39 ประโยชนข์ องการปรับปรุงพนั ธุ์พชื โดยวธิ ีพนั ธุวศิ วกรรม มีดงั น้ี 2.2.1 ทาใหเ้ กิดพืชสายพนั ธุ์ใหมท่ ่ีปลอดโรค หรือใหต้ า้ นทานตอ่ โรค เช่น มะละกอท่ีตา้ นทานต่อโรคใบด่างวงแหวน เป็นตน้ 2.2.2 การสร้างพืชใหต้ า้ นทานตอ่ แมลง เช่น ฝ้ ายที่ไดร้ ับการตดั ตอ่ ยนี ใหต้ า้ นทานหนอนเจาะสมอฝ้ าย เป็นตน้ 2.2.3 การสร้างพืชให้ตา้ นทานต่อยาปราบวชั พืช เช่น ขา้ วโพดที่ไดร้ ับการตดั ต่อยีนใหส้ ามารถตา้ นทานยากาจดั วชั พชื ไกลโฟเสท เป็นตน้ 2.2.4 ทาให้เกิดพืชผกั ผลไม้ ท่ีมีคุณค่าทางโภชนาการเพ่ิมข้ึน เช่น การพฒั นาพนั ธุ์ขา้ วญี่ป่ ุนใหเ้ ป็นขา้ วทอง ซ่ึงมีสารโปรวติ ามิน A เพม่ิ มากข้ึน เป็นตน้ 2.2.5 ทาใหเ้ กิดพืชพนั ธุ์ใหม่ท่ีมีคุณคา่ เชิงพาณิชย์ เช่น การผลิตกุหลาบดอกสีน้าเงินเป็ นตน้ 2.2.6 ลดมลภาวะใหก้ บั ส่ิงแวดลอ้ ม เนื่องจากการถ่ายยนี ท่ีตา้ นทานโรคและแมลงลงไปในพืช ทาให้ไม่ตอ้ งใชส้ ารเคมีในการกาจดั ศตั รูพืช เป็ นการลดมลภาวะที่เกิดจากผลตกคา้ งของสารเคมีที่ใชก้ าจดั ศตั รูพชื
40 บรรณานุกรมกรมอาชีวศึกษา. 2527. คู่มือการเรียนการสอน วชิ าการปรับปรุงพนั ธ์ุพชื . กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พว์ ชิ าการ.จิรา ณ หนองคาย. 2541. การขยายพันธ์ุพชื แบบใช้เพศ. กรุงเทพฯ : บริษทั ร้านขายส่ง หนงั สือนายสุขจากดั .นพพร คลา้ ยพงษพ์ นั ธุ์. 2546. เทคนิคการปรับปรุงพนั ธ์ุพชื . กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.ปรีชา ขมั พานนท.์ 2523. การปรับปรุงพนั ธ์ุข้าวโดยใช้กมั มนั ตภาพรังสีและสารเคมชี ักนา ให้เกดิ การเปลยี่ นแปลงพนั ธุกรรม. กรุงเทพฯ : กรมวชิ าการเกษตร.ไพศาล เหล่าสุวรรณ. 2527. หลกั การปรับปรุงพนั ธ์ุพชื . สงขลา : มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์.รงรอง หอมหวล. 2542. การปรับปรุงพนั ธ์ุพชื โดยวธิ ีพเิ ศษ : เอกสารประกอบการ ฝึกอบรมเรื่อง การปรับปรุงพนั ธุ์ไมด้ อกไมป้ ระดบั . สานกั งานคณะกรรมการ วจิ ยั แห่งชาติ.สิรนุช ลามศรีจนั ทร์. 2540. การกลายพนั ธ์ุของพชื . กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.http://www.Thailand-an-field.blogspot.com เขา้ ถึงเม่ือวนั ท่ี 13 กนั ยายน 2553
41 แบบฝึ กหัดหน่วยที่ 3 เรื่อง หลกั การปรับปรุงพนั ธ์ุพชืคาสง่ั จงตอบคาถามต่อไปน้ีใหไ้ ดค้ วามสมบรู ณ์ท่ีสุด (ขอ้ ละ 2 คะแนน) 1. หลกั การปรับปรุงพนั ธุ์มีกี่วธิ ีอะไรบา้ ง …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… 2. จงบอกแหล่งรวบรวมพนั ธุกรรมพชื มาอยา่ งนอ้ ย 3 ชื่อ …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… 3. การคดั เลือกพนั ธุ์แบ่งไดก้ ี่ประเภท อะไรบา้ ง …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… 4. จงบอกส่วนของพชื ท่ีนามาฉายรังสีเพื่อชกั นาใหเ้ กิดการกลายพนั ธุ์ …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… 5. จงบอกประโยชน์ของวธิ ีการปรับปรุงพนั ธุ์พืชดว้ ยวธิ ีพนั ธุวศิ วกรรม …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………
42 แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยท่ี 3 เร่ือง หลกั การปรับปรุงพนั ธ์ุพชืคาส่ัง ใหผ้ เู้ รียนเลือกทาเคร่ืองหมาย X ทบั บนตวั อกั ษรที่ถูกตอ้ งที่สุดลงในกระดาษคาตอบ (ขอ้ ละ 1 คะแนน) 1. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ วธี ีการปรับปรุงพนั ธุ์พชื ก. การผสมพนั ธุ์ ข. การคดั เลือกพนั ธุ์ ค. การขยายพนั ธุ์ ง. การนาพชื มาจากแหล่งอื่น จ. การชกั นาใหเ้ กิดการกลายพนั ธุ์ 2. IRRI ประเทศฟิ ลิปปิ นส์ เป็นแหล่งเกบ็ รวบรวมพนั ธุกรรมของพชื ชนิดใด ก. ขา้ ว ข. ฝ้ าย ค. ถวั่ ลิสง ง. ขา้ วฟ่ าง จ. ออ้ ย 3. พืชในขอ้ ใดเป็นพชื ลกั ษณะใหมท่ ี่นาเขา้ มาในประเทศไทยเพอ่ื การผสมพนั ธุ์ ปรับปรุงพนั ธุ์ ก. ขา้ วโพดพนั ธุ์ฮาวายเอ้ียนซุปเปอร์สวที ข. ขา้ วพนั ธุ์เต้ีย IR. 8 ค. ขา้ วโพดพนั ธุ์สุวรรณ 1 ง. ขา้ วขาวดอกมะลิ 105 จ. ขา้ วโพดพนั ธุ์สุวรรณ 2 4. ขอ้ ใดเป็นขอ้ ดีของพชื ท่ีถูกคดั เลือกโดยธรรมชาติ ก. ใหผ้ ลผลิตสูง ข. อายเุ กบ็ เกี่ยวส้นั ค. แขง็ แรง หาอาหารเก่ง ง. ตา้ นทานโรค จ. ออกดอกเร็ว
435. ขอ้ ใดเป็นการคดั เลือกโดยมนุษย์ ก. Introduction ข. Mutation ค. Natural Selecton ง. Hybridization จ. Artificial Selection6. การเพิม่ ความแปรปรวนทางพนั ธุกรรมในพชื ในขอ้ ใดจดั วา่ มีประโยชน์มากที่สุด ก. การผสมพนั ธุ์ ข. การคดั เลือกพนั ธุ์ ค. การนาพชื มาจากแหล่งอื่น ง. การชกั นาใหเ้ กิดการกลายพนั ธุ์ จ. ถูกทุกขอ้7. ขอ้ ใดเป็นสารเคมีท่ีก่อใหเ้ กิดการกลายพนั ธุ์ ก. Auxin ข. MMS ค. EMS ง. ถูกท้งั ข และ ค จ. IBA8. ส่วนใดของพชื ที่นิยมนามาฉายรังสีเพื่อชกั นาใหเ้ กิดการกลายพนั ธุ์ ก. ดอก ข. ก่ิงชา ค. ละอองเกสร ง. ปลายยอด จ. เมล็ด9. พชื ที่ไดจ้ ากการปรับปรุงพนั ธุ์โดยวธิ ีพนั ธุวศิ วกรรม มีช่ือเรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ อยา่ งไร ก. พชื ตดั ต่อยนี ข. พชื GMOs ค. พชื โคลนน่ิง ง. พชื บารุงพนั ธุ์ จ. ขอ้ ก และ ข ถูก
4410. ขอ้ ใดไม่ใช่ประโยชน์ของวธิ ีการปรับปรุงพนั ธุ์พชื โดยวธิ ีพนั ธุวศิ วกรรม ก. ไดพ้ ืชตา้ นทานต่อแมลง ข. ไดพ้ ืชตา้ นทานต่อโรค ค. ไดพ้ ชื ตา้ นทานต่อยาปราบวชั พืช ง. ลดมลภาวะใหแ้ ก่สิ่งแวดลอ้ ม จ. เพิ่มปริมาณพืชใหม้ ากข้ึน
45 แบบทดสอบหลงั เรียน เรื่อง หลกั การปรับปรุงพนั ธ์ุพชืคาสงั่ ใหผ้ เู้ รียนเลือกทาเครื่องหมาย X ทบั บนตวั อกั ษรที่ถูกตอ้ งท่ีสุดลงในกระดาษคาตอบ (ขอ้ ละ 1 คะแนน) 1. พชื ในขอ้ ใดเป็นพืชลกั ษณะใหมท่ ่ีนาเขา้ มาในประเทศไทยเพ่ือการผสมพนั ธุ์ ปรับปรุงพนั ธุ์ ก. ขา้ วโพดพนั ธุ์ฮาวายเอ้ียนซุปเปอร์สวทิ ข. ขา้ วพนั ธุ์เต้ีย IR. 8 ค. ขา้ วโพดพนั ธุ์สุวรรณ 1 ง. ขา้ วขาวดอกมะลิ 105 จ. ขา้ วโพดพนั ธุ์สุวรรณ 2 2. การเพิ่มความแปรปรวนทางพนั ธุกรรมในพืชในขอ้ ใดจดั วา่ มีประโยชน์มากที่สุด ก. การผสมพนั ธุ์ ข. การคดั เลือกพนั ธุ์ ค. การนาพชื มาจากแหล่งอ่ืน ง. การชกั นาใหเ้ กิดการกลายพนั ธุ์ จ. ถูกทุกขอ้ 3. ส่วนใดของพชื ท่ีนิยมนามาฉายรังสีเพอ่ื ชกั นาใหเ้ กิดการกลายพนั ธุ์ ก. ดอก ข. ก่ิงชา ค. ละอองเกสร ง. ปลายยอด จ. เมล็ด 4. IRRI ประเทศฟิ ลิปปิ นส์ เป็นแหล่งเกบ็ รวบรวมพนั ธุกรรมของพชื ชนิดใด ก. ขา้ ว ข. ฝ้ าย ค. ถวั่ ลิสง ง. ขา้ วฟ่ าง จ. ออ้ ย
465. ขอ้ ใดไม่ใช่ วธี ีการปรับปรุงพนั ธุ์พืช ก. การผสมพนั ธุ์ ข. การคดั เลือกพนั ธุ์ ค. การขยายพนั ธุ์ ง. การนาพืชมาจากแหล่งอ่ืน จ. การชกั นาใหเ้ กิดการกลายพนั ธุ์6. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ประโยชนข์ องวธิ ีการปรับปรุงพนั ธุ์พชื โดยวธิ ีพนั ธุวศิ วกรรม ก. ไดพ้ ืชตา้ นทานต่อแมลง ข. ไดพ้ ชื ตา้ นทานต่อโรค ค. ไดพ้ ชื ตา้ นทานต่อปราบวชั พืช ง. ลดมลภาวะใหแ้ ก่ส่ิงแวดลอ้ ม จ. เพิ่มปริมาณพืชใหม้ ากข้ึน7. ขอ้ ใดเป็นขอ้ ดีของพืชท่ีถูกคดั เลือกโดยธรรมชาติ ก. ใหผ้ ลผลิตสูง ข. อายเุ ก็บเก่ียวส้ัน ค. แขง็ แรง หาอาหารเก่ง ง. ตา้ นทานโรค จ. ออกดอกเร็ว8. ขอ้ ใดเป็นสารเคมีท่ีก่อใหเ้ กิดการกลายพนั ธุ์ ก. Auxin ข. MMS ค. EMS ง. ถูกท้งั ข และ ค จ. IBA9. ขอ้ ใดเป็นการคดั เลือกโดยมนุษย์ ก. Introduction ข. Mutation ค. Natural Selecton ง. Hybridization จ. Artificial Selection
4710. พืชท่ีไดจ้ ากการปรับปรุงพนั ธุ์โดยวธิ ีพนั ธุวศิ วกรรม มีช่ือเรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ อยา่ งไร ก. พืชตดั ต่อยนี ข. พืชGMOs ค. พชื โคลนนิ่ง ง. พืชบารุงพนั ธุ์ จ. ขอ้ ก และ ข ถูก
48 หน่วยที่ 4 ลกั ษณะของพชื มดี อก พชื ผสมตวั เองและพชื ผสมข้ามหวั ข้อเร่ือง 1. ลกั ษณะโครงสร้างของพืชดอก 2. ชนิดของดอก 3. พชื ผสมตวั เอง 4. พืชผสมขา้ มสาระสาคญั ลกั ษณะโครงสร้างของดอก ประกอบด้วยส่วนสาคัญ 4 ส่วน คือ กลีบเล้ียง กลีบดอกเกสรตวั ผู้ เกสรตวั เมีย ดอกแบ่งได้ 4 ชนิด ไดแ้ ก่ ดอกสมบูรณ์ (complete flower) ดอกไม่สมบูรณ์(incomplete flower) ดอกสมบรู ณ์เพศ (perfect flower) ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower) ซ่ึงพชื มีดอกจะแบ่งเป็นพชื ผสมตวั เองและพชื ที่ผสมขา้ มจุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกส่วนประกอบของดอกและชนิดของดอกได้ 2. บอกชนิดของพชื ท่ีผสมตวั เองและพชื ผสมขา้ มได้
49 หน่วยท่ี 4 ลกั ษณะของพชื มดี อก พชื ผสมตัวเองและพชื ผสมข้าม1. ลกั ษณะโครงสร้างของดอก (general structure of flower) โดยทวั่ ๆ ไป “ดอก” ประกอบดว้ ย ส่วนต่างๆ เรียงกนั เป็ นช้นั หรือเป็ นวงติดกนั 4 ช้นั อยบู่ นฐานรองดอก (receptacle) ส่วนประกอบของดอก เรียงจากนอกสุดเข้าสู่ด้านในไดแ้ ก่ กลีบเล้ียงกลีบดอก เกสรตวั ผู้ เกสรตวั เมีย 1.1 กลีบเลีย้ ง (sepal) เป็ นส่วนของดอกที่อยู่ช้นั นอกสุด ส่วนมากมีสีเขียว ดอกบางชนิดกลีบเล้ียงอาจมีสีอื่นๆ ได้ ผิวนอกของกลีบเล้ียงบางชนิดเรียบ บางชนิดมีขนและ บางชนิดมีหนามทาหน้าท่ีป้ องกนั อนั ตรายต่างๆ จากส่ิงแวดลอ้ ม แมลงและศตั รูอ่ืนๆ ที่มาทาอนั ตรายในขณะที่ดอกยงั ตูมอยู่ กลีบเล้ียงอาจมีหลายกลีบ ช้นั ท่ีกลีบเล้ียงมาเรียงกนั เป็นวงหรือเป็นช้นั นอกสุดน้ีเรียก calyx จานวนของกลีบเล้ียงในดอกชนิดต่าง ๆ มีไม่เท่ากนั แล้วแต่ชนิดของพืช ดอกบางชนิดกลีบเล้ียงจะติดกนั หมด ต้งั แต่โคนกลีบจนเกือบถึงปลายกลีบมีลกั ษณะคลา้ ยถว้ ยหรือหลอด เช่นดอกชบา บานบุรี ดอกแค เป็ นตน้ แต่ถา้ กลีบเล้ียงแยกกนั เช่น ดอกบวั สาย ดอกพุทธรักษา เป็ นตน้ดอกบางชนิดจะมีกลีบสีเขียวเล็กๆ เป็ นเส้นอยู่ใต้ช้ันของกลีบเล้ียงอีกด้วย กลีบเล็ก ๆ น้ี เรียกริ้วประดบั (epicalyx) เช่น ดอกชบา พรู่ ะหง เป็นตน้ 1.2 กลีบดอก (petal) เป็ นส่วนของดอกที่อยู่ช้ันในถัดกลีบเล้ียงเข้าไปมีสีต่างๆ เห็นได้ชดั เจน ช้นั ที่มีกลีบดอกเรียก corolla จานวนของกลีบดอกในพืชชนิดหน่ึงๆ มีไม่เทา่ กนั ส่วนมากมีจานวนเท่ากลีบเล้ียงหรือทวีคูณของกลีบเล้ียง กลีบดอกมกั อยสู่ ลบั กบั กลีบเล้ียงเขา้ ไปมีสีต่างๆ เห็นได้ชดั เจน 1.3 เกสรตัวผู้ (stamen) ส่วนของดอกท่ีอยู่เป็ นช้ันท่ี 3 ถัดจากช้ันของกลีบดอกเข้าไปภายใน เรียกช้ันของเกสรตวั ผูว้ ่า androecium มีหน้าท่ีสาหรับสร้างเซลล์สืบพนั ธุ์เพศผู้ เกสรตวั ผู้มกั จะมีหลายอนั อาจแยกกนั หรืออยตู่ ิดกนั ก็ได้ หรือบางส่วนของเกสรตวั ผตู้ ิดกบั ส่วนอ่ืนของดอกกไ็ ด้ เกสรตวั ผูแ้ ต่ละอนั ประกอบดว้ ย ก้านเกสรตวั ผู้ (filament) มีขนาดเล็กยาวตรงปลายกา้ นขยายใหญ่ เรียก อบั เรณู (anther) มีรูปร่างเป็ นรูปทรงกระบอกหรือค่อนขา้ งกลม ภายในอบั เรณูแต่ละพูมีช่องกลวงอยู่ 2 ช่อง เรียก pollen sac หรือ pollen chamber ดงั น้ันในอบั เรณู 1 อนั จึงมีpollen sac อยู่ 4 ช่อง แต่ละช่องมีละอองเรณู (pollen grain) จานวนมาก ละอองเรณูมีลกั ษณะเป็ นเม็ดเล็กๆ ถา้ ดูดว้ ยตาเปล่าจะคลา้ ยผงสีเหลือง ทาหนา้ ที่เป็ นเซลล์สืบพนั ธุ์เพศผู้ ละอองเรณูเหล่าน้ีเกิดจากเน้ือเยอื่ ภายใน pollen sac แบ่งตวั เจริญเป็นละอองเรณู เม่ือละอองเรณูแก่ อบั เรณูแตกละอองเรณูปลิวออกมา
50 1.4 เกสรตัวเมีย (pistil) เป็ นส่วนของดอกที่อยู่ช้ันในสุดหรือกลางดอก ทาหน้าที่สร้างเซลล์สืบพนั ธุ์เพศเมีย ช้ันของเกสรตวั เมียเรียก gymnoecium ประกอบดว้ ยส่วนต่างๆ 3 ส่วน คือส่วนล่างสุดของเกสรตวั เมียเรียก รังไข่ (ovary) ถดั จากรังไข่ข้ึนไปดา้ นบนมีกา้ นชูเกสรตวั เมียเรียกstyle มีลกั ษณะเรียวเล็กคลา้ ยทรงกระบอก ก้านชูเกสรตวั เมียจะส้ันหรือยาวก็แลว้ แต่ชนิดของพืชปลายสุดของกา้ นชูเกสรตวั เมียพองโตออกเป็ นป่ ุมเล็กๆ หรืออาจเป็ นขน หรือเป็ นพู เรียกส่วนน้ีวา่ยอดเกสรตวั เมีย (stigma) มกั จะมีน้าเหนียวๆ อยทู่ ่ีบริเวณน้ีดว้ ยเพ่ือรับละอองเรณูท่ีปลิวตามลมมาหรือแมลงพามา ส่วนประกอบของดอกไมท้ วั่ ไป ดงั แสดงในภาพท่ี 4-1 ภาพที่ 4-1 แสดงส่วนประกอบของดอกไมท้ วั่ ๆ ไป ที่มา : http://www.life.umd.edu /classroom2. ชนิดของดอก ชนิดของดอกแบ่งได้เป็ น 4 ชนิด คือ ดอกสมบูรณ์ (complete flower) ดอกไม่สมบูรณ์(incomplete flower) ดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) ดอกไม่สมบรู ณ์เพศ (imperfect flower) 2.1 ดอกสมบูรณ์ (complete flower) คือ ดอกที่มีองคป์ ระกอบของดอกครบท้งั 4 ส่วน คือกลีบเล้ียง กลีบดอก เกสรตวั ผูแ้ ละเกสรตวั เมีย เช่น ถวั่ เหลือง ถวั่ เขียว ฝ้ าย ปอ มนั ฝร่ัง ยาสูบมะเขือเทศ เป็นตน้ 2.2 ดอกไม่สมบูรณ์ (incomplete flower) คือ ดอกท่ีมีองคป์ ระกอบไม่ครบ 4 ส่วน อาจจะขาดส่วนใดส่วนหน่ึงหรือมากกวา่ หน่ึงส่วน เช่น ขา้ ว ขา้ วโพด ขา้ วฟ่ าง เป็นตน้
51 2.3 ดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) คือดอกท่ีมีเกสรตวั ผูแ้ ละเกสรตวั เมียอยู่ในดอกเดียวกนั เช่น ขา้ ว ถวั่ ลิสง ฝ้ าย เป็นตน้ 2.4 ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower) คือ ดอกที่มีเกสรเพียงเพศเดียวในแต่ละดอกซ่ึงแบ่งได้ 2 ชนิด คือ ดอกตวั ผู้ (staminate flower) คือ ดอกท่ีมีเฉพาะเกสรตวั ผู้ และดอกตวั เมีย(pistillate flower) คือ ดอกท่ีมีเฉพาะเกสรตัวเมีย ซ่ึงดอกเหล่าน้ีอาจจะอยู่บนต้นเดียวกันหรือคนละตน้ ก็ได้ พืชท่ีดอกตวั ผแู้ ละดอกตวั เมีย แยกกนั อยคู่ นละดอก เช่น ขา้ วโพด มะละกอ มะพร้าวตาลึง ฟักทอง แตง เป็นตน้ ลกั ษณะของดอกไม่สมบรู ณ์เพศของฟักทอง ดงั แสดงในภาพท่ี 4-2 ภาพท่ี 4-2 ดอกไม่สมบูรณ์เพศของฟักทอง ก. ดอกตวั เมีย ข. ดอกตวั ผู้ ท่ีมา : พนู พิภพ (2547) พืชที่มีดอกตวั ผูแ้ ละดอกตวั เมียอยบู่ นตน้ เดียวกนั เรียกวา่ monoecious plant เช่น ขา้ วโพดละหุ่ง มนั สาปะหลงั และยางพารา เป็นตน้ ส่วนพืชที่มีดอกตวั ผแู้ ละดอกตวั เมียอยคู่ นละตน้ เรียกวา่dioecious plant เช่น มะละกอ และฮอพ (hop) เป็นตน้ นอกจากน้ี มีดอกหลายชนิดท่ีมีรูปร่างลกั ษณะแตกต่างไปจากรูปลกั ษณะของดอกทว่ั ๆ ไปดอกที่มีรูปลกั ษณะผดิ ไปจากธรรมดา มีดงั น้ี 2.4.1 ดอกของพวกธัญพืชท้ังหลายในวงศ์ (family) graminae เช่น ดอกหญ้า เป็ นประเภทช่อดอกชนิด head หรื อชนิด spike หรือ panicle ไม่ว่าจะเป็ นช่อดอกชนิดใดก็ตามแต่ละดอกจะมีขนาดเล็กเรียก floret fioret 1 หรือ 2 floret มกั จะอยรู่ วมกนั โดยมีกลีบเล็ก ๆ แขง็ ๆเรียก glume หุ้มปิ ดอยู่ ท้งั floret และ glume รวมเรียก spikelet glume อยู่ติดกบั กา้ นดอกตรงฐานดอก ดอกของธญั พืชบางชนิด glume จะหุ้ม floret หมด เช่น ดอกของขา้ วโอด๊ แต่ดอกของขา้ วเจา้glume จะเป็ นกลีบเล็ก ๆ หุ้ม floret ไม่มิด ถา้ spikelet หน่ึงดอก มี floret มากกวา่ หน่ึง แต่ละ floret
52มีโครงสร้างลกั ษณะคลา้ ยกลีบ 2 กลีบ หุ้มประกบกนั อยู่ กลีบนอกมีขนาดใหญ่เรียก lemma กลีบในมีขนาดเล็กเรียก palea ที่ปลายของ palea บางชนิดจะมีส่วนยื่นออกไป บางทีก็เล็กยาว บางทีก็ยื่นออกไปส้ัน ๆ เรียกส่วนที่ยน่ื ออกไปน้ีวา่ awn สาหรับดอกขา้ ว lemma และ palea มีขนาดใหญ่แข็งเมื่อดอกขา้ วเปล่ียนแปลงเป็ นเมล็ดขา้ วแลว้ นาไปสี lemma และ palea ก็จะถูกสีออกมากลายเป็ นแกลบ รังไข่ของดอกของพืชเหล่าน้ีมกั เป็ นแบบ superior ovary มียอดเกสรตวั เมียแยกเป็ น 2 หรือ 3แฉก แตล่ ะแฉกแตกออกเป็นกิ่งคลา้ ยขนนก พืชเหล่าน้ีถา้ เป็ นชนิดท่ีมีดอกแบบดอกสมบรู ณ์เพศจะเกิดการถ่ายละอองเรณูในตน้ เดียวกนั (self pollination) ก่อนท่ีดอกจะบาน และเมื่อดอกบานอบั เรณูจะหอ้ ยออกมาจาก spikelet ลกั ษณะดอกของธญั พืช เช่น ขา้ ว มีส่วนประกอบต่างๆ ดงั แสดงในภาพที่ 4-3 ภาพที่ 4-3 ก. แสดงช่อดอกแบบ panicle ของขา้ วเจา้ ข. floret 1 floret แสดงส่วนประกอบของ floret ค. แผนภาพแสดงตาแหน่งของส่วนประกอบของ floret ที่มา : พนู พิภพ (2547) 2.4.2 ดอกของพืชในวงศ์ leguminosae หรือท่ีเรียกว่า ดอกถว่ั ดงั แสดงในภาพท่ี 4-4ดอกของพืชพวกน้ีจะมีกลีบเล้ียงสีเขียว 2-5 กลีบ แต่ละกลีบอาจติดกนั เป็ นหลอดหรือไม่ติดกนั ก็ได้กลีบดอกแต่ละกลีบมีลกั ษณะที่แตกต่างกนั มาก เช่น ดอกแค กลีบดอกที่ใหญ่ท่ีสุดเรียก standardในขณะที่ดอกยงั ตูมอยกู่ ลีบ standard จะหุ้มกลีบดอกอื่นๆ ไว้ แต่เมื่อดอกบานกลีบ standard จะแผ่กางออกมีลกั ษณะแบน ๆ ขนาดใหญ่หอ้ ยลงมา กลีบสองกลีบที่อยสู่ องขา้ งของ standard มีขนาดเล็กเรียก wing อีกสองกลีบที่อยตู่ รงขา้ มกบั standard เรียก keel กลีบท้งั สองของ keel มกั จะติดกนั และมีลกั ษณะโคง้ น้อย ๆ คลา้ ยเรือ ดอกถว่ั บางชนิดอาจไม่มี wing หรือมีขนาดเล็กมาก บางชนิดไม่มีกลีบดอกเลย
53 ภาพท่ี 4-4 ดอกถว่ั ลนั เตา ที่มา : พนู พภิ พ (2547) การที่พืชมีเกสรตวั ผแู้ ละเกสรตวั เมียอยใู่ นตาแหน่งแตกต่างกนั ดงั ที่กล่าวมาแลว้ ประกอบกบั ความแตกต่างในการกระจายของดอกบนตน้ เวลาท่ีดอกบาน เวลาท่ีเกสรตวั ผูฟ้ ้ ุงกระจาย และเวลาท่ีเกสรตวั เมียพร้อมท่ีจะรับการผสม ทาให้แบ่งพืชตามวิธีการผสมพนั ธุ์แบบอาศัยเพศท่ีแตกต่างกนั ไดเ้ ป็น 2 กลุ่ม คือ พชื ผสมตวั เองและพืชผสมขา้ มตน้3. พชื ทม่ี กี ารผสมตัวเอง (self-pollinated crop) พืชท่ีมีการผสมตวั เองคือพืชที่เกสรตวั ผผู้ สมกบั ไข่ของดอกเดียวกนั หรือคนละดอกในตน้เดียวกนั หรือคนละตน้ ในพนั ธุ์เดียวกนั โดยธรรมชาติพืชในกลุ่มน้ีจะเป็ นพนั ธุ์แท้ การผสมตวั เองไม่ทาให้เกิดการเส่ือมลดถอยของลกั ษณะต่างๆ แต่อาจจะมีการผสมขา้ มเกิดข้ึนต้งั แต่ 4-5 % ผสมตวั เอง พืชในกลุ่มน้ี ได้แก่ ขา้ วและถวั่ ต่างๆ ฝ้ าย ปอแก้ว กระเจี๊ยบ งา มะเขือเทศ ยาสูบ มนั ฝร่ังมะเขือ ขา้ วฟ่ าง เป็นตน้ ปัจจยั ท่ีบงั คบั ให้เป็ นพืชผสมตวั เองในพืชหลายชนิด เป็ นพวกที่ผสมตวั เองตามธรรมชาติเนื่องจากสาเหตุหลายประการ ดงั ตอ่ ไปน้ี 3.1 ดอกไม่เคยบาน เป็ นดอกที่เกสรตวั ผแู้ ละเกสรตวั เมียไม่เคยโผล่ออกมาจากกลีบดอกหรือส่วนอื่นที่ทาหนา้ ที่ห่อหุม้ เกสรท้งั 2 เพศ หรือเกสรตวั เมียพร้อมรับการผสม เม่ือเกสรตวั ผแู้ ก่
54และฟ้ ุงกระจายในขณะท่ีกลีบดอกยงั ปิ ดอยู่ จึงไม่มีโอกาสผสมขา้ มเลย ไดแ้ ก่ ขา้ วโอ๊ต ขา้ วสาลีบางพนั ธุ์และหญา้ โร้ด เป็นตน้ 3.2 ดอกบานเม่ือผสมเกสรเสร็จแล้ว ทาใหไ้ มม่ ีโอกาสผสมขา้ ม ไดแ้ ก่ ถวั่ ตา่ งๆ ขา้ วบาเลย์ 3.3 รูปร่ างของดอกเป็ นตัวส่ งเสริมให้ เกิดการผสมตัวเอง เช่น ก้านชูเกสรตัวเมียถูกลอ้ มรอบดว้ ยเกสรตวั ผู้ เช่น มะเขือเทศ เป็นตน้ พืชที่มีการผสมตวั เองเป็ นส่วนใหญ่ พืชพวกน้ีมีการผสมตวั เองประมาณ 50-80% การผสมขา้ มไม่ทาใหค้ วามแขง็ แรงของลูกท่ีไดล้ ดลง เช่น ขา้ วฟ่ าง ฝ้ าย พริก เป็นตน้ ส่วนมากพบในพืชท่ีมีดอกสมบูรณ์เพศ หรือดอกไม่สมบูรณ์เพศของพืชกลุ่มที่มีดอกตวั ผู้และดอกตวั เมียอยบู่ นตน้ เดียวกนั การที่พืชผสมตวั เองมาเป็นเวลานานทาใหพ้ นั ธุกรรมของพืชกลุ่มน้ีอยใู่ นสภาพโฮโมไซกสั(homozygous) และไม่เกิดสภาวะเส่ือมถอยของลกั ษณะอนั เน่ืองมาจากการผสมตวั เอง (inbreedingdepression)4. พชื ผสมข้ามต้น (cross- pollinated crop) พืชผสมขา้ ม หมายถึง พืชท่ีมีละอองเกสรตวั ผผู้ สมกบั ไข่ในดอกคนละตน้ หรือคนละพนั ธุ์พชื ในกลุ่มน้ี ไดแ้ ก่ ขา้ วโพด แตงโม ออ้ ย มะมว่ ง ฟักทอง เป็นตน้ พชื พวกน้ีมีอตั ราการผสมขา้ มไมน่ อ้ ยกวา่ 70 % สาเหตุที่พืชผสมขา้ มตน้ มีดงั น้ี 4.1 ดอกเป็ นชนิดไม่สมบูรณ์เพศ โดยเฉพาะพวกที่มีดอกตวั ผแู้ ละดอกตวั เมียอยคู่ นละตน้(dioecious plant) เช่น มะละกอ หน่อไมฝ้ รั่ง อินทผาลมั เป็นตน้ 4.2 ดอกเป็ นชนดิ สมบูรณ์เพศ แต่เวลาท่ีเกสรพร้อมจะผสม ไมต่ รงกนั ซ่ึงเกิดได้ 2 แบบ คือ 4.2.1 เกสรตัวผู้พร้อมจะผสมก่อน เกสรตัวเมียยังอ่อนไม่พร้อมผสม เรี ยกว่าprotandrous หรือ protandry 4.2.2 เกสรตัวเมียพร้อมจะผสมก่อน เกสรตัวผู้ยังอ่อนไม่พร้อมผสม เรี ยกว่าprotogynous หรือ protogyny 4.3 เกสรตวั ผู้เป็ นหมัน (male sterility) เช่น ขา้ วฟ่ าง และออ้ ยบางพนั ธุ์ เป็นตน้ 4.4 เกิดการผสมตัวเองไม่ติด (self-incompatibility) ซ่ึงควบคุมด้วยพนั ธุกรรม พบในสับปะรด และทานตะวนั บางพนั ธุ์ นอกจากน้ียงั พบในพืชชนิดอ่ืนๆ ดงั ตวั อยา่ งที่แสดงในตารางท่ี 4-1
55ตารางท่ี 4-1 แสดงตัวอย่างของพชื ผสมข้ามทมี่ สี าเหตุแตกต่างกนั ชนิดของดอก วธิ ีการผสม พชืดอกสมบูรณ์เพศ ผสมตวั เองไม่ติด สบั ปะรด มนั เทศ กุหลาบ กาแฟ ชบาดอกตวั ผู้ + ดอกสมบูรณ์เพศ ผสมตวั เองไม่ติด มะม่วงดอกสมบูรณ์เพศ ส่วนมากผสมตวั เองไม่ติด พืชตระกลู กะหล่าดอกตวั ผู้ + ดอกตวั เมีย ผสมตวั เองไม่ติด ขา้ วโพดที่มา : จิรา (2541) พืชท่ีผสมขา้ มตน้ เป็ นเวลานานทาให้พนั ธุกรรมของพืชกลุ่มน้ีอยใู่ นสภาพเฮทเทอโรไซกสั(heterozygous) ถา้ ผสมตวั เองจะทาใหเ้ กิดความเสื่อมลดถอยของลกั ษณะ เช่น ความสูง ผลผลิต และความแข็งแรงลดลง เป็ นตน้ ลูกท่ีไดจ้ ากการผสมขา้ มจะมีโอกาสมีความแข็งแรง และมีลกั ษณะดีกวา่ พ่อแม่ (heterosis) ซ่ึงพืชผสมขา้ มตน้ มีขอ้ แตกต่างจากพืชที่ผสมตวั เองหลายลกั ษณะ ดงั แสดงในตารางที่ 4-2ตารางท่ี 4-2 แสดงถึงลกั ษณะต่างๆ ของลูกระหว่างพชื ผสมตัวเองและผสมข้าม ลกั ษณะ พชื ผสมตวั เอง พชื ผสมข้าม1. รูปร่างลกั ษณะ เหมือนพอ่ แม่ มีหลายลกั ษณะแตกตา่ งไปจาก พอ่ และแม่2. การเส่ือมถอยของลกั ษณะ ไม่มีการเส่ือมถอย มีการเส่ือมถอย3. ความแขง็ แรง (ในกรณีผสมตวั เอง) เหมือนพอ่ แม่ อาจแสดงความแขง็ แรงดีเด่น เหนือพอ่ แม่ (heterosis)4. เป้ าหมายการผสม ใหไ้ ดล้ ูกพนั ธุ์แท้ ใหไ้ ดล้ ูกผสมที่ดีเด่นที่มา : จิรา (2541)
56 ตวั อยา่ งของช่ือวทิ ยาศาสตร์ ชื่อไทย และจานวนโครโมโซมในสภาพดิพลอยดท์ ี่แตกต่างกนั ของพชื ผสมตวั เอง และพืชผสมขา้ มตน้ ดงั แสดงในตารางท่ี 4-3ตารางท่ี 4-3 ช่ือวทิ ยาศาสตร์ ชื่อไทย และจานวนโครโมโซมในสภาพดพิ พลอยด์ ของพชื ผสม ตัวเอง พชื ผสมข้ามต้น ช่ือวทิ ยาศาสตร์ ชื่อไทย จานวนโครโมโซมในสภาพ ดิพพลอยด์พชื ผสมตัวเอง ถว่ั ลิสงArachis hypogaea ขา้ วโอต๊ 40Avena sativa ปอกระเจาฝักกลม 42Corchorus capsularis ปอกระเจาฝักยาว 14Corchorus olitorius ถว่ั เหลือง 14Glycine max ขา้ วบาเลย์ 40Hordeum vulgare ยาสูบ 14Nicotiana tabacum ขา้ ว 48Oryza sativa ถว่ั เขียว 24Vigna radiate งา 22Sesamum indicum ขา้ วฟ่ างหางกระรอก 26Setaria italica 18พชื ผสมข้ามต้น คาฝอยCarthamus tinctorius ทานตะวนั 24Helianthus annuus หญา้ ไขม่ ุก 34Pennisetum americanum ละหุ่ง 14Ricinus communis ออ้ ย 20Saccharum barberi ออ้ ย 82,90, 92, 116, 124Saccharum officinarum ขา้ วโพด 80Zea mays 20ท่ีมา : นพพร (2546)
57 บรรณานุกรมกรมอาชีวศึกษา. 2537. การปรับปรุงพนั ธ์ุพชื . กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ.จิรา ณ หนองคาย. 2541. การขยายพนั ธ์ุพชื แบบใช้เพศ. กรุงเทพฯ : บริษทั บา้ นขายส่ง หนงั สือ นายสุขจากดั .นพพร คลา้ ยพงษพ์ นั ธุ์. 2546. เทคนิคการปรับปรุงพนั ธ์ุพชื . กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.ประดิษฐ พงษท์ องคา. 2543. พนั ธุศาสตร์. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์พนู พภิ พ เกษมทรัพย.์ 2547. ชีววทิ ยา 2. กรุงเทพฯ : มลู นิธิ สอวน.สุทศั น์ ศรีวฒั นพงษ.์ 2539. การปรับปรุงพนั ธ์ุพชื . กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.http : //www. life. umd. edu / classroom. เขา้ ถึงเม่ือ 10 สิงหาคม 2551
58 แบบฝึ กหดั หน่วยท่ี 4 เรื่อง ลกั ษณะของพชื มดี อก พชื ผสมตวั เองและพชื ผสมข้ามคาส่งั จงตอบคาถามต่อไปน้ีใหไ้ ดใ้ จความสมบรู ณ์ท่ีสุด (ขอ้ ละ 2 คะแนน)1. จงอธิบายโครงสร้างของดอกวา่ ประกอบดว้ ยส่วนประกอบอะไรบา้ ง..........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................2. จงอธิบายชนิดของดอกมีก่ีชนิด อะไรบา้ ง..........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................3. จงบอกชนิดของพืชท่ีผสมตวั เอง..........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................4. จงบอกชนิดของพชื ท่ีผสมขา้ ม..........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................5. จงบอกลกั ษณะต่างๆ ของลูกที่ไดจ้ ากการผสมตวั เอง และผสมขา้ ม..........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
59 แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยท่ี 4 เร่ือง ลกั ษณะของพชื มดี อก พชื ผสมตัวเองและพชื ผสมข้ามคาส่งั ใหผ้ เู้ รียนเลือกทาเคร่ืองหมาย X ทบั บนตวั อกั ษรที่ถูกท่ีสุดเพยี งขอ้ เดียวลงใน กระดาษคาตอบ (ขอ้ ละ 1 คะแนน)1. ขอ้ ใดเป็นส่วนประกอบของเกสรตวั ผู้ ก. Stigma ข. Anther ค. Ovary ง. Petal จ. Sepal2. ขอ้ ใดเป็นส่วนประกอบของเกสรตวั เมีย ก. Stigma ข. Anther ค. Ovary ง. Petal จ. Sepal3. พชื ในขอ้ ใดท่ีมีดอกเป็นแบบดอกสมบูรณ์ (complete flower) ก. ขา้ ว ข. ขา้ วโพด ค. ขา้ วฟ่ าง ง. ถว่ั เหลือง จ. ฝ้ าย4. พชื ในขอ้ ใดที่มีดอกเป็นชนิดดอกสมบรู ณ์เพศ (perfect flower) ก. ขา้ ว ข. ขา้ วโพด ค. แตงโม ง. ฟักทอง จ. มะพร้าว
605. พืชชนิดใดเป็นพืชชนิด monoecious plant ก. มะละกอ ข. แตงโม ค. ฟักทอง ง. ขา้ วโพด จ. แตงกวา6. พืชชนิดใดเป็นพืชชนิด dioecious plant ก. มะละกอ ข. ขา้ วโพด ค. ยางพารา ง. ละหุ่ง จ. มนั สาปะหลงั7. ขอ้ ใดเป็นช่ือเรียกดอกของธญั พชื ก. glume ข. lemma ค. palea ง. awn จ. floret8. พืชในขอ้ ใดเป็นพืชท่ีผสมตวั เอง ก. ขา้ วโพด ขา้ ว ข. ขา้ ว ฝ้ าย ค. ขา้ วโพด ถวั่ เหลือง ง. ยาสูบ ออ้ ย จ. ละหุ่ง ออ้ ย9. ขอ้ ใดเป็นพืชผสมขา้ ม ก. ออ้ ย ขา้ ว ข. ขา้ วโพด ออ้ ย ค. ขา้ วโพด ขา้ ว ง. ขา้ ว ขา้ วฟ่ าง จ. ยาสูบ ถวั่ เหลือง
6110. ขอ้ ใดเป็นเป้ าหมายของการผสมพชื ผสมขา้ ม ก. เพ่อื ใหไ้ ดล้ ูกพนั ธุ์แท้ ข. เพ่อื ใหไ้ ดล้ ูกผสมที่ดี ค. เพ่อื ใหไ้ ดล้ ูกท่ีเหมือนพ่อแม่ ง. เพ่อื ใหไ้ ดล้ ูกที่แตกตา่ งจากพอ่ แม่ จ. ถูกทุกขอ้
62 แบบทดสอบหลงั เรียนหน่วยท่ี 4 เรื่อง ลกั ษณะของพชื มดี อก พชื ผสมตวั เองและพชื ผสมข้ามคาสง่ั ใหผ้ เู้ รียนเลือกทาเคร่ืองหมาย X ทบั บนตวั อกั ษรที่ถูกที่สุดเพยี งขอ้ เดียวลงใน กระดาษคาตอบ (ขอ้ ละ 1 คะแนน)1. ขอ้ ใดเป็นส่วนประกอบของเกสรตวั เมีย ก. stigma ข. anther ค. ovary ง. petal จ. sepal2. ขอ้ ใดเป็นส่วนประกอบของเกสรตวั ผู้ ก. stigma ข. anther ค. ovary ง. petal จ. sepal3. พืชในขอ้ ใดท่ีมีดอกเป็นชนิดดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) ก. ขา้ ว ข. ขา้ วโพด ค. แตงโม ง. ฟักทอง จ. มะพร้าว4. พชื ในขอ้ ใดที่มีดอกเป็นแบบดอกสมบูรณ์ (complete flower) ก. ขา้ ว ข. ขา้ วโพด ค. ขา้ วฟ่ าง ง. ถวั่ เหลือง จ. ฝ้ าย
635. ขอ้ ใดเป็นช่ือเรียกดอกของธญั พืช ก. glume ข. lemma ค. palea ง. awn จ. floret6. พืชในขอ้ ใดเป็นพชื ท่ีผสมตวั เอง ก. ขา้ วโพด ขา้ ว ข. ขา้ ว ฝ้ าย ค. ขา้ วโพด ถว่ั เหลือง ง. ยาสูบ ออ้ ย จ. ละหุ่ง ออ้ ย7. พชื ชนิดใดเป็นพชื ชนิด dioecious plant ก. มะละกอ ข. ขา้ วโพด ค. ยางพารา ง. ละหุ่ง จ. มนั สาปะหลงั8. พชื ชนิดใดเป็นพชื ชนิด monoecious plant ก. มะละกอ ข. แตงโม ค. ฟักทอง ง. ขา้ วโพด จ. แตงกวา9. ขอ้ ใดเป็นพืชผสมขา้ ม ก. ออ้ ย ขา้ ว ข. ขา้ วโพด ออ้ ย ค. ขา้ วโพด ขา้ ว ง. ขา้ ว ขา้ วฟ่ าง จ. ยาสูบ ถว่ั เหลือง
6410. ขอ้ ใดเป็นเป้ าหมายของการผสมพชื ผสมขา้ ม ก. เพอ่ื ใหไ้ ดล้ ูกพนั ธุ์แท้ ข. เพื่อใหไ้ ดล้ ูกผสมที่ดี ค. เพอื่ ใหไ้ ดล้ ูกท่ีเหมือนพ่อแม่ ง. เพ่ือใหไ้ ดล้ ูกที่แตกตา่ งจากพอ่ แม่ จ. ถูกทุกขอ้
65 หน่วยที่ 5 การถ่ายทอดลกั ษณะและอทิ ธพิ ลของสภาพแวดล้อมทมี่ ผี ลต่อการแสดงออกของพชืหวั ข้อเรื่อง 1. การถ่ายทอดลกั ษณะ 2. อิทธิพลของพนั ธุกรรมและสภาพแวดลอ้ มท่ีมีผลต่อการแสดงออกของพชื 3. ความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะสาระสาคัญ การถ่ายทอดลกั ษณะแตล่ ะลกั ษณะจากบรรพบุรุษไปสู่รุ่นหลาน แบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ1) การถ่ายทอดลกั ษณะทางคุณภาพ ซ่ึงเป็ นลกั ษณะที่ถูกควบคุมดว้ ยยนี น้อยคู่ ความสามารถของลกั ษณะท่ีแสดงออกจะสามารถแยกออกได้เป็ นหมวดหมู่ชดั เจน เช่น ลักษณะเมล็ดเรียบ เมล็ดขรุขระ ลกั ษณะสีของดอกไม้ 2) การถ่ายทอดลกั ษณะทางปริมาณ ซ่ึงเป็นลกั ษณะท่ีถูกควบคุมดว้ ยยีนจานวนมาก ซ่ึงลกั ษณะน้ีสภาพแวดลอ้ มจะมีอิทธิพลต่อการแสดงออกมาก เช่น น้าหนักของเมล็ด ระยะเวลาออกดอก การจดั การสภาพแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม มีผลทาให้ยีนสามารถแสดงออกไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ เพราะการแสดงออกของลกั ษณะของพืชข้ึนอยกู่ บั พนั ธุกรรมและอิทธิพลของสภาพแวดลอ้ ม ค่าความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะค่ายิ่งสูง ความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะยิ่งมีประสิทธิภาพ อิทธิพลของสภาพแวดลอ้ มย่ิงมีนอ้ ย ความสามารถในการถ่ายทอดจะมีค่าสูงข้ึนจุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายลกั ษณะของการถ่ายทอดลกั ษณะได้ 2. อธิบายลกั ษณะของการถ่ายทอดลกั ษณะทางคุณภาพได้ 3. อธิบายลกั ษณะของการถ่ายทอดลกั ษณะทางปริมาณได้ 4. อธิบายความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะได้
66 หน่วยที่ 5การถ่ายทอดลกั ษณะและอทิ ธิพลของสภาพแวดล้อมทมี่ ผี ลต่อการแสดงออกของพชื1. การถ่ายทอดลกั ษณะ การถ่ายทอดลกั ษณะจากพ่อแม่ไปสู่รุ่นลูกเกิดข้ึนไดจ้ ากการถ่ายทอดลกั ษณะคุณภาพและการถ่ายทอดลกั ษณะทางปริมาณ ซ่ึงมีความแตกต่างกนั ในด้านจานวนของคู่ยีน การแสดงออกของยนี และสภาพแวดลอ้ มที่เกี่ยวขอ้ ง 1.1 การถ่ายทอดลกั ษณะทางคุณภาพ (qualitative inheritance) ลกั ษณะทางคุณภาพควบคุมดว้ ยยีนหลกั (major gene) นอ้ ยตวั แต่ละตวั สามารถแสดงลกั ษณะที่ควบคุมออกมาใหเ้ ห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจนการกระจายตวั (segregation) ในรุ่นลูกแยกออกเป็ นกลุ่มได้ง่ายการกระจายตัวมีขอบเขตจากดั (definite or discontinuous variation) ( สุทศั น์, 2528)ตวั อยา่ ง เช่น ลกั ษณะสีของดอกไม้ ลกั ษณะเมล็ดเรียบ เมล็ดยน่ เป็ นตน้ การผนั แปรของลกั ษณะมกั จะเกิดเน่ืองจากการกลายพนั ธุ์มากกวา่ สภาพแวดลอ้ ม การถ่ายทอดลักษณะคุณภาพไปสู่รุ่นลูกและรุ่นหลานดังตวั อย่าง การผสมพนั ธุ์ระหวา่ งถวั่ ลนั เตาพนั ธุ์แทเ้ มล็ดเรียบและถวั่ ลนั เตาพนั ธุ์แทเ้ มล็ดยน่ ที่แสดงไวใ้ นภาพท่ี 5-1 SS X ssเมลด็ เรียบ เมลด็ ยน่ Ss F1 เมลด็ เรียบ X ผสมตวั เอง Ss X Ss F2 1 SS : 2 Ss : 1 ss 1 เมลด็ เรียบ : 2 เมลด็ เรียบ : 1 เมลด็ ยน่ภาพท่ี 5-1 การกระจายตวั ของลกั ษณะทางคุณภาพท่ีควบคุมดว้ ยยนี 1 คู่ ซ่ึงควบคุม ลกั ษณะเมลด็ เรียบ และเมลด็ ยน่ ของถวั่ ลนั เตาท่ีมา : ประดิษฐ์ (2543)
67 1.2 การถ่ายทอดลกั ษณะทางปริมาณ (quantitative inheritance) ลกั ษณะทางปริมาณเป็ นการถ่ายทอดลกั ษณะท่ีควบคุมดว้ ยยีนจานวนมาก ลกั ษณะน้ีสภาพแวดลอ้ มมีอิทธิพลต่อการแสดงออกมาก การกระจายตวั ในรุ่นลูกหลานเป็ นไปแบบต่อเน่ือง(continuous variation) ไม่สามารถแยกเป็นกลุ่มไดอ้ ยา่ งชดั เจน (สุทศั น,์ 2528) ดงั น้นั การหาลกั ษณะทางปริมาณจึงต้องใช้การ ชั่ง ตวง หรือวดั ตวั อย่าง เช่น ลักษณะเวลาออกดอก น้าหนักเมล็ดลกั ษณะเหล่าน้ีมีความแปรปรวนแตกต่างกนั ไป เนื่องจากตกอยภู่ ายใตอ้ ิทธิพลของพนั ธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ดงั น้นั การศึกษาการถ่ายทอดลกั ษณะและการปรับปรุงลกั ษณะทางปริมาณจึงยุง่ ยากจาเป็นตอ้ งใชว้ ธิ ีการทางสถิติเขา้ มาช่วยในการแบ่งแยกความแตกต่างหรือความแปรปรวน2. อทิ ธิพลของพันธุกรรมและสภาพแวดล้อมทมี่ ีอทิ ธิพลต่อการแสดงออกของพชื ในประชากรของพืชแต่ละประชากรมีการกระจายตวั ของลกั ษณะแตกต่างกนั ออกไปทาให้ลกั ษณะท่ีแสดงออกมาให้เห็น (phenotype) แตกต่างกนั ไปดว้ ย ลกั ษณะท่ีปรากฏน้นั ไม่ไดข้ ้ึนกบัอิทธิพลของสภาพทางพนั ธุกรรมเพียงอย่างเดียว แต่ยงั ได้รับอิทธิพลของสภาพแวดล้อม และอิทธิพลร่วมระหวา่ งสภาพทางพนั ธุกรรมกบั สภาพแวดลอ้ ม ลกั ษณะบางอยา่ งอาจอยใู่ ตอ้ ิทธิพลของสภาพทางพนั ธุกรรมเกือบท้งั หมด ซ่ึงจะสังเกตได้ว่าลกั ษณะประเภทน้ีจะเปลี่ยนแปลงน้อยมากถึงแมจ้ ะสภาพอายุหรือการปลูกเล้ียงพืชน้นั เปลี่ยนไป ส่วนลกั ษณะบางอยา่ งที่อย่ใู ตอ้ ิทธิพลของสภาพทางพนั ธุกรรมน้อย จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอายุและการปลูกเล้ียงอย่างเห็นได้ชัดสัดส่วนของอิทธิพลของสภาพทางพนั ธุกรรมต่อลกั ษณะที่ปรากฏน้นั จะเป็ นสิ่งที่กาหนดวิธีการท่ีเหมาะสมในการคดั เลือกพนั ธุ์ดี การแสดงออกของลกั ษณะตา่ ง ๆ ของพืชน้นั อาจมีไดม้ ากนอ้ ยแตกตา่ งกนั ได้ กลุ่มของพชื ที่สภาพทางพนั ธุกรรมเหมือนกนั ควรจะแสดงลกั ษณะที่เหมือนกนั ท้งั หมด แต่อาจพบวา่ พืชบางตน้อาจไม่แสดงลกั ษณะน้ัน ความสามารถในการแสดงออกของยีนน้ีจะแตกต่างกนั ไปในแต่ละยีนนอกจากน้ีพืชท่ีสามารถแสดงลกั ษณะท่ีควบคุมโดยยีนที่มีอยู่ได้ อาจจะแสดงลกั ษณะดงั กล่าวได้มากนอ้ ยในระดบั ต่าง ๆ กนั ตวั อยา่ งของปรากฏการณ์น้ีเช่น กลุ่มของพชื ท่ีมียนี ควบคุมลกั ษณะดอกสี แดง 100 ต้น อาจมีต้นที่มีดอกสี ขาว 15 ต้น แสดงว่ายีนที่ควบคุมลักษณะดอกสี แดงมีความสามารถในการแสดงออกเพียง 85 % นอกจากน้ีตน้ ที่มีดอกสีแดง ยงั มีความเขม้ ของสีแดงต่างกนั อีก 4 กลุ่ม นน่ั หมายถึงวา่ ยีนควบคุมลกั ษณะดอกสีแดงน้ีมีระดบั การแสดงออกได้ 4 ระดบัความสามารถในการแสดงออกและระดบั การแสดงออกน้ีทาให้เกิดปัญหาในการคดั เลือกพนั ธุ์ดีเพราะตน้ ที่มียีนซ่ึงต้องการแต่ไม่แสดงออกอาจถูกตดั ทิ้ง ขณะที่ตน้ ซ่ึงมียีนท่ีไม่ต้องการแต่ไม่แสดงออกจะถูกคดั เก็บไว้ ทาให้เกิดความถดถอยในการคดั เลือกได้ ดงั น้นั ถา้ พิจารณาในพืชแต่ละตน้ ลกั ษณะท่ีแสดงออกมาใหเ้ กิดจากการผนั แปร 2 ประการ คือ
68 2.1 ความผนั แปรทางพนั ธุกรรม เกิดจากการแสดงออกของยนี แบบตา่ ง ๆ 2.2 ความผนั แปรทเี่ กดิ จากสภาพแวดล้อม นอกจากน้ียงั มีอิทธิพลจากปฏิกิริยาทางพนั ธุกรรมร่วมกบั สภาพแวดลอ้ ม (genotype xenvironment) ดงั น้นั การแสดงออกของลกั ษณะท่ีแสดงออกมาใหเ้ ห็น (phenotype) เป็นดงั น้ี phenotype = genotype + environment + (genotype x phenotype) p = g + e + (g x e) ลกั ษณะการแสดงออก = พนั ธุกรรม + สภาพแวดลอ้ ม + (พนั ธุกรรม X สภาพแวดลอ้ ม)( กฤษฎา , 2528 และ ชานาญ , 2534)3. ความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมจากพอ่ แม่ไปสู่รุ่นลูก เกิดจากการถ่ายทอดร่วมกนั ของยนี ท่ีควบคุมลกั ษณะการแสดงออกแบบผลบวก แบบข่มและข่มขา้ มคู่ การถ่ายทอดลกั ษณะดงั กล่าวเป็ นไปโดยธรรมชาติของพืชชนิดน้ัน ๆ อยู่แลว้ ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเปล่ียนแปลงไปอย่างไรคร้ันเมื่อมนุษยเ์ ขา้ มาคดั เลือกลกั ษณะต่าง ๆ ของพืชจาเป็ นอยา่ งย่ิงท่ีจะตอ้ งปรับสภาพแวดลอ้ มให้เหมาะสม ซ่ึงจะส่งผลให้การแสดงออกของลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของพืชชัดเจน ทาให้คดั เลือกลกั ษณะท่ีตอ้ งการง่ายข้ึนการประเมินค่าความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะ (heritability) แบ่งออกได้ 2 แบบ คือ3.1 การประเมินค่ าความสามารถในการถ่ ายทอดลักษณะแบบกว้ าง (broad senseheritability) ประเมินค่าไดจ้ ากอตั ราส่วนแปรปรวนของความสามารถทางพนั ธุกรรม (genotypicvariance) ต่อความแปรปรวนของลกั ษณะท่ีแสดงออกมาใหเ้ ห็น (phenotypic variance)h2 = VG = VG (ไพศาล, 2527) Vp VG + VEVG = อตั ราส่วนของความแปรปรวนของความสามารถทางพนั ธุกรรม= genotypic variance (ไพศาล , 2527 และ สุทศั น์ , 2528 )VE = ความแปรปรวนของสภาพแวดลอ้ ม= environmental variance (ไพศาล , 2527 และ สุทศั น์ , 2528 )VP = ความแปรปรวนของลกั ษณะที่แสดงออกมาให้เห็น= phenotypic vartance (ไพศาล , 2527 )
69 3.2 การประเมินค่าความสามารถในการถ่ายทอดลักษณะแบบแคบ (narrow senseheritability) ประเมินค่าได้จากอตั ราส่วนของความแปรปรวนของคุณค่าการผสมพนั ธุ์ต่อความแปรปรวนของลกั ษณะที่แสดงออกมาใหเ้ ห็นh2 = VA = VA (ไพศาล , 2527 ) VP VG + VE จากสูตรการประเมินค่าความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะท้งั 2 แบบ ถา้ สามารถจดั การสภาพแวดลอ้ มไดส้ ม่าเสมอ หรือทาให้ความแปรปรวนของสภาพแวดลอ้ ม หรือมีค่านอ้ ยมีผลทาให้การแสดงออกของยีนแบบต่าง ๆ แสดงออกมาได้อย่างเต็มท่ีซ่ึงจะส่ งผลทาให้ค่าประเมินความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะสูงข้ึน ดงั น้ัน ในการคดั เลือกพนั ธุ์เพ่ือให้ไดย้ ีนท่ีตอ้ งการการจดั การสภาพแวดล้อมมีความสาคญั มากพอ ๆ กบั พนั ธุกรรมของพืช แต่ท้งั น้ีข้ึนอยู่กบั ยีนที่เก่ียวข้องมีการควบคุมลกั ษณะการแสดงออกเป็ นแบบใดด้วย ถ้าเป็ นยีนที่ควบคุมลกั ษณะทางคุณภาพ สภาพแวดล้อมมีผลในการเปลี่ยนแปลงลกั ษณะน้อย ค่าความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะมกั จะสูง สาหรับยีนที่ควบคุมลกั ษณะทางปริมาณอิทธิพลของสภาพแวดลอ้ มมีผลมากคา่ ความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะจะสูงหรือต่าข้ึนอยกู่ บั ความแปรปรวนของสภาพแวดลอ้ มถ้าความแปรปรวนของสภาพแวดล้อมมากค่าประเมินความสามารถจะต่าลง ส่งผลให้การคดั เลือกพนั ธุ์มีประสิทธิภาพต่าลงไปดว้ ย
70 บรรณานุกรมกฤษฎา สัมพนั ธรักษ.์ 2528. ปรับปรุงพนั ธ์ุพชื . กรุงเทพฯ : โรงพิมพไ์ ทยวฒั นาพานิช.ชานาญ ฉตั รแกว้ . 2534. การปรับปรุงพนั ธ์ุพชื ช้ันสูง. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.ประดิษฐ์ พงษท์ องคา. 2543. พนั ธุศาสตร์. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.พรี ะศกั ด์ิ ศรีนิเวศน์. 2525. พนั ธุศาสตร์ปริมาณทใี่ ช้ในการปรับปรุงพนั ธ์ุพชื . กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.ไพศาล เหล่าสุวรรณ. 2527. หลกั การปรับปรุงพนั ธ์ุพชื . สงขลา : มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์.วทิ ยา บวั เจริญ. 2527. หลกั การผสมและปรับปรุงพนั ธ์ุพชื . ชลบุรี : คณะเกษตรศาสตร์ บางพระ วทิ ยาลยั เทคโนโลยแี ละอาชีวศึกษา.สมชยั จนั ทร์สวา่ ง และพรี ะศกั ด์ิ ศรีนิเวศน์. 2527. พนั ธุศาสตร์ประชากร. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.สุทศั น์ ศรีวฒั นพงษ.์ 2528. การปรับปรุงพนั ธ์ุพชื . กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.สุรวชิ วรรณไกรโรจน์. 2542. พนั ธุศาสตร์พ้ืนฐาน. เอกสารประกอบการอบรม เร่ือง การปรับปรุงพนั ธ์ุไม้ดอกไม้ประดับ. กรุงเทพฯ : คณะกรรมการวจิ ยั แห่งชาติ.
71 แบบฝึ กหดั หน่วยที่ 5 เร่ือง การถ่ายทอดลกั ษณะและอทิ ธพิ ลของสภาพแวดล้อมทม่ี ผี ลต่อการแสดงออกของพชืคาสั่ง จงตอบคาถามต่อไปน้ีใหไ้ ดใ้ จความสมบูรณ์ท่ีสุด (ขอ้ ละ 2 คะแนน) 1. การถ่ายทอดลกั ษณะทางคุณภาพหมายถึงอะไร ............................................................................................................................................... ............................................................................................................................................... 2. การถ่ายทอดลกั ษณะทางปริมาณหมายถึงอะไร ............................................................................................................................................... ............................................................................................................................................... 3. ลกั ษณะที่แสดงออกมาใหเ้ ห็นข้ึนอยกู่ บั สิ่งใด ............................................................................................................................................... ............................................................................................................................................... 4. การประเมินค่าความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะแบง่ ไดก้ ี่ประเภท อะไรบา้ ง ............................................................................................................................................... ............................................................................................................................................... 5. การประเมินค่าความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะแบบกวา้ ง ประเมินไดจ้ ากอะไร ............................................................................................................................................... ...............................................................................................................................................
72 แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยที่ 5 เร่ือง การถ่ายทอดลกั ษณะและอทิ ธพิ ลของสภาพแวดล้อมทมี่ ผี ลต่อการแสดงออกของพชืคาสงั่ ใหผ้ เู้ รียนเลือกทาเครื่องหมาย x ทบั บนตวั อกั ษรท่ีเห็นวา่ ถูกตอ้ งท่ีสุดลงบนกระดาษคาตอบ (ขอ้ ละ 1 คะแนน)1. ขอ้ ใดจดั วา่ เป็นการถ่ายทอดลกั ษณะทางคุณภาพ ก. ควบคุมดว้ ยยนี จานวนมาก สภาพแวดลอ้ มมีผลต่อการแสดงออกมาก ข. ควบคุมดว้ ยยนี นอ้ ยตวั สภาพแวดลอ้ มไมม่ ีผลต่อการแสดงออก ค. ควบคุมดว้ ยยนี จานวนมาก สภาพแวดลอ้ มไม่มีผลตอ่ การแสดงออก ง. ควบคุมดว้ ยยนี นอ้ ยตวั สภาพแวดลอ้ มมีผลต่อการแสดงออกมาก จ. ควบคุมดว้ ยยนี นอ้ ยตวั ไม่สามารถแบง่ กลุ่มไดอ้ ยา่ งชดั เจน2. ขอ้ ใดจดั วา่ เป็นการถ่ายทอดลกั ษณะทางปริมาณ ก. ควบคุมดว้ ยยนี จานวนมาก ไมส่ ามารถแบง่ กลุ่มไดอ้ ยา่ งชดั เจน ข. ควบคุมดว้ ยยนี จานวนมาก สภาพแวดลอ้ มไม่มีผลต่อการแสดงออก ค. ควบคุมดว้ ยยนี จานวนมาก สภาพแวดลอ้ มมีผลต่อการแสดงออกมาก ง. ขอ้ ก และ ค ถูกตอ้ ง จ. ถูกทุกขอ้3. ลกั ษณะทางการเกษตรของพืชขอ้ ใดจดั วา่ เป็นลกั ษณะทางคุณภาพ ก. ความสูงของตน้ ข. สีของดอก ค. เส้นรอบวงตน้ ง. ความกวา้ งของใบ จ. ความสูงของตาแหน่งฝัก4. ลกั ษณะทางการเกษตรของพชื ขอ้ ใด ไมจ่ ากดั วา่ เป็นลกั ษณะทางปริมาณ ก. ความสูงของตน้ ข. ความสูงของตาแหน่งฝัก ค. ความกวา้ งของใบ ง. สีของดอก จ. เส้นรอบวงตน้
735. ลกั ษณะท่ีพืชแสดงออกมาใหเ้ ห็นข้ึนอยกู่ บั สิ่งใด ก. พนั ธุกรรมของพชื ข. สภาพแวดลอ้ ม ค. พนั ธุกรรมของพืช + สภาพแวดลอ้ ม ง. พนั ธุกรรมของพืช + สภาพแวดลอ้ ม + ( พนั ธุกรรม x สภาพแวดลอ้ ม ) จ. ขอ้ ค และ ง ถูกตอ้ ง6. ลกั ษณะการแสดงออกของพืชที่สงั เกตเห็นได้ ตรงกบั ขอ้ ใด ก. phenotpe ข. genotype ค. environment ง. heritability จ. variation7. ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของพืชตรงกบั ขอ้ ใด ก. phenotype ข. environment ค. heritability ง. genotype จ. variation8. ความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะตรงกบั ขอ้ ใด ก. genotype ข. phenotype ค. environment ง. heritability จ. variation
749. การประเมินคา่ ความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะแบบกวา้ ง ตรงกบั ขอ้ ใด ก. VA + VD VG + VE ข. VA VG + VE ค. VA + VD + VI VP ง. VA + VD + VI VG + VE จ. ขอ้ ค และ ง ถูกตอ้ ง10. การประเมินค่าความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะแบบแคบ ตรงกบั ขอ้ ใด ก. VA + VD VG + VE ข. VA VG + VE ค. VA + VD + VI VP ง. VA + VD + VI VG + VE จ. ขอ้ ข และ ค ถูกตอ้ ง
75 แบบทดสอบหลงั เรียน หน่วยท่ี 5 เร่ือง การถ่ายทอดลกั ษณะและอทิ ธพิ ลของสภาพแวดล้อมทมี่ ีผลต่อการแสดงออกของพชืคาสง่ั จงกาเคร่ืองหมาย x ทบั บนตวั อกั ษรท่ีเห็นวา่ ถูกตอ้ งท่ีสุดลงบนกระดาษคาตอบ (ขอ้ ละ 1 คะแนน)1. ลกั ษณะทางการเกษตรของพืชขอ้ ใดจดั วา่ เป็นลกั ษณะทางคุณภาพ ก. ความสูงของตน้ ข. สีของดอก ค. เส้นรอบวงตน้ ง. ความกวา้ งของใบ จ. ความสูงของตาแหน่งฝัก2. ลกั ษณะทางการเกษตรของพชื ขอ้ ใด ไมจ่ ากดั วา่ เป็นลกั ษณะทางปริมาณ ก. ความสูงของตน้ ข. ความสูงของตาแหน่งฝัก ค. ความกวา้ งของใบ ง. สีของดอก จ. เส้นรอบวงตน้3. ขอ้ ใดจดั วา่ เป็นการถ่ายทอดลกั ษณะทางคุณภาพ ก. ควบคุมดว้ ยยนี จานวนมาก สภาพแวดลอ้ มมีผลต่อการแสดงออกมาก ข. ควบคุมดว้ ยยนี นอ้ ยตวั สภาพแวดลอ้ มไม่มีผลต่อการแสดงออก ค. ควบคุมดว้ ยยนี จานวนมาก สภาพแวดลอ้ มไม่มีผลต่อการแสดงออก ง. ควบคุมดว้ ยยนี นอ้ ยตวั สภาพแวดลอ้ มมีผลต่อการแสดงออกมาก จ. ควบคุมดว้ ยยนี นอ้ ยตวั ไมส่ ามารถแบง่ กลุ่มไดอ้ ยา่ งชดั เจน4. ขอ้ ใดจดั วา่ เป็นการถ่ายทอดลกั ษณะทางปริมาณ ก. ควบคุมดว้ ยยนี จานวนมาก ไมส่ ามารถแบง่ กลุ่มไดอ้ ยา่ งชดั เจน ข. ควบคุมดว้ ยยนี จานวนมาก สภาพแวดลอ้ มไมม่ ีผลต่อการแสดงออก ค. ควบคุมดว้ ยยนี จานวนมาก สภาพแวดลอ้ มมีผลตอ่ การแสดงออกมาก ง. ขอ้ ก และ ค ถูกตอ้ ง จ. ถูกทุกขอ้
765. ลกั ษณะการแสดงออกของพชื ท่ีสังเกตเห็นได้ ตรงกบั ขอ้ ใด ก. phenotpe ข. genotype ค. environment ง. heritability จ. varlation6. ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของพชื ตรงกบั ขอ้ ใด ก. phenotype ข. environment ค. heritability ง. genotype จ. variation7. ลกั ษณะท่ีพืชแสดงออกมาใหเ้ ห็นข้ึนอยกู่ บั สิ่งใด ก. พนั ธุกรรมของพืช ข. สภาพแวดลอ้ ม ค. พนั ธุกรรมของพืช + สภาพแวดลอ้ ม ง. พนั ธุกรรมของพืช + สภาพแวดลอ้ ม + ( พนั ธุกรรม x สภาพแวดลอ้ ม ) จ. ขอ้ ค และ ง ถูกตอ้ ง8. ความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะตรงกบั ขอ้ ใด ก. genotype ข. phenotype ค. environment ง. heritability จ. varlation
779. การประเมินค่าความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะแบบแคบ ตรงกบั ขอ้ ใด ก. VA + VD VG + VE ข. VA VG + VE ค. VA + VD + VI VP ง. VA + VD + VI VG + VE จ. ขอ้ ข และ ค ถูกตอ้ ง10. การประเมินค่าความสามารถในการถ่ายทอดลกั ษณะแบบกวา้ ง ตรงกบั ขอ้ ใด ก. VA + VD VG + VE ข. VA VG + VE ค. VA + VD + VI VP ง. VA + VD + VI VG + VE จ. ขอ้ ค และ ง ถูกตอ้ ง
78 หน่วยท่ี 6 การปรับปรุงพนั ธ์ุพชื ผสมตวั เองหัวข้อเรื่อง 1. พนั ธุกรรมของพชื ผสมตวั เอง 2. วธิ ีการปรับปรุงพนั ธุ์พืชผสมตวั เองสาระสาคญั ประชากรของพืชผสมตวั เองโดยธรรมชาติแลว้ นบั วา่ เป็ นประชากรที่มีความเปลี่ยนแปลงทางพนั ธุกรรมอยา่ งเชื่องชา้ ท้งั น้ีเพราะลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของพืชแต่ละตน้ จะอยใู่ นสภาพคงตวัเรียกว่า homozygosity อนั เป็ นผลเนื่องมาจากการผสมตวั เอง การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมเกิดข้ึนไดบ้ า้ ง โดยการเปล่ียนแปลงโครงสร้างของยนี หรือการจดั กลุ่มใหม่ของยนี อนั เนื่องมาจากการผสมขา้ ม ซ่ึงอาจเกิดข้ึนไดเ้ พยี งเล็กนอ้ ยในสภาพธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม การที่จะรอให้เกิดความผนั แปรทางพนั ธุกรรมข้ึนเองโดยธรรมชาติ ย่อมจะตอ้ งอาศยั เวลาและอาจได้ลกั ษณะที่ไม่ตอ้ งการ ดงั น้นั จึงตอ้ งมีการปรับปรุงพนั ธุ์พืชเพ่ือให้มีลกั ษณะตามที่ตอ้ งการ ด้วยวิธีการนาพืชมาจากแหล่งอ่ืน การคดั เลือกพนั ธุ์ การผสมพนั ธุ์และคดั เลือกพนั ธุ์จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายพนั ธุกรรมของพชื ผสมตวั เองได้ 2. อธิบายวธิ ีการปรับปรุงพนั ธุ์พชื ผสมตวั เองได้
79 หน่วยท่ี 6 การปรับปรุงพนั ธ์ุพชื ผสมตัวเอง1. พนั ธุกรรมของพชื ผสมตัวเอง พืชผสมตวั เองเป็ นพืชท่ีมีพนั ธุกรรมเป็ นพนั ธุ์แท้ เพราะมีการผสมตวั เองมาตลอด ทาให้รุ่นลูกและรุ่นต่อๆ มา มีลักษณะการแสดงออกทางพนั ธุกรรมเหมือนบรรพบุรุษ และอาจจะเปลี่ยนแปลงไดบ้ า้ ง ในกรณีที่เกิดการผสมขา้ มหรือมีการเปลี่ยนแปลงของยนี ลกั ษณะธรรมชาติทางพนั ธุกรรมของพชื ผสมตวั เอง แบง่ ออกไดด้ งั น้ี 1. โดยธรรมชาติพืชผสมตวั เองเป็ นพนั ธุ์แท้ รุ่นลูกหรือรุ่นต่อๆ มาจะมีลกั ษณะเหมือนพอ่ แม่หรือเหมือนเดิม การเปล่ียนแปลงของลกั ษณะอาจจะเกิดข้ึนได้ เน่ืองจากมีการผสมขา้ มหรือมีการเปลี่ยนแปลงของยนี 2. พืชผสมตวั เองจะไม่เกิดปรากฏการณ์การเส่ือมถอยของลกั ษณะการแสดงออก เนื่องจากอินบรีดดิง (inbreeding depression) เช่น ตน้ พ่อแม่มีความสูงเฉลี่ย 100 เซนติเมตร รุ่นลูกความสูงเฉล่ียเท่าๆ กบั พอ่ แม่ ถา้ จดั สภาพแวดลอ้ มการปลูกไดใ้ กลเ้ คียงกนั เป็นตน้ 3. พชื ผสมตวั เองมีการติดภายในตน้ ดี 4. ลูกผสมของพืชผสมตวั เองจะแสดงความแข็งแรงเหนือพอ่ แม่เล็กนอ้ ยเพราะยนี ควบคุมลกั ษณะมกั มีปฏิกิริยาแบบบวกสะสม พืชผสมตวั เองจะมีการผสมตวั เองไปทุกชวั่ จะมีผลทาให้พืชแต่ละตน้ มีความคงตวั ทางพนั ธุกรรม (homozygosity) เพ่ิมข้ึนเร่ือย ๆ และความไม่คงตัวทางพนั ธุกรรม (heterozygosity)ลดลง พืชที่มีความคงตวั ทางพนั ธุกรรมจะมียนี ในแต่ละตาแหน่งเหมือนกนั ดงั เช่น พืชท่ีมียโี นไทป์AABBCC aabbCC หรือ aaBBcc ส่วนพืชท่ีไม่มีความคงตวั ทางพนั ธุกรรม ในแต่ละตน้ ตอ้ งมียีนคู่ใดคู่หน่ึง หลายคู่ หรือท้ังหมดอยู่ในสภาพเฮตเตอร์โรไซกัส เช่น พืชที่มียีโนไทป์ AABbccAaBBCc หรือ AaBbCc เป็นตน้ พืชแต่ละตน้ ที่มีความคงตวั ทางพนั ธุกรรมเรียกว่า พนั ธุ์แท้ สาหรับพืชท่ีไม่มีความคงตวัทางพนั ธุกรรมเรียกวา่ ลูกผสม การผสมระหวา่ งพืชพนั ธุ์แท้ 2 พนั ธุ์ที่แตล่ ะพนั ธุ์ มีความแตกต่างกนัทางพนั ธุกรรม ลูกผสม จะมีความไม่คงตวั ทางพนั ธุกรรมสูงสุด หรือมีจานวนคู่ของยีนแตกต่างกนัมากท่ีสุดในแต่ละตน้ หลงั จากน้ีเป็นตน้ ไปความไม่คงตวั ทางพนั ธุกรรมจะลดลงเร่ือยๆ จนในท่ีสุดก็หมดไปจากประชากรเหลือแต่พนั ธุ์แทท้ ี่มีลกั ษณะเฉพาะตน้ หลายพนั ธุ์รวมกนั อย่ใู นประชากรการลดลงของความไมค่ งตวั ทางพนั ธุกรรม เมื่อพจิ ารณาจากยนี เพยี งคู่เดียวแสดงไวใ้ นภาพที่ 6-1
80 AA X aaF1 Aa (100%) ไม่คงตวั ทางพนั ธุกรรมF2 (25%) AA 50%)Aa (25%) aaF3 (25%)AA + (12.5%) AA (25%) Aa (12.5%) aa + (25%) aaF4 (37.5%)AA + (6.25%) AA (12.5%) Aa (6.25%) aa + (37.5%) aaF5 (73.75%)AA + (3.125%) AA (6.25%) Aa (3.125%) aa + (43.75%) aaF6 (46.875%)AA + (1.562%) AA (3.125%) Aa (1.562%) aa + (46.875%) aaF7 (48.437%)AA + (0.781%) AA (1.562%) Aa (0.781%) aa + (48.437%) aa(49.218%) AA (1.562%) Aa (49.218%) aaภาพที่ 6-1 การเขา้ สู่ความคงตวั ทางพนั ธุกรรมของพชื ผสมตวั เอง เม่ือกาหนดใหม้ ี ยนี 1 คู่ที่มา : กฤษฎา (2528) จากภาพที่ 6-1 เมื่อนาพอ่ แม่สายพนั ธุ์แทม้ าผสมกบั ลูก F1 จะมีความไมค่ งตวั ทางพนั ธุกรรมสูงสุด (Aa = 100%) แต่รุ่น F2 การกระจายตวั จะอยใู่ นอตั ราส่วน 1AA : 2Aa : 1aa หรือ25% AA : 50 % Aa : 25 % aa ซ่ึงจะเห็นไดว้ า่ ความไม่คงตวั ทางพนั ธุกรรม (Aa) จะลดลงจาก 100%เหลือเพยี ง 50% นน่ั คือลดลง 50% และจะลดชวั่ ละ 50% ลงไปเร่ือยๆ จนกระทง่ั ตน้ F7 จะเห็นไดว้ า่ความไมค่ งตวั ของพนั ธุกรรมยีโนไทป์ Aa จะลดลงเหลือเพียง 1.562 % เท่าน้นั แตย่ โี นไทป์ AA และ aaจะมีกนั อยา่ งละ 49.218 % หรือ รวมเป็ นยโี นไทป์ มีความคงตวั ทางพนั ธุกรรม 98.436 %
812. วธิ ีการปรับปรุงพนั ธ์ุพชื ผสมตัวเอง ปัจจุบนั วิธีการปรับปรุงพนั ธุ์พืชผสมตวั เองเพ่ือให้ไดพ้ นั ธุ์ใหม่แบบวิธีด้งั เดิมมี 3 วิธี คือการนาพืชมาจากแหล่งอื่น การคดั เลือกพนั ธุ์ การผสมพนั ธุ์และคดั เลือกพนั ธุ์ ส่วนวธิ ีการปรับปรุงพนั ธุ์พชื แบบวธิ ีพเิ ศษ คือ การชกั นาใหเ้ กิดการกลายพนั ธุ์และวธิ ีพนั ธุวศิ วกรรม 2.1 การนาพชื มาจากแหล่งอนื่ 2.1.1 การปรับปรุงพนั ธุ์พืชผสมตวั เองโดยการนาพืชมาจากแหล่งอื่น แบ่งพชื ออกเป็ น3 กลุ่มใหญๆ่ คือ 1) พืชใหม่ หมายถึง ชนิดของพืชที่ไม่เคยมีการปลูกมาก่อนในพ้ืนที่น้ัน เช่นการนาถว่ั เหลืองจากประเทศจีนเขา้ มาปลูกในประเทศไทย เป็นตน้ 2) พืชพนั ธุ์ใหม่ หมายถึง พืชท่ีเป็ นชนิดเดียวกบั พืชที่ปลูกอยเู่ ดิม แต่แตกต่างกนั ตรงที่เป็ นพนั ธุ์ใหม่ เช่น การนาถัว่ เขียวพนั ธุ์เอ็ม 760 หรือ ต่อมาชื่อว่า “พนั ธุ์อู่ทอง 1” จากประเทศฟิ ลิปปิ นส์ เขา้ มาปลูกแทนพนั ธุ์พ้นื เมือง เป็นตน้ 3) พืชลกั ษณะใหม่ หมายถึง พชื ท่ีมีลกั ษณะใหม่นอกเหนือจากท่ีพชื ชนิดเดิมมีพืชลกั ษณะใหม่น้ีมีประโยชน์ในการนามาใชใ้ นโครงการปรับปรุงพนั ธุ์ เช่น การนาพนั ธุ์ขา้ ว IR 8ของสถาบนั วิจยั ขา้ วนานาชาติจากประเทศฟิ ลิปปิ นส์ เพื่อนามาใช้ในการพฒั นาขา้ วพนั ธุ์เต้ียของประเทศไทย โดยการนาพนั ธุ์น้ีมาผสมกบั ขา้ วพนั ธุ์เหลืองทองของไทย แลว้ ปรับปรุงต่อจนไดพ้ นั ธุ์ขา้ ว กข.1 และ กข.3 เป็นตน้ 2.2 การคัดเลอื กพนั ธ์ุ การคดั เลือกพนั ธุ์เป็ นวิธีการปรับปรุงพนั ธุ์พืชท่ีทากันมานานหลายร้อยปี โดยท้ังธรรมชาติและมนุษยค์ ดั เลือกพืชท่ีดีออกจากกลุ่มพืชท่ีมีท้งั ลกั ษณะดีและไม่ดีปะปนกนั อยู่ แต่การคดั เลือกน้นั ตอ้ งมีพนั ธุกรรมท่ีแตกต่างกนั มาก วธิ ีการที่นิยมใชค้ ดั เลือก มี 2 วธิ ี คือ การคดั เลือกหมู่และการคดั เลือกพนั ธุ์บริสุทธ์ิ 2.2.1 การคัดเลือกหมู่ (mass selection) เป็ นวิธีการคัดเลือกแบบเก่าและง่าย โดยคดั เลือกต้นท่ีมีลักษณะที่ต้องการไว้ และคดั ทิ้งต้นท่ีไม่ต้องการออกไป การคดั เลือกวิธีน้ีพืชแต่ละตน้ ท่ีคดั เลือกน้นั ส่วนใหญ่เป็ นสายพนั ธุ์แทห้ รือมีความคงตวั ทางพนั ธุกรรม เน่ืองจากเป็ นประชากรของพืชผสมตัวเอง ดังน้ัน ต้นพืชที่ถูกคัดเลือกไวจ้ ึงประกอบด้วย พันธุ์แท้หลายๆสายพนั ธุ์ท่ีมีลกั ษณะที่ตอ้ งการปะปนกนั อยู่ เก็บเมล็ดพืชท่ีคดั เลือกท้งั หมดมารวมกนั หลงั จากน้นันาเมล็ดไปปลูก แลว้ คดั เลือกตอ่ ไปจนไดล้ กั ษณะสม่าเสมอ
82 ขอ้ ดีของการคดั เลือกหมู่ 1. ทาไดง้ ่าย เสียค่าใชจ้ า่ ยนอ้ ย 2. ใชเ้ วลาในการปรับปรุงไดร้ วดเร็ว 3. ปลูกไดม้ ากยโี นไทป์ ทาใหค้ ดั เลือกลกั ษณะท่ีตอ้ งการไดม้ ากยง่ิ ข้ึน 4. มีความตา้ นทานตอ่ สภาพแวดลอ้ ม เนื่องจากมีหลายยโี นไทป์ ขอ้ เสียของการคดั เลือกหมู่ 1. ไมท่ ราบจานวนยโี นไทป์ วา่ มีจานวนเทา่ ไร 2. ไม่ทราบประวตั ิของสายพนั ธุ์ 2.2.2 การคดั เลือกพนั ธุ์บริสุทธ์ิ (pure-line selection) การคดั เลือกพนั ธุ์บริสุทธุ์เป็ นการคดั เลือกจากพนั ธุ์ท่ีมีอยแู่ ลว้ โดยเร่ิมจากการนาพนั ธุ์ในท้องถ่ินที่มีความแตกต่างทางพนั ธุกรรม เช่น ความสูงของต้น อายุการออกดอก ความตา้ นทานโรคและแมลง เป็ นตน้ นามาคดั เลือกให้เหลือพนั ธุ์แทเ้ พียงพนั ธุ์เดียว ซ่ึงมีข้นั ตอนการคดั เลือก 3 ข้นั ตอน ดงั แสดงในภาพที่ 6-2 ดงั น้ี 1) คดั เลือกสายพนั ธุ์หรือพืชตน้ ท่ีมีลกั ษณะดี ให้มีจานวนมากพอจะมีจานวนมากเทา่ ไรก็ได้ แต่จานวนตน้ มกั จะถูกจากดั ดว้ ยงบประมาณและพ้ืนท่ีท่ีมีอยู่ 2) นาเมล็ดจากตน้ ที่คดั เลือกไปปลูกแบบตน้ ต่อแถว ในสภาพของแปลงปลูกที่มีความสม่าเสมอพอสมควร คดั เลือกสายพนั ธุ์หรือตน้ ท่ีดีจากแถวท่ีดีไว้ คดั ทิ้งแถวท่ีมีลกั ษณะไม่ดีหรือไม่ตอ้ งการออกไป ทาการคดั เลือกเช่นน้ีต่อไปหลายๆ ชวั่ ใหเ้ หลือสายพนั ธุ์ที่ดีจริงๆ เพียงไม่กี่สายพนั ธุ์ 3) เมื่อไม่สามารถแยกความแตกต่างของสายพนั ธุ์ด้วยสายตาแล้วก็ต้องนาสายพนั ธุ์เหล่าน้ีไปคัดเลือกแบบหลายชุดซ้ากนั โดยมีพันธุ์มาตรฐานมาร่วมเปรียบเทียบด้วยเป็ นข้ันตอนที่ต้องใช้ผลทางสถิติเข้ามาช่วยในการตัดสิ นใจคัดเลือก เพ่ือให้การคัดเลือกมีประสิทธิภาพมากข้ึน และสามารถเปรียบเทียบผลิตผลของสายพนั ธุ์ไดด้ ว้ ย สายพนั ธุ์ท่ีไดจ้ ากการคดั เลือกจะเป็ นสายพนั ธุ์ที่ดี 1 สายพนั ธุ์เท่าน้ัน สายพนั ธุ์น้ีคือ พนั ธุ์บริสุทธ์ิ ซ่ึงเป็ นสายพนั ธุ์แท้ที่มาจากยโี นไทป์ เดียว
83ข้นั ตอนที่ 1 OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO ปลูกพนั ธุ์ทอ้ งถ่ินจานวนมาก OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO แลว้ คดั เลือกแยกตน้ OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO เก็บไวป้ ลูกจานวนมาก “n” ตน้ OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO XX XX XX ปลูกตน้ หรือรวงตอ่ แถว คดั เลือกตน้ จากแถวที่สม่าเสมอ 12 3 4 567 8 9 10 . . . n และมีลกั ษณะท่ีตอ้ งการไวป้ ลูกใน ชว่ั ต่อไปข้นั ตอนที่ 2 XX X X X .. . ปลูกตน้ หรือรวงต่อแถว 1 เพื่อตรวจสอบลกั ษณะการกระจาย 4 7 10 15 25 28 105 180 205. . . n ตวั แต่ละแถวคดั เลือกตน้ จากแถวท่ี สม่าเสมอและมีลกั ษณะท่ีตอ้ งการ ไวป้ ลูกในชวั่ ตอ่ ไป ทดสอบเฉพาะทอ้ งถ่ิน แลว้ ทาการคดั เลือกสายพนั ธุ์ที่ดีไว้ข้นั ตอนที่ 3 ทดสอบหลายทอ้ งท่ีและฤดูกาล แลว้ คดั เลือกไว้ 1 สายพนั ธุ์ เผยแพร่ 1 สายพนั ธุ์ภาพท่ี 6-2 ข้นั ตอนการคดั เลือกพนั ธุ์บริสุทธ์ิที่มา : กฤษฎา (2528)
84 ขอ้ ดีของการคดั เลือกพนั ธุ์บริสุทธ์ิ มีการบนั ทึกลกั ษณะตา่ งๆ ของสายพนั ธุ์ท่ีคดั เลือก จึงอาจศึกษาลกั ษณะประวตั ิของแตล่ ะสายพนั ธุ์ได้ ขอ้ เสียของการคดั เลือกพนั ธุ์บริสุทธ์ิ 1. ใชเ้ วลานาน เสียแรงงาน และค่าใชจ้ า่ ยในการดาเนินงานสูง 2. พนั ธุ์ที่ไดจ้ ากการคดั เลือก ไม่ดีไปกวา่ สายพนั ธุ์ที่ดีท่ีสุดที่ปนอยกู่ ่อนการคดั เลือก 2.3 การผสมพนั ธ์ุพชื และการคัดเลอื กพนั ธ์ุ การผสมพนั ธุ์มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความแปรปรวนทางพนั ธุกรรม เพื่อคดั เลือกยโี นไทป์ ท่ีดี โดยการนาพนั ธุ์ 2 สายพนั ธุ์ที่มีลกั ษณะพนั ธุกรรมท่ีตอ้ งการมาผสมกนั จะไดล้ ูก F1ท่ียงั ไม่มีความคงตวั ทางพนั ธุกรรม แต่ยงั ไม่มีการกระจายตวั ในช่ัว F1 น้ี ยงั ไม่มีการแยกปลูกเพราะพนั ธุกรรมแต่ละตน้ เหมือนกนั เพียงแต่ตอ้ งผลิตเมล็ดให้พอที่จะปลูกในชั่ว F2 แล้วนาไปคดั เลือกพนั ธุ์ วธิ ีการคดั เลือกพนั ธุ์ ไดแ้ ก่ การคดั เลือกแบบบนั ทึกประวตั ิหรือสืบตระกลู (pedigreemethod) การคดั เลือกพนั ธุ์แบบเก็บรวม (bulk method) การคดั เลือกพนั ธุ์แบบตน้ ต่อตน้ และการผสมกลบั (backcross) 2.3.1 การคดั เลือกแบบบนั ทึกประวตั ิหรือสืบตระกลู (pedigree method) การคดั เลือกแบบบนั ทึกประวตั ิ เป็ นการคดั เลือกท่ีมีการบนั ทึกประวตั ิของพืชทุกตน้ หรือทุกแถว (สายพนั ธุ์)ท่ีปลูก และในแต่ละชว่ั มีการบนั ทึกรายละเอียดต่างๆ เช่น การหกั ลม้ความตา้ นทานโรคและแมลง อายเุ กบ็ เกี่ยวและลกั ษณะอื่นๆ ท่ีจาเป็น วธิ ีการคดั เลือกแบบบนั ทึกประวตั ิดงั แสดงในภาพท่ี 6-3 มีข้นั ตอนดงั น้ี 1) ปลูกลูกรุ่นที่ 2 (F2) แลว้ คดั เลือกตน้ ที่แสดงลกั ษณะที่ตอ้ งการ โดยแต่ละตน้ท่ีไดร้ ับการคดั เลือกจะถูกบนั ทึกรายละเอียดในลกั ษณะการแสดงออกของฟี โนไทป์ ตา่ งๆ เก็บเมล็ดแต่ละตน้ แยกกนั 2) ปลูกลูกรุ่นที่ 3 (F3) ซ่ึงต้งั แต่ F3-F6 จะเป็ นการปลูกแยกเพ่ือคดั เลือกลกั ษณะที่ตอ้ งการโดยคดั เลือกเป็ นรายตน้ ในแต่ละแถว แถวใดมีจานวนตน้ ท่ีมีลกั ษณะท่ีตอ้ งการก็จะนาไปปลูกในชว่ั ต่อไป ซ่ึงแตล่ ะแถวอาจเลือกตน้ ไปปลูกไดม้ ากกวา่ 1 ตน้ 3) จากตน้ F6 ท่ีได้รับการคดั เลือกจะนาเมล็ดมาปลูกใน F7 ซ่ึง F7 จะมีความคงตวั ทางพนั ธุกรรมสูง ดงั น้ันจึงปลูกให้มีจานวนตน้ ในแต่ละสายพนั ธุ์มากข้ึน การเก็บสายพนั ธุ์
85ในชั่วน้ีทาได้โดยเก็บทุกต้นในแต่ละสายพนั ธุ์มารวมกัน เมล็ดท่ีได้จาก F7 จะนาไปใช้ในการทดสอบพนั ธุ์ต่อไป 4) นาลูกรุ่นท่ี 7 (F7) ไปปลูกทดสอบผลผลิตหลายๆ ซ้า สายพนั ธุ์ท่ีให้ผลผลิตไมด่ ีจะถูกคดั ทิ้งไป คดั สายพนั ธุ์ดีออกมา 5) คัดเลือกลูกรุ่ นท่ี 8 F8-F10 ทดสอบ ผลผลิตซ้ า ราว 3-4 ปี และ ปลูกเปรียบเทียบกบั พนั ธุ์ดีที่ปลูกในทอ้ งถิ่น คดั เลือกสายพนั ธุ์ที่ดีไวเ้ พยี ง 1 สายพนั ธุ์ 6) ขยายเมลด็ พนั ธุ์ที่คดั เลือกไว้
86 พนั ธ์ุ A X พนั ธ์ุ BF2 ปลูกรวมF3 ׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀ จดั ระยะปลูก ׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀ นาเมล็ดจากตน้ F2 (เมลด็ F3) ׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀ มาปลูกแบบตน้ ต่อแถว ׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀׀ นาเมล็ดจากตน้ F3 มาปลูกแบบ ตน้ หรือรวง ต่อ 1-4 แถวข้ึนอยู่F4 x x x x x x x x x กบั การพิจารณาของนกั ปรับปรุงพนั ธุ์แต่ละบุคคล xxxxxxxxx F4-F6 นาเมลด็ มาปลูกแบบตน้ xxxxxxxxx หรือรวงตอ่ 1-4 แถว เช่นเดิม xxxxxxxxx xxxxxxxxx นาเมลด็ จากตน้ F6 มาปลูกแยก แบบ 1 ตน้ ตอ่ 1-4 แถว เม่ือตน้F5 xx xxxx x xxx xx x F7 มีเมลด็ ใหเ้ ก็บทุกแถวในแต่ ละแปลงซ่ึงเมล็ดจากแตล่ ะ xx xxxx x xxx xx x แปลงคือ 1 สายพนั ธุ์ xx xxxx x xxx xx x ทดสอบผลผลิตหลายๆ คร้ัง xx xxxx x xxx xx x จนไดพ้ นั ธุ์ดีเผยแพร่สู่เกษตรกร xx xxxx x xxx xx xF6 x xxx xxxx x x xxxx x xxx xxxx x x xxxx x xxx xxxx x x xxxx x xxx xxxx x x xxxx x xxx xxxx x x xxxxF7 x x xxxx xxxx xxx xxx x x xxxx xxxx xxx xxx x x xxxx xxxx xxx xxx x x xxxx xxxx xxx xxx x x xxxx xxxx xxx xxxF8-Fnภาพท่ี 6-3 วธิ ีการปรับปรุงพนั ธุ์พืชแบบบนั ทึกประวตั ิท่ีมา : กฤษฎา (2528)
87 ขอ้ ดีของการปรับปรุงพนั ธุ์พืชแบบบนั ทึกประวตั ิ 1. สามารถคดั เลือกลกั ษณะท่ีไมต่ อ้ งการออกไดใ้ นชวั่ ตน้ ๆ 2. การตดั สินใจในการคดั เลือกสะดวก เพราะไดบ้ นั ทึกขอ้ มูลรายละเอียดตา่ ง ๆเอาไว้ 3. สายพนั ธุ์ที่ไดจ้ ะเป็นไปตามขอ้ มูลที่บนั ทึกเอาไว้ 4. การคดั เลือกดว้ ยสายตามีประสิทธิภาพมากข้ึน เช่น การเลือกลกั ษณะการตา้ นทานต่อการหกั ลม้ สีของเมล็ด สีของดอก ขนาดของเมล็ด เป็นตน้ 5. สามารถปรับปรุงพนั ธุ์โดยการใช้เทคนิค และความชานาญช่วยในการปรับปรุงพนั ธุ์ไดม้ าก ขอ้ เสียของการปรับปรุงพนั ธุ์พชื แบบบนั ทึกประวตั ิ 1. มีโอกาสสูญเสียการรวมตวั ของยนี ที่ดี เน่ืองจากการคดั เลือกก่อนเป็นสายพนั ธุ์แท้ 2. จะทาใหง้ านมากข้ึนเพราะจะตอ้ งมีการจดบนั ทึกพนั ธุ์อยา่ งละเอียด 2.3.2 การคดั เลือกพนั ธุ์แบบเกบ็ รวม (bulk method) การคดั เลือกแบบเก็บรวม เป็ นการคดั เลือกแบบไม่มีการบนั ทึกขอ้ มูลในชวั่ ตน้ ๆเพื่อให้พืชมีความเป็ นพนั ธุ์แทส้ ูงข้ึนก่อนแลว้ จึงเร่ิมทาการคดั เลือก วธิ ีการคดั เลือกแบบเก็บรวมมีข้นั ตอนดงั แสดงในภาพท่ี 6-4 ดงั น้ี 1) ปลูกลูกรุ่นที่ 2-4 (F2-F4) แลว้ เกบ็ เมล็ดพนั ธุ์ท้งั หมดมารวมกนั โดยไม่มีการคดั เลือก และไมม่ ีการจดบนั ทึกประวตั ิใดๆ แต่พืชบางส่วนอาจถูกธรรมชาติคดั ทิ้ง เช่นความแหง้ แลง้ โรคหรือแมลงระบาด เป็นตน้ 2) ในลูกรุ่นที่ 5 (F5) พชื มีความเป็ นพนั ธุ์แทม้ ากข้ึน จึงคดั เลือกแบบรายตน้ ออกจากแปลง 3) ปลูกลูกรุ่นท่ี 6 (F6) แบบตน้ ต่อแถวหรือแปลง คดั เลือกแปลงที่ดีนาเมล็ดภายในแปลงน้นั มารวมกนั เรียกวา่ 1 สายพนั ธุ์ 4) นาลูกรุ่นท่ี 7 (F7) ไปปลูกทดสอบผลผลิตหลายๆ ซ้า คดั เลือกสายพนั ธุ์ดีออกมา 5) นาลูกรุ่นท่ี 8-10 (F8-F10) ทดสอบผลผลิตซ้า 3-4 ปี ปลกู เปรียบเทียบสายพนั ธุ์ดีที่ปลูกในทอ้ งถิ่น แลว้ คดั สายพนั ธุ์ที่ดีไว้ 1 สายพนั ธุ์ 6) ขยายเมล็ดพนั ธุ์พืชที่คดั เลือกไว้
Search