Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore computer58

computer58

Published by Roduwan Duereh, 2018-08-08 04:36:06

Description: computer58

Search

Read the Text Version

1 บทท่ี 1 ความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์จุดกาเนิดของคอมพวิ เตอร์ต้นกาเนิดของคอมพิวเตอร์อาจกลา่ วไดว้ า่ มาจากแนวความคดิ ของระบบตัวเลข ซ่ึงได้พัฒนาเป็นวิธีการคานวณตา่ ง ๆ รวมทั้งอปุ กรณ์ท่ีช่วยในการคานวณอย่างง่าย ๆ คอื \" กระดานคานวณ\" และ \"ลูกคดิ \"ในศตวรรษท่ี 17 เครื่องคาแบบใช้เฟื่องเครื่องแรกได้กาเนิดขึ้นจากนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศษ คือ BlaisePascal โดยเคร่ืองของเขาสามารถคานวณการบวกการลบได้อย่างเท่ียงตรง และในศตวรรษเดียวกันนักคณิตศาสตร์ชาวเยอร์มันคือ Gottried Wilhelm von Leibniz ได้สร้างเครื่องคิดเลขเคร่ืองแรกท่ีสามารถคูณและหารได้ดว้ ยในต้นศตวรรษท่ี 19 ชาวฝร่ังเศษชื่อ Joseph Marie Jacquard ได้พัฒนาเคร่ืองทอผ้าที่สามารถโปแกรมได้โดยเครื่องทอผ้าน้ีใช้บัตรขนาดใหญ่ ซ่ึงได้เจาะรู้ไว้เพื่อควบคุมรูปแบบของลายที่จะปัก บัตรเจาะรู(punchedcard) ที่ Jacquard ใช้น้ีได้ถูกพัฒนาต่อๆมาโดยผู้อ่ืน เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ป้อนข้อมูลและโปรแกรมเข้าเคร่ืองคอมพิวเตอรใ์ นยุคแรกๆต่อมาในศตวรรษเดียวกัน ชาวอังกฤษช่ือ Charles Babbage ได้ทาการสร้างเคร่ืองสาหรับแก้สมการโดยใช้พลังงานไอน้า เรียกว่าdifference engine และถัดจากนั้นได้เสนอทฤษฎีเก่ียวกับ คอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เม่ือเขาไดท้ าการออกแบบ เครื่องจกั รสาหรบั ทาการวเิ คราะห์ (analytical engine) โดยใช้พลังงานจากไอน้า ซึ่งได้มีการออกแบบให้ใช้บัตรเจาะรูของ Jacquard ในการป้อนข้อมูล ทาให้อุปกรณ์ช้ินน้ีมีหน่วยรับข้อมูล หน่วยประมวลผล หนว่ ยแสดงผล และหน่วยเก็บขอ้ มูลสารอง ครบตามรปู แบบของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ แต่โชคไม่ดีท่ีแม้ว่าแนวความคิดของเขวจะถูกต้อง แต่เทคโนโลยีในขณะนั้นไม่เอ้ืออานวยต่อการสร้างเครื่องท่ีสามารถทางานได้จริง อย่างไรก็ดี Charles Babbage ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของคอมพิวเตอร์คนแรก และผู้ร่วมงานของเขาคือ Augusta Ada Byron ก็ได้รบั การยกย่องวา่ เป็นนักเขยี นโปรแกรมคนแรกของโลก สานักวิทยบรกิ ารและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟทอ์ อฟฟิศและการใช้งานอินเทอรเ์ น็ตเบือ้ งตน้

2 เครื่อง Difference Engine ของ Charles Babbage จากนั้นประมาณปี ค.ศ. 1886 Dr.Herman Hollerith ได้พัฒนาเคร่ืองจัดเรียงบัตรเจาะรูแบบ electromechanical ข้ึน ซ่ึงทางานโดยใช้พลังงานไฟฟ้า และสามารถทาการ จัดเรียง (sort) และ คัดเลือก (select) ข้อมูลได้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1896 Hollerith ได้ทาการก่อตั้งบริษัทสาหรับเคร่ืองจักรในการจัดเรียงช่ือ Tabulating Machine Company และในปี ค.ศ.1911 Hollerith ได้ขยายกิจการโดยเข้าหุ้นกับบริษัทอื่นอีก 2 บริษัทจัดต้ังเป็นบริษัท Computing -Tabulating-Recording-Company ซึ่งประสบความสาเร็จเป็นอย่าง มาก และในปี ค.ศ. 1924 ได้เปลี่ยนช่ือเปน็ International Business Corporation หรือที่รู้จักกันต่อมาในชื่อ ของบรษิ ทั IBM น่นั เอง เครือ่ งจัดเรียงบัตรเจาะรูของ Dr. Her Hollerith ในปี ค.ศ.1939 Dr. Howard H. Aiken จาก Harvard University ได้ร่วมมือกับบริษัท IBM ออกแบบ คอมพิวเตอร์โดยใช้ทฤษฎีของ Babbage และในปี ค.ศ.1944 Harvard mark I ก็ได้ถือกาเนิดข้ึนเป็น คอมพิวเตอร์เคร่ืองแรก ซ่ึงมีขนาดยาว 5 ฟุต ใช้พลังงานไฟฟ้าและใช้ relay แทนเฟือง แต่ยังทางานได้ช้าคือ ใชเ้ วลาประมาณ 3-5 วนิ าทสี าหรบั การคณู สานกั วทิ ยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟทอ์ อฟฟิศและการใช้งานอนิ เทอร์เน็ตเบ้อื งตน้

3การพฒั นาที่สาคัญกับ Mark I ได้เกิดขึ้นปี 1946 ดดย Jonh Preper Eckert, Jr. และ Dr. Jonh W.Msuchlyจาก University of Pennsylvnia ได้ออกแบบสร้างเครื่อง ENIAC ( Electronic Numeric Integator andCalcuator ) ซงึ่ ทางานได้เรว็ อยู่ในหนว่ ยของหน่งึ สว่ นลา้ นวินาที ในขณะท่ี Mark I ทางานอยู่ในหน่วยของหน่ึงส่วนพันล้านเท่า โดยหัวใจของความสาเร็จน้ีอยู่ที่การใช้หลอดสูญญากาศมาแทนที่ relay น่ันเอง และถดจากน้นั Mauchly และ Eckert ก็ทาการสร้าง UNIVAC ซง่ึ เปน็ คอมพิวเตอร์อเิ ล็กทรอนิส์เพื่อการค้าเคร่ืองแรกของโลก เคร่อื ง ENIAC สงู 10 ฟุต กว้าง 10 ฟตุ และยาว 10 ฟุต การพัฒนาที่สาคัญได้เกิดขึ้นมาอีก เมื่อ Jonh von Neumann ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของโครงการ ENIAC ได้เสนอ แผนสาหรับคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จะทาการเก็บโปรแกรมไว้ในหน่วยโปรแกรมไว้ในหน่วยความจาท่ี เหมือนกับท่เี กบ็ ข้อมูล ซง่ึ พฒั นาการนท้ี าใหส้ ามารถเปลี่ยนวงจรของคอมพิวเตอร์ได้โดยอัตโนมัติแทนท่ีจะต้อง ทาการเปลี่ยนสวิทต์ด้วยมือเหมือนช่วงก่อน นอกจากน้ี Dr. Von neumann ยังได้นาระบบเลขฐานสองมาใช้ ในคอมพิวเตอร์ซ่ึงหลักการต่างๆเหล่านี้ได้ทาให้เคร่ือง IAS ที่สร้างโดย Dr. von Neumann เป็นเครื่อง คอมพิวเตอร์เอนกประสงค์เคร่ืองแรกของโลก เป็นการเปิดศักราชของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริงและยังได้เป็น บดิ าคอมพวิ เตอร์คนท่ี 2  ยคุ ของคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์มีการพัฒนาอย่างตอ่ เน่ือง สามารถแบ่งออกได้โดยแบง่ ส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์ (Hardward ) เปน็ 4 ยุคดว้ ยกัน o ยุคที่ 1 (1951-1958) ก่อนหน้าปี 1951 เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีใช้เฉพาะนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และทหารเท่านั้น จนกระทั่งผู้สร้าง ENIAC คือ Mauchly และ Eckert ได้จัดต้ังบริษัทเพื่อทาตลาดเชิงพาณิชย์ของเคร่ืองรุ่นถัด มาของพวกเขา คือเคร่ือง UNIVAC ซ่ึงคอมพิวเตอร์ในยุคนี้จะมี หลอดสูญญากาศ และ ดรัมแม่เหล็ก (magnetic drum) เป็นส่วนประกอบสาคัญ แตห่ ลอดสญุ ญากาศจะมไี มน่ า่ เชือ่ ถือสงู สานกั วิทยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟทอ์ อฟฟิศและการใชง้ านอินเทอรเ์ น็ตเบ้อื งต้น

4 เป็นเหตุให้ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทาให้เคร่ืองในยุคน้ันสามารถทางานได้ ส่วนดรัมแม่เหล็กถูกใช้เป็นหน่วยความจาหลัก (primary memory) บนเคร่ืองคอมพิวเตอร์ส่วนมากในยุคแรกน้ี ส่วนหน่วยบันทึกข้อมูลสารอง (secondary storage) ซ่ึงใช้เก็บทั้งข้อมูลและคาสั่งโปรแกรมในยุคนี้จะอยู่ในบัตรเจารู จนปลายยคุ นีเ้ ทปแม่เหลก็ จึงได้ถูกนามาใชเ้ ป็นหนว่ ยบันทึกขอ้ มลู สารองภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคน้ีจะอยู่ในรูปของภาษาเคร่ือง ซึ่งเป็นตัวเลขฐาน 2 ท้ังสิ้น ทาให้ผู้ที่จะสามารถโปรแกรมให้เครอ่ื งทางานได้ ตอ้ งเป็นผ้เู ช่ียวชาญเท่านนั้ เครือ่ ง UNIVAC o ยุคที่ 2 (1959-1964) การพัฒนาท่ีสาคัญท่ีสุดท่ีแบ่งแยกยุคนี้ออกจากยุคแรก คือการแทนท่ีหลอดสูญญากาศด้วย ทรานซิสเตอร์ (transistor) หน่วยความจาพื้นฐานก็ได้มีการพัฒนามาเป็น magnetic core รวมทั้งมีการ ใช้ magnetic disk ซ่ึงเป็นหน่วยบนั ทึกขอ้ มูลสารองท่มี คี วามเรว็ สงู ขึ้น นอกจากนี้ สว่ นประกอบที่คอมพิวเตอร์ ได้ถูกรวบรวมเข้าไว้ใน แผ่นวงจรพิมพ์ลาย (printed circuit boards) ซ่ึงง่ายต่อการเปล่ียนและมีการสร้าง โปรแกรมวเิ คราะหเ์ พ่อื หาส่วนผิดพลาดไดอ้ ย่างรวดเร็ว ภาษาโปรแกรมระดับสูง เช่น FORTRAN และ COBOL ได้ถูกใช้ในการโปรแกรมสาหรับยุคน้ี โปรแกรมเมอร์ สามารถใช้งานภาษาเหล่าน้ีได้สะดวกกว่าคอมพิวเตอร์ในยุคท่ี 1 เน่ืองจากมีไวยากรณ์ที่คล้ายคลืงกับ ภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ดี เน่ืองจากคอมพิวเตอร์สามารถทางานได้แต่เฉพาะกับภาษาเคร่ือง ทาให้ต้องใช้ โปรแกรมตวั อ่ืน คือ compiler และ interpreter ในการแปลงภาษาระดบั สงู ให้เป็นภาษาเคร่อื ง ในยุคที่ 2 เริ่มมีการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องที่อยู่ห่างกันโดยผ่านสายโทรศัพท์ ถึงแม้ว่าจะ ติดส่ือสารกันได้ช้ามากก็ตาม ปัญหาในยุคนี้คืออุปกรณ์รับข้อมูลและอุปกรณ์แสดงผลทางานได้ช้ามาก ทาให้ คอมพิวเตอร์ต้องรอการรับข้อมูลหรือการแสดงผลบ่อย ๆ ซึ่ง Dr.Daniel Slotnick ได้ทาการพัฒนาเพ่ิมเติม โดยใช้หลักการของการประมวลผลแบบขนานกัน นอกจากนั้ยังมีกลุ่มคณาจารย์และนักเรียกจาก Massachusetts Instiute of Technoligy พฒั นาระบบ มัลตโิ ปรแกรมมิ่ง (multiprogramming) ซึ่งเป็นการ สานกั วทิ ยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟท์ออฟฟิศและการใช้งานอินเทอร์เน็ตเบื้องต้น

5จัดสรรให้คอมพิวเตอร์ทางานหลายโปรแกรมพร้อม ๆ กนได้ ทาใหไ้ ม่ตอ้ งเสียเวลารอหน่วยรับข้อมูลและหน่วยแสดงผลอีกต่อไป o ยคุ ที่ 3 (1965-1971) ในยุคที่ 3 เปน็ ยุคของอตุ สาหกรรมคอมพิวเตอร์ที่มีการเติบโตมาก ได้มีการนา แผงวงจรรวม (IC หรือintegrated circuits) ซึ่งประกอบด้วยทรานซิสเตอร์และวงจรไฟฟ้าท่ีรวอยู่บนแผ่นซิลิกอนเล็ก ๆ มาแทนการประกอบแผ่นวงจรพิมพ์ลาย ทาให้เวลาการทางานขิงคอมพิวเตอร์ลดลงอยู่ในหน่วยหน่ึงส่วนพันล้านวินาทีนอกจากน้ี มินิคอมพิวเตอร์ได้ถือกาเนิดข้ึนในปี ค.ศ.1965 คือเครื่อง PDP-8 ของ Digital EquipmentCorportion (DEC) ซึ่งต่อมาก็มีการใช้มินิคอมพิวเตอร์ท่ีสามารถติดต่อกับคอมพิวเตอร์กันอย่างแผร่หลายรวมท้ังมีการใช้งาน เทอร์มินัล (terminal) ซึ่งเป็นจอคอมพิวเตอร์ผ่านทางคีย์บอร์ด (keyboard) ทาให้การป้อนขอ้ มลู และพฒั นาโปรแกรมกระทาได้สะดวกขึ้น แผงวงจรรวมเปรียเทยี บกนั ทรานซสิ เตอร์และหลอดสูญญากาศ ภาษาโปรแกรมระดับสูงได้เกิดขึ้นมากมานในยุคที่ 3 เช่น RPG APL BASICA เป็นต้น และได้มีการ เปิดตัว โปรแกรมจัดการระบบ (Operating system) ซึ่งช่วยให้สามารถบริการทรัพยากรของคอมพิวเตอร์ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ระบบแบ่งเวลา (time sharing) ก็ทาให้สามารถติดต่อเทอร์มินัลจานวนมาก เขา้ ไปยังคอมพิวเตอร์ 1 เครอื่ ง โดยที่ผู้ใช้แตล่ ะคนสามารถทางานในส่วนของตนได้พร้อม ๆ กนั o ยุคท่ี 4 (1971-ปจั จบุ ัน) ในยุคที่ 4 เทคโนโลยีแผงวงจรรวมได้พฒั นาขึ้นเป็น แผงวงจรรวมขนาดใหญ่ (LSI หรือ large-scale integartion) และจากน้นั ก็มีการพฒั นาตา่ เป็น แผงวงจรขนาดใหญม่ าก (Very Large-Scale integartion - VLSI) ซ่ึงทาให้เกดิ microprocessor ตัวโลกของโลก คอื Intel 4004 จากบรษิ ัท Intel ซึ่งเปน็ การใชแ้ ผ่นชฟิ เพียงแผน่ เดยี วสาหรับเก็บหน่วยควบคมุ (control unit) และ คานวณเลขตรรกะ (arithmetic-logic unit) ของคอมพวิ เตอรท์ ั้งหมดเทคนิคในการย่อทรานซสี เตอรใ์ หอ้ ยู่กนั อย่างหนาแน่นบนแผ่นซลิ ิกอนน้ี ได้รบั การพฒั นาอย่างต่อเน่ืองจากปัจจุบนั สามารถเก็บทรานซสิ เตอร์นับลา้ นตวั ไว้ในชปิ เพียงหน่ึงแผ่น ในสว่ นของ หนว่ ยบนั ทกึ ขอ้ มูลสารอง (secondary storage) ก็ได้เพ่ิมความจขุ ้ึนอย่างมากจนสามารถเก็บข้อมลู นบั พนั ลา้ น ตวั อักษรไดใ้ นแผน่ ดสิ กข์ นาด 3 น้วิ สานกั วิทยบรกิ ารและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟท์ออฟฟศิ และการใชง้ านอินเทอร์เน็ตเบอื้ งตน้

6 เน่ืองจากการเพ่ิมความจุของหน่วยบันทึกข้อมูลสารองน่ีเอง ซอฟต์แวร์ชนิดใหม่ได้พัฒนาขึ้น เพ่ือให้สามารถ เก็บรวมรวบและบันทึกแก้ไขข้อมูลจานวณมหาศาลท่ีถูกจัดเก็บไว้ น่ันคือ ซอฟร์แวร์ ฐานข้อมูล (Data base) นอกจากน้ี ยงั มกี ารถือกาเนิดข้ึนของเครอื่ งคอมพวิ เตอร์ส่วนบุคคลในปี 1975 คือเครื่อง Altair ซ่ึงใช้ชิป intel 8080 และถัดจากนั้นก็เป็นยุคของเครื่อง และ ตามลาดับ ในส่วนของซอฟต์แวร์ก็ได้มีการพัฒนาให้เป็น มิตรกับผู้ใช้ มีขนาดใหญ่และซับซ้อนมากข้ึนเรื่อย ๆ รวมท้ังมีการนาเทคนิคต่าง ๆ เช่น OOP (Object- Oriented Programming) และ Visual Programming มาเปน็ เครือ่ งมอื ช่วยในการพฒั นา การพฒั นาที่สาคญั อ่ืนๆในยคุ ที่ 4 คอื การพฒั นาเครอ่ื งข่ายคอมพวิ เตอร์ความเร็วสูง ทาให้คอมพิวเตอร์สามารถ เชื่อมโยงและแลกเปล่ียนกันได้ โดยการใช้งานภายในองค์กรน้ัน ระบบเครื่อข่ายท้องถ่ิน (Local Araa Networks) ซ่ึงนิยมเรียกว่า แลน (LANs) จะมีบทบาทในการเชื่องโยงเครื่องนับร้อยเข้าด้วยกันในพ้ืนท่ีไท่ห่าว กันนัก ส่วนระบบเครื่องข่ายระยะไกล ( Wide Area Networks ) หรือ แวน (WANs) จะทาหน้าที่เช่ือมโยง เครื่องคอมพวิ เตอรท์ ีอ่ ยู่ห่างไกลคนละซีกโลกเข้าด้วยกนั ความรพู้ ้ืนฐานเก่ียวกบั คอมพวิ เตอร์ 1.1 คอมพิวเตอร์ หมายถึง คอมพวิ เตอร์ คือ อปุ กรณท์ างอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (electrinic device) ท่ีมนุษย์ใช้เป็นเคร่ืองมือช่วยในการ จัดการกับข้อมูลที่อาจเป็นได้ ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ท่ีใช้แทนความหมายในสิ่งต่าง ๆ โดย คุ ณ ส ม บั ติ ที่ ส า คั ญ ข อ ง ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ คื อ ก า ร ที่ ส า ม า ร ถ ก า ห น ด ชุ ด ค า สั่ ง ล่ ว ง ห น้ า ห รื อ โ ป ร แ ก ร ม ไ ด้ (programmable) น่ันคือคอมพิวเตอร์สามารถทางานได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชุดคาส่ังท่ีเลือกมาใช้ งาน ทาให้สามารถนาคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ในการตรวจคลื่นความถี่ของ หวั ใจ การฝาก - ถอนเงินในธนาคาร การตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ เป็นต้น ข้อดีของคอมพิวเตอร์ คือ เครื่อง คอมพวิ เตอรส์ ามารถทางานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภาพ มีความถกู ตอ้ ง และมีความรวดเร็ว 1.2 คณุ สมบัตขิ องคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่นิยมนาคอมพิวเตอร์มาใช้งานต่าง ๆ มากมาย ซ่ึงผู้ใช้ส่วนใหญ่มักจะคิดว่า คอมพิวเตอร์เป็นเคร่อื งมือทีส่ ามารถทางานได้สารพดั แต่ผู้ที่มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์จะทราบว่า งานที่เหมาะ กับการนาคอมพิวเตอร์มาใช้อย่างยิ่งคือการสร้าง สารสนเทศ ซ่ึงสารสนเทศเหล่านั้นสามารถนามาพิมพ์ออก ทางเคร่ืองพิมพ์ ส่งผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือจัดเก็บไว้ใช้ในอนาคตก็ได้ เน่ืองจากคอมพิวเตอร์จะมี คณุ สมบัติต่าง ๆ คอื 1.2.1 ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting) การทางานของคอมพิวเตอร์จะทางานแบบอัตโนมัติภายใต้ คาส่งั ทไี่ ด้ถกู กาหนดไว้ ทางานดังกล่าวจะเร่ิมตั้งแต่การนาข้อมูลเข้าสู่ระบบ การประมวลผลและแปลงผลลัพธ์ ออกมาใหอ้ ยู่ในรูปแบบท่มี นษุ ยเ์ ขา้ ใจได้ 1.2.2 ความเร็ว (Speed) คอมพิวเตอร์ในปจั จุบนั นีส้ ามารถทางานได้ถงึ ร้อยลา้ นคาส่ังในหนงึ่ วนิ าที สานักวทิ ยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟทอ์ อฟฟิศและการใช้งานอินเทอร์เนต็ เบื้องต้น

7 1.2.3 ความเช่ือถือ (Reliable) คอมพิวเตอร์ทุกวันน้ีจะทางานได้ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่มีข้อผิดพลาด และไมร่ ู้จักเหนด็ เหนอ่ื ย 1.2.4 ความถูกต้องแม่นยา (Accurate) วงจรคอมพิวเตอร์นั้นจะให้ผลของการคานวณที่ถูกต้องเสมอหากผลของการคานวณผิดจากที่ควรจะเป็น มักเกิดจากความผิดพลาดของโปรแกรมหรือข้อมูลท่ีเข้าสู่โปรแกรม 1.2.5 เก็บข้อมูลจานวนมาก ๆ ได้ (Store massive amounts of information)ไมโครคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน จะมีที่เก็บข้อมูลสารองที่มีความสูงมากกว่าหน่ึงพันล้านตัวอักษร และสาหรับระบบคอมพิวเตอรข์ นาดใหญ่จะสามารถเก็บข้อมลู ได้มากกว่าหนึ่งล้าน ๆ ตวั อกั ษร 1.2.6 ย้ายข้อมูลจากท่ีหนึ่งไปยังอีกทีหน่ึงได้อย่างรวดเร็ว (Move information) โดยใช้การตดิ ตอ่ สื่อสารผา่ นระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ซึง่ สามารถส่งพจนานุกรมหน่ึงเล่มในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ไปยังเคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีอยู่ไกลคนซีกโลกได้ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวินาที ทาให้มีการเรียกเครือข่ายคอมพวิ เตอรท์ ่ีเชื่อมกนั ท่วั โลกในปจั จุบันว่า ทางด่วนสารสนเทศ (Information Superhighway) 1.2.7 ทางานซา้ ๆได้ (Repeatability) ชว่ ยลดปัญหาเรือ่ งความอ่อนล้าจากการทางานของแรงงานคนนอกจากน้ียังลดความผิดพลาดต่างๆได้ดีกว่าด้วย ข้อมูลท่ีประมวลผลแม้จะยุ่งยากหรือซับซ้อนเพียงใดก็ตามจะสามารถคานวณและหาผลลัพธไ์ ด้อย่างรวดเรว็1.3 ส่วนประกอบของคอมพวิ เตอร์ จาแนกหน้าท่ีของฮาร์ดแวร์ต่างๆ สามารถแบ่งเป็นส่วนสาคัญ 4 ประเภท คือ อุปกรณ์นาข้อมูลเข้า(Input Device) อุปกรณ์ประมวลผล (Processing Device) หน่วยเก็บข้อมูลสารอง (Secondary StorageDevice) อุปกรณแ์ สดงผล (Output Device) รปู ที่ 1 แสดงวงจรการทางานของคอมพิวเตอร์ สานักวทิ ยบรกิ ารและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟทอ์ อฟฟศิ และการใช้งานอนิ เทอรเ์ นต็ เบ้ืองต้น

81.3.1 อปุ กรณน์ าข้อมูลเข้า (Input Device) รูปที่ 2 อุปกรณน์ าเข้าแบบตา่ งๆ ที่พบเห็นในปัจจุบนั เป็นอุปกรณ์ท่ีเก่ียวข้องกับการนาเข้าข้อมูลหรือชุดคาสั่งเข้ามายังระบบเพื่อให้คอมพิวเตอร์ ประมวลผลต่อไปได้ ซึ่งอาจจะเป็น ตัวเลข ตัวอกั ษร ภาพนง่ิ ภาพเคล่อื นไหว เสียง เปน็ ต้น 1.3.2 อุปกรณ์ประมวลผล (Processing Device) อุปกรณป์ ระมวลผลหลักๆ มีดงั น้ี 1.3.2.1 ซีพียู (CPU-Central Processing Unit) หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู เรียก อีกชื่อหน่ึงว่าโปรเซสเซอร์ (Processor) หรือ ชิป (Chip) นับเป็นอุปกรณ์ท่ีมีความสาคัญมากท่ีสุดของ ฮาร์ดแวร์ เพราะมีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามาทางอุปกรณ์นาเข้าข้อมูลตามชุดคาส่ังหรือ โปรแกรมท่ผี ใู้ ช้ตอ้ งการใชง้ าน หน่วยประมวลผลกลาง 1.3.2.2 หน่วยความจาหลัก (Main Memory) หรือเรียกว่า หน่วยความจาภายใน (Internal Memory) สามารถแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ - รอม (Read Only Memory - ROM) เป็นหน่วยความจาท่ีมีโปรแกรมหรือ ขอ้ มูลอยแู่ ล้ว สามารถเรียกออกมาใชง้ านได้แต่จะไม่สามารถเขียนเพิ่มเติมได้ และแม้ว่าจะไม่มีกระแสไฟฟ้าไป เลย้ี งใหแ้ กร่ ะบบขอ้ มลู ก็ไม่สญู หายไป - แรม (Random Access Memory) เป็นหน่วยความจาท่ีสามารถเก็บข้อมูลได้ เม่ือมีกระแสไฟฟ้าหล่อเล้ียงเท่านั้น เมื่อใดไม่มีกระแสไฟฟ้ามาเล้ียงข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจาชนิดนี้จะ หายไปทนั ที 1.3.2.3 เมนบอร์ด (Main board) เป็นแผงวงจรต่อเช่ือมอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทางาน ของคอมพวิ เตอร์ทั้งหมด ถอื ไดว้ ่าเป็นหัวใจหลกั ของ พซี ที ุกเคร่ือง เพราะจะบอกความสามารถของเครื่องว่าจะ ใชซ้ พี ยี อู ะไรได้บ้าง มีประสิทธภิ าพเพียงใด สามารถรองรับกบั อุปกรณใ์ หม่ได้หรอื ไม่ สานักวทิ ยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟทอ์ อฟฟิศและการใช้งานอนิ เทอร์เน็ตเบอื้ งตน้

9 รูปท่ี 3 เมนบอรด์ หรือแผงวงจรหลกั 1.3.2.4 ซิปเซ็ต (Chip Set) ซิปเซต็ เป็นชปิ จานวนหน่ึงหรือหลายตัวที่บรรจุวงจรสาคัญๆ ท่ี ช่วยการทางานของซีพียู และติดต้ังตายตัวบนเมนบอร์ดถอดเปลี่ยนไม่ได้ ทาหน้าท่ีเป็นตัวกลางประสานงาน และควบคุมการทางานของหน่วยความจารวมถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างทั้งแบบภายในหรือภายนอกทุกชนิดตาม คาส่ังของซีพยี ู เช่น SiS, Intel, VIA, AMD เปน็ ตน้ 1.3.3 หน่วยเก็บขอ้ มลู สารอง (Secondary Storage Device) เน่ืองจากหน่วยความจาหลักมีพ้ืนที่ไม่เพียงพอในการเก็บข้อมูลจานวนมากๆ อีกทั้งข้อมูลจะหายไป เมือ่ ปิดเคร่อื ง ดงั นน้ั จาเป็นต้องหาอุปกรณ์เกบ็ ขอ้ มูลทมี่ ีขนาดใหญข่ นึ้ เชน่ 1.3.3.1 ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) เป็นฮาร์ดแวร์ท่ีทาหน้าท่ีเก็บข้อมูลในเคร่ืองคอมพิวเตอร์ท้ังโปรแกรมใช้งานต่างๆ ไฟล์เอกสาร รวมท้ังเป็นท่ีเก็บระบบปฏิบัติการท่ีเป็นโปรแกรมควบคุมการทางานของเคร่ืองคอมพิวเตอรด์ ว้ ย 1.3.3.2 ฟลอ็ บปีด้ ิสก์ (Floppy Disk) เป็นอุปกรณบ์ ันทกึ ขอ้ มูลที่มีขนาด 3.5 น้ิว มีลักษณะ เปน็ แผ่นกลมบางทาจากไมลาร์ (Mylar) สามารถบรรจขุ อ้ มูลได้เพยี ง 1.44 เมกะไบต์ เท่านนั้ ี 1.3.3.3 ซีดี (Compact Disk - CD) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลแบบดิจิทัล เป็นส่ือที่มีขนาด ความจุสูง เหมาะสาหรับบนั ทกึ ขอ้ มลู แบบมัลติมีเดีย ซีดีรอมทามาจากแผ่นพลาสติกกลมบางท่ีเคลือบด้วยสาร โพลีคาร์บอเนต (Poly Carbonate) ทาให้ผิวหน้าเป็นมันสะท้อนแสง โดยมีการบันทึกข้อมูลเป็นสายเดียว (Single Track) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 120 มิลลิเมตร ปัจจุบันมีซีดีอยู่หลายประเภท ได้แก่ ซีดี เพลง (Audio CD) วีซีดี (Video CD - VCD) ซีดี- อาร์ (CD Recordable - CD-R) ซีดี-อาร์ดับบลิว (CD- Rewritable - CD-RW) และ ดวี ดี ี (Digital Video Disk - DVD) สานักวทิ ยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟทอ์ อฟฟศิ และการใช้งานอนิ เทอร์เนต็ เบอ้ื งต้น

10สือ่ เกบ็ ขอ้ มลู อืน่ ๆ 1) รีมูฟเอเบิลไดร์ฟ (Removable Drive) เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีตัวขับเคล่ือน (Drive)สามารถพกพาไปไหนได้โดยต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย Port USB ปัจจุบันความจุของรีมูฟเอเบิลไดร์ฟมีต้ังแต่ 8 , 16 , 32 , 64 , 128 จนถึง 1024 เมกะไบต์ ทั้งนี้ยังมีไดร์ฟลักษณะเดียวกัน เรียกในช่ืออื่นๆ ได้แก่Pen Drive , Thump Drive , Flash Drive 2) ซบิ ไดร์ฟ (Zip Drive) เป็นสื่อบันทกึ ข้อมูลที่จะมาแทนแผ่นฟล็อปปี้ดิสก์ มีขนาดความจุ 100 เมกะไบต์ซ่ึงการใช้งานซิปไดร์ฟจะต้องใช้งานกับซิปดิสก์ (Zip Disk) ความสามารถในการเก็บข้อมูลของซิปดิสก์จะเก็บขอ้ มูลได้มากกว่าฟล็อปปี้ดิสก์ 3) Magnetic optical Disk Drive เป็นสื่อเก็บข้อมูลขนาด 3.5 นิ้ว ซ่ึงมีขนาดพอๆ กับฟลอ็ บป้ีดสิ ก์ แตข่ นาดความจมุ ากกว่า เพราะว่า MO Disk drive 1 แผ่นสามารถบันทึกข้อมูลได้ตั้งแต่ 128 เมกะไบต์ จนถงึ ระดับ 5.2 กิกะไบต์ 4) เทปแบ็คอัพ (Tape Backup) เป็นอุปกรณ์สาหรับการสารองข้อมูล ซ่ึงเหมาะกับการสารองขอ้ มูลขนาดใหญ่มากๆ ขนาดระดบั 10-100 กิกะไบต์ 5) การ์ดเมมโมรี (Memory Card) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลท่ีมีขนาดเล็ก พัฒนาข้ึน เพ่ือนาไปใช้กับอุปกรณ์เทคโนโลยีแบบต่างๆ เช่น กล้องดิจิทัล คอมพิวเตอร์มือถือ (Personal Data Assistant - PDA)โทรศพั ท์มือถือ 1.3.4 อปุ กรณแ์ สดงผล (Output Device) คืออุปกรณ์สาหรับแสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ และเป็นอุปกรณ์ส่งออก(Output device) ทาหน้าทแ่ี สดงผลลัพธ์เมื่อซีพียทู าการประมวลผล รปู ท่ี 4 แสดงอุปกรณ์แสดงผลข้อมูลแบบต่างๆ 1.3.4.1 จอภาพ (Monitor) เป็นอุปกรณ์แสดงผลลัพธ์ท่ีเป็นภาพ ปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ จอภาพแบบ CRT (Cathode Ray Tube) และ จอภาพแบบ LCD (Liquid Crystal Display) 1.3.4.2 เคร่ืองพิมพ์ (Printer) เป็นอุปกรณ์ท่ีทาหน้าท่ีแสดงผลลัพธ์ในรูปของอักขระหรือ รูปภาพที่จะไปปรากฏอยู่บนกระดาษ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ เครื่องพิมพ์ดอตเมตริกซ์ (Dot Matrix Printer) เคร่ืองพิมพ์แบบพ่นหมึก (Ink-Jet Printer) เคร่ืองพิมพ์แบบเลเซอร์ (Laser Printer) และพล็อต สเตอร์ (Plotter) สานกั วิทยบรกิ ารและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟทอ์ อฟฟศิ และการใช้งานอินเทอร์เนต็ เบ้ืองต้น

11 1.3.4.3 ลาโพง (Speaker) เป็นอุปกรณ์แสดงผลลัพธ์ท่ีอยู่ในรูปของเสียง สามารถเช่ือมต่อกับ คอมพวิ เตอร์ผา่ นแผงวงจรเกยี่ วกบั เสียง (Sound card) ซึ่งมหี น้าท่แี ปลงขอ้ มูลดิจติ อลไปเปน็ เสียง 1.4 ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ จากการที่คอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่นหลายประการ ทาให้ถูกนามาใช้ประโยชน์ต่อการดาเนิน ชีวิตประจาวันในสังคมเป็นอย่างมาก ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ การใช้ในการพิมพ์เอกสารต่างๆ เช่น พิมพ์ จดหมาย รายงาน เอกสารต่างๆ ซึ่งเรียกว่างานประมวลผล (Word processing) นอกจากนี้ยังมีการ ประยกุ ต์ใชค้ อมพวิ เตอรใ์ นด้านต่างๆ อีกหลายด้าน ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.4.1 งานธรุ กจิ เชน่ บริษัท รา้ นค้า ห้างสรรพสนิ คา้ ตลอดจนโรงงานต่างๆ ใชค้ อมพิวเตอร์ในการทา บัญชี งานประมวลคา และติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบโทรคมนาคม นอกจากนี้งานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่ก็ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุมการผลิต และการประกอบชิ้นส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งทาให้การผลิตมีคุณภาพดีข้ึนบริษัทยังสามารถรับ หรืองานธนาคาร ท่ีให้บริการ ถอนเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) และใช้คอมพิวเตอร์คิดดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน และการโอนเงิน ระหวา่ งบัญชี เชือ่ มโยงกนั เปน็ ระบบเครือข่าย 1.4.2 งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข สามารถนาคอมพวิ เตอร์มาใช้ในนามาใช้ใน ส่วนของการคานวณที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการส่งจรวดไปสู่ อวกาศ หรืองานทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สาหรับการตรวจรักษาโรคได้ ซ่ึงจะให้ผลที่แม่นยา กว่าการตรวจดว้ ยวธิ ีเคมแี บบเดมิ และใหก้ ารรักษาไดร้ วดเรว็ ขึ้น 1.4.3 งานคมนาคมและส่ือสาร ในส่วนท่ีเกี่ยวกับการเดินทาง จะใช้คอมพิวเตอร์ในการจองวันเวลา ที่นั่ง ซึ่งมีการเชื่อมโยงไปยังทุกสถานีหรือทุกสายการบินได้ ทาให้สะดวกต่อผู้เดินทางที่ไม่ต้องเสียเวลารอ อีก ท้งั ยงั ใชใ้ นการควบคุมระบบการจราจร เช่น ไฟสัญญาณจราจร และ การจราจรทางอากาศ หรือในการสื่อสาร กใ็ ชค้ วบคมุ วงโคจรของดาวเทียมเพื่อให้อยู่ในวงโคจร ซึ่งจะช่วยส่งผลต่อการส่งสัญญาณให้ระบบการสื่อสารมี ความชัดเจน 1.4.4 งานวศิ วกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบ หรือ จาลองสภาวการณ์ ตา่ งๆ เชน่ การรับแรงส่ันสะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหว โดยคอมพิวเตอร์จะ คานวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง รวมทั้งการใช้ควบคุมและติดตามความก้าวหน้าของ โครงการต่างๆ เช่น คนงาน เครื่องมอื ผลการทางาน 1.4.5 งานราชการ เปน็ หน่วยงานทม่ี กี ารใชค้ อมพิวเตอรม์ ากทีส่ ดุ โดยมีการใช้หลายรปู แบบ ท้ังนี้ ขึน้ อยู่กับบทบาทและหน้าทข่ี องหน่วยงานนน้ั ๆ เช่น กระทรวงศึกษาธกิ าร มกี ารใช้ระบบประชมุ ทางไกลผ่าน คอมพิวเตอร์ , กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดระบบเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ตเพื่อเช่ือมโยงไปยัง สถาบนั ต่างๆ, กรมสรรพากร ใชจ้ ดั ในการจัดเก็บภาษี บนั ทึกการเสียภาษี เปน็ ต้น 1.4.6 การศึกษา ไดแ้ ก่ การใช้คอมพวิ เตอรท์ างดา้ นการเรยี นการสอน ซ่ึงมกี ารนาคอมพิวเตอร์มาช่วย การสอนในลักษณะบทเรียน CAI หรืองานด้านทะเบียน ซ่ึงทาให้สะดวกต่อการค้นหาข้อมูลนักเรียน การเก็บ ข้อมูลยมื และการสง่ คนื หนงั สือห้องสมุด สานักวทิ ยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟท์ออฟฟิศและการใชง้ านอนิ เทอรเ์ นต็ เบ้ืองตน้

121.5 ประเภทของคอมพวิ เตอร์ เครื่องคอมพวิ เตอร์ แบง่ ออกเป็นหลายประเภท ข้นึ อยู่กับเกณฑท์ ่ีใช้ในการแบง่ เกณฑ์ทใี่ ช้จาแนก ประเภทคอมพิวเตอร์ตามลักษณะการใช้งาน - แบบใช้งานท่วั ไป (General purposeตามขนาดและความสามารถ computer) - แบบใชง้ านเฉพาะ (Special purpose computer) - ซเู ปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputer) - เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe computer) - มนิ คิ อมพวิ เตอร์ (Minicomputer) - ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer) - คอมพวิ เตอร์มือถือ (Handheld computer) 1.5.1 ตามลักษณะการใช้งาน 1.5.1.1 แบบใช้งานท่ัวไป (General Purpose Computer) หมายถึง เคร่อื งประมวลผลข้อมลู ทม่ี คี วามยืดหยุ่นในการทางาน (Flexible) โดยได้รับการออกแบบให้สามารถประยุกต์ใชใ้ นงานประเภทตา่ งๆ ได้โดยสะดวก โดยระบบจะทางานตามคาส่งั ในโปรแกรมท่ีเขียนขึ้นมาและเมอ่ื ผู้ใชต้ ้องการให้เครือ่ งคอมพิวเตอรท์ างานอะไร ก็เพียงแต่ออกคาส่ังเรียกโปรแกรมที่เหมาะสมเข้ามาใช้งาน โดยเราสามารถเก็บโปรแกรมไว้หลายโปรแกรมในเคร่ืองเดียวกันได้ เช่น ในขณะหนึ่งเราอาจใช้เครื่องน้ีในงานประมวลผลเกีย่ วกับระบบบัญชี และในขณะหนึง่ ก็สามารถใชใ้ นการออกเช็คเงนิ เดือนได้ เปน็ ตน้ 1.5.1.2 แบบใช้งานเฉพาะด้าน (Special Purpose Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลท่ีถูกออกแบบตัวเครื่องและโปรแกรมควบคุม ให้ทางานอย่างใดอย่างหน่ึงเป็นการเฉพาะ (Inflexible) โดยทั่วไปมักใช้ในงานควบคุม หรืองานอุตสาหกรรมท่ีเน้นการประมวลผลแบบรวดเร็ว เช่นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ควบคุมสัญญาณไฟจราจร คอมพิวเตอร์ควบคุมลิฟต์ หรือคอมพิวเตอรค์ วบคมุ ระบบอัตโนมตั ใิ นรถยนต์ เปน็ ต้น 1.5.2 ตามขนาดและความสามารถ เปน็ การจาแนกประเภทของคอมพิวเตอร์ทพี่ บเห็นไดม้ ากที่สุดในปจั จุบัน ซ่งึ สามารถแบ่งออกได้ดงั น้ี 1.5.2.1 ซุปเปอรค์ อมพิวเตอร์ (Super Computer) เป็นคอมพวิ เตอรท์ ี่มขี นาดใหญ่ทส่ี ดุ ทางานไดร้ วดเร็วและมีประสทิ ธิภาพสูง แต่จะมีราคาแพงที่สุด รวมท้ังต้อง อยู่ทีห้องได้รับการควบคุมอุณหภูมิ และปราศจากฝุ่นละออง ทาให้ต้องเป็นองค์กรขนาดใหญ่เท่าน้ัน จึง สามารถจดั หาเคร่ืองซูเปอร์คอมพิวเตอรม์ าใช้งานได้ ผ้ใู ช้งานคอมพวิ เตอร์สามารถใช้งานได้จานวนหลาย ๆ คน นามาใช้ในการคานวณที่ซับซ้อน เช่นการคานวณทางวิทยาศาสตร์ การบิน อุตสาหกรรมน้ามันเป็นต้น รวมท้ัง พบมากในวงการวจิ ยั ในหอ้ งปฎบิ ัติการต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน สานักวทิ ยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟทอ์ อฟฟศิ และการใชง้ านอนิ เทอร์เน็ตเบ้อื งต้น

13ซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นแรกสร้างในปี ค.ศ. 1960 ท่ีองค์กรของสหรัฐอเมริกา โดยได้รับการออกแบบให้เป็นคอมพิวเตอร์ที่ความเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซูเปอร์ทางานได้อย่างรวดเร็ว เน่ืองจากมีการใช้หลักทีเรียกว่า มัลติโปรเซสซิ่ง (Multiprocessing) อันเป็นใช้หน่วยประมวลผลจานวนหลายตัว เพื่อทาให้คอมพิวเตอร์สามารถทางานหลายงานพร้อมกัน โดยที่งานเหล่าน้ันมีความแตกต่างกัน งานที่ไม่เกี่ยวข้อง หรืออาจจะเป็นงานท่ีมีขนาดใหญ่ที่ถูกแบ่งย่อยไปในประมวลผลแต่ละตัวก็ทางานได้ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหน่วยประมวลกลางท้ังหมด 4 ตัว แต่ปัจจุบันคอมพิวเตอร์มีความพัฒนามากจึงทาให้มีหน่วยประมวลผลนับร้อยตัวทางานพรอ้ ม ๆ กันความเร็วของซูเปอร์คอมพิวเตอร์จะมีการวัดหน่วยเป็น นาโนวินาที (nanosecond) หรือเศษหน่ึงพันล้านวินาที และ จิกะฟลอป (gigaflop) หรือการคานวณหนึ่งพันล้านครั้งในหน่ึงวินาทีซึ่งคอมพิวเตอร์สามารถคานวณได้ถึง 128 จกิ ะฟลอป และใชเ้ ครื่องทม่ี ี สายสง่ ขอ้ มลู (data bus) กวา้ ง 32 หรือ 64 บิตจากคณุ สมบตั ิของซเู ปอรค์ อมพิวเตอร์ทกี่ ลา่ วมาท้งั หมด จะเห็นได้วา่ ผูใ้ ช้ควรนาซเู ปอร์คอมพิวเตอร์ไปใช้ในการคานวณมากๆ เช่น งานด้านกราฟฟิก หรือการคานวณทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ เป็นตน้ 1.5.2.2 เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe computer)เคร่ืองเมนเฟรมเป็นเครื่องที่ได้รับความนิยมใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ท่ัวๆไป จัดเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพรองลงมาจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ซ่ึงในช่วงปลาย ค.ศ. 1950 บริษัท IBM จัดเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ โดยเกิดจากการมีส่วนแบ่งตลาดในการขายเครื่องระดับเมนเฟรมถึง 2 ใน 3 ของผู้ใช้เคร่ืองเมนเฟรอท้งั หมด เครอ่ื งเมนเฟรมจะเป็นเครื่องท่ีมีขนาดใหญ่ ตอ้ งอยู่ในหอ้ งทไี่ ด้รับการอุณหภูมิ และปราศจากฝนุ่ ละอองเชน่ เดียวกับซูเปอรค์ อมพวิ เตอร์เคร่อื งเมนเฟรมนิยมมาใช้ในงานที่มีการรับและแสดงผลข้อมูลจานวนมาก ๆ เครื่องรุ่นใหม่ ๆ จะได้การพัฒนาใหม้ ีหน่วยประมวลผลหลายหน่วยทางานพรอ้ ม ๆ กันเช่นเดียวกับซเู ปอร์คอมพวิ เตอร์ แต่มีจานวณประมวลผลน้อยกว่า หน่วยเมนเฟรมจัดอยู่ในความเร็วของหน่วย เมกะฟรอป (megaflop) หรือการคานวณหนึ่งล้านคร้ังในหน่ึงวนิ าทีระบบคอมพิวเตอร์ของเคร่ืองเมนเฟรม ส่วนมากจะมหี น่วยคอมพวิ เตอร์ย่อยๆ ประกอบอย่ดู ว้ ย เพ่อื ช่วยในการทางานบางประเภทให้กับเครื่องหลกั สามารถแยกตามหนา้ ท่ไี ดด้ งั น้ี o Host processor เป็นเคร่ืองหลักทาหน้าท่ีควบคุมหน่วยประมวลผล อุปกรณ์รอบข้าง และการ คานวณตา่ งๆ o Font-end processor มีหน้าท่ีควบคุมติดต่อระหว่างหน้าจอของผู้ใช้งานท่ีเรียกว่า จอเทอร์มินัล ระยะไกล (remote terminal) กับระบบคอมพิวเตอร์หลัก o Bank-end processor มหี นา้ ทจี ัดการเกีย่ วกบั การใช้ข้อมลู สานักวิทยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟท์ออฟฟิศและการใช้งานอินเทอรเ์ นต็ เบือ้ งต้น

14 โปรเซสเซอรส์ ่วนต่าง ๆ บนเมนเฟรม ระบบคอมพิวเตอร์ของเตรอ่ื งเมนเฟรม มปี ระสิทธิภาพเพยี งพอที่จะรองรับผู้ใช้ได้หลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน ซ่ึง ผ้ใู ชเ้ หลา่ น้ันอาจจะนง่ั ทางานอยู่ใกล้เคร่ืองเมนเฟรม หรืออาจจะอยู่ท่ีอ่ืนซึ่งไหลออกไปก็ได้ เคร่ืองเมนเฟรมจะ เก็บโปรแกรมของผู้ใช้เหล่าน้ันไว้ในหน่วยความจาหลัก และมีการสับเปลี่ยนหรือสวิทซ์การทางานระหว่าง โปรแกรมต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว โดยที่ผู้ใช้จะไม่รู้สึกเลยว่ามีการสับเปลี่ยนการทางานไปทางานของคน อื่นอยู่ตลอดเวลา เน่อื งจากคอมพวิ เตอรท์ างานได้เรว็ กว่ามนุษย์มาก หลักการที่เครื่องเมนเฟรมสามารถทางาน หลายโปรแกรมพรอ้ ม ๆ กันนน้ั เรียกวา่ มัลตโิ ปรแกรมมงิ (multiprogramming) 1.5.2.3 มนิ คิ อมพวิ เตอร์ (Mini Computer) ธุรกิจและหน่วยงานท่ีมีขนาดเล็กไม่จาเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ขนาดเมนเฟรมซ่ึงมีราคาแพง ผ้ผู ลติ คอมพิวเตอร์จึงพฒั นาคอมพิวเตอร์ใหม้ ีขนาดเล็กและมีราคาถูกลง เรียกว่า เครอ่ื งมินิคอมพิวเตอร์ โดยมี ลักษณะพิเศษในการทางานรว่ มกบั อปุ กรณป์ ระกอบรอบข้างท่ีมีความเร็วสูงได้ มีการใช้แผ่นจานแม่เหล็กความ จสุ ูงชนิดแขง็ (Harddisk) ในการเก็บรักษาข้อมลู สามารถอ่านเขียนข้อมลู ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว หน่วยงานและบริษัท ที่ใช้คอมพิวเตอร์ขนาดน้ี ได้แก่ กรม กอง มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงาน อตุ สาหกรรมตา่ งๆ 1.5.2.4 ไมโครคอมพวิ เตอร์ (Microcomputer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีมีขนาดเล็กท่ีสุด ราคาถูกที่สุด ใช้งานง่าย และนิยมมากท่ีสุดราคาของเครื่อง ไมโครคอมพิวเตอร์จะอยู่ในช่วงประมาณหมื่นกว่า ถึง แสนกว่าบาท ในวงการธุรกิจใช้ไมโครคอมพิวเตอร์กับ งานทุก ๆ อย่าง ไมโครคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กพอท่ีจะต้ังบนโต๊ะ (Desktop) หรือ ใส่ลงในกระเป๋าเอกสาร เช่น คอมพิวเตอร์วางบนตัก (Lap top) หรือโน้ตบุ๊ก (Note book) ไมโครคอมพิวเตอร์สามารถทางานใน ลักษณะประมวลผลได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องเช่ือมโยงกับคอมพิวเตอร์เครื่องอ่ืนเรียกว่าระบบแสตนอโลน (Standalone system)มีไว้สาหรับใช้งานส่วนตัวจึงเรียกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ได้อีกชื่อหน่ึงว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือเคร่ืองพีซี (PC:Personal Computer) และสามารถนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ มาเชื่อมต่อกับเคร่ืองไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ หรือเช่ือมต่อกับเครื่องเมนเฟรม เพ่ือขยายประสิทธิภาพ เพ่มิ ขึ้น ทาให้เครือ่ งไมโครคอมพวิ เตอรเ์ ป็นทีน่ ยิ มใชก้ ันแพรห่ ลายอย่างรวดเร็ว สานักวทิ ยบรกิ ารและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟทอ์ อฟฟศิ และการใช้งานอนิ เทอรเ์ นต็ เบื้องตน้

15 1.5.2.5 คอมพิวเตอร์มอื ถือ (Handheld Computer) เป็นคอมพิวเตอรท์ ่มี ีขนาดเล็กทีส่ ุดเม่อื เทียบกับคอมพวิ เตอรป์ ระเภทอ่ืนๆ อีกท้ังสามารถพกพาไปยังที่ ตา่ งๆ ได้ง่ายกวา่ เหมาะกบั การจดั การขอ้ มูลประจาวนั การสร้างปฏิทนิ นดั หมาย การดูหนังฟังเพลงรวมถึงการ รับส่งอีเมล์ บางรุ่นอาจมีความสามารถเทียบเคียงได้กับไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น ปาล์ม พ็อกเก็ตพีซี เป็นต้น นอกจากน้ีโทรศัพท์มือถือบางรุ่นก็มีความสามารถใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์มือถือในกลุ่มนี้ในแง่ของการรัน โปรแกรมจดั การกับขอ้ มูลทว่ั ไปโดยใช้ระบบปฏบิ ตั ิการ Symbian หรือไม่ก็ Linux คอมพวิ เตอรส์ าหรับผใู้ ช้คนเดียว สามารถแบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือ เวิร์คสเตช่ัน ถูกออกแบบมาให้เป็นคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ที่มีความสามารถในการคานวนด้านวิศวกรรม สถาปตั ยกรรม หรืองานอ่นื ๆ ทีเ่ น้นการแสดงผลดา้ นกราฟฟกิ ต่าง ๆ เช่น การนามาช่วยออกแบบภาพกราฟฟิก ในโรงงานอุตสาหกรรมเพอื่ ออกแบบชนิ้ สว่ นใหม่ ๆ เป็นต้น ซึ่งจากการท่ีต้องทางานกราฟฟิกท่ีมีความละเอียด สูง ทาใหเ้ วิร์คสเตชน่ั ใชห้ นว่ ยประมวลผลที่มปี ระสิทธิภาพมาก รวมทั้งมีหนว่ ยเกบ็ ข้อมูลสารองจานวนมากด้วย มผี ู้ใชบ้ างกลุ่มเรยี กเคร่อื งระดับเวริ ค์ สเตชั่นน้ีวา่ ซูเปอร์ไมโคร (supermicro) เพราะออกแบบมาให้ใช้งานแบบ ต้ังโต๊ะ แต่ชิปที่ใช้ทางานนั้นแตกต่างกันมาก เนื่องจาก เวิร์คสเตช่ันส่วนมากใช้ชิปประเภท RISC (reduce instruction set computer) ซึ่งเป็นชิปท่ีลดจานวนคาส่ังท่ีสามารถใช้ส่ังงานให้เหลือเฉพาะที่จาเป็น เพ่ือให้ สามารถทางานไดด้ ว้ ยความเร็วสงู ไมโครคอมพิวเตอร์ ได้ถูกพัฒนาข้ึนในปี ค.ศ. 1975 และได้รับความนิยมอย่างเม่ือ IBM ได้สร้างเคร่ือง IBM PC ออกมา ไมโครคอมพวิ เตอร์ทไี่ ดร้ บั ความนิยมในปจั จุบนั จะมี 2 ชนดิ คือ Apple Macintosh และ IBM PC ในปัจจุบัน ความแตกต่างหรือช่องว่างระหว่างเคร่ืองเวิร์คสเตชั่นและเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เร่ิมลดน้อยลง เรื่อย ๆ เพราะเคร่ืองไมโครคอมพิวเตอร์ระดับสูงในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพของเคร่ืองและความเร็วในการ แสดงผลทด่ี ีกวา่ เครื่องเวริ ์คสเตชั่นจานวนมาก 1.6 องคป์ ระกอบของคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีเราเห็นๆ กันอยู่นี้เป็นเพียงองค์ประกอบส่วนหน่ึงของระบบคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ถ้าต้องการให้เคร่ืองคอมพิวเตอร์แต่ละเคร่ืองสามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่เราต้องการนั้น จาเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบพ้ืนฐาน 4 ประการมาทางานร่วมกัน ซึ่งองค์ประกอบพ้ืนฐานของระบบ คอมพิวเตอรป์ ระกอบไปด้วย ฮารด์ แวร์ (Hardware) ซอฟต์แวร์ (Software) บุคลากร (People ware) ข้อมูล / สารสนเทศ (Data/Information) 1.6.1 ฮารด์ แวร์ (Hardware) คือลักษณะทางกายของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซ่ึงหมายถึงตัวเคร่ืองคอมพิวเตอร์ และ อุปกรณ์รอบ ขา้ ง (peripheral) ที่เก่ียวขอ้ ง เชน่ ฮารด์ ดสิ ก์ เครอ่ื งพมิ พ์ เปน็ ตน้ ฮารด์ แวรป์ ระกอบด้วย  หน่วยรับขอ้ มูล ( input unit ) สานกั วิทยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟท์ออฟฟิศและการใช้งานอนิ เทอร์เน็ตเบอ้ื งตน้

16  หน่วยประมวลผลกลาง ( central processor unit ) หรือ CPU  หน่วยความจาหลัก  หนว่ ยแสดงผลลัพธ์ (output unit )  หน่วยเก็บข้อมูลสารอง (secondary storage unit )หน่วยรับข้อมูล จะเปน็ อปุ กรณท์ ่ีใช้สาหรับข้อมูลตา่ ง ๆ เข้าสู่คอมพิวเตอร์ จากน้ัน หน่วยประมวลผลกลาง จะนาไปประมวลผล และแสดงผลลัพธ์ทไ่ี ดอ้ อกมากให้ผ้ใู ชร้ บั ทราบทาง หนว่ ยแสดงผลลัพธ์หนว่ ยความจาหลกั จะทาหนา้ ท่ีเสมอื นเก็บขอ้ มูลชั่วคราวที่มีขนาดไม่สูงมากนัก การท่ีฮาร์ดแวร์จะทาหน้าที่ได้มีประสิทธิภาพน้ัน ขึ้นอยู่กับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ท่ีใช้ ส่วนการทางานได้มากน้อยเพียงใด จะข้ึนอยู่กับหน่วยความจาหลักของเครื่องนั้น ๆ ข้อเสียของหน่วยความจาหลักคือ หากปิดเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในหน่วยความจาหลักจะหายไป ในขณะที่ข้อมูลอยู่ท่ี หน่วยเก็บข้อมูลสารอง จะไม่สูญหายตราบเท่าที่ผู้ใช้ไม่ทาการลบข้อมูลนั้น รวมทั้งหน่วยเก็ยข้อมูลสารองยังมีความจุที่สูงมาก จึงเหมาะสาหรับการเก็บข้อมูลท่ีมีขนาดใหญ่ หรือเก็บข้อมูลไว้ใช้ในภายหลัง ข้อเสียของหน่วยเก็บข้อมูลสารองคือการเรียกใช้ข้อมูลจะช้ากว่าหนว่ ยความจาหลักมาก 1.6.2 ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง ส่วนทมี่ นษุ ยส์ ัมผสั ไม่ได้โดยตรง (นามธรรม) เป็นโปรแกรมหรือชุดคาส่ังที่ถูกเขียนข้ึนเพื่อสั่ง ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทางาน ซอฟต์แวร์จึงเป็นเหมือนตัวเช่ือมระหว่างผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่อง คอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เราก็ไม่สามารถใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ทาอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์สาหรับเครื่อง คอมพวิ เตอรส์ ามารถแบง่ ได้ ดงั น้ี 1.6.2.1 ซอฟต์แวร์สาหรับระบบ (System Software) คือ ชุดของคาส่ังที่เขียนไว้เป็น คาสัง่ สาเรจ็ รูป ซึ่งจะทางานใกลช้ ิดกับคอมพวิ เตอรม์ ากทส่ี ดุ เพือ่ คอยควบคุมการทางานของฮาร์ดแวร์ทุกอย่าง และอานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ในการใช้งาน ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีก็คือ DOS, Windows, UNIX, Linux รวมท้ังโปรแกรมแปลคาส่ังท่ีเขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic, FORTRAN, Pascal, COBOL, C เป็นต้น นอกจากน้ีโปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Norton’s Utilities ก็ นับเปน็ โปรแกรมสาหรบั ระบบด้วยเชน่ กัน 1.6.2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมท่ีสั่ง คอมพิวเตอร์ทางานต่างๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ไม่ว่าจะด้านเอกสาร บัญชี การจัดเก็บข้อมูล เป็นต้น ซอฟต์แวร์ ประยกุ ตส์ ามารถจาแนกไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื - ซอฟต์แวร์สาหรับงานเฉพาะด้าน คือ โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นเพื่อการทางานเฉพาะอย่างที่ เราต้องการ บางท่ีเรียกว่า User’s Program เช่น โปรแกรมการทาบัญชีจ่ายเงินเดือน โปรแกรมระบบเช่าซื้อ โปรแกรมการทาสินค้าคงคลัง เป็นต้น ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มักจะมีเงื่อนไข หรือแบบฟอร์มแตกต่างกันออกไป ตามความตอ้ งการ หรือกฎเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงานที่ใช้ ซ่ึงสามารถดัดแปลงแก้ไขเพ่ิมเติม (Modifications) ในบางส่วนของโปรแกรมได้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่เขียนขึ้นน้ีโดยส่วน ใหญ่มกั ใช้ภาษาระดบั สงู เปน็ ตัวพัฒนา สานกั วิทยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟท์ออฟฟศิ และการใชง้ านอินเทอรเ์ นต็ เบอื้ งตน้

17 - ซอฟต์แวร์สาหรับงานทั่วไป เป็นโปรแกรมประยุกต์ท่ีมีผู้จัดทาไว้ เพ่ือใช้ในการทางานประเภทต่างๆ ทั่วไป โดยผู้ใช้คนอ่ืนๆ สามารถนาโปรแกรมน้ีไปประยุกต์ใช้กับข้อมูลของตนได้ แต่จะไม่สามารถทาการดดั แปลง หรอื แก้ไขโปรแกรมได้ ผู้ใช้ไม่จาเป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง ซึ่งเป็นการประหยัดเวลาแรงงาน และค่าใช้จ่ายในการเขียนโปรแกรม นอกจากนี้ ยังไม่ต้องใช้เวลามากในการฝึกและปฏิบัติ ซึ่งโปรแกรมสาเร็จรูปน้ี มักจะมีการใช้งานในหน่วยงานที่ขาดบุคลากรที่มีความชานาญเป็นพิเศษในการเขียนโปรแกรม ดังน้ัน การใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูปจึงเป็นส่ิงท่ีอานวยความสะดวกและเป็นประโยชน์อย่างย่ิง ตัวอย่างโปรแกรมสาเร็จรูปท่ีนิยมใช้ได้แก่ MS-Office, Lotus, Adobe Photoshop, SPSS, Internet Explorer และเกมสต์ า่ งๆ เป็นต้น 1.6.3 บคุ ลากร (People ware) หมายถึง บุคลากรในงานด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความรู้เก่ียวกับคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งาน ส่ังงานเพือ่ ให้คอมพวิ เตอรท์ างานตามทีต่ ้องการ แบ่งออกได้ 4 ระดับ ดังน้ี 1.6.3.1 ผู้จัดการระบบ (System Manager) คือ ผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเปา้ หมายของหนว่ ยงาน 1.6.3.2 นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) คือ ผู้ท่ีศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทาการวิเคราะห์ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน เพื่อให้โปรแกรมเมอร์เปน็ ผเู้ ขียนโปรแกรมให้กบั ระบบงาน 1.6.3.3 โปรแกรมเมอร์ (Programmer) คือ ผู้เขียนโปรแกรมส่ังงานเคร่ืองคอมพิวเตอร์เพื่อใหท้ างานตามความต้องการของผู้ใช้ โดยเขยี นตามแผนผังที่นกั วเิ คราะหร์ ะบบได้เขียนไว้ 1.6.3.4 ผู้ใช้ (User) คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป ซึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เคร่ือง และวิธกี ารใชง้ านโปรแกรม เพอ่ื ใหโ้ ปรแกรมทม่ี ีอยสู่ ามารถทางานไดต้ ามที่ตอ้ งการเนื่องจากเป็นผู้กาหนดโปรแกรมและใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ มนุษย์จึงเป็นตัวแปรสาคัญในอันท่ีจะทาให้ผลลัพธ์มีความน่าเช่ือถือ เนื่องจากคาส่ังและข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลได้รับจากการกาหนดของมนุษย์(People ware) ทั้งส้ิน 1.6.4 ขอ้ มูล/สารสนเทศ (Data/Information) ขอ้ มลู (Data) เป็นองค์ประกอบทสี่ าคญั อย่างหน่ึง การทางานของคอมพิวเตอร์จะเกี่ยวข้องกับข้อมูลต้ังแต่การนาข้อมูลเข้าจนกลายเป็นข้อมูลที่สามารถใช้ประโยชน์ต่อได้หรือที่เรียกว่า สารสนเทศ(Information) ซึ่งข้อมูลเหล่าน้ีอาจจะเป็นได้ทั้งตัวเลข ตัวอักษร และข้อมูลในรูปแบบอ่ืนๆ เช่น ภาพ เสียงเป็นต้น ข้อมูลที่จะนามาใช้กับคอมพิวเตอร์ได้นั้น โดยปกติจะต้องมีการแปลงรูปแบบหรือสถานะให้คอมพิวเตอร์เข้าใจก่อน จึงจะสามารถเอามาใช้งานในการประมวลผลต่างๆ ได้เราเรียกสถานะนี้ว่า สถานะแบบดจิ ิตอล ซ่ึงมี 2 สถานะเทา่ นั้น คอื เปิด(1) และ ปิด(0) สานักวิทยบรกิ ารและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์เอกสารประกอบการอบรมไมโครซอฟทอ์ อฟฟศิ และการใชง้ านอินเทอรเ์ น็ตเบ้อื งต้น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook