเดรตชนิดละลายน้า โซ่ส้นั และมีรสหวาน ส่วนใหญ่ใชป้ ระกอบอาหาร น้าตาล เป็ นคาร์โบไฮเดรตที่ประกอบดว้ ยธาตคุ าร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน มีน้าตาลหลายชนิดเกิดมาจากท่ีมาหลายแหล่ง น้าตาลอยา่ งง่ายเรียกวา่ โมโนแซ็กคาไรดแ์ ละหมายรวมถึงกลูโคส (หรือ เด็กซโ์ ตรส) ฟรุกโตส และกาแลกโตส น้าตาลโตะ๊ หรือน้าตาลเมด็ ที่ใชเ้ ป็ นอาหารคอื ซูโครส เป็ นไดแซ็กคาไรดช์ นิดหน่ึง (ในร่างกาย ซูโครสจะรวมตวั กบั น้าแลว้ กลายเป็ นฟ รุกโตสและกลูโคส) ไดแซ็กคาไรดช์ นิดอื่นยงั รวมถึงมอลโตส และแลกโตสดว้ ย โซ่ของน้าตาลท่ียาวกวา่ เรียกวา่ โอลิ โกแซ็กคาไรด์ สสารอ่ืน ๆ ท่ีแตกตา่ งกนั เชิงเคมีอาจมีรสหวาน แตไ่ ม่ไดจ้ ดั วา่ เป็นน้าตาล บางชนิดถกู ใชเ้ ป็ นสารทดแทน น้าตาลท่ีมีแคลอรีต่า เรียกวา่ เป็น วตั ถใุ หค้ วามหวานทดแทนน้าตาล (artificial sweeteners) น้าตาลพบไดท้ ว่ั ไปในเน้ือเยอื่ ของพืช แตม่ ีเพียงออ้ ย และชูการ์บีตเท่าน้นั ท่ีพบน้าตาลในปริมาณความเขม้ ขน้ เพียงพอที่จะสกดั ออกมาไดอ้ ยา่ งมี
ประสิทธิภาพ ออ้ ยหมายรวมถึงหญา้ ยกั ษห์ ลายสายพนั ธุใ์ นสกลุ Saccharum ท่ีปลกู กนั ในเขตร้อนอยา่ งเอเชียใต้ และเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ แนวคดิ /ทฤษฎี มาตรการการควบคุมยงุ พาหะนาโรค เนื่องจากขอ้ จากดั ในการควบคุมโรคไขเ้ ลือดออก ทาใหม้ าตรการในการป้ องกนั และควบคุมโรคยงั คงเนน้ หนกั ในเรื่องการ ควบคุมยงุ พาหะ ซ่ึงมีวธิ ีการต่างๆ ดงั น้ี คือ 1. การกาจดั หรือลดแหล่งเพาะพนั ธุย์ งุ ลาย ไดแ้ ก่ การปกปิ ด ภาชนะเกบ็ น้า ดว้ ยฝาปิ ดสองช้นั โดยเสริมดว้ ยผา้ มงุ้ ผา้ ยาง พลาสติกปิ ด การควา่ ภาชนะท่ีไมไ่ ดใ้ ชป้ ระโยชน์ เพ่อื มิใหร้ องรับน้า การเผา การฝัง ทาลาย หรือกลบทิ้งเศษวสั ดุท่ีอาจเป็น แหลง่ เพาะพนั ธุ์ยงุ ลายได้ 2. การทาลายลูกน้ายงุ ลาย ดว้ ยวธิ ีทางกายภาพ การปิ ดปากภาชนะเก็บน้าดว้ ยผา้ ตาขา่ ยไนลอนฝาอะลมู ิเนียม หรือวสั ดุอ่ืนใด ท่ีสามารถปิ ดปากภาชนะเก็บน้าน้นั ไดอ้ ยา่ งมิดชิด จนยงุ ลายไมส่ ามารถเลด็ ลอด เขา้ ไปวางไข่ได้ การหมนั่ เปลี่ยนน้าทุก 7 วนั วธิ ีน้ีเหมาะสาหรับภาชนะเลก็ ๆ ที่กกั เก็บน้าไมม่ าก เช่น แจกนั ดอกไมส้ ด รวมท้งั ภาชนะและขวดประเภทต่าง ๆ ท่ีใช้ เล้ียงตน้ พลดู ่าง การใส่ทรายธรรมดาในจานรองกระถางตน้ ไมใ้ หล้ ึกประมาณ 3 ใน 4 ส่วนของความลึกของจานรองกระถาง ตน้ ไม้ เพ่ือใหท้ รายดดู ซึมน้าส่วนเกินจากการรดน้าตน้ ไม้ และอาจเทน้าที่ขงั อยใู่ นจานรองกระถางตน้ ไมท้ ุก 7 วนั เก็บ ทาลายเศษวสั ดุ เช่น ขวด ไห กระป๋ องและยางรถยนตเ์ ก่าท่ีไม่ใชป้ ระโยชน์ หรือการปกคลมุ ใหม้ ิดชิดเพ่อื มิใหเ้ ป็ นที่รองรบั น้าได้ การนายางรถยนตเ์ ก่า มาดดั แปลงเป็นท่ีปลูกดอกไม้ พชื ผกั สวนครัว เป็ นท่ีทิ้งขยะ เป็นเกา้ อ้ี ควรเจาะรูใหน้ ้าระบาย ไหลออกไดโ้ ดยง่าย การกลบ ถมหรือการระบายน้า พ้ืนที่ท่ีเป็ นหลมุ เป็ นบ่อควรปรับผิวดินหรือใส่ดินเพิม่ ลงไปในแอ่งน้าขงั น้นั เสีย หรือการกาจดั ยงุ อีกวธิ ีหน่ึงคือ การใส่ยสี ตผ์ สมกบั น้าตาลในน้า โดยนาไปไวท้ ่ีบริเวณยงุ ชุม ซ่ึงยสี ตเ์ มื่อทาปฏิกิริยา กบั น้าตาลแลว้ จะเกิดแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ที่ยงุ จะคิดวา่ เป็ นสตั วส์ ิ่งมีชีวติ และมีลกั ษณะทึบแสงท่ียงุ ชอบอยเู่ ป็ นการลอ่ ยงุ ใหม้ าติดในขวดแลว้ จากน้นั เราก็นาไปกาจดั ตอ่ ไป 3. การทาลายยงุ ตวั เตม็ วยั โดยพน่ เคมีกาจดั ยงุ โดยวธิ ีพน่ ละอองฝอยหรือพน่ แบบ Ultra Low Volume (ULV) โดยพน่ น้ายา เคมีจากเคร่ืองพน่ โดยใชแ้ รงอดั อากาศผา่ นรูพน่ กระจายออกมาเป็ นละอองฝอยขนาดเลก็ มากซ่ึงกระจายอยใู่ นอากาศและ สมั ผสั กบั ตวั ยงุ การพน่ หมอกควนั (Themal Fogging) โดยพน่ น้ายาเคมีออก จากเครื่องพน่ โดยใชอ้ ากาศร้อนพน่ เป็นหมอก ควนั ใหฟ้ ้ งุ กระจายในอากาศเพือ่ สมั ผสั กบั ตวั ยงุ 4. การลด Man - Mosquito Contact ไดแ้ ก่ นอนในมุง้ นอนในมงุ้ ท่ีชุบน้ายา ใชย้ าทากนั ยงุ การป้ องกนั และควบคุมโรค โดยการควบคุมยงุ พาหะน้นั วธิ ีท่ีไดผ้ ลดีที่สุด คือ การกาจดั หรือลดแหล่งเพาะพนั ธุย์ งุ ท้งั น้ีเป็ นวธิ ีที่ไม่สิ้นเปลืองคา่ ใชจ้ ่ายใน การจดั ซ้ือสารเคมีและได้ ผลจริงจงั เพราะเป็ นการควบคุมการเกิดของยงุ และจดั วา่ เป็ นเป้ านิ่งในการควบคุมไดด้ ีท่ีสุด
ความสาคญั ของยสี ต์กบั ดกั ยุง ยสี ตเ์ ป็นจุลินทรียท์ ี่รู้จกั กนั มาต้งั แต่สมยั โบราณถึงกบั มีผกู้ ลา่ ววา่ ยสี ตเ์ ป็ นจุลินทรียช์ นิดแรกที่มนุษยน์ ามาใช้ รายงานแรกเกี่ยวกบั การใชย้ สี ต์ คือการผลิตเบียร์ชนิดหน่ึงท่ีเรียกวา่ Heineken เม่ือประมาณ 6,000 ปี ก่อนคริสตศ์ กั ราช คน ไทยรู้จกั ใชป้ ระโยชน์จากยสี ตม์ าเป็ นเวลานาน เช่นในการทาอาหารหมกั บางชนิด ไดแ้ ก่ ขา้ วหมาก ปลาแจ่วเคร่ืองดองของ เมาหลายชนิดเช่น อุ สาโท และกระแช่ เป็ นตน้ ปัจจบุ นั มีการนายสี ตม์ าใชป้ ระโยชนใ์ นอตุ สาหกรรมหลายประเภท เป็นตน้ วา่ การผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชนิดตา่ งๆเชน่ เบียร์ ไวน์ และวสิ ก้ี การผลิตเอทิลแอลกอฮอลเ์ พ่อื ใชเ้ ป็ นสารเคมี และ เช้ือเพลิง การผลิตเซลลย์ สี ต์ เพอ่ื ใชเ้ ป็ นยสี ตข์ นมปังและเป็ นโปรตีนเซลลเ์ ดียว ราบางประเภทสามารถนามาใชใ้ นการผลิต สุราไดแ้ ตร่ าบางชนิดที่เพาะมาเป็นพิเศษ ก็เป็ นราที่ผลิตมาเพ่อื การคา้ และมีลิขสิทธ์ิเฉพาะ เช่นรา คาลสเบิร์กโนเจนซิส เป็ น ราลิขสิทธ์ิท่ีใชใ้ นการผลติ เบียร์ คาลสเบิร์ก การผลิตยสี ตท์ ี่ไดค้ ุณภาพจะตอ้ งผา่ นการรับรองจากสถาบนั Leco ถึงจะสามารถ บรรจุวางขายในซูเปอร์มาร์เกต็ ของยโุ รปเช่น ร้าน Hermes และ Struers ได้ ยสี ตม์ ีคุณสมบตั ิในการเปล่ียนน้าตาลใหเ้ ป็น คาร์บอนไดออกไซดแ์ ละแอลกอฮอลไ์ ด้ โดยหลกั การทางานของยสี ต์ หรือ \"เบเกอร์ ยสี ต\"์ (Baker yeast) ที่ใส่ใหข้ นมปังฟู เนื่องมาจากยสี ตท์ ี่ใส่ลงไปมีการใชน้ ้าตาลในแป้ งขนมปัง หรือท่ีเรียกกนั วา่ \"โด\"้ (dough) เป็นอาหาร และระหวา่ งที่มนั กิน อาหารมนั จะเกิดการหายใจแบบไมใ่ ชอ้ อกซิเจน สลายกลูโคสได้ adenosine triphosphate และคายแกส็ คาร์บอนไดออกไซต์ ออกมา และเมื่อเราเอาแป้ งไปอบ ก๊าซที่มนั คายออกมาก็ผดุ ข้ึนมาระหวา่ งเน้ือขนมปังทาใหเ้ กิดรูพรุนจนฟขู ้ึนมา ความสาคญั 1. กบั ดกั ยงุ จากขวดพลาสติกน้ี มีประโยชนม์ ากในโรงเรียน โรงพยาบาล บา้ น หรือ หอ้ งของทุกๆคน โดยไม่ตอ้ งฉีดหรือพน่ สารเคมีซ่ึงมีผลกระทบต่อสงั คมส่ิงแวกลอ้ มและครอบครัวของทกุ ๆคน 2. ช่วยลดประมาณผปู้ ่ วยโรคใขเ้ ลือดออก 3. ปลอดภยั ตอ่ ผใู้ ชง้ านเน่ืองจากไมม่ ีกล่ินของควนั หรือกล่ินสารเคมีของการใชง้ าน องค์ประกอบของยสี ต์ เซลลย์ สี ตป์ ระกอบดว้ ย กรดอะมิโน โปรตีน เกลือแร่ วติ ามินและธาตุอาหารที่จาเป็ นต่อการ เจริญเติบโตของมนุษยแ์ ละ สตั วย์ สี ตจ์ ึงถกู นามาเป็ นอาหารคนและอาหารสตั วท์ ี่มากดว้ ยคุณคา่ ของวติ ามิน เช่น การด ่ื่่มไวน์เพยี งวนั ละนิดจะช่วยให้ ร่างกายแขง็ แรง ตา้ นทานโรค ทาใหม้ ีอายยุ นื เพราะมีสารอาหาร และ แร่ธาตทุ ่ีจาเป็นตอ่ การเจริญ และการตา้ นทานโรค
งานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วข้อง 1. งานวจิ ยั เกี่ยวกบั พฤติกรรมการป้ องกนั ตนเองจากโรคไขเ้ ลือดออก สิริลกั ษณ์ เรืองณรงค์ (2546, หน้า 81-83) ศึกษาเรื่อง “พฤติกรรมการป้ องกนั ตนเองจากโรคไขเ้ ลือดออกของประชาชน ตาบลหนองบวั อาเภอรัชฎา จงั หวดั ตรัง” พบวา่ มีความรู้เก่ียวกบั โรคไขเ้ ลอื ดออกใน ระดบั ต่ามีทศั นคติเก่ียวกบั โรคไขเ้ ลือดออกในระดบั ปานกลางและมีพฤติกรรม การป้ องกนั ตนเอง จากโรคไขเ้ ลือดออกในระดบั ปานกลาง สาหรับพฤติกรรมการป้ องกนั ยงุ ลายกดั ในการศึกษา พฤติกรรม การป้ องกนั ตนเองจากโรคไขเ้ ลือดออก พบวา่ กลุ่มตวั อยา่ งส่วนใหญ่ ร้อยละ 46.80 ไม่ เคยทายากนั ยงุ ก่อนนอน ร้อยละ 38.30 ทาบางคร้ังและร้อยละ 14.90 ทาบ่อยคร้ัง อัจฉรา จั่นเพชรและวราภรณ์ ศิวดาํ รงพงศ์ (2549, หน้า 48-60) ศึกษาเรื่อง “ความรู้ การรับรู้และการสนบั สนุนทางสงั คมตอ่ พฤติกรรมการป้ องกนั โรคไขเ้ ลือดออกของประชาชนใน เขตเทศบาลนคร ยะลาจงั หวดั ยะลา ” พบวา่ มีพฤติกรรมการป้ องกนั โรคไขเ้ ลือดออกในระดบั 22 ปานกลาง สาหรับพฤติกรรมการป้ องกนั ยงุ ลายกดั ในการศึกษาพฤติกรรมการป้ องกนั ตนเองจากโรค ไขเ้ ลือดออก พบวา่ มีการศึกษาเกี่ยวกบั การนอนกางมุง้ ในตอน กลางวนั การใชย้ ากนั ยงุ ยาฉีดกนั ยงุ และยาทากนั ยงุ แต่ไม่ไดร้ ะบุถึงรายละเอียดในแตล่ ะวธิ ีการ รัชฎาภรณ์ จันท ชารี (2550, หน้า 57-58) ศึกษาเรื่อง “พฤติกรรมการป้ องกนั ตนเองจาก โรคไขเ้ ลือดออกของประชาชนในเขตเทศบาลนคร ยะลา จงั หวดั ยะลา ” พบวา่ มีความรู้เก่ียวกบั โรค ไขเ้ ลือดออกในระดบั ต่า่ํ ถึง ปานกลางและพฤติกรรมการป้ องกนั ตนเอง จากโรคไขเ้ ลือดออกใน ระดบั สูง สาหรับพฤติกรรมการป้ องกนั ยงุ ลายกดั ในการศึกษาพฤติกรรมการป้ องกนั ตนเองจากโรค ไขเ้ ลือดออก พบวา่ การศึกษาเกี่ยวกบั การนอนกางมงุ้ ในตอนกลางวนั และกลางคืน กล่มุ ตวั อยา่ ง ส่วนใหญ่ร้อยละ 49.70 นอนกางมุง้ บางคร้ังร้อยละ 26.80 ไมเ่ คยนอนกางมงุ้ และร้อยละ 23.50 นอนกางมุง้ ทุกคร้ังและมีการศึกษาการใชย้ ากนั ยงุ และยาทากนั ยงุ พบวา่ กล่มุ ตวั อยา่ งร้อยละ 40.80 มีการใชบ้ ่อยคร้ังและบางคร้ังและร้อยละ 18.40 ไม่เคยใชเ้ ลย 2.สงั เกต ประสบการณ์หรือรายงานการรับรู้ ขอ้ เทจ็ จริงเหลา่ น้ีตอ้ งชดั เจน บลูม (Bloom) ไดใ้ หค้ วามหมายของ “ความรู้” วา่ เป็ นเร่ืองที่เกี่ยวขอ้ งกบั การระลึกถึงส่ิงเฉพาะเร่ืองหรือเร่ืองทวั่ ๆ ไป ที่ระลึกไดว้ ธิ ีการ กระบวนการ หรือ สถานการณ์ตา่ งๆ โดยเนน้ ความจาและประภาเพญ็ สุวรรณ ไดส้ รุปวา่ “ความรู้” เป็ นพฤติกรรมข้นั ตน้ ซ่ึงผเู้ รียนเพียงแตจ่ า ไดอ้ าจจะโดยการนึกหรือการมองเห็น ไดย้ นิ จาได้ ความรู้ในท่ีน้ีไดแ้ ก่ ความรู้เกี่ ยวกบั คาจากดั ความ ความหมาย ขอ้ เทจ็ จริง ทฤษฏีกฎ โครงสร้าง วธิ ีการแกป้ ัญหา เป็ นตน้ สรุปไดว้ า่ ความรู้เป็ นพ้ืนฐานท่ีจะทาใหบ้ ุคคลแสดงพฤติกรรม ในการศึกษา คร้ังน้ีผวู้ จิ ยั ไดใ้ หค้ วามหมายความรู้เก่ียวกบั โรคไขเ้ ลือดออกจากความรู้ที่เด็กนกั เรียนประถมศึกษาปี ท่ี 6 ไดร้ ับจากการ เรียนการสอนในโรงเรียนท่ีนกั เรียนควรจะไดร้ ับวา่ หมายถึง การรู้เรื่องราว ขอ้ เทจ็ จริงเก่ียวกบั เน้ือหาสาระเกี่ยวกบั โรค ไขเ้ ลือดออก ไดแ้ ก่ อนั ตรายของโรค ยงุ ลายเป็นพาหะนาโรค ช่วงเวลาที่ยงุ ลายออกหากิน วธิ ีป้ องกนั โรคไขเ้ ลือดออก วธิ ีการกาจดั แหล่งเพาะพนั ธุย์ งุ ลาย และ ลูกน้ายงุ ลาย ไดม้ ีผศู้ ึกษาวจิ ยั เกี่ยวกบั ความรู้กบั พฤติกรรมการป้ องกนั โรค ดงั เช่น จากการศึกษาของ ศิริพร พงษโ์ ภคาศึกษาความรู้เร่ืองโรค ความเช่ือดา้ นสุขภาพและการปฏิบตั ิตน เพ่อื ป้ องกนั โรคติดต่อ ของโรค ในมารดาหลงั คลอดท่ีเป็นพาหะของโรคตบั อกั เสบบีท่ีหน่วยหลงั คลอด รพ.ศิริราช รพ.รามาธิบดี รพ.จุฬาภรณ์ จานวน 200 คน พบวา่ ความรู้เรื่องโรคมคี วามสมั พนั ธ์ ทางบวกกบั การปฏิบตั ติ น เพอ่ื ป้ องกนั โรคติดตอ่ ของโรคไวรัสตบั อกั เสบบี แกว้ ตระวนั ต่วนชะเอม ศึกษาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความรู้ เจตคติกบั การปฏิบตั ิตวั เพ่อื ป้ องกนั โรคเอดส์ของหญิง ต้งั ครรภท์ ่ีผา่ นมาที่ฝากครรภท์ ่ีโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จงั หวดั ปทุมธานี จานวน 350 คน พบวา่ ความรู้
เรื่องโรคเอดส์มีความสมั พนั ธก์ บั การปฏิบตั ิตวั เพื่อป้ องกนั โรคเอดส์ของหญิงต้งั ครรภอ์ ยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ กนกพร โฉมเฉลาศึกษาปัจจยั ท่ีมคี วามสมั พนั ธ์กบั พฤติกรรมการป้ องกนั การติดเช้ือโรคเอดส์ของสตรีในโรงพยาบาล พระนครศรีอยธุ ยา จานวน 188 คน พบวาความรู้เร่ืองโรคเอดส์ มีความสมั พนั ธก์ บั พฤติกรรมการป้ องกนั การติดเช้ือเอดส์ ของสตรี การศึกษาวจิ ยั เก่ียวกบั ความรู้เรื่องโรคไขเ้ ลือดออกกบั พฤติกรรมการป้ องกนั โรคไขเ้ ลือดออกดงั เช่น การศึกษาของ ชูอนงค์ อาษารักษ์ ศึกษาพฤติกรรมสุขภาพเกี่ยวกบั โรคไขเ้ ลือดออกของนกั เรียนประถมศึกษา เขตการศึกษา 9 จานวน 500 คน พบวา่ ความรู้มีผลตอ่ การปฏิบตั ิเกี่ยวกบั โรคไขเ้ ลือดออก โดยนกั เรียนมีความรู้เร่ืองโรคไขเ้ ลือดออกในระดบั ปานกลาง และมีการปฏิบตั ใิ นระดบั ปานกลาง สุวทิ ย์ พฒั น์มณี ศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมสุขภาพเกี่ยวกบั การป้ องกนั และควบคุม โรคไขเ้ ลือดออกของมารดาที่ไดร้ บั และไมไ่ ดร้ ับโปรแกรมสุขศึกษาในเขตอาเภอกระนวน จ.ขอนแก่น จานวน 74 คน แบ่ง เป็ นกลมุ่ ทดลอง 38 คน กล่มุ ควบคุม 36 คน พบวา่ มารดากลุ่มทดลองที่ไดร้ ับความรู้ เกี่ยวกบั โรคไขเ้ ลือดออกตาม โปรแกรมสุขศึกษาโดยนาแบบแผนความเช่ือดา้ นสุขภาพมาประยกุ ต์ ในการใหค้ วามรู้มีพฤติกรรมสุขภาพในดา้ นการ ปฏิบตั ิในการป้ องกนั และควบคมุ โรคไขเ้ ลือดออก ดีกวา่ ก่อนทดลองและดีกวา่ กลุม่ ควบคุม พรพิมล พวงเงิน ศึกษา สถานการณ์โรคไขเ้ ลือดออกในชมุ ชนแออดั เขตหว้ ยขวาง กรุงเทพมหานคร จานวน 712 คน พบวา ความรู้ของประชาชนมี ความสมั พนั ธ์กบั การปฏิบตั ิใน การป้ องกนโรคไขเ้ ลือดออก โดยผทู้ ี่มีความรู้เก่ียวกบั โรคไขเ้ ลือดออกดีจะมีการปฏิบตั ิอยู่ ในเกณฑด์ ี สวา่ งใจ ชยั กิจจากการทดสอบความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความรู้เกี่ยวกบั ระบาดวทิ ยา เกี่ยวกบั โรคไขเ้ ลือดออก กบั พฤติกรรมอนามยั ส่ิงแวดลอ้ ม พบวา่ ความแตกตา่ งของระดบั ความรู้ เก่ียวกบั โรคไขเ้ ลือดออกก่อใหเ้ กิดความแตกต่างกนั ใน เร่ืองพฤติกรรมอนามยั ส่ิงแวดลอ้ ม โดยกลมุ่ ที่มี การป้ องกนั ไขเ้ ลือดออกสูง มีความรู้เก่ียวกบั โรคไขเ้ ลือดออกสูงกวา่ กลุม่ ที่ มีการป้ องกนั โรคไขเ้ ลือดออกต่า นฤทธ์ิ สิงสถิตย์ ศึกษาการพฒั นาพฤติกรรมในการป้ องกนและควบคุมไขเ้ ลือดออก ใน กลมุ่ แม่บา้ น จงั หวดั เลย จานวน 125 คน กลุม่ ทดลอง 65 คน กลมุ่ ควบคุม 63 คน พบวาความรู้เกี่ยวกบั โรคไขเ้ ลือดออกของ แม่บา้ นมีความสมั พนั ธ์กบั พฤติกรรมในการป้ องกนั และควบคุมไขเ้ ลือดออก การศึกษาท่ีไม่พบความสมั พนั ธ์ เช่น การศึกษา ของ ปทุม คาวเิ ศษศึกษาความรู้และ การปฏิบตั ิตนในการป้ องกนั และควบคุมไขเ้ ลือดออก ของชาวบา้ นอรุโณทยั ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ จานวน 164 คน พบวา ความรู้เกี่ยวกบั โรคไขเ้ ลือดออกไม่มีความสมั พนั ธก์ บั การปฏิบตั ิในการ ป้ องกนั โรคไขเ้ ลือดออก จากเหตผุ ลการศึกษาที่กล่าวมาสามารถต้ั งสมมติฐานไดว้ า่ ความรู้เกี่ยวกบั โรคไขเ้ ลือดออก มีผล ต่อพฤติกรรมป้ องกนั โรคไขเ้ ลือดออกในทางบวก 3. การรับรู้ถึงภาวะเส่ียงของการเกิดโรค บุคคลจะมีการับรู้ในระดบั ที่แตกต่างกนั วา่ ตนเองมีโอกาสจะเจบ็ ป่ วยหรือ ติดโรคเฉพาะหน่ึงๆ โดยท่ีขอ้ หน่ึงอาจเป็ นวา่ บุคคลจะเพิกเฉยไม่รับรู้วาตนมีโอกาสใดๆ ที่จะตดิ ต่อโรคน้นั ขณะที่ โอกาส เสี่ยงที่รับรู้สาหรับคนบางคนก็อาจจะมีบา้ ง แตต่ นเองกม็ กั ไมอ่ ยากเช่ือวา่ จะเกิดข้ึนกบั ตนเอง ความเส่ียงท่ีรับรูจ้ ึงอาจอยใู่ น ระดบั ต่างๆ กนั จนไปถึงอีกขอ้ หน่ึง บุคคลอาจจะรบั รู้วา่ ตนมีโอกาสสูงมากท่ีจะติดต่อหรือเป็ นอนั ตรายจากโรคน้นั กล่าว โดยสรุปปัจจยั ตวั น้ีเป็นความเป็ นไปไดห้ รือโอกาสเสี่ยงท่ี หมายถึงความเสี่ยงในการที่จะตดิ โรคหรือประสบภาวะคุกความ ตอ่ สุขภาพจากการศึกษาของ เบคเกอร์ และคณะ (Becker & Maiman) ท่ีไดท้ าการศึกษาพฤติกรรมมารดาผปู้ ่ วยเด็กท่ีเป็น โรคหูน้าหนวก พบวา่ ความเช่ือตอ่ ความง่ายในการเจบ็ ป่ วยดว้ ยโรคทว่ั ไปของเดก็ ความเช่ือมน่ั ในความถูกตอ้ งของ การ วนิ ิจฉยั โรคของแพทยแ์ ละความเชื่อวา่ เด็กมีโอกาสติดเช้ือซ้าอีกน้นั มีความสมั พนั ธโ์ ดยตรงกบั การปฏิบตั ิของมารดาในการ ใหบ้ ตุ รรับประทานยาและพาบุตรมาพบแพทยต์ ามนดั ดงั น้นั เม่ือบุคคลมีการรับรู้ถึงภาวะเสี่ยงของการเกิดโรค ก็จะทาให้ บุคคลน้ั นแสดงพฤติกรรมที่จะป้ องกนั โรคน้นั ออกมา จากการรับรู้ถึงภาวะเสี่ยงของการเกิดโรคที่กล่าวมาขา้ งตน้ ใน การศึกษาคร้ังน้ีผวู้ จิ ยั ใหค้ วามหมาย การรับรู้ถึงภาวะเส่ียงของการเกิดโรคหมายถึงการรบั รู้ถึงความเชื่อหรือความรู้สึกของ นกั เรียนตอ่ การคาดคะเนถึงโอกาสการเกิดโรคไขเ้ ลือดออกซ้ า หรือการง่ายที่จะป่ วยเป็ นโรคไขเ้ ลือดออก และไดม้ ี ผู้ ศึกษาวจิ ยั เก่ียวกบั การรับรู้ถึงภาวะเส่ียงของการเกิดโรคกบั พฤติกรรมการ ป้ องกนั โรค ดงั เช่น จากการศึกษาของ กมลมาลย์
วริ ัตนเศรษฐสินไดท้ าการศึกษาผปู้ ่ วยขอ้ เขา่ เส่ือมในโรงพยาบาล ศิริราช และโรงพยาบาลเลิศสิน พบวาการสอนสุขศึกษา ของกลมุ่ ทดลองหลงั การทดลองดีกวา่ ก่อนทดลองและ ดีกวา่ กลุม่ ควบคุมในเร่ืองความเชื่อต่อโอกาสเส่ียงของการเกิดโรค ความรุนแรงของโรค ประโยชน์ ในการปฏิบตั ิตามคาแนะนา แรงจูงใจในการปฏิบตั ิตามคาแนะนา แรงจูงใจในการปฏิบตั ิ ตน ความพึงพอใจการปฏิบตั ติ วั ในการควบคุมอาหาร และการหลีกเล่ียงขอ้ หา้ มบริหารบาบดั ซ่ึงผล การสอนสุขศึกษากบ การปฏิบตั ิตามคาแนะนาของกลมุ่ ทดลองมคี วามสมั พนั ธท์ างบวกอยางมีนยั สาคญั ทางสถิติ ในเร่ืองความเช่ือตอ่ โอกาสเสี่ยง ของการเกิดโรค สุวมิ ล ฤทธ์ิมนตรีศึกษาความรู้เร่ืองโรค ความเช่ือดา้ นสุขภาพและพฤติกรรม สุขภาพ เพอ่ื ป้ องกนั โรคในคู่ สมรสของผปู้ ่ วยโรคตบั อกั เสบไวรัสบี หรือผเู้ ป็ นพาหะโรคตบั อกั เสบ ไวรัสบีพบวา่ การรับรู้ความเส่ียงตอ่ การเกิดโรคตดิ เช้ือโรคตบั อกั เสบไวรัสบีมีความสมั พนั ธท์ างบวก กบั พฤติกรรมการป้ องกนั ตบั อกั เสบไวรัสบี
บทท่ี 3 วธิ ีดาเนินการศึกษาค้นคว้า ในการศึกษาคร้ังน้ี ผศู้ ึกษาไดท้ าการศึกษายสี ตก์ บั ดกั ยงุ ซ่ึงวธิ ีการดงั น้ี ระเบยี บวธิ ีทใ่ี ช้ในการศึกษา ในการศึกษาใชร้ ูปแบบการสารวจ สืบคน้ ขอ้ มลู จากหนงั สือ อินเตอร์เน็ต และตอบแบบสอบถาม ประชากร/กล่มุ ตวั อย่าง ประชากร ประชากรที่ใชใ้ นการศึกษาคร้ังน้ี เป็ นผปู้ กครองของคณะผจู้ ดั ทาจานวน 5 คน กลุ่มตวั อย่าง กล่มุ ตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการศึกษาคร้ังน้ี ไดแ้ ก่ ผปู้ กครองของคณะผจู้ ดั ทาจานวน 5 คน เพือ่ ตอบแบบสอบถามท่ี สร้างข้ึน ระยะเวลาทใ่ี ช้ในการศึกษา สปั ดาห์ที่ 1 วนั ท่ี 22 ก.ค. ถึง 29 ก.ค ในการกาหนดจานวนประชากร และกลุ่มตวั อยา่ ง สปั ดาห์ที่ 2 วนั ที่ 30 ก.ค ถึง 10 ส.ค ในการสร้างเคร่ืองมือและเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู สปั ดาห์ที่ 3 วนั ที่ 11 ส.ค ถึง 24 ส.ค ทดลอง สงั เกตุ และบนั ทึกผล สปั ดาหท์ ่ี 4 วนั ท่ี 25 ส.ค ถึง 31 ส.ค การวเิ คราะห์และสรุปผลขอ้ มลู
วธิ ีดาเนินการศึกษา ข้นั ตอนการทดลอง 1. เร่ิมจากนาขวดเปล่ามาตดั แยกส่วนบนและส่วนล่างเพอ่ื ทาการแยกท้งั 2 ส่วนออกจากกนั โดยท่ีท่อนบนและลา่ งจะตดั ตาม ท่อนบน 30 และท่อนล่าง 70 2. จากน้นั เทน้าอุ่นในขวดพลาสติกท่อนล่างประมาณ 200 มิลลิลิตร ตามดว้ ยเทน้าตาลทรายแดง 50 กรัม 3. จากน้นั รอใหส้ ่วนผสมเหล่าน้นั เยน็ ลงเม่ือเยน็ ลงแลว้ ใหท้ าการเต่ิมผงยสี ต์ 1 กรัมลงไป เมื่อใส่ผงยสี ตล์ งไปแลว้ ใหเ้ อา ขวดท่อนบนครอบทบั กบั ขวดท่อนล่าง ตามดว้ ยการนากระดาษหนงั สือพิมพม์ าทาการห่อขวดน้าพลาสติกเพอ่ื ไมใ่ หข้ วด โดนแสง 4. ตอ่ จากน้นั นาขวดน้ีไปวางไวใ้ นบริเวณหรือเเหล่งที่คาดวา่ เป็นท่ี ที่มียงุ ลายอาศยั อยู่ จากน้นั ยสี ตจ์ ะทาหนา้ ท่ีเป็ นตวั ผลิต คาร์บอนไดออกไซดเ์ พือ่ ทาการดึงยงุ เขา้ มาภายในขวดน้า และควรเปล่ียนน้าทุกวนั หลงั จากนาไปใช้ 5. บนั ทึกและสรุปผล เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการศึกษา วสั ดุอปุ กรณ์ท่ีใช้ 1. กระบอกน้าขวดน้า(ขนาดท่ีแนะนา 1.25 ลิตร) 1ขวด 2. ผงยสิ ต์ 3. กระดาษหนงั สือพิมพห์ รือกระดาษนิตยสาร 4. ชอ้ นตวง 5. น้าอุน่ 6. น้าตาลทรายแดง 7. เทปกาว 8. กรรไกรหรือคตั เตอร์
ออกแบบแบบสอบถาม เร่ือง ยสี ตก์ บั ดกั ยงุ โดยขอคาแนะนาจากที่ปรึกษาหรือผสู้ อน โดยเตรียมร่างขอ้ คาถาม มีลกั ษณะเป็นขอ้ คาถามจานวน 5 ขอ้ เป็ นแบบมาตราส่วนประมาณ 4 ระดบั คือ 3 หมายถึง ลดปริมาณยงุ ไดม้ าก 2 หมายถึง ลดปริมาณยงุ ไดพ้ อปานกลาง 1 หมายถึง ลดปริมาณยงุ ไดน้ อ้ ย 0 หมายถึง ลดปริมาณยงุ ไมไ่ ดเ้ ลย สร้างแบบสอบถาม เรื่อง ยสี ตก์ บั ดกั ยงุ โดยขอคาแนะนา จากที่ปรึกษาหรือผสู้ อน จากน้นั นามาปรับปรุงแกไ้ ข แลว้ นาไปตรวจสอบความเหมาะสม 4.3 นาแบบสอบถามเรื่อง ยสี ตก์ บั ดกั ยงุ ท่ีแกไ้ ข ปรับปรุงแลว้ ใหก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งประเมิน หลงั จากน้นั นาผลท่ีไดม้ าหาคา่ เฉลี่ย การเกบ็ รวบรวมข้อมูล การศึกษาคร้ังน้ีไดด้ าเนินการโดยนาแบบสอบถามที่สร้างข้ึนใหป้ ระชากรกลมุ่ ตวั อยา่ งตอบ จานวน5 คน และเกบ็ รวบรวม ขอ้ มูลจากประชากร ที่เป็ นกลมุ่ ตวั อยา่ ง โดยผศู้ ึกษาท้งั 5 คน ดาเนินการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดว้ ยตนเอง การวเิ คราะห์ข้อมูล ในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ผศู้ ึกษาไดว้ เิ คราะหข์ อ้ มูล ดงั น้ี นาแบบสอบถามท้งั หมดที่ตอบโดยนกั เรียนกลุ่มตวั อยา่ ง มาหาคา่ คะแนนรวม นาผลรวมมาคิดค่าร้อยละและการหาค่าเฉลี่ย
สถติ ทิ ใี่ ช้ในการศึกษา สถิติที่ใชใ้ นการศึกษาคร้ังน้ี คือ ร้อยละและการหาคา่ เฉล่ีย
บทท่ี 4 ผลการศึกษา ผลดาเนนิ งาน จากการทดลองดกั ยงุ ของแต่ละบา้ นท่ีเป็นกลุม่ ตวั อยา่ ง จะสรุปไดด้ งั น้ี โครงงาน ท่ีดกั ยงุ จากขวดพลาสติกน้นั เป็นโครงงานท่ีนามาตอ่ ยอดมาจากอินเตอร์เน็ต กลุ่มพวกเราไดส้ นใจ และอยากจะรู้ วา่ ไดจ้ ริงหรือไม่ จึงไดม้ ีการทดลองจากกลุ่มตวั อยา่ งจานวน 5 กลมุ่ ผลสรุปท่ีไดค้ ือ 1. กล่มุ ตวั อยา่ งที่ 1 ไดผ้ ลอย่่ ู ในระดบั ที่ 2 มียงุ ที่พอสมควร 3 ตวั 2. กลมุ่ ตวั อยา่ งท่ี 2 ไดผ้ ลอย่่ ู ในระดบั ที่ 1มียงุ ท่ีนอ้ ย 2 ตวั 3. กลมุ่ ตวั อยา่ งที่ 3 ไดผ้ ลอย่่ ู ในระดบั ที่ 2 มียงุ 4 ตวั 4. กล่มุ ตวั อยา่ งท่ี 4 ไดผ้ ลอย่่ ู ในระดบั ที่ 1 มียงุ 1 ตวั 5. กลุม่ ตวั อยา่ งท่ี 5 ไดผ้ ลอย่่ ูในระดบั ที่ 1 มียงุ 0 ตวั จากการสรุปผลการทดลองอธิบายไดว้ า่ การทาส่ิงประดิษฐจ์ ากขวดน้ายสี และนา่้ตาลก็สามารถดกั ยงุ ไดจ้ านวนหน่ึง
บทที่ 5 สรุปผลและข้อเสนอแนะ สรุปผลการศึกษา จากผลการดาเนินงาน จะเห็นวา่ แตล่ ะบา้ นที่เป็ นกลมุ่ ตวั อยา่ ง ดกั ยงุ ไดจ้ านวนยงุ ที่แตกตา่ งกนั ท้งั น้ีอาจเป็ นเพราะยงั ไม่ สามารถกาหนดตวั แปรควบคุมไดอ้ ยา่ งแน่นอน เช่น การทดลองไม่ละเอียดพอ การตวงสารหรือปริมาณต่างๆที่ใช้ คลาดเคลื่อนไปบา้ ง การทางานจึงประสบผลสาเร็จไม่มากนกั จากที่ไดค้ าดหมายไว้ แต่กถ็ ือวา่ เป็ นการกาจดั ยงุ อีกวธิ ีหน่ึงที่ ไมใ่ ชส้ ารเคมีและช่วยประหยดั คา่ ใชจ้ ่ายภายในบา้ นเพราะยสี ตก์ ห็ าไดท้ วั่ ไปตามทอ้ งตลาดราคาก็ไม่แพงมาก อภปิ รายผล จากการศึกษาเร่ืองสิ่งประดิษฐก์ บั ดกั ยงุ พบวา่ ยสี ตแ์ ละน้าตาลมีประสิทธิภาพในการกาจดั ยงุ เพราะยสี ตจ์ ะช่วยดูดยงุ เพราะ มนั ปล่อยกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซดเ์ หมือนท่ีผวิ มนุษยท์ า ในขณะที่น้าตาลจะช่วยดึงดูดแมลงชนิดอนื่ ประโยชน์ทไี่ ด้จากโครงงาน 1.ปริมาณของยงุ ภายในบา้ นลดนอ้ ยลง 2.ประหยดั ค่าใชจ้ ่ายภายในบา้ นโดยไมต่ อ้ งไปซ้ือ ยาฉีดยงุ ใหส้ ิ้นเปลือง 3.ช่วยป้ องกนั การเกิดไขเ้ ลือดออกของคนภายในบา้ น ข้อเสนอแนะ 1.ศึกษาคน้ ควา้ ขอ้ มูลวธิ ีการทาใหล้ ะเอียดกวา่ เดิม 2.วางแผนในการทางาน แบ่งงานใหช้ ดั เจนจนทาใหไ้ ดผ้ ลงานที่ออกมาประสบผลสาเร็จยง่ิ ข้นึ
ภาคผนวก
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: