หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 8 หลกั และวิธกี ารปฐมพยาบาลเบอื้ งตน้
ใบความรู้ที่ 8 เรือ่ ง หลักและวธิ ีการปฐมพยาบาลเบ้ืองต้น 1. จดุ มุ่งหมายของการปฐมพยาบาล การปฐมพยาบาล หมายถงึ การใหค้ วามชว่ ยเหลอื ดแู ลผปู้ ่วย หรือ ผบู้ าดเจบ็ ตรงท่ีเกดิ เหตโุ ดยใชอ้ ุปกรณท์ จี่ ะหาไดใ้ นขณะนน้ั กอ่ นทจี่ ะส่งผู้ป่วย หรือผู้บาดเจ็บไปโรงพยาบาลการปฐมพยาบาล โดยการปฐมพยาบาลมจี ุดมงุ่ หมาย คอื 1. เพอ่ื ชว่ ยชวี ติ ผทู้ ปี่ ระสบเหตใุ นเบือ้ งต้น 2. เพื่อเป็นการลดความรนุ แรงของอาการบาดเจบ็ หรอื การเจบ็ ป่วยใน ขณะนนั้ 3. เพื่อชว่ ยบรรเทาความเจ็บปวดทรมานท่ีเกิดข้นึ และเพื่อชว่ ยให้คนเจ็บ กลับสสู่ ภาพเดิมโดยรวดเรว็ 4. เพ่อื ปอ้ งกันความพิการทจ่ี ะเกดิ ขึน้ จากการบาดเจ็บน้ันๆ 2. ความรูเ้ บอ้ื งตน้ ในการตรวจสอบ ในการปฐมพยาบาลส่ิงท่จี าเป็น คอื การตรวจสอบสญั ญาณชพี เพ่อื จะได้ แกไ้ ขไดท้ นั หากเกดิ การผิดปกตขิ ้ึน ซึ่งการตรวจสอบสญั ญาณชีพ ควร ดาเนินการ ดังน้ี 1. อุณหภมู ิ โดยปกติอณุ หภมู ขิ องคนจะอยู่ท่ี 37 องศาเซลเซยี ส หรืออยทู่ ่ี 98.6 องศาฟาเรนไฮต์ ซ่ึงการจะวัดอุณหภูมิของร่างกายต้องใช้เทอร์โมมเิ ตอร์วัด 2. ชีพจร ต้องจบั ชีพจร เพอื่ นบั อัตราการเต้นของหวั ใจและลกั ษณะการ เต้นของชีพจรซงึ่ โดยปกตกิ ารเตน้ ของชพี จรจะเตน้ ประมาณ 60-80 คร้งั /นาที และมกี ารเตน้ อยา่ งสมา่ เสมอ การจบั ชพี จร
3. การหายใจ ซง่ึ การนับการหายใจ เพื่อดูว่าระยะเวลา และลักษณะความ แรงความสมา่ เสมอของการหายใจในคนปกตทิ ี่เปน็ ผใู้ หญ่จะหายใจประมาณ 18- 20 ครงั้ /นาที 4. ความดนั โลหิต เกดิ จากการบบี ของหัวใจ ทาให้เลอื ดจากหวั ใจไหลไป กระทบผนงั หลอดเลอื ด ในการวดั ความดันโลหติ สามารถอา่ นค่าได้ คือ ถา้ ความ ดันปกติจะมีคา่ 110/70 mmHg–120/80 mmHg 3. การเสยี เลือดหรือการตกเลือด
การเสียเลือดหรือการตกเลือด คอื การที่มอี าการเลือดไหลออกมานอก เสน้ เลือด เพราะเสน้ เลอื ดนน้ั ถกู ตัดขาดหรอื ถูกทาลายเสยี หาย ทาใหม้ เี ลอื ดออก มาจากเสน้ เลือดน้ัน ส่งิ สาคญั อนั ดบั แรกท่ีจะต้องช่วยเหลอื เม่ือมีอาการตกเลอื ด คือ การหา้ มเลอื ดไมใ่ หไ้ หล ได้แก่ 1. การเสียเลือดหรอื การตกเลอื ดจากภายนอก คือ การท่ีมีเลอื ดไหล ออกมาจากภายนอกทส่ี ามารถเห็นได้ ที่ออกมาจากการมบี าดแผลทางผวิ หนงั เช่น การถูกมีดหรือของมคี มบาด 2. การเสยี เลือดหรอื การตกเลอื ดจากภายใน คอื การที่มเี ลอื ดออกจาก อวยั วะภายในร่างกาย 4. ชนิดของบาดแผล บาดแผลมีหลายชนิด ดังนี้ 1. บาดแผลปดิ หรอื บาดแผลช้า คือ บาดแผลทไี่ ม่มีรอยแยกของผิวหนงั ทาให้ผวิ หนังเกิดอาการฟกชา้ ซง่ึ อาจเกิดจากการกระแทกหรือถกู ตี ทีจ่ ะมีเลอื ด คั่งอยู่ภายใต้ผวิ หนัง 2. บาดแผลเปดิ คอื บาดแผลท่ีเกิดจากการฉกี ขาดของผวิ หนัง 3. บาดแผลติดเชอื้ คอื การเปน็ แผลท่หี ายชา้ เพราะได้รับส่ิงสกปรกเขา้ สู่ บาดแผล หรอื รา่ งกายออ่ นแอ ไมม่ ภี ูมิตา้ นทานเชื้อโรค 4. บาดแผลทถ่ี ูกน้ารอ้ นลวก หรอื บาดแผลทถ่ี ูกไฟไหม้ 5. บาดแผลท่ถี ูกแมลงสัตวก์ ัดต่อย ถกู สนุ ขั กัด หรอื ถกู งูกดั 5. การเข้าเฝือกช่ัวคราว การเข้าเฝือกชว่ั คราว คือ การนาเอาวัสดุทห่ี าไดใ้ นบริเวณที่เกิดอุบตั เิ หตุ กระดกู หกั ท่แี ข็งแรงพอทจ่ี ะพยงุ หรอื รับน้าหนักอวัยวะที่หกั หรือไดร้ ับบาดเจ็บ นามาดัดแปลงผูกบรเิ วณทีก่ ระดูกหักชัว่ คราวก่อนนาผู้ปว่ ยส่งโรงพยาบาลเพอื่ ทา การรกั ษาต่อไป
ประโยชน์ของการเขา้ เฝือกชวั่ คราว คอื 1. ช่วยทาให้กระดกู ทห่ี ักอยูก่ บั ท่ี 2. ช่วยลดความเจบ็ ปวด 3. ช่วยปอ้ งกันอาการภาวะแทรกซอ้ นทอี่ าจจะเกดิ ขึน้ เช่น การถกู ทาลาย ของเสน้ เลือดจากกระดูกทห่ี ัก เป็นต้น 4. ช่วยให้การเคลอ่ื นยา้ ยผ้ปู ่วยสะดวกมากข้ึน 6. การเคลอ่ื นย้ายผู้ปว่ ย การเคลือ่ นย้ายผปู้ ่วย ตอ้ งดาเนินการ ดงั นี้ 1. วิธีลากดึง 1.1 จับบา่ ลากดึง โดยผชู้ ว่ ยเหลอื ยนื ดา้ นศรี ษะของผปู้ ่วย ใชม้ อื สอง ข้างสอดเขา้ ใตร้ กั แร้ของผู้ป่วย แล้วลากดงึ ผู้ป่วยออกไป 1.2 จบั ข้อเท้าลากดงึ โดยผู้ชว่ ยเหลอื ยนื ดา้ นปลายเท้าของผู้ป่วย ใช้ มอื ทัง้ สองขา้ งรวบเท้าทง้ั 2 ขา้ ง แล้วลากดงึ ผปู้ ว่ ยออกไป
2. วิธีอ้มุ 2.1 อุม้ ชอ้ นใต้ลาตวั ถ้าหากผปู้ ่วยยงั มสี ตดิ อี าจใช้แขนขา้ งหนงึ่ โอบคอ ผ้ชู ว่ ยไปด้วยก็ได้ 2.2 อุ้มพยงุ เดนิ ผชู้ ่วยใชแ้ ขนทีป่ ระชดิ ตวั ผูป้ ่วย โดยการโอบเอวของ ผ้ปู ่วย และมือผ้ปู ่วยโอบพาดบา่ ผชู้ ว่ ยแล้วเดนิ ไปดว้ ยกนั 3. วธิ ยี ก 3.1 ยกห้ิว วธิ นี ตี้ อ้ งใช้ความรวดเร็ว ตอ้ งมีผ้ชู ่วย 2 คน เหมาะกบั การ เคลื่อนย้ายในช่องทางแคบ ๆ 3.2 ยกอุ้มนัง่ ผชู้ ว่ ย 2 คนหนั หน้าเข้าหากนั จบั มอื กันประสานแทน เก้าอ้ี และให้ผูป้ ว่ ยนัง่ ขา้ งบนโดยมือของผ้ปู ่วยกอดคอผ้ชู ่วยไว้ 4. หามดว้ ยเปล 4.1 หามด้วยเปลผา้ ขาวม้า โดยใชผ้ า้ ขาวม้าทเ่ี หนยี วพอ ใช้หลายผืน พันรอบไม้ 2 ท่อน โดยวางเปน็ ระยะห่างพอสมควร และพันทบให้แน่นจนแน่ใจ ว่าสามารถรองรบั น้าหนักของผู้ป่วยไดใ้ หผ้ ู้ปว่ ยนอนและช่วยกนั หามไป 4.2 หามด้วยเปลผา้ หม่ หรือเปลเสือ้ ผ้า โดยการสอดปลายไม้ 2 ทอ่ น เขา้ กับขากางเกงและแขนเส้อื ทง้ั 2 ขา้ ง โดยแนใ่ จว่าจะรบั น้าหนักผูป้ ่วยได้ 7. การช่วยเหลือผู้ได้รบั สารพิษ ในงานทางานดา้ นเกษตร ผู้ปฏิบัตงิ านอาจได้รบั สารเคมหี รอื สารพิษเข้าสู่ ร่างกายได้ ผ้ทู ี่จะไดร้ บั สารพิษเข้าสรู่ ่างกาย มไี ด้ดงั น้ี 1. ทางปาก คือ กนิ อาหารทีป่ นเป้ือนสารพิษ หรอื จากภาชนะที่ใสอ่ าหาร หรือมือท่ีเป้ือนสารพิษ 2. ทางการหายใจ คอื การทางานทมี่ ีละอองสารพิษ และสดู ดมสารพษิ 3. ทางผวิ หนัง คอื การทีส่ ารพิษซมึ เข้าทางผิวหนงั 4. ทางการฉดี เขา้ ใต้ผวิ หนังหรอื ฉดี เขา้ เส้นเลือด
วธิ ปี ฐมพยาบาลผู้ป่วยทไี่ ดร้ ับสารพิษจากการรบั ประทาน 1. ตอ้ งพิจารณาว่าผู้ป่วยรบั ประทานสารพษิ ประเภทไหน เป็นกรดหรือ ดา่ ง 2. ผู้ป่วยยงั มสี ติอยู่ และใหก้ ารปฐมพยาบาลเบ้อื งต้นแลว้ รบี นาส่ง โรงพยาบาลทันที วิธีปฐมพยาบาลผู้ป่วยทีไ่ ดร้ ับสารพิษจากการหายใจ 1. ควรนาผ้ปู ว่ ยออกจากบรเิ วณท่ีมกี ล่นิ สารพิษ ควนั เพื่อให้ผูป้ ว่ ยได้รบั อากาศบรสิ ทุ ธ์ิ 2. ควรช่วยให้ผปู้ ่วยหายใจ โดยวธิ ีเปา่ ลมเข้าทางปากเพ่ือใหเ้ ขา้ สู่ปอด 3. ควรระวังผู้ป่วยเกิดอาการชอ็ ก 4. ควรรีบนาผู้ปว่ ยส่งโรงพยาบาลทนั ที วิธปี ฐมพยาบาลผู้ป่วยทไ่ี ดร้ ับสารพิษที่ซึมเข้าทางผิวหนงั 1. ควรรบี ถอดเครอ่ื งแต่งกายทีเ่ ป้อื นสารพษิ ออกจากร่างกายผู้ป่วย 2. ควรล้างร่างกายหรืออวยั วะที่เป้ือนสารพิษด้วยน้าและสบู่ 3. ถ้าผปู้ ว่ ยมีอาการหายใจลาบากให้รบี ช่วยผปู้ ว่ ยให้หายใจไดส้ ะดวกขึน้ 4. ควรรีบนาผปู้ ว่ ยส่งโรงพยาบาลทนั ที 8. หลักการใชย้ าอย่างถกู ต้อง ยาเปน็ ส่ิงจาเป็นตอ่ มนุษย์ และยาแตล่ ะชนดิ กม็ วี ธิ กี ารใช้ท่ีแตกต่างกนั เช่น ยาทา ยาฉีดยารบั ประทาน เปน็ ต้น หากใชย้ าผิดประเภทอาจทาใหเ้ กดิ อันตรายได้ ดงั นน้ั เพอ่ื ให้เกิดความปลอดภัยในการใชย้ า จึงต้องร้วู ธิ กี ารใชย้ าที่ ถูกต้อง รูจ้ ักวธิ กี ารเกบ็ รักษายาไมใ่ ห้เสือ่ มสภาพเรว็ และตอ้ งสังเกตวา่ ยานน้ั เสอื่ มสภาพแลว้ หรือยงั ดังนี้ 1. การใช้ยาใหถ้ ูกกบั โรคทเ่ี ปน็ 2. การใช้ยาใหถ้ ูกกบั คน 3. การใช้ยาใหถ้ กู เวลา 4. ใช้ยาให้ถกู ขนาด 5. การใชย้ าใหถ้ ูกประเภท
Search
Read the Text Version
- 1 - 7
Pages: