Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รูปเล่ม-is-final-จริงๆ

รูปเล่ม-is-final-จริงๆ

Published by sasikanpacam6, 2021-10-05 09:27:09

Description: รูปเล่ม-is-final-จริงๆ

Search

Read the Text Version

โครงงานวิทยาศาสตร์ เรือ่ ง อิทธิพลของปริมาณน้าหมกั ชีวภาพจากเปลือกมังคุด เงาะ และส้มโอต่อ การเจริญเติบโตของผกั บุ้งจีน โดย 1. นาย ธนวัฒน์ ศริ ิรัตน์ เลขที่ 7 เลขท่ี 10 2. นาย วิภพ เพช็ รพ์ ิพฒั น์ เลขที่ 13 เลขท่ี 21 3. นางสาว จดิ าภา หล่อวฒั นา เลขท่ี 25 เลขที่ 27 4. นางสาว พาขวญั หนา้ นวล 5. นางสาว ศศิกานต์ ปาคา 6. นางสาว สชุ าวดี วังสาร ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 เสนอ คณุ ครู ดารง คนั ธะเรศย์ รายงานน้ีเปน็ ส่วนหนึ่งของรายวชิ า I30201 การศึกษาคน้ ควา้ และสร้างองคค์ วามรู้ โรงเรยี นปัว ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564



โครงงานวิทยาศาสตร์ เรือ่ ง อิทธิพลของปริมาณน้าหมกั ชีวภาพจากเปลือกมังคุด เงาะ และส้มโอต่อ การเจริญเติบโตของผักบุ้งจนี โดย 1. นาย ธนวฒั น์ ศริ ิรัตน์ เลขท่ี 7 2. นาย วภิ พ เพช็ รพ์ พิ ฒั น์ เลขท่ี 10 3. นางสาว จดิ าภา หล่อวฒั นา เลขที่ 13 4. นางสาว พาขวญั หนา้ นวล เลขที่ 21 5. นางสาว ศศิกานต์ ปาคา เลขท่ี 25 6. นางสาว สชุ าวดี วังสาร เลขท่ี 27 ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 เสนอ คณุ ครู ดารง คนั ธะเรศย์ รายงานน้ีเปน็ ส่วนหน่ึงของรายวชิ า I30201 การศึกษาคน้ ควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ โรงเรยี นปัว ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

ก กติ ติกรรมประกาศ ในการทาโครงงาน อิทธพิ ลของปริมาณน้าหมักชวี ภาพจากเปลอื กมังคดุ เงาะ และสม้ โอต่อ การเจรญิ เตบิ โตของผักบงุ้ จีน สาเร็จลลุ ว่ งด้วยความชว่ ยเหลอื อย่างดจี าก คุณครูดารง คันธะเรศย์ ที่คอยให้ คาปรึกษา เกีย่ วกบั โครงงานซ่ึงเปน็ ครูผสู้ อนจากกลมุ่ สาระวทิ ยาศาสตร์ และให้คาปรึกษาแนะนาเป็นอยา่ งดี และยังคอยชว่ ยเหลอื เร่ืองอุปกรณต์ ่างๆ ขอขอบคุณผ้ปู กครองที่คอยใหก้ าลงั ใจและให้คาแนะนาในการทาโครงงาน ขอบคุณเพ่ือนในกลุม่ ทใ่ี ห้ ความชว่ ยเหลอื ตลอดจนคาแนะนาทเี่ ปน็ ประโยชน์ในการทาโครงงาน คณะผ้จู ัดทาโครงงาน ขอขอบพระคุณทุกทา่ นเปน็ อย่างสงู ที่ให้การสนบั สนนุ เอื้อเฟ้ือและใหค้ วาม อนุเคราะห์ช่วยเหลือ จนกระทั่งโครงงานสาเรจ็ ลลุ ว่ งได้ดว้ ยดี คณะผู้จดั ทา

ข ชอ่ื โครงงาน อิทธพิ ลของปริมาณนา้ หมักชีวภาพจากเปลือกมงั คดุ เงาะ และสม้ โอต่อการเจรญิ เติบโตของ ผกั บุง้ จีน ผู้จัดทา นายธนวัฒน์ ศริ ิรตั น์ นายวภิ พ เพ็ชร์พิพฒั น์ นางสาวจิดาภา หล่อวฒั นา นางสาวพาขวัญ หนา้ นวล นางสาวศศกิ านต์ ปาคา และ นางสาวสุชาวดี วังสาร คุณครทู ่ีปรึกษา คุณครู ดารง คนั ธะเรศย์ โรงเรียน ปัว ทอ่ี ยู่ เลขที่ 266 หมู่ท่ี 8 ตาบลปวั อาเภอปวั จงั หวัดน่าน 55120 ประเภท โครงงานวิทยาศาสตร์ บทคัดย่อ โครงงานวทิ ยาศาสตร์เร่ืองอิทธิพลของปริมาณนา้ หมกั ชีวภาพจากเปลือกมังคุด เงาะ และสม้ โอตอ่ การ เจริญเตบิ โตของผักบุง้ จนี เกิดจากการเลง็ เห็นปญั หาการใช้ปยุ๋ เคมีนน้ั ทาใหเ้ กดิ ผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและ ทาให้ดนิ ไม่เหมาะสมแกก่ ารปลูกพืช จึงคดิ ทาน้าหมักชวี ภาพขน้ึ มา โดยใชเ้ ปลือกผลไม้ท่ีเหลอื จากการ รบั ประทานมาหมกั ในปริมาณต่างๆในท่ีน้ี คือ เปลือกมงั คุด เปลอื กเงาะ เปลอื กส้มโอ เพราะเปลือกผลไม้ทงั้ สามอย่างนี้มสี ารท่ีสามารถกาจัดพวกเชอ้ื รา แบคทเี รยี ที่เป็นสาเหตขุ องการเกิดโรคในพชื และยังช่วยเรง่ ใหร้ าก งอกเรว็ จากนน้ั นาไปให้กบั ต้นผักบุ้งจนี เพราะตน้ ผกั บงุ้ จีนมรี ะยะเวลาในการเจริญเติบโตประมาณ 1 เดอื น อีกทั้งยังสงั เกตได้ง่ายอีกดว้ ย จงึ เหมาะแก่การนาไปศึกษา มีวตั ถุประสงคค์ ือ 1.เพื่อผลติ น้าหมักชวี ภาพจาก เปลือกผลไม้ ได้แก่ เปลือกมงั คดุ เปลือกเงาะ และเปลอื กส้มโอ 2.เพ่ือศกึ ษาปรมิ าณนา้ หมกั ชวี ภาพท่เี หมาะสม ต่อการใชใ้ นการเกษตร 3.เพ่ือลดปรมิ าณขยะมลู ฝอยในครวั เรอื น วัสดอุ ปุ กรณ์ท่ีใชใ้ นการทดลองคอื 1.เศษเปลือกผลไม้ไดแ้ ก่ เปลือกมังคุด เปลือกเงาะ และเปลือกส้ม โอ 2.ถงั ทบึ แสง 3.กากนา้ ตาล 4.เมล็ดผกั บ้งุ จีน 5.กระถางขนาด 3 นิ้ว 6.ขวดพลาสติกขนาด 1.5 ลติ ร 7.ดนิ 8. น้าประปา 9.กระบอกฉีดน้า และ 10.บัวรดนา้ สรุปผลการดาเนนิ การท่ีไดท้ าน้าหมักชีวภาพจากเปลือกมังคุด เงาะ และส้มโอ เป็นผลดีต่อบุคคลท่ีนาไปศึกษาและเปน็ ประโยชน์ต่อผผู้ ลติ ข้ึนอีกดว้ ย

ค คา้ นา้ โครงงานเรอื่ ง อิทธิพลของปริมาณน้าหมักชีวภาพจากเปลือกมงั คุด เงาะ และส้มโอต่อการเจริญเติบโต ของผกั บุ้งจนี ฉบบั น้เี ป็นสว่ นหนง่ึ ของรายวชิ า I30201 การศึกษาค้นคว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้ ในระดบั ช้ัน มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 โดยมจี ุดประสงค์ เพื่อผลิตนา้ หมักชีวภาพจากเปลือกผลไม้ ไดแ้ ก่ เปลือกมังคดุ เปลือกเงาะ เปลือกส้มโอ เพอื่ ศกึ ษาปริมาณนา้ หมักชีวภาพที่เหมาะสมตอ่ การใช้ในการเกษตร และเพ่อื ลดลดปริมาณขยะ มลู ฝอยในครวั เรือน คณะผจู้ ัดทาไดเ้ ลือกหวั ข้อนี้ในการทาโครงงาน เนอื่ งจากเปน็ เรื่องท่ีนา่ สนใจ เปน็ เรื่องใกลต้ วั มี ประโยชนต์ ่อสงิ่ แวดล้อมและการเกษตร คณะผจู้ ดั ทาต้องขอขอบพระคุณ คณุ ครูดารงค์ คนั ทะเรศย์ ผ้ใู ห้ ความรู้ และแนวทางการศึกษา คณะผู้จดั ทาหวงั ว่าโครงงานฉบับนจี้ ะให้ความรแู้ ละเป็นประโยชนแ์ ก่ผอู้ า่ นทกุ ๆ ทา่ น หากมีขอ้ เสนอแนะประการใด คณะผู้จัดทาขอนอ้ มรับด้วยความขอบพระคุณย่ิง คณะผจู้ ดั ทา

สารบัญ ง เร่ือง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข คานา ค สารบัญ ง สารบัญตาราง ฉ สารบญั ภาพ ช บทท่ี 1 บทนา 1 1 1.1 ท่มี าและความสาคัญ 1 1.2 วตั ถปุ ระสงค์ 1 1.3 สมมตฐิ าน 2 1.4 ขอบเขตของการศึกษา 2 1.5 ประโยชนท์ ค่ี าดว่าจะได้รับ 3 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วข้อง 3 2.1 สารที่อยใู่ นเปลือกผลไม้ 4 2.2 ประเภทของน้าหมักชวี ภาพ 7 2.3 การทาน้าหมักชวี ภาพ 8 2.4 ชนิดของผักบุ้ง 10 2.5 การเติบโตของผักบงุ้ จนี 12 2.6 วธิ ีการทดสอบประสิทธิภาพของนา้ หมัก 14 2.7 งานวจิ ยั

เรื่อง จ บทที่ 3 วธิ กี ารดาเนินงาน หน้า 3.1 วสั ดอุ ุปกรณ์ 3.2 วิธกี ารดาเนินงาน 17 3.3 วธิ ีการทดลอง 17 17 บทท่ี 4 ผลการดาเนนิ งาน 18 บทที่ 5 อภิปรายและสรปุ ผลการทดลอง 20 บรรณานกุ รม 22 ภาคผนวก 23 25

สารบญั ตาราง ฉ ตารางท่ี หน้า ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 20 4.1 ชุดการทดลองที่ 1 20 4.2 ชุดการทดลองที่ 2 20 4.3 ชดุ การทดลองท่ี 3 21 4.4 ชุดการทดลองท่ี 4 21

ช สารบญั รปู ภาพ ภาพท่ี หน้า 1 เมลด็ ผกั บุ้งจีน ตราเจียไต๋ 26 2 กระบอกพ่นนา้ และน้าหมักชีวภาพ 26 3 กระถางทดลอง 4 ชดุ 27 4 แช่เมล็ดเตรยี มปลกู 27 5 รดนา้ ดนิ ที่เตรยี มไว้ 28 6 ขดุ หลมุ ตน้ื เพ่ือหยอดเมลด็ 28 7 ใสเ่ มล็ดลงในหลมุ ท่ีขุดไว้ 29 8 กระถางทมี่ ี 5 เมลด็ 29 9 หวั เชือ้ น้าหมัก 100 mL 30 10 หัวเชอื้ น้าหมัก 200 mL 30 11 หวั เชอ้ื น้าหมกั 300 mL 31 12 การกรอกน้าหมักแต่ละสตู รลงขวด 31 13 ขวดน้าหมักทั้ง 3 สูตร 32 14 การเกบ็ ผลครง้ั สุดท้ายของชดุ การทดลองท่ี 1 32 15 การเก็บผลครั้งสดุ ท้ายของชุดการทดลองท่ี 2 33 16 การเก็บผลครั้งสุดทา้ ยของชุดการทดลองที่ 3 33 17 การเก็บผลครัง้ สุดทา้ ยของชดุ การทดลองที่ 4 34

บทที่ 1 บทน้า 1. ทีม่ าและความส้าคัญ เน่ืองจากในปัจจุบนั ในทางเกษตรกรรม ชาวไร่ชาวสวนมกั นิยมใชป้ ุย๋ เคมี เพื่อทาให้ตน้ ไม้เจริญเติบเร็ว และไดผ้ ลผลติ ดีในระยะเวลาไม่นาน เปน็ เพราะว่าในป๋ยุ เคมีน้ันมปี ริมาณธาตุอาหารสงู ทาใหพ้ ืชน้ัน สามารถเจรญิ เตบิ โตได้อย่างรวดเรว็ ใช้ในปรมิ าณนอ้ ย อีกท้ังยงั หาซื้อง่าย ใชส้ ะดวก แต่ในทางกลับกัน หากใช้ปยุ๋ เคมีบ่อยๆในปริมาณท่ีมากขนึ้ เรื่อยๆ ก็จะทาให้เกิดผลเสียต่อดนิ ทาให้ดนิ มสี ารเคมีตกค้าง ความเป็นกรดของดนิ ก็จะเพิ่มมากขึน้ ด้วย กล่มุ ของข้าพเจา้ จึงเลง็ เห็นปัญหาดงั กลา่ ววา่ การใชป้ ๋ยุ เคมีนน้ั ทาให้เกดิ ผลกระทบต่อสภาพแวดลอ้ ม และทาใหด้ ินไม่เหมาะสมแก่การปลูกพชื จึงคดิ ทาน้าหมักชีวภาพขนึ้ มา โดยใช้เปลือกผลไมท้ เี่ หลอื จากการ รับประทานมาหมักในปรมิ าณตา่ งๆในทีน่ ี้ คือ เปลอื กมังคดุ เปลอื กเงาะ เปลอื กส้มโอ เพราะเปลอื กผลไม้ ทง้ั สามอย่างนี้มีสารทส่ี ามารถกาจดั พวกเชื้อรา แบคทเี รีย ที่เปน็ สาเหตขุ องการเกิดโรคในพชื และยงั ช่วย เรง่ ให้รากงอกเรว็ จากน้ันนาไปให้กับต้นผักบุ้งจนี เพราะตน้ ผักบุ้งจนี มีระยะเวลาในการเจริญเติบโต ประมาณ 1 เดือน อีกทั้งยงั สงั เกตได้ง่ายอีกด้วย จงึ เหมาะแก่การนาไปศึกษา ดงั นนั้ กลุ่มของข้าพเจ้าจึงทา การการศึกษาปรมิ าณของน้าหมักชวี ภาพท่มี ีอิทธพิ ลต่อการเจริญเตบิ โตของผักบงุ้ จนี 2. วตั ถปุ ระสงค์ 1.เพ่อื ผลติ น้าหมักชวี ภาพจากเปลือกผลไม้ ได้แก่ เปลอื กมังคดุ เปลือกเงาะ และเปลือกส้มโอ 2.เพอ่ื ศกึ ษาปรมิ าณน้าหมกั ชีวภาพทเ่ี หมาะสมตอ่ การใช้ในการเกษตร 3.เพือ่ ลดปริมาณขยะมลู ฝอยในครัวเรือน 3. สมมติฐาน เมือ่ ปรมิ าณของน้าหมักชวี ภาพมมี ากขนึ้ จะส่งผลใหผ้ กั บุ้งจีนเจริญเตบิ โตไดด้ ี

2 4. ขอบเขตของการศกึ ษา 4.1 การกา้ หนดกลุ่มผู้ทดลอง กล่มุ ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่างท่ีศกึ ษา กลมุ่ ตวั อยา่ งทดลอง กลุ่มผจู้ ดั ทา กลมุ่ ตัวอยา่ งทีศ่ กึ ษา - กลุม่ ประชากร - ตวั แปรที่ศกึ ษา 1.ตวั แปรอสิ ระ ไดแ้ ก่ ปรมิ าณนา้ หมกั ชวี ภาพ 2.ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ การเจริญเติบโตของผักบุง้ จนี 3.ตวั แปรควบคุม ได้แก่ ปริมาณแสง อุณหภมู ิ ชนิดของดิน สายพนั ธุ์ของผักบุ้ง ชนิดของ เปลือกผลไม้ท่ีนามาหมกั 5. แผนกา้ หนดเวลาปฏิบตั งิ าน กจิ กรรม ระยะเวลา สบื คน้ ขอ้ มลู และหาหัวข้อทส่ี นใจ 12 กรกฎาคม 2564 ทาเคา้ โครงของโครงงาน 12 – 20 กรกฎาคม 2564 ดาเนนิ การทาโครงงาน 21 – 25 สิงหาคม 2564 วิเคราะห์ผลและตรวจสอบแก้ไขโครงงาน 26 สงิ หาคม 2564 สรุปผลโครงงาน 27 สิงหาคม 2564 จดั ทาเปน็ รายงานพรอ้ มนาเสนอผลงาน 28 สิงหาคม 2564 – 5 ตลุ าคม 2564 6. ประโยชน์ท่คี าดว่าจะได้รับ 1. ไดน้ า้ หมกั ชีวภาพท่ีมีคณุ ภาพสามารถนาไปใช้แก่เกษตรกรได้จริง 2. สามารถคานวณหาปริมาณของนา้ หมักชวี ภาพท่เี หมาะสมตอ่ การเจริญเตบิ โตของต้นผักบ้งุ 3. เปน็ ประโยชน์ต่อเกษตรกรท่ีมคี วามสนใจในการใชน้ ้าหมักชีวภาพในการเพาะปลกู แทน การใช้สารเคมี 4. สามารถลดปรมิ าณขยะมลู ฝอยในครัวเรือน

บท2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง 2.1 สารที่อยใู่ นเปลือกผลไม้ 2.1.1สารทอ่ี ยู่ในเปลือกมังคุด ปจั จุบัน มงี านวจิ ัยทางวิทยาศาสตรจ์ ากสารสกัดจากเปลอื กมงั คดุ พบแทนนิน (Tannin) และแซน โทน (Xanthones) ในปรมิ าณสงู ซ่ึงมีสรรพคุณทางการรักษาและยบั ย้งั เชอ้ื จุลินทรีย์ โดยทสี่ ารแทนนนิ มีฤทธิ์ สมานแผลช่วยใหแ้ ผลหายได้เรว็ ยง่ิ ขึ้น และสารแซนโทน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอสิ ระ ตา้ นการอักเสบจากการตดิ เชื้อ รกั ษาเซลลม์ ะเร็ง และฆ่าเชอ้ื กอ่ โรคทางเดินระบบหายใจร้ายแรงไดน้ อกจากสรรพคณุ ทางการแพทยแ์ ล้ว ใน วงการเคร่อื งสาอางและผลติ ภัณฑ์ทาความสะอาด ยังให้ความสนใจนาเอาสารสกัดจากเปลือกมงั คุดไปเปน็ ส่วนผสมในผลติ ภัณฑต์ า่ ง ๆ ในการเป็นตวั ช่วยดับกลนิ่ ตัว และบรรเทาอาการของโรคผวิ หนงั รักษาสวิ ฝ้า ซ่ึงก็ ให้ผลดแี ละเปน็ ท่ีนยิ มของผูบ้ ริโภคในปัจจุบัน (ภทั ราพร แสนเทพ , 2561.) 2.1.2สารทีอ่ ยู่ในเปลือกสม้ โอ สารสาคญั ท่ีพบในเปลอื กส้มโอ (ทงั้ สว่ นท่เี ขยี วและสีขาว) สว่ นใหญจ่ ะเปน็ สารกล่มุ ของนา้ มันหอม ระเหย และสารกลุ่ม flavonoids เช่น naringenin, hesperetin, hesperidin, apigenin, poncirin และ eriocitin และยังพบสาร acridone, acronycine, anthranilate, bergamottin, camphor, citral, limonene, limonin, linalool, myricetin, nerol, nomilin, pinene, quercetin, rutin, scopoletin, umbelliferone และยังพบสารขมในเปลือกช่ือ naringin และจากการวิเคราะห์องคป์ ระกอบทางเคมีของ นา้ มนั หอมระเหยจากเปลือกส้มโอทสี่ กัดได้จากวธิ ี TLC และ GC-MS พบว่ามี limonene เป็นองคป์ ระกอบ หลัก และสารกลุม่ monoterpene อื่นๆ ปริมาณเล็กน้อยไดแ้ ก่ alpha-pinene, sabinene, beta-pinene, beta-myrcene, alpha-phellandrene, trans-carveol, cis-carveol และ carvone (ไม่ปรากฏ, 2560.)

4 2.1.3สารทอี่ ย่ใู นเปลือกเงาะ เงาะเป็นผลไมเ้ มืองรอ้ น อยใู่ นวงศเ์ ดยี วกับล้นิ จ่ี เปลอื กผลปกคลมุ ด้วยขน ผลอ่อนมเี ปลือกและขนสี เขียว มีสารแทนนนิ สูงมีฤทธิฝ์ าดสมาน ชว่ ยต้านเชื้อแบคทเี รีย คนไทยเมื่อก่อนจะนามาใชเ้ ปน็ ยาแก้อักเสบ และขบั พยาธิ ปจั จบุ ันมีการศึกษาเรื่องสารตา้ นอนุมูลอิสระจากเปลอื กเงาะ เบ้ืองต้นพบวา่ มีสารสาคญั ท่มี ี สรรพคณุ ในการตา้ นอนมุ ลู อิสระ และมีพษิ ต่อเซลลใ์ นร่างกายน้อยเมื่อเทียบกบั เปลอื กผลไม้ชนดิ อน่ื ๆ สามารถนามาสกัดเพื่อใชใ้ นอุตสาหกรรมเครื่องสาอางได้ (เดลนิ ิวส์, 2559.) เปลือกเงาะซึ่งดเู หมือนไร้ค่า แทจ้ ริงแล้วเป็นสว่ นทม่ี ีสารแทนนนิ สงู สารนี้มีฤทธิ์ฝาดสมาน ช่วยตา้ นเชือ้ แบคทีเรยี คนโบราณจึงนามาใชเ้ ปน็ ยาแก้อกั เสบและขับพยาธิ ปัจจบุ ันยังมกี ารศึกษาเร่ืองสารตา้ นอนุมูลอสิ ระ จากสมนุ ไพรไทย ของคณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ เพอื่ ทดสอบความเป็นไปได้ในการสกดั สาร อนมุ ลู อิสระจากเปลือกผลไม้ ผลการศกึ ษาในเบ้ืองต้นพบวา่ เปลอื กเงาะมีสารสาคัญ ซง่ึ มีสรรพคุณในการต้าน อนมุ ูลอิสระ และมพี ิษต่อเซลล์ในร่างกายน้อยมากเมื่อเทยี บกับเปลอื กผลไมช้ นดิ อนื่ ๆ จงึ ต้องมีการพัฒนา กระบวนกานสกดั ต่อไปให้ได้สารทบ่ี รสิ ุทธ์มิ ากข้นึ เพื่อทดแทนสารนาเขา้ สาหรับป้อนอุตสาหกรรม เคร่อื งสาอางภายในประเทศ เป็นการกาจัดขยะท่ดี ูเหมือนไม่มีคา่ ให้เกดิ ประโยชนม์ หาศาลอย่างไมน่ ่าเชอื่ (Prayoddotcom, 2556.) 2.2 ประเภทของน้าหมักชีวภาพ puechkaset (2560) กลา่ ววา่ น้าหมักชวี ภาพแบง่ ตามประเภทวตั ถุดิบที่ใชห้ มัก 3 ประเภท คอื 1. นา้ หมกั ชวี ภาพจากพืช แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1.1)ชนดิ ทีใ่ ชผ้ ัก และเศษพืช เป็นน้าหมักท่ีได้จากเศษพืช เศษผักจากแปลงเกษตรหลงั การเกบ็ และคัดแยก ผลผลิต นา้ หมักที่ได้มลี ักษณะเปน็ นา้ ข้นสีน้าตาล มีกลิ่นหอม ประกอบด้วยคารโ์ บไฮเดรต โปรตีน กรดอะมโิ น กรดแลคติค และฮอรโ์ มนเอนไซม์ 1.2) ชนิดทใี่ ชข้ ยะเปียก เป็นน้าหมักที่ไดจ้ ากขยะในครวั เรือน เชน่ เศษอาหาร เศษผักผลไม้ น้าหมักทไี่ ด้มี ลักษณะขน้ สีนา้ ตาลจางกวา่ ชนดิ แรก และมีกล่นิ หอมน้อยกวา่ บางครงั้ อาจมกี ลิ่นเหมน็ บ้างเลก็ นอ้ ย ต้องใช้ กากน้าตาลเป็นส่วนผสม 2. น้าหมกั ชวี ภาพจากสตั ว์ เปน็ น้าหมกั ท่ีได้จากเศษเน้ือต่างๆ เช่น เนอื้ ปลา เน้ือหอย เป็นตน้ นา้ หมักที่ได้จะมี สีน้าตาลเขม้ มกั มกี ลนิ่ เหมน็ มากกว่าน้าหมักท่ีไดจ้ ากวตั ถุหมักอืน่ ต้องใช้กากน้าตาลเป็นส่วนผสม

5 3. น้าหมักชีวภาพผสม เป็นนา้ หมกั ท่ีได้จาการหมักพชื และเน้อื สัตว์รวมกัน สว่ นมากมักเป็นแหลง่ ท่ไี ดจ้ ากเศษ อาหารในครวั เรือนเปน็ หลกั JOMM YB (2561) กล่าวว่าน้าหมักชวี ภาพ คือปุย๋ อนิ ทรียอ์ ีกประเภทที่ได้รับความนยิ มใหมู่คนปลูก มากกันมาก เหมาะสาหรับให้ปุ๋ยทางใบและทางดนิ แบ่งตามประเภทวัตถุดิบท่ีใชห้ มัก 2 ประเภท คอื 1. นา้ หมกั ชวี ภาพ จากพืช แบง่ ยอ่ ยไดอ้ ีก 2 คือชนดิ ที่ใช้ผักและเศษพืช เปน็ นา้ หมกั ที่ได้จากเศษพืช เศษผัก จากแปลงเกษตรหลังการเก็บ เปน็ น้าขน้ สีน้าตาล มีกลน่ิ หอม และชนิดทใี่ ช้ขยะเปียก เป็นน้าหมกั ท่ีไดจ้ าก ขยะในครัวเรอื น เชน่ เศษอาหาร เศษผกั ผลไม้ นา้ หมกั ที่ได้มีลักษณะขน้ สีนา้ ตาลจางกว่าชนิดแรก และมีกลิน่ หอมนอ้ ยกวา่ 2.นา้ หมกั ชวี ภาพ จากสตั ว์ เปน็ นา้ หมกั ที่ได้จากเศษเนื้อตา่ งๆมักมีกล่นิ เหม็นมากกว่านา้ หมกั ผกั และตอ้ งใช้ กากน้าตาลเป็นสว่ นผสม ส่วนใหญแ่ ล้วมักใช้เติมในดิน ช่วยปรับสภาพโครงสรา้ งของดิน ทาใหด้ นิ ร่วนซุย อ้มุ น้าได้ดี และชว่ ยเพิ่มจานวนจุลินทรยี ์ในดิน และนา้ สาทสิ อิม่ ตระกูล(2563) กลา่ วว่าน้าหมกั ชวี ภาพมี 2 ประเภท คอื 1. น้าหมัก ชวี ภาพจากพชื ทาโดยการนาเศษพืชสด ตน้ พชื และใบสดทีป่ ลูกเอาไว้ หรือข้ึนเองตามธรรมชาติ เมื่อไถกลบหรือทิง้ ไวใ้ ห้เน่าเปื่อยผุพงั หมดแลว้ จะใหธ้ าตุอาหารพชื และเพิ่มปรมิ าณอนิ ทรยี ว์ ตั ถไุ ปในดนิ มา ผสมกบั นา้ ตาลทรายแดงหรอื กากน้าตาล 2. น้าหมักชีวภาพจากสตั ว์ มีขัน้ ตอนทาคล้ายกับน้าหมักจากพชื แตกต่างกนั ตรงวัตถุดบิ จากสัตว์ เชน่ หัวปลา กา้ งปลา หอยเชอรี่ เปน็ ต้น อมรรตั น์ ชุมทอง และ คริษฐส์ พล หนพู รหม(2559) กล่าววา่ ชนิดของนา้ หมักชีวภาพ สามารถแบง่ ตาม ประเภทของวตั ถดุ ิบทน่ี ามาใช้ในกระบวนการผลิตไดเ้ ป็น 2 ประเภทคือ 1. น้าหมักชีวภาพท่ีผลิตจากพืช สามารถจาแนกออกได้เป็น 2 ชนดิ คือ 1.1) ชนดิ ที่ใชผ้ กั และเศษพชื เป็นน้าหมกั ที่ไดจ้ ากเศษพชื เศษผกั จากแปลงเกษตรหลังการ เก็บ และคดั แยก ผลผลติ น้าหมักที่ได้มีลักษณะเป็นนา้ ข้นสนี า้ ตาล มกี ลนิ่ หอม ประกอบดว้ ยคารโ์ บไฮเดรต โปรตีน กรดอะมโิ น กรดแลคติค และฮอร์โมนเอนไซม

6 1.2) ชนดิ ทใ่ี ช้ขยะเปียก เปน็ น้าหมกั ท่ีไดจ้ ากขยะในครวั เรือน เชน่ เศษอาหาร เศษผักผลไม้ น้าหมกั ที่ได้มี ลกั ษณะขน้ สีนา้ ตาลจางกวา่ ชนดิ แรก และมีกลิน่ หอมนอ้ ยกวา่ บางครั้งอาจมกี ล่นิ เหม็นบ้าง เลก็ นอ้ ย ต้องใช้ กากน้าตาลเป็น สว่ นผสม 2. นา้ หมกั ชีวภาพที่ผลติ จากสัตว์ เชน่ นา้ หมักชวี ภาพท่ีได้จากการหมักปลาเป็นการย่อยสลายเศษเหลอื ใช้จาก ปลา เชน่ หวั ปลา ก้างปลา หางปลา เลือด กระเพาะปลาโดยการใช้เอนไซม์ในกระบวนการหมักซ่ึงเกิดขน้ึ เอง ตามธรรมชาติ หลงั ผ่านกระบวนการหมกั จะได้สารละลายสีน้าตาลเข้ม ประกอบดว้ ยธาตอุ าหารหลกั ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซยี ม และแมกนเี ซียม ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม ได้แก่ กามะถนั เหล็ก ทองแดง แมงกานสี และสารอนิ ทรยี ์อน่ื ดงั นัน้ ประเภทของนา้ หมักชีวภาพแบ่างออกเปน็ 2 ประเภทได้แก่ 1. น้าหมกั ชีวภาพท่ผี ลติ จากพชื คือการนาเศษพชื สด ตน้ พืช และใบสดท่ีปลูกเอาไว้มาหมักรวมกนั ่ซึ่งสามารถ จาแนกออกได้เปน็ 2 ชนดิ คอื 1.1) ชนดิ ทใี่ ชผ้ ัก และเศษพชื จะไดเ้ ป็นนา้ หมักท่ีหมักจากเศษพืช เศษผกั จากแปลงเกษตรหลังการ เกบ็ และ คัดแยกผลผลิต น้าหมักทไี่ ด้มีลักษณะเป็นนา้ ข้นสีนา้ ตาล มีกลิ่นหอม ประกอบดว้ ยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน กรดอะมโิ น กรดแลคติค และฮอรโ์ มนเอนไซม์ 1.2) ชนิดที่ใช้ขยะเปียก เป็นน้าหมักที่ไดจ้ ากขยะในครวั เรือน เช่น เศษอาหาร เศษผักผลไม้ นา้ หมกั ท่ไี ด้มี ลกั ษณะข้นสนี ้าตาลจางกว่าชนิดแรก และมีกล่ินหอมนอ้ ยกวา่ บางคร้งั อาจมกี ลนิ่ เหม็นบ้าง เลก็ น้อย ให้ใส่ กากน้าตาลลงไปเพ่ือลดกลน่ิ 2. นา้ หมักชีวภาพท่ผี ลิตจากสัตว์ เชน่ นา้ หมกั ชีวภาพทีไ่ ดจ้ ากการหมักปลาเปน็ การยอ่ ยสลายเศษเหลอื ใชจ้ าก ปลา เช่น หวั ปลา กา้ งปลา หางปลา เลือด กระเพาะปลาโดยการใช้เอนไซม์ในกระบวนการหมักซงึ่ เกิดขน้ึ เอง ตามธรรมชาติ หลงั ผา่ นกระบวนการหมักจะไดส้ ารละลายสีนา้ ตาลเข้ม ประกอบดว้ ยธาตุอาหารหลัก ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซยี ม และแมกนเี ซียม ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสรมิ ไดแ้ ก่ กามะถัน เหลก็ ทองแดง แมงกานีส และสารอนิ ทรยี ์อน่ื มักมีกลิน่ เหมน็ มากกว่าชีวภาพท่ีผลติ จากพืชและต้อง ใช้กากนา้ ตาลเปน็ สว่ นผสม ส่วนใหญแ่ ลว้ มักใช้เติมในดิน ช่วยปรบั สภาพโครงสร้างของดิน ทาใหด้ นิ รว่ นซยุ อมุ้ น้าไดด้ ี และชว่ ยเพิ่มจานวนจุลินทรีย์ในดิน และนา้

7 2.3 การทา้ น้าหมักชีวภาพ นติ ยา โนคา (2560: ออนไลน)์ นา้ หมักชวี ภาพ สูตรไข่ไก่ มีส่วนประกอบและวธิ กี ารดงั น้ี สว่ นประกอบ 1. ไขไ่ ก่ 5 กิโลกรมั 2. กากนา้ ตาล 5 กิโลกรมั 3. แปง้ ข้าวหมาก 1 กอ้ น 4. ยาคลู ท์ 1 ขวด วิธที า ชั่งไข่ไก่ 5 กโิ ลกรมั ใช้เครอ่ื งปั่นน้าผลไม้ ป่นั ไขไ่ ก่ใหล้ ะเอยี ด (ป่นั พร้อมเปลือก) ชั่งกากน้าตาล 5 กโิ ลกรมั นาไข่ไก่ และกากน้าตาลผสมใหเ้ ข้ากัน เทยาคูลท์ลงไปผสม บี้แป้งขา้ วหมากลงไปผสม คนใหเ้ ขา้ กนั ปดิ ฝา แลว้ เกบ็ ไวใ้ นทรี่ ม่ นาน 14 วัน

8 2.4 ชนดิ ของผักบ้งุ 2.4.1ความหมายของผักบ้งุ ผักบงุ้ ช่อื ภาษาองั กฤษ Ipomoea aquatic ผกั บุ้ง ช่อื วทิ ยาศาสตร์ Ipomoea aquatica Forssk ผกั บงุ้ คือนั้นเป็นผกั ที่ไดร้ ับความนยิ มและผู้คนนามารับประทานกันเป็นอย่างมากซ่ึงมีประโยชน์และให้ สรรพคณุ ทห่ี ลากหลายผักบุ้งเป็นลาต้นท่ียาว ชว่ ยในการบารุงสายตาและมีประโยชน์อดุ มไปดว้ ยวิตามนิ และ ธาตทุ ี่สาคญั หลากหลาย ซง่ึ ผักบุง้ นนั้ สามารถแบ่งออกได้มากมายหลากหลายสายพนั ธ์ุ แต่ละสายพนั ธจ์ุ ะมี ลักษณะของลาตน้ ที่แตกต่างกันออกรวมทง้ั รสชาตแิ ต่ละสายพนั ก์ุ ็จะแตกต่างกนั อีกดว้ ย ไปทาความรู้จักกบั สายพันธ์ผุ ักบงุ้ กนั เลย (Kaset today , ม.ป.ป) 2.4.2สายพันธุ์ของผักบงุ้ 1.ผกั บงุ้ ไทย เปน็ ผักบุ้งท่ีเกดิ เองตามธรรมชาติแม่นา้ ลาคลองโดยท่ีเราไมต่ ้องเพาะปลูกกส็ ามารถ เกิดขนึ้ เองไดห้ รือเรยี กอีกอย่างหนึง่ ว่าสายพันธธ์ุ รรมชาติเพราะสามารถเกดิ ขึ้นเองไดต้ ามธรรมชาตนิ ั่นเอง ซึง่ จะเป็นผกั บงุ้ ทท่ี อดยาวพร้อมกับมยี างออกมา ถา้ หากหักตรงลาต้นของผักบงุ้ จะมยี างไหลออกมา เพยี งเลก็ น้อย แต่มยี างมากกว่าผักบุง้ จนี คนจึงไมน่ ยิ มนาไปรับประทานเท่ากับผักบุ้งจีน (Kaset today , ม.ป.ป) ผกั บงุ้ ไทย หรือผักบุ้งนา้ เปน็ ผกั บุ้งทขี่ ้ึนอยใู่ นน้า ทนน้าท่วม ในไทยใช้ทาแกงส้ม แกงเทโพ ผดั กะปิ ลวกจิ้ม ผัก พริกแกง ยาผักบุง้ ใสใ่ นเย็นตาโฟ การปลกู ผกั บุ้งไทยจะเตรียมดนิ โดยปลอ่ ยใหน้ ้าแหง้ ไถดินแบบไถนาปลูก ข้าว แลว้ นาต้นผกั บุ้งไปปักไวเ้ ป็นแถว ๆ พอเร่ิมแตกจะคอ่ ย ๆ ปลอ่ ยน้าเขา้ ผักบุ้งจะโตหนนี ้าขนึ้ มา (WasanMankhetwit Biker , 2561) 2. ผักบุง้ จนี เปน็ ผกั บุ้งที่ถูกนาเขา้ จากต่างประเทศแต่เมืองไทยสามารถปลกู เองไดเ้ ช่นกันทาการ พฒั นาจนสามารถปลูกเองได้โดยทีไ่ มต่ ้องนาเขา้ มาอีกต่อไป ซ่ึงส่วนมากน้ันผกั บุ้งจนี นิยมปลูกขายตาม ท้องตลาดเพราะว่าลาต้นของผกั บุ้งจนี นั้นคอ่ นขา้ งยาวและขาวกว่าผักบุ้งไทยอีกท้ังเขายังมีใบอ่อนทีเ่ ขยี วขจี มี ดอกของผักบุ้งเปน็ สีขาว แต่เมือ่ เวลาหักลาตน้ แล้วจะพบว่ามยี างออกมาน้อยกว่าผักบงุ้ ไทยผู้คนจงึ นยิ มนา ผกั บงุ้ จนี มาทาอาหารมากกว่าผักบ้งุ ไทยนั่นเอง (Kaset today , ม.ป.ป) ผักบุง้ จนี ทขี่ ึ้นอยบู่ นบก ลาต้นและใบสีเขยี วอ่อน ยางน้อยกวา่ ผักบงุ้ ไทย เปน็ ผักบงุ้ ทน่ี ิยมปลกู เปน็ การค้า ใน อินโดนีเซยี ใช้ทาผักบุ้งลวกราดนา้ ยา ในมาเลเซียมผี ักบุง้ ผัดกะปิ ซงึ่ พบทางภาคใต้ของไทยดว้ ย นิยมใช้ทาผดั ผกั บุง้ ไฟแดง ใสใ่ นแจ่วฮ้อน สกุ ้ยี ากี้ กนิ กับหมูกระทะ ลวกใสใ่ นพระรามลงสรง (WasanMankhetwit Biker , 2561)

9 3. ผกั บ้งุ นา ในส่วนของผกั บุ้งนานนั้ จะมลี าต้น เปน็ สีแดงและมียอดคอ่ นขา้ งเรียวและเลก็ รสชาติเมอื่ รับประทานเขา้ ไปแล้วจะมีรสฝาดติดลนิ้ ซึ่งผคู้ นนยิ มนามารับประทาน คู่กันกับลาบน้าตกของคนอีสานและ อาหารอีสานอกี หลากหลายประเภททผ่ี ู้คนมีความช่ืนชอบนั่นเองอีกอย่างผกั บงุ้ นาอยา่ งสามารถนามาทาแกง ส้มได้อีกด้วยเปน็ ผกั บุง้ ทผี่ คู้ นนิยมรบั ประทานกันอกี 1 ชนิด (Kaset today , ม.ป.ป) ผักบงุ้ นา ลาตน้ มสี แี ดง ยอดเรยี วเลก็ รสฝาด กินกับลาบ น้าตกและอาหารอีสานอ่นื ๆ ทาแกงส้มได้เช่นกัน (WasanMankhetwit Biker , 2561) 4. ผักบงุ้ แกว้ เป็นผักบุ้งทีผ่ ู้คนนยิ มนายอดผักบุ้งนามาประกอบอาหารเปน็ ส่วนประกอบทีอ่ รอ่ ยทีส่ ดุ ลาต้นเรยี วยาวพร้อมกบั ยอดออ่ นทเี่ ป็นสเี ขียวขจี 5. ผักบุ้งทะเล เป็นผักบุ้งทมี่ ีลาตน้ ทอดเล้ือยยาวไปตามพ้ืนดิน ซึง่ เขาสามารถยาวได้ถงึ 5 ถึง 30 เมตร เลยทีเดียว ลาต้นของผักบงุ้ ทะเลนน้ั จะเปน็ สีเขยี วปนแดงหรอื สแี ดงอมม่วง ตามข้อของผักบุ้งน้นั จะมีรากฝอย โผล่ออกมาทุกจดุ ซ่งึ เปน็ ผกั บุ้ง ทีผ่ คู้ นนิยมนามารบั ประทานเป็นยา (Kaset today , ม.ป.ป) ผกั บุ้งจีน ทีข่ ้ึนอยูบ่ นบก ลาต้นและใบสีเขียวอ่อน ยางน้อยกวา่ ผกั บงุ้ ไทย เป็นผักบุง้ ท่ีนิยมปลกู เป็น การคา้ ในอนิ โดนเี ซียใช้ทาผกั บงุ้ ลวกราดน้ายา ในมาเลเซียมีผักบงุ้ ผดั กะปิ ซงึ่ พบทางภาคใตข้ องไทยดว้ ย นยิ ม ใชท้ าผดั ผกั บ้งุ ไฟแดง ใสใ่ นแจ่วฮอ้ น สุก้ยี ากี้ กินกบั หมกู ระทะ ลวกใสใ่ นพระรามลงสรง ผักบุ้งไทย หรือผักบงุ้ น้า เป็นผกั บุง้ ท่ขี น้ึ อยู่ในน้า ทนน้าท่วม ในไทยใช้ทาแกงสม้ แกงเทโพ ผัดกะปิ ลวกจมิ้ ผักพรกิ แกง ยาผกั บงุ้ ใส่ในเยน็ ตาโฟ การปลกู ผักบุ้งไทยจะเตรียมดินโดยปลอ่ ยใหน้ า้ แห้ง ไถดนิ แบบไถ นาปลูกขา้ ว แล้วนาตน้ ผักบุ้งไปปกั ไว้เป็นแถว ๆ พอเริ่มแตกจะค่อย ๆ ปล่อยน้าเขา้ ผกั บุ้งจะโตหนีนา้ ขึ้นมา ผักบุ้งนา ลาตน้ มีสแี ดง ยอดเรยี วเล็ก รสฝาด กนิ กับลาบ นา้ ตกและอาหารอสี านอ่ืน ๆ ทาแกงส้มได้ เช่นกัน (WasanMankhetwit Biker , 2561)

10 2.5 การเตบิ โตของผกั บุ้งจีน ผกั บุง้ จีนใช้เวลาในการงอกเพียง 48 ช่ัวโมง ระยะแรกของการเจริญเติบโตจะให้ลาตน้ ตั้งตรง หลงั จาก งอกได้ 5-7 วนั จะมีใบเล้ียงโผลอ่ อกมา 2 ใบ มีลักษณะปลายใบเปน็ แฉก ไมเ่ หมอื นกบั ใบจริงเมอ่ื ต้นโตในระยะ สองสัปดาหแ์ รก จะมีการเจริญเติบโตทางลาต้นอยา่ งรวดเร็วจนกระทงั่ อายปุ ระมาณ 30-45 วนั การ เจรญิ เติบโตจะเปลย่ี นไปในทางทอดยอดและแตกกอ สาหรับผักบงุ้ จนี ทหี่ ว่านดว้ ยเมลด็ การแตกกอจะมาน้อย มาก การแตกกอเป็นการแตกหน่อออกมาจากตาทอ่ี ยู่บริเวณโคนต้นท่ตี ิดกบั ราก มีตาอยู่รอบตน้ 3-5 ตา เม่ือ แตกแถวออกมาแล้วจะเจรญิ ทอดยอดออกไปเปน็ ลาตน้ มีปลอ้ งข้อ และทุกข้อจะให้ดอกและใบ (Plookphak, 2563: ออนไลน์) 1. การเลือกที่ปลกู การปลูกผักบุง้ จีนเพื่อการบริโภคสดเปน็ การปลกู ผกั บงุ้ จนี แบบหว่าน หรือโรย เมล็ดลงบนแปลงปลกู โดยตรง เม่ือถึงอายุเกบ็ เกี่ยว 20-25 วนั จะถอนตน้ ผักบุ้งจีนทงั้ ตน้ และรากออกจาก แปลงปลูกไปบริโภคหรอื ไปจาหน่ายตอ่ ไป ในการปลกู นั้นควรเลอื กปลกู ในทีม่ ีการคมนาคมขนสง่ สะดวก สภาพ ทีด่ อน นา้ ไมท่ ว่ ม หรือเป็นแบบสวนผักแบบยกร่อง เชน่ เขตภาษีเจรญิ บางแค กรงุ เทพฯ บางบัวทอง นนทบุรี นครปฐม และราชบุรี เป็นต้น ลักษณะดินปลกู ควรเป็นดนิ ร่วนหรอื ดนิ รว่ นปนทราย เพ่ือถอนต้นผกั บุ้งจนี ได้ งา่ ย และควรอยู่ใกล้แหล่งนา้ เพอ่ื สะดวกในการรดน้าในชว่ งการปลูก และทาความสะอาดต้นและรากผักบุง้ จนี ในชว่ งการเกบ็ เกย่ี ว 2. การเตรียมดิน ผักบุ้งจนี เป็นพชื ผกั ที่มีระบบรากตื้น ในการเตรียมดินควรไถตะตากดนิ ไว้ประมาณ 15-30 วนั แล้วดาเนินการไถพรวนและขึ้นแปลงปลูก ขนาดแปลงกว้าง 1.5-2 เมตร ยาว 10-15 เมตร เว้นทางเดิน ระหวา่ งแปลง 40-50 เซนตเิ มตร เพอ่ื สะดวกในการปฏบิ ัตดิ ูแลรกั ษา ใส่ป๋ยุ คอก (มูลสุกร เปด็ ไก่ วัว ควาย) หรือปุ๋ยหมกั ท่สี ลายตัวดีแลว้ คลุกเคล้าลงไปในดิน พรวนยอ่ ยผิวหน้าดนิ ใหล้ ะเอยี ดพอสมควรปรบั หลงั แปลงให้ เรยี บเสมอกัน อยา่ ใหเ้ ป็นหลุมเป็นบ่อ เมลด็ พันธุ์ผกั บุ้งจนี จะข้ึนไมส่ ม่าเสมอทงั้ แปลง ถ้าดนิ ปลูกเปน็ กรด ควร ใสป่ ูนขาวเพ่ือปรับระดับพีเอชของดนิ ให้สงู ขึ้น 3. วธิ กี ารปลูก ก่อนปลูกนาเมล็ดพนั ธ์ุผักบ้งุ จนี ไปแช่นา้ นาน 6-12 ชั่วโมง เพอ่ื ให้เมลด็ พนั ธุผ์ กั บงุ้ จีนดดู ซับนา้ เขา้ ไปในเมล็ด มผี ลให้เมลด็ ผักบุ้งจนี งอกเรว็ ข้นึ และสมา่ เสมอกนั ดี เมล็ดผกั บ้งุ จีนทล่ี อยน้าจะเป็นเมล็ดพันธ์ุ ผกั บงุ้ จนี ทไี่ ม่สมบรู ณ์ ไม่ควรนามาเพาะปลูก ถึงแม้จะขนึ้ ได้บ้าง แตจ่ ะไมส่ มบูรณแ์ ข็งแรงอาจจะเป็นแหลง่ ทา ใหเ้ กดิ โรคระบาดได้งา่ ย นาเมล็ดพนั ธผ์ุ กั บุ้งจีนที่ดีไมล่ อยน้ามาหว่านให้กระจายทั่วทงั้ แปลงให้เมลด็ ห่างกัน เลก็ นอ้ ย ตอ่ จากนัน้ นาดนิ รว่ นหรอื ขเ้ี ถา้ แกลบดาหวา่ นกลบเมล็ดพนั ธุผ์ กั บุ้งจนี หนาประมาณ 2-3 เท่าของ ความหนาของเมลด็ หรือประมาณ 0.5 เซนติเมตร แต่ถา้ แหล่งที่ปลูกนนั้ มีเศษฟางข้าว จะใช้ฟางข้าวคลมุ แปลง ปลกู บาง ๆ เพ่ือช่วยเก็บรกั ษาความช้นื ในดิน หรือทาให้หนา้ ดนิ ปลูกผกั บงุ้ จนี ไม่แน่นเกินไป รดนา้ ดว้ ยบัวรดน้า หรือใช้สายยางติดฝกั บวั รดน้าให้ความช้ืน แปลงปลกู ผกั บงุ้ จีนทุกวนั ๆ ละ 1-2 คร้ัง ประมาณ 2-3 วัน เมลด็ พันธ์ผุ ักบุ้งจีน จะงอกเปน็ ตน้ ผกั บุ้งจีนต่อไป

11 4. การปฏบิ ัติดแู ลรกั ษาผักบุง้ จีนเพอื่ การบริโภคสด 4.1 การให้นา้ ผักบุ้งจีนเป็นพืชที่ชอบดนิ ปลกู ท่ีชุม่ ชืน้ แต่ไม่แฉะจนมนี ้าขงั ฉะน้ันควรรดน้าผักบุ้งจนี อย่เู สมอ ทกุ วนั ๆ ละ 1-2 ครัง้ ยกเวน้ ช่วงทฝ่ี นตกไม่ต้องรดน้า อยา่ ใหแ้ ปลงปลูกผกั บุง้ จนี ขาดนา้ ได้ จะทาใหผ้ ักบุง้ จนี ชะงกั การเจริญเตบิ โต คุณภาพไม่ดี ตน้ แข็งกระด้าง เหนียวไมน่ ่ารบั ประทานและเกบ็ เก่ยี วไดช้ ้า 4.2 การใส่ ปุ๋ย ผกั บุ้งจนี เป็นพชื ผกั ท่บี รโิ ภคใบและตน้ มีอายุการเกบ็ เกี่ยวสน้ั ถ้าดนิ ปลกู มคี วามอดุ มสมบรู ณ์ หรือมีการใส่ ปุ๋ยคอก เช่น มลู สกุ ร มลู เป็ด ไก่ เปน็ ต้น ซง่ึ ปุ๋ยคอกดังกล่าวเป็นปุย๋ ท่ีมีไนโตรเจนสูงอย่แู ล้ว ไมจ่ าเป็นตอ้ งใส่ ปุย๋ เคมกี ็ได้ แต่ถา้ ดนิ ปลกู ไม่ค่อยอดุ มสมบรู ณ์ นอกจากต้องใหป้ ุ๋ยคอกแล้ว ควรมีการใสป่ ุ๋ยทางใบท่ีมีไนโตรเจน สงู โดยหว่านปุ๋ยกระจายท่ัวทั้งแปลงก่อนปลกู และหลังปลกู ผกั บงุ้ จนี ไดป้ ระมาณ 7-10 วัน ซึง่ การให้ปยุ๋ คร้ังที่ 2 น้นั หลังจากหว่านผักบงุ้ จนี ลงแปลงแลว้ จะตอ้ งมกี ารรดนา้ แปลงปลูกผกั บงุ้ จีนทนั ที อย่าให้ปุ๋ยเกาะอยู่ท่ี ชอกใบ จะทาให้ผกั บุ้งจนี ใบไหม้ ในการใส่ปุ๋ยเคมีครง้ั ที่ 2 นัน้ จะใชว้ ิธกี ารละลายน้ารด 3-5 วนั ครง้ั กไ็ ด้ โดยใช้ อตั ราสว่ น ปยุ๋ ยูเรยี 10 กรัมต่อนา้ 20 ลิตร จะเปน็ การช่วยให้ผกั บุง้ จีนเจริญเตบิ โต และเก็บเกย่ี วได้รวดเรว็ ขึ้น เมล็ดเร่มิ งอกหลงั จากหวา่ นประมาณ 2-3 วนั 4.3 การพรวนดินและกาจัดวัชพืช ถา้ มีการเตรียมดินดีมีการใส่ปุ๋ยคอกก่อนปลูกและมีการหวา่ นผักบงุ้ ข้ึน สมา่ เสมอกันดี ไม่จาเปน็ ตอ้ งพรวนดนิ เวน้ แตใ่ นแหล่งปลูกผักบ้งุ จนี ดังกลา่ วมีวชั พืชขึน้ มาก ควรมกี ารถอน วัชพชื ออกจากแปลงปลูกอยูเ่ สมอ 7-10 วนั ต่อครงั้ ในแหล่งทีป่ ลูกผักบงุ้ จีนเพ่ือการบรโิ ภคสดเป็นการค้า ปรมิ าณมาก ควรมกี ารพน่ สารคลมุ วัชพืชก่อนปลูก 2-3 วัน ต่อจากนน้ั จึงคอ่ ยหว่านผักบุ้งจนี ปลกู จะประหยัด แรงงานในการกาจัดวชั พชื ในแปลงปลูกผกั บงุ้ จนี ไดด้ มี ากวิธีการหน่ึง 4.4 การเก็บเกย่ี ว หลงั จากหวา่ นเมลด็ พันธผุ์ ักบุ้งจนี ลงแปลงปลกู ได้ 20-25 วนั ผกั บุ้งจีนจะเจรญิ เตบิ โต มี ความสูงประมาณ 30-35 เซนตเิ มตร ใหถ้ อนตน้ ผักบุ้งจีนออกจากแปลงปลูกทั้งต้นและราก ควรรดน้าก่อนถอน ตน้ ผกั บุง้ จีนข้นึ มาจะถอนผักบ้งุ จีนได้สะดวก รากไม่ขาดมาก หลงั จากน้ันล้างรากให้สะอาด เดด็ ใบและแขนงที่ โคนตน้ ออก นามาผ่งึ ไว้ ไม่ควรไวก้ ลางแดดผักบุ้งจนี จะเหีย่ วเฉาได้งา่ ย จดั เรียงตน้ ผักบงุ้ จนี เปน็ มดั เตรียม บรรจุภาชนะเพอ่ื จดั ส่งตลาดต่อไป (สุภาพ สรุ อิ าจ , 2563: ออนไลน์) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ผกั บุ้งจีน มชี ื่อสามัญที่ใช้เรยี กแตกต่างกนั ไป ในภาษาอังกฤษวา่ water convolvulus หรอื kang-kong เป็นพชื ในตระกลู Convolvulaceae มชี ื่อวทิ ยาศาสตร์ว่า Ipomoea aquatica Forsk. Var. reptan มีถ่นิ กาเนดิ อยใู่ นเขตร้อน พบได้ทวั่ ไปในอฟั ริกา และเอเชยี เขตร้อนจนถึง มาเลเซียและออสเตรเลีย ราก ผกั บุ้งจนี มรี ากเป็นแบบรากแก้ว มีรากแขนง แตกออกทางดา้ นข้างของรากแก้ว และยงั สามารถแตกรากฝอยออกมาจากข้อของลาตน้ ไดด้ ว้ ย โดยมักจะเกิดตามข้อทอ่ี ยแู่ ถว ๆ โคนเถา ลาตน้ ผักบงุ้ จีนเปน็ ไม้ล้มลุก ในระยะแรกของการเจริญเตบิ โตจะมลี าตน้ ต้งั ตรง ระยะต่อไปจะเลื้อยทอดยอดไปตาม พนื้ ดินหรือน้า ลาต้นมีสเี ขยี ว มีขอ้ และปล้องขา้ งในกลวง รากจะเกดิ ทขี่ ้อทุกข้อที่สัมผัสกบั พื้นดินหรือนา้ ท่ีข้อ มักมตี าแตกออกมา ท้ังตาใบและตาดอก โดยตาดอกจะอย่ดู ้านใน สว่ นตาใบจะอยู่ด้านนอก

12 ลักษณะการเจริญเติบโต ผกั บุ้งจนี ใช้เวลาในการงอกเพียง 48 ชวั่ โมง ระยะแรกของการเจรญิ เตบิ โตจะใหล้ า ตน้ ตงั้ ตรง หลงั จากงอกได้ 5-7 วนั จะมใี บเลี้ยงโผล่ออกมา 2 ใบ มลี กั ษณะปลายใบเป็นแฉก ไม่เหมือนกบั ใบ จริงเมื่อตน้ โตในระยะสองสัปดาห์แรก จะมีการเจริญเติบโตทางลาต้นอยา่ งรวดเร็วจนกระทั่งอายปุ ระมาณ 30- 45 วนั การเจรญิ เตบิ โตจะเปลยี่ นไปในทางทอดยอดและแตกกอ สาหรบั ผักบงุ้ จนี ทีห่ วา่ นดว้ ยเมล็ด การแตก กอจะมนี ้อยมาก การแตกกอเป็นการแตกหน่อออกมาจากตาทีอ่ ยบู่ รเิ วณโคนตน้ ทต่ี ดิ กับราก มีตาอยรู่ อบตน้ 3-5 ตา เมือ่ แตกแถวออกมาแล้วจะเจริญทอดยอดยาวออกไปเป็นลาต้น มปี ล้องขอ้ และทุกข้อจะให้ดอกและ ใบ สภาพแวดลอ้ มท่ีตอ้ งการ ผักบุ้งจีนสามารถปลูกได้ทั้งบนบกและในน้า และสามารถปลกู ได้ในดินแทบทุกชนดิ ดินทเี่ หมาะสมในการปลูกผักบงุ้ จีนเพ่อื การบรโิ ภคสดเป็นดินร่วน หรอื ดินร่วนปนทราย ผกั บงุ้ จนี ชอบช้นื แฉะ ต้องการความชน้ื ในดนิ สูงมาก อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเจรญิ เตบิ โตอย่ใู นชว่ งท่สี ูงกว่า 25 องศาเซลเซียส ตอ้ งการแสงแดดเต็มท่ี ซ่งึ ประเทศไทยสามารถปลูกไดด้ ตี ลอดไป (บา้ นจอมยุทธ , 2543: ออนไลน์) ผกั บ้งุ จนี ใชเ้ วลาในการงอกเพียง 48 ชว่ั โมง ระยะแรกของการเจรญิ เตบิ โตจะให้ลาต้นตง้ั ตรง หลงั จาก งอกได้ 5-7 วัน จะมีใบเล้ยี งโผลอ่ อกมา 2 ใบ มลี ักษณะปลายใบเป็นแฉก เม่ือต้นโตในระยะสองสปั ดาห์แรก จะมกี ารเจริญเตบิ โตทางลาต้นอยา่ งรวดเรว็ จนกระทงั่ อายุประมาณ 30-45 วนั การเจริญเติบโตจะเปลย่ี นไป ในทางทอดยอดและแตกกอ สาหรับผกั บุง้ จนี ท่ีหว่านด้วยเมล็ด การแตกกอจะมาน้อยมาก การแตกกอ เป็นการแตกหนอ่ ออกมาจากตาทีอ่ ยูบ่ ริเวณโคนตน้ ที่ติดกับราก มีตาอยรู่ อบต้น 3-5 ตา เมื่อแตกแถวออก มาแล้วจะเจริญทอดยอดออกไปเป็น ลาตน้ มีปล้องขอ้ และทุกข้อจะใหด้ อกและใบ 2.6 วิธกี ารทดสอบประสิทธิภาพของนา้ หมัก 2.6.1ผลของประสิทธิภาพของน้าหมักชวี ภาพจากเศษเหลือจากลาไย เปลือกกล้วยน้าวา้ และเปลอื ก แตงโมต่อการเจริญเติบโตของผกั สลดั กรนี โอ๊ค การทดสอบประสทิ ธภิ าพของน้าหมักชวี ภาพท้ัง 3 ชนิดเปรียบเทยี บกับการรดดว้ ยน้าเปล่า (ชุด ควบคมุ ) โดยนา้ หมักทุกชนดิ ทาการเจือจางโดยใช้อัตราสว่ นของน้าหมักชีวภาพต่อน้าเปล่า (1: 500, โดย ปรมิ าตร) ระยะเวลาในการรดน้าหมกั ชวี ภาพคือรดน้าหมักทกุ 4 วันเป็นเวลา 40 วันพบวา่ นา้ หมักชีวภาพทง้ั 3 ชนดิ รวมถงึ การรดดว้ ยนา้ เปล่า (ชดุ ควบคุม) ทาใหผ้ ักสลดั กรนี โอ๊คเจรญิ เติบโตได้โดยท่ีประสิทธิภาพของนา้ หมกั ชวี ภาพจากเศษเหลอื จากลาไยมจี านวนใบความยาวใบและน้าหนกั สดมากทสี่ ดุ มคี ่าเฉล่ียเทา่ กับ 13.83 ใบ ตอ่ ตน้ 11.38 เซนตเิ มตรและ 82.67 กรัมตามลาดบั รองลงมา ไดแ้ ก่ นา้ หมักชวี ภาพจากเปลอื กกลว้ ยนา้ ว้า เปลือกแตงโมและนา้ เปลา่ (ชุดควบคุม) มจี านวนใบความยาวของใบและนา้ หนักสดนอ้ ยทส่ี ุดมคี า่ เฉลย่ี จานวน ใบเทา่ กบั 10.58, 9.83 และ 7.42 ใบต่อต้นตามลาดบั มีคา่ เฉลี่ยความยาวใบเท่ากบั 9.73, 8.88 และ 7.32 เซนตเิ มตรตามลาดับและมคี ่าเฉลีย่ น้าหนักสดุ เทา่ กับ 53.71, 43.58 และ 23.08 กรัมตามลาดบั และเม่ือ ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลยี่ โดยสถติ ิ ANOVA พบว่าน้าหมักชวี ภาพท้ัง 3 ชนดิ มีผลต่อจานวนใบความ

13 ยาวใบและนา้ หนกั สดุ ของผกั สลดั กรีนโอค๊ ทแ่ี ตกต่างกนั อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั ความเช่ือมน่ั ร้อยละ 95 (p <0.05) เมอ่ื เทยี บกับน้าเปล่า (ชดุ ควบคุม) ดังตารางที่ 1 ซึง่ สอดคล้องกับงานวิจยั ของกชพรรณ (2557) ซ่งึ เปรียบเทยี บสตู รป๋ยุ น้าหมักชีวภาพจานวน 7 สตู รท่เี หมาะสมกับการผลติ ผกั ปลอดสารพิษผักคะนา้ และ ผกั กวางตงุ้ พบวา่ สูตรป๋ยุ น้าหมกั ชวี ภาพสตู รที่ 1 (เศษผกั : กากน้าตาล: 3: 1) ทาใหค้ ะน้ามกี ารเจรญิ เตบิ โตท้ัง ดา้ นความสูงจานวนใบและขนาดเส้นผา่ ศนู ย์กลางของลาต้นของคะนา้ เฉลีย่ คร้งั สุดท้ายดีที่สดุ (17.63 เซนติเมตร 6 ใบต่อตน้ และ 0.47 เซนติเมตรตามลาดบั ) และผักกวางตุ้ง (16.93 เซนติเมตร 6.33 ใบตอ่ ตน้ และ 0.51 เซนตเิ มตรตามลาดบั ) ส่วนผักคะน้าและผกั กวางตุง้ ท่ีไมใ่ สป่ ๋ยุ นา้ หมักชีวภาพสตู รท่ี 7 (ชดุ ควบคมุ ) มกี าร เจริญเตบิ โตทงั้ ดา้ นความสูงจานวนใบและขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลาต้นของคะนา้ เฉลี่ยนอ้ ยที่สดุ (ณฏั ฐ์ว รนิ ท์ ธวุ ะคา และ วชั รี ฝ้นั เฟือนหา, 2562, น.268-269) 2.6.2การทดสอบประสทิ ธภิ าพของน้าหมักชวี ภาพจากเปลือกจาปาดะในสภาพแปลงทดลอง วางแผนการทดลองแบบสุม่ สมบูรณ์ในบล็อก (Randomized Complete Block Design: RCBD) ประกอบด้วย 8 วธิ กี ารทดลอง ๆ ละ 3 ซา้ ดงั น้ี วธิ ีการทดลองท่ี 1 นา้ หมักชวี ภาพสตู รที่ 1 วธิ กี ารทดลองท่ี 2 นา้ หมกั ชีวภาพสตู รที่ 2 วธิ กี ารทดลองท่ี 3 นา้ หมกั ชวี สาพสูตรท่ี 3 วธิ ีการทดลองที่ 4 น้าหมักชีวภาพสตู รที่ 4 วิธกี ารทดลองที่ 5 น้าหมกั ชีวภาพสูตรที่ 5 วธิ กี ารทดลองท่ี 6 นา้ หมักชีวภาพสูตรที่ 6 วิธีการทดลองที่ 7 ป๋ยุ เคมสี ตู ร 46-0-0 วิธีการทดลองท่ี 8 ชุดควบคุม (นา้ เปล่า) 1) การเตรยี มดนิ โดยไถดะ 1 ครงั้ พริกหนา้ ดินตากดินทงิ้ ไว้ 7 วนั ยกแปลงขนาดกว้าง 1 เมตรยาว 5 เมตร ระยะหา่ งระหวา่ งแปลง 0.5 เมตร 2) การปลูกทาการเพาะเมลด็ ผกั กวางตุง้ ในถาดหลมุ เมื่อต้นกล้ามอี ายุ 14 วันทาการย้ายปลูกลงแปลงระยะห่าง ระหวา่ งหลมุ 20 เซนตเิ มตรระหวา่ งแถว 20 เซนตเิ มตรเว้นหัวแปลงขา้ งละ 50 เซนตเิ มตร 3) การใหป้ ุ๋ยและการดแู ลรกั ษามีดังนี้ 1. ใส่ปยุ๋ คอกรองพน้ื ทุกแปลงทดลองในอตั รา 1 ตนั ต่อไรโ่ ดยคลุกเคล้าให้ทวั่ ท้ังแปลง 2. ใสป่ ุย๋ เคมสี ตู ร 15-15-15 ทุกแปลงทดลองในอตั รา 50 กิโลกรัมต่อไรห่ ลงั จากยา้ ยปลูก 15 วนั เพ่ือเพ่ิมความ อุดมสมบรู ณ์ของดินโดยจะใสเ่ พียงครง้ั เดยี ว 3. วธิ กี ารทดลองท่ี 1 ถึง 6 รดนา้ หมกั ชีวภาพจากเปลือกจาปาดะในอัตราส่วน 1: 500 (นา้ หมกั ชวี ภาพ: น้า สะอาด) โดยเร่ิมรดตั้งแต่ตน้ กล้าอายไุ ด้ 7 วนั หลงั ยา้ ยปลูกความถี่ 3 คร้งั ต่อสัปดาห์ 4. วิธกี ารทดลองท่ี 7 ใส่ปยุ๋ เคมีสตู ร 46-0-0 อตั รา 15 กิโลกรมั ต่อไร่แบ่งใส่ 2 ครงั้ เมอื่ ต้นกลา้ มอี ายุ 7 และ 21 วันหลังย้ายปลกู โดยละลายน้าแลว้ รดให้ทว่ั แปลง 5. รดนา้ วันละ 2 เวลาเชา้ -เยน็

14 4) การบนั ทึกข้อมูลโดยสุ่มเก็บต้นผักกวางตงุ้ 10 ตน้ ต่อแปลงยอ่ ยทาการบันทึกอายุการเกบ็ เกี่ยวจานวนต้น รอดตายจานวนใบความสงู จากโคนตน้ ไปจนถึงปลายใบและนา้ หนกั สด (อมรรัตน์ ชมุ ทอง และ ครษิ ฐส์ พล หนู พรหม, 2558: ออนไลน์) 2.6.3ทดสอบประสิทธิภาพของน้าหมกั ชวี ภาพในสภาพเรือนทดลอง นาดินนามาตากแดดให้แห้งบดแลว้ ร่อนผา่ นตะแกรงขนาด 0.5 มลิ ลิเมตรจานวน 4 กิโลกรัมผสมกับ ฟางข้าว 10 กรมั นาใสล่ งในกระถางพลาสติกขนาด 10 น้วิ นาหมกั ชีวภาพเชือ้ แบคทเี รยี Bacillus sp. ไอโซเลท H01 เจอื จางกับน้าในอตั ราส่วน 1: 500 ใส่ลงไปในกระถางพลาสติกให้ท่วมถงึ ขอบกระถางวางแผนการทดลอง แบบสุ่มสมบรู ณ์ (Completely Randomized Design; CRD) มี 4 สง่ิ ทดลอง ๆ ละ 3 ซา้ ๆ ละ 4 กระถาง ๆ ละ 1 ตน้ โดยทาการหมักดินด้วยนา้ หมักชีวภาพ 7, 14 และ 21 วันสว่ นชุดควบคมุ หมกั ดินดว้ ยนา้ เปลา่ 21 วัน หลังจากน้นั ยา้ ยตน้ กลา้ ขา้ วพันธร์ุ วงรที ่ีมอี ายุ 1 เดอื นลงปลกู ในกระถาง ๆ ละ 1 ต้นทาการบันทึกตน้ ข้าวทีอ่ ายุ 45 วนั หลงั จากการปักดาดังนี้จานวนต้นตอ่ กอวัดความสงู จากโคนตน้ ถึงปลายใบเสน้ ผา่ ศูนย์กลางกอนา้ หนักสด ลาตน้ เหนอื ดนิ นา้ หนกั แห้งลาตน้ เหนอื ดนิ ความยาวรากเส้นผา่ ศูนย์กลางรากน้าหนกั สดรากน้าหนักแหง้ รากนา ขอ้ มลู ไปวเิ คราะหท์ างสถิตดิ ว้ ยโปรแกรมสาเรจ็ รปู และเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยวิธี Duncan's multiple range test (DMRT) ชว่ งความเช่อื ม่ัน 95 และ 99 เปอร์เซ็นต์ (อมรรตั น์ ชุมทอง และ ภัทรพร ภกั ดีฉนวน, 2562: ออนไลน์) 2.7 งานวิจัย การศึกษาการใช้นา้ สกัดชวี ภาพจากมลู ววั มีผลต่อการเจริญเตบิ โตและการให้ผลผลติ ของผักกาดเขียว กวางตงุ้ ท่ปี ลกู ใน ระบบไฮโดรโพนิกส์ โดยวางแผนการทดลองแบบสมุ่ สมบูรณ์ แบ่งวธิ กี ารใส่ปุย๋ ออกเปน็ 3 สิ่ง ทดลอง 1 แปลง ใชป้ ุ๋ยเคมเี พยี งอย่างเดียว ใช้นา้ สกัดชีวภาพและใชน้ า้ สกัดชวี ภาพร่วมกับป๋ยุ เคมี ทดลองใน แปลงปลกู พชื ไร้ดนิ (ระบบไฮโดร โพนกิ ส)์ ของภาควิชาพชื ศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนราธิวาส มหาวทิ ยาลัยนราธิวาสราชนครนิ ทร์ เกบ็ เกีย่ วผลผลติ เมอ่ื ผักมีอายุครบ 28 วนั พบว่า ความสูงเฉลย่ี ต่อต้นมี ความแตกต่างกันทางสถิติ (p<0.05) โดยการใช้ปุย๋ เคมีเพียงอยา่ งเดยี ว มีความสงู เฉลย่ี สูงสุด (42.27+2.49 เซนตเิ มตรต่อต้น) และไม่แตกต่างกบั การใช้นา้ สกดั ชีวภาพร่วมกับปุ๋ยเคมี (36.99+4.99 เซนตเิ มตรต่อต้น) และการใชน้ า้ สกดั ชวี ภาพเพียงอย่างเดียว มีความสงู นอ้ ยที่สุด (26.60+6.10 เซนตเิ มตร/ตน้ ) นา้ หนักของ ผลผลิตเฉล่ยี พบว่า ไม่มคี วามแตกตา่ งกันทางสถิติ (p>0.05) โดยการใช้ปุ๋ยเคมี มีแนวโนม้ ใหผ้ ลผลติ เฉลยี่ สงู สุดคอื 84.43+23.65 กิโลกรมั /แปลง รองลงมา คือ การใช้นา้ สกัดชวี ภาพร่วมกับป๋ยุ เคมี ใหน้ า้ หนักสดเฉลย่ี 68.89+30.97 กิโลกรมั /แปลง และการใชน้ า้ สกดั ชีวภาพมีน้าหนักสดเฉลีย่ 32.97+21.25 กิโลกรัม/แปลง จาก การวิจัย พบว่า การปลูกผักในระบบไฮโดรโพนิกส์ ทีใ่ ช้นา้ สกัดชวี ภาพจากมูลววั สามารถลดตน้ ทุนการผลติ ได้ (บญั ชา รัตนที ู, 2556: ออนไลน)์ งานวจิ ัยน้ีมวี ตั ถุประสงคเ์ พื่อศึกษาประสทิ ธภิ าพของ่น้าหมักชีวภาพท่ีได้จากเมลด็ ลาไยและเปลอื กลาไย เปลอื ก กลว้ ย่น้าว้า และเปลอื กแตงโม ต่อการเจริญเติบโตของผักสลัดกรนี โอค๊ ทรี่ ะดบั ความเข้มขน้ 1:500 (่น้าหมัก ชีวภาพ : ่นา้ เปลา่ ) ทกุ ๆ 4 วนั และ ทุกชดุ การทดลองทา 3 ่ซา้ พบว่า่นา้ หมักชวี ภาพจากเศษเหลือจากลาไย

15 ให้ค่าเฉลย่ี จานวนใบ ความยาวของใบ และ่น้าหนกั สดมากที่สุด (13.83 ใบตอ่ ต้น 11.38 เซนติเมตร และ 82.67 กรัม ตามลาดบั ) ซง่ึ เมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลยี่ โดยสถิติ ANOVA พบว่า่น้า หมกั ชีวภาพทง้ั 3 ชนดิ มีผลต่อจานวนใบ ความยาวใบ และ่นา้ หนักสด ของผักสลัดกรีนโอ๊คทแ่ี ตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ ที่ ระดบั ความเช่ือมั่นร้อยละ 95 (p<0.05) จากผลการวเิ คราะหส์ มบตั ิทางเคมีพบวา่ ่น้าหมกั ชวี ภาพจากเศษ เหลอื จากลาไยมคี ่าความเป็น กรดด่าง (pH) คา่ การนาไฟฟ้า (EC) และค่า exchangeable potassium (%) มากกว่า่น้าหมกั ชีวภาพจากเปลอื กกลว้ ย่น้าว้า และ เปลือกแตงโม นอกจากน้ีค่า available phosphorus มี ค่านอ้ ยกวา่ 10.00 มลิ ลกิ รมั ต่อกโิ ลกรัม (อมรรตั น์ ชุมทอง, 2558: ออนไลน์) เปลอื กจาปาดะเปน็ วสั ดุเหลอื ใชท้ างการเกษตรท่ีมีมากทางภาคใต้ของประเทศไทยมีคาร์โบไฮเดรตสงู เหมาะสมสาหรบั เป็นแหล่งพลังงานของจุลนิ ทรีย์ช่วยย่อยสลาย ดังนนั้ การวจิ ัยน้ีจึงมี วตั ถุประสงคเ์ พื่อพัฒนา นา้ หมักชีวภาพจากเปลือกจาปาดะด้วยเชอื้ Bacillus sp. และศึกษา ประสิทธภิ าพของน้าหมักชีวภาพจาก เปลือกจาปาดะต่อการเจรญิ เติบโตและผลผลติ ของผกั กวางตงุ้ โดยทาการเตรยี มน้าหมกั ชวี ภาพ 6 สตู ร มี ส่วนประกอบและอัตราสว่ น ดงั น้ี1) น้าหมักชวี ภาพสตู รที่ 1 (เปลือกจาปาดะ 3 กโิ ลกรมั + กากน้าตาล 250 มิลลิลิตร + นา้ เปล่า 10 ลิตร + สารเร่งซปุ เปอร์พด.2. 25 กรัม) 2) นา้ หมักชีวภาพสูตรที่ 2 (เปลือกจาปาดะ 3 กโิ ลกรมั + กากน้าตาล 250 มิลลิลิตร + นา้ เปลา่ 10 ลติ ร + เช้ือ Bacillus sp. 25 มลิ ลิลติ ร) 3) น้าหมัก ชวี ภาพสูตรที่ 3 (เปลอื กจาปาดะ 3 กโิ ลกรมั + กาก่น้าตาล 125 มิลลิลิตร + นา้ เปลา่ 10 ลิตร + สารเรง่ ซุปเปอร์พด.2 .25 กรัม) 4) น้าหมกั ชวี ภาพสูตรท่ี 4 (เปลือกจาปาดะ 3 กโิ ลกรมั + กากน้าตาล 125 มิลลลิ ิตร + น้าเปลา่ 10 ลติ ร + เชอื้ Bacillus sp. 25 มิลลิลิตร) 5) น้าหมกั ชีวภาพสตู รที่ 5 (เปลือกจาปาดะ 3 กิโลกรัม + นา้ เปลา่ 10 ลติ ร + สารเรง่ ซปุ เปอร์พด.2 .25 กรมั )และ 6) นา้ หมักชีวภาพสตู รที่ 6 (เปลือกจาปาดะ 3 กิโลกรมั + น้าเปลา่ 10 ลิตร + เชอ้ื Bacillus sp. 25 มลิ ลิลิตร) พบวา่ หลังจากการหมกั 30 วัน นา้ หมกั ชีวภาพจากเปลอื กจาปาดะแตล่ ะสูตรมีสมบัติกายภาพและทางเคมีไม่แตกตา่ งกัน โดยนา้ หมักชวี ภาพมอี ุณหภูมิ ในถังหมักอยู่ท่ี 28-29 องศาเซลเซียส มีสภาพเปน็ กรด มีpH 3.3-3.8 ค่าการนาไฟฟ้าสงู (8.5-12.7 dS/m) ปริมาณธาตอุ าหารหลัก่ตา่ (0.02-0.04% N, 30.79-66.72 mg/l P และ 0.13- 0.22% K) (ครษิ ฐ์สพล หนพู รหม, 2560: ออนไลน)์ เปลือกจาปาดะเปน็ วัสดุเหลอื ใชท้ างการเกษตรที่มมี ากทางภาคใตข้ องประเทศไทย มีคาร์โบไฮเดรตสูง เหมาะสมสาหรบั เป็นแหลง่ พลงั งานของจลุ นิ ทรีย์ชว่ ยย่อยสลาย ดงั น้นั การวิจยั น้จี ึงมวี ตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ศึกษา ผลของน้าหมักชีวภาพจากเปลือกจาปาดะด้วยเชือ้ Bacillus sp. ต่อการเจริญเติบโตและผลผลติ ของ ผักกวางตงุ้ ทีร่ ะดับความเขม้ ขน้ 1:500 ความถ่ี 3 ครัง้ ต่อสัปดาห์ โดยวางแผนการทดลองแบบสุม่ สมบรู ณ์ใน บล็อก (Randomized Complete Block Design; RCBD) ประกอบด้วย 8 สิ่งทดลองๆ ละ 3 ซ้ า ดังนี้1) น้ าหมกั ชวี ภาพสตู รท่ี 1 (เปลือก จ าปาดะ 3 กิโลกรัม + กากน้าตาล 250 มิลลิลิตร + นา้ เปลา่ 10 ลติ ร + สาร เร่งซปุ เปอร์พด.2 25 กรัม) 2) นา้ หมักชวี ภาพสูตรที่ 2 (เปลือก จาปาดะ 3 กโิ ลกรัม + กากน้าตาล 250 มิลลลิ ิตร + นา้ เปล่า 10 ลติ ร + เชือ้ Bacillus sp. 25 มิลลลิ ิตร) 3) นา้ หมกั ชีวภาพสตู รท่ี 3 (เปลือกจาปาดะ 3 กโิ ลกรัม + กากนา้ ตาล 125 มิลลิลิตร + นา้ เปลา่ 10 ลิตร + สารเร่งซปุ เปอรพ์ ด.2 25 กรมั )

16 4) นา้ หมักชวี ภาพสตู รที่ 4 (เปลอื ก จาปาดะ 3 กิโลกรัม + กากนา้ ตาล 125 มิลลิลติ ร + น้าเปลา่ 10 ลิตร + เชือ้ Bacillus sp. 25 มลิ ลิลิตร) 5) นา้ หมกั ชีวภาพสูตรท่ี 5 (เปลอื ก จาปาดะ 3 กิโลกรมั + น้าเปล่า 10 ลติ ร + สารเรง่ ซปุ เปอรพ์ ด.2 25 กรมั ) 6) นา้ หมกั ชีวภาพสูตรท่ี 6 (เปลอื กจาปาดะ 3 กิโลกรัม + นา้ เปล่า 10 ลติ ร + เชือ้ Bacillus sp. 25 มลิ ลิลติ ร) 7) ปยุ๋ เคมสี ูตร 46-0-0 และ 8) ชุดควบคมุ พบว่า ทุกสิ่งทดลองมอี ายุการ เกบ็ เกย่ี ว (31.93-35.67 วัน) และ การรอดตาย (90.00-97.50 เปอรเ์ ซน็ ต)์ ไม่แตกต่างกันทางสถิติ นา้ หมัก ชีวภาพสตู รที่ 4 ให้จานวนใบ ความสงู ต้น และนา้ หนักสดมากท่สี ุด (13.30 ใบ/ตน้ , 40.40 เซนตเิ มตร/ตน้ และ 3,118.93 กโิ ลกรมั /ไร่ ตามลาดบั ) และมคี วามแตกตา่ งทางสถติ ิอยา่ งมนี ัยสาคญั (p≤0.05) กับชดุ ควบคุม (10.27 ใบ/ตน้ , 31.67 เซนตเิ มตร/ต้น และ 1,568.00 กโิ ลกรัม/ไร่ ตามลาดับ) (ธัชวีร์ ขวญั แกว้ , 2554: ออนไลน์)

บทท่ี 3 วธิ ีการด้าเนินงาน วสั ดอุ ุปกรณ์ 1 อนั 1.เศษเปลือกผลไม้ได้แก่ เปลอื กมังคดุ เปลือกเงาะ และเปลอื กสม้ โอ 2.ถังทบึ แสง 1 ถงุ 3.กากนา้ ตาล 4 กระถาง 4.เมล็ดผกั บุ้งจนี 3 ขวด 5.กระถางขนาด 3 นว้ิ 6.ขวดพลาสติกขนาด 1.5 ลิตร 1 อัน 7.ดิน 1 อัน 8.นา้ ประปา 9.กระบอกฉีดน้า 10.บัวรดนา้ วิธกี ารด้าเนนิ งาน วธิ กี ารทานา้ หมักชีวภาพ 1.นาเศษเปลอื กผลไม้ ได้แก่ เปลือกมังคุด เปลอื กเงาะ และเปลือกส้มโอ มาสับ บด โขลกหรือหน่ั เปน็ ชน้ิ เล็ก ๆ 2.บรรจุลงในภาชนะทึบแสง 3.เตมิ กากน้าตาล หรอื นา้ ตาลทรายแดง และส่วนผสมอน่ื ๆ ลงไปตามอตั ราส่วน วตั ถุดิบ ๓ ส่วน กากน้าตาล ๑ ส่วน 4.คน คลกุ เคล้าใหเ้ ขา้ กนั ปดิ ฝาภาชนะ หมกั ไว้ควรเปดิ ฝาคนทกุ ๓ หรือ ๔ วัน

18 5.ครบ 7-15 วนั นา้ หมกั ชีวภาพจะมีกลิน่ หอม 6.หากมีกลน่ิ เหมน็ หรือบูดเน่าใชไ้ มไ่ ด้ ใหเ้ ติมกากน้าตาลหรือน้าตาลทราย แล้วคนใหเ้ ข้ากันท้งิ ไว้ 3-7 วนั กลน่ิ เหม็นหรือกลน่ิ บดู เน่าจะหายไป 7.แยกกรองกากและน้าชวี ภาพ เกบ็ นา้ หมักชวี ภาพเป็นหัวเชอื้ วธิ ีการทดลอง 1.นาหัวเชื้อนา้ หมักชีวภาพปริมาตร 100 ml , 200 ml , 300 ml มาผสมกบั นา้ สะอาด 1 ลติ ร ตามลาดบั 2.โดยใหห้ ัวเชือ้ นา้ หมักชีวภาพปริมาตร 100 ml ทผี่ สมกับนา้ สะอาด 1 ลติ รเปน็ น้าหมกั ชีวภาพชุดท่ี 1 3.ใหห้ ัวเช้อื นา้ หมักชวี ภาพปริมาตร 200 ml ทีผ่ สมกบั น้าสะอาด 1 ลิตรเป็น นา้ หมกั ชีวภาพชดุ ที่ 2 4.ใหห้ ัวเช้ือน้าหมักชวี ภาพปริมาตร 300 ml ทผ่ี สมกับน้าสะอาด 1 ลติ รเป็น น้าหมักชีวภาพชดุ ที่ 3 5.นาน้าหมกั ชีวภาพชุดที่ 1 2 3 และนา้ สะอาดปริมาตร 1 ลติ รมารดต้นผกั บุง้ จีน ทุกๆเช้า วันละ 1 ครง้ั เป็น เวลา 2 สปั ดาห์ 6.สงั เกตและบันทึกผล 7.เก็บรวบรวมขอ้ มูล วดั ผลผลติ ของต้นผักบ้งุ จีนโดยโดย 7.1 นบั จานวนใบทง้ั หมดของตน้ ผกั บุ้งจนี แต่ละต้น ในแต่ละชุดการทดลองแลว้ น้ามาหาค่าเฉลยี่ มี หน่วยเป็น ใบ/ตน้ 7.2 วัดความสูงลาตน้ ของตน้ ผักบุ้งจนี แตล่ ะต้น ในแตล่ ะชุดการทดลอง โดยวัดจากลาต้นทอ่ี ยู่ชดิ ดิน จนถงึ ปลายยอดของตน้ มะเขือเปราะ แล้วนา้ มาหาคา่ เฉลีย่ มีหน่วยเปน็ เซนติเมตร/ต้น

19 8.ตรวจสอบผลการทดลองโดยการนาไปใหก้ ลมุ่ ทดลองคือ เกษตรกรบ้านตน้ แหลงที่ปลูกผักขายจานวน 10 คน โดยใชเ้ ป็นเวลา 1 เดือนและใหป้ ลกู โดยใชด้ นิ ชนดิ เดียวกันและมาจากแหล่งเดียวกนั แล้วทาแบบสอบถาม ประเมนิ ความพึงพอใจ 9.ปรับปรงุ นา้ หมักให้มปี ระสิทธภิ าพดีข้นึ แล้วนาไปให้กลุ่มตวั อยา่ งใชเ้ ปน็ เวลา 1 เดือน แลว้ ทาแบบสอบถาม ประเมินความพึงพอใจ 10. นาแบบสอบถามมาวิเคราะห์ และ สรุปผลการทดลอง

บทท่ี 4 ผลการด้าเนินงาน การวิเคราะห์ข้อมลู การศึกษาเรื่อง อิทธิพลของปริมาณน้าหมกั ชวี ภาพจากเปลือกมังคุด เงาะ และส้ม โอต่อการเจรญิ เติบโตของผกั บุ้งจนี ผู้วจิ ัยไดน้ าขอ้ มลู จากการทดลองผลของน้าหมกั ชวี ภาพจากเปลือกมังคุด เงาะ และส้มโอที่มผี ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของตน้ ผักบุ้งจีนโดยแบง่ ออกเปน็ 4 ชุดการทดลอง และนาผลการ ทดลองที่ได้มาวิเคราะหด์ ้วยวิธกี ารทางสถิติ โดยมีการนาเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ดังต่อไปนี้ ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ตารางที่ 4.1 ชุดการทดลองที่ 1 อตั ราสว่ นระหวา่ งหัวเช้ือน้าหมักชวี ภาพ : น้า คอื 0 : 1 ผลผลิตท่ไี ด้จากต้นผักบุ้งจนี ชดุ การทดลอง จานวนใบของตน้ ผกั บงุ้ จนี (ใบ) ความสงู ของต้นผกั บงุ้ จนี (ซม.) ท่ี 1 ครั้งท่ี 3 คร้งั ที่ 4 ครง้ั ที่ 5 รวม ครง้ั ท่ี ครงั้ ท่ี ครัง้ ท่ี ครงั้ ท่ี ครงั้ ที่ รวม คา่ เฉล่ยี ค่าเฉลีย่ ครงั้ ที่ 1 ครง้ั ท่ี 2 คา่ เฉล่ีย ค่าเฉลยี่ ต้นที่ 1 รวม 18.54 24.23 30.12 91.83 แตล่ ะตน้ รวม ต้นท่ี 2 12345 แตล่ ะตน้ 6.60 12.34 15.79 21.21 26.42 79.18 18.37 ต้นที่ 3 1 5.32 10.44 18.63 24.29 30.25 92.18 15.84 17.89 ต้นท่ี 4 0 1 2 3 5 11 2 6.60 12.41 18.58 24.24 30.18 91.96 18.44 ตน้ ที่ 5 6.60 12.36 18.61 24.27 30.23 92.09 18.39 001247 1 6.60 12.38 18.42 0 2 3 4 5 14 2 0 2 3 4 5 14 2 0 2 3 4 5 14 2 จากตารางที่ 4.1 แสดงให้เห็นวา่ ในชดุ การทดลองท่ี 1 จานวนใบของตน้ ผักบงุ้ จีนที่วดั ท้ังหมด 5 ครั้ง จานวน 5 ต้นเม่อื นามาหาคา่ เฉล่ียแล้วไดป้ ระมาณ 1 ใบ และความสงู ของต้นผักบ้งุ จนี หาคา่ เฉลีย่ ได้ 17.89 เซนติเมตร ตารางที่ 4.2 ชุดการทดลองที่ 2 อตั ราส่วนระหว่างหวั เชื้อน้าหมกั ชีวภาพ : น้า คือ 0.1 : 1 ผลผลิตทไี่ ดจ้ ากตน้ ผกั บงุ้ จนี ชดุ การทดลอง จานวนใบของตน้ ผกั บงุ้ จีน (ใบ) ความสูงของตน้ ผกั บุ้งจนี (ซม.) ท่ี 2 คร้งั ที่ ครัง้ ท่ี ครั้งท่ี ครงั้ ท่ี ครง้ั ท่ี รวม คา่ เฉล่ยี คา่ เฉล่ีย ครงั้ ท่ี 1 ครง้ั ที่ 2 ครั้งที่ 3 ครง้ั ท่ี 4 ครง้ั ที่ 5 รวม คา่ เฉลยี่ ค่าเฉลีย่ ตน้ ที่ 1 รวม ต้นที่ 2 12345 แตล่ ะตน้ รวม แตล่ ะตน้ ต้นที่ 3 22.56 ตน้ ท่ี 4 0 1 2 3 5 11 2 7.40 14.31 21.42 28.23 35.12 106.48 21.30 ต้นที่ 5 1 2 3 3 4 13 2 6.24 13.24 19.79 26.21 32.42 97.90 19.58 1 2 3 4 5 15 3 2 8.26 16.64 22.34 30.29 38.20 115.73 23.15 1 2 3 4 5 15 3 8.34 16.75 22.41 30.32 38.44 116.26 23.25 1 2 3 4 5 15 3 10.04 19.50 25.61 31.64 40.88 127.67 25.53 จากตารางท่ี 4.2 แสดงใหเ้ หน็ วา่ ในชุดการทดลองที่ 2 จานวนใบของต้นผักบ้งุ จีนเม่ือนามาหาค่าเฉลย่ี แล้วได้ ประมาณ 2 ใบ และความสงู ของต้นผักบุ้งจนี หาคา่ เฉลยี่ ได้ 22.56 เซนติเมตร

21 ตารางท่ี 4.3 ชดุ การทดลองที่ 3 อัตราสว่ นระหว่างหัวเช้อื น้าหมักชวี ภาพ : น้า คือ 0.2 : 1 ผลผลติ ที่ได้จากต้นผักบงุ้ จนี ชดุ การทดลอง จานวนใบของตน้ ผกั บ้งุ จีน (ใบ) ความสูงของตน้ ผกั บุ้งจนี (ซม.) ท่ี 3 คร้ังท่ี 3 ครัง้ ที่ 4 ครงั้ ที่ 5 รวม คร้งั ท่ี คร้ังที่ ครัง้ ท่ี ครัง้ ท่ี ครัง้ ที่ รวม ค่าเฉลยี่ คา่ เฉลีย่ ครงั้ ที่ 1 คร้งั ท่ี 2 ค่าเฉล่ยี คา่ เฉลี่ย ต้นที่ 1 รวม 15.42 21.23 26.12 78.08 แตล่ ะตน้ รวม ต้นที่ 2 12345 แตล่ ะตน้ 5.00 10.31 22.79 29.21 36.42 111.46 15.62 ตน้ ที่ 3 3 7.80 15.24 27.34 35.29 41.20 132.67 22.29 23.18 ต้นท่ี 4 1 2 3 4 5 15 3 10.20 18.64 26.36 33.24 40.84 127.95 26.53 ต้นท่ี 5 9.21 18.30 26.61 33.64 40.88 129.45 25.59 1 2 3 4 7 17 3 9.62 18.70 25.89 1 3 4 6 8 22 4 1 3 4 6 9 23 4 1 3 4 7 9 24 4 จากตารางที่ 4.3 แสดงให้เหน็ วา่ ในชดุ การทดลองที่ 3 จานวนใบของต้นผักบุง้ จนี เมื่อนามาหาคา่ เฉลี่ยแลว้ ได้ ประมาณ 3 ใบ และความสูงของต้นผักบงุ้ จนี หาคา่ เฉลยี่ ได้ 23.18 เซนตเิ มตร ตารางที่ 4.4 ชดุ การทดลองที่ 4 อัตราส่วนระหวา่ งหวั เชอื้ น้าหมักชีวภาพ : น้า คือ 0.3 : 1 ผลผลิตที่ได้จากตน้ ผกั บุ้งจนี ชดุ การทดลอง จานวนใบของตน้ ผกั บงุ้ จีน (ใบ) ความสงู ของตน้ ผกั บุง้ จนี (ซม.) ที่ 4 ครงั้ ท่ี 3 ครั้งที่ 4 ครั้งท่ี 5 รวม ครง้ั ที่ ครง้ั ที่ ครั้งที่ คร้ังที่ ครงั้ ท่ี รวม ค่าเฉล่ีย คา่ เฉลย่ี คร้งั ท่ี 1 คร้งั ที่ 2 คา่ เฉลยี่ คา่ เฉลี่ย ตน้ ท่ี 1 รวม 21.42 28.23 35.12 106.18 แต่ละตน้ รวม ต้นที่ 2 12345 แตล่ ะตน้ 7.10 14.31 24.79 32.21 40.42 122.76 21.24 ตน้ ท่ี 3 3 8.90 16.44 24.23 32.29 40.25 121.45 24.55 24.18 ต้นท่ี 4 1 2 4 5 7 19 3 8.68 16.00 25.36 33.24 40.67 126.34 24.29 ต้นท่ี 5 9.21 17.86 25.61 33.64 40.81 127.63 25.27 1 2 3 4 7 17 3 9.62 17.95 25.53 2 3 4 6 7 22 4 1 3 4 6 9 23 4 1 3 4 7 9 24 4 จากตารางที่ 4.4 แสดงให้เหน็ ว่า ในชุดการทดลองท่ี 4 จานวนใบของต้นผักบุง้ จนี เมื่อนามาหาคา่ เฉล่ียแลว้ ได้ ประมาณ 3 ใบ และความสงู ของต้นผักบุ้งจนี หาค่าเฉล่ยี ได้ 24.18 เซนติเมตร

บทที่ 5 สรปุ อภิปรายและข้อเสนอแนะ สรปุ ผลการดา้ เนินโครงงาน จากผลการทดลองอิทธพิ ลของปริมาณน้าหมักชวี ภาพจากเปลือกมังคุด เงาะ และส้มโอตอ่ การ เจริญเติบโตของผักบุง้ จีนจานวน 4 ชุดการทดลอง โดยใช้อัตราสว่ นระหวา่ งหัวเชือ้ น้าหมักชวี ภาพ : นา้ ที่ แตกตา่ งกนั คือ 0 : 1 , 0.1 : 1 , 0.2 : 1 และ 0.3 : 1 ตามลาดับ โดยพบว่าค่าเฉล่ยี จานวนใบของต้นผักบุ้งจีน ที่วัดทั้งหมด 5 ครั้ง จานวน 5 ต้น ของแตล่ ะชดุ การทดลองเปน็ 1 , 2 , 3 และ 3 ตามลาดับ และคา่ เฉล่ียความ สูงของต้นผักบ้งุ จนี ที่หาค่าได้ของแต่ละชดุ การทดลองคือ 17.89 , 22.56 , 23.18 และ 24.18 ตามลาดับ จึงสรุปได้ว่า อัตราสว่ นของหัวเช้อื น้าหมักชีวภาพมีผลต่อค่าเฉล่ียจานวนใบและความสูงของผักบ้งุ จนี โดยเมื่อเพิ่มอัตราสว่ นของหัวเชื้อนา้ หมักชวี ภาพคา่ เฉลย่ี จานวนใบและความสงู ของต้นผกั บงุ้ จนี จะเพม่ิ ขึน้ ตาม เช่นกัน ปญั หาและอุปสรรค 1. เวลาวา่ งของสมาชกิ แต่ละคนในกลมุ่ ไม่ค่อยตรงกนั 2. การบา้ นจากวิชาต่างๆ ท่ตี อ้ งใชเ้ วลานานในการทา การอ่านหนงั สอื เพ่ือเตรยี มสอบตา่ งๆ ทาใหม้ ีเวลา ในการทาโครงงานน้อยลง 3. น้าหมักชวี ภาพมกี ลิ่นเหมน็ บดู เน่า ข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนา สามารถนาผลไม้ทีม่ ีรสเปรยี้ วหรือรสหวานมาทานา้ หมักชีวภาพได้อีก เช่น มะกรูด มะนาว

23 บรรณานกุ รม ณัฏฐว์ รนิ ท์ ธวุ ะคา และ วชั รี ฟัน่ เฟือนหา. (2562). วธิ ีการทดสอบประสทิ ธภิ าพของน้าหมกั . สบื คน้ 13 กันยายน 2564, จาก https://journal.sc.kku.ac.th/files/Vol_47_No_2_P_266-272.pdf เดลินวิ ส์. (2559). สารที่อยใู่ นเปลือกเงาะ. สืบค้น 22 กนั ยายน 2564, จาก https://www.dailynews.co.th/agriculture/513908/ นิตยา โนคา. (2560). การทาน้าหมักชวี ภาพ. สบื ค้น 8 กนั ยายน 2564, จาก http://www.maeramphueng.go.th/attachments/277_ ภทั ราพร แสนเทพ. (2561). สารท่อี ยใู่ นเปลือกมังคดุ . สืบค้น 20 กันยายน 2564, จาก https://www.nsm.or.th/other-service/1757-online-science/knowledge-inventory/sci- article/science-article-nsm/2832- ไมป่ รากฏ. (2560). สารทอ่ี ยใู่ นเปลือกสม้ โอ. สืบค้น 20 กนั ยายน 2564, จาก https://www.disthai.com/17066273/ สาทสิ อิม่ ตระกูล. (2563). ประเภทของนา้ หมักชวี ภาพ. สบื ค้น 5 กันยายน 2564, จาก https://vet.kku.ac.th/farm/data3/1.pdf สภุ าพ สุรอิ าจ. (2563). การเตบิ โตของผกั บุ้งจีน. สืบค้น 13 กันยายน 2564, จาก https://www.allkaset.com/contents/ อมรรัตน์ ชมุ ทอง และ ครษิ ฐ์สพล หนูพรหม. (2558). วธิ ีการทดสอบประสทิ ธิภาพของน้าหมกั . สืบค้น 15 กันยายน 2564, จาก https://kukr.lib.ku.ac.th/db/index.php?/kukr/search_detail/result/257884 อมรรตั น์ ชมุ ทอง และ ภทั รพร ภักดีฉนวน. (2562). วิธกี ารทดสอบประสทิ ธภิ าพของน้าหมัก. สืบคน้ 15 กันยายน 2564, จาก http://www.natres.psu.ac.th/Department/PlantScience/sjps/fulltexts/file_15506442362019022 07207.pdf

24 Kaset today. (ม.ป.ป.). ความหมายของผักบุ้ง. สืบคน้ 8 กันยายน 2564, จาก https://www.thaikasetsart.com/ Plookphak. (2563). การเติบโตของผักบุ้งจนี . สืบคน้ 13 กนั ยายน 2564, จาก https://www.plookphak.com/how-to-plant-water-convolvulus/ Prayoddotcom. (2556). สารท่ีอยใู่ นเปลือกเงาะ. สบื คน้ 21 กนั ยายน 2564, จาก https://prayod.com/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%B0-rambutan/ Puechkaset. (2560). ประเภทของน้าหมักชวี ภาพ. สืบค้น 5 กนั ยายน 2564, จาก http://www3.oae.go.th/rdpcc/images/filesdownload/km/ WasanMankhetwit Biker. (2561). สายพนั ธ์ขุ องผักบงุ้ . สืบคน้ 13 กันยายน 2564, จาก https://sites.google.com/site/morningglory1456/home/say-phanthu-phak-bung/say-phanthu- phak-bung

ภาคผนวก

26 ภาพที่ 1 เมลด็ ผกั บุง้ จีน ตราเจียไต๋ ภาพท่ี 2 กระบองพ่นนา้ และน้าหมักชวี ภาพ

27 ภาพที่ 3 กระถางทดลอง 4 ชุด ภาพท่ี 4 แชเ่ มล็ดเตรยี มปลูก

28 ภาพท่ี 5 รดนา้ ดินที่เตรยี มไว้ ภาพท่ี 6 ขดหลุมตนื เพื่อหยอดเมล็ด

29 ภาพที่ 7 ใส่เมล็ดลงในหลุมทขี่ ุดไว้ ภาพที่ 8 กระถางทีม่ ี 5 เมล็ด

30 ภาพท่ี 9 หวั เชือน้าหมกั 100 mL ภาพที่ 10 หัวเชือน้าหมกั 200 mL

31 ภาพที่ 11 หวั เชอื น้าหมัก 300 mL ภาพท่ี 12 การกรอกนา้ หมักแตล่ ะสตู รลงขวด

32 ภาพที่ 13 ขวดน้าหมกั ทงั 3 สูตร ภาพที่ 14 การเก็บผลครงั สดุ ท้ายของชุดการทดลองที่ 1

33 ภาพที่ 15 การเก็บผลครังสดุ ท้ายของชุดการทดลองที่ 2 ภาพท่ี 16 การเก็บผลครังสดุ ทา้ ยของชุดการทดลองท่ี 3

34 ภาพท่ี 17 การเก็บผลครังสดุ ทา้ ยของชุดการทดลองท่ี 4


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook