Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอนชีววิทยา4

เอกสารประกอบการสอนชีววิทยา4

Published by อัญชิสา เหมทานนท์, 2022-03-04 11:59:04

Description: เอกสารประกอบการสอนชีววิทยา4

Search

Read the Text Version

▪ สัตว์ปีก (aves) สัตว์ปีก เช่น นก มีระบบหายใจท่ีมีวิวัฒนาการให้สามารถแลกเปลี่ยนแกส๊ ได้ดี เพื่อให้ได้ O2 ปริมาณ สงู ไปใชใ้ นการสลายสารอาหารเนื่องจากสตั วป์ ีกต้องการใช้พลงั งานมากในการบนิ ปอดของนกเชอื่ มต่อกับ ถุงลม (air sac) เพื่อสำรองอากาศไว้ใช้ การหายใจของนกจะแตกต่างจากสัตว์บกอื่น ๆ โดยอากาศจะ เคลื่อนที่ผ่านโครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สภายในปอดที่เรียกว่า แขนงหลอดลม (parabronchi) ในทิศทางเดียว โดยไมม่ ีอากาศท่ีผา่ นการแลกเปลีย่ นแกส๊ แล้วมาผสม ในการหายใจของนกเพ่ือให้อากาศหมนุ เวยี นครบวงจร 1 รอบ นกจะมีการหายใจเข้าและหายใจออก 2 ครง้ั ซ่งึ มีกลไก ดงั นี้ - เมื่อหายใจเข้าครัง้ 1 ถุงลมสว่ นหลังขยายตัวอากาศภายนอกเขา้ สู่ทอ่ ลมไปยังถงุ ลมสว่ นหลัง - เมอ่ื หายใจออกครั้งท่ี 1 ถุงลมส่วนหลังหดตัวอากาศจากถุงลมส่วนหลังจะเคล่ือนทเี่ ข้าสู่ปอด - เมือ่ หายใจเขา้ ครง้ั ท่ี 2 ถุงลมส่วนหน้าขยายตัวอากาศจากปอดจะเคลื่อนท่ีเข้าสถู่ ุงลมส่วนหน้า - เม่อื หายใจออกคร้งั ท่ี 2 ถงุ ลมสว่ นหนา้ หดตัวขบั อากาศออกสู่ภายนอกทางท่อลม ถงุ ลม (air sac) ทพ่ี บในนกไม่ใช่อวัยวะทีใ่ ชแ้ ลกเปลีย่ นแกส๊ แตท่ ำหน้าที่เป็นตวั ระบายความร้อน เก็บ อากาศเพื่อช่วยในการบิน และชว่ ยเพ่ิมประสิทธิภาพในการหายใจ ▪ สตั วเ์ ลยี้ งลกู ด้วยนำ้ นม (mammals) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมรวมทั้งมนุษย์มีปอดเป็นอวัยวะที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สอยู่ภายในร่างกาย และระบบหมุนเวียนเลือดที่ช่วยในการลำเลียงแก๊ส เช่นเดียวกับสัตว์สะเทินนำ้ สะเทินบกสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ปีก โดยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมนำอากาศเข้าและออกผ่านทางท่อลม หลอดลม หลอดลมฝอย สปู่ อด 12

Respiratory system ชือ่ ............................................................ชั้น.............เลขท่.ี ............. ใบกจิ กรรมที่ 14.2 เรอ่ื ง กลไกการหายใจ (Breathing Mechanism) กลไกการหายใจ (Breathing Mechanism) เป็นกระบวนการนำอากาศจากภายนอกเข้าและออกจากร่างกาย ซง่ึ เกิดจากการทำงานรว่ มกนั ระหว่าง…………………………………………………………..และ…………………………………………. ………………………………. โดยประกอบดว้ ย 2 ข้ันตอนหลัก ไดแ้ ก่………………………………………………………………………. และ………………………………………………………………….ซงึ่ มกี ลไกแตกตา่ งกนั ดังน้ี การหายใจเข้า (inhalation) ...................................................................................................... ...................................................................................................... ...................................................................................................... ...................................................................................................... ...................................................................................................... ...................................................................................................... ...................................................................................................... ...................................................................................... ................ การหายใจออก (exhalation) ...................................................................................................... ...................................................................................................... ...................................................................................................... ...................................................................................................... ...................................................................................................... ...................................................................................................... ...................................................................................................... ...................................................................................................... 1

Respiratory system เรือ่ ง ปรมิ าตรของอากาศในปอด คำชี้แจง ให้นกั เรียนพิจารณาสถานการณต์ ่อไปน้แี ลว้ ตอบคำถาม นฤมลได้ทดลองวัดปริมาตรการหายใจของเพ่ือนร่วมชน้ั เรียนดว้ ยเครอ่ื งสไปโรมิเตอร์ (spirometer) แลว้ นำ คา่ ท่ีไดม้ าเขยี นเปน็ กราฟ ดงั รูป จงระบวุ า่ สว่ นตา่ ง ๆ ของกราฟ คอื อะไร โดยขีด  ลงในตาราง ความหมาย ABCDEF 1. ปริมาตรของอากาศทห่ี ายใจเข้าเต็มที่ (inhalation or inspiratory volume: IRV) 2. ปริมาตรของอากาศท่ีคา้ งอยใู่ นปอด (residual volume: RV) 3. ปริมาตรของอากาศท่หี ายใจเข้าออกปกติ (tidal volume: TV) 4. ปรมิ าตรของอากาศที่หายใจเขา้ เตม็ ที่หลงั จากหายใจออกเต็มที่ (vital capacity: VC) 5. ปริมาตรของอากาศทห่ี ายใจออกเตม็ ท่ี (exhalation or expiratory volume: ERV) ปริมาตรทั้งหมดของปอด (total lung capacity: TC) 2

Respiratory system เรอ่ื ง กลไกควบคุมการหายใจ (Control of Breathing) คำชี้แจง ใหน้ ักเรียนตอบคำถามตอ่ ไปน้ีใหถ้ ูกต้อง 1. จงอธบิ ายกลไกควบคมุ การหายใจโดยระบบประสาท การควบคมุ ภายนอกอำนาจจิตใจ การควบคุมภายใตอ้ ำนาจจิตใจ (involuntary control) (voluntary control) …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………… 2. จงเขยี นแผนผังสรุปกลไกการรักษาดลุ ยภาพของกรด – เบสของเลือดโดยระบบหายใจ กลไกควบคมุ การหายใจ 3

Respiratory system ช่อื ............................................................ชั้น.............เลขที่.............. ใบกิจกรรมท่ี 14.2 เรื่อง กลไกการหายใจ (Breathing Mechanism) กลไกการหายใจ (Breathing Mechanism) เป็นกระบวนการนำอากาศจากภายนอกเขา้ และออกจากร่างกาย ซึ่งเกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่าง กล้ามเนื้อกะบังลม และ กล้ามเนื้อยึดกระดูกซี่โครงบริเวณอก โดย ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การหายใจเข้า (inhalation) และ การหายใจออก (exhalation) ซึ่งมีกลไก แตกต่างกนั ดังน้ี การหายใจเข้า (inhalation) - กลา้ มเนอื้ กะบังลมจะหดตัวแบนราบลง - กล้ามเนื้อยึดซโ่ี ครงแถบนอกหดตัว ทำใหก้ ระดูกซี่โครงยก ตัวสงู ขึ้นมาทางดา้ นหน้า - ปริมาตรในช่องอกเพม่ิ ข้ึน - ความดนั อากาศภายในปอดลดลง อากาศภายนอกจะ เคล่ือนท่ีเข้าสู่ปอด การหายใจออก (exhalation) - กลา้ มเนื้อกระบังลมคลายตัว กะบงั ลมจะโคง้ ขน้ึ - กลา้ มเนื้อระหว่างกระดูกซ่ีโครงแถบนอกจะคลายตวั ทำให้ กระดูกซโี่ ครงลดตำ่ ลง - ปริมาตรในชอ่ งอกลดลง - ความดันอากาศในปอดเพิ่มข้ึนและมากกวา่ ความดนั อากาศ ภายนอก อากาศจะเคล่ือนออกจากปอดสภู่ ายนอก 4

Respiratory system เร่ือง ปรมิ าตรของอากาศในปอด คำช้แี จง ให้นักเรียนพจิ ารณาสถานการณ์ต่อไปนแี้ ลว้ ตอบคำถาม นฤมลได้ทดลองวดั ปรมิ าตรการหายใจของเพื่อนร่วมช้นั เรยี นดว้ ยเครอื่ งสไปโรมิเตอร์ (spirometer) แลว้ นำ ค่าทไ่ี ดม้ าเขยี นเป็นกราฟ ดงั รูป จงระบวุ ่าสว่ นตา่ ง ๆ ของกราฟ คืออะไร โดยขีด  ลงในตาราง ความหมาย ABCDE F 1. ปริมาตรของอากาศทห่ี ายใจเข้าเต็มที่  (inhalation or inspiratory volume: IRV) 2. ปริมาตรของอากาศทีค่ ้างอยู่ในปอด  (residual volume: RV)  3. ปรมิ าตรของอากาศท่หี ายใจเข้าออกปกติ (tidal volume: TV)  4. ปรมิ าตรของอากาศท่ีหายใจเขา้ เตม็ ท่ีหลงั จากหายใจออกเตม็ ที่  (vital capacity: VC) 5. ปรมิ าตรของอากาศทหี่ ายใจออกเต็มท่ี  (exhalation or expiratory volume: ERV) 6. ปรมิ าตรทง้ั หมดของปอด (total lung capacity: TC) 5

Respiratory system เรอ่ื ง กลไกควบคมุ การหายใจ (Control of Breathing) คำชแี้ จง ให้นักเรยี นตอบคำถามต่อไปน้ีให้ถูกต้อง 1. จงอธิบายกลไกควบคุมการหายใจโดยระบบประสาท การควบคุมภายนอกอำนาจจิตใจ การควบคมุ ภายใตอ้ ำนาจจิตใจ (involuntary control) (voluntary control) - ทำใหเ้ กดิ การหายใจและหายใจออกอย่างเป็นจงั หวะ - ควบคุมโดยสมองสว่ นหนา้ บริเวณเซรบี รัลคอร์เทกซ์ - ควบคมุ โดย respiratory center ทีอ่ ยใู่ นกา้ นสมอง และไฮโพทาลามสั สว่ นเมดลั ลา (medulla oblongata) และสมองสว่ น - สามารถควบคุมหรือปรบั การหายใจให้เหมาะสมกับ พอนส์ (pons) จะส่งกระแสประสาทไปควบคมุ การ พฤติกรรมต่าง ๆ เช่น การพูด การรอ้ งเพลง การวา่ ย ทำงานของ กลา้ มเน้ือกะบงั ลมและกลา้ มเน้อื ยึด นำ้ การหายใจยาวและลึก และการกล้นั หายใจ ซ่ีโครง 2. จงเขียนแผนผงั สรปุ กลไกการรักษาดลุ ยภาพของกรด – เบสของเลือดโดยระบบหายใจ กลไกควบคุมการหายใจ 6

Respiratory system ชอื่ ............................................................ช้ัน.............เลขท.่ี ............. ใบกจิ กรรมท่ี 14.3 เรื่อง การแลกเปลย่ี นแก๊ส (Gas exchange) การแลกเปลี่ยนแก๊ส (gas exchange) ของมนษุ ยจ์ ะเกดิ ขนึ้ 2 บรเิ วณ ได้แก่ 1)…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..….. 2)……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………….. ซึ่งการแลกเปล่ียนแก๊สที่เกิดขึ้นจะอาศัย……………………………….…………………………ในเลือดและบริเวณตา่ ง ๆ ในร่างกาย โดยการแพร่ของแก๊สจะเกิดจากบริเวณที่มี………………………………………………………..ไปยังบริเวณที่ มี…………………………………....…………………….เสมอ ความดันย่อยของแกส๊ (partial pressure) เปน็ คา่ ความดนั ของแกส๊ หน่ึง ๆ เทียบกับค่าความดันทัง้ หมด อากาศท่ีหายใจเขา้ จะมี……………………………………………………..ทำให้ O2จากถุงลมจะแพร่เข้าสู่หลอดเลอื ดที่อยู่ รอบ ๆ ถุงลม ภายในหลอดเลือดจึงมีความดนั ย่อยของ O2 ……………........…จากนัน้ O2 จะลำเลียงในหลอดเลือด ไปยงั หัวใจและจะถูกสบู ฉดี ไปยงั สว่ นต่าง ๆ ของร่างกายเพอื่ ไปเลีย้ งเนอื้ เยือ่ ต่าง ๆ ในรา่ งกาย 1

ในทางตรงข้ามกบั ถุงลมในปอด ทบี่ ริเวณเน้ือเยื่อจะมีการนำออกซเิ จนไปใช้ใน…………………………………………… …………………………………. ซ่งึ เปน็ กระบวนการสรา้ งพลงั งานที่สำคญั ในสิง่ มีชีวติ และจะมกี ารผลติ ……………………….. ………………………………..ออกมามาก ทำให้เนื้อเยื่อมีค่าความดันย่อยของ………............…………….และมีค่าความดนั ย่อยของ…………………………..แก๊สออกซิเจนในเซลลเ์ มด็ เลือดแดงจงึ แพร่เข้าสู่เนื้อเยอื่ ได้ ในทางตรงกันขา้ ม CO2 จงึ แพร่ออกจากเน้ือเยือ่ เข้าไปในหลอดเลือด ซงึ่ จะไหลเวียนกลับไปยังหวั ใจและปอดต่อไป อากาศท่ีอยู่ในถุงลมจะมี ค่าความดันย่อยของ CO2 ต่ำกว่าความดันย่อยของ CO2 ในหลอดเลือด CO2 จึงแพร่ออกจากหลอดเลือดสู่ถุงลม แลว้ ออกสูภ่ ายนอกพรอ้ มกบั อากาศท่หี ายใจออก ▪ การลำเลยี งแกส๊ ออกซิเจน มนษุ ย์มีการลำเลยี ง O2 จากปอดไปยงั เนื้อเยือ่ ต่าง ๆ โดยอาศยั ………………………………………….เมอ่ื O2 แพร่ เขา้ สหู่ ลอดเลือดฝอยทอ่ี ยรู่ อบ ๆ ถงุ ลม O2 จะไปจับกับ……………………………………………. ในเซลลเ์ มด็ เลอื ดแดงท่ี บริเวณ………………………………..กลายเป็น……………………………………………………ซง่ึ มสี ี……………………………….เลอื ดท่ี มีออกซีฮโี มโกลบนิ น้ีจะลำเลยี งไปยงั เนอื้ เยอื่ ต่าง ๆ ท่ัวรา่ งกาย จากนัน้ เมือ่ ถงึ บริเวณเนื้อเยอ่ื ออกซฮี โี มโกลบนิ จะ ปลอ่ ย O2 ออกมาซึง่ จะแพรเ่ ขา้ ส่เู ซลล์ของเนอื้ เยื่อ สมการการรวมกันของแกส๊ ออกซเิ จนและฮโี มโกลบิน มดี งั น้ี 2

นอกเหนอื จากแกส๊ ออกซิเจนแลว้ ฮโี มโกลบนิ ยังมีความสามารถในการจบั กับ……………………………………..………. …………………………………………และ……………..………………………………ได้ ซึ่งเป็นแก๊สที่ไม่มีสีและไม่มีกลิ่นเกิดจาก …………………………………..…….และยังจับกับฮีโมโกลบินได้ดีกว่า O2 ถึง 210 เท่า จึงเป็นอันตรายมากหากอยู่ใน สภาวะท่ีมีคาร์บอนมอนอกไซด์ปรมิ าณสูง เชน่ การหลบั ในเตน็ ท์ทปี่ ดิ สนิทแล้วจุดตะเกียงไว้ การลำเลียงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ การลำเลยี งแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ส่วนใหญ่จะลำเลียงผ่าน……………………………………………..………เป็นหลัก CO2 จะแพร่จากเน้อื เยื่อเขา้ สู่กระแสเลือด โดย CO2 จะรวมตัวกับน้ำกลายเป็น…………………………………………..…. ในเซลลเ์ มด็ เลือดแดงซึ่งมี……………………………………………………………………….เป็นตวั เรง่ ปฏิกริ ยิ า จากนั้นกรดคาร์ บอนกิ จะเกดิ การแตกตัวเปน็ …………………………………………….......และ…………………………………………………………. แลว้ ไฮโดรเจนไอออนจะถูกลำเลียงเขา้ สู่พลาสมาโดยวิธี…………………….…………………………..จากน้นั เลอื ดจะลำเลยี ง ไปยังหวั ใจแล้วไปยงั ปอด เมอ่ื ถงึ หลอดเลือดฝอยท่ีอยรู่ อบถงุ ลม ในเซลลเ์ ม็ดเลือดแดงไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออนจะรวมตัวกบั ไฮโดรเจนไอออนกลายเปน็ กรดคารบ์ อนิก แลว้ แตกตัวเปน็ CO2 และนำ้ โดยมีเอนไซมค์ าร์บอนกิ แอนไฮเดรสเปน็ ตัวเรง่ ปฏกิ ริ ยิ าเช่นกนั เป็นผลให้………………………………………………………………………………………………………...CO2 จึงแพรจ่ ากหลอดเลือดฝอยเข้าสถู่ ุงลมเพือ่ กำจัดออกนอกรา่ งกาย สมการการทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับการลำเลยี งแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 3

Circulatory system การลำเลยี งสารในรา่ งกายของสตั ว์ (Animal Circulation) สัตวท์ ีม่ โี ครงสร้างร่างกายไม่ซับซอ้ น เชน่ ฟองนำ้ ไฮดรา และพลานาเรยี ส่ิงมีชีวิตเหลา่ นีม้ เี ซลล์ที่สมั ผัสกับส่ิงแวดล้อม โดยตรง การลำเลียงสารตา่ ง ๆ เชน่ สารอาหาร แก๊ส และของเสยี จงึ อาศยั ……………………………………………………………………. …………………………………………………………………………สว่ นสัตว์ที่มีโครงสร้างรา่ งกายซบั ซอ้ นและมขี นาดใหญ่ เนื่องจากเซลล์ ทอี่ ย่ภู ายในร่างกายจะไม่ได้สัมผัสกับสิง่ แวดล้อมตลอดเวลา การลำเลยี งสารจงึ ต้องอาศัย……………………………………………… เข้ามาช่วย โดยทั่วไปจะแบ่งรูปแบบการลำเลยี งสารในรา่ งกายของสัตวเ์ ป็น 2 รปู แบบหลกั คือ 1. ระบบหมุนเวยี นเลอื ดแบบเปิด (open circulatory system) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ระบบหมนุ เวยี นเลือดแบบปิด (closed circulatory system) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 1

Circulatory system ระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิดในสตั ว์มีกระดูกสันหลงั จะแบง่ ออกเปน็ 2 แบบ คือ - ระบบหมุนเวยี นเลอื ดแบบวงจรเดียว (single circulation): เลือดจะไหลผ่านหวั ใจ………………………………………….. - ระบบหมุนเวียนเลือดแบบวงจรคู่ (double circulation): ใน 1 รอบ เลือดจะไหลผ่านหัวใจ……………………คร้ัง โดยครั้งแรกจะป๊ัมเลอื ดเพื่อส่งไปฟอกหรือแลกเปลี่ยนแก๊ส แล้วกลับเข้าสู่หัวใจใหม่อีกครั้งเพ่ือสูบฉีดไปเล้ยี งส่วน ต่าง ๆ ของร่างกาย ปลา (Fish) เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดแรกที่เริ่มมีระบบหมุนเวียนเลือด มีหัวใจ 2 ห้อง คือ ……………………………………. (…………………) และ………………………….. (……………………..) โดยเลือดจะเข้าสู่หัวใจห้องบนจากนั้นจะถูกส่งไปยังหัวใจห้อง ล่าง แล้วถูกส่งไปฟอกทีบ่ ริเวณ………………………………………………………………………(………………………………..……) ทำให้เลือด มีปริมาณออกซิเจนสูงขนึ้ จากนั้นเลือดจากเหงอื กจะไหลเวยี นไปยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย กอ่ นจะไหลกลบั เข้าสู่หัวใจ สตั วส์ ะเทินน้ำสะเทนิ บก (Amphibians) จะมหี ัวใจ..................หอ้ ง ไดแ้ ก่ …………………………………………………………………………… เลือดทม่ี อี อกซิเจนต่ำจากส่วน ต่าง ๆ ของร่างกายจะไหลเข้ามายังบริเวณหัวใจห้องบนขวา (right atrium) และลงมายังห้องล่างตามลำดับ จากนั้นเม่ือ หัวใจห้องล่างบีบตัวจะส่งเลือดไปยังปอดและผิวหนังเพ่ือแลกเปลีย่ นแก๊สเพื่อนำเลือดที่มีออกซิเจนสูงกลับเข้ามายังหัวใจ ห้องบนซ้าย (left atrium) ซงึ่ หอ้ งบนซ้ายจะบบี ตัวใหเ้ ลอื ดไหลลงสหู่ ัวใจหอ้ งลา่ งเพื่อสูบฉีดไปเล้ยี งส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกาย 2

Circulatory system สตั วเ์ ลือ้ ยคลาน (Reptile) ส่วนใหญจ่ ะมีหวั ใจ 4 หอ้ งแบบไม่สมบูรณ์ คือ มหี ัวใจหอ้ งบน 2 ห้อง และหอ้ งใจหอ้ งลา่ ง 1 ห้อง แตใ่ นหวั ใจห้องล่างจะ มีผนังกั้นขึ้นมาชัดเจน ยกเว้น………………………………………………………………………………………………………… ระบบหมุนเวียน เลือดในสัตว์กลุ่มนี้จะเป็นแบบวงจรคู่เหมือนในสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก แต่เลือดที่มีออกซิเจนสูงและออกซิเจนต่ำจะมี โอกาสปะปนกันไดน้ อ้ ยลงเน่อื งจากผนังก้นั หัวใจห้องล่างเกอื บแยกหวั ใจห้องล่างออกจากกนั ไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ 3

Circulatory system นกและสตั วเ์ ลย้ี งลกู ด้วยน้ำนม (Birds and Mammals) สัตว์ทั้ง 2 กลุ่มนี้จะมีหัวใจ 4 ห้องสมบูรณ์ คือ …………………………………………………………………………..………… ดังนั้น เลือดที่มีออกซิเจนสูงและเลือดที่มีจะไม่มีการปะปนกับเลือดที่มีออกซิเจนต่ำ โดยระบบหมุนเวียนจะเริ่มจากเลือดที่มี ออกซเิ จนตำ่ สง่ เขา้ มาสู่หัวใจหอ้ งบนขวาก่อนสง่ ต่อไปยังหอ้ งล่างขวา จากนัน้ เลือดจะสง่ ไปยงั ปอดเพือ่ แลกเปล่ียนแก๊ส แล้ว จงึ นำเลอื ดท่ีมีออกซเิ จนสูงกลบั เข้าสูห่ ัวใจหอ้ งบนซ้ายแล้วสง่ ตอ่ ไปยงั หอ้ งล่างซ้ายเพ่ือทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกาย จะเหน็ วา่ เป็นแบบวงจรคูท่ ่ีสมบูรณ์ 4

Circulatory system ระบบหมุนเวียนเลอื ดในมนษุ ย์ (Human circulatory system) หวั ใจ (Heart) หวั ใจเป็นอวัยวะทพ่ี ัฒนามาจากหลอดเลือด มเี นอ้ื เย่ือคอ่ นขา้ งหนา เรยี กวา่ ..................................................................... หวั ใจจะถูกห่อห้มุ ด้วยเนอื้ เยอ่ื เกี่ยวพัน เรียกวา่ ...........................................................................หวั ใจของมนุษยจ์ ะอยบู่ ริเวณ กง่ึ กลางทรวงอกระหว่างปอดทงั้ สองข้าง ค่อนไปทางด้านซ้ายเล็กนอ้ ย ภายในถุงเย่ือหมุ้ หัวใจจะมีของเหลวท่ีสร้างจากเย่ือ หุม้ หัวใจ เรียกวา่ ..................................................... ทำหน้าที่................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................. โครงสรา้ งภายในของหัวใจมนษุ ย์ หัวใจของมนษุ ยจ์ ะแบง่ เปน็ 4 หอ้ ง คือ ห้องบน (atrium) 2 หอ้ ง และหอ้ งล่าง (ventricle) 2 ห้อง โดยทวั่ ไปผนังหัวใจ ห้องล่างจะมีผนังหนากว่าผนังหัวใจห้องบนมาก โดยเฉพาะบริเวณหวั ใจห้องลา่ งซ้าย (left ventricle) จะมีความหนามาก ที่สุด ระหว่างหัวใจห้องบนและห้องล่างจะมี............................................................................... โดยลิ้นหัวใจมนุษย์จะ แบง่ เป็น 2 กลุ่มหลัก คือ 1. Atrioventricular (AV) valve: เปน็ ลิ้นหวั ใจทีก่ นั้ ระหวา่ งหัวใจหอ้ งบนและหัวใจห้องล่าง - ล้นิ ท่กี ัน้ ระหว่างหวั ใจห้องบนขวาและหวั ใจห้องล่างขวา เรียกว่า.............................................................................. - ลนิ้ ทก่ี ้นั ระหวา่ งหวั ใจห้องบนซ้ายและหัวใจหอ้ งลา่ งซา้ ย เรยี กว่า............................................................................. 2. Semilunar valve: เปน็ ล้นิ หัวใจท่ีกัน้ ระหวา่ งหัวใจห้องล่างกับหลอดเลือดทีอ่ อกจากหวั ใจ - ล้นิ ทีก่ ัน้ ระหวา่ งหวั ใจห้องล่างขวากับหลอดเลอื ดพัลโมนารีอาร์เทอรี เรียกว่า.......................................................... .............................................................................. - ล้ินที่กั้นระหว่างหวั ใจห้องล่างซา้ ยกับหลอดเลือดเอออรต์ า เรยี กว่า......................................................................... .............................................................................. การไหลเวียนเลอื ดภายในหัวใจของมนษุ ย์ การไหลเวียนของเลือดจะเริ่มจากเลือดที่มปี ริมาณออกซิเจนต่ำจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะไหลเข้าสู่หัวใจห้องบน ขวาผ่านทางหลอดเลือดเวนาคาวา (vena cava) ซึ่งมี 2 เส้น ได้แก่.....................................................................ใชล้ ำเลียง เลือดท่มี าจากบรเิ วณสว่ นบนของร่างกาย และ .....................................................................จะลำเลียงเลือดจากส่วนลา่ งของ ลำตวั จากนน้ั เลอื ดจากหวั ใจหอ้ งบนขวาจะไหลลงไปยังหัวใจห้องล่างขวา แล้วลำเลียงเลอื ดผ่านหลอดเลือด…………………… …………………………………………เพื่อส่งเลือดไปฟอกที่ปอด เลือดที่ถูกฟอกแล้วจากปอดจะถูกส่งกลับมายังหัวใจห้องบนซ้าย โดยลำเลียงผ่านหลอดเลือด........................................................................จากนั้นเลือดจากหัวใจห้องบนซ้ายจะไหลลงสู่ 5

Circulatory system หวั ใจหอ้ งล่างซ้าย ทา้ ยทส่ี ุดเลือดจะถกู ลำเลยี งออกจากหัวใจไปตามหลอดเลือด..................................................................... เพื่อสง่ ไปเล้ยี งส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย 6

Circulatory system หลอดเลอื ด (blood vessel) หลอดเลือด มีลักษณะเป็นท่อสำหรับให้เลือดไหลเวียนเพื่อลำเลียงสารต่าง ๆ ไปทั่วร่างกาย หลอดเลือดในร่างกาย มนษุ ย์แบง่ ออกได้เป็น 3 กลมุ่ คอื .............................................................................................................................................. 1. หลอดเลอื ดอารเ์ ทอรี (arterial blood vessel) เปน็ หลอดเลอื ดที่นำเลือดออกจากหัวใจไปปอดและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยแบง่ ตามขนาดของหลอดเลือดเป็น 3 ขนาด ไดแ้ ก่.......................................................ซึง่ เป็นหลอดเลือดทอ่ี ยู่ใกล้หัวใจมีขนาดใหญ่และมีผนงั หนา จากนั้น จะมีขนาดเลก็ ลงเป็น......................................................และ........................................................ 2. หลอดเลอื ดฝอย (blood capillary) เป็นหลอดเลือดทมี่ ีขนาดเล็กท่ีสุดแตกแขนงมาจาก...................................มผี นังบาง ประกอบดว้ ยเนื้อเย่อื บุผวิ เพียง ชั้นเดียว หลอดเลือดฝอยจะแทรกอยู่ระหว่างเนื้อเย่ือ ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนสารต่าง ๆ ระหว่างหลอดเลือดฝอยกับ เนอ้ื เยอ่ื โดยแกส๊ ออกซิเจนและสารอาหารจะแพรอ่ อกจากหลอดเลอื ดฝอยไปยังเน้ือเย่อื ส่วนแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ และของเสียจากเนือ้ เยอื่ จะแพรเ่ ข้าสหู่ ลอดเลือดฝอยก่อนจะลำเลยี งเขา้ สหู่ ัวใจ 3. หลอดเลือดเวน (venous blood vessel) เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดจากปอดและจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจ โดยแบ่งตามขนาดของหลอด เลอื ดไดเ้ ปน็ 3 ขนาดจากเลก็ ไปใหญ่ ได้แก่ ............................................ซง่ึ เป็นหลอดเลือดทมี่ ีขนาดเลก็ ต่อมาจากหลอด เลือดฝอย จากนั้นเวนลู จะรวมกันเป็น............................................และเข้าสู่หัวใจผ่านหลอดเลือดขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ หัวใจ คือ...................................................... หลอดเลอื ดอารเ์ ทอรีและหลอดเลอื ดเวน จะประกอบดว้ ยเนอ้ื เย่ือ 3 ชนั้ ได้แก่ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7

Circulatory system สำหรบั หัวใจจะมีหลอดเลือดที่นำเลือดมาหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหวั ใจ เรียกวา่ …………………………………………………………… มี 2 หลอด คือ หลอดเลือดดา้ นซา้ ยและหลอดเลอื ดด้านขวา ซ่งึ หลอดเลือดนจี้ ะแยกออกมาจาก……………………………………… ………………………………แลว้ แตกแขนงไปเลย้ี งทุกสว่ นของกลา้ มเน้อื หวั ใจ ในกรณีทโ่ี คโรนารีอาร์เทอรีเกิดการตีบตันจะส่งผล ใหเ้ ซลล์กล้ามเนือ้ หวั ใจเกดิ อาการขาดเลอื ด อาจนำไปส่ภู าวะหวั ใจลม้ เหลวได้ 8

Circulatory system การวดั อตั ราการเต้นของหวั ใจ การทำงานของหวั ใจเพ่อื สูบฉดี เลือดไปท่วั ร่างกายจะเกิดจาก………………… ………………………………………….…ซึ่งจะสามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ โดยการฟังจาก………………………………………….……………แนบที่อกบริเวณหัวใจ หรืออาจวัดได้จากการหดตัวและคลายตัวของผนังหลอดเลือดอาร์เทอรี ซ่ึง เรยี กว่า………………………………การวัดชีพจรจะวัด เป็นจำนวนครง้ั ตอ่ นาที โดย ปกติมนุษย์จะมีอัตราการเต้นของหัวใจประมาณ 60-100 ครั้งต่อนาที และ อัตราการเตน้ ของหัวใจในแตล่ ะบคุ คลกจ็ ะแตกต่างกนั ไปตาม………………………. …………………………………………………………………………………………………………….. นอกจากนี้การทำงานของหัวใจยังสามารถวดั ไดด้ ว้ ย………………………… ………………………………………………………โดยการหดตัวและคลายตัวของ กล้ามเนื้อหัวใจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงศักย์ไฟฟ้าของกล้ามเนื้อหัวใจ ซ่ึง การตรวจคลื่นไฟฟา้ หวั ใจจะบันทกึ เปน็ เส้นกราฟ เรียกวา่ …………….………… (……………………………………………………………….) ซึ่งสามารถนำมาใช้วินิจฉยั ความผดิ ปกตขิ องการทำงานของหัวใจได้ ความเรว็ ของกระแสเลอื ดในเส้นเลือด ความเร็วในการเคลอ่ื นทีข่ องเซลล์เม็ดเลอื ดแดงในหลอดเลือด อารเ์ ทอรจี ะไหลเรว็ กว่าหลอดเลือดเวน ส่วนในหลอดเลือดฝอย เซลล์เม็ดเลือดแดงจะไหลเรียงกันด้วยความเร็วต่ำที่สุด ใน หลอดเลือดชนิดเดียวกันความเร็วในการเคลื่อนที่ของเซลล์เม็ด เลือดแดงในหลอดเลือดที่มีขนาดใหญ่จะเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าใน หลอดเลอื ดทีม่ ีขนาดเลก็ 9

Circulatory system ความดันเลือด (blood pressure) เปน็ แรงของเลือดท่กี ระทบกับผนงั ของหลอดเลอื ด ค่าความดนั ในหลอดเลอื ดตา่ ง ๆ จะมีความแตกตา่ งกันโดยความดัน เลอื ดจะสงู ท่สี ดุ บริเวณ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. โดยความดันเลอื ดจะสูงท่ีสดุ ในหลอดเลอื ดท่ีใกล้หวั ใจจากนน้ั ความดันจะลดลงเรอ่ื ย ๆ ตามแรงตา้ นของผนังหลอดเลือดต่อ การไหลของเลือดโดยเฉพาะบริเวณหลอดเลือดฝอยซ่ึงมขี นาดเลก็ มากทำให้ความดนั เลอื ดลดลงต่ำมากเมอื่ เข้าส่หู ลอดเลือด เวน ดงั นั้นการทจี่ ะให้เลือดเกิดการเคลอ่ื นทไ่ี ปในหลอดเลือดเวนไดจ้ ึงต้องอาศยั …………………………………………………………….. …………………………………………..เข้ามาช่วย โดยเมื่อกลา้ มเนอื้ หดตัวจะบบี ให้หลอดเลือดเวนแคบลง ทำให…้ ……….……………… …………………………………………………………………………. นอกจากนี้ภายในหลอดเลือดเวนจะมี………………………………………… ช่วยป้องกนั ไมใ่ ห้เลือดเกิดการไหลยอ้ นกลบั การวัดความดันจะนิยมวัดจากหลอดเลือดท่ีอยู่ใกล้หัวใจเพื่อให้ได้ค่าใกล้เคียงกับความดันเลือดในหวั ใจมากทีส่ ุด ส่วน ใหญ่มกั จะวัดจาก…………………………………………………………………………….. ซ่งึ ความดนั เลอื ดในรา่ งกายจะมี 2 ค่า คือ - ค่าความดันซิสโทลิก (systolic pressure) เปน็ ……………………………………………………………………………………………. - คา่ ความดนั ไดแอสโทลิก (diastolic pressure) เป็น…………………………………………………………………………………….. โดยทั่วไปมนุษยท์ ีม่ สี ุขภาพดี ปกติจะมีค่าความดันเลือดอยู่ทีป่ ระมาณ 120/80 mmHg โดยเลขตัวหน้า คือ 120 เป็น ค่า………………………………………………ส่วนตัวเลขหลัง คือ 80 จะเป็น…………………………….…………………ค่าความดันเลือด สามารถเปล่ียนแปลงได้ข้ึนกับปจั จยั ต่าง ๆ เช่น อายุ เพศ อารมณ์ ขนาดของร่างกาย แตห่ ากมนษุ ย์มคี ่า systolic pressure สูงกว่าหรอื เทา่ กบั 140 mmHg และมคี ่า diastolic pressure สงู กว่าหรือเท่ากับ 90 mmHg ในขณะท่ีร่างกายอย่ใู นระยะ พกั ถอื ว่ามีอาการของ……………………………………………………………………………….. 10

Circulatory system เลอื ด (blood) ในรา่ งกายของมนษุ ย์จะมีเลือดอยู่ประมาณรอ้ ยละ 7-8 ของนำ้ หนักตวั ซ่งึ ทำหนา้ ที่…………………………………………………. ………………………………………………….………………………………………………….………………………………………….……….…………….…… ……………………………………… เลือดจงึ มคี วามเกีย่ วข้องกับการรักษาดลุ ยภาพของรา่ งกาย สว่ นประกอบของเลอื ด หากนำเลือดใส่ในหลอดทดลองพร้อมท้ังเติมสารป้องกันการแข็งตัวของเลอื ด จากนั้นนำไปปัน่ แยกจะพบว่าเลือดจะมี การตกตะกอนเปน็ ช้นั ๆ ซ่งึ ประกอบดว้ ย…………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………… 1. นำ้ เลือด (plasma): พบประมาณรอ้ ยละ 55 ของปรมิ าณเลอื ดทง้ั หมด เป็นของเหลวค่อนขา้ งใส มีสเี หลอื งออ่ น ประกอบด้วยน้ำเป็นองค์ประกอบหลกั ประมาณ 90% และทเ่ี หลอื เป็นสารอ่ืน ๆ อกี 10% เช่น เกลือแร่ ของเสยี ฮอร์โมนและก๊าซชนิดต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีโปรตนี ซึง่ พบไดห้ ลายกล่มุ ดงั นี้ - โปรตีนอัลบมู นิ (albumin): ………………………………………………………………………………………………………………………. - โปรตีนไฟบรโิ นเจน (fibrinogen): ……………………………………………………………………………………………………………… - โปรตีนแอนตบิ อดี (antibody): …………………………………………………………………………………………………………………. ในพลาสมาที่ไม่มีโปรตีนและปัจจัยที่เกี่ยวขอ้ งกับการแข็งตวั ของเลือดอยู่ เช่น วิตามิน K และแคลเซียม จะมีลักษณะ เหลวใสเรียกวา่ …………………………………………… 11

Circulatory system 2. เซลล์เม็ดเลอื ด (blood corpuscles): พบประมาณรอ้ ยละ 45 ของปริมาณเลอื ดทง้ั หมด ประกอบด้วย 2.1 เซลล์เม็ดเลือดแดง (erythrocyte หรือ red blood cell: RBC) เซลล์เม็ดเลอื ดแดงทำหน้าท่ี……………………………………………………………………………………………….. เมอ่ื เจริญเต็มท่ีมี เส้นผา่ น ศนู ย์กลางประมาณ 7-8 ไมโครเมตร หนาประมาณ 2 ไมโครเมตร รูปรา่ งกลมแบน ตรงกลางบุ๋มท้ังสองด้าน ไมม่ ีนิวเคลียสและไมโทคอนเดรีย การที่เซลล์เม็ดเลือดแดงมีสีแดงเนื่องจากภายในเซลล์มี………………………………………… ซึ่งมีธาตุเหล็กเป็น องค์ประกอบทำให้มีความสามารถในการจับกับแก๊สต่าง ๆ ได้ ในช่วงระยะเอ็มบริโอเซลล์เม็ดเลือดแดงจะสร้าง จาก…………………………………………………………….… แต่ในช่วงใกล้คลอดจนกระทั่งเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่จะสร้าง เฉพาะ…………………………………… ในช่วงแรกท่ีสร้างข้ึนมาใหม่เซลล์เม็ดเลอื ดแดงจะมีนิวเคลียสแต่เมือ่ เจรญิ เต็มที่แล้ว จะไม่มนี วิ เคลยี สแต่มีฮโี มโกลบนิ และเอนไซม์ตา่ ง ๆ ท่ีจำเปน็ ตอ่ การทำงานของเซลล์ เซลล์เมด็ เลอื ดแดงมีอายุประมาณ 100-120 วัน หลังจากนั้นจะถูกทำลายที่……………………………………… ร่างกายเรามีเซลล์เม็ดเลือดแดงเปน็ จำนวนมาก โดยเพศชายมปี ระมาณ 5-5.5 ล้านเซลลต์ อ่ เลือด 1 ไมโครลติ รหรอื ลูกบาศกม์ ิลลิเมตร สว่ นเพศหญงิ จะมนี อ้ ยกว่าคอื มี ประมาณ 4.5-5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ไมโครลิตร ตลอดอายุขัยของมนษุ ย์จะมีการสรา้ งเซลล์เม็ดเลอื ดแดงทดแทนอยู่ เสมอเม่ือร่างกายเสยี เลอื ดไมม่ าก รา่ งกายจะนำเซลล์เมด็ เลือดแดงที่สะสมไว้ทม่ี ้ามออกมาทดแทนได้ทันที แลว้ ร่างกาย กจ็ ะสร้างเซลลเ์ ม็ดเลือดแดงใหม่ขึ้นมาเพือ่ ทดแทนส่วนทส่ี ญู เสยี ไป 12

Circulatory system 2.2 เซลล์เม็ดเลือดขาว (leukocyte หรอื white blood cell: WBC) เซลลเ์ ม็ดเลือดขาวทำหน้าท่ี………………………………………………………………………………………………………………………… เมื่อเจริญเต็มที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8-20 ไมโครเมตร มีจำนวนน้อยกว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง คือมีประมาณ 5,000-10,000 เซลล์ต่อเลือด 1 ไมโครลิตร สร้างและเจริญท่ี………………………………………. แต่บางชนิดจะเจริญต่อจน สมบูรณ์ในต่อมไทมสั เซลล์เม็ดเลือดขาวสว่ นใหญ่จะมีอายุประมาณ 2-3 วนั แลว้ ถกู ทำลายที่……………………………………. เซลลเ์ มด็ เลือดขาวจะมหี ลายชนิดซึง่ จะมหี นา้ ท่ีแตกต่างกันไป โดยสามารถแบ่งออกเปน็ 2 กล่มุ ดงั น้ี ▪ กล่มุ ที่มแี กรนลู เฉพาะ เรียกว่า…………………………………………………………………………. สร้างจากไขกระดูก เป็นเซลล์ที่นิวเคลยี สมีรูปร่างหลายแบบซึง่ มลี ักษณะเป็นพูมากกวา่ 1 พู มีไซโทพลาสซมึ คอ่ นข้างมากและมีแกรนูลกระจายอยูท่ ั่วไปในไซโทพลาสซึม แบง่ เป็น 3 ชนดิ คือ………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… อโี อซิโนฟลิ (eosinophil) เบโซฟลิ (basophil) นิวโทรฟลิ (neutrophill) 13

Circulatory system ▪ กลมุ่ ท่ีไม่มแี กรนลู เฉพาะ เรยี กว่า…………………………………………………………………………………………………………… เปน็ เซลลท์ ่ีมีนิวเคลยี สขนาดใหญ่ จำนวน……………..พู ซง่ึ จะมลี ักษณะกลมหรือคลา้ ยรปู ไต มี 2 ชนดิ คอื ……… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. โมโนไซต์ (monocyte) ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) 2.3 เกลด็ เลอื ด (platelet) เกร็ดเลือดหรือเพลตเลต มีขนาดเล็กมาก มีรูปร่างไม่แน่นอน มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 ไมโครเมตร มีจำนวน 250,000 – 400,000 ชิ้นต่อเลือด 1 ไมโครลิตร มีอายุประมาณ 10 วนั เพลตเลตไม่ใชเ่ ซลล์ แต่เป็น……………………………………………………………………………………. ………………………………………………………….. เปน็ ส่วนสำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด การแขง็ ตวั ของเลอื ด (blood clotting) เมื่อหลอดเลือดเกิดการฉีกขาด เกร็ดเลือดจะเคลื่อนท่ีมายังบริเวณที่หลอดเลือดฉีกขาดน้ี และจะปล่อยสารบางชนิดที่ ช่วยดึงดูดเกร็ดเลือดให้มารวมตัวกันเพ่ืออุดผนังหลอดเลอื ดที่ฉีกขาด นอกจากนี้เซลล์บริเวณทีเ่ กิดบาดแผลจะมีการปล่อย สารออกมา ซง่ึ เมอื่ รวมกบั ปัจจัยต่าง ๆ ท่ีช่วยในการแขง็ ตวั ของเลอื ด จะกระตนุ้ ให้…………………………………………………………. เปลี่ยนไปเป็น………………………………………………….ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่จะไปเปลี่ยน………………………………………..……………. ในพลาสมาให้เปน็ ………………………………………. สานกนั จนกระทง่ั มีลกั ษณะเป็นรา่ งแหโปรตีน และจะรวมกับเกรด็ เลอื ดและ เซลล์เมด็ เลอื ดแดงเพ่อื ไปอุดรอยฉีกขาดปอ้ งกันไม่ใหเ้ ลือดไหลออกจากบาดแผล 14

Circulatory system + คนที่เป็นโรคฮีโมฟิเลีย (hemophilia) เมื่อเกิดบาดแผลเลือดจะไม่แข็งตัวหรือแข็งตัวได้ช้า ทำให้เสียเลือดมาก เป็น ความผดิ ปกติทถ่ี ูกควบคมุ โดยยีนบนโครโมโซม X ทำใหผ้ ูป้ ว่ ยไมส่ ามารถสร้างสารทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับการแข็งตัวของเลือดได้ครบ หรอื เพียงพอ โปรตีนและเอนไซม์ท่เี กีย่ วข้องการแข็งตวั ของเลอื ดจะถกู สร้างจากตับ หากตับมคี วามผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถสรา้ งสาร ทชี่ ่วยในการแข็งตวั ของเลือดไดเ้ พยี งพอที่จะทำให้เลือดหยุดไหล นอกจากนวี้ ิตามิน K ก็มผี ลต่อการแข็งตัวของเลือด ดังนั้น ถ้ารา่ งกายขาดวิตามิน K กจ็ ะมผี ลตอ่ การแขง็ ตัวของเลอื ดในกรณที ี่มบี าดแผลเชน่ กนั หม่เู ลอื ดและการให้เลอื ด หม่เู ลอื ดของมนษุ ย์มหี ลายระบบ แต่ทีส่ ำคญั กับการใหแ้ ละรับเลอื ดมี 2 ระบบ คือ…………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………….. o หมู่เลือดระบบ ABO การจำแนกเลือดหมูต่ ่าง ๆ ในหมเู่ ลอื ดระบบ ABO จะจำแนกตาม…………………………………………………………………………… ……………………………………………………ซึ่งมี 2 ชนิด คือ แอนติเจน A และแอนติเจน B โดยจำแนกได้เป็นเลือดหมู่ A B AB และ O ส่วนแอนติบอดจี ะอย่ใู นพลาสมา มี 2 ชนิด คอื แอนติบอดี A และแอนตบิ อดี B 15

Circulatory system เลือดหมู่ ผวิ เซลล์เม็ดเลอื ดแดง พลาสมา A B AB O หลักการให้และรับเลือด คือ……………………………………………………………………………………………………………………………… เพราะถา้ แอนติบอดีจบั กบั แอนตเิ จนจะทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงเกาะกันเป็นก้อนและตกตะกอน ซงึ่ อาจเป็นอันตรายถึงแก่ ชีวิตได้ หมเู่ ลือด หมเู่ ลือดผ้รู ับ ผู้ให้ A B AB O A B AB O o หมเู่ ลอื ดระบบ Rh เลอื ดมนษุ ย์ยงั มแี อนติเจนชนิดอนื่ ๆ อีก ทำให้พบหมูเ่ ลือดระบบต่าง ๆ อกี โดยหม่เู ลือดระบบ Rh จะมีหมู่เลือดอยู่ 2 แบบ คอื Rh+ และ Rh- - เลือดหมู่ Rh+: ………………………………………………………………………………………………………………………………………… - เลือดหมู่ Rh- : ………………………………………………………………………………………………………………………………………. หมู่เลือดระบบ Rh จะแตกต่างจากหมู่เลือดระบบ ABO คือ บุคคลที่มีหมู่เลือด Rh+ จะไม่มีการสร้างแอนติบอดีต่อ แอนติเจนของ Rh แต่ถ้าคนที่มหี มู่เลอื ด Rh- เมื่อไดร้ ับเลือดหมู่ Rh+ ซึ่งมีแอนตเิ จน Rh แอนติเจนนี้จะกระตุ้นใหเ้ กดิ การ สร้างแอนติบอดีต่อแอนตเิ จน Rh ดังนั้นในการให้เลือด Rh+ ในครั้งต่อไปแอนติบอดีในร่างกายของผูร้ ับจะทำปฏิกิริยากับ แอนตเิ จนในเลอื ด ทำให้อันตรายถงึ ข้ันเสยี ชีวติ ได้ 16

Circulatory system อรี โี ทรบลาสโทซิสฟีทาลิส (erythroblastosis fetalis) คนไทยมักจะไมค่ ่อยมีปญั หาในการให้และรับเลือดในระบบ Rh เนือ่ งจากคนไทยส่วนมากมีเลอื ดหมู่ Rh+ คนท่ีมีเลือด หมู่ Rh- มีนอ้ ยมาก แต่ในกรณที ่แี มท่ ม่ี ีเลือดหมู่ Rh- ตั้งครรภแ์ ลว้ ลกู มีเลือดหมู่ Rh+ กม็ โี อกาสทีเ่ ซลล์เม็ดเลือดแดงจากลูก จะเข้าไปในกระแสเลือดของแม่ทางบาดแผลขณะคลอดได้ ซึ่งจะไปกระตุ้นใหแ้ มส่ ร้างแอนติบอดตี ่อแอนติเจน Rh ถ้าหาก แมต่ ้งั ครรภล์ กู คนท่สี องทม่ี เี ลอื ดหมู่ อกี จะเปน็ อันตรายตอ่ ทารกในครรภอ์ ยา่ งมาก เน่อื งจากแอนตบิ อดีของแม่สามารถผ่า นรกเข้าไปทำปฏิกิริยากับแอนติเจนที่ผิวเซลล์เม็ดเลือดแดงของลูก เรียกว่า การเกิดอีรีโทรบลาสโทซิสฟีทาลิส (erythroblastosis fetalis) ปัจจุบันสามารถป้องกันอันตรายได้แล้ว หากฝากครรภ์และอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่าง ใกล้ชดิ กลไกการรักษาดุลยภาพของรา่ งกายโดยอาศัยระบบหมุนเวยี นเลอื ด นอกจากระบบหมุนเวยี นเลือดจะมหี น้าท่ีในการลำเลียงสารอาหาร แก๊ส และสารอื่น ๆ แล้วยังมีหน้าทีเ่ กี่ยวกับระบบ ภูมิคุ้มกันด้วย เช่น การรักษาดุลยภาพของอุณหภมู ิในร่างกาย การรักษาดุลยภาพความเป็นกรด - เบส และการรักษาดุล ภาพของนำ้ กลไกการควบคุมของอุณหภมู ิในร่างกายใหค้ งท่เี ปน็ การทำงานร่วมกันของระบบหมนุ เวยี นเลอื ด ผวิ หนงั และกลา้ มเน้ือ โครงรา่ ง โดยอาศัยการควบคุมของ................................................................................... 17

Circulatory system 18

Lymphatic system ระบบนำ้ เหลอื ง (lymphatic system) เมอ่ื เลือดไหลผ่านหลอดเลือดฝอยแรงดันของเลอื ดจะทำให้ของเหลวออกจากหลอดเลือดฝอยเข้าไปอยู่บริเวณระหว่าง เซลล์ เรียกว่า…………………………………………………………………………………ซ่ึงโดยปกติของเหลวจะออกจากหลอดเลือดฝอย มากกว่ากลับเข้าสู่หลอดเลือดฝอย ดังนั้นจึงต้องอาศัย……………………………………………………………………………….ในการนำ ของเหลวเหล่าน้กี ลับเข้าส่รู ะบบหมุนเวียนเลือดเพอ่ื รักษาดุลยภาพของของเหลว โครงสรา้ งของระบบนำ้ เหลอื ง 1. น้ำเหลือง (lymph) เป็นของเหลวอยู่ในหลอดน้ำเหลืองและต่อมน้ำเหลือง โดยเกิดจากของเหลวที่ออกจากหลอดเลือดฝอยมาอยู่ระหว่าง เซลลแ์ ละลำเลยี งเข้าสู่………………………………………………………………………………………………………………… 19

Lymphatic system น้ำเหลืองมีส่วนประกอบคล้ายพลาสมาแต่มีโปรตีนน้อยกว่า ส่วนประกอบของน้ำเหลืองมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ แหล่งท่ีมาของน้ำเหลืองวา่ อยทู่ อี่ วยั วะใด เช่น - น้ำเหลืองท่ีมาจากบรเิ วณตอ่ มน้ำเหลอื งจะ………………………………………………………………………………………………….. - นำ้ เหลอื งทมี่ าจากบรเิ วณลำไส้เล็ก…………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. หลอดน้ำเหลือง (lymph vessel) หลอดน้ำเหลืองท่ีมีขนาดเล็กที่สุด คือ……………………………………………………………………………หลอดน้ำเหลืองฝอยจาก บริเวณต่าง ๆ จะมาเชื่อมรวมกันเปน็ หลอดน้ำเหลืองทีม่ ีขนาดใหญ่ข้ึน การลำเลียงน้ำเหลืองในหลอดน้ำเหลืองเป็นการนำ น้ำเหลอื งกลับเข้าสู่ระบบหมนุ เวียนเลือดจะมที ิศทางการไหลเข้าสหู่ วั ใจ โดยนำ้ เหลอื งจะถกู ลำเลยี งผา่ นหลอดน้ำเหลืองฝอย หลอดน้ำเหลืองและต่อมน้ำเหลอื งซึง่ เปน็ บริเวณท่ีมกี ารตรวจจับสง่ิ แปลกปลอมทีม่ ากับนำ้ เหลือง จะพบเซลล์เม็ดเลือดขาว จำนวนมาก ในท่ีสดุ นำ้ เหลอื งจะถกู ลำเลยี งเขา้ สูร่ ะบบหมุนเวียนเลือดทบี่ รเิ วณหลอดเลือดเวนใกล้หัวใจกอ่ นจะเข้าส่หู วั ใจ 20

Lymphatic system โครงสรา้ งของหลอดนำ้ เหลอื งมลี ักษณะคล้ายกับหลอดเลอื ดเวน คือ …………………………………………………………………… ปัจจยั ท่ีทำให้น้ำเหลืองไหลไปตามหลอดน้ำเหลอื งต่าง ๆ ได้ คอื …………………………………………………………………………………… โดยจะไปกดหรอื คลายหลอดนำ้ เหลือง และการหายใจเข้าซึ่งมีผลไปขยายทรวงอก และลดความดันของช่องอกทำให้หลอด นำ้ เหลอื งบริเวณทรวงอกเกิดการขยายตัวสง่ ผลให้นำ้ เหลืองไหลไปตามหลอดนำ้ เหลอื งอย่างช้า ๆ ประมาณ 1.5 มลิ ลิเมตร ตอ่ นาที 3. ตอ่ มน้ำเหลือง (lymph node) น้ำเหลืองจะไหลผ่านเข้าไปในต่อมน้ำเหลือง ซึ่งจะมีหลอดน้ำเหลืองจำนวนมากเข้ามายังต่อมน้ำเหลือง ภายในจะมี …………………………………………อยู่อย่างหนาแน่น ทำหนา้ ท่ี……………………………………………………………………………….………..... ……………………………………………………………………………………......……………………………………………………………………...……..…… ……. 21

Lymphatic system ระบบน้ำเหลอื ง ทำหน้าที่…………………………………………………………….……..……………………………………………………..…...... และยังทำงานร่วมกับระบบหมุนเวียนเลือดในการลำเลียงอาหารแก๊สออกซิเจนไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย นอกจากน้ี ระบบนำ้ เหลอื งยังทำงานร่วมกบั ระบบภูมิคุ้มกนั ในการตอ่ ต้านและทำลายเชือ้ โรคและสง่ิ แปลกปลอมตา่ ง ๆ ทเ่ี ข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงปลอดภัยจากโรคต่างจงึ เป็นการรักษาระบบหมุนเวียนเลือดและระบบน้ำเหลืองให้ ทำงานเป็นปกติด้วย 22

เอกสารประกอบการเรียน เรอ่ื ง ระบบภูมคิ ุ้มกัน (Immune system) รายวิชา ว32244 ชวี วทิ ยา 4 ปกี ารศึกษา 2563 ภาคเรยี นที่ 2 โรงเรยี นวชริ ธรรมสาธิต ช่ือ-นามสกลุ …………………………………………………………………….……..ช้ัน……………………..เลขท…่ี ………… 1. กลไกการตอ่ ต้านหรอื ทำลายสง่ิ แปลกปลอม 1.1 กลไกการตอ่ ตา้ นหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบไมจ่ ำเพาะ ▪ กลไกการต่อต้านหรือทำลายส่ิงแปลกปลอมไมใ่ ห้เขา้ สู่เนื่อเยื่อ ▪ กลไกการต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมทเ่ี ข้าสู่เนอื่ เยื่อ 1.2 กลไกการต่อต้านหรอื ทำลายสิง่ แปลกปลอมแบบจำเพาะ ▪ เซลลน์ ำเสนอแอนตเิ จน ▪ ลมิ โฟไซต์ - กลไกการต่อต้านหรอื ทำลายส่ิงแปลกปลอมโดยเซลล์ที - กลไกการตอ่ ต้านหรอื ทำลายส่งิ แปลกปลอมโดยเซลล์บี - อวยั วะและเนือ้ เยื่อทีเ่ กยี่ วข้องกบั การสรา้ งหรอื การตอบสนองของลิมโฟไซต์ 2. การสร้างเสริมภูมคิ ้มุ กนั 2.1 ภมู คิ ุ้มกันรบั มา ▪ การได้รบั ภูมคิ ุ้มกันจากแม่ ▪ การได้รบั เซรมุ่ หรือซีรัม 2.2 ภมู ิค้มุ กันก่อเอง ▪ วคั ซีน 3. ความผิดปกติของระบบภูมคิ ุ้มกนั 3.1 โรคภมู ิแพ้ 3.2 ภูมติ ้านทานต่อเนื้อเยอื่ ตนเอง ▪ โรคลูปสั หรือโรคเอสแอลอี ▪ โรคข้อรูมาตอยด์ 3.3 ภาวะภูมคิ ้มุ กนั บกพร่องจากการติดเช้ือ HIV 1

Immune system ระบบภูมคิ ุ้มกนั (Immune system) ในแต่ละวันร่างกายมีโอกาสได้รับสิ่งแปลกปลอมจากสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นจากการสัมผัส การ รับประทาน หรือการหายใจ ส่งิ แปลกปลอมเหลา่ นี้อาจเป็นจุลินทรีย์ เช่น ไวรัส แบคทเี รยี รา ตลอดจนส่ิงแปลกปลอมอ่นื ๆ เช่น ฝุ่นละออง สารเคมี หรือสารพิษ ซึ่งถ้าสิ่งแปลอกปลอมเหล่านี้เข้าสู่รา่ งกายอาจทำให้เกิดอันตรายและส่งผลให้ระบบ ต่าง ๆ ของรา่ งกายทำงานผิดปกติทำให้เกิดการเจบ็ ปว่ ยได้ ดงั นั้นรา่ งกายจึงจำเป็นจะตอ้ งมีกลไกปอ้ งกนั ส่งิ แปลอกปลอมซึ่ง กลไกนจี้ ดั เปน็ ระบบหนึง่ ของร่างกาย คอื …………………………………………………………………………………….. 1. กลไกการต่อตา้ นหรือทำลายสิ่งแปลกปลอม ร่างกายมนุษย์มีกลไกการตอ่ ตา้ นหรอื ทำลายสง่ิ แปลกปลอม……………..แบบ คอื ………………………………………………… ………………………………………………….และ………………………………………………………………………………………….. ซึ่งทั้งสองกลไก จะทำงานร่วมกนั เพือ่ ปอ้ งกนั และทำลายส่ิงแปลกปลอมทอี่ าจจะทำให้เกิดอันตรายตอ่ เซลลต์ ่าง ๆ 1.1 กลไกการต่อต้านหรือทำลายสง่ิ แปลกปลอมแบบไม่จำเพาะ (nonspecific immune response) ร่างกายจะได้รับการปกป้องจากสิ่งแปลกปลอมทุกชนิดโดยไม่แยกความแตกต่างว่าจะเป็นเชื้อจุลินทรียห์ รือสาร แปลกปลอมอะไร กลไกการต่อต้านสิง่ แปลกปลอมน้ีจะเกดิ ข้นึ ไดอ้ ย่างรวดเรว็ เพอื่ ปอ้ งกันการบกุ รกุ การแพร่กระจายของส่งิ แปลกปลอมในรา่ งกาย แบง่ ออกได้เปน็ 2 ระดับ คือ ▪ กลไกการต่อตา้ นหรือทำลายส่งิ แปลกปลอมไมใ่ หเ้ ข้าสเู่ นอ้ื เย่ือ จะมบี ทบาทหลกั ในการ………………………………………………………………………………………………………………………………. ซงึ่ เกดิ ไดห้ ลายบริเวณของร่างกาย ไดแ้ ก่ - ผวิ หนงั ที่ชว่ ยปอ้ งกนั ไมใ่ ห้สงิ่ แปลกปลอมเขา้ สู่รา่ งกายและอวยั วะภายในได้ - สารคดั หลง่ั จากอวยั วะต่าง ๆ เช่น นำ้ ลาย และนำ้ ตา จะมีเอนไซมท์ สี่ ามารถยบั ยัง้ การเจริญของแบคทีเรยี ทำ ให้แบคทเี รยี ไม่สามารถอาศยั อยู่ได้ - การสรา้ งเมอื ก (mucus) ตามเย่อื บุต่าง ๆ ในระบบหายใจและระบบยอ่ ยอาหาร ซึง่ จะชว่ ยดักจบั และทำลาย สงิ่ แปลกปลอมทผ่ี ่านเข้ามา ถ้าอวยั วะเหล่านเี้ สียหายหรือไม่สามารถป้องกนั ได้ เมือ่ ส่ิงแปลกปลอมต่าง ๆ เขา้ สรู่ า่ งกายได้ รา่ งกายจะมกี ลไก การตอ่ ตา้ นหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมท่ีเข้าสู่เนอ้ื เยือ่ ตอ่ ไป ▪ กลไกการต่อตา้ นหรอื ทำลายสง่ิ แปลกปลอมท่ีเขา้ สเู่ นอ้ื เย่ือ - การทำงานของเซลลเ์ มด็ เลือดขาวกลมุ่ ฟาโกไซต์ เซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาวกลุ่มฟาโกไซต์เปน็ เซลล์ทก่ี ำจัดสิ่งแปลกปลอมด้วยวิธี…………………………………………………….. เซลล์ฟาโกไซตท์ สี่ ำคัญในร่างกาย คือ………………………………………………………..และ……………………………………………………….. 2

Immune system โดยโมโนไซต์นี้เมอ่ื แทรกตัวออกจากหลอดเลือดฝอยไปตามเนอื้ เยื่อจะเปลย่ี นแปลงและมกี ารขยายขนาดเป็น…………………… ……………………………………………ซึ่งเป็นเซลลข์ นาดใหญแ่ ละมปี ระสทิ ธิภาพสงู ในการดกั จบั และทำลายเช้อื โรค - การทำงานของเซลลพ์ ิเศษ เช่น Natural killer cell (NK cell) NK cell เป็นเซลลเ์ มด็ เลือดขาวกลมุ่ ลมิ โฟไซตท์ ่มี ีขนาดใหญจ่ ากไขกระดกู ซ่ึงจะมีบทบาทสำคญั ………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. - กระบวนการอักเสบ (inflammation) เป็นกลไกท่ีจะชว่ ยยบั ยง้ั และกำจัดสิ่งแปลกปลอมจากบริเวณท่ีเกิดบาดแผลไมใ่ หแ้ พรก่ ระจายไปยงั สว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายได้ โดยเม่ือเกิดบาดแผลและมีเชื้อโรคเขา้ สเู่ นื้อเยอื่ เน้ือเย่อื ทเ่ี สยี หายและเชอ้ื โรคจะส่งสญั ญาณเคมีไปดึงดูดฟา โกไซตใ์ ห้มายงั บาดแผลมากขึน้ โดยฟาโกไซต์จะดักจับเชือ้ โรคไวไ้ ม่ให้แพร่กระจายไปยงั บรเิ วณอ่นื ๆ จากนั้นจะทำลายเช้ือ โรคและเนอ้ื เยื่อท่เี สยี หายด้วยวิธฟี าโกไซโทซิส นอกจากนี้แมโครฟาจและเซลลแ์ มสต์ (mast cell) ในเน้อื เยือ่ หรอื เบโซฟิล ในเลือดยังทำหนา้ ท่ี…………………………………………………………………………………………………………….เพื่อนำเลอื ดและเซลล์เม็ด เลือดขาวมาสะสมมากขึ้น มีการซึมผ่านของน้ำเหลืองเพื่อนำสารต่าง ๆ ที่ช่วยกำจัดเชื้อโรคเข้าสู่บริเวณบาดแผลทำให้ ………………………………………………………………………………………………………เรียกการตอบสนองนี้วา่ …………………………………… 3

Immune system การที่บริเวณบาดแผลมีอุณหภูมิสูงข้ึนจะชว่ ยยับยั้งการเจริญของเชือ้ โรคบางอยา่ งได้ ถ้าเกิดบาดแผลขนาดใหญ่มี การอักเสบมากเป็นบรเิ วณกวา้ ง อาจกระตนุ้ ให้อณุ หภมู ิของรา่ งกายสงู ข้ึนจนเป็นไข้ได้ เชอ้ื โรคทถ่ี ูกทำลายจากการอกั เสบและฟาโกไซต์ที่ตายแล้วจะรวมตัวเป็นหนองและถูกกำจัดออกทางบาดแผล และ เซลลใ์ นบรเิ วณน้ันจะแบ่งเซลลเ์ พื่อซอ่ มแซมเน้ือเยื่อที่ถูกทำลายไปในท่สี ดุ แผลจะแหง้ และตกสะเกด็ หลดุ ไป 1.2 กลไกการตอ่ ตา้ นหรอื ทำลายสิง่ แปลกปลอมแบบจำเพาะ (specific immune response) ส่งิ แปลกปลอมท่เี ขา้ ส่เู น้ือเยื่อของร่างกาย นอกจากจะทำให้เกิดกลไกการต่อต้านหรือทำลายสงิ่ แปลกปลอมแบบไม่ จำเพาะแลว้ ยงั สามารถกระตุ้นให้เกิดกลไกการต่อตา้ นหรือทำลายสิง่ แปลกปลอมแบบจำเพาะด้วยโดยสง่ิ แปลกปลอม เช่น ไวรัส แบคทีเรีย รา รวมทั้งชิ้นส่วนของสิง่ เหล่าน้ี และสารพิษตา่ ง ๆ ที่เข้าสู่เนื้อเยื่อแลว้ ไปกระตุน้ ให้เกิดกลไกการต่อต้าน หรอื ทำลายสง่ิ แปลกปลอมแบบจำเพาะ เรยี กสิง่ แปลกปลอมนว้ี ่า………………………………………………เกี่ยวข้องกับการทำงาน ของ………………………………………………………และ…………………………………………………………… ▪ การทำงานของเซลลน์ ำเสนอแอนติเจน (antigen presenting) เม่อื แอนติเจนเข้าสู่เน้ือเยอ่ื แมโครฟาจจะเข้าทำลายดว้ ยฟาโกไซโทซสิ ทำ ใหเ้ กดิ ช้นิ ส่วนของแอนตเิ จนทีไ่ ดจ้ ากการย่อย และชนิ้ สว่ นเหล่านี้จะถูกนำเสนอบน โปรตนี ทผ่ี วิ เซลลข์ องแมโครฟาจ เพอื่ ……………………………………………………………….. ………………………………………………………………..………………………………………………….. ………………………………………………………………..………………………………………………….. เรียกแมโครฟาจทที่ ำหน้าทน่ี วี้ า่ ……………………………………………………………………….. ▪ การทำงานของเม็ดเลือดขาวกลุ่มลิมโฟไซต์ (lymphocyte) ลิมโฟไซต์ คอื ………………………………………………………………..…………………………………………ทำหน้าที่ตอบสนองและ ทำลายส่งิ แปลกปลอม โดยสามารถจดจำลกั ษณะจำเพาะของส่งิ แปลกปลอมได้เนื่องจากผวิ เซลล์จะมโี ปรตนี ที่ทำหน้าท่ีเป็น ตัวรับที่จำเพาะต่อแอนตเิ จนตา่ ง ๆ มากมาย โดยปกติลิมโฟไซต์จะพบในระบบหมุนเวียนเลือดระบบน้ำเหลืองอวัยวะและ เนอื้ เยือ่ ในระบบภมู ิค้มุ กัน ลิมโฟไซต์ท่สี ำคญั คือ………………………………………………………………..………………………………………. ………………………………………………………………..………………………………………………….. - กลไกการตอ่ ตา้ นหรือทำลายส่งิ แปลกปลอมโดยเซลล์ที บนผวิ ของเซลลท์ จี ะมีตวั รับแอนตเิ จน ท่เี รียกวา่ ………………………………………………………………..…………………….. ………………………………………….สำหรับจับกับชิ้นส่วนแอนติเจนอย่างจำเพาะ การจับอย่างจำเพาะระหว่างแอนติเจนและ ตวั รับแอนตเิ จนบนผวิ เซลล์ที เกิดข้ึนได้เพราะท่ีปลายแขนของตัวรบั มตี ำแหนง่ เรียกว่า……………………..………………………..…. ………………..………………………..…. ซง่ึ สามารถจับกับชิน้ ส่วนแอนตเิ จนท่ถี ูกนำเสนอโดยเซลล์นำเสนอแอนติเจนได้อย่างพอดี จากน้ันจะเกิด………………..………………………..….………………..………………………..….………………..…………… 4

Immune system เซลล์ทีในร่างกายมีหลายชนิดแตเ่ ซลล์ทีท่ีสำคญั ในกลไกการตอ่ ต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบจำเพาะ มี อยู่ 2 ชนิด ได้แก่ เซลลท์ ีผู้ชว่ ย (helper T cell) หรือเซลล์ทีชนดิ CD4 มีบทบาทสำคัญในการ………………..………………………..……………………………………….โดยเมื่อตัวรับแอนติเจนบนผิว เซลล์ทีชนิด CD4 จับจับชิ้นส่วนแอนติเจนที่ถูกนำเสนอจากเซลล์นำเสนอแอนติเจน จะมีการส่งสัญญาณโดยมีการปล่อย ………………..………………………..…………………เพื่อไปกระตุ้นทำให้เซลล์อื่น ๆ เกิดการตอบสนอง เช่น กระตุ้นเซลล์ทีชนิด CD8 ทำให้เกิดการแบง่ เซลล์เพ่ือเพิ่มประสิทธภิ าพในการกำจัดเซลล์แปลกปลอมหรือเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส และกระตุ้นการ ทำงานของเซลลบ์ ซี ึ่งเปน็ ลิมโฟไซทอ์ ีกชนิดหน่ึงดว้ ย 5

Immune system เซลลท์ ีทที่ ำลายเซลลแ์ ปลกปลอม (cytotoxic T cell) หรอื เซลลท์ ชี นดิ CD8 เซลลท์ ีชนิด CD8 จะเขา้ จับอย่างจำเพาะกับเซลลแ์ ปลกปลอมหรอื เซลล์ทต่ี ิดเช้ือไวรสั จากนัน้ ………………..…………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. - กลไกการต่อตา้ นหรอื ทำลายสง่ิ แปลกปลอมโดยเซลล์บี บริเวณผิวเซลล์ของเซลลบ์ จี ะมีตวั รับแอนติเจน ท่ีเรียกว่า…………………………………………………………………………. ……………………………ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปตัว Y ช่วยให้เซลล์บีสามารถจับอย่างจำเพาะกบั แอนติเจนได้ ตัวรับแอนตเิ จนของ เซลลบ์ มี บี รเิ วณจบั แอนตเิ จน…………………ตำแหน่ง เมือ่ แอนตเิ จนจับกับตวั รับแอนติเจนบนผิวเซลล์บพี ร้อมกับไดร้ ับการกระตุ้นจากไซโทไคน์ที่ปล่อยออกมาจาก เซลล์ทีชนิด CD4 เซลล์บีจะถูกกระตุ้นให้แบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนและเซลล์ส่วนหนึ่งพัฒนารูปร่างขนาดใหญ่ขึ้น เรียกว่า ………………………………………………………………….. และหลั่งสารประเภทโปรตีนที่เรียกว่า………………………………………………… ………………………………………………………………………………….. ซ่งึ มีโครงสรา้ งและความจำเพาะเหมือนกบั ตวั รับแอนตเิ จนที่อยู่ บนผวิ ของเซลลบ์ ีสามารถจับกับแอนตเิ จนได้ 6

Immune system เนื่องจากแอนติบอดีแต่ละโมเลกุลที่หลังออกมาจากเซลล์พลาสมามีบริเวณจับแอนติเจนที่สามารถจับ แอนติเจนได้ 2 ตำแหน่ง แอนตบิ อดีจึงเปน็ สารทีท่ ำหนา้ ท่ี……………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………… ในกลไกการต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบจำเพาะ เซลล์บีและเซลล์ทีส่วนหนึ่งจะเพิ่มจำนวนและ พฒั นาไปเปน็ ………………………………………………………………………จำนวนมากที่มีความจำเพาะต่อแอนติเจนน้ันซึ่งพร้อมท่ีจะ ตอบสนอง ดังน้ันเม่อื ไดร้ ับแอนตเิ จนชนิดเดิมอีกครั้งจะเพมิ่ จำนวนและเปล่ยี นเปน็ เซลล์พลาสมาท่ีสร้างแอนติบอดีได้อย่าง รวดเร็ว กลไกการทำงานร่วมกันของลมิ โฟไซต์และเซลลน์ ำเสนอแอนตเิ จน รวมทั้งการตอบสนองของเซลล์อืน่ ๆ ในระบบ ภมู ิคมุ้ กนั สามารถสรุปได้ ดงั รปู - อวยั วะและเนื้อเยอ่ื ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การสรา้ งหรือการตอบสนองของลมิ โฟไซต์ โครงสรา้ งของระบบภมู คิ ้มุ กนั ประกอบดว้ ยอวยั วะและเน้ือเยอื่ ตา่ ง ๆ ทีเ่ กยี่ วข้องกับการสร้างหรือตอบสนอง ของลิมโฟไซต์ ดังน้ี - อวัยวะทที่ ำหน้าที่สรา้ งเซลล์เม็ดเลอื ดขาวชนิดต่าง ๆ รวมทัง้ ลิมโฟไซต์ คอื ………………………………………………. - อวัยวะท่ีพฒั นาเซลล์บจี นสมบูรณ์ คอื ………………………สว่ นอวยั วะท่พี ัฒนาเซลลท์ ีจนสมบูรณ์ คอื ………………. - อวัยวะทท่ี ำหนา้ ทด่ี กั จับและทำลายสิง่ แปลกปลอม คือ…………………………………………………………………….……. 7

Immune system - เนอ้ื เยือ่ บริเวณต่าง ๆ ของรา่ งกายที่ทำหนา้ ท่ปี อ้ งกนั ดักจบั และทำลายสง่ิ แปลกปลอม เช่น ทอนซิลบริเวณ คอ เนอื้ เย่อื น้ำเหลอื งที่ผนังทางเดนิ อาหารและทางเดินหายใจ ไส้ติ่ง 2. การสร้างเสรมิ ภมู ิค้มุ กัน ประชากรไทยจะไดร้ ับวคั ซนี ท่ีมคี วามจำเปน็ พืน้ ฐานต้งั แตแ่ รกเกดิ จนถึงวัยเรียน คอื อายุประมาณ 11-12 ปี โดยไม่ เสียคา่ ใชจ้ า่ ย เมือ่ เติบโตเป็นผใู้ หญ่กจ็ ะมกี ารฉดี วัคซนี บางชนดิ สำหรับปอ้ งกันโรคเฉพาะอยา่ ง เช่น วคั ซนี ป้องกนั โรคไข้หวัด ใหญ่สายพันธุ์ต่าง ๆ เมื่อร่างกายได้รับวัคซีนแล้วจะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างภมู ิคุ้มกันไว้เพื่อต่อต้านหรือทำลายสิ่ง แปลกปลอมเหลา่ นัน้ ได้ การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ แบ่งได้เป็นสองแบบคือ …………………………………………………………และ…………………………………………………………ซึ่งการสร้างภูมิคุ้มกันทั้งสองแบบน้ี อาศยั หลักการในการทำงานของระบบภมู ิคุม้ กนั ในการต่อตา้ นหรอื ทำลายสง่ิ แปลกปลอมแบบ……………………………. 2.1 ภมู ิคุ้มกนั รบั มา (passive immunity) ภมู คิ ้มุ กนั รบั มาเป็นวิธที รี่ า่ งกายได้รบั ………………………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………… แต่แอนติบอดีที่ได้รับมานี้จะอยู่ในร่างกายได้ไม่นานอาจเป็น สปั ดาหห์ รือเป็นเดอื นขน้ึ อย่กู บั ปริมาณของแอนตบิ อดนี ั้น ▪ การไดร้ บั ภูมิคุ้มกนั จากแม่ โดยทั่วไปลูกจะได้รับแอนติบอดตี ั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ผ่านทาง…………………. ดังนั้นถ้าแม่ได้รับภูมิคุ้มกันโรคใดโรค หน่ึงมากอ่ นต้งั ครรภล์ ูกก็จะไดร้ ับภูมิคมุ้ กันด้วย เมื่อคลอดออกมาก็จะมภี ูมิคมุ้ กนั ตอ่ โรคนั้นช่ัวคราวประมาณ 2-3 เดือนหลงั คลอดนอกจากนี้แอนติบอดียังสามารถส่งผ่านจากแมส่ ู่ลูกได้ทาง……………………………. โดยเฉพาะนำ้ นมที่ หลั่งหลังจากการคลอดใหม่ ๆ ซึง่ การให้ภูมิคุ้มกันแก่ลูกในชว่ งแรกนเ้ี ป็นสง่ิ จำเปน็ จนกว่าร่างกายของลูกจะสามารถ พัฒนา น้ำนมแม่ที่หลั่งในช่วงเวลา 1-3 วันแรกหลังจากคลอด เรียกว่า………………….………………….……………จะมี สารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมาก ซึ่งเหมาะสมต่อการพัฒนาและการเจริญเติบโตของทารก มีแอนติบอดี และโปรตีนตา่ ง ๆ ทช่ี ่วยสร้างเสริมภมู คิ มุ้ กัน เพราะเด็กแรกเกิดระบบภมู คิ มุ้ กนั ยงั พัฒนาได้ไม่เตม็ ท่ี 8

Immune system ▪ การไดร้ ับเซรุ่มหรือเซร่ัม การไดร้ ับแอนตบิ อดีโดยการฉดี เซรมุ่ หรือเซรมั (serum) ท่ีสกดั ได้จากเลอื ดสัตว์ เช่น ม้า การฉีดเซรุม่ น้ีจะทำ ให้ร่างกายได้รบั แอนติบอดที จ่ี ำเพาะตอ่ แอนตเิ จนโดยตรง สามารถกำจัดแอนติเจนนน้ั ได้ทันที ตวั อยา่ งเช่น…………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.2 ภมู คิ ้มุ กนั กอ่ เอง (active immunity) เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับแอนติเจนเข้าไปแล้วสร้างแอนติบอดีหรือกระตุ้นเซลล์ทีที่จำเพาะต่อ แอนติเจนนั้นขึ้นมาต่อต้าน ขณะเดียวกันร่างกายมีการสร้างเซลล์ความจำที่มีความจำเพาะต่อแอนตเิ จนนัน้ เตรียมไว้เมอื่ ได้รับแอนติเจนเดิม ก็จะสามารถกระตุ้นเซลล์บีให้สร้างแอนติบอดีหรือกระตุน้ เซลล์ทีที่จำเพาะต่อแอนติเจนเดิมได้อยา่ ง รวดเรว็ ดังน้ันผปู้ ว่ ยท่เี ป็นโรค เชน่ คางทูม อสี ุกอีใส และหายปว่ ยแล้วเมื่อไดร้ ับเช้ือโรคเดิมจะไม่ปว่ ยด้วยเช้ือโรคน้ันอีกถ้า ปว่ ยก็จะมอี าการไมร่ นุ แรง ▪ วัคซนี การให้วัคซนี เพอื่ ปอ้ งกนั โรคต่าง ๆ เปน็ การกระตนุ้ ภมู คิ ุ้มกนั เชน่ เดียวกนั กับการได้รับเชื้อโรคตามธรรมชาตเิ พื่อ เตรียมพรอ้ มที่จะตอบสนองอย่างรวดเรว็ วัคซนี อาจผลติ ได้จาก………………….………………….………………….………………….…….. ………………….………………….………………….………………….…………………..แตย่ งั คงมคี วามสามารถในการทำหน้าท่ีเป็นแอนตเิ จน การฉดี วัคซนี ประโยชน์ตอ่ มนษุ ยม์ าก เพราะชว่ ยปอ้ งกันโรคที่เป็นอนั ตรายหรือโรคที่สามารถติดต่อไปยังคนอ่ืนได้ เชน่ วคั ซีนป้องกนั โรคโปลโิ อโปลโิ อ วัคซีนปอ้ งกันโรคคอตบี -บาดทะยกั -ไอกรน วคั ซีนป้องกนั มะเรง็ ปากมดลกู ที่มีสาเหตุจากการ ตดิ เชือ้ HPV (human papillona virus) วัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่ เปน็ ต้น วัคซีนบางชนิดได้รบั เพยี งครั้งเดยี วก็สามารถปอ้ งกันโรคได้ สว่ นบางชนิดตอ้ งได้รับเป็นระยะต่อเนื่องกัน เนื่องจาก ………………….………………….………………….………………….………………………………………………… หลังการได้รับวัคซีนครั้งแรก รา่ งกายจะผลิตแอนตบิ อดีที่ตอบสนองตอ่ วคั ซีนทนั ที เม่อื เวลาผ่านไปความเขม้ ข้นของแอนตบิ อดีในเลือดจะลดน้อยลงเร่ือย ๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีนนั้น จึงต้องให้วัคซีนป้องกันโรคบางชนิดเป็นระยะ ๆ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายผลิตแอนติบอดีสู่ กระแสเลอื ดในความเขม้ ข้นท่ีเพียงพอสำหรบั ตอ่ ต้านการตดิ เชือ้ ได้ ขอ้ เปรียบเทียบ ภูมคิ มุ้ กันก่อข้ึนเอง (active immunity) ภูมคิ ุม้ กนั รบั มา (passive immunity) ขอ้ ดี ข้อเสยี 9

Immune system 3. ความผิดปกตขิ องระบบภมู ิค้มุ กัน ความผดิ ปกติหรอื โรคที่เก่ียวขอ้ งกับความผิดปกติของระบบภมู ิคุ้มกันมีหลายโรคซ่งึ แต่ละโรคมีสาเหตุและปัจจัยท่ี ทำให้เกิดแตกต่างกัน โรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคภูมิแพ้ (allergy) ภูมิต้านทานต่อเนื้อเย่ือ ตวั เอง และภาวะภมู ิค้มุ กนั บกพรอ่ งจากการตดิ เชือ้ HIV หรือโรคเอดส์ 3.1 โรคภูมแิ พ้ (allergy) เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันมีการตอบสนองต่อแอนติเจนบางอย่างที่ได้รับรุนแรงเกินไปเรียกแอนติเจนที่ก่อให้เกิด อาการแพ้วา่ ………………….………………….……… เช่น เกสรดอกไม้ ฝนุ่ ละออง สารบางชนิดในอาหาร เมื่อร่างกายไดร้ ับสารกอ่ ภูมิแพ้เซลลบ์ ีจะพัฒนาเป็นเซลล์พลาสมาและสร้างแอนติบอดีที่จำเพาะตอ่ สารกอ่ ภูมิแพ้ นั้น แอนติบอดีท่ีสร้างนี้จะไปเกาะทีผ่ ิวของเซลล์แมสต์ที่อยูต่ ามเนือ้ เยือ่ ต่าง ๆ หรือผิวของเบโซฟิลท่ีอยู่ในเลือด เมื่อไดร้ บั สารกอ่ ภมู แิ พช้ นิดเดิมอีกครั้งจะกระต้นุ ให้เซลล์แมสต์และเบโซฟิลหลั่ง………………….………………….……………ซ่ึงจะทำให้เกิด อาการต่าง ๆ ขน้ึ เช่น ไอจาม นำ้ มูกไหล คนั จมกู คนั ตา กลา้ มเน้ือเรียบหดตวั แต่ในบางรายอาจทำให้เกดิ อาการแพ้รุนแรง ทำใหก้ ลา้ มเน้อื เรียบบริเวณทางเดนิ หายใจหดตัว การหายใจติดขัด หรือเกดิ อาการบวมทวั่ ร่างกายและถงึ แก่ชีวิตได้ อาการ ดงั กลา่ วสามารถแก้ไดโ้ ดยการใหย้ า………………….………………….……………………………………. การป้องกันและหลีกเลี่ยงการเกิดโรคภูมิแพ้ คือ การหลีกเลี่ยงการได้รับสารก่อภูมิแพ้ รักษาสุขภาพร่างกายให้ แข็งแรงอยเู่ สมอ รบั ประทานอาหารทีม่ ีประโยชน์ ออกกำลังกาย พักผอ่ นให้เพยี งพอ 3.2 ภมู ิต้านทานตอ่ เน้ือเยื่อตนเอง ในกรณีที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่สามารถแยกระหว่างเซลล์ร่างกายกับเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมได้ ………………….………………….………………………….………………….………………………….………………….………………………….…………… โดยทำให้เกิดการอักเสบที่บริเวณนั้น ตัวอย่างโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เช่น โรคลูปัส (Lupus) หรือโรคเอสแอลอี (systemic lupus erythematosus หรือ SLE) โรคขอ้ รูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) 10

Immune system ▪ โรคลูปัส (Lupus) หรือโรคเอสแอลอี (systemic lupus erythematosus หรอื SLE) เกดิ จากร่างกายสร้าง………………….………………….………………………….………………….………………………….………………… ………………….………………….……… สว่ นใหญ่พบในเพศหญงิ อาการของโรคเอสแอลอบี างชนิดท่พี บไดบ้ อ่ ย คือ…………………… ………………….………………….………………………….………………….…………………………. ในบางราย ระบบประสาทสว่ นกลางจะถูก ทำลาย การทำงานของหัวใจและไตอาจล้มเหลวได้ ผู้ป่วยบางรายอาจแสดงอาการผิดปกติเพียงอวยั วะใดอวัยวะหนึ่งทลี ะ ระบบหรอื แสดงอาการพรอ้ มกนั หลายอวยั วะหรือหลายระบบ ▪ โรคข้อรมู าตอยด์ (rheumatoid arthritis) เกิดจากร่างกายสร้าง………………….………………….………………………….………………….………………………….………………… ………………….………………….…………… โดยทว่ั ไปผูป้ ่วยจะมีอาการ……………………………………………………………………………....... ………………….………………….………………………หลังจากนั้นจะมีการอักเสบของข้อต่อเป็นระยะ ๆ ซึ่งจะเริ่มจากข้อต่อที่เล็ก กอ่ น หากไม่รักษาหรอื ป้องกันกระดกู ออ่ นทขี่ ้อตอ่ อาจจะสลายและเกดิ เป็นพังผืดข้นึ แทนดงึ รัง้ ใหข้ ้อตอ่ ผดิ รูปร่าง 11

Immune system 3.3 ภาวะภมู ิคุ้มกนั บกพรอ่ งจากการตดิ เชอื้ HIV เปน็ ภาวะที่เกิดจากการติดเชอ้ื HIV โดยเซลลโ์ ฮสต์ (host cell) ทเี่ ปน็ เป้าหมายหลกั ของเชอ้ื HIV คือ………………… ………………….………………….………………………….………………….………………………….………………….………………………….…………… เชื้อไวรสั น้ีมีสารพันธุกรรมเปน็ RNA เมื่อเชื้อ HIV เข้าจับกับเซลล์ทีชนิด CD4 แล้ว ไวรัสจะปลอ่ ย RNA เพื่อที่จะ ถอดรหัสยอ้ นกลบั (reverse transcription) เปน็ DNA ซ่ึงสามารถแทรกเข้าไปอยูใ่ น DNA ของเซลล์ทีชนดิ CD4 รวมทง้ั ใช้ องค์ประกอบตา่ ง ๆ ของเซลลใ์ นการสรา้ ง RNA และองค์ประกอบตา่ ง ๆ ของเชอื้ HIV เพอื่ เพม่ิ จำนวน จากน้นั เชอ้ื HIV จะ ทำลายเซลลท์ ีชนิด CD4 และหลุดออกไปทำลายเซลลท์ ีชนดิ CD4 เซลลอ์ ่นื ๆ ตอ่ ไป ในช่วงแรกของการติดเชื้อ HIV เซลล์ที่ชนิด CD4 จะยังไม่ลดจำนวนลงมากนัก แต่เมื่อผ่านไปซักระยะหนึ่งจะลด จำนวนลงเรื่อย ๆ ทำให…้ ……………….………………….………………………….………………….………………………….………………….……… เช่น โรคปอดบวม วัณโรค เย่ือหุ้มสมองอักเสบ โรคเชือ้ ราตามผวิ หนังหรือในชอ่ งปาก โรคมะเร็งบางชนดิ และหากมีจำนวน เซลลท์ ชี นดิ CD4 ตำ่ มากพร้อมกบั มโี รคแทรกซอ้ นข้ึนจะเขา้ ส่รู ะยะทีเ่ รียกว่า………………….………………….………………………….. …………………………………………….ดังนั้นผู้ป่วยที่มีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกายไม่จำเป็นจะต้องเป็นโรคเอดส์ทุกคน เพราะถ้าดูแล สขุ ภาพรา่ งกายดีและปฏิบตั ิตามคำแนะนำของแพทย์ ใช้ยาป้องกันการเพม่ิ จำนวนของเชอ้ื HIV เป็นประจำร่างกายก็ยังคง แข็งแรงและลดโอกาสการติดเชื้อแทรกซ้อนได้ 12

Immune system เชื้อ HIV สามารถอยู่รอดภายนอกร่างกายได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยอยู่ในของเหลว เมือกหรือสารคัดหล่ังโดย เฉพาะท่ีผลติ จากระบบสืบพันธ์ุ เชอื้ HIV สามารถตดิ ต่อไดโ้ ดยวิธีต่อไปน้ี - ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ร่างกายมนุษย์สัมผัสกับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อาจกอ่ ให้เกิดอันตรายได้ตลอดเวลา แต่ ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่ป้องกันเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นไม่ให้ทำอันตรายกับร่างกาย และเมื่อมี การศึกษา ค้นคว้า ทดลอง เกี่ยวกับกลไกการทำงานของเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบคุ้มกัน ทำให้มนุษย์ สามารถผลิตเซรมุ่ วคั ซีน เพื่อนำมาใชใ้ นการสร้างเสริมภูมคิ ุ้มกนั ป้องกันไม่ให้โรคบางชนิดเกิดการติดต่อหรือแพร่กระจาย แต่ถ้าระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถทำหน้าที่ได้ก็จะทำให้เกิดโรคและมีอันตรายถึงชี วิตดังนั้นการดูแลร่างกายให้มีสุขภาพ แขง็ แรง การฉดี วัคซีนเพอื่ สร้างเสรมิ ภูมคิ มุ้ กนั หลกี เลยี่ งการสัมผสั เชือ้ โรคหรอื สิ่งแปลกปลอม ก็จะทำใหภ้ มู ิคมุ้ กนั ทำงานได้ เป็นปกติและดำเนินชวี ติ ตอ่ ไปได้ 13


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook