Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานสามัคคีเภทคำฉันท์

รายงานสามัคคีเภทคำฉันท์

Published by 10 Peerapong Pratuchai, 2023-08-06 04:35:20

Description: รายงานสามัคคีเภทคำฉันท์

Search

Read the Text Version

สามัคคีเภทคำฉันท์ คณะผู้จัดทำ นายธนวัตน์ ฉ่ำคร้าม เลขที่ ๗ นายนราธิป ศรีวงค์ษา เลขที่ ๘ นางสาวขวัญชนก นางสาวญาณินท์ นนท์ศิริ เลขที่ ๑๘ ลักษณประวัติ เลขที่ ๑๙ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖.๓ เสนอ ครูณัฐยา อาจมังกร รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชาภาษาไทย วิชาภาษาไทย (ท๓๓๑๐๑) ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขม

ก คำนำ รายงาน เรื่อง สามัคคีเภทคำฉันท์เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ศึกษาความรู้และวิเคราะห์วรรณคดีไทยเรื่อง สามัคคีเภทคำฉันท์ ทั้งด้านการพิจารณาเนื้อหาและกลวิธีในการแต่ง การใช้ภาษาประโยชน์ หรือคุณค่าในวรรณคดีและวรรณกรรมตลอดจนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ทั้งนี้เนื้อหาต่างๆ ได้มีการศึกษารวบรวมจากอินเทอร์เน็ต ประโยชน์ที่ได้จากการศึกษา ได้รู้ และเข้าใจเนื้อหาอย่างละเอียด และสามารถเรียนรู้ความเป็นมา ลักษณะคำประพันธ์อื่นๆอีก มากมายที่เกี่ยวกับเนื้อหาคณะผู้จัดทำหวังว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจที่จะ ศึกษา หากรายงานฉบับนี้มีข้อผิดพลาดประการใด คณะผู้จัดทำขอน้อมรับไว้เเละขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย คณะผู้จัดทำ​ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖

สารบัญ ข หน้า คำนำ ก สารบัญ ข สามัคคีเภทคำฉันท์ ๑ จุดประสงค์ของผู้แต่ง ๑ ที่มาของเรื่อง ๒ ลักษณะคำประพันธ์ ๒ ชนิดของฉันท์ที่ใช้แต่ง ๒ คณะและพยางค์ ๓ ฉันทลักษณ์วิชชุมมาลาฉันท์ ๓ สัมผัส ๓ สัมผัสระหว่าง ๔ เนื้อเรื่องย่อสามัคคีเภทคำฉันท์ ๕ ถอดคำประพันธ์​สามัคคีเ​ภทคำ​ฉันท์​ ๒๘ คุณค่าวรรคคดีของสามัคคีเภทคำฉันท์ บรรณานุกรม

สามัคคีเภทคำฉันท์ ผู้แต่ง สามัคคีเภทคำฉันท์ นายชิต บุรทัต ได้นำเค้าเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์มาจากนิยายสุภาษิตเรื่องหนึ่งในหนังสือพิมพ์ ร่ายคาบช่อธรรมจักษุ\"หนังสือรุ่นแรกของมหากุฏราชวิทยาลัย เป็นหนังสือที่เรียบเรียงจากภาษา บาลีซึ่งมีเรื่องราวอยู่ในมหาปรินิพพานสูตร และอรรถกถาสุมังคลวิลาสินี โดยชิต บุรทัตได้แต่งเติม ความตามลีลาฉันท์เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๗ มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงฝีมือกวีเฉลิมพระนคร และเป็นคติ สอนใจ แสดงโทษแห่งการแตกความสามัคคี จุดประสงค์ในการเเต่ง นายชิต บุรทัต อาศัยเค้าคำแปลของเรื่องสามัคคีเภทมาแต่งเป็นคำฉันท์ เพื่อเป็นที่ปรากฏ และ เป็นพิทยาภรณ์ประดับบ้านเมือง ที่มาของเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ สามัคคีเภทคำฉันท์ ดำเนินเรื่องโดยอิงประวัติศาสตร์ครั้งพุทุธกาล เป็นนิทานสุภาษิตในมหาปรินิพพาน สูตรและอรรถกถาสุมังคลวิลาสิสี ในสมัยรัชกาลที่ 6 เกิดวิกฤตการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดกบฏ ร.ศ. 130 ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของบ้านเมือง นายชิต บุรทัต จึงได้แต่งเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ โดยอาศัยเค้าคำแปลของเรื่องสามัคคีเภทคำ มาแต่งเป็นคำฉันท์ขึ้นมาใน ปี พ.ศ. 2457 ลงพิมพ์ในหนังสือธรรมจักษุ ของมหามกุฏราชวิทยาลััย มีจุดประสงค์เพื่อมุ่งชี้ความสำคัญ ของความสามัคคี การร่วมกันเป็นอันหนึ่งใจเดียวกัน

ลักษณะคำประพันธ์ของสามัคคีเภทคำฉันท์ ลักษณะคำประพันธ์ คำประพันธ์ที่ใช้แต่งสามัคคีเภทคำฉันท์นั้นใช้ฉันท์และกาพย์สลับกันเรียกว่า\"คำฉันท์\" โดยมีฉันท์ถึง ๒๐ ชนิดด้วย นับว่าเป็นวรรณคดีคำฉันท์เล่มหนึ่งที่คนรุ่นหลังยกย่อง และนับถือเป็นแบบเรื่อยมา โดยเน้นจังหวะลหู คือเสียงเบาอย่างเคร่งครัดกำหนดเป็น สระเสียงสั้นไม่มีตัวสะกดเสมอ ชนิดของฉันท์ที่ใช้แต่ง ข้อบังคับของสามัคคีเภทคำฉันท์ คือ สามัคคีภทคำฉันท์ แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทฉันท์ ๑๙ ชนิด กาพย์ ๑ ชนิด คือ ๑. สัททุลวิกกีหิตฉันท์ ๑๙ เป็นฉันท์ที่มีลีลาการอ่านสง่างาม เคร่งขรึม มีอำนาจดุจเสือผยอง ใช้ แต่งสำหรับ บทไหว้ครู บทสดุดี ยอพระเกียรติ ๒. วสันตดิลกฉันท์ ๑< เป็นฉันท์ที่มีลีลาไพเราะ งดงาม เยือกเย็นดุจเม็ดฝน ใช้สำหรับบรรยาย หรือพรรณนา ชื่นชมสิ่งที่สวยงาม ๓. อุปชาติฉันท์ ๑๑ นิยมแต่งสำหรับบทเจรจาหรือบรรยายความเรียบๆ ๔. อีทิสังฉันท์ ๒๑ เป็นฉันท์ที่มีจังหวะกระแทกกระนั้น เกรี้ยวกราด โกรธแค้น และอารมณ์ รุนแรง เช่น รักมาก โกรธมาก ตื่นเต้น คึกคะนอง หรือพรรณนาความสับสน ๕. อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ เป็นฉันท์ที่มีลีลาสวยงามดุจสายฟ้าพระอินทร์ มีลีลาอ่อนหวาน ใช้ บรรยายความ หรือ พรรณนาเพื่อโน้มน้าวใจให้อ่อนโยน เมตตาสงสาร เอ็นดู ให้อารมณ์เหงาและเศร้า

รูปที่ ๑ แผนผังอินทรวิเชียร ๑๑ ที่มา https://images.app.goo.gl/dJRVIST2Z4ZhiCZHA ฉันทลักษณ์ของอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ (ประกอบด้วยครุล้วน) ๑.หนึ่งบทมี ๘ บาท บาทละ ๘ พยางค์ แบ่งเป็น 6 วรรค วรรคละ ๘ พยางค์ส่งสัมผัสแบบกลอน ๒.ลักษณะครุ-ลหุ เหมือนกันทุกบาท คือ ครุ-ครุ-ครุ-ครุ-ครุ-ครุ-ครุ-ครุ ๖.ส่งสัมผัสแบบกาพย์ คำสุดท้ายของวรรคที่๓ สัมผัสกับคำที่สามของวรรคที่ ๒ (เป็นสัมผัสไม่บังคับ แต่ถ้ามีจะทำให้ฉันท์นั้นไพรเราพบมากยิ่งขึ้น) และคำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับคำสุดท้ายของ วรรคที่ ๓ สัมผัสระหว่างบท คือ คำสุดท้ายของวรรคที่ ๔ ของบทแรก จะต้องสัมผัสกับคำสุดท้ายของ วรรคที่ ๒ ในบทถัดไป รูปภาพที่ ๒ วิชุมมาลาฉันท์ ๘ ที่มา https://f.ptcdn.info/977/052/000/ougz0s20qhsMg7Ky9w-o.gif

๗. อินทรวงศ์ฉันท์ ๑๒ เป็นฉันท์ที่มีลีลาตอนท้ายไม่ราบเรียบคล้ายกลบทสะบัดสะบิ้ง ใช้ ในการบรรยายความ หรือพรรณนาความ ๘.วังสัฏฐฉันท์ ๑๒ เป็นฉันท์ที่มีสำเนียงอันไพเราะเหมือนเสียงปี่ ๙. มาลินีฉันท์ ๑๕ เป็นฉันท์ที่ใช้ในการแต่งกลบทหรือบรรยายความที่เคร่งขรึม เป็นสง่า อินทรวิเชียรฉันท์ จำนวน ๑ บท มี ๒ บาท ๑ บาท มี ๒ วรรด ได้แก่ วรรคหน้าหรือวรรคต้นมี ๕ คำ (พยางค์) ส่วนวรรคหลังหรือวรรคท้ายมี ๖ คำ (พยางค์) อินทูรวิเชียรฉันท์ ๑ บาท มีจำนวนคำ (พยางค์) ๑๑ คำ (พยางค์) ดังนั้น จึงกำหนดเลข ๑ด ไว้ท้ายชื่อฉันท์ โดยยืดตามบาทของฉันท์นี่เอง สัมผัส ให้สังเกต สัมผัสบังคับ (สัมผัสนอก) ๑๐ . ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒ เป็นฉันท์ที่มีสีลางามสง่าดุจงเลื้อย นิยมใช้แต่งบทที่ดำเนินเรื่องอย่าง รวดเร็วและคึกคัก ๑๑. มาณวกฉันท์ ๘ เป็นฉันท์ที่มีลีลาผาดโผน สนุกสนาน ร่าเริง และตื่นเต้นดุจชายหนุ่ม ๑๒. อุเปนทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ เป็นฉันท์ที่มีความไพเราะใช้ในการบรรยายบทเรียบๆ ๑๓. สัทธราฉันท์ ๒๑มีความหมายว่า ฉันท์ยังความเลื่อมใสให้เกิดแก่ผู้ฟัง จึงเหมาะเป็นฉันท์ที่ใช้ สำหรับแต่งคำนมัสการ อธิษฐาน ยอพระเกียรติ หรืออัญเชิญเทวดา ใช้แต่งบทสั้นๆ ๑๔. สาลินีฉันท์ ๑๑ เป็นบทที่มีคำครุมาก ใช้บรรยายบทที่เป็นเนื้อหาสาระเรียบๆ ๑๕. อุปัฏฐิตาฉันท์ ๑๑ เป็นฉันท์ที่เหมาะสำหรับใช้บรรยายบทเรียบๆ แต่ไม่ใคร่มีคนนิยมแต่งมากนัก ๑๖.โตฎกฉันท์ ๑๒ เป็นฉันท์ที่มีสีลาสะบัดสะบั้งเหมือนประตักแทงโค ใช้แต่งกับบทที่แสดงความโกรธ เคืองร้อนรน หรือสนุกสนาน คึกคะนอง ตื่นเต้น และเร้าใจ ๑๗. กมลฉันท์ ๑๒ หมายถึง ฉันที่มีความไพเราะเหมือนดังดอกบัว ใช้กับบทที่มีความตื่นเต้นเล็กน้อย และใช้บรรยายเรื่อง ๑๘. จิตรปทาฉันท์ ๘ เป็นฉันท์ที่เหมาะสำหรับบทที่น่ากลัว เอะอะ เกรี้ยวกราด ตื่นเต้นตกใจและกลัว ๑๙. สุรางคนางค์ฉันท์ ๒๘ มีลักษณะการแต่งคล้ายกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ แต่ต่างกันที่มีข้อบังคับ ครุ ลหุเพิ่มขึ้นมา ทำให้เกิดความไพเราะมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับข้อความที่คึกคักสนุกสนาน โลดโผน ตื่นเต้น ๒๐. กาพย์ฉบัง ๑๖ เป็นกาพย์ที่มีลีลาสง่างาม ใช้สำหรับบรรยายความงาม

คณะและพยางค์ อินทรวิเชียรฉันท์ จำนวน ๑ บท มี ๒ บาท ๑ บาท มี ๒ วรรด ได้แก่ วรรคหน้าหรือวรรคต้นมี ๕ คำ (พยางค์) ส่วนวรรคหลังหรือวรรคท้ายมี ๖ คำ (พยางค์) อินทูรวิเชียรฉันท์ ๑ บาท มีจำนวนคำ (พยางค์) ๑๑ คำ (พยางค์) ดังนั้น จึงกำหนดเลข ๑ด ไว้ท้ายชื่อฉันท์ โดยยืดตามบาทของฉันท์นี่เอง สัมผัส ให้สังเกต สัมผัสบังคับ (สัมผัสนอก) ฉันทลักษณ์วิชชุมมาลาฉันท์ คณะและพยางค์ วิชชุมมาลาฉันท์ ๑ บท ประกอบด้วยคณะและพยางค์ ดังนี้ มี ๔ บาท บาทละ ๒ วรรค วรรคละ ๔ คำ ๑ บาท นับจำนวนคำได้ ๘ คำ/พยางค์ ดังนั้น จึงเขียนเลข ๘ หลังชื่อวิชชุมมาลาฉันท์นี่เอง ทั้งบทมีจำนวนคำทั้งสิ้น ๓๒ คำ

สัมผัส พบว่า สัมผัสวิชชุมมาลาฉันท์ มีสัมผัสนอก (ที่เป็นสัมผัสภายในบท) บทจำนวน ๕ แห่งได้แก่ ๑.คำสุดท้ายของวรรดที่ ๑ ส่งสัมผัสกับคำที่ ๒ ของวรรคที่ ๒ ๒.คำสุดท้ายของวรรดที่ ๒ ส่งสัมผัสกับคำสุดท้าย ของวรรคที่ ๓ ๓.คำสุดท้ายของวรรคที่ ๔ ส่งสัมผัสกับคำสุดท้าย ของวรรคที่ ๖ ๔.คำสุดท้ายของวรรดที่ ๕ ส่งสัมผัสกับคำที่ ๒ ของวรรคที่ ๖ ๕.คำสุดท้ายของวรรคที่ ๖- ส่งสัมผัสกับคำสุดท้าย ของวรรคที่ ๗ สัมผัสระหว่างบท พบว่า คำสุดท้ายของบท ส่งสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรค วรรคที่ ๔ ในบทต่อไปคำ ครุ-ลหุ วิชชุมมาลาฉันท์ ๑ บท มีคำครุทั้งหมด ๓๒ คำ ปราศจากการใช้คำลหุ ให้สังเกตุ สัมผัสบังดับ (สัมผัสนอก) และบังคับครุ-ลหุ

เนื้อเรื่องย่อสามัคคีเภทคำฉันท์ ของพเหระล่เาจ้กาษอัตชราิยต์ลศิัจตฉรูวแี หแ่งต่แแคคว้วน้นมวัคชธชีปมีกพครระอปงร โะดสยงยคึ์ดจมัะ่นขใยนาหยลอักาณอปารจิัหการนิไยปธยัรงรแมควซึ้่นงเวนัช้นชี ความสามัคคีเป็นหลัก ทำให้การโจมตีไม่สามาถใช้กำลังได้เพียงอย่างเดียว วัสสการพราหมณ์ผู้มีปัญญาเฉียบแหลม ได้อาสาเป็นไส้ศึก ไปยุยงเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีให้ แตกความสามัคคี เริ่มแผนการโดยกราบทูลทัดทานการไปตีแคว้นวัชชี พระเจ้าอชาตศัตรู แสร้งกริ้ว จึงทรงสั่งให้ลงโทษและเนรเทศวัสสการพราหมณ์ วัสสการพราหมณ์เดินทางไปแคว้นวัชชี ได้ใช้วาทศิลป์และเหตุผลโน้มน้าวใจ ทำให้ เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีทรงหลงเชื่อ รับวัสสการพราหมณ์ไว้ในราชสำนัก ให้ทำหน้าที่พิจารณา คดีความ และถวายพระอักษรเหล่าพระกุมาร โดยไม่รู้ว่าเป็นอุบาย

ถอดคำประพันธ์​สามัคคีเ​ภทคำ​ฉันท์​ ภูชงคประยาต ฉันท์ฯ ๑๒ ทิชงค์ชาติฉลาดยล คะเนกลคะนึงการ กษัตริย์ลิจฉวีวาร ระวังเหือดระแวงหาย เหมาะแก่การณ์จะเสกสรร ปวัตน์วัญจโนบาย มล้างเหตุพิเฉทสาย สมัครสนธิ์สโมสร ถอดความได้ว่า พราหมณ์ผู้ฉลาดคาดคะเนว่ากษัตริย์ถิจฉวีวางใจคลายความ หวาดระแวง เป็นโอกาสเหมาะที่จะเริ่มดำเนินการตามกลอุบายทำลายความสามัคคี​ ณวันหนึ่งลุถึงกา ลศึกษาพิชากร กุมารลิจฉวีวร เสด็จพร้อมประชุมกัน ตระบัดวัสสการมา สถานราชเรียนพลัน ธแกล้งเชิญกุมารฉัน สนิทหนึ่งพระองค์ไป อุห้องหับรโหฐาน ก็ถามการณ์ ณ ทันใด มิลี้ลับอะไรใน กฤาเช่นธปุจฉา ถอดความได้ว่า วันหนึ่งเมื่อถึงโอกาลที่จะสอนวิชา กุมารลิจฉวีก็เสด็จมาโดยพร้อมเพรียงกัน ทันใดวัสสการพราหมณ์ ก็มาถึงและแกล้งเชิญพระกุมารพระองค์ที่สนิทสนมเข้าไปพบใน ห้องส่วนตัว แล้วก็ทูลถามเรื่องที่ ไม่ใช่ความลับแต่ประการใด

จะถูกผิดกระไรอยู่ มนุษย์ผู้กระทำนา และคู่โคก็จูงมา ประเทียบไถมิใช่หรือ กุมารดิจฉวีขัตติย์ ก็รับอรรถอออือ กสิกเขากระทำคือ ประดุจคำพระอาจารย์ ก็เท่านั้นธเชิญให้ นิวัตในมิช้านาน ประสิทธิ์ศิลปิประศาสน์สาร สมัยเลิกลุเวลา ถอดความได้ว่า ดังเช่นถามว่า ชาวนาจูงโคมากู่หนึ่งเพื่อเทียมไดใช่หรือไม่ พระกุมารลิจฉวี ก็รับสั่งเห็นด้วยว่าชาวนาก็คงจะกระทำดังคำของพระอาจารย์ ถามเพียงเท่านั้นพราหมณ์ก็ เชิญให้เสด็จกลับออกไป อุรสลิจฉวีสรร พชวนกันเสด็จมา และต่างชักกุมารรา ซองค์นั้นจะเอาความ พระอาจารย์สิเรียกไป ณข้างในธไต่ถาม อะไรเธอเสนอตาม วจีสัตย์กะส่ำเรา กุมารนั้นสนองสา รวากย์วาทตามเลา เฉลยพจน์กะครูเสา วภาพโดยคดีมา ถอดความได้ว่า ครั้นถึงเวลาเอิกเรียนเหล่าโอรสถิจฉวีก็พากันมาซักไช้พระกุมารว่าพระอาจารย์ เรียกเข้าไปข้างใน ได้ไต่ถามอะไรบ้าง ขอให้บอกมาตามความจริง พระกุมารพระองค์นั้นก็ เล่าเรื่องราวที่พระอาจารย์เรียกไปถาม กุมารอื่นก็สงสัย มิเชื่อในพระวาจา สหายราชธพรรณนา และต่างองค์ก็พาที ไฉนเลยพระครูเรา เลอะเหลวนักละล้วนนี จะพูดเปล่าประโยชน์มี รผลเห็นบเป็นไป เถอะถึงถ้าจะจริงแม้ แนะชวนเข้าณข้างใน ธ พูดแท้ก็ทำไม จะถามนอกบยากเย็น ถอดความได้ว่า แต่เหล่ากุมารสงสัยไม่เชื่อคำพูดของพระสหาย ด่างองค์ก็วิจารณ์ว่าพระอาจารย์ จะพูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระเช่นนี้เป็นไปไม่ใด้ และหากว่าจะพูดจริงเหตุใดจะต้องเรียกเข้า ไปถามข้างในห้อง ถามข้างนอกห้องก็ได้

ชะรอยว่าทิชาจารย์ รหัสเหตุประเภทเห็น และท่านมามุสาวาท พจีจริงพยายาม ธคิดอ่านกะท่ ละแน่ชัดถนัดความ มิกล้าอาจจะบอกตา ไถลแสร้งแถลงสาร ถอดความได้ว่า สงสัยว่าท่านอาจารย์กับพระกุมารต้องมีความลับอย่างแน่นอน แล้วก็มาพูด โกหก ไม่กล้าบอกตามความเป็นจริง แกล้งพูดไปด่าง ๆ นานา กุมารราชมิตรผอง ก็สอดคล้องและแคลงดาล พิโรธกาจวิวาทการณ์ อุบัติขึ้นเพราะขุ่นเคือง พิพิธพันธไมตรี ประดามีนิรันดร์เนื้อง กะองค์นั้นก็พลันเปลือง มลายปลาตพินาศปลงฯ ถอดความได้ว่า กุมารลิจฉวีทั้งหลายเห็นสอดคล้องกันก็เกิดความโกรธเคือง การทะเลาะวิวาทก็ เกิดขึ้นเพราะความขุ่นเคืองใจ ความสัมพันธ์อันดีที่เคยมีมาตลอดก็ถูกทำลายย่อยยับลง ล่วงลุประมาณ กาลอนุกรม หนึ่งณนิยม ท่านทวิชงค์ เมื่อจะประสิทธิ์ วิทยะยง เชิญวรองค์ เอกกุมาร เธอจรตาม พราหมณไป โดยเฉพาะใน ห้องรหุฐาน จึ่งพฤฒิถาม ความพิสดา ขอธประทาน โทษะและไข ถอดความได้ว่า เวลาผ่านไปตามลำดับ เมื่อถึงคราวที่จะสอนวิชาก็จะเชิญพระกุมารพระองก็หนึ่ง พระกุมารก็ตาม พราหมณ์เข้าไปในห้องเฉพาะ พราหมณ์จึงถามเนื้อความแปลก ๆ ว่า ขออภัย ช่วยตอบด้วย

ถอดความได้ว่า อย่าติและหลู่ ครูจะเฉลย เธอน่ะเสวย ภัตกะอะไร ในทิน ดีฤไฉน พอหฤทัย ยิ่งละกระมัง ราชธก็เล่า เค้าณประโยค ตนบริโภค แล้วขณะหลัง วาทะประเทือง เรื่องสิประทัง อาคมยัง สิกขสภา อย่าหาว่าตำหนิหรือลบหคู่ ครูขอถามว่าวันนี้พระกุมารเสวยพระกระยาหารอะไร รสชาติดีหรือไม่ พอพระทัยมากหรือไม่ พระกุมารก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระกระยาหารที่เสวย หลังจากนั้นก็สนทนาเรื่องทั่วไป แล้วก็เสด็จกลับออกมายังห้องเรียน เสร็จอนุศาสน์ ราชอุรส ลิจฉวิหมด ต่างธก็มา ถามนยมาน ท่านพฤฒิอา จารยปรา รภกระไร เธอก็แถลง แจ้งระบุมวล ความเฉพาะล้วน จริงหฤทัย ต่างบมิเชื่อ เมื่อตริไฉน จึ่งผลใน เหตุบมิสม ถอดความได้ว่า เมื่อเสร็จสิ้นการสอนราชกุมารลิจฉวีทั้งหมดก็มาถามเรื่องราวที่มีมาว่าท่านอาจารย์ได้พูด เรื่องอะไรบ้าง พระกุมารก็ตอบตามความจริง แต่เหล่ากุมารต่างไม่เชื่อ เพราะคิดแล้วไม่ สมเหตุสมผล

ถอดความได้ว่า ขุ่นมนเคือง เรื่องนฤสาร เช่นกะกุมาร ก่อนก็ระ เลิกสละแยก แตกคณะกล เกลียวบนิยม คบดุจเดิม ต่างขุ่นเคืองใจด้วยเรื่องไร้สาระเช่นเดียวกับพระกุมารพระองค์ก่อน และเกิดความ แตกแยกไม่คบกันอย่างกลมเกลียวเหมือนเดิม อุเปนทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ทิชงค์เจาะจงเจตน์ กลห์เหตุยุยงเสริม กระหน่ำและซ้ำเติม นฤพัทธก่อการณ์ ละครั้งระหว่างครา ทินวารนานนาน เหมาะท่าทิชาจารย์ ธก็เชิญเสด็จไป บห่อนจะมีสา รฤหาประโยชน์ไร กระนั้นเสมอนัย เสาะแสดงธแสร้งถาม ถอดความได้ว่า พราหมณ์เจตนาหาเหตุยุแหย่ซ้ำเดิมอยู่เสมอ ๆ แต่ละครั้ง แต่ละวัน นานนานครั้ง เห็นโอกาส เหมาะก็จะเชิญพระกุมารเสด็จไปโดยไม่มีสารประโยชน์อันใด แล้วก็แกล้ง และบ้างก็พูดว่า น่ะแน่ะข้าสดับตาม ยุบลระบิลความ พจแจ้งกระจายมา ละเมิดติเตียนท่าน ก็เพราะท่านสิแสนสา รพัดทลิทภา วและสุดจะขัดสน จะแน่มิแน่เหลือ พิเคราะห์เชื่อเพราะยากยล ณที่บมีคน ธก็ควรขยายความ ถอดความได้ว่า บางครั้งก็พูดว่า นี่แน่ะข้าพระองก์ได้ยินข่าวเถ่าถือกันทั่วไป เขานินทาพระ กุมารว่าพระองค์แสนจะยากจนและขัดสน จะเป็นเช่นนั้นแน่หรือ พิเคราะห์แล้วไม่น่าเชื่อ ณ ที่นี้ไม่มีผู้ใด ขอให้ทรงเล่ามาเถิด

ถอดความได้ว่า กุมารองค์เสา วนเค้าคดีตาม กระทู้พระครูถาม นยสุดจะสงสัย ก็คำมิควรการณ์ คุรุท่านจะถามไย ธซักเสาะสืบใคร ระบุแจ้งกะอาจารย์ ทวิชแถลงว่า พระกุมารโน้นขาน ยุบลกะตูกาล เฉพาะอยู่กะกันสอง พระกุมารได้ทรงฟังเรื่องที่พระอาจารย์ถามก็ตรัสถามกลับว่า สงสัยเหลือเกิน เรื่องไม่สมควรเช่นนี้ท่านอาจารย์จะถามทำไม แล้วก็ชักไช้ว่าใครเป็นผู้มาบอกกับอาจารย์ พราหมณ์ก็ตอบว่าพระกุมารพระองค์โน้นตรัสบอกเมื่ออยู่กันเพียงสองต่อสอง ถอดความได้ว่า กุมารพระองค์นั้น ธมิทันจะไตร่ตรอง ก็เชื่อณคำของ พฤฒิครูและวู่วาม พิโรธกุมารองค์ เหมาะเจาะจงพยายาม ยุครูเพราะเอาความ บมิดีประเดตน ก็พ้อและต่อพิษ ทุรทิฐิมานจน ลุโทสะสืบสน ธิพิพาทเสมอมา กุมารพระองค์นั้นไม่ทันได้ไตร่ตรอง ก็ทรงเชื่อในคำพูดของอาจารย์ ด้วยความ วู่วามก็กริ้วพระกุมารที่ยุพระอาจารย์ใส่ความตน จึงตัดพ้อต่อว่ากันขึ้น เกิดความโกรธ เคืองทะเลาะวิวาทกันอยู่เสมอ ถอดความได้ว่า และฝ่ายกุมารผู้ ทิชครูมิเรียกหา ก็แหนงประดารา ชกุมารทิชงค์เชิญ พระราชบุตรลิจ ฉวิมิตรจิตเมิน ณกันและกันเหิน คณะห่างก็ต่างถือ ทะนงชนกตน พลล้นเถลิงลือ ก็หาญกระเหิมฮือ มนฮึกบนึกขามฯ ฝ้ายพระกุมารที่พราหมณ์ไม่เคยเรียกเข้าไปหาก็ไม่พอพระทัยพระกุมารที่ พราหมณ์เชิญไปพบ พระกุมารถิจฉวีหมางใจและเหินห่างกัน ต่างองค์ทะนงว่าพระบิดา ของตนมีอำนาจล้นเหลือ จึงมีใจกำเริบไม่เกรงกลัวกัน

กษัตริย์ลิจฉวีแตกสามมัคคี วัสสการพราหมณ์ลอบส่งข่าวทูลพระเจ้าอชาดศัตรู สัทธราฉันท์ ๒๑ ลำดับนั้นวัสสการพราหมณ์ ธก็ยุศิษยตาม แต่งอุบายงาม ฉงนงำ ปวงโอรสลิจฉวีดำ ริณวิรุธก็สำ คัญประดุจคำ ธเสกสรร ไป่เหลือเลยสักพระองค์อัน มิละปิยะสหฉันท์ ขาดสมัครพันธ์ ก็อาดูร ถอดความได้ว่า ในขณะนั้นวัสสการพราหมณ์ก็คอยยุลูกศิษย์ แต่งกลอุบายให้เกิดความแคลงใจ พระโอรสกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายไตร่ตรองในอาการน่าสงสัยก็เข้าใจว่าเป็นจริงดังถ้อยคำที่ อาจารย์ปั้นเรื่องขึ้น ไม่มีเหลือเลยสักพระองค์เดียวที่จะมีความรักใคร่กลมเกดียว ต่างขาด ความสัมพันธ์ เกิดความเดือดร้อนใจ ต่างองค์นำความมิงามทูล พระชนกอดิศูร แห่งธโดยมูล ปวัตติ์ความ แตกร้าวก้าวร้ายก็ป้ายปาม ลุวรบิดรลาม ทีละน้อยตาม ณเหตุผล ฟั่นเฝือเชื่อนัยดนัยตน นฤวิเคราะหเสาะสน สืบจะหมองมล เพราะหมายใด ถอดความได้ว่า ในขณะนั้นวัสสการพราหมณ์ก็คอยยุลูกศิษย์ แต่งกลอุบายให้เกิดความแคลงใจ พระโอรสกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายไตร่ตรองในอาการน่าสงสัยก็เข้าใจว่าเป็นจริงดังถ้อยคำที่ อาจารย์ปั้นเรื่องขึ้น ไม่มีเหลือเลยสักพระองค์เดียวที่จะมีความรักใคร่กลมเกดียว ต่างขาด ความสัมพันธ์ เกิดความเดือดร้อนใจ

แท้ท่านวัสสการใน กษณะตริเหมาะไฉน เสริมเสมอไป สะดวกดาย หลายอย่างต่างกลธขวนขวาย พจนยุปริยาย วัญจโนบาย บเว้นครา ครั้นล่วงสามปีประมาณมา สหกรณประดา ถอดความได้ว่า เวลาผ่านไปประมาณ ๓ ปี ความร่วมมือกันระหว่างกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายและความสามัคคีถูก ทำลายลงสิ้น ความเป็นมิตรแตกแยก ความเสื่อม ความหายนะก็บังเกิดขึ้น สามัคคีธรรมทำลาย มิตรภิทนะกระจาย สรรพเสื่อมหายน์ ก็เป็นไป ต่างองค์ทรงแคลงระแวงใน พระราชหฤทยวิสัย ผู้พิโรธใจ ระวังกัน ถอดความได้ว่า ความร่วมมือกันระหว่างกษัตริย์สิจฉวีทั้งหลายและความสามัดคีถูกทำลายลงสิ้น ความเป็นมิตรแตกแยก ความเสื่อม ความหายนะก็บังเกิดขึ้น กษัตริย์ต่างองดีระแวงแคลงใจ มี ความขุ่นเคืองใจซึ่งกันและกัน สาลินีฉันท์ ๑๑ ตระหนักเหตุถนัดครัน พจักสู่พินาศสม พราหมณ์ครูรู้สังเกต จะสัมฤทธิ์มนารมณ์ ราชาวัชชีสรร และอุตสาหแห่งตน ประชุมขัตติย์มณฑล ยินดีบัดนี้กิจ กษัตริย์สู่สภาคาร เริ่มมาด้วยปรากรม ให้ลองตีกลองนัด เชิญซึ่งส่ำสากล ถอดความได้ว่า พราหมณ์ผู้เป็นครูสังเกตเห็นดังนั้น ก็รู้ว่าเหล่ากษัตริย์ถิจฉวีกำลังจะประสบ ความพินาศ จึงยินดีมากที่การกิจประสบผลสำเร็จสมดังใจ หลังจากเริ่มต้นด้วยความบากบั่น และความอดทนของตน จึงให้ลองตึกถองนัดประชุมกษัตริย์กวี เชิญทุกพระองค์เสด็จมายังที่ ประชุม

วัชชีภูมีผอง สดับกลองกระหึมขาน ทุกไท้ไป่เอาภาร ณ กิจเพื่อเสด็จไป ต่างทรงรับสั่งว่า จะเรียกหาประชุมไย เราใช่เป็นใหญ่ใจ ก็ขลาดกลัวบกล้าหาญ ท่านใดที่เป็นใหญ่ และกล้าใครมิเปรียบปาน ถอดความได้ว่า พอใจใคร่ในการ ประชุมชอบก็เชิญเขา ฝ่ายกษัตริย์วัชชีทั้งหลายทรงสดับเสียงกลองดังกีกก้อง ทุกพระองก็ไม่ทรงเป็น ธุระในกรสด็จไป ด่างองค์รับสั่งว่จะเรียกประชุมด้วยเหตุใด เราไม่ใด้เป็นใหญ่ ใจก็ขลาด ไม่กล้า หาญ ผู้ใดเป็นใหญ่ มีความกถ้าหาญไม่มีผู้ใดเปรียบได้ พอใจจะเสด็จไปร่วมประชุมก็เชิญเขาเถิด ปรึกษาหารือกัน ไฉนนั้นก็ทำเนา จักเรียกประชุมเรา บแลเห็นประโยชน์เลย รับสั่งผลักไสส่ง และทุกองค์ธเพิกเฉย ไป่ได้ไปดั่งเคย สมัครเข้าสมาคมฯ ถอดความได้ว่า จะปรึกษาหารือกันประการใดก็ช่างเถิด จะเรียกเราไปประชุมมองไม่เห็น ประโยชน์ประการใดเลย รับสั่งให้พ้นตัวไป และทุกพระองค์ก็ทรงเพิกเฉยไม่เสด็จไปเข้าร่วม การประชุมเหมือนเคย อุปัฏฐิตาฉันท์ ๑๑ เห็นเชิงพิเคราะห์ช่อง ชนะคล่องประสบสม พราหมณ์เวทอุดม ธก็ลอบแถลงการณ์ ให้วัลลภชน คมดลประเทศฐาน กราบทูลนฤบาล ภิเผ้ามคธไกร แจ้งลักษณสา สนว่ากษัตริย์ใน วัชชีบุรไกร วลหล้าตลอดกัน ถอดความได้ว่า เมื่อพิจารณาเห็นช่องทางที่จะได้ชัยชนะอย่างง่ายดาย พราหมณ์ผู้รอบรู้พระเวทก็ ลอบส่งข่าว ให้คนสนิทเดินทางกลับไปยังบ้านเมือง กราบทูลกษัตริย์แห่งแคว้นมครอันยิ่งใหญ่ ในสาสน์แจ้งว่ากษัตริย์วัชชีทุกพระองค์

บัดนี้สิก็แตก คณะแผกและแยกพรรค์ ไป่เป็นสหฉัน ทเสมือนเสมอมา โอกาสเหมาะสมัย ขณะไหนประหนึ่งครา นี้หากผิจะหา ก็บได้สะดวกดี ขอเชิญวรบาท พยุห์ยาตรเสด็จกรี ธาทัพพลพี ริยยุทธโดยไวฯ ถอดความได้ว่า ขณะนี้เกิดความแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่สามัคคีกันเหมือนแต่เดิม จะหา โอกาสอันเหมาะสมครั้งใดเหมือนดังครั้งนี้คงจะไม่มีอีกแล้ว ขอทูลชิญพระองค์ยกกองทัพ อันยิ่งใหญ่มาทำสงครามโดยเร็วเถิด วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ ถอดความได้ว่า ข่าวเศิกเอิกอึง ทราบถึงบัดดล ในหมู่ผู้คน ชาวเวสาลี แทบทุกถิ่นหมด ชนบทบูรี อกสั่นขวัญหนี หวาดกลัวทั่วไป ตื่นตาหน้าเผือด หมดเลือดสั่นกาย หลบลี้หนีตาย วุ่นหวั่นพรั่นใจ ซุกครอกซอกครัว ซ่อนตัวแตกภัย เข้าดงพงไพร ทิ้งย่านบ้านตน ข่าวศึกแพร่ไปจนรู้ถึงชาวเมืองเวลาลี แทบทุกคนในเมืองต่างตกใจและหวาดกลัวกัน ไปทั่ว หน้าตาตื่น หน้าซีดไม่มีสีเลือด ตัวสั่น พากันหนีตายวุ่นวาย พากันอพยพกรอบครัวหนี ภัยทิ้งบ้านเรือนไปชุ่มช่อนตัวเสียในป่า

ถอดความได้ว่า เหลือจักห้ามปราม ชาวคามล่าลาด พันหัวหน้าราษฎร์ ขุนด่านตำบล หารือแก่กัน คิดผันผ่อนปรน จักไม่ให้พล มาคธข้ามมา จึ่งให้ตีกลอง ป่าวร้องทันที แจ้งข่าวไพรี รุกเบียนบีฑา เพื่อหมู่ภูมี วัชชีอาณา ชุมนุมบัญชา ป้องกันฉันใด ข่าวศึกแพร่ไปจนรู้ถึงชาวเมืองเวลาลี แทบทุกคนในเมืองต่างตกใจและหวาดกลัวกัน ไปทั่ว หน้าตาตื่น หน้าซีดไม่มีสีเลือด ตัวสั่น พากันหนีตายวุ่นวาย พากันอพยพกรอบครัวหนี ภัยทิ้งบ้านเรือนไปชุ่มช่อนตัวเสียในป่า ราชาลิจฉวี ไป่มีสักองค์ อันนึกจำจำนง เพื่อจักเสด็จไ​ป ต่างองค์​ดำรัส เรียกนัดทำไม ใครเป็นใหญ่ใคร กล้าหาญเห็นดี เชิญเ​ทอญท่านต้อง ขัดข้องข้อไหน ปรึกษา​ปราศรัย​ ตามเรื่องตามที ส่วนเราเล่าใช่ เป็นใหญ่ยังมี ใจอย่างผู้ภี รุกปราศอาจหาญ ถอดความได้ว่า ไม่มีกษัตริย์ลิจฉวีแม้แต่พระองค์เดียวคิดจะเสด็จไป แต่ละพระองค์ทรงดำรัสว่าจะเรียก ประชุมด้วยเหตุใด ผู้ใดเป็นใหญ่ ผู้ใดกล้าหาญ เห็นดีประการใดก็เชิญเถิด จะปรึกษาหารือ อย่างไรก็ตามแต่ใจ ตัวของเรานั้นไม่ได้มีอำนาจยิ่งใหญ่ จิตใจก็ขี้ขลาด ไม่องอาจกล้าหาญ

ต่างทรงสำเเดง ความเเขงอำนาจ สามัคคีข​ าด เเก่งเเย่งโดยมาน ภูมิศลิจฉวี วัชชีรัฐบ​ าล บ่ ชุมนุมสมาน เเม้เเต่สักอง ถอดความได้ว่า  แต่ละพระองค์ต่างแสดงอาการเพิกเฉย ปราศจากความสามัคคีปรองดองในจิตใจ กษัตริย์ลิจฉวีแห่งวัชชีไม่เสด็จมาประชุมกันแม้แต่พระองค์เดียว อินทรวิเชียรฉ​ันท์ ๑๑ ปั่นเขตมครขัด ติยรัชธำรง ยั้งทัพประทับตรง นคเรศวิสาลี ภูธรธสังเกต พิเคราะห์เหคุณธานี แห่งราชวัชชี ขณะเติกประชิดแดน เฉยคูบรู้สึก และมินึกจะเกรงแกลน ถอดความได้ว่า ฤๅคิดจะตอบแทน รณทัพระงับภัย จอมกษัตริย์แห่งแคว้นมครหยุดทัพตรงหน้าเมืองเวสาลี พระองค์ทรงสังเกต ถอดความได้ว่า นิ่งเงียบสงบงำ ปรากฏประหนึ่งใน แน่โดยมิพักสง ท่านวัสสการจน ภินท์พัทธสามัค ชาวลิจฉวีวา บมิทำประการใด บุรว่างและร้างคน สยคงกระทบกล ฉุกระนี้อนัดตา คิยพรรดพระราชา รจะท้องอนัตถ์ภัย กลับอยู่อย่างสงบเงียบไม่ทำการสิ่งใด มองดูราวกับเป็นเมืองร้างปราศจากผู้คน แน่นอนไม่ต้องสงสัยเลยว่าคงจะถูกกลอุบายของวัสสการพราหมณ์จนเป็นเช่นนี้ ความสามัคดีผูกพันธ์​แห่งกษัตริย์ติจฉวีถูกทำลายลงและจะประสบกับภัยพิบัติ

ลูกข่างประดาทา รกกาลขว้างไป หมุนเล่นสนุกไฉน ดุจกันฉะนั้นหนอ ครูวัสสการเเส่ กลแหย่ยดีพอ ปั่นป่วนบเหลือหลอ จะมิร้าวมิรานกัน ครั้นทรงพระปรารภ ธุระจบยจึ่งบัญ ชานายนิกายสรร พทแกล้วทหารหาญ ถอดความได้ว่า ลูกข่างที่เด็กขว้างเล่นได้สนุกฉันใด วัสสการพราหมณ์ก็สามารถยุเทย์ให้เหล่ากษัตริย์ แตกความสามัดดีได้ตามใจชอบและคิดที่จะสนุกฉันนั้น ครั้นทรงคิดได้ดังนั้นจึงมีพระราช บัญชาแก่เหล่าทหารหาญ เร่งทำอุฬุมปิ์เว ฬุคะเนคะเกณฑ์การ เพื่อมนทีธาร จรเข้านครบร เขารับพระบัณฑูร อดิศูรบดีศร ภาโรปกรณ์ตอน ทิวรุ่งสฤษฎ์พลัน จอมนาถพระยาตรา พยุหาธิทัพขันธ์ โดยเเพเเละพ่วงปัน พลข้ามมณคงคา จนหมดพผลเนื่อง พิศเนืองขนัดกลา ขึ้นฝั่งลุเวสา ลิบุเรศสะดวกดาย ถอดความได้ว่า ให้รีบสร้างแพไม้ไผ่เพื่อข้ามแม่น้ำจะเข้าเมืองของฝ่ายตัดรู พวกทหารรับราชโองการ แล้วก็ปฏิบัติการกิจที่ได้รับ ในตอนเช้างานนั้นก็เสร็จทันที จอมกษัตริย์เคลื่อนกองทัพอันมี กำลังพลมากมายลงในแพที่ดิดกัน นำกำลังข้ามแม่น้ำจนกองทัพหมดสิ้น มองดูแน่นขนัด ขึ้น ฝั่งเมืองเวสาลีอย่างสะดวกสบาย

นาครธา นิวิสาลี เห็นริปุมี พลมากมาย ข้ามติรชล ก็ลุพ้นหมาย มุ่งจะทลาย พระนครตน ต่างก็ตระหนก มนิกเต้น ตื่นบมิเว้น ตะละผู้คน ทั่วบุรดา มจลาจล เสียงอลวน อลเวงไป ถอดความได้ว่า ฝ่ายเมืองเวลาลีมองเห็นข้าศึกจำนวนมากข้ามแม่น้ำมาเพื่อจะทำลายล้างบ้านเมือง ของตน ต่างก็ตระหนกตกใจกันถ้วนหน้า ในเมืองเกิดจลาจลวุ่นวายไปทั่วเมือง ถอดความได้ว่า สรรพสกล มุขมนตรี ตรอมมนภี รุกเภทภัย บางคณะอา ทรปราศรัย ยังมิกระไร ขณะนี้หนอ ควรบริวาล พระทวารมั่น ด้านปะทะกัน อริก่อนพอ ขัตติยรา ชสภารอ ดำริจะขอ วรโองการ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต่างหวาดกลัวภัย บางพวกก็พูดว่าขณะนี้ยังไม่เป็นไรหรอก จะป้องกันประตูเมืองเอาไว้ให้มั่นคง ด้านทานข้าศึกเอาไว้ก่อน รอให้ที่ประชุมเหถ่ากษัตริย์มี ความเห็นว่าจะทรงทำประการใด

ทรงตริไฉน ก็จะได้ทำ โดยนยดำ รัสภูบาล เสวกผอง ก็เคาะกลองขาน อาณัติปาน ดุจกลองพัง ศัพทอุโฆษ ประลุโสตท้าว ลิจฉวีด้าว ขณะทรงฟัง ต่างธก็เฉย เเละละเลยดัง ไท้มิอินัง ธุระกับใคร ถอดความได้ว่า ก็จะได้ดำเนินการตามพระบัญชาของพระองค์ เหล่าข้าราชการทั้งหลายก็ตีกลอง ธัญญาณขึ้นราวกับกอองจะพัง เสียงดังกึกก้องไปถึงพระกรรณกษัตริย์ติจถวี ต่างองค์ทรง เพิกเฉยราวกับไม่เอาใจใส่ในเรื่องราวของผู้ใด ต่างก็บคลา ณสภาคา เเม้พระทวาร บุรทั่วไป รอบทิศด้าน เเละทวารใด เห็นนรไหน สิจะปิดมีฯ ถอดความได้ว่า ต่างองค์ไม่เสด็จไปที่ประชุม แม้แต่ประดูเมืองรอบทิศทุกบานก็ไม่มีผู้ใดปิด

ลัททูลวิกกีพิตฉันท์ ๑๙ จอมทัพมาคธราษฎร์ธยาตรพยุหกรี นคร ธาสู่วิสาลี อะไร โดยทางอันพระทวารเปิดนรนิกร มคธ ฤๅรอต่อรอน เบื้องนั้นท่านคุรุวัสสการทิชก็ไป นำทัพชเนนทร์ไท ถอดความได้ว่า จอมทัพแห่งแคว้นมครกรีธาทัพเข้าเมืองเวลาลีทางประดูเมืองที่เปิดอยู่โดยไม่มีผู้คน หรือทหารต่อผู้ประการใด ขณะนั้นวัดสการพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ก็ไปนำทัพของ กษัตริย์แห่งมคธ เข้าปราบลิจฉวิขัตติย์รัฐชนบท และโดย สู่เงื้อมพระหัตถ์หมด พหลโรย ไป่พักต้องจะกะเกณฑ์นิกาย ประยุทธ์ แรงเปลืองระดมโปรย คฤหอุต ราบคาบเสร็จธเสด็จลุราช ณเดิม คมเขตบุเรศดุจ ถอดความได้ว่า เข้ามาปราบกษัดริย์ติจฉวี อาณาจักรทั้งหมดก็ตกอยู่ในพระหัดถ์ โดยที่กองทัพไม่ ต้องเปลืองแรงในการต่อผู้ ปราบราบคาบแล้วเสด็จยังราชคฤห์เมืองยิ่งใหญ่ดังเดิม

เรื่องต้นยุกติก็แต่จะต่อพจนเติม ประสงค์ ภาษิตลิขิตเสริม ตริดู ปรุงโสตเป็นคติสุนทราภรณจง จับข้อประโยชน์ตรง ถอดความได้ว่า เนื้อเรื่องแต่เดิมจบองเพียงนี้ แต่ประสงค์จะแต่งสุภาษิดเพิ่มเดิมให้ได้รับฟังเพื่อเป็น กติอันทรงกุณค่านำไปคิดไตร่ครอง อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ อันภูบดีรา ชอชาตศัตรู ได้ลิจฉวีภู วประเทศสะดวกดี แลสรรพบรรดา วรราชวัชชี ถึงซึ่งพิบัติบี ฑอนัตถ์พินาศหนา เหี้ยมนั้นเพราะผันแผก คณะแตกและต่างมา ถือทิฐิมานสา หสโทษพิโรธจอง ถอดความได้ว่า พระเจ้างชาดหัตรูได้แผ่นดินวัชชื่อย่างสะดวก และกษัตริย์ติจฉวีทั้งหลายก็ถึงซึ่ง ความพินาศอ่มจม หตุพราะความแตกแยกกัน ต่างก็มีความยึดมั่นในความคิดของตน ผูกโกรธ ซึ่งกันและกัน

แยกพรรคสมรรคภิน ทนสิ้นบปรองดอง ขาดญาณพิจารณ์ตรอง ตริมลักประจักษ์เจือ เชื่ออรรถยุบลเอา รสเล่าก็ง่ายเหลือ เหตุหากธมากเมือ คติโมหเป็นมูล ถอดความได้ว่า ต่างแยกพรรค แตกลามัดคีกัน ไม่ปรองดองกัน ขาดปัญญาที่จะพิจารณาไตร่ตรอง เชื่อถ้อยความของบรรดพระโอรสอย่างง่ยดาย เหตุที่เป็นเช่นนั้นพราะกษัตริย์แต่ละ พระองค์ทรงมากไปด้วยความหลง จึ่งดาลประการหา ยนภาวอาดูร เสียแดนไผทสูญ ยศศักดิเสื่อมนาม ควรชมนิยมจัด คุรุวัสสการพราหมณ์ เป็นเอกอุบายงาม กลงำกระทำมา ถอดความได้ว่า จึงทำให้ถึงซึ่งความฉิบหาย มีภาวะความเป็นอยู่อันทุกข์ระทม เสียทั้งแผ่นดิน เกียรติยศและชื่อเสียงที่เคยมีอยู่ ส่วนวัสลการพราพมณ์นั้นนำชื่นชมอย่างยิ่งพราะเป็น เลิศในการกระทำกลอุบาย

พุทธาทิบัณฑิต พิเคราะห์คิดพินิจปรา รภสรรเสริญสา ธุสมัครภาพผล ว่าอาจจะอวยผา สุกภาวมาดล ดีสู่ณหมู่ตน บนิราศนิรันดร หมู่ใดผิสามัค คยพรรคสโมสร ไป่ปราศนิราศรอน คุณไร้ไฉนดล ถอดความได้ว่า ผู้รู้ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้ใคร่ครวญพิจารณากล่าวสรรเสริญว่าชอบแล้ว ในเรื่องผลแห่งความพร้อมเพรียงกัน ความสามัดคีอาจอำนวยให้ถึงซึ่งสภาพแห่งความผาสุก ณ หมู่ของตนไม่เสื่อมคลายดลอดไป หากหมูใดมีความสามัคคีร่วมชุมนุมกัน ไม่ห่างเหินกัน สิ่งที่ไร้ประโยชน์จะมาสู่ได้อย่างไร ยั้งทิฐิมานหย่อน ทมผ่อนผจงจอง อารีมิมีหมอง มนเมื่อจะทำใด ลาภผลสกลบรร ลุก็ปันก็แบ่งไป ตามน้อยและมากใจ สุจริตนิยมธรรม์ พึงมรรยาทยึด สุประพฤติสงวนพรรค์ รื้อริษยาอัน อุปเฉทไมตรี ถอดความได้ว่า ต้องลดทิฐิมานะ รู้จักข่มใจ จะทำสิ่งใดก็เอื้อเฟื้อกันไม่มีความบาดหมางใจ ผลประโยชน์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็แบ่งปันกันไป มากบ้างน้อยบ้างอย่างเป็นธรรม ควรยึดมั่นใน มารยาทและความประพฤติที่ดีงาม รักษาหมู่คณะโดยไม่มีความริษยากันอันจะตัดรอนไมตรี

ดั่งนั้นณหมู่ใด ผิบไร้สมัครมี พร้อมเพรียงนิพัทธ์นี รวิวาทระแวงกัน หวังเทอญมิต้องสง สยคงประสบพลัน ซึ่งสุขเกษมสันต์ หิตะกอบทวิการ ใครเล่าจะสามารถ มนอาจระรานหาญ หักล้างบแหลกลาญ ก็เพราะพร้อมเพราะเพรียงกัน ถอดความได้ว่า ดังนั้นถ้หมู่คณะใดไม่ขาดซึ่งความสามักดี มีความพร้อมเพรียงกันอยู่เสมอ ไม่มีการ วิวาท และระแวงกัน ก็หวังได้โดยไม่ต้องสงสัยว่า คงจะพบซึ่งความสุข ความสงบ และ ประกอบด้วยประโยชน์มากมาย ใครเล่าจะมีใจกล้าคิดทำสงครามด้วย หวังจะทำลายล้างก็ไม่ ได้ทั้งนี้เพราะความพร้อมเพรียงกันนั่นเอง อย่าปรารถนาหวัง สุขทั้งเจริญอัน มวลมาอุบัติบรร ลุไฉนบได้มี ปวงทุกข์พิบัติสรร พภยันตรายกลี แม้ปราศนิยมปรี ติประสงค์ก็คงสม ควรชนประชุมเช่น คณะเป็นสมาคม สามัคคิปรารม ภนิพัทธรำพึง ไป่มีก็ให้มี ผิวมีก็คำนึง เนื่องเพื่อภิยโยจึง จะประสบสุขาลัยฯ ถอดความได้ว่า ก็อย่าได้หวังเลยความสุขความเจริญจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ความทุกข์พิบัติอันตรายและ ความชั่วร้ายทั้งปวง ถึงแม้จะไม่ต้องการก็จะต้องได้รับเป็นแน่แท้ผู้ที่อยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ หรือสมาคม ควรคำนึงถึงความสามัคคีอยู่เป็นนิจ ถ้ายังไม่มีก็ควรจะมีขึ้น ถ้ามีอยู่แล้วก็ควร ให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปจึงจะถึงซึ่งความสุขความสบาย

คุณค่าวรรคดีของสามัคคีเภทคำฉันท์ ด้านวรรณศิลป์ ๑.มีเสียงไพเราะอันเกิดจากการเล่นเสียงสัมผัสในทั้งเสียงสัมผัสพยัญชนะและเสียงสัมผัสสระ ตัวอย่างเช่น แตกร้าวก้าวร้ายก็ป้ายปาม สุวรบิดรลาม ทีละน้อยตาม ณ เหตุผล ฟั่นเฝือเชื่อนัยตนัยตน นฤวิเคราะหเสาะสน สืบจะหมองมล เพราะหมายใด ถอดคำประพันธ์ ความแตกแยกก็ค่อย ๆ ลุกลามไปสู่พระบิดา เนื่องจากความหลงเชื่อโอรสของตนปราศจากการ ใคร่ครวญเกิดความผิดพ้องหมองใจกันขึ้น ๒. มีการเล่นเสียงพยัญชนะ เช่น \"คะเนกล-คะนึงการ \" \"ระวังเหือด-ระแวงหาย\" ตัวอย่างเช่น ทิชงค์ชาติอลาดยล คะเนกลคะนึงการ กษัตริย์สิจฉวีวาร ระวังเหือดระแวงหาย ถอดคำประพันธ์ พราหมณ์ผู้ฉลาดคาดคะเนว่ากษัตริย์ลิจฉวีวางใจคลายความหวาดระแวง ๓. ใช้คำง่าย บรรยายและพรรณาตัวละครได้อย่างกระชับ แต่สร้างภาพชัดเจนอย่างยิ่ง เช่น ข่าวเศิกเอิกอึง ทราบถึงบัดดล ในหมู่ผู้คน ชาวเวสาลี แทบทุกถิ่นหมด ชนบทบูรี อกสั่นขวัญหนี หวาดกลัวทั่วไป ตื่นตาหน้าเผือด หมดเลือดสั่นกาย หลบลี้หนีตาย วุ่นหวั่นพรั่นใจ ซุกครอกซอกครัว ซ่อนตัวแตกภัย เข้าดงพงไพร ทิ้งย่านบ้านตน

๔.การเล่าเรื่อง กวีใช้คำง่ายๆทำให้เรื่องดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ผู้อ่านเข้าใจได้ทันที เช่น ราชาลิจฉวี ไป่มีสักองค์ อันนึกจำนง เพื่อจักเสด็จไป ต่างองค์ดำรัส เรียกนัดทำไม ใครเป็นใหญ่ใคร กล้าหาญเห็นดี เชิญเทอญท่านต้อง ขัดข้องข้อไหน ปรึกษาปราศรัย ตามเรื่องตามที ส่วนเราเล่าใช่ เป็นใหญ่ยังมี ใจอย่างผู้ภี รุกปราศอาจหาญ ต่างทรงสำแดง ความแขงอำนาจ สามัคคีขาด แก่งแย่งโดยมาน ภูมิศลิจฉวี วัชชีรัฐบาล บ่ชุมนุมสมาน แม้แต่สักองค์ฯ

ด้านสังคม ๑. เน้นโทษของการแตกความสามัคคีในหมู่คณะต้านจริยธรรม เน้นถึงหลักธรรม ปริหานิยธรรม ซึ่งเป็นธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม ๒. ด้านจริยธรรม เน้นถึงหลักธรรม อปริหานิยธรรม ซึ่งเป็นธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม ๓. เน้นถึงความสำคัญของการชัสติปัญญาตริตรอง และแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยไม่ต้อง ด้านการนำไปใช้ ๑. การขาดการพิจารณาไตร่ตรอง นำไปซึ่งควาทสูญเสีย ดังเช่น เหล่ากษัตริย์สิจฉวี\"ขาดการ พิจารณาไตร่ตรอง\" คือ ขาดความสามารถในการใช้ปัญญาตริตรองพิจารณาสอบสวน และใช้ เหตุผลที่ถูกต้อง จึงหลงกลของวัสสการพราหมณ์ ถูกยุแหยให้แตกความสามัคคีจนเสียบ้านเสีย เมือง เพราะฉะนั้นการใช้วิจารณญาณใตร่ตรองก่อนทำการใดๆ จึงเป็นสิ่งที่ดี ๒. การเลือกใช้บุคคลให้เหมาะสมกับงานจะทำให้งานสำเร็จได้ด้วยดี ๓. การถือความคิดของตนเป็นใหญ่และทะนงตนว่าดีกว่าผู้อื่น ย่อมทำให้เกิดความเสียหาย แก่ส่วนรวม ด้านเนื้อหา ความสามัคคี​เป็นข้อคิดหรือคติธรรมหลักที่ปรากฏ​ในเรื่องสามัคคีเ​ภทคำ​ฉันท์ ​โดยมุ่งเเสดง ให้เห็นโทษของการเเตกความสามัคคี​หรือ \"สามัคคี​เภท\" อันเนื่องมาจากการไม่ ยึดมั่นใน \"อปริหานิย​ ​ธรรม\" ของชาวเเคว้นวัชชี ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูส​ ามารถ​เข้ายึดเมืองได้อย่าง ง่ายดายอปริหานิยธรรมนี้ คือ ธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งเเห่งความเสื่อมหรือความหายนะ

บรรณานุกรม​ รวงรัตน์ วัฒเสาวลักษณ์. (๒๕๕๗). ประเภทคำฉันท์. สืบค้นเมื่อ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๖, จาก https://ruangrat.wordpress.com/ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล. (๒๕๖๔). ลักษณะคำประพันธ์. สืบค้นเมื่อ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๖, จาก https://nidkawkong.wordpress.com/ วาไรตี๋. (๒๕๖๒). ความเป็นมาคำประพันธ์. สืบค้นเมื่อ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๖, จาก https://vajirayana.org/ ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ. (๒๕๕๘). ถอดคำประพันธ์ประเภทฉันท์. สืบค้นเมื่อ ๑๒ มิถุนายนพ.ศ.๒๕๖๖, จาก https://vajirayana.org/ charkriyapukkasae. (๒๕๖๔). ถอดคำประพันธ์ประเภทฉันท์. สืบค้นเมื่อ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๖, จาก https://pubhtml5.com/eaxo/frzv/basic


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook