1 รายงาน วชิ า คอมพวิ เตอรแ์ ละสารสนเทศเพื่องานอาชพี (รหสั วิชา 20001-2001) เรือ่ ง ความรเู้ บื้องตน้ เก่ยี วกับอินเทอร์เนต็ จัดทำโดย นายเฉลมิ ชยั ปล้องมะณี รหัสประจำตัวนกั เรียน(65201040004) เลขท่ี4 ปวช.2/1 สาขาวิชาช่างไฟฟ้ากำลงั เสนอ อาจารย์ นิจยา อนิ ทรป์ ระสทิ ธ์ิ รายงานนี้เปน็ ส่วนหนึง่ ของรายวชิ า คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพอื่ งานอาชีพ (รหสั วชิ า 20001- 2001) หลกั สตู รประกาศนียบัตรวิชาชพี (ปวช.) ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2566 วิทยาลยั เทคนคิ ทา่ หลวง จังหวดั ลพบรุ ี
2 รายงาน วชิ า คอมพวิ เตอรแ์ ละสารสนเทศเพื่องานอาชพี (รหสั วิชา 20001-2001) เรือ่ ง ความรเู้ บื้องตน้ เก่ยี วกับอินเทอร์เนต็ จดั ทำโดย นายเฉลมิ ชยั ปล้องมะณี รหัสประจำตัวนกั เรียน(65201040004) เลขท่ี4 ปวช.2/1 สาขาวิชาช่างไฟฟ้ากำลงั เสนอ อาจารย์ นจิ ยา อนิ ทรป์ ระสทิ ธ์ิ รายงานนี้เป็นส่วนหนึง่ ของรายวชิ า คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพอื่ งานอาชีพ (รหสั วชิ า 20001- 2001) หลกั สตู รประกาศนียบัตรวิชาชพี (ปวช.) ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2566 วิทยาลยั เทคนิคทา่ หลวง จังหวดั ลพบรุ ี
ก คำนำ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา (20001-2001) การวัดประเมินการเรียนรู้และคุณภาพ ของผ้เู รียนโดยมีจดุ มุง่ หมายหลักวิชา คอื เข้าใจหลักการและกระบวนการใชค้ อมพเิ ตอรแ์ ละเทคโนโลยี สารสนเทศเพื่องานอาชีพการใช้ระบบปฏิบัตรการ โปรแกรมสำเร็จรูปและอินเทอร์เน็ตเพื่องานอาชีพ สามารถใช้ระบบปฏิบัตรการคอมพิวเตอร์ โปรแกรมสำเร็จรูปและเทคโนโลยีสารสนเทศตามลักษณะ งานอาชีพ มีคุณะรรม จริยธรรมและความรับผิดชอบในการใช้คอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศใน งานอาชพี ผู้จัดทำขอขอบคุณ อาจารย์นิจยา อินทร์ประสิทธิ์ อาจารย์ประจำวิชา ผู้ให้ความรู้และ แนวทางการศึกษา ผ้จู ดั ทำหวังเป็นอย่างย่ิงว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชนแ์ ก่ผู้ท่ีศึกษาและเปร็ การ ตอ่ ยอดใหผ้ ู้ทีส่ นใจสามารถนำไปศึกษาตอ่ ได้ในอนาคต ผู้จดั ทำ นายเฉลิมชยั ปลอ้ งมะณี
ข สารบญั หนา้ 1 เร่ือง 3 อนิ เทอรเ์ น็ตเบือ้ งตน้ 4 ความหมายของอินเทอรเ์ นต็ 5 ความเปน็ มาของอนิ เทอรเ์ น็ต 6 อนิ เทอรเ์ นต็ ประเทศไทย 8 องคป์ ระกอบและการทำงานของอนิ เทอร์เน็ต 11 อุปกรณ์เครอื ขา่ ยและเทคโนโลยบี นอนิ เทอรเ์ นต็ ประโยชนข์ องเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอรเ์ น็ต
ค
1 บทที่1 อินเทอรเ์ น็ตเบือ้ งตน้ ในยุคปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศ (information technology : IT) มีบทบาทกับชีวิตประจําวัน เป็นอย่างมากทั้งทางตรง และ ทางอ้อม เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อให้ สามารถนําไปใช้งานให้เกิดประโยชน์ทั้งการติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล การจัดเก็บ หรือ ประมวลผล ข้อมูล เทคโนโลยีที่ในปัจจุบันประกอบไปด้วย เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ (computer technology) และ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารและการโทรคมนาคม (communication technology) คอมพิวเตอร์ (computer) เป็นเครื่องคํานวณอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถประมวลผลข้อมูลใน รูปแบบ ของไฟล์ดิจิตอล สามารถประยุกตใ์ ช้งานเพ่ือให้เกิดประโยชนไ์ ด้หลากหลาย ตามพจนานุกรม ฉบับ บัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้นิยามไว้ว่า “คอมพิวเตอร์คือ เครื่องคํานวณอิเล็กทรอนิกส์แบบ อัตโนมัติ ทําหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สําหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทาง คณิตศาสตร”์ องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์จะประกอบไปด้วย ฮาร์ดแวร์ (hardware) หมายถึง ส่วนท่ี สามารถ จับต้องได้และเห็นเป็นรูปธรรม เช่น คีย์บอร์ด เมาส์หน้าจอ ลําโพง เป็นต้น ซอฟต์แวร์ (software) หมายถึง คําสั่งหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งรวมไปถึงระบบปฏิบัติการ (operating system : OS) และ โปรแกรมประยุกต์ (application software) นอกจากนั้นองค์ประกอบของ คอมพวิ เตอรย์ งั รวมไปถงึ บคุ คล หรือบคุ ลากรที่เก่ียวข้องกบั คอมพิวเตอรแ์ ละ ขอ้ มูลสารสนเทศ (data information) ทีป่ ้อนใหก้ บั อปุ กรณ์ คอมพวิ เตอรเ์ พื่อใชส้ าํ หรบั การประมวลผล
2 การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์มากกว่าหนึ่งเครื่องขึ้นไป เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารหรือ แลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันได้เรียกว่า เครือข่าย (network) ซึ่งวัตถุประสงค์ในการเช่ือมต่อมี หลากหลายหลาย เชน่ เพ่อื การแลกเปลย่ี นขอ้ มูล รวมไปถึงการแบ่งปัน หรอื ใช้ทรพั ยากรรว่ มกนั เป็น ต้น ทําให้เกิดประโยชน์ สูงสุดในการใช้งานอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เช่น การแบ่งปันข้อมูลพนักงานใน บริษัท ข้อมูลการลงทะเบียน ของนักศึกษา แบ่งปันพื้นท่ีในฮาร์ดดิสกห์ รอื การแชร์ปรนิ ท์เตอร์เป็นต้น เครือข่ายสามารถเชื่อมต่อและ กําหนดค่าการเชื่อมต่อได้ผ่านอุปกรณ์เครือข่าย ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือก มากมาย เชน่ โมเดม็ (modem) อุปกรณ์จัดเสน้ ทาง (router) ฮับ (hub) หรอื สวิตซ์ (switches) เปน็ ตน้ การเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในองค์กร หน่วยงาน เรียกว่า เครือข่ายระยะใกล้ (local area network : LAN) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “แลน” ในปัจจุบันมีทั้งการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบ ใชส้ าย (wire network) และ การเชื่อมตอ่ เครอื ขา่ ยแบบไรส้ าย (wireless network) เชน่ ไวไฟ (wifi) บลทู ูธ (bluetooth) เป็นต้น การเชอ่ื มต่อเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ภายนอกองคก์ ร หรือ การเชอื่ มตอ่ กับผู้ใหบ้ ริการสัญญาณ อินเทอร์เน็ต (internet service provider : ISP) เรียกว่า เครือข่ายระยะไกล (wide area network : WAN) เช่น สัญญาณอินเทอร์เน็ตจากเครือข่ายโทรศัพท์เครือข่ายใยแก้วนําแสง (fiber optic) การ เช่ือมต่อ ผ่านดาวเทยี ว (satellite) เปน็ ตน้ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์มากกว่าหนึ่งเครื่องขึ้นไปนี้เรียกว่า เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer network) และเมื่อเครือข่ายหลาย ๆ เครือข่ายเชื่อมต่อกันเป็นโครงข่ายขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถ ติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครือข่ายได้ในระดับสากล เรียกว่า “อนิ เทอร์เน็ต”
3 ความหมายของอนิ เทอรเ์ นต็ อินเทอร์เน็ต (internet) หมายถึง เครือข่ายในระดับสากล เป็นช่องทางสําหรับการเชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์ทั่วโลก การเชื่อมต่อเครือข่ายหลาย ๆ เครือข่ายเกิดเป็นโครงข่ายขนาดใหญ่ที่เรียกว่า เครือข่ายใยแมงมุม (world wide web : www) หรือเรียกส้ัน ๆ ว่า “เว็บ” ประโยชน์ในการเช่ือมต่อ ใช้ งานอินเทอร์เน็ตมีมากมายหลากหลาย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้เชื่อมต่อใช้งาน (user) เช่น แสวงหา ความรู้ดูรายละเอียดสินค้า เช็คอีเมล ทําธุรกรรมบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ชําระค่าบริการ หรือ เพื่อความ บันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ดูหนงั ฟังเพลง เล่นเกมส์ดาวน์โหลดไฟล์เอกสาร มัลติมีเดีย เป็นตน้ ในยุคที่อินเทอร์เน็ตกําลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นที่นิยม และ มีผู้เชื่อมต่อใช้งานจํานวนมาก อินเทอร์เน็ตจึงก่อให้เกิดโอกาส และ บริการใหม่ๆ มากมาย เช่น การทําธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ต พบปะ สนทนา แลกเปลี่ยนข้อมูล เป็นต้น นอกจากนี้อินเทอร์เน็ตยังเป็นสื่อที่นําเสนอความบันเทิงท่ี รองรับ สื่อมัลติมีเดีย (multimedia) ใรรูปแบบต่าง ๆ จํานวนมหาศาล ทําให้ผู้ใช้งานเข้าถึงสื่อ เหล่านั้นได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และ สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา อินเทอร์เน็ตยังเป็นพื้นที่เพื่อให้ ผู้ใช้งานสามารถ ประชาสัมพันธ์นําเสนอสินค้า และ บริการในรูปแบบที่น่าสนใจ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ อย่างทั่วถึง แม่นยํา มีการกล่าวว่า “ธุรกิจใดไม่สนใจโลกอินเทอร์เน็ต ธุรกิจนั้นกําลงปฏ ั ิเสธอนาคต ของตวั เอง”
4 ความเปน็ มาของอนิ เทอรเ์ น็ต หากจะกลา่ วถงึ ประวตั ิความเปน็ มาของเครอื ข่ายอินเทอรเ์ น็ตแลว้ คงเรมิ่ ต้นจากแนวความคิด เรื่อง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ต้องการให้ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ต่างระบบปฏิบัติการสามารถทําการ เชื่อมต่อ ติดต่อสื่อสาร หรือ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้จากอดีตจนถึงปัจจุบันมีการพัฒนาท้ัง เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์และ เทคโนโลยกี ารสือ่ สารและการโทรคมนาคม แนวคิดแรกเกิดขึ้นในช่วงปีค.ศ.1950 และ เริ่มปฏิบัติจริงในช่วง ค.ศ.1960 ในยุคสงคราม นิวเคลียร์หรือ สงครามเย็น ที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต รวมไปถึงการแข่งขัน ทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ ทําให้เกิดการตื่นตัวที่จะพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรัฐบาล สหรัฐอเมริกา โดยกระทรวงกลาโหมได้ก่อตั้งหน่วยงานวิจัยชั้นสูงชื่อว่า “อาร์พาเน็ต” (Advance Research Projects Agency Network : ARPANET) มีการสนับสนุนทุนสําหรับโครงการวิจัย และ ริเริ่ม โครงการเกี่ยวกับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทางการทหาร ด้วยความเชื่อมั่นว่า การกระจาย เครือข่ายโดย ไม่มีศูนย์กลาง สามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายจากการสู้รบ และ หากถูกโจมตีด้วย ระเบิดนิวเคลียร์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ยังสามารถเชื่อมต่อกัน และ รับส่งข้อมูลระหว่างกันได้โดยไม่ ถกู ตดั ขาด การเชื่อมโยงเครือข่ายของอาร์พาเน็ตครั้งแรก เป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างมหาวิทยาลัย แคลฟิ อร์เนยี กับสถาบันวจิ ัยสแตนฟอรด์ ในชว่ งปีค.ศ.1969 และ ไดเ้ ติบโตข้นึ อย่างรวดเร็ว ปัจจุบนั ได้ มี การพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นจุดเด่นของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยใช้รูปแบบ โครงสร้างการ ติดต่อสื่อสารแบบ “ทีซีพี/ไอพี” (Transmission Control Protocol/Internet Protocol : TCP/IP) ซึ่ง เป็นมาตรฐาน ข้อตกลง กฎ หรือ ระเบียบ ที่ทําให้คอมพิวเตอร์สามารถ เชื่อมต่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง กันได้นอกจากนี้ทีซีพี/ไอพียังเป็นมาตรฐานที่ว่าด้วยการกําหนด วธิ กี ารตดิ ต่อสอื่ สารระหว่างคอมพวิ เตอร์
5 อินเทอร์เน็ตเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์มากขึ้น ทําให้มีการขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ออกไปทวั่ โลก กอ่ ใหเ้ กิดรปู แบบการใหบ้ รกิ ารต่าง ๆ มากมาย ปัจจุบนั มีผูใ้ ช้งาน (user) คอมพวิ เตอร์ ผู้ร้องขอบริการ (client) และ ผู้ให้บริการ (server) ทําการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหลาย พันล้านเครื่อง ดังภาพ ที่ 1.5 ที่แสดงถึงสถิติการเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตของประชากรทั่วโลกในช่วงปี ค.ศ.1993 – 2013 ในช่วงปีค.ศ.1995 มีผู้เชื่อมต่อใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตน้อยกว่า 1% ของประชากรทั่ว โลก ปีค.ศ.1999 ถึง ค.ศ.2013 มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในปีค.ศ.2005 มี ผู้ใช้งาน อินเทอร์เน็ตทั่วโลกมากถึงหนึ่งพันล้านคน และ เพิ่มขึ้นเป็นสองพันล้านคนในปีค.ศ.2010 ใน ปัจจุบนั ประชากรทั่วโลกประมาณ 40% สามารถเช่ือมต่อกบั เครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตประเทศไทย ประเทศไทยเริ่มเชื่อมโยงระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตตั้งแต่กลางปีพ.ศ.2530 โดย มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ได้ทําการส่งอิเล็กทรอนิกส์เมล์กับประเทศออสเตรเลีย ทําให้มีระบบ อิเล็กทรอนกิ สเ์ มล์ทท่ี ํา การเช่อื มตอ่ กบั เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรกในประเทศไทย (สารานุกรม ไทยสําหรับเยาวชน, 2554) ในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2535 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เช่าสายวงจรเชื่อมต่อกับ เครือข่าย อินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยศูนย์ เทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แหง่ ชาติได้ดําเนินโครงการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระหว่าง มหาวิทยาลัยภายในประเทศ และได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นเป็นลําดับจนทําให้มีกลุ่ม สถาบนั การศกึ ษาสามารถ เช่อื มตอ่ เครอื ขา่ ยอินเทอร์เนต็ เปน็ กลมุ่ แรก ไดแ้ ก่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรแ์ ละ ศูนยเ์ ทคโนโลยี อเิ ลก็ ทรอนิกสแ์ ละคอมพวิ เตอรแ์ หงชาติ
6 ในปีพ.ศ.2535 เครือข่ายระหว่างมหาวิทยาลัยเชื่อมโยงกันโดยมีศูนย์กลาง คือ ศูนย์ เทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติและ โดยใช้ชื่อเครือข่ายนี้ว่า “เครือข่ายไทยสาร” (THAI Social / Scientific, Academic and Research Network : THAISARN) ทําหน้าที่ในการ เชื่อมโยงภายในเครือข่าย คอมพิวเตอร์ภายในประเทศ ทําให้ทุกเครือข่ายย่อยสามารถเชื่อมโยงเป็น อินเทอร์เน็ตในระดับสากลได้ สัญญาณอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยจะถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท ใหญ่ ๆ ได้แก่ สัญญาณ อินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ หรือ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider : ISP) สําหรับบริษัทที่เปิดให้บริการเช่าสายสัญญาณเพื่อให้ผู้ใช้งานเชื่อมต่อ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยทั่วไป เช่น True TOT 3BB เป็นต้น และ สัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อ การศึกษาและการวิจัย เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านการ จัดการศึกษาและการวิจัยของประเทศ ระบบเปน็ เครือขา่ ยแบบกระจายและทําการเชอื่ มต่อโครงขา่ ยท่ัว ประเทศโดยใชใ้ ยแก้วนําแสง (fiber optic) ซึ่ง หน่วยงานทเ่ี กี่ยวข้องกับการศึกษาสามารถขอใช้บริการไดฟ้ รี ทว่ั ประเทศ โดยหน่วยงานท่ีผู้รับผิดชอบ คอื สาํ นกั งานบริหารเทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ การศึกษา หรอื UniNet (http://www.uni.net.th/) องค์ประกอบและการทํางานของอนิ เทอร์เนต็ รูปแบบการทํางานของอนิ เทอรเ์ นต็ ประกอบไปดว้ ย 3 ส่วนหลกั ๆ ดงั น้ี 1. ผู้ร้องขอบริการ (Client) คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งาน หรือ เครื่องผู้ร้องขอบริการ ที่มี อยู่บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งไม่จําเป็นต้องเป็นคอมพิวเตอร์เสมอไป อาจจะอยู่ในรูปแบบของ แท็บเล็ต (tablet) สมาร์ทโฟน (smartphone) หรือ โน้ตบุ๊ก (notebook) ที่ทําการเชื่อมต่อระบบ เครือข่าย และ ร้องขอข้อมูล หรือ บริการต่าง ๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผ่านมาตรฐาน ข้อตกลง ข้อกําหนด หรือกฏ ระเบียบที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างเครือ่ งผูร้ ้องขอบริการกับเครือ่ งผูใ้ ห้บริการ เช่น เวบ็ ไซต์ (website) อเี มล (email) การถ่ายโอนไฟล์ (file transfer) ฐานข้อมลู (database) โปรแกรม ประยุกต์ (application) มลั ติมเี ดีย (multimedia) หรือ ไฟล์เอกสาร (document) เปน็ ต้น 2. ผู้ให้บริการ (Server) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายที่เปิดให้บริการต่าง ๆ บนเครือข่าย อินเทอร์เน็ตเพื่อรองรับการร้องขอจากผู้ร้องขอบริการ รูปแบบการให้บริการมีอยู่หลากหลาย เช่น web server, mail server, file server, database server, multimedia server ห รือ application server เปน็ ตน้ 3. เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer network) เป็นรูปแบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงระหวา่ งผู้ ร้อง ขอบริการและผู้ให้บริการ รูปแบบของเครือข่าย หรือ การเชื่อมต่อมีอยู่หลากหลาย มีทั้งที่เป็น การเชื่อมต่อ เครือข่ายแบบใช้สายและการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบไร้สาย เช่น สัญญาณไวไฟ เครือข่าย โทรศพั ท์เคลื่อนท่ี หรอื การเชือ่ มต่อเครอื ข่ายภายในโดยใชส้ ายแลน เป็นตน้
7 การทํางานของอินเทอร์เน็ตเริ่มต้นจากผู้ใช้งานทําการเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์กับ เครือข่าย อินเทอร์เน็ต เครื่องที่ร้องขอบริการอาจจะอยู่ในรูปแบบบของโน้ตบุ๊ก สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต ผู้ใช้งาน สามารถร้องขอบริการต่าง ๆ จากผู้ให้บริการที่มีอยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่าน โปรแกรมประยุกต์เช่น โปรแกรมประยุกต์ที่อยู่ในกลุ่มของเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) เช่น Internet Explorer, Mozilla Firefox, Google Chrome เป็นต้น ใช้สําหรับเข้าถึงบริการในรูปแบบ ของเว็บไซตผ์ ู้ใช้งานจะต้องรอ้ งขอ (request) ข้อมูล หรอื บรกิ ารไปยังเคร่ืองผู้ให้บรกิ ารผ่านเครือข่าย อินเทอร์เน็ตโดยใช้ที่อยู่ (address) ของ เครื่องผู้ให้บริการในการอ้างอิงตําแหน่ง เช่น การระบุ หมายเลขประจําเครอ่ื ง (IP address) หรอื ชื่อของ เวบ็ ไซต์ (domain name) เป็นต้น เมอื่ มีการร้องขอบรกิ ารผู้ให้บรกิ ารจะทําการค้นหาไฟล์เอกสารที่ผรู้ อ้ งขอบริการตอ้ งการ หาก ค้นหา ว่ามีไฟลเ์ อกสารน้ันอยู่ ผู้ใหบ้ ริการจะตอบสนองบรกิ ารโดยการส่งเอกสารที่ผู้ใช้งานตอ้ งการนั้น กลับไปยัง ผรู้ อ้ งขอบรกิ าร (respond) ผา่ นเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต หลงั จากทผ่ี รู้ ้องขอบริการได้รับไฟล์ เอกสารที่เครื่อง ผู้ให้บริการส่งกลับมา เว็บเบราว์เซอร์จะทําการแปลรหัส หรือ โค๊ดคําสั่ง ให้อยู่ใน รูปแบบทีส่ ามารถสอื่ สาร ผใู้ ชง้ านได้เช่น หน้าเวบ็ เพจ รปู ภาพ ข้อความ เพลง วดี ีโอหรอื หนัง เป็นตน้ ความเร็วในการบั ส่งข้อมูลจากเครือ่ งผู้ร้องขอบริการกับเครือ่ งผู้ใหบ้ ริการ ขึ้นอยู่กับความเรว็ ในการ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และ ขนาดของไฟล์เอกสารที่เครื่องผู้ให้บริการส่งกลับมา หน่วยที่ใช้ใน การวัด ความเรว็ ในการรับส่งขอ้ มูลบนเครือข่ายอินเทอร์เนต็ คือ “บิตต่อวนิ าที” (bits per second : bps) เช่น อินเทอร์เน็ต 10Mbps หมายถึง ใน 1 วินาทีสามารถรับส่งข้อมูลได้จํานวน 10,000,000 บิต ซึ่งตัวเลข หรือ ตัวอักษรหนึ่งตัวจะเท่ากับ 1 ไบต์ (byte : B) โดยประกอบไปด้วยจํานวนบิต ท้ังหมด 8 บติ เป็นตน้
8 อปุ กรณเ์ ครือขา่ ยและเทคโนโลยีบนอินเทอร์เนต็ อุปกรณ์ที่ใช้สําหรบั เชื่อมต่อเครอื ข่ายอินเทอร์เน็ตมีให้เลือกหลากหลาย ขึ้นอยู่กับขนาดของ เครือขา่ ย ความเรว็ ทตี่ อ้ งการ และ รูปแบบการบริการภายในเครอื ข่าย เชน่ ตอ้ งการเครอื ขา่ ยทร่ี องรับ จาํ นวนลกู ข่ายภายในเครอื ขา่ ยมากนอ้ ยเพียงใด ความเรว็ เทา่ ใด ตอ้ งการระบบภายในอะไรบ้างเพ่ือให้ รองรับการทํางานของบุคลากรในองค์กร หรือ หน่วยงานนั้น ๆ ในหัวข้อนี้ขอยกตัวอย่างอุปกรณ์ เครือข่ายท่ี จําเป็นภายในบ้าน หรือ สํานักงานขนาดเล็ก ให้นักศึกษาได้ศึกษาการทํางานของอุปกรณ์ เครอื ข่ายดังนี้ 1. โมเด็ม (modulate and demodulate : modem) ทําหน้าที่ในการแปลงสัญญาณ อนาล็อก (analog signals) จากสายสญั ญาณโทรศพั ท์ใหก้ ลายเปน็ สัญญาณดจิ ิตอล (digital signals) เพื่อให้สามารถใช้งานในระบบประมวลผลข้อมูลของคอมพิวเตอร์ได้และ แปลงสัญญาณดิจิตอลจาก เครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณอนาล็อกเพื่อส่งไปบนคู่สายโทรศัพท์ เพื่อร้องขอบริการจากผู้ ให้บริการ ผ่านเครอื ข่ายอนิ เทอร์เน็ต 2. อุปกรณ์จัดเส้นทาง (router) เป็นอุปกรณ์ที่ทํา หน้าที่เชื่อมต่อเครือข่าย หรือ เลือก ช่องทางในการส่งผ่าน ข้อมูลที่ดีที่สุดในการเชื่อมต่อเครือข่าย ทําให้สามารถเชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์ได้ มากกว่าหนึ่งแครือข่ายในเวลาเดียวกัน ใน ปัจจุบันอุปกรณ์จัดเส้นทางอาจถูกติดตั้งโมเด็ม อุปกรณ์ รวม สายและ อปุ กรณป์ ล่อยสัญญาณไร้สายมาดว้ ยในตัว เพอ่ื ให้ใช้ งานได้งา่ ยและสะดวกในการติดต้ัง อปุ กรณ์
9 3. การ์ดแลน (LAN card) หรือ อินเทอร์เน็ตการ์ด เป็นอุปกรณ์ที่ทําหน้าท่ีในการรับส่งขอ้ มูล จากเครื่อง คอมพิวเตอร์จากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง หรือ เชื่อม ต่อไปยังอุปกรณ์รวมสาย ผ่าน สายสัญญาณที่ใช้สําหรับ เชื่อมต่อเครือข่าย ซึ่งอาจติดตั้งมากับเมนบอร์ดของเครื่อง คอมพิวเตอร์ เรียกว่า การ์ดแลนแบบออนบอร์ด หรือ ติดตั้ง ภายนอก ซึ่งความเร็วในการเชื่อมต่อมีหลาหลาย เช่น 1000 Mbps ท่เี รยี กกันว่า กิกะบติ แลน (Gigabit LAN) 4. การ์ดไร้สาย (wireless card) เป็นอุปกรณ์ที่ทําหน้าที่ในการรับส่งข้อมูลจากเครื่อง คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งในระบบเครือข่ายโด ยใช้สัญญาณวิทยุซึ่งเป็นการเชื่อมต่อ เครือข่ายแบบไร้สาย ทําให้ติดตั้งใช้งานได้ง่าย สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย และ ใช้งาน แต่มีข้อจํากัด เรื่อง ระยะทางในการเชื่อมต่อ ซึ่งจะต้องไม่อยู่ไกลจากอุปกรณ์ปล่อยสัญญาณไร้สายมากเกินไป เหมาะสําหรับ การรับส่งข้อมูล หรือ ใช้งานไม่หนักมากเกินไป เช่น เว็บไซต์เช็คอีเมล โซเชียลเน็ตเวิร์ค เปน็ ต้น โดยท่วั ไป การ์ดไร้สายจะตดิ ตง้ั มากบั อปุ กรณเ์ คลอื่ นที่อยแู่ ลว้ 5. สายยูทีพี (Unshield Twisted Pair : UTP) เป็นสายสัญญาณที่ทําหน้าที่เชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ เชื่อมต่อเครือข่ายระยใกล้หรือ ที่เรียกว่า “สายแลน” ซึ่งการ เชื่อมต่อกับ อุปกรณ์เครือข่าย สายสัญญาณจะต้องประกอบไป ด้วยสายยูทีพีและ หัวที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับ อุปกรณ์ เครอื ข่าย ทเี่ รียกวา่ “หวั RJ45”
10 6. ฮับ (hub) หรือ สวิตซ์ (switches) ทําหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ภายใน เครือข่าย หรือ เป็นอุปกรณ์รวมสาย และ กระจายสัญญาณข้อมูลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งหมดภายใน เครือข่าย เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ สวติ ซส์ ามารถรบั ส่ง ขอ้ มลู ได้หลายเคร่อื งพร้อมกนั แต่ฮบั จะสง่ ขอ้ มลู ไดท้ ีละเคร่ือง อปุ กรณ์ท้ังสองจะ มีหลายช่องสัญญาณ หรือ พอร์ท ผู้ใช้งานจะต้องเลือกใช้ตามจํานวนลูกข่ายที่มีอยู่ในเครือข่ายของ ผู้ใชง้ านเอง 7. อุปกรณ์ปล่อยสัญญาณไร้สาย (wireless access point : wap) หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า “AP” เป็นอุปกรณ์ที่ทําหน้าที่ปล่อยสัญญาณที่ใช้สําหรับ เชื่อมต่อเครือข่ายโดยใช้คลื่นวิทยุการ เชื่อมต่อจะต้อง ใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อแบบไร้สาย เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ กับเครือข่าย ซึ่งอาจถูกติดตั้ง มากบั อุปกรณ์จัดเสน้ ทาง หรือ สามารถตดิ ตง้ั ภายนอก การเชอื่ มต่ออินเทอรเ์ น็ต การติดตอ่ สอื่ สารแลกเปลย่ี นข้อมูลจะตอ้ งใชม้ าตรฐานท่ีว่าดว้ ยการกาํ หนดระเบยี บวิธีการใน การ ติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นระเบียบวิธีการสื่อสารที่เป็นมาตรฐานในระดับสากล เรียกว่า โพรโทคอล (protocol) โดยโพรโทคอลที่เป็นมาตรฐานหลักสําหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต คือ ทีซีพี/ไอพี (Transmission Control Protocol/Internet Protocol : TCP/IP) ซึ่งอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะต้องมีหมายเลขประจําเครื่อง หรือ หมายเลขไอพี แอดเดรส สําหรับอ้างอิงในการ ติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์และ อุปกรณ์อื่น ๆ ภายใน เครอื ขา่ ย
11 ภายในเครือข่ายหมายเลขไอพีแอดเดรสของทุก ๆ อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์จะต้องเป็นหมายเลขที่ไม่ซ้ํากันภายในเครือข่าย หรือ หากเป็นผู้ให้บริการในระดับสากล หมายเลขประจําเครื่องที่ใช้สําหรับการอ้างอิงตําแหน่งจะต้องไม่ซ้ํากันทั่วโลก ในการเชื่อมต่อกับ อินเทอร์เน็ตความเร็วสงู ในปัจจุบนั ผู้ใช้งานจะต้องทําการเชา่ สายสัญญาณจาก ผู้ให้บริการ (Internet Service Provider : ISP) และ จะตอ้ งติดตั้งสายสัญญาณโทรศัพทจ์ ากชมุ สาย โทรศัพท์ท่ีใกล้กับที่พัก อาศัย กล่าวง่าย ๆ คือ ISP ทําหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้งานกับเครือข่ายในระดับ สากล ทําให้ ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ เช่น นักศึกษาสามารถดูผลการเรียน ข้อมูลการลงทะเบียน ตารางเรียน โดยการเชื่อมต่อไปยัง เครื่องผู้ให้บริการของมหาวิทยาลัยผ่าน เครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต หรือ นักศึกษาสามารถติดต่อกับอาจารย์ ผู้สอน พูดคุยสนทนากับเพ่ือนทั้งที่อยู่ ในหรือต่างประเทศผา่ นผ้ใู ห้บรกิ ารดา้ นการตดิ ต่อส่ือสาร เป็นต้น ประโยชนข์ องเทคโนโลยีคอมพวิ เตอรแ์ ละอินเทอรเ์ นต็ เทคโนโลยีในปัจจุบันทําให้สามารถเข้าถึงข้อมูล หรือ บริการต่าง ๆ ทั่วโลกได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว หากรวมเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กับเทคโนโลยีการสื่อสารการโทรคมนาคมในปัจจุบัน และ นําไปใช้งาน ในทางสร้างสรรค์อินเทอร์เน็ตจะเป็นชอ่ งทางและเป็นประโยชนอ์ ย่างมหาศาลในหลาย ๆ ดา้ น เช่น 1. ด้านการติดตอ่ สื่อสาร อินเทอร์เน็ตทาํ ให้ผู้ใชง้ านทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างอสิ ระ ปราศจากข้อจํากัดเดิม ๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีรูปแบบการให้บริการด้านการติดต่อสื่อสาร มากมาย เช่น อีเมล การรับส่งข้อความ การสนทนาออนไลน์เครือข่ายสังคมออนไลน์หรือ โซเชยลม ี ี เดีย เป็นตน้
12 เทคโนโลยีการสื่อสารและการโทรคมนาคมในปัจจุบันทําให้อินเทอร์เน็ตมีความเร็วในการ ติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เพิ่มขี้น ทําให้รองรับการรับส่งข้อมูลท่ี หลากหลาย และ มปี ริมาณมาก สามารถแลกเปลยี่ นข้อมลู สอื่ มลั ติมเี ดียไดง้ า่ ย สะดวก รวดเรว็ รองรับ การ สนทนาแบบเวลาจริง (real time) สามารถสนทนาแบบเห็นหน้ากันในขณะนั้น รองรับการ ประชุมทางไกล (teleconference) เป็นตน้ ซึ่งลดข้อจาํ กัดทางดา้ นเวลา หรือ ระยะทางได้ การติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์เสมอไป ผู้ใช้งานอาจ เข้าถึงการให้บริการต่าง ๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น แท็บ เลต็ สมารท์ โฟน เป็นตน้ ทําใหง้ ่ายตอ่ การใช้งาน มีขนาดเล็กพกพาได้งา่ ย และ ยงั สามารถใช้งานได้ทกุ ท่ที ุกเวลา 2. ด้านการศึกษา อินเทอร์เน็ตสามารถประยุกต์ใช้ทางด้านการศึกษา เพื่ออํานวยความ สะดวกใน หลาย ๆ ด้าน เช่น การบริหารการศึกษา การลงทะเบียนออนไลน์ตารางเรียนผ่านเครอื ขา่ ย อนิ เทอรเ์ นต็ ระบบรายงานผลการเรียน เป็นต้น อินเทอร์เนต็ รองรบั สื่อมัลติมเี ดยี ที่หลากหลายรปู แบบ ทําให้สามารถ ประยุกต์ใช้งานทางด้านการศึกษาได้มาก เช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบน เครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต ทาํ ให้ผู้เรียนสามารถเข้าเรียนเน้ือหา ทบทวน ฝกึ ปฏิบตั ิได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการถ่ายทอดการเรียนการ สอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รองรับการศึกษาทางไกล รวมไปถึง กิจกรรมการเข้ากลุ่มสนทนาเนื้อหาการ เรียนการสอน ทําให้เกิดการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์กับผู้เรียน ลดความเหลอื่ มลา้ํ ในสงั สงั คม เปน็ ต
13 นอกจากนั้นอินเทอร์เน็ตยังเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าที่รวมรวบองค์ความรู้สําหรับผู้เรียน หรือ ผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งรองรับสื่อหลากหลายประเภท หลากหลายภาษา ส่งเสริมให้เกิดทักษะในการคิด วเิ คราะห์ และ เกดิ การเรียนรจู้ ากแหล่งสบื คน้ ขอ้ มูลทมี่ ีประสทิ ธิภาพ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตยังเป็นช่องทางให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอคําแนะนํา คําปรึกษาจากผู้ท่ีมีความรู้ในด้านที่ผู้ใช้งานสนใจได้อย่างอิสระ ทําให้เกิดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกัน โดยไม่ จําเป็นต้องอยู่แค่ในห้องเรียน ทําให้การเรียนรู้เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น ในปัจจุบันมีเครือข่ายที่ เกี่ยวข้องกับ การศึกษา เพื่อถ่ายทอดความรู้เป็นแหล่งสืบค้นสารานุกรม หรือ ข้อมูลสําหรับอ้างอิง ทางด้านการศึกษา มากมาย เช่น เครือข่ายไทยสาร เครือข่ายคอมพิวเตอร์กาญจนาภิเษก เครือข่าย คอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียน ไทย เว็บบอร์ด หรือ แฟนเพจกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนความรู้บน โซเชียลเนต็ เวริ ์ค เป็นต้น 3. ด้านเศรษฐกิจ อินเทอร์เน็ตก่อให้เกิดรูปแบบการประกอบธุรกิจที่แตกต่างไปจากเดิม เจ้าของ ธุรกิจในปัจจุบันไม่จําเป็นต้องมีหน้าร้าน หรือ สต็อกสินค้าขนาดใหญ่แค่มีสินค้า หรือ บริการ เจ้าของธรุ กิจ สามารถประชาสมั พนั ธ์สนิ ค้า และ บริการของตัวเองได้ผา่ นระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) หรอื ผา่ นเครอื ขา่ ยสังคมออนไลนท์ ี่กาํ ลังเปน็ ทนี่ ยิ มในปัจจุบนั ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้อย่างสะดวก เช่น สามารถเปรียบเทียบคุณสมบัติ ของ สินค้า เปรียบเทียบราคา สั่งสินค้า ชําระค่าบริการบนอินเทอร์เน็ตที่สะดวก และ ปลอดภัยมาก ขึ้น ทําให้ เจ้าของธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้โดยตรง และ ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าท่ี ตัวเองสนใจซึ่ง ไม่ได้จํากัดแค่ภายในประเทศเท่านั้น ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ก่อให้เกิดผลดีต่อ ระบบเศรษฐกจิ ภายในประเทศ ทําให้เกิดเมด็ เงินหมนุ เวยี นภายในประเทศจํานวนมหาศาล
14 4. ด้านสังคม อินเทอร์เน็ตก่อให้เกิดรูปแบบการใช้ชีวิตในสังคมแบบใหม่ ทําให้ลดความ เหลื่อมล้ํา ลดช่องว่างระหว่างคนในสังคม และ ทุกคนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่มีการ แบง่ แยกเช้ือชาติ ศาสนา ฐานะ สามารถชว่ ยผูด้ อ้ ยโอกาสทางสังคมให้สามารถเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ ได้อย่างทัดเทียม ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเว็บไซต์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า “ Web Accessibility” เพื่อให้รองรับการ เข้าใช้งานของผู้ที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกาย ที่เป็นอุปสรรค ต่อการเข้าถึงข้อมูล สินค้า หรือบริการ เช่น ผู้บกพร่องทางด้านสายตา ทางหูผู้สูงอายุ เป็นต้น เป็น เว็บไซต์ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม โดยพัฒนาอ้างอิงตามมาตรฐานขององค์กร w3c (World Wide Web Consortium) ซึ่งได้มีการวางหลัก ในการออกแบบเมื่อปีพ.ศ.2548 โดยใช้ช่ือวา่ WCAG 2.0 (Web Content Accessibility Guidelines 2.0) เพือ่ ลดอปุ สรรคทางดา้ นความบกพร่อง ของร่างกายในการเขา้ ถึงข้อมลู สารสนเทศบนเครือขา่ ย อนิ เทอรเ์ นต็ 5. ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางด้าน การแพทย์อย่างแพร่หลาย เช่น การลงทะเบียนผู้ปว่ ย ฐานข้อมูลที่อยู่ของผู้ป่วย ระบบการวินิจฉัยโรค จาก อาการป่วยเบื้องต้น การให้รายละเอียดเกี่ยวกับยาและวิธีการรักษา ประวัติการรักษา เป็นต้น นอกจากนั้น ยังเป็นช่องทางในการศึกษา และ วิจัยทางการแพทย์ โดยปัจจุบันมีระบบการแพทย์ ทางไกล (telemedicine) เพื่อใช้ในการสนับสนุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลการรักษาของผู้ป่วย โดยการ ประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ร่วมกับเทคโนโลยีทางด้านการสื่อสารและการโทรคมนาคมใน ปัจจุบันที่ทันสมยั บุคลากรทางการแพทย์สามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อประสิทธิภาพทางดา้ น การรกั ษาคนไขท้ ดี่ มี าก ย่ิงขึน้ และ ยงั ลดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทยอ์ ีกดว้ ย
15 มีการประยุกต์ใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการรายงานสถานการณ์ภัยพิบัติแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยง ตอ่ โรคระบาด เช่น การระบุพื้นที่เสี่ยงต่อการปกคลุมของหมอกควันจากไฟป่า พื้นที่เสี่ยงต่อโรคระบาด พกิ ัดและแผนทีบ่ า้ นของผู้ปว่ ย เปน็ ตน้ ซึง่ ขอ้ มลู เหลา่ นสี้ ามารถส่อื สารผ่านเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต และ สามารถแสดงผลผ่านคอมพิวเตอร์หรอื อปุ กรณ์เคลอ่ื นทีไ่ ดเ้ ปน็ อย่างดี 6. ด้านการเงินและการธนาคาร ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ต ขั้นตอนสําคัญ คือ การชําระค่าบริการ ในปัจจุบันธนาคารได้พัฒนาระบบเพื่อให้รองรับ การ ชําระสินค้า และ การเข้าถึงข้อมูลทางด้านการเงินของลูกค้าผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทั้งผ่าน เว็บไซต์ ธนาคารออนไลน์ (e-banking) หรือ ผ่านแอพพลิเคชั่น ทําให้ง่ายและสะดวกในการทํา ธุรกรรม เช่น การ ตรวจสอบยอดเงินในบัญชีออนไลน์การโอนเงิน การบริการสินเชื่อ ข้อมูลอัตรา แลกเปลย่ี น รวมไปถงึ การ ชําระคา่ บรกิ ารต่าง ๆ ผา่ นระบบเครอื ข่ายอินเทอรเ์ นต็ เป็นตน้ 7. ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม ปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้งานอนิ เทอรเ์ น็ตเพอ่ื ประโยชน์ ด้าน การเกษตรมากมาย เช่น การจัดทําฐานข้อมูลเพื่อการเกษตรและการพยากรณ์ผลผลิตด้าน การเกษตร การ พฒนาระบบราคากลางส ั ินคา้ ออนไลนร์ ะบบตรวจสอบความช้ืนของอากาศ รายงาน สภาพอากาศ การแจ้ง เตอื นการใหน้ า้ํ แกพ่ ืชสวนผ่านเครือขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ การแจ้งภยั พิบัตพิ นื้ ทีเ่ สียง ภัยแล้ง พื้นที่เสียงภัยโรค และศัตรูพืช เป็นต้น ทางด้านอุตสาหกรรมมีระบบตรวจสอบโรงงาน สารเคมีโรงผลิต รวมถึงภัยที่เปน็ อันตรายต่อสุขภาพ และ สามารถรายงานผลในทันทีการควบคมุ การ จ่ายไฟฟ้า การเปิดปิดไฟฟ้าหรือ อุปกรณ์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงการควบคุม ขั้นตอนในการผลิต และ การติดต่อสื่อสาร เพื่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการทางด้านการ อุตสาหกรรม เปน็ ตน้
16 บรรณานกุ รม http://www.academy.rbru.ac.th/uploadfiles/books/1-2016-11-24- 11-51-58.pdf สืบค้นเม่ือวนั ท่ี 19 มถิ ุนายน 2566
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: