สื่ออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชากฏหมายอาญา2 เรื่อง ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ โดย นางสาวสาธิตา เพ็ชรขาว รหัสนิสิต 601081349
สารบัญ หน้า 1 ชื่อเนื้อหา 2-3 เรื่อง ลักทรัพย์ 4-5 เรื่อง วิ่งราวทรัพย์ 6-7 เรื่อง ชิงทรัพย์ 8-11 เรื่อง ปล้นทรัพย์ 12-15 เรื่อง กรรโชกทรัพย์ 16-18 เรื่อง รีดเอาทรัพย์ 19-21 เรื่อง ฉ้อโกง เรื่อง รับของโจร
ลักทรัพย์ คือ การลักเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยที่เจ้าของ ไม่ยินยอมแม้ต่อมาเจ้าของทรัพย์จะสงสารไม่ ติดใจเอาความก็ยังมีความผิดฐานลักทรัพย์ มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ ด้วยโดยทุจริตผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ องค์ประกอบภายนอก 1.ผู้ใด 2.เอาไป 3.ทรัพย์ของผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ตัวอย่าง คำพิพากษาฎีกา 3011/2551 จำเลยขึ้นนั่งคร่อมจักรยานยนต์ และเข็นรถของผู้เสียหายมาจาก จุดที่จอดเดิมประมาณ 1 เมตร แต่จำเลยไม่ทันติดเครื่องยนต์รถ ขับเอาไป เพราะผู้เสียหายมาพบเห็นก่อน จำเลยจึงทิ้งรถวิ่งหนีไป ถือว่าจำเลยยึดครองและเอาทรัพย์ เคลื่อนไปในลักษณะที่พาเอาไปได้เป็นการลักทรัพย์สำเร็จแล้ว 1
วิ่งราวทรัพย์ คือ การลักทรัพย์โยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า เป็นการเอาไปต่อหน้า โดยไม่มีความเกรงกลัวไม่รอให้เจ้าของเผลอ ในการวิ่งราว ทรัพย์ไม่จำว่าเมื่อรักลักทรัพย์แล้วจะต้องวิ่งหนีเสมอไป อาจ เดินหนีหรือขึ้นรถไปเท่ากับว่าเป็นวิ่งราวทรัพย์ก็ได้ มาตรา 336 ผู้ใดลักทรัพย์โดย ฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ผู้นั้นกระทำ ความผิดต้องระวางโทษ ว.2 ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุ ให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือ จิตใจ ต้องระวางโทษ ว.3 ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุ ให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้อง ระวางโทษ ว.4 ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุ ให้ผู้อยู่ถึงแก่ความตาย ต้อง ระวางโทษ 2
องค์ประกอบภายนอก - ผู้ใด - ลักทรัพย์ - โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า องค์ประกอบภายใน - เจตนา ผู้กระทำต้องรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอก ของความผิด - เจตนาพิเศษ โดยทุจริต คือ เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ที่มิได้ โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตกเองหรือผู้อื่น ตัวอย่าง คำพิพากษาฎีกาที่ 10344/2550 จำเลยใช้อุบายเข้าไปขอซื้อสินค้า เมื่อไปหยิบสินค้าและเผลอ พวกของจำเลยลงจากรถลักบุหรี่ไปจากร้านค้าของผู้เสียหาย ผู้เสียหายซึ่งอยู่ในร้านตัดผมฝากถนนตรงข้าม เห็นเหตุการณ์ ห่างออกไป 20 เมตร การกระทำดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเอาไป ต่อหน้าผู้เสียหาย การกระทำของพวกของจำเลยไม่เป็นการ ฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ดังนั้น การกระทำทำของจำเลยจึงไม่เป็น ความผิดฐานร่วมกันวิ่งราวทรัพย์ 3
ชิงทรัพย์ คือ การลักขโมยของผู้อื่นโดยใช้กำลังหรืออาวุธทำร้าย เจ้าของทรัพย์หรืออาจขู่ว่าจะใช้กำลังหรืออาวุธทำร้าย เจ้าของทรัพย์ เพื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง - ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป - ให้ยื่นทรัพย์นั้น - ปกปิดการกระทำความผิดนั้น - ให้พ้นจากการจับกุม เป็นความผิดที่ต่อเนื่องมาจากความผิดฐานลักทรัพย์ถ้าไม่ เป็นความผิดฐานลักทรัพย์แม้มีการใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะให้ใช้กำลังประทุษร้ายก็ไม่เป็น ความผิดฐานชิงทรัพย์ 4
มาตรา 339 ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือ จิตใจผู้กระทำต้องระวางโทษ ว.2 ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำผิด ต้องระวางโทษ ว.3 ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำความ ผิดต้องระวางโทษ องค์ประกอบภายนอก - ลักทรัพย์ตาม มาตรา334 - โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้น จะใช้กำลังประทุษร้าย องค์ประกอบภายใน - เจตนา - เจตนาพิเศษเพื่อ (1)ถึง(5) ตัวอย่าง นายชาติใช้ปืนขู่นายปลาให้ส่งนาฬิกาข้อมือมาให้ตน โดย บอกว่าถ้าไม่ส่งมาให้จะใช้ปืนยิงนายปู (คำตอบ นายชาติมีความผิดฐานชิงทรัพย์) 5
ปล้นทรัพย์ คือ การที่คนตั้งแต่สามคนขึ้นไปร่วมมือกันกระทำความผิด ด้วยการชิงทรัพย์ของผู้อื่น ถ้าคนหนึ่งเป็นเพียงผู้สนับสนุน และมีผู้ร่วมกันชิงทรัพย์อีก 2 คน ไม่เป็นปล้นทรัพย์ และ ถ้ามีผู้ร่วมกระทำผิดครบ 3 คนแล้วผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกจะเป็นผู้สนับสนุนความผิดฐานปล้น ทรัพย์ เป็นความผิดที่ต่อเนื่องมาจากความผิดฐานชิงทรัพย์ ถ้าไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ อาจจะเป็นความผิดฐาน อื่น เช่น ร่วมกันลักทรัพย์ มาตรา 340 ผู้ใดชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิด ด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปผู้นั้นกระทำความผิดฐาน ปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษ 6
องค์ประกอบภายนอก - ผู้ใด - ชิงทรัพย์ - โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป องค์ประกอบภายใน - เจตนา ถ้าการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย สาหัส ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษเพิ่มขึ้น ตัวอย่าง นายเอ นายบี และนายเอ็ม ร่วมกันชกต่อยนายเพชร เพื่อแย่งเอาสร้อยคอทองคำจากนายเพชรแล้วพากันหลบหนีไป (คำตอบ การกระทำของนายเอ นายบี และนายเอ็มเป็นความผิด ฐานปล้นทรัพย์) 7
กรรโชกทรัพย์ คือ การ ข่มขืนใจ ผู้อื่นให้ยอมให้ หรือ ยอมจะให้ ตนเอง หรือผู้อื่น ได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็น ทรัพย์สินจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมทำเช่นนั้น ข่มขืนใจ คือ การบังคับจิตใจเป็นการทำให้ เสื่อมเสียเสรีภาพ ความผิดมาตรานี้ จะเป็นความผิด มาตรา 309 ฐานทำให้ เสื่อมเสียเสรีภาพด้วยเสมอ การถูกข่มขืนใจยินยอมให้ต้อง มาจากเหตุกละวเพราะการถูกข่มขืนใจ ไม่ใช่เพราะรำคาญ มาตรา 337 ผู้ใดคมคืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมให้ตนหรือผู้อื่น ได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิตร่างกายเสรีภาพชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืน ใจยอมเช่นว่านั้นผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชกต้องระวางโทษ 8
องค์ประกอบภายนอก องค์ประกอบภายใน เทียบกับ ม.309 ( ข่มขืนใจผู้อื่น เจตนาธรรมดา โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือ โดย ขู่เข็ญ )ให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตน หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่ เป็นทรัพย์สินจนผู้ถูกข่มขืนใจยอม เช่นว่านั้น ตัวอย่าง เช่น นายไฟขู่นายน้ำว่าถ้าไม่โอนเงินจำนวน 1 ล้านบาทให้ จะ - ฆ่านายน้ำ - เผยแพร่ภาพเปลือยของนายน้ำ -ทำร้ายนายน้ำ - จับนายน้ำไปขัง - เผาบ้านนายน้ำ ข้อแตกต่างการข้มขืนใจตามมาตรา 337 กับ มาตรา 309 การข่มขืนใจตามมาตรา 337 ระบุเพียงการให้ ยอมให้ หรือ ยอมจะให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินเท่านั้น แต่ มาตรา 309 ไม่จำกัดเฉพาะการยอมให้ หรือยอมจะให้ ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน 9
- การกระทำข่มขืนใจผู้อื่น หมายถึง การบังคับใจผู้อื่นให้ตัดสินใจ ตามที่บังคับให้ - ยอมให้ คือ ตกลงที่จะให้ขณะนั้นเอง - ยอมจะให้ คือ ตกลงที่จะให้ในภายหน้า - ซึ่งประโยชน์ในลักษณะที่จะเป็นทรัพย์สิน หมายถึง ทั้งตัวทรัพย์ ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับทรัพย์นั้นๆ เช่น ได้ใช้บ้าน พักตากอากาศ พักโรงแรมฟรี หรือข่มขู่ให้พรรคพวกของตนชนะ การประมูล ความผิดสำเร็จ เนื่องจากความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ถือเอาอำนาจการตัดสิน ใจของผู้ถูกกระทำเป็นสำคัญ ความผิดจะสำเร็จเมื่อผู้ถูก ประทุษร้าย หรือถูกขู่เข็ญยอมให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็น ทรัพย์สิน หรือยอมจะให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินใน ภายหน้า แม้จะยังไม่ได้ประโยชน์นั้นเลยก็เป็นความผิด ข้อสังเกต การขู่เข็ญในเรื่องกรรโชกทรัพย์ จะกว้างกว่าการขู่เข็ญในเรื่อง ชิงทรัพย์เพราะการขู่เข็ญในเรื่องชิงทรัพย์เป็นกานขู่เข็ญว่าจะใช้ กำลังประทุษร้ายในทันใดนั้นเท่านั้น ไม่รวมถึงการขู่เข็ญว่าจะ ประทุษร้ายในเวลาอื่นแลเไม่รวมถึงการขู่ว่าจะทำอันตรายต่อ เสรีภาพ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน 10
เหตุฉกรรจ์ ( มาตรา 337 วรรค 2 ) (1) ขู่ว่าจะฆ่า ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกาย ให้ผู้ถูกข่มขืนใจ หรือ ผู้อื่นให้ได้รับอันตรายสาหัส หรือขู่ว่าจะทำให้เกิดเพลิงไหม้ แก่ทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือ (2) มีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ คำพิพากษาฎีกาที่ 478/2559 จำเลยขู่ให้โจทก์และโจทก์ร่วมให้ไปโอนขายสิทธิในการเช่า พื้นที่ราชพัสดุซึ่งมีชื่อ ส.บุตรของโจทก์ร่วมถือสิทธิอยู่โดย โจทก์ร่วมก็ได้ขอให้ ส โอยขายสิทธิการเช่าที่ราชพัสดุให้กับ ผู้อื่นเงินที่ได้จากการขายนั้นเข้าบัญชีโจทก์ร่วม แม้โจทก์ ร่วมจะยอมทำตามคำขู่ของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้ รับประโยชน์ในทางทรัพย์สินโดยตรงจึงไม่เป็นความผิด ฐานกรรโชกทรัพย์ แต่การข่มขู่ของจำเลยที่ 1 นั้นทำให้ โจทก์ร่วมหวาดกลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ตัวหรือครอบครัว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดต่อเสรีภาพตาม ป.อ มาตรา 309 วรรคแรก ซึ่งเป็นความผิดที่รวมอยู่ในฐาน กรรโชกตามที่โจทก์ฟ้อง 11
รีดเอาทรัพย์ คือการ “ข่มขืนใจ” ผู้อื่นให้ ยอมให้หรือยอมจะให้ ตนเอง หรือ ผู้อื่น ได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญ ว่าจะเปิดเผยความลับ จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมทำเช่นว่านั้น “ความลับ” คือข้อเท็จจริงที่ไม่ประจักษ์แก่คนทั่วไป และเจ้าของ ประสงค์จะปกปิด • มีองค์ประกอบความผิดเหมือนกับความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ต่างกันเพียงในความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ เป็นการขู่ว่าจะเปิดเผย ความลับ • การที่ผู้ถูกข่มขืนใจยินยอมให้ ต้องมาจากเหตุกลัวเพราะการถูก ข่มขืนใจ ไม่ใช่เพราะรำคาญ มาตรา 338 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดย ขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับ ซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหายจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่น ว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ต้องระวาง โทษ 12
องค์ประกอบภายนอก - ผู้ใด - ข่มขืนใจ - ผู้อื่น - ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่น ได้ประโยชน์ในลักษณะที่ เป็นทรัพย์สิน - โดยขู่เข็ญว่าจะเป็นเผยความลับ - ซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหาย - จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น องค์ประกอบภายใน เจตนา การกระทำเหมือนกับความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ คือ การข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ หรือ ยอมจะให้ตน หรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับ ซึ่งการเปิดเผยนั้น จะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหาย จนผู้ ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น 13
ความลับ คือ ข้อเท็จจริงที่มิได้รู้กันทั่วไป เช่น การมีภริยาน้อย การเป็นโสเภณี หรือเรียกเอาเงินโดยขู่ว่าจะเปิดเผยความลับ เกี่ยวกับการหลักเลี่ยงภาษีของห้างหุ้นส่วน เป็นต้น ข้อสังเกต (1)ความผิดฐานรีดเอาทรัพย์นั้นมีองค์ประกอบเหมือนกับ ความผิดฐานกรรโชกทุกประการ แตกต่างกันแต่ว่าความ ผิดฐานรีดเอาทรัพย์เป็นการขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับ (2) ความลับ หมายความว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่ประจักษ์แก่ คนทั่วไปและเจ้าของประสงค์จะปกปิด เพราะสิ่งไหนจะ เป็นความลับหรือไม่ต้องพิจารณาจากตัวเจ้าของความลับ เป็นสำคัญ (3) การเปิดเผยความลับนั้น ถ้าจำเป็นต้องเปิดเผยเพราะ มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายก็ไม่เป็นความผิด แต่ถ้า กระทำเพื่อเรียกร้องเอาผลประโยชน์นอกเหนือไปจาก สิทธิที่มีอยู่ตามกฎหมายย่อมเป็นความผิด 14
คำพิพากษาฎีกาที่ 2898/2549 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยข่มขู่ผู้เสียหายให้ยอมให้ เงิน 300,000 บาท แก่จำเลย โดยขู่ว่าหากผู้เสียหายไม่ยอมให้ เงินจำเลยจะนำภาพเปลือยของผู้เสียหายออกเปิดเผยทำให้ผู้ เสียหายยอมให้เงิน 10,000 บาท แก่จำเลยแต่โจทก์ไม่ได้ บรรยายมาในคำฟ้องว่า ภาพเปลือยของผู้เสียหายที่จำเลยขู่ว่า จะเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้เสียหายหรือบุคคลที่สามเสียหายอย่างไร ทั้งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ เพราะหากไม่ใช่ความลับที่เปิดเผย แล้วจะทำให้ผู้เสียหายหรือบุคคลที่สามต้องเสียหายก็ย่อมแสดง อยู่ในตัวว่าไม่ใช่ความลับที่ผู้เสียหายต้องการจะปกปิดเอาไว้ไม่ ให้เปิดเผยแก่บุคคลทั่วไปอันจะเป็นความผิดตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 338 ดังนั้น คำฟ้องของโจทก์จึงขาดองค์ ประกอบความผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) 15
ฉ้อโกง คือการ หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ แสดงข้อความเท็จ หรือ ปกปิด ข้อความจริง เพื่อ .. (1) ให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจาก ผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สาม หรือ (2) ทำให้ผู้ถูกหลอกลวง หรือ บุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือ ทำลาย” เอกสารสิทธิ • ถ้าข้อความที่แสดงออกไป ไม่เป็นเท็จ แต่ผู้กล่าวเข้าใจว่าเป็นเท็จ ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง (และไม่เป็นพยายามฉ้อโกง) • ผู้ถูกหลอกลวง ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ แม้ทรัพย์นั้นเป็น ของผู้หลอกลวงเอง ก็เป็นความผิดฐานฉ้อโกงได้ ความผิดฐานฉ้อโกง เป็นการหลอกลวงให้หลง เชื่อ โดย ไม่มีการใช้กำลังประทุษร้าย และแตก ต่างจากความผิดฐานลักทรัพย์ เพราะความผิด ฐานฉ้อโกงนั้น เป็นการหลอกลวงให้ได้มาซึ่ง ทรัพย์เจ้าของหรือผู้ครอบครองส่งมอบให้โดย เข้าใจผิด ไม่ได้เป็นการเอาไปโดยใช้กลฉ้อฉล เหมือนลักทรัพย์ 16
มาตรา 341 ผู้ใดโดยทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดง ข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอก ลวกหรือบุคคลที่สาม หรือ ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน ฉ้อโกง ต้องระวางโทษ ข้อสังเกต ความผิดฐานนี้ในตัวบทร่างโดย เอาคำว่า โดยทุจริตมาก่อน กระทำ เพื่อเน้นให้เห็นว่า ผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงต้อง รเจตนาที่ทุจริตมาแต่ต้น ก่อนจะมีการหลอกลวงนั้นเอง เช่น เจตนาจะเอาของเขาไปแต่แรก แต่ทำทีว่าขอเช่าซื้อ เมื่อได้ ของไปแล้วกลับไม่ยอมจ่ายค่าเช่าซื้อ เป็นความผิดฐาน ฉ้อโกง ซึ่งหากแต้ต้นไม่ได้มีเจตนาทุจริตตั้งใจเช่าซื้อรถ แต่ ภายหลังผ่อนไม่ไหวจึงนำรถไปขายให้คนอื่น กรณีเช่นนี้ไม่ ผิดฐานฉ้อโกงเพราะไม่ได้มีเจตนามาตั้งแต่แรก กรณเช่นนี้ ผู้กระทำผิดฐานยักยอกทรัพย์เท่านั้น การกระทำผิดฐานนี้ ต้องมีการหลกลวงด้วย 1.แสดงข้อความเป็นเท็จ หมายถึง ข้อความที่แสดงนั้น ไม่ตรงกับความจริงในขณะที่แสดง จึงต้องเป็นการ แสดงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหรือมีอยู่แล้ว 2.ปกปิดข้อความ ซึ่งควรบอกให้แจ้ง หมายถึง การไม่ บอกความจริง ซึ่งต้นมีหน้าที่ต้องเปิดเผย มิฉะนั้นผู้อื่น จะหลงผิดได้ เช่นคนขายของเก่าและใหม่ปนกันไป โดย ไม่ยอมบอกว่าอันไหนใหม่อันไหนเก่า 17
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5830/2562 พนักงานอัยการฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในความผิดฐาน ฉ้อโกง กับมีคำขอให้คืนหรือใช้เงิน ที่ผู้เสียหายส่งมอบให้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 แก่ผู้เสียหาย อันเป็นคำขอในส่วนแพ่ง ที่พนักงานอัยการฟ้องคดีแทนผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์คดีนี้ เมื่อเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินรายเดียวกันกับที่โจทก์ ฟ้องขอบังคับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 คืนในคดีนี้ การที่โจทก์ ฟ้องคดีนี้ในระยะเวลาที่คดีอาญาดังกล่าวอยู่ระหว่างการ พิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ฟ้องโจทก์ในส่วนเงินที่ ส่งมอบอันเป็นต้นเงินจึงเป็นฟ้องซ้อน แต่ในส่วนดอกเบี้ย พนักงานอัยการไม่ได้ขอให้ชดใช้ในคดีอาญาดังกล่าว จึง ไม่เป็นฟ้อนซ้อน เมื่อข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ฟั งได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ได้หลอกลวงโจทก์ และเงินที่โจทก์ ส่งมอบให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ถูกส่งเป็นทอด ๆ ไปให้จำเลย ที่ 4 โดยมิได้อยู่ในครอบครองของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ โจทก์จะใช้สิทธิติดตามเอาคืนจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 โจทก์ จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ชำระดอกเบี้ยใน เงินจำนวนนั้น 18
รับของโจร คือการช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการอื่น ซึ่ง “ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความ ผิด ฐานใดฐานหนึ่ง 9 ฐาน” (ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีด เอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงาน ยักยอกทรัพย์) • ผู้กระทำผิดฐานรับของโจรต้อง “ไม่ใช่” ผู้ที่กระทำความผิด หรือ ผู้ใช้ให้กระทำความผิดทั้ง 9 ฐาน • ถ้าผู้กระทำผิด “ไม่รู้” ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มากจากการกระทำความ ผิดทั้ง 9 ฐาน ไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร ความผิดฐานรับของโจร เป็นความผิดที่กฎหมายมองว่าการ กระทำดังกล่าวก่อมห้เกิดความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ เพระาเป็นแหล่ง รับซื้อ รับจำหน่าย ซึ่งถือเป็นแหล่งระบายของที่ได้มาจากการกระ ทำความผิดอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์อาจไม่เกิดขึ้นหากว่าทรัพย์ ที่ได้มาไม่สามารถนำไปขายต่อหรือไม่สามารถสร้างผลกำไรให้พวก อาชกรได้ 19
มาตรา 357 ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไป เสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มา โดยการกระทำความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลัก ทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้น ทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นั้น กระทำความผิดฐานรับของโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น ได้กระทำ เพื่อค้ากำไรหรือได้กระทำต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลัก ทรัพย์ตามมาตรา 335 (10) ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ ผู้ กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และ ปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองแสนบาท ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น ได้กระทำ ต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตามมาตรา 335 ทวิ การชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 ทวิ หรือการปล้นทรัพย์ตาม มาตรา 340 ทวิ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปี ถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสามแสนบาท องค์ประกอบของความผิด ช่วยช่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งเอาทรัพย์อันได้มาโดยการกระ ทำความผิด ถ้้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราว ทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือ เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ โดยเจตนา 20
ความผิดฐานรับของโจรมีการกระทำหลายลักษณะ หากเข้า ลักษณะของการกระทำใดกระทำหนึ่ง ผู้กระทำย่อมมีความ ผิดฐานรับของโจรได้ ช่วยซ่อนเร้น คือ การทำให้หาทรัพย์นั้นยากขึ้น ช่วยจำหน่าย คือ พาทรัพย์นั้นไปขายหรือนำไปจำนำ คำพิพากษาศาลฎีกา 287 / 2540 คดีเกี่ยวกับความผิด ฐานรับของโจรนั้นข้อสำคัญคือต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยรับ ซื้อไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์สินอันได้มาโดยกระทำความผิด กรณีของจำเลยเมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันให้เห็น ว่าจำเลยได้รับรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นซับของผู้เสียหายที่ถูก คนร้ายลักเอา ไปไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระ ทำความผิด จะอาศัยพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถ จักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปจากบ้านของ ส. โดยคิดหรือ คาดคะเนเอาว่าจำเลยได้ครอบครองหรือช่วยจำหน่ายรถ จักรยานยนต์ของผู้เสียหายแล้วฟั งว่าจำเลยกระทำความผิด หาได้ไม่ 21
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: