Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 5-หน่วยการเรียนรู้ที่ 3-2 วิเคราะห์ประเด็นสำคัญทางประวัติศาสตร์ไทย

5-หน่วยการเรียนรู้ที่ 3-2 วิเคราะห์ประเด็นสำคัญทางประวัติศาสตร์ไทย

Description: 5-หน่วยการเรียนรู้ที่ 3-2 วิเคราะห์ประเด็นสำคัญทางประวัติศาสตร์ไทย

Search

Read the Text Version

หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3 เรือ่ งที่ 2 ความเปน็ มาของชาติไทย วิเคราะห์ประเด็นสาคัญ ในด้านการเมืองการปกครอง ทางประวตั ิศาสตร์ไทย

วตั ถุประสงค์ของการเรียนรู้ 1. เพื่อเข้าใจการเมืองการปกครองในสมัยสโุ ขทัย 2. เพือ่ เข้าใจการเมืองการปกครองในสมยั อยุธยา 3. เพื่อเข้าใจการเมืองการปกครองในสมัยธนบุรี 4. เพือ่ เข้าใจการเมืองการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์

1. การเมืองการปกครอง ในสมยั สโุ ขทัย

1. กษัตริย์อาณาจกั รสุโขทัย การจัดรปู แบบการปกครองของอาณาจักรสุโขทัยเปน็ แบบกระจายอานาจ มีโครงสร้างค่อนข้างหลวม หวั เมืองตา่ ง ๆ มีอิสระในการปกครอง ตนเอง ส่งผลใหบ้ ้านเมืองมจี ดุ อ่อน และล่มสลายไปในที่สุด ▪ สุโขทัยเมื่อแรกการก่อต้ังอาณาเขตมีการปกครองดูแลพลเมืองเหมือนด่ัง พอ่ บ้านดูแลลูกบ้าน ▪ การปกครองแบบนี้ก่อให้เกิดกษัตริย์แบบปิตุราชา มักใช้คานาหน้าพระนามว่า พ่อขุน อานาจสูงสุดท้ังปกป้องพลเมือง และสู้กับอริราชศรัตรูนั้นคือหน้าที่ของ พ่อขุนทั้งหมด ▪ เมื่อสิ้นราชกาลพ่อขุนรามคาแหงมหาราช อาณาจักรสุโขทัยได้แตกเป็นเมือง เล็กเมืองน้อย ดงั ปรากฏในศิลาจารึกนครชมุ ▪ ในสมัยของพระมหาธรรมราชาลิไท สภาพการเมืองเกิดปัญหาทั้งภายในแว่น แคว้น และการเมืองภายนอก ▪ การเมืองภายในพระองค์ทรงใช้กาลังปราบปรามเจ้านายสุโขทัยกลุ่มอื่น เพื่อขึ้น ครองราชยส์ มบัติ ▪ สว่ นการเมืองภายนอก อาณาจักรล้านนากาลังแผ่ขยายอานาจ ด้วยเหตุนี้จึงทา ใหพ้ ระองค์ไดน้ าแนวคิดการปกครองบ้านเมืองที่นับถือศาสนาพุทธ คือ รูปแบบ การปกครองกษัตริย์แบบธรรมราชา หรือการปกครองโดยธรรม แทนการ ปกครอง ปติ รุ าชา

2. การจดั รูปแบบการปกครอง ▪ สุโขทยั ไดม้ ีการแผ่ขยายอานาจ 2 รชั กาล คือ ▪ สมัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราช สุโขทัย มีอาณาเขตกว้างขวางครอบคลุม ฟากตะวันตกของลุ่มแม่น้าเจ้าพระยา ลงไปถึงเมืองนครศรีธรรมราชและ คาบสมทุ รมลายู ▪ และสมยั พระเจา้ ลิไท สโุ ขทยั แผ่ขยายอาณาเขตไปทางลมุ่ แม่น้าป่าสัก ▪ สุโขทัยได้จัดรูปแบบการปกครองแบบเมืองลูกหลวง เมืองต่าง ๆ มีอิสระในการ ปกครองตนเอง ▪ ทาให้เมืองลูกหลวงเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับเมืองหลวงหรือราชธานีเพียง ความสมั พันธ์ทางเครือญาติ หรือผู้อปุ ถมั ภ์ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์กนั เฉพาะบุคคล ▪ การปกครองลักษณะนี้จึงทาไม่มีการจัดระบบที่กระชับรัดกุม เป็นจุดอ่อนทาให้ บ้านเมืองแตกสลายง่าย เมืองลูกหลวงที่สาคัญของอาณาจักรสุโขทัย อาทิ เมือง ศรสี ชั นาลัย เมืองพษิ ณโุ ลก และเมืองกาแพงเพชร

3.การควบคมุ กาลงั คน ▪ การจัดระเบียบสังคมของอาณาจักรในสมัยจารีต มีความสาคัญมากเพราะจาเป็นต้องควบคุมแรงงานหรือ กาลังคน เพื่อดา้ นการสร้างผลผลิต การเปน็ ทหารในกองทัพ และการเสริมอานาจทางการเมือง ▪ จากหลักฐานทางประวตั ิศาสตร์สมยั สุโขทัย การควบคมุ กาลงั คนไว้ไม่มาก จารึกสมยั สโุ ขทัยหลายหลกั ไดเ้ อยถึงชนชน้ั ไพร่ เชน่ “เจ้าเมืองบเ่ อาจกอบในไพร่ ลู่ทางเพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย” (ลูท่าง แปลวา่ สะดวก) ▪ ในสมัยสโุ ขทยั อาจมีวิธกี ารควบคุมกาลงั คนทีไ่ มเ่ ครง่ ครัด และไม่กระชับ จึงทาให้เกิดจุดอ่อนส่งผลให้บ้านเมืองไม่ เข้มแขง็ ▪ และสันนิฐานว่าคงจัดให้ไพร่อยู่กันเป็นหมวดหมู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกลุ่ม “เจ้าขุน” เพื่อสะดวกในการเกณฑ์ แรงงานไปใชง้ านเท่านั้น

2. การเมืองการปกครอง ในสมยั อยธุ ยา คลองในเกาะเมืองอยธุ ยาเปน็ แนวตดั กันไปมาเหมือนตาราง เพ่อื การคมนาคมและระบายนา้ ลดลงเร็วๆ ในฤดนู า้ หลาก (แผนทีส่ ีนา้ มนั ฝีมือ ดาวิด วิงโบนส์ และ โยฮนั เนส วิงโบนส์ ชาว ฮอลนั ดา ท้าเมื่อ พ.ศ. 2206 ตรงกบั สมยั พระนารายณ์)

1. กษตั ริย์อาณาจกั รอยธุ ยา ▪ อาณาจักรอยุธยาปกครองด้วยระบอบบราชาธิปไตย หรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กษตั ริยท์ รงเปน็ ผู้นาสงู สุดของอาณาจักร ▪ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลักสาคัญในการปกครองอาณาจักร เป็นศูนย์รวมของ อานาจ ▪ แนวคิดรูปแบบการปกครองสมัยอยธุ ยา คือ คตเิ ทวราชา ที่ได้รับจากศาสนาพราหมณ์ กษัตรยิ ์อยุธยาในระยะแรกจึงมีฐานะเป็นพระโพธิสัตวผ์ ู้มบี ุญบารมี และพระจักรพรรดิ ราช หรือพระราชาธิราชผู้ยิง่ ใหญ่ ▪ หน้าที่ของพระมหากษัตริย์ คือ ทาสงราครามป้องกันราชอาณาจักรพ้นจากภัยของ ศตั รู ทานบุ ารุงพทุ ธศาสนา เป็นต้น นักเดนิ หลายชาติบนเรอื ส้าเภาทม่ี าติดต่อการคา้ และแลกเปลย่ี นวฒั นธรรมกบั อยุธยา (ภาพจากหนังสอื สมดุ ขอ่ ย จดั พมิ พ์โดย โครงการสบื สานมรดกวฒั นธรรม ไทย พ.ศ. 2542) ภาพแกะสลัก Chakravatin อายุราวคริสต์ศตวรรษที่ ๑ พบทีอ่ ตั รประเทศ ศลิ ปะแบบอมราวดี เก็บรกั ษาไว้ทีพ่ ิพิธภัณฑ์ กีเมต์ ฝร่ังเศส

2. การจดั รปู แบบการปกครอง 1. การจัดรูปแบบการปกครองชว่ ง พ.ศ. 1893-1998 รปู แบบการปกครองของอาณาจกั รอยุธยายคุ แรกเป็นการกระจายอานาจ แบ่งเขต การปกครองออกเปน็ 4 เขต ดงั น้ี 1.ราชธานี มีกรมสาคัญ 4 กรม คือ เวียง วัง คลัง นา ท้ัง 4 กรมนี้เรียกว่า จตุสดมภ์ แปลว่า หลกั ท้ัง 4 2.เมืองที่อยู่ใกล้กรุงศรีอยุธยา เช่น นครนายก ปราจีนบุรี มีขุนนางปกครอง ขึ้นตรงต่อเมืองหลวง 3.เมืองในดินแดนแกนกลางอาณาจักร ได้แก่ สุพรรณบุรี และลพบุรี อยู่ใน อาณาจกั รสพุ รรณภูมิและอาณาจักรละโว้ ซึง่ เปน็ เมืองลกู หลวง 4.หัวเมืองประเทศราช ได้แก่ สุโขทัย นครศรีธรรมราช และจันทบุรี หัวเมือง เหล่านี้อยู่ถัดจากเมืองลูกหลวงออกไป มีเจ้านายเชื้อสายเจ้าเมืองเดิมเป็น ผู้ปกครอง

2. การจัดรปู แบบการปกครอง 2. การปฏริ ูปการปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) การปฏิรูปการปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตร โลกนาถ ในปี พ.ศ.1998 แสดงให้เห็นถึงความเข้มเข็ง ของพระมหากษัตริย์ และเป็นท่ียอมรับนับถือของ บรรดาเจ้าเมืองลูกหลวงตามเมืองต่าง ๆ โดยการ ปฏิรูปการปกครองมีหลกั อยู่ 3 ประการ ดงั น้ี 1. การขยายอานาจส่วนกลางออกควบคุม เมืองตา่ ง ๆ 2. การแบ่งหน่วยงานราชการออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน และแบ่ง พลเมือง (ไพร่) ออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ไพร่ฝ่าย ทหาร และไพร่ฝา่ ยพลเรือน 3. แบ่งอานาจขนุ นางออกเปน็ สองฝ่าย เพื่อ ถ่วงดลุ อานาจ

2. การจดั รูปแบบการปกครอง 2. การปฏริ ปู การปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) 2.1 การปกครองส่วนกลาง พระองค์ทรงตั้งกรมขึ้นอกี 2 กรม โดยปรบั ปรงุ จาก หน่วยงานกรมท้ังหมด 6 กรมนี้ มีขุนนางเปน็ ผู้บงั คับบญั ชา เรียกว่า กรมขนุ นาง ระบบจตสุ ดมภ์ คือ กรมกระกลาโหม และกรมมหาดไทย ดงั นี้ 1 กรมพระกลาโหม มีอคั รมหาเสนาบดีตาแหน่ง สมุหพระกลาโหมเป็น ผู้ควบคุมดูแล มีหน้าทีต่ รวจตราว่าการ ฝ่ายทหาร 2 กรมมหาดไทย มีอัครมหาเสนาบดีตาแหน่ง สมุหนายก เป็น ผู้รบั ผิดชอบดูแล กจิ การพลเรือน ในหัวเมืองต่าง ๆ ทุกหวั เมือง 3 กรมเวียง เรียกกันในชื่อใหม่ว่า กรมนครบาล มีหน้าที่ดูแลปกครอง ท้องที่ รกั ษาความสงบภายในเขตเมือง แลเขตเมืองใกลเ้ คียงราชธานี 4 กรมวัง เรียกกันในชื่อใหม่ว่า ธรรมาธิกรณ์ มีหน้าที่รับผิดชองงานใน พระราชสานักทั้งหมด 5 กรมคลัง เรียกกันในชื่อใหม่ว่า โกษาธิบดี มีหน้าที่ เก็บ จ่าย และ รกั ษาพระราชทรัพยท์ ี่ไดจ้ ากภาษีอากร 6 กรมนา เรียกันในชื่อใหม่ว่า เกษตราธิการ มีหน้าที่ตรวจตราส่งเสริม การทานาของประชาชน ออกฉโนดที่นา จดั ซื้อขาวขึน้ ฉางหลวง เป็นต้น

2. การจัดรปู แบบการปกครอง 2. การปฏริ ูปการปกครองในสมัยสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) 2.2 การปกครองหัวเมือง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ทรงปรับปรุงการ ปกครองหัวเมืองในรูปแบบใหม่ ดงั นี้ 1 หัวเมืองช้ันใน คือ เมืองลกู หลวงและเมืองหลานหลวง มีขุนนางปกครอง เรียกว่า ผรู้ ัง้ (ผู้มีอานาจน้อยกว่าเจ้าเมือง) 2 หัวเมืองช้ันนอก คือ เขตหัวเมืองชั้นนอกหรือเมืองพระยามหานคร โดย แบ่งออกเป็นหัวเมืองช้ันเอก ชั้นโท และช้ันตรี ตามขนาดและความสาคัญของ เมือง 3 หัวเมืองประเทศราช เชน่ เขมร หวั เมืองมอญ หัวเมืองมลายู เมืองเหล่านี้มี เจ้าเมืองเดมิ ปกครองเช่นเดิม แต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้อยุธยา ตามเวลาทีก่ าหนดไว้

2. การจัดรูปแบบการปกครอง 3. การปรับปรงุ การปกครองหลังเสียกรุงศรอี ยธุ ยา ▪ ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรได้ให้เจ้านายและขุนนางที่อยู่ในเมืองหลวงปกครองหัว เมืองท้ังหมดเอง และได้มีการยกเลิกการส่งเจ้านายบางพระองค์ไปปกครองหัวเมือง ชนั้ นอก ระหวา่ งการเสียกรุงศรอี ยุธยาครงั้ ที่ 1 บางส่วน ▪ เหตุเป็นเพราะว่าเจ้าเมืองพิษณุโลก คือ พระมหาธรรมราชา ที่เป็นเจ้านายปกครองหัวเมือง ชนั้ นอก ไดไ้ ปเข้าขา้ งพม่า ซึ่งเปน็ อตั รายต่อการปกครองของอาณาจกั รได้ ยทุ ธหตั ถี

3. การควบคุมกาลงั คน ▪ ในสมัยกอ่ นกาลังคนหรือแรงงานไพรน่ ั้น เป็นทรัพยากรที่สาคญั อย่างยิง่ ▪ คาว่า ไพร่ หมายถึง ราษฎรทัว่ ไปทั้งชายและหญิงทมี่ ิไดเ้ ป็นมูลนายและมิไดเ้ ปน็ ทาส ▪ ไพรท่ ุกคนจะต้องลงทะเบยี นสังกัดกบั มลู นาย ได้แก่ เจา้ นายและขุนนาง

3. การควบคมุ กาลงั คน จิตร ภูมิศกั ดิ์ กบั “โฉมหน้าศกั ดินาไทย” 1. ระบบศักดินา ▪ ในสงั คมโบราณ กาลงั คนหรือแรงงานไพร่ สะท้อนถงึ อานาจทางการเมืองความมง่ั คง่ั ฐานะทางสังคม และมีหน้ามีตาของมลู นายผู้ควบคมุ ดูแล ▪ กษัตริยม์ ีการควบคุมการแจกจ่ายไพร่พล แก่พวกมูลนาย จึงเปน็ ทีม่ าของ ระบบศักดนิ า ในสมยั อยธุ ยา ▪ ระบบศกั ดินามีปจั จยั ทีใ่ ชก้ าหนด คือ ชาตกิ าเนิด และตาแหนง่ หนา้ ทที่ างราชการ ▪ ระบบศักดนิ าจึงเปน็ โครงสรา้ งการจดั ระเบยี บชนชั้นในสงั คมอยธุ ยา

3. การควบคุมกาลงั คน ในสมัยอยุธยาตอนกลาง เกิดไพร่ประเภทใหม่ขึ้น คือ 2. ประเภทของไพร่ ไพร่ส่วย หรือไพร่ส่วยสิ่งของ คือ ไพร่หลวงที่อยู่ไกลราช ธานี ลาบากในการเดินทางมาเกณฑ์แรงงาน จึงส่งส่วยแทน ไพร่ในสมัยอยุธยา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ไพร่สมและไพรห่ ลวง เชน่ แร่เงนิ แร่ทอง ดบี ุก รังนก เป็นต้น 2.1 ไพร่สม เป็นไพร่ส่วนตัวของพวกมูลนาย คือ เจ้านายและขุนนาง มีหน้าที่รับใช้ ในสมยั อยธุ ยาตอนปลาย เกิดไพรส่ ว่ ยเงิน คือ หาก มูลนายของตนและไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปทางานโยธาให้รัฐ หน้าที่ของไพร่สม เช่น ดูแล ไพรห่ ลวงคนใดไม่ยากทางานโยธาใหร้ ัฐ ก็จ่ายเงนิ แทนได้ รกั ษาซ่อมแซมทีพ่ ักมูลนาย สรา้ งวดั ของมูลนาน ทางานฝีมือ เปน็ ต้น ในอตั รา 2 บาท ต่อเดือน หรือ 12 บาทต่อปี 2.1 ไพร่หลวง เปน็ ไพรข่ องพระมหากษตั ริย์ โดยใหไ้ พร่หลวงสงั กัดกรมขนุ นางต่าง ๆ ขุนนางผู้เป็นเจ้ากรมจะเป็นผู้ดูแลควบคุมไพร่หลวงที่สังกัดกับกรมของตน ถือว่าไพร่ หลวงเป็นสมบัติของแผ่นดิน หน้าที่ของไพร่หลวงที่ทางานให้รัฐ เช่น ขุดคลอง ถูก เกณฑเ์ ปน็ กองกาลังในยามศึกสงคราม ทางานใหร้ ฐั ปีละ 6 เดือน เรียกว่า เข้าเดือนออก เดอื น โดยไม่ได้รบั คา่ จ้างจากรัฐ

3. การควบคุมกาลังคน 3. การควบคมุ ไพร่ กรมทท่ี าหนา้ ทค่ี วบคมไพรใ่ นสมัยอยุธยา มี 2 ประเภท คอื กรมขนุ นางและกรมเจ้า 3.1 กรมขนุ นาง เป็นกรมทาหน้าที่ควบกาลังคนและบริหารราชการไพร่ ที่สงั กดั กรมขุนนาง คือ ไพร่หลวง 3.2 กรมเจา้ เป็นกรมทีพ่ ระมหากษัตริย์ทรงตั้งขนึ้ เพือ่ ใหเ้ จา้ นายเปน็ ผู้บังคบั บญั ชา เป็นกรมทีไ่ ม่มหี น้าทีบ่ ริหารงานราชการ ทางานตามที่ พระมหากษตั ริย์มพี ระราชโองการใหท้ า ไพร่ท่สี งั กัดกรมเจ้า คือ ไพรส่ ม หมวกแหลมดงั กล่าวมีชื่อเรียกว่า ลอมพอก เป็นหมวกส้าหรับขุนนางทน่ี ยิ มใช้ในสมยั สมเด็จ พระนารายณ์ ทา้ ด้วยผ้าขาวทพ่ี นั พับเป็นหมวกทรงแหลมอย่างประณีต สนั นษิ ฐานว่ารูปแบบ ของลอมพอกนี ได้อิทธพิ ลมาจากผ้าโพกศรี ษะของชาวเปอรเ์ ซียผสมผสานกบั รูปแบบชฎายอด แหลมของไทย

3. การควบคมุ กาลังคน 4. ความสัมพนั ธ์ระหว่างมูลนายกับไพร่ ▪ คาว่า มลู นาย หรือ นาย หมายถึง เจ้านายและขุนนาง ที่ควบคุมไพร่มีความสัมพันธ์ในลักษณะความสัมพันธ์ แบบอุปถัมภ์ โดยมูลนายอยู่ในฐานะผู้อุปภัมภ์ และไพร่ อยู่ในฐานผู้อยใู่ ต้อุปถัมภ์ ▪ โดยมูลนายมีหน้าที่ควบคุมดูแล ช่วยเหลือไพร่ให้คลาย ความเดือนร้อนในวิถีชีวิตที่ดาเนินอยู่ ส่วนไพร่ก็ทางาน ให้กับมลู นาย และทางานโยธาให้แกร่ ัฐดว้ ย

3. การเมืองการปกครอง ในสมยั ธนบุรี ‘วดั แจ้ง’

การสร้างความมั่นคงในกบั อาณาจักร ❑ การปราบชมุ นุมต่าง ๆ ทีต่ ้ังตนเปน็ อสิ ระโดยใช้เวลา ประมาณ 3 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2310-2313 ด้วยวิธีการหลาย รูปแบบ ได้แก่ ประหารชีวติ ผกู น้าใจ เปน็ ต้น ❑ การเปลีย่ นยทุ ธวธิ รี ับศึกพมา่ และการขยาย อานาจ ในการรบกบั พมา่ ต้ังแต่ พ.ศ. 2310-2319 รวม สงครามท้ังหมด 10 ครั้ง มกี ารเปลี่ยนยุทธวิธีจากเคยตั้ง รับศึกในเมืองก็ออกไปรบั ศึกษาที่ชายแดนแทน

การควบคมุ กาลังคน สมเด็จพระเจ้าตาสินมหาราช ทรงให้ฟ้ืนฟูระบบไพร่ข้ึนใหม่ ในปี พ.ศ. 2316 โดยทรงโปรดให้ สักขอ้ มือแขนซ้ายหมายหมู่ไพร่ หลวง ไพร่สม ทั้งในส่วนกลางและหวั เมือง แล้วให้ส่งทะเบยี นหางว่าว ไพรท่ กุ กรมกองต่อกรมพระสุรัสวดี โดยในสมัยอยุธยาสักเฉพาะไพร่ หลวง โดยไพร่ทกุ คนจะต้องสกั ชอ่ื ตามนายและตามเมืองที่อยู่ของตน

4. การเมืองการปกครอง ในสมัยรัตนโกสินทร์

การเมืองการปกครองในสมัยรตั นโกสินทร์ ▪ สมเด็จพระยามหากษตั ริยศ์ ึก ปราบดาภเิ ษกขนึ้ เป็นกษัตริย์ สถาปนา ราชวงศ์ใหมข่ นึ้ ปกครองอาณาจกั ร ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ราชวงศ์ ใหมช่ ื่อว่า ราชวงศจ์ กั รี การเมอื งการปกครองในสมัยรตั นโกสนิ ทร์ ▪ พระองค์ได้ทรงตัง้ ราชธานใี หมท่ างฝงั่ ตะวนั ออกของแมน่ ้าเจ้าพระยา และได้ สืบสานรปู แบบการปกครองและระเบยี บประเพณจี ากสมัยกรุงศรอี ยธุ ยา ▪ พระองค์ได้ทรงชาระพระราชพงศาวดารอยธุ ยา อปุ ถมั ภท์ านุบารุง พระพุทธศาสนา และประชุมพระสงฆเ์ ขยี นไตรภมู กิ ถาข้ึนใหมเ่ ปน็ ต้น

บ้านเมืองในสมัยรตั นโกสินทร์ตอนต้น 1. การจัดระเบยี บแผ่นดินในสมยั รตั นโกสินทร์ตอนตน้ ในสมัยรชั กาลที่ 1 ทรงนารูปแบบการบรหิ ารราชการแผ่นดินแบบสมยั อยธุ ยามาใช้ โดยการเปลยี่ นแปลงให้เข้ากับสถานการณ์ ของสมัยรตั นโกสินทร์สมยั นั้น โดยการปกครองพระราชอาณาเขต แบ่งออกเป็น 3 ส่วน เหมือนกรงุ ศรอี ยุธยา คือ การปกครองส่วนกลาง การปกครองส่วนภูมภิ าค และการปกครองหวั เมอื งประเทศราช 1.1 การปกครองส่วนกลาง 1.2 การปกครองสว่ นภูมิภาค 1.3 หัวเมืองประเทศราช ▪ สมุหพระกลาโหม ▪ หวั เมืองชนั้ ใน ▪ ทางเหนือ ได้แก่ หัวเมืองล้านนา คือ เชียงใหม่ ลาพูน ▪ สมหุ นายก ▪ หวั เมืองชนั้ ใน ลาปาง แพร่ นาน เชยี งราย เชยี งแสน ▪ กรมเวยี ง ▪ กรมวัง ▪ ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ หลวงพระบาง ▪ กรมคลัง เวียงจันทน์ จาปาศักด์ิ ▪ ทางตะวันออกเฉียงใต้ คือ หัวเมืองเขมร ทางใต้ ได้แก่ ไทรบรุ ี ปัตตานี กลนั ตัน ตรงั กานู

2. การควบคุมกาลังคน ▪ ในสมัยรัชกาลที่ 1 โปรดฯ ใหส้ ักเลขทางหัวเมือง ปักษ์ใต้ที่แขนขวาแทนแขนซ้ายที่ถูกสักมาในสมัย ธนบุรี การทาโยธาของไพร่ลดลง จากสมัยอยุธยาเพียง ปลี ะ 4 เดือน ▪ ในสมัยรัชกาลที่ 2 การทางานโยธาของไพร่ได้ลง อีกเหลือเพียงปีละ 3 เดือน เพื่อให้ไพร่ได้มีเวลาทา กจิ การส่วนตัว ส่วนไพร่ที่ไมต่ ้องการถกู เกณฑ์แรงงาน จ่ายเปน็ เงินแทนเดือนละ 6 บาท ▪ ในสมยั รัชกาลที่ 3 ทรงพิพากษาใหล้ งโทษ ประหารชีวติ ผู้ทนี่ าไพร่หรือเลกมาถวายต่อเจ้านาย

การเมืองการปกครองไทยสมยั รัชกาลที่ 4-6 การเมืองการปกครองสมยั รชั กาลที่ 4 พระองค์ได้ทรงแต่งต้ังเจ้าพระยาคลัง (ดิศ บุนนาค) ซึ่งขุนนางตระกูลบุนนาค ให้เป็นสมเด็จ เจ้าพระยาพระองค์แรกแหง่ กรุงรัตนโกสนิ ทร์ คือ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) เป็นสมุหกลาโหม เจ้าพระยารวิวงศ์ (ทิพากรวงศ์) เปน็ พระคลงั และทัต บนุ นาค เปน็ สมเดจ็ เจ้าพระยา 1.1 อิทธิพลตะวันตกที่มผี ลต่อการเมอื งการปกครอง สาเหตุของการแสวงหาอาณานิคม การคุกคามของฝรั่งเศสและอังกฤษที่มีต่อประเทศไทย คือ ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และต้องการวัตถุดิบและตลาด เพื่อระบาย สนิ ค้าของชาติตะวันตก 1.2 การปรับปรงุ ดา้ นการเมืองการปกครอง ประกาศใหข้ ุนนางสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า รวมไปถึงการปรบั ปรุงการปฏิบตั ิงานของกรมกอง ต่าง ๆ การจดั ต้ังหน่วยงานใหม่ ทรงใชก้ ฎหมายในการบรหิ ารแผ่นดินอย่างจรงิ จัง

การเมืองการปกครองไทยสมยั รชั กาลที่ 4-6 การเมอื งการปกครองสมยั รชั กาลที่ 5 นาแบบแผนการปกครองมาปรบั ใชใ้ นประเทศไทย ปจั จัยท่ที าให้พระองค์ทรงต้องการ ปรับปรงุ ประเทศ ▪ ประการแรก ความลา้ หลังของการปกครองและการขาด ประสิทธิภาพของหนว่ ยงาน ได้แก่ กรมกองตา่ ง ๆ มภี าระหน้าที่และ บทบาทซ้าซอ้ นกัน ก้าวก่ายปะปนกนั รวมไปถึงขนุ นางทีไ่ มม่ เี งินเดอื นปะ จาต้องหารายไดจ้ ากผลประโยชน์ในตาแหน่ง ทาให้เกดิ การทจุ ริตไดง้ ่าย ▪ ประการทสี่ อง คือ ภยั คุกคามจากจกั รวรรดินยิ มตะวันตก กล่าวคือ การขยายตวั ของจักรวรรดินยิ มตะวนั ตก เช่น อังกฤษ และฝรังเศส เข้ามา ยึดครองประเทศในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ จึงทาให้พระองค์ทรงสรา้ ง กล่มุ คนรุน่ ใหมท่ ีม่ คี วามคิดกา้ วหน้า มกี ารจดั ต้ัง หอรัษฎากรพิพัฒน์ (พ.ศ.2416) เพือ่ จัดเก็บเงนิ ของประเทศให้เป็นระบบ

การเมืองการปกครองไทยสมยั รัชกาลที่ 4-6 การเมืองการปกครองสมัยรชั กาลที่ 5 ภายหลงั การปรับปรงุ การปกครองในระยะแรก ระหว่าง พ.ศ. 2416-2430 พระองค์ทรงดาเนินการปฏริ ปู บ้านเมืองเป็นขั้นตอน ดังนี้ 2.1 การปฏริ ปู การปกครองส่วนกลาง 1. มหาดไทย เป็น กระทรวงมหาดไทย 1. กระทรวงพระคลังมหาสมบตั ิ 2. กลาโหม เปน็ กระทรวงกลาโหม 2. กระทรวงยุติธรรม 3. กรมท่า เปน็ กระทรวงต่างประเทศ 3. กรมยทุ ธนาธกิ าร 4. กรมวงั เป็น กระทรวงวัง 4. กระทรวงธรรมการ 5. กรมเมือง เป็น กระทรวงนครบาล 5. กระทรวงโยธาธกิ าร 6. กรมนา เป็น กระทวงเกตรพานิชการ 6. กระทรวงมธุ าธิการ

การเมืองการปกครองไทยสมยั รัชกาลที่ 4-6 ในปี พ.ศ. 2440 ได้มีการตราพระราชบัญญัติปกครอง ท้องที่มกี ารจดั หน่วยบริการทีเ่ รียกว่า การเมืองการปกครองสมยั รัชกาลที่ 5 ▪ เมอื ง ซึ่งเป็นหน่วยการปกครองหลักในการปกครอง 2.2 การปฏิรปู การปกครองส่วนภูมิภาค ส่วนภูมิภาค หน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค ระดับรองลงไปจากเมือง คือ รัชกาลที่ 5 ทรงยุบเมืองประเทศราชรวมเข้าเป็นหัวเมืองใน ▪ อาเภอ เป็นหน่วยการปกครองที่ประกอบข้ึนเป็น เมือง แต่เดิมเรียกว่า แขวง และพระองค์ทรงได้ พระราชอาณาจักร ให้กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่จัดระเบียบ เปลี่ยนแปลงการปกครองส่วนท้องถน่ิ ในรปู แบบ การปกครองสว่ นภูมิภาค ในลกั ษณะการรวมอานาจเขาสู่ศนู ย์กลาง ▪ สุขาภิบาล เพื่อให้ประชาชนในท้องถ่ินรู้จักรักษา โดยใช้วธิ ีการปกครองแบบเทศาภิบาล สุขภาพอนามัยและสร้างการสาธารณูปโภคต่าง ๆ ลักษณะการปกครองแบบเทศภิบาล คือ การปกครองที่จัดให้มี ด้วย หน่วยงานบริหารราชการ โดยส่งข้าราชการจากส่วนกลางไปปกครอง แต่ละมณฑล เรียกว่า กองขา้ หลวงเทศาภิบาล ในการเปลี่ยนแปลง เป็นมณฑลเทศภิบาลนี้ทาให้ประเทศไทยยกเลิกเมืองประเทศราช ยกเลิกการแบ่งฐานะหัวเมืองออกเป็นช้ันเอก โท ตรี จัตวา ทุกเมือง จึงมศี กั ดิ์ศรีเท่าเทียมกนั

การเมืองการปกครองไทยสมยั รชั กาลที่ 4-6 การเมืองการปกครองสมยั รชั กาลที่ 6 1. ประชาชนยังไม่มีความรู้ความเข้าใจ และสามารถปกคอรง ตนเองได้ 2. ระบบการเลือกตั้งขาดประสิทธิภาพและนักการเมือง พรรค การเมืองขาดคณุ ภาพและคุณธรรม 3. ระบอบรฐั สภาเปน็ ระบอบที่วุ่นวาย ดังนั้น การนาระบอบประชาธิปไตยมาใช้ปกครองประเทศยัง ไม่เหมาะสมสาหรับประชาชนที่ยังไม่มีความรู้ ความเข้าใจ ที่ จะสามารถปกคอรงตนเองได้ ซึง่ หากมีการเลือกตั้งขึ้นจะไม่มี ประสิทธภิ าพ นกั การเมืองจะขาดคุณภาพและคุณธรรม ทาให้ การปกครองเกดิ ความวุ่นวายข้ึน

การเมืองการปกครองไทยสมัยรัชกาลที่ 4-6 การเมืองการปกครองสมัยรัชกาลที่ 6 3.1 การแบ่งหนา้ ที่ของหนว่ ยงานใหช้ ดั เจน 3.1.1 การปกครองท้องที่ โปรดเกล้าให้เปลี่ยนชื่อจากการเรียก เมอื ง มาเปน็ จงั หวดั 3.1.2 ข้าราชการ ให้ความสาคัญต่อการประพฤติปฏิบัติของ ข้าราชการ โดยนาหลักธรรมทางพุทธศาสนามาเป็นแนวทางให้ ข้าราชการปฏบิ ตั ิ 10 ประการ 3.1.3 การส่งเสริมอุดมการณ์ชาตินิยม โดยทรงก่อต้ังก่อเสือป่า (พ.ศ.2454) ขึ้น เพื่อเรียนรู้วิชาการทางทหารเพื่อเป็นกาลังสาคัญ เกื้อหนุนบ้านเมือง 3.1.4 ทรงสร้างเมอื งสมมติขน้ึ ทีพ่ ระราชวงั ดสุ ิต พระองค์ทรง พระราชทานนามว่า ดุสิตธานี ซึ่งเป็นเมืองทดลองประชาธปิ ไตย โดย จดั รปู แบบการปกครองตามแบบเทศบาล

การเมืองการปกครองไทยสมยั รชั กาลที่ 4-6 การเมืองการปกครองสมยั รัชกาลที่ 6 3.2 การเรยี กร้องทางการเมอื ง ▪ กบฏ ร.ศ.130 หรือ กบฏเก๊กเหม็ง เป็นความเคลื่อนไหวทางการเมือง เพือ่ สถาปนาระบอบประชาธิปไตย เมือ่ พ.ศ. 2454 ▪ ซึง่ เปน็ ผลมาจากการตืน่ ตัวทางการเมืองของนายทหาร กลุ่มหนึ่ง ที่ได้รับ อิทธิพลของอารยธรรมตะวันตก และเชื่อม่นั ในการปกครองแบบตะวันตก ว่าจะพฒั นาบ้านเมืองให้เจริญขนึ้ ได้ ▪ แต่การปฏวิ ตั ิก็ล้มเหลวเพราะถกู จบั กุมเสียกอ่ น ▪ เหตุการณ์ดังกล่าว จึงเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย จึงได้เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ในสมัยรัชกาลที่ 7 ขนึ้

การเมืองการปกครองไทยสมยั รัชกาลที่ 4-6 การเมอื งการปกครองไทยสมยั รชั กาลที่ 7 พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวขนึ้ ครองราชย์ พระองค์ทรงเหน็ ความจาเปน็ ในการเปลีย่ นแปลงการ ปกครองให้ทันสมยั สอดคล้องกบั การเปลีย่ นแปลงของชาตติ ะวันตก เริม่ แรกพระองค์จงึ ทรงดาเนนิ การ ดงั นี้ 1. การจัดตั้งอภิรัฐมนตรีสภา คือ สภาที่มีลักษณะเป็นสภาการแผ่นดินช้ันสูง สถาปณาข้ึนเมื่อ พ.ศ. 2468 มหี น้าที่ให้คาปรึกษาราชการแผ่นดิน 2. วางรูปแบบการปกครองท้องถิ่นในรูปเทศบาล พระองค์ทรงดาเนินการแก้ไขปรับปรุง สขุ าภิบาลใหเ้ ปน็ เทศบาล ร่างพระราชบัญญัตเิ ทศบาล สาเรจ็ ใน พ.ศ.2473 นบั เปน็ พระราชบัญญัติ เทศบาล ฉบับแรกของไทย 3. โปรดเกลา้ ฯ รา่ งรัฐธรรมนญู 2 ฉบับ พ.ศ. 2474 มสี าระ คือ 3.1ด้านอานาจนิติบัญญัติ มีการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทางอ้อม โดยมี สมาชิก 2 ประเภทคือ มาจากากรเลือกต้ังและการแต่งต้ัง 3.2 ดา้ นอานาจบรหิ าร ให้พระมหากษัตริย์ทรงเลือกนายกรฐั มนตรีตามพระราชอธั ยาศัย และนายกรฐั มนตรี เปน็ ผู้กราบบงั คมทลู ให้ทรงแต่งต้ังรัฐมนตรี

สาเหตุการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 พนั เอกพระยาพหลพลพยหุ เสนา เปน็ ผู้นาคณะราษฎร โดยแบง่ ออก ดังนี้ ▪ สายพลเรือน นาโดย ▪ สายทหารเรือ นา ▪ สายทหารบกช้ันยศ ▪ สายนายทหารช้ันยศสูง นาโดย หลวงพระดิษฐ์มนูธรรม โดย นาวาตรี หลวง น้อย นาโดย พันตรี พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา หรอื นายปรีดี พนมยงค์ สนิ ธุสงครามชยั หลวงพิบูลสงคราม โดยมีพันเอกพระยาทรงสุรเดช พันเอกพระยาฤทธิอัคเนย์ และ พันโทพระประศาสน์พิทยายุทธ ร่วมดว้ ย

สาเหตกุ ารเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 หมดุ คณะราษฎร คณะราษฎร ตัดสินใจวางแผนยึดอานาจ เพือ่ เริม่ ให้เกิดการเปลีย่ นแปลงการปกครอง ด้วยสาเหตุน้ี จึงเป็นฉนวนให้เกิดการ จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเปน็ ระบอบประชาธิปไตย มีสาเหตุหลัก ดังนี้ เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 1. ความขัดแย้งทางการเมือง โดยสามัญชนมีการศึกษาที่สูงขึ้น เนื่องจากจบจาก 2475 เป็นการรวมกันของคณะราษฎร 2 ต่างประเทศ และกลบั มารบั ราชการเพิม่ มากข้ึน ก ลุ่ ม คื อ ก ลุ่ ม นั ก เ รี ย น ไ ท ย ใ น 2. ความหลากหลายของแนวคิดทางการเมือง โดยมีการพัฒนาด้านการศึกษาเปิด ต่างประเทศ และกลุ่มนายทหารท้ัง โอกาสให้ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคดิ ทางการเมือง ทหารบก รวมทั้งทหารเรือในประเทศ 3 ภาวะเศรษฐกิจตกต่า มอี ยู่ 2 ปจั จยั คือ ปจั จยั แรก คือ ปัจจัยภายใน รายได้ไม่พอ ไทย กับรายจ่าย เพราะรัชกาลที่ 7 ทรงใช้จ่ายในราชสานักมาก ปัจจัยที่สอง คือ ปัจจัย ภายนอก หลกั สิ้นสดุ สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่าทั่วโลก ไม่สามารถ ขายสินค้าได้

สาเหตกุ ารเปลีย่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คณะราษฎร กลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ เรียกว่า คณะราษฎร โดยคณะปฏิบัติน้ีได้ใช้วีการยึดอานาจ โดยฉบั พลนั แบ่งออกเปน็ 4 หน่วย คือ ▪ หน่วยที่ 1 ทาหน้าทยี่ ึดการสื่อสารและการคมนาคมที่สาคัญ ▪ หน่วยที่ 2 ทาหน้าทคี่ วบคุมตัวเจา้ นายและบคุ คลสาคญั ต่าง ๆ ▪ หน่วยที่ 3 เป็นหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนย้ายกาลังประสานงาน กบั ฝา่ ยทหาร ▪ หน่วยที่ 4 มีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้าร่างคาแถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญ และหลักกฎหมายปกครองประเทศต่าง ๆ โดย แผนการครั้งนี้สาเร็จลงอย่างรวดเร็ว โดยพันเอกพระยาพหลพล พยุหเสนาได้อ่านแถลงการณ์คณะราษฎร ฉบับที่ 1 ณ บริเวณลาน พระบรมรูปทรงมา้





สาเหตุการเปลีย่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระ ราชทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติ ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม (ฉบับชั่วคราว) และพระราชทานกลบั คืน ในวันที่ 27มถิ นุ ายน 2475 หลั งจากนั้ น ได้ มี การร่ างรั ฐธรรมนู ญขึ้ น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราช ดาเนินไปทรงประกอบพิธีพระราชทานธรรมนูญ ณ พระที่น่ังอนันตสมาคม ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งเปน็ รฐั ธรรมนูญฉบบั แรกของไทย พระราชหัตถเลขา ร.7 พระราชทานรฐั ธรรมนญู ฉบบั แรก แกป่ วงชนชาวไทย





จบหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 วิเคราะหป์ ระเดน็ สาคญั ทางประวัติศาสตรไ์ ทย