ขขััตตตติิยยพพัันนธธกกรรณณีี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖/๗ นำเสนอ:คุณครูชมัยพร แก้วปานกัน
เรื่อง ขัตติยพันธกรณี คณะผู้จัดทำ นางสาวจุฑามาศ สุขสมพงษ์ เลขที่ ๕ นางสาวฐิติรัตน์ สถาปนะวรรธนะ เลขที่ ๖ นางสาวณัฏธ์นรี ปริญญารัตนเมธี เลขที่ ๘ นางสาวนันทิชา ทับทิมศรี เลขที่ ๑๖ นางสาวภัทรนิษฐ์ อินสว่าง เลขที่ ๒๓ นางสาวเมธาวี สร้อยศรี เลขที่ ๒๕ นางสาวอารยา โพธิ์สุวรรณ์ เลขที่ ๔o ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖/๗ นำเสนอ ครูชมัยพร เเก้วปานกัน หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งในรายวิชา ภาษาไทย พื้นฐาน ๕ ท๓๓๑o๑ ภาคเรียนที่๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนสงวนหญิง
ก คำนำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ภาษาไทยพื้นฐาน ๖ ท๓๓๑๐๑ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โดยจัดทํา ขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนเรื่องขัตติยพันธกรณี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาประวัติผู้แต่ง ลักษณะคําประพันธ์ เนื้อเรื่องขัตติยพันธกรณี เพื่อวิเคราะห์คุณค่า ทางด้านเนื้อหา ด้านวรรณศิลป์ และด้านสังคม และได้ศึกษาอย่าง ละเอียดเพื่อเป็นประโยชน์ในการเรียนในระดับสูงขึ้น คณะผู้จัดทําหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E- Book) เล่มนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้ที่กําลังศึกษาหาข้อมูลในเรื่องขัตติย พันธกรณีหากมีข้อแนะนําหรือข้อผิดพลาดประการใดทางคณะผู้จัด ทําต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย คณะผู้จัดทำ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๕
สารบัญ ข เรื่อง หน้า คำนำ ก ข สารบัญ ๑ ๒ ความเป็นมาของขัตติยพันธกรณี ๓ ๕ ประวัติผู้แต่ง ๙ ๑๕ ลักษณะคำประพันธ์ ๑๗ ๒๖ เนื้อเรื่องขัตติยพันธกรณี แบบย่อ ๒๘ ๒๙ เนื้อเรื่องขัตติยพันธกรณี แบบเต็ม คุณค่าด้านเนื้อหา คุณค่าด้านวรรณศิลป์ คุณค่าด้านสังคม บรรณานุกรม ภาคผนวก
๑ ความเป็นมาของขัตติยพันธกรณี ขัตติยพันธกรณี (เหตุอันเป็นข้อผูกพันของกษัตริย์) เป็นพระ ราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนิพนธ์ ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นกวีนิพนธ์ที่ผู้ใดได้อ่านจะ ประทับใจเป็นอย่างยิ่ง เป็นบทที่มีที่มาจากเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ซึ่ง ตรงกับ พ.ศ.๒๔๓๖ ไทยขัดแย้งกับฝรั่งเศสเรื่อง เขตแดนทางด้าน เขมร ฝรั่งเศสส่งเรือปืนแล่นผ่านป้อมพระจุลจอมเกล้าฯ เข้ามาจอด ทอดสมอหน้าสถานทูตฝรั่งเศส ถืออำนาจเชิญธงชาติฝรั่งเศสขึ้น เหนือแผ่นดินไทย ตรงกับวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันชาติฝรั่งเศส และยืดคำขาดเรียกร้องดินแดนทั้งหมดทางฝั่ งตะวันออกของแม่น้ำ โขง ซึ่งขณะนั้นอยู่ใต้อำนาจปกครองของไทยเนื่องจากไทยให้คำตอบ ล่าช้า ทูตปาวีของฝรั่งเศสจึงให้เรือปืนปิดล้อมอ่าวไทย เป็นการ ประกาศสงครามกับไทย ซึ่งข้อเรียกร้องของฝรั่งเศส ได้แก่ ๑.ฝรั่งเศสในฐานะเป็นมหาอำนาจผู้คุ้มครองเวียดนามและกัมพูชา จะ ต้องได้ดินแดนทั้งหมดทางฝั่ งตะวันออกของแม่น้ำโขง ๒.ไทยจะต้องลงโทษนายทหารทุกคนที่ก่อการรุกรานที่ชายแดน ๓.ไทยจะต้องเสียค่าปรับแก่ฝรั่งเศสเป็นจำนวน ๓ ล้านฟรังค์เหรียญ ทอง (เท่ากับ ๑,๕๖๐,๐๐๐ บาท สมัยนั้น)
๒ ประวัติผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว (20 กันยายน พ.ศ. 2396 – 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) เป็นพระมหา กษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวัน อังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ํา ปีฉลู ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็น พระราชโอรส พระองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ เป็นพระองค์ที่ 1 ในสมเด็จพระเทพศิริน ทราบรมราชินี เสวยราชสมบัติเมื่อ วันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ํา ปีมะโรง พ.ศ. 2411 เสด็จ สวรรคต เมื่อวัน อาทิตย์ เดือน 11 แรม 4 ค่ํา ปีจอ ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ด้วย โรคพระ วักกะ - พลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ (21 มิถุนายน พ.ศ. 2405 – 1 ธันวาคม พ.ศ. 2486) เป็นพระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอม มารดาชุ่ม ท.จ.ว. และเป็นองค์ต้นราชสกุลดิศกุล ทรงดํารงตําแหน่งที่สําคัญทางการทหาร และพลเรือน เช่น เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้บัญชาการทหารบก อธิบดีกรม ศึกษาธิการ (ตําแหน่งเทียบเท่าเสนาบดี) องค์ ปฐมเสนาบดีกระทรวง มหาดไทย เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร นายกราชบัณฑิตยสภา องคมนตรีใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และอภิรัฐมนตรีใน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
๓ ลักษณะคำประพันธ์ แต่งด้วยคําประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพและอินทรวิเชียรฉันท์ อินทรวิเชียรฉันท์ โคลงสี่สภุาพ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ จะมีแบบแผนเหมือนกับ กาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปลว่า เพชรพระอินทร์ หมายถึง ฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของ พระอินทร์ นิยมใช้แต่งข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ํา ครวญนอกจากนี้ยังแต่ง เป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย คําครุ หมายถึง คําที่ประสมด้วยสระเสียงยาวในแม่ ก กา เช่น กา ตี งู กับคําที่ประสมด้วย สระเสียงสั้นหรือยาวก็ได้ที่ มีตัวสะกด เช่น นก บิน จาก รัง นอน และคําที่ประสม ด้วยสระ อํา ไอ ใอ เอา ซึ่งถือว่าเป็นเสียงมีตัวสะกด คําลหุ หมายถึง คําที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นในแม่ ก กา เช่น จะ ติ มุ เตะ และคําที่ใช้ พยัญชนะคําเดียว เช่น ก็ บ่ ณ ธ นอกจากนี้คําที่ประสมด้วย สระอํา บางทีก็อนุโลม ให้เป็นคําลหุได้ เช่น ลํา คําลหุ เวลาเขียนเป็นสัญลักษณ์ ใช้ เครื่องหมายเหมือนสระ อุ แทน ข้อบังคับของโคลงสี่สุภาพ 1. บทหนึ่งมี 4 บรรทัด 2. วรรคหน้าของทุกบรรทัด มี 5 พยางค์ วรรคหลังของบรรทัดที่ 1 - 3 มี 2 พยางค์ บรรทัดที่ 4 มี 4 พยางค์ สามารถท่องจํานวนพยางค์ได้ดังนี้ ห้า -สอง (สร้อย 2 พยางค์ มักลงท้ายด้วย นา แฮ เฮย เพื่อรับคํา ต่อคํา เชื่อมคํา) หา้ - สอง ห้า - สอง (สร้อย 2 พยางค์ มักลงท้ายด้วย นา แฮ เฮย เพื่อรับคํา ต่อคํา เชื่อมคํา) ห้า - สี่ (หากจะให้เกิดความไพเราะในการอ่านนิยมลงเสียงจัตวา)
๔ 3. มีตําแหน่งสัมผัสตามเส้นโยง 4. บังคับรูปวรรณยุกต์ เอก 7 โท 4 ตามตําแหน่งในแผนผังข้อบังคับของโคลงสี่ สุภาพ 1 บทหนึ่งมี 4 บรรทัด 2 วรรคหน้าของทุกบรรทัด มี 5 พยางค์ วรรคหลังของ บรรทัดที่ 1 - 3 มี 2 พยางค์ บรรทัดที่ 4 มี 4 พยางค์ สามารถท่องจํานวนพยางค์ ได้ดังนี้ ห้า -สอง (สร้อย 2 พยางค์ มักลงท้ายด้วย นา แฮ เฮย เพื่อรับคํา ต่อคํา เชื่อมคํา) ห้า- สอง ห้า - สอง (สร้อย 1 พยางค์ มักลงท้ายด้วย นา แฮ เฮย เพื่อรับ คํา ต่อ คํา เชื่อมคํา) ห้า - สี่ (หากจะให้เกิดความไพเราะในการอ่านนิยมลงเสียง จัตวา)3. มีตําแหน่งสัมผัสตามเส้นโยง ๔. บังคับรูปวรรณยุกต์ เอก 7 โท 4 ตาม ตําแหน่งในแผนผัง 5. กรณีที่ไม่สามารถหาพยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์ตามต้องการได้ให้ใช้ เอกโทษ และโทโทษ เอกโทษ และโทโทษ คืออะไร? คําเอกคําโท หมายถึง พยางค์ที่บังคับด้วยรูปวรรณยุกต์เอก และรูปวรรณยุต์โท กํากับ อยู่ในคํานั้น โดยมีลักษณะบังคับไว้ดังนี้ คําเอก ได้แก่ พยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์เอกบังคับ เช่น ล่า เก่า ก่อน น่า ว่าย ไม่ ฯลฯ และให้รวมถึงคําตาย ทั้งหมดไม่ว่าจะมีเสียงวรรณยุกต์ใดก็ตาม เช่น ปะ พบ รึ ขัด ชิด (ในโคลงและร่ายใช้ คําตาย แทนคําเอกได้) คําตาย คือ 1. คําที่ประสมสระเสียงสั้นแม่ ก กา (ไม่มีตัวสะกด) เช่นกะ ทิ สิ นะ ขรุ ขระ เละ เปรี๊ยะ เลอะ โปีะ ฯลฯ 2. คําที่สะกดด้วยแม่ กก กบ กด เช่น เลข วัด สารท โจทย์ วิทย์ ศิษย์ มาก โชค ลาภ ฯลฯ คําโท ได้แก่ พยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์โทบังคับ ไม่ว่าจะเป็นเสียงวรรณยุกต์ใด ก็ตาม เช่น ข้า ล้ม เศร้า ค้าน คําเอก คําโท ใช้ในการแต่งคําประพันธ์ประเภท \"โคลง\" และ \"ร่าย\"และถือว่าเป็น ข้อบังคับของฉันท ลักษณ์ที่สําคัญมาก ถึงกับยอมให้เอาคําที่ไม่เคยใช้รูปเอก รูป โท แปลงมาใช้ เอก และ โท ได้ เช่น เล่น นํามา เขียนใช้เป็น เหล้น ได้ เรียกว่า \"โทโทษ\" ห้าม ข้อน นํามาเขียนเป็น ฮ่าม ค่อน เรียกว่า \"เอกโทษ\" เอกโทษและ โทโทษ นํามาใช้แก้ปัญหาได้ แต่ในปัจจุบันไม่นิยมใช้เอกโทษและโทโทษ หากแต่ง โคลงสี่สุภาพ ตามกระทู้หรือ ตามหัวข้อเรื่อง จะเรียกโคลงนั้นว่าโคลงกระทู้ โดย ผู้แต่งจะเขียนกระทู้แยกออกมาด้านข้าง หากแยกออกมา 1 พยางค์ เรียกว่า กระทู้ 1 คําหากแยกออกมา 2 พยางค์ เรียกว่ากระทู้ 2 คํา ดูตัวอย่างด้านล่าง หรือจาก สุภาษิตคําโคลง บางสํานวน
๕ ในช่วงหลังคริสต์วรรษที่ ๑๙ ทวีปยุโรปเกิดการปฏิวัติ อุตสาหกรรมและการเติบโตของลัทธิจักรวรรดินิยมที่นำไปสู่ การแผ่อิทธิพลของชาติตะวันตกในภูมิภาคต่างๆขอโลกเมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ ใน พ.ศ.๒๔๑๑ ในเอเชียต้องเผชิญกับการคุกคามจากชาติ มหาอำนาจ วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๔๓๖ ไทยขัดแย้งกับฝรั่งเศสเรื่องเขตแดนทางด้านเขมร ฝรั่งเศส ส่งเรือปืนแล่นผ่านป้อมพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เข้ามาจอด ทอดสมอหน้าสถานทูตฝรั่งเศส ถืออำนาจเชิญธงชาติฝรั่งเศส ขึ้นเหนือแผ่นดินไทย ตรงกันวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ซึ่งเป็นวัน ชาติฝรั่งเศสและยื่นคำขาดเรียกร้องดินแดนทั้งหมดทางฝั่ ง ตะวันออกของแม่น้ำโขง ซึ่งขณะนั้นอยู่ใต้อำนาจปกครองของ ไทยเนื่องจากไทยให้คำตอบล่าช้า ทูตปาวีของฝรั่งเศสจึงให้ เรือปืนปิดล้อมอ่าวไทย เป็นการประกาศสงครามกับไทย ซึ่งข้อ เรียกร้องของฝรั่งเศส ได้แก่ ๑. ฝรั่งเศสในฐานะเป็นมหาอำนาจผู้คุ้มครองเวียดนามและ กัมพูชา จะต้องได้ดินแดนทั้งหมดทางฝั่ งตะวันออกของแม่น้ำ โขง ๒. ไทยจะต้องลงโทษนายทหารทุกคนที่ก่อการรุกรานที่ ชายแดน ๓. ไทยจะต้องเสียค่าปรับแก่ฝรั่งเศสเป็นจำนวน ๓ ล้านฟ รังค์เหรียญทอง (เท่ากับ ๑,๕๖๐ ,๐๐๐ บาท)
๖ เหตุการณ์นี้ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว เสียพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่งจนทรงพระประชวร หนัก ไม่ยอมเสวยพระโอสถใด ๆ ในระหว่างนั้นได้ทรงพระ ราชนิพนธ์บทโคลงและฉันท์ระบายความทุกข์โทมนัสใน พระราชหฤทัยจนไม่ทรงปรารถนาที่จะดำรงพระชนม์ชีพ อีกต่อไป ได้ทรงส่งบทพระราชนิพนธ์ไปอำลาเจ้านายพี่ น้องบางพระองค์รวมทั้งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุ ภาพ ซึ่งเป็นพระเจ้าน้องยาเธอด้วย เมื่อทรงได้รับสมเด็จ กรมพระยาดำรงเจ้าอยู่หัว ก็ทรงนิพนธ์บทประพันธ์ถวาย ตอบทันที ทำให้กำลังพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง กลับ เสวย พระโอสถ และเสด็จออกว่าราชการได้ในไม่ช้า
๗ ส่วนพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพนั้น เป็นอินทรวิเชียรฉันท์ทั้งหมด มีเนื้อความแสดงความวิตกและ ความทุกข์ของประชาชนชาวไทยในพระอาการประชวรของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสำหรับตัวพระองค์ เองนั้น ถ้าเลือดเนื้อของพระองค์เจือยาถวายให้หายประชวร ได้ก็ยินดีจะทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ทรงเปรียบประเทศ ชาติเป็นรัฐนาวา มีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้บัญชาการเรือ เมื่อมาทรงพระประชวรและไม่ทรง บัญชาการ ผู้กระทำหน้าที่ต่าง ๆ ในเรือก็ปฏิบัติหน้าที่ของตน ไม่ถูก เป็นธรรมดาเมื่อเรือแล่นไปในทะเลในมหาสมุทรมีบาง ครั้งอาจเจอพายุหนักบ้างเบาบ้าง ถ้ากำลังเรือดีก็แล่นรอดไป ได้ ถ้าหนักเกินกำลังเรือจะรับก็อาจจะล่ม พวกชาวเรือก็ย่อมจะ รู้กัน ดังนั้นตราบที่เรือยังลอยอยู่ยังไม่จม ก็ต้องพยายาม แก้ไขกันจนสุดความสามารถ เหมือนรัฐนาวาเจอปัญหาวิกฤติ ก็ต้องหาทางแก้จนสุดกำลังความสามารถถ้าแก้ไม่ได้ก็ต้อง ยอมรับสภาพว่าถึงกรรมจะต้องให้เป็นไป แต่ถ้าพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทอดธุระเสีย ไม่ทรงหา ทางแก้ไข ในที่สุดรัฐนาวาก็ย่อมจะไปไม่รอดต่างกันก็แต่ว่าถ้า พระองค์พยายามหาทางแก้ไขจนเต็มกำลังพระปรีชาสามารถ แล้วแก้ไขไม่ได้ ก็ไม่มีใครมาว่าได้ว่าพระองค์ขลาดเขลาและไม่ เอาพระทัยใส่ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ ถึงจะพลาดพลั้ง ก็ยังได้รับการยกย่องและความเห็นใจว่าปัญหาหนักใหญ่เกิน กำลังจะแก้ไขได้
๘ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเปรียบตัวพระองค์ เองเหมือนม้าที่เป็นพระราชพาหนะ เตรียมพร้อมที่จะรับใช้เทียบ หน้าพลับพลา คอยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับและทรงบัญชาการให้ม้าไปทางใด ก็ยินดีจะทำตามพระ ราชบัญชา ไม่ว่าจะลำบากหรือใกล้ไกลเพียงใดก็ทรงยินดีรับใช้ จนสิ้นพระชนม์ชีพ ถึงจะวายพระชนม์ก็จะตายตาหลับด้วยได้ทรง บำเพ็ญพระกรณียกิจที่มีต่อชาติบ้านเมืองสมกับพันธกรณีแล้ว ทรงขอให้อำนาจแห่งคำสัตย์ของพระองค์ดลบันดาลให้พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงหายจากการประชวรทั้ง พระวรกายและพระราชหฤทัย และขอให้สำเร็จพระราชประสงค์ที่ ทรงปรารถนา ให้เหตุที่ทำให้ทรงขุ่นขัดพระราชหฤทัยเคลื่อน คลายเหมือนเวลาหลายปีได้ผ่านพ้นไป และขอให้ดำรงพระชนม์ ชีพยืนนานเพื่อเกื้อกูลและสร้างความเจริญแก่ประเทศไทย ตลอดไป
๙ เนื้อเรื่อง ขัตติยพันธกรณี แบบเต็ม เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย ปลดเปลื้อง คิดใคร่ลาลาญหัก ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง ตูจักสู่ภพเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม ด้วยความที่ร.๕ ทรงประชวรหนักมาเป็นเวลานาน จึงมีความคิดจะ เสด็จสวรรคต (อยากลาตาย) ให้พ้นจากความเหน็ดเหนื่อย ไปสู่โลก หน้าที่มีแต่ความสบายกายสบายใจ มีความสุขมากยิ่งกว่า เป็นฝีสามยอดแล้ว ยังราย ส่านอ ปวดเจ็บใครจักหมาย เชื่อได้ ใช่เป็นแต่ส่วนกาย เคียรกลัด กลุ้มแฮ ใครต่อเป็นจึงผู้ นั่นนั้นเห็นจริง นอกจากร.๕ จะทรงประชวรด้วยโรคฝีสามยอดแล้ว ยังมีไข้ส่าเป็น ระยะ ส่งผลให้พระองค์ ทรงเจ็บปวดทรมานมากอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะ ทั้งปวดทั้งกายและศีรษะ ผู้ที่ไม่เคยมีอาการแบบนี้ ย่อมไม่รู้ว่าความ เจ็บปวดทรมานนั้นมันมากขนาดไหน ตะปูดอกใหญ่ตรึ้ง บาทา อยู่เฮย จึง บ อาจลีลา คล่องได้ เชิญผู้ที่เมตตา แก่สัตว์ ปวงแฮ ชักตะปูนี้ ส่งข้าอัญขยม ร.๕ ทรงอธิบายว่า รู้สึกเหมือนมี \"ตะปูดอกใหญ่” ตรึงเท้าทั้ง ๒ ข้าง เอาไว้ ทำให้เดินไม่ สะดวก หรือเดินไม่ได้ ใครที่สามารถดึงตะปูดอก ใหญ่นี้ออกได้ ร.๕ จะทรงยินดีให้ดึงออกเป็นอย่างยิ่ง ชีวิตมนุษย์นี้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ ทุกข์และสุขพลิกแพลง มากครั้ง โบราณท่านจึงแสดง เป็นเยี่ยง อย่างนา ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี
๑๐ ชีวิตคนเรานั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เหมือน สำนวนโบราณที่ว่า ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน เป็นเด็กมีสุขคล้าย ดีรฉาน รู้สุขรู้ทุกข์หาญ ขลาดด้วย ละอย่างละอย่างพาล หย่อนเพราะ เผลอแฮ คล้ายกับผู้จวนม้วย ชีพสิ้นสติสูญ ชีวิตของเด็กนั้นเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน สุขและทุกข์ไปวัน ๆ อย่าง ไม่มีสติ ไม่ต่างกับคน ที่ใกล้จะตาย โดยร.๕ ทรงพระราชนิพนธ์บทนี้ เพราะหวังจะกลับไปเป็นเด็ก ที่ไม่ต้องมานั่งกังวล ถึงปัญหา ไม่ต้อง แก้ไข หรือมีความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ ฉันไปปะเด็กห้า หกคน โกนเกศนุ่งขาวยล เคลิบเคลิ้ม ถามเขาว่าเป็นคน เชิญเครื่อง ไปที่หอศพเริ้ม ริกเร้าเหงาใจ ร.๕ ทรงพบเจอเด็กจำนวน ๕-๖ คน ซึ่งทุกคนโกนผมและใส่เสื้อผ้าสี ขาว ทำหน้าที่เชิญเครื่องที่หอศพ การพบปะเด็กในครั้งนี้ ทำให้ ร.๕ ทรงรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก กล้วยเผาเหลืองแก่ก้ำ เกินพระ ลักษณ์นา แรกก็ออกอร่อยจะ ใคร่กล้ำ นานวันยิ่งเครอะคระ กลืนยาก ทนจ่อซ่อมจิ้มจ้ำ แดกสิ้นสุดใบ กล้วยเผานั้นมีสีเหลืองแก่ยิ่งกว่าสีผิวของพระลักษณ์ (ตัวละครจาก เรื่องรามเกียรติ์) ทำให้ในช่วงแรก ๆ ใคร ๆ ก็อยากกิน แต่หากทิ้ง ไว้นาน ๆ กลับแข็งและกลืนยาก ไม่ว่าจะใช้ส้อมจิ้มกี่ครั้ง ก็ยังไม่ สามารถจิ้มเข้าไปในเนื้อกล้วยเผาได้ เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเรื่องบำรุงกาย ส่วนจิต บ มีสบาย ศิระกลุ้มอุราตรึง แม้หายก็พลันยาก จะลำบากฤทัยพึง
ตริแต่จะถูกรืง อุระรัดและอัตรา ๑๑ นอกจากความเจ็บป่วยทางกายจะยังคงดำเนินอยู่เรื่อย ๆ แล้ว ร.๕ ยัง ทรงรู้สึกไม่สบายใจอีกด้วย พระองค์ทรงคิดไม่ตกกับปัญหาต่าง ๆ ทำให้ เกิดความกังวลใจและอัดอั้นตันใจอยู่เป็นประจำ ดูแล้วคงไม่หายไปโดย ง่าย กลัวเป็นทวิราช บ ตริป้องอยุธยา เสียเมืองจึงนินทา บ ละเว้น ฤ ว่างวาย คิดใดจะเกี่ยงแก้ ก็ บ พบซึ่งเงื่อนสาย สบหน้ามนุษย์อาย จึงจะอุดแลเลยสูญฯ ร.๕ ทรงกลัวว่าตัวพระองค์เองจะกลายเป็นเช่นเดียวกับสมเด็จพระมหินท ราธิราช และสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ (ทวีราช) ซึ่งประเทศไทยเราสูญเสีย เอกราชในช่วงที่พระมหากษัตริย์ ๒ พระองค์นี้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่า พระองค์จะทรงครุ่นคิดแก้ไขปัญหานี้เพียงใด ก็ไม่พบทางออก ทำให้ทรง กลัวว่าจะเป็นที่น่าอับอายในสายตาของประชาชนทั่วไป ขอเดชะเบื้องบาท วรราชะปกศี- โรตม์ข้าผู้มั่นมี มะนะตั้งกตัญญู ได้รับพระราชทาน อ่านราชนิพันธ์ดู ทั้งโคลงและฉันท์ดู ข้าจึงตริดำริตาม กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงกล่าวขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ตัวพระองค์เองเป็นผู้มีใจกตัญญู ได้อ่านบทพระ ราชนิพนธ์ของร.๕ แล้วจึงคิดตาม อันพระประชวรครั้ง นี้แท้ทั้งไผทสยาม เหล่าข้าพระบาทความ วิตกพ้นจะอุปมา ประสาแต่อยู่ใกล้ ทั้งรู้ใช่ว่าหนักหนา เลือดเนื้อผิเจือยา ให้หายได้จะชิงถวาย หลังจากที่ร.๕ ทรงประชวรหนักนั้น ประชาชนชาวไทยทุกคนก็วิตกกังวล เป็นอย่างมากจน เกินกว่าที่จะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ หากตัวกรม พระยาดำรงราชานุภาพเองประทับอยู่ใกล้ ๆ ก็ พร้อมที่จะยอมถวายเลือด และเนื้อของตัวเองมาทำเป็นพระโอสถให้ ขอเพียงแต่ช่วยให้ร.๕ มี พระอาการดีขึ้นได้
๑๒ ทุกหน้าทุกตาดู บ พบผู้จะพึงสบาย ปรับทุกข์ทุรนราย กันมิเว้นทิวาวัน ดุจเหล่าพละนา- วะเหว่ว้ากะปิตัน นายท้ายฉงนงัน ทิศทางก็คลางแคลง ไม่มีประชาชนคนใดมีความสุขเลย เวลาเจอหน้ากันก็มักปรับทุกข์ เรื่องพระอาการประชวรของ ร.๕ ว่ารู้สึกเหมือนกับเป็นลูกเรือ และ นายท้ายเรือที่สับสนงงงัน ไม่รู้จะแล่นเรือไปในทิศทาง ใด เพราะขาด กัปตันเรืออย่างพระมหากษัตริย์ที่คอยควบคุมดูแลลูกเรือและนาย ท้ายเรืออยู่เสมอ นายกลประจำจักร จะใช้หนักก็นึกแหนง จะรอก็ระแวง จะไม่ทันธุรการ อึดอัดทุกหน้าที่ ทุกข์ทวีทุกวันวาร เหตุห่างบดียาน อันเคยไว้น้ำใจชน นอกจากนายท้ายเรือแล้ว ช่างกลประจำเรือเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดี เพราะไม่มีกัปตันเรือคอยช่วยชี้แนะ จะมัวแต่มารอก็ย่อมไม่ทัน การณ์ เรียกได้ว่าทุกคนทุกหน้าที่ต่างก็อึดอัดและมีความทุกข์ เพราะ ขาดผู้นำเรืออย่างร.๕ ถ้าจะว่าบรรดากิจ ก็ไม่ผิด ณ นิยม เรือแล่นทะเลลม จะเปรียบต่อก็พอกัน ธรรมคามหาสมุทร มีคราวหยุดพายุผัน มีคราวสลาตัน ตั้งระลอกกระฉอกฉาน การทำงานต่าง ๆ ก็เหมือนกับการเดินเรือ โดยตามธรรมชาติแล้ว มหาสมุทรย่อมมีทั้งคราวที่สงบเงียบ และคราวที่มีพายุและคลื่นสูง เปรียบได้กับปัญหาในการทำงานนั่นเอง ผิวพอกำลังเรือ ก็แล่นรอดไม่ร้าวราน หากกรรมจะบันดาล ก็คงล่มทุกลำไป ฉะนี้อยู่ทุกจิตใจ ชาวเรือก็ย่อมรู้ ต้องจำแก้ด้วยแรงระดม แต่ลอยอยู่ตราบใด
๑๓ โดยปกติหากเรือมีพละกำลังมากพอ ก็ย่อมแล่นได้อย่างไม่มีปัญหา แต่หากมีพายุพัดผ่านมา ก็อาจทำให้เรือใหญ่นั้นล่มได้ ดังนั้น ใน ขณะที่เรือยังคงลอยอยู่ได้ ชาวเรือทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจกัน แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามา แก้รอดตลอดฝั่ ง จะรอดทั้งจะชื่นชม เหลือแก้ก็จำจม ให้ปรากฏว่าถึงกรรม ผิวทอดธุระนิ่ง บ วุ่นวิ่งเยียวยาทำ ที่สุดก็สูญลำ เหมือนที่แก้ไม่หวาดไหว หากเราร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหานั้นได้ เราก็จะสามารถ รอดพ้นไปได้ แต่ถ้าแก้ปัญหา ไม่ได้ก็ให้คิดว่าเป็นเพราะกรรม แต่ หากเราไม่คิดที่จะแก้ปัญหาเลย สุดท้ายแล้วก็จะเสียเรือไปทั้งลำ ผิดกันแต่ถ้าแก้ ให้เต็มแย่จึงจมไป ใครห่อนประมาทใจ ว่าขลาดเขลาและเมาเมิน เสียทีก็มีชื่อ ได้เลื่องลือสรรเสริญ สงสารว่ากรรมเกิน กำลังดอกจึงจมสูญ ถ้าเราแก้ไขเต็มที่แล้ว แต่เรือก็ยังจมก็ไม่มีใครมาสบประมาทเราได้ เนื่องจากเราทำเต็มที่แล้ว ถึงจะพลาดท่าเสียที เราก็ได้รับการ ยกย่องสรรเสริญ นี้ในน้ำใจข้า อุปมาบังคมทูล ทุกวันนี้อาดูร แต่ที่พระประชวรนาน เปรียบตัวเหมือนอย่างม้า ที่เป็นพาหนยาน ผูกเครื่องบังเหียนอาน ประจำหน้าพลับพลาชัย ทุกวันนี้กรมพระยาดำรงราชานุภาพมีความเดือดเนื้อร้อนใจที่ ร.๕ ทรงประชวร และ ท่านก็เปรียบตัวเองเหมือนกับม้าที่ประจำอยู่หน้า พลับพลาชัย คอยพระประทับอาสน์ กระหยับบาทจะพาไคล ตามแต่พระทัยไท ธ จะชักไปซ้ายขวา จะกระเดือกเต็มประดา ไกลใกล้ บ ได้เลือก
ตราบเท่าจะถึงวา- ระชีวิตมลายปราณ ๑๔ กรมพระยาดำรงราชานุภาพจะคอยทำตามที่ ร.๕ สั่งทุกอย่าง และจะ พยายามเต็มที่ในการรับใช้ตราบเท่าชีวิตจะหาไม่ ขอตายให้ตาหลับ ด้วยชื่อนับว่าชายชาญ เกิดมาประสบภาร- ธุระได้บำเพ็ญทำ ด้วยเดชะบุญญา- ภินิหาระแห่งคำ สัตย์ข้าจงได้สัม- ฤทธิดังมโนหมาย แม้ตายไปก็ตายตาหลับแล้วเพราะได้ทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่แล้ว นั่นคือ การรับใช้ร.5 จนสุดกำลัง ได้ทำสำเร็จแล้ว และด้วยคำอธิษฐานก็ขอ ให้สมดังใจหวัง ขอจงวราพาธ บรมนาถเร่งเคลื่อนคลาย พระจิตพระวรกาย จงผ่องพันที่หม่นหมอง ขอจงสำเร็จรา- ชะประสงค์ที่ทรงปอง ปกข้าฝ่าละออง พระบาทให้สามัคคี จากนั้นกรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ตั้งจิตอธิษฐานขออาการเจ็บ ป่วยของ ร.๕ หายไป รวมทั้งขอให้จิตใจและร่างกายพ้นจากความ เจ็บปวด และขอให้พระองค์ทำงานสำเร็จตามที่ต้องการ ขอเหตุที่ขุ่นขัด จะวิบัติพระขันตี จงคลายเหมือนหลายปี ละลืมเลิกละลายสูญ ขอจงพระชนมา- ยุสถาวรพูน เพิ่มเกียรติอนุกูล สยามรัฐพิพัฒน์ผลฯ ขอให้เหตุหรือปัญหาที่ทำให้ ร.๕ ไม่สบายกายไม่สบายใจทั้งหลายจง หายไป และขอให้พระองค์มีพระชนมายุยิ่งยืนนานเพื่อที่จะได้ช่วย เหลือประเทศให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป เนื้อเรื่องเต็มทั้งหมด จากหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วรรณคดีวิจักษ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖
๑๕ วิเคราะห์คุณค่าทางวรรณคดี คุณค่าด้านเนื้อหา ผู้แต่ง : พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตัวละคร ๑.พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทส่วรนงรรักวมเมืถอึงงแสมย้ตามอแนลที่ะพปรระะอชงาชค์นทขรงอปงพระรชะวอ รงหค์นัทกรกง็ยเัหง็นกัแงวก่ลปพระรโะยทัชยนท์ี่ไม่ สามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้เต็มกำลังมาก ๒.สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีความจงรักภักดีต่อประเทศชาติและพระมหากษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง โดยสามารถยอมสละเลือดเนื้อเพื่อถวายแด่กษัตริย์ได้ มีความตั้งใจและ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค โครงเรื่อง ๑.เนื้อหาของขัตติยไม่มีความซับซ้อนเหมือนวรรณคดีเรื่องอื่น เพราะ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง สามารถเข้าใจได้ง่าย และข้อคิดที่ได้จาก การอ่านนั้นยังสามารถนํามาปรับใช้กับชีวิตประจําวันได้ด้วย ๒.ขัตติยพันธกรณี กล่าวถึงเรื่องพระอาการประชวรของพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ทรงระบายความทุกข์โทมนัส จึงมี พระราชประสงค์ที่จะเสด็จสวรรคต ๓.พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชนิพนธ์โคลงเพื่อ ระบายความทุกข์ถึงญาติของพระองค์เอง ซึ่งทรงพรรณนาถึงความ เจ็บปวดพระวรกายและพระทัยจากพระอาการประชวรจึงทําให้ทรง หมดกําลังที่จะดํารงพระชนม์ชีพต่อไป เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ความ เหน็ดเหนื่อยของผู้ที่เฝ้ารักษาพยาบาลและของพระองค์เอง แต่ พระองค์ก็ทรงตระหนักดีว่าพระองค์ยังไม่สามารถเสด็จไป
๑๖ ตามพระทัยหมายได้ เพราะทรงมีหน้าที่และภาระที่หนักยิ่งกว่าผู้ใดใน แผ่นดิน ๔.พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงกล่าวถึงชีวิตของ มนุษย์ว่า ชีวิตของคนเรานั้นมัก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่เสมอ มีชั่วมีดี สลับกันไป ๕.พระนิพนธ์ฉันท์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารง ราชานุภาพมีเนื้อความเริ่มต้นด้วย การถวายกําลังพระทัยแด่พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงบรรยายให้เห็นว่าพระองค์ ทในรงฐปานฏิะบทัี่ตทิงรางนเปอ็ยน่าพงรใะกบลร้ชมิดวงทศรางนตุวรงะหส์แนัลก ะวเ่สาพนราบะอดาีทกี่ าร ประชวรจะ หนักหนาและสาหัสเพียงใด ทรงมีความวิตกกังวลและพร้อมที่จะสละ เลือดเนื้อและชีวิตหากจะช่วย บรรเทาพระอาการประชวรลงได้ และใน ช่วงท้ายมีเนื้อความเกี่ยวกับการอาสาที่จะถวายชีวิตรับใช้ ปฏิบัติ หน้าที่ตามพระราชบัญชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัวจนสุดกําลัง และได้ถวายพระพรให้ พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงฟื้ นจากพระอาการประชวรโดยเร็ว มีพระ ราชหฤทัยผ่องแผ้ว และมีพระชนมายุยืนยาวเพื่อเมืองสยามต่อไป เหตุการณ์ในขัตติยพันธกรณีที่สะท้อนถึงค่านิยมต่างๆ - ค่านิยมเกี่ยวกับการไม่สร้างความลําบากใจให้กับผู้อื่น เช่น การที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวมีพระราชดําริที่อยากจะ เสด็จสวรรคตเพราะไม่อยากให้ผู้ที่เฝ้ารักษาต้องลําบาก - ค่านิยมเกี่ยวกับการมีผู้นําที่ทรงคุณธรรม อย่างพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทําให้ปวง ชนชาวไทยพร้อมที่จะสละชีพเพื่อ พระองค์ - ค่านิยมเกี่ยวกับการทําหน้าที่ของตนเองอย่างสุดความสามารถ การ ที่พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ที่จะ เสด็จสวรรคต แต่ก็ยังนึกถึงหน้าที่ของตนเอง คือต้องทรงปกป้อง รักษาบ้านเมืองเอาไว้ให้แก่ปวงชนชาวไทยทุกคน
๑๗ คุณค่าด้าน วรรณศิลป์ ๑. มีการใช้ฉันทลักษณ์ที่หลากหลายเป็นแบบอย่างของการแต่งลิลิต ๒. ไพเราะด้วยสัมผัสนอก สัมผัสใน สัมผัสสระและอักษร การเล่นคำ ซ้ำคำ ๓. มีการใช้ภาพพจน์ต่างๆทั้งอุปมา อุปลักษณ์ อัพภาส ฯลฯ ๔. บทนิราศก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจอันเป็นความงามเชิง วรรณศิลป์ได้ดี ๕. การปิดเรื่องน่าประทับใจ คือ การตั้งจิตอธิษฐานของกวีผู้แต่เป็น บทที่มีผู้จดจำกันได้มาก กลวิธีในการประพันธ์ มีการใช้ อินทรวิเชียรฉันท์ โคลงสี่สุภาพ มีบทพระราชนิพนธ์ที่ทรงใช้โคลงสี่สุภาพนําและตามด้วย อินทรวิเชียรฉันท์ เช่น ประสาแต่อยู่ใกล้ ทั้งรู้ใช่ว่าหนักหนา เลือดเนื้อผิเจือยา ให้หายได้จะชิงถวาย เน้นการออกเสียงตามธรรมชาติของการพูด สร้างจินตภาพ และ สร้างอารมณ์สะเทือนใจ การเล่นสัมผัสนอกและสัมผัสใน รวมถึงการ เล่นสัมผัสสระและอักษร อีกทั้งยังมีการเล่นคําซํ้า เช่น แม้หายก็พลันยาก จะลําบากฤทัยพึง ตริแต่จะถูกรึง อุระรัดและอัตรา
๑๘ วรรณคดีด้านโวหาร เป็นฝีสามยอดแล้ว ยังราย ส่านอ ปวดเจ็บใครจักหมาย ช่วยได ใช่เป็นแต่ส่วนกลาย เศียรกลัด กลุ้มแฮ ใครต่อเป็นจึ่งผู้ นั่นนั้นเห็นจริง พรรณนาโวหาร กวีเลือกใช้คำง่ายๆ แต่สื่ออารมณ์ได้อย่างดี ทรงเล่า ถึงพระอาการประชวรว่าเป็นฝีสามยอด และยังมีส่าไข้เป็นผื่นไปทั่ว เจ็บปวดอย่างไม่น่าเชื่อ การประชวรครั้งนี้มิใช่แต่พระวรกายแต่ยัง ทรงกลัดกลุ้มพระราชหฤทัยด้วยผู้ใดได้มาเป็นเช่นพระองค์จึงจะรู้ถึง ความเจ็บปวดว่ามากเพียงใด ผิวทอดธุระนิ่ง บ วุ่นวิ่งเยียวยาทำ ที่สุดก็สูญลำ เหมือนที่แก้ไม่หวาดไหว ผิดกันแต่ถ้าแก้ ให้เต็มแย่จึงจมไป ใครห่อนประมาทใจ ว่าขลาดเขลาและเมาเมิน เทศนาโวหาร หากนิ่งเฉยไม่ขวนขวายที่จะแก้ไขหรือทำอะไรเลย ใน ที่สุดก็จะสูญเสียเรือทั้งลำเหมือนกับที่แก้ไขปัญหาไม่ได้ แตกต่างกัน ตรงที่ว่า ถ้ามีการแก้ไขอย่างเต็มกำลังความสามารถแล้วเรือยังจม ก็จะไม่มีใครสบประมาทได้ ฉันไปปะเด็กห้า หกคน โกนเกศนุ่งขาวยล เคลิบเคลิ้ม ถามเขาว่าเป็นคน เชิญเครื่อง ไปที่หอศพเริ้ม ริกเร้าเหงาใจ บรรยายโวหาร พระองค์เสด็จไปพบเด็กแต่งชุดขาวประมาณห้าถึง หกคน ทาหน้าที่เป็นคนเชิญเครื่องในพิธีศพทำให้รู้สึกเศร้าพระราช หฤทัย
๑๙ กล้วยเผาเหลืองแก่ก้ำ เกินพระ ลักษณ์นา แรกก็ออกอร่อยจะ ใคร่กล้ำ นานวันยิ่งเครอะคระ กลืนยาก ทนจ่อซ่อมจิ้มจ้ำ แดกสิ้นสุดใบ สาธกโวหาร กล้วยเผาจนเหลืองทีแรกก็อร่อย ใครๆก็อยากกิน แต่ พอหลายวันเข้าก็แข็ง กลืนยากจะเอาส้อมจิ้มกี่ครั้งก็ไม่อ่อนลงได้ การใช้อุปลักษณ์โวหาร เช่น ตะปูดอกใหญ่ตรึ้ง บาทา อยู่เฮย จึงบ่อาจลีลา คล่องได้ เชิญผู้ที่มีเมตตา แก่สัตว์ ปวงแฮ ชักตะปูนี้ให้ ส่งข้าอัญขยม ทรงเปรียบพันธกรณีที่มีต่อชาติบ้านเมืองในฐานะที่พระองค์เป็นพระ มหากษัตริย์ “เป็นตะปูดอกใหญ่ ที่ตรึงพระบาทไว้มิให้ก้าวย่างไปได้” การใช้อุปมาโวหาร เช่น ดุจเหล่าพละนา- วะเหว่ว้ากะปิต้น นายท้ายฉงนงัน ทิศทางก็คลางแคลง เหมือนเหล่าลูกเรือ ที่ขาดผู้บังคับบัญชาเรือก็จะบังคับเรือไปต่อไม่ได้ เปรียบตัวเหมือนอย่างม้า ที่เป็นพาหนะยาน ผูกเครื่องบังเหียนอาน ประจำหน้าพลับพลาชัย สมเด็จฯ เปรียบตัวเองเหมือนม้าที่เป็นพระราชพาหนะ เตรียมพร้อม ที่จะรับใช้รัชกาลที่ ๕
๒๐ การใช้อติพจน์โวหาร เช่น ประสาแต่อยู่ใกล้ ทั้งรู้ใช่ว่าหนักหนา เลือดเนื้อผิเจือยา ให้หายได้จะชิงถวาย ถ้าเลือดเนื้อของสมเด็จฯ เจือยาถวายให้หายประชวรได้ก็ยินดีที่จะ ทูลเกล้าฯ ถวาย มีความเกี่ยวข้องกับสำนวน สุภาษิต เช่น ชีวิตมนุษย์นี้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ ทุกข์และสุขพลิกแพลง มากครั้ง โบราณท่านจึงแสดง เป็นเยี่ยงอย่างนา ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี ชีวิตคนเรานั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เหมือน สำนวนโบราณที่ว่า ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน เช่น ไกลใกล้บ่ได้เลือก จะกระเดือกเต็มประดา ตราบเท่าจะถึงวา- ระชีวิตมลายปราณ ตรงกับ สุภาษิตพระร่วงที่ว่า อาสาเจ้าจนตัวตาย คําไวพจน์ บริรักษ์ = ป๋อง ลาญ = หัก อัญขยม = ข้า ข้าพเจ้า เขษม = สุข อุรา สบาย เกศ = ศิระ ศิโรตม์ เศียร บาทา = เบื้องบาท บาท พระบาท เบื้องบาท ขลาด = วิตก กลัว มะนะ = มโน ฤทัย อุระ พระทัย
๒๑ ม้วย = สิ้น มลาย สูญหาย ละลาย ตาย นิตย์ = อัตรา มโน = ดำริ ตริ อุปมา คิด นึก ประชวร = เจ็บ ปวด วราพาธ ถวาย = แก่ ให้ เปรียบ = ดุจ คล้าย เยี่ยง แหนง = หมาง ระแวง หวาด กิจ = อาดูร = ธุระ ไคล = วุ่น อนุกูล = เสด็จไป สลาตัน = ช่วย แล = พายุ ไม่ = ทวี = ดู ไคล = บ ละ ขาว = พูน มาก เพิ่ม วัน = ไป ลีลา คล่อง ยล ทิวา อติพจน์ กล้วยเผาเหลืองแก่ก้ำ เกินพระ ลักษณ์นา เลือดเนื้อผิเจือยา ให้หายได้จะชิงถวาย
๒๒ คำซ้ำ เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย คิดใคร่ลาลาญหัก ปลดเปลื้อง ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง ตูจักสู่ภพเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม ยังราย ส่านอ เป็นฝีสามยอดแล้ว เชื่อได้ ปวดเจ็บใครจักหมาย เคียรกลัด กลุ้มแฮ ใช่เป็นแต่ส่วนกาย นั่นนั้นเห็นจริง ใครต่อเป็นจึงผู้ คำถามเชิงวาทศิลป์ เป็นฝีสามยอดแล้ว ยังราย ส่านอ ปวดเจ็บใครจักหมาย เชื่อได้ ใช่เป็นแต่ส่วนกาย เคียรกลัด กลุ้มแฮ ใครต่อเป็นจึงผู้ นั่นนั้นเห็นจริง ก็ บ พบซึ่งเงื่อนสาย คิดใดจะเกี่ยงแก้ จึงจะอุดแลเลยสูญฯ สบหน้ามนุษย์อาย ก็ไม่ผิด ณ นิยม จะเปรียบต่อก็พอกัน ถ้าจะว่าบรรดากิจ ฉะนี้อยู่ทุกจิตใจ เรือแล่นทะเลลม ต้องจำแก้ด้วยแรงระดม ชาวเรือก็ย่อมรู้ แต่ลอยอยู่ตราบใด
๒๓ สัมผัสสระ เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย คิดใครลาลาญหัก ปลดเปลื้อง ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง ตูจักสู่ภพเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม ชีวิตมนุษย์นี้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ ทุกข์และสุขพลิกแพลง มากครั้ง โบราณท่านจึงแสดง เป็นเยี่ยง อย่างนา ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเรื่องบำรุงกาย ส่วนจิต บ มีสบาย ศิระกลุ้มอุราตรึง นามนัย ดีรฉาน = สัตว์ดีรฉาน เป็นเด็กมีสุขคล้าย ดีรฉาน ขอเดชะเบื้องบาท วรราชะปกศี เบื้องบาท = พระมหากษัตริย์ ร.5 ดุจเหล่าพละนา- วะเหว่ว้ากะปิตัน กะปิตัน = กัปตันเรือ (เปรียบมหากษัตริย์) นายกลประจำจักร จะใช้หนักก็นึกแหนง นายกล = ผู้ดูแลเครื่องจักเรือ (ข้าราชการ/ข้าราชการบริพาร) เหตุห่างบดียาน อันเคยไว้น้ำใจชน บดียาน = นายเรือ เจ้าของเรือ
คำปฏิพากย์ ๒๔ ทุกข์และสุขพลิกแพลง มากครั้ง ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี รู้สุขรู้ทุกข์หาญ ขลาดด้วย คำอัพภาส จงคลายเหมือนหลายปี ละลืมเลิกละลายสูญ จินตภาพด้านการเคลื่อนไหว (นาฏการ) ตูจักสู่ภพเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม ชักตะปูนี้ ส่งข้าอัญขยม ทุกข์และสุขพลิกแพลง มากครั้ง ฉันไปปะเด็กห้า หกคน ไปที่หอศพเริ้ม ริกเร้าเหงาใจ ทนจ่อซ่อมจิ้มจ้ำ แดกสิ้นสุดใบ จินตภาพด้านสี โกนเกศนุ่งขาวยล เคลิบเคลิ้ม -เห็นสีขาว กล้วยเผาเหลืองแก่ก้ำ เกินพระ ลักษณ์นา -เห็นสีเหลือง เลือดเนื้อผิเจือยา ให้หายได้จะชิงถวาย -เห็นสีแดง จินตภาพด้านเสียง ทนจ่อซ่อมจิ้มจ้ำ แดกสิ้นสุดใบ -ได้ยินเสียงที่จิ้มลงบนกล้วย ตั้งระลอกกระฉอกฉาน มีคราวสลาตัน -ได้ยินเสียงน้ำกระเพื่อมอย่างแรง จินตภาพด้านรสชาติ แรกก็ออกอร่อยจะ ใคร่กล้ำ -รสชาติอร่อย
๒๕ สัลลาปังคพิสัย เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย คิดใคร่ลาลาญหัก ปลดเปลื้อง ยังราย ส่านอ เป็นฝีสามยอดแล้ว เชื่อได้ ปวดเจ็บใครจักหมาย อุปมาบังคมทูล แต่ที่พระประชวรนาน นี้ในน้ำใจข้า ทุกวันนี้อาดูร บุคคลวัต ผิวพอกำลังเรือ ก็แล่นรอดไม่ร้าวราน หากกรรมจะบันดาล ก็คงล่มทุกลำไป หมายถึง ถ้าเรือพอมีกำลังก็จะต้านลมได้ทำให้แล่นไปได้รอดปลอดภัย แต่ถ้ามีกรรมก็จะบันดาลให้ล่มจมทุกลำไป เสาวรจนี กล้วยเผาเหลืองแก่ก้ำ เกินพระ ลักษณ์นา ชมกล้วยว่ามีสีเหลืองแก่ยิ่งกว่าผิวของพระลักษณ์ กรุณารส อันพระประชวรครั้ง นี้แท้ทั้งไผทสยาม เหล่าข้าพระบาทความ วิตกพ้นจะอุปมา ประสาแต่อยู่ใกล้ ทั้งรู้ใช่ว่าหนักหนา เลือดเนื้อผิเจือยา ให้หายได้จะชิงถวาย เป็นการใช้คำเพื่อแสดงออกถึงความเมตตาสงสาร ทำให้ผู้อ่านเกิด ความรู้สึกสลดหดหู่ใจตามไปด้วย
๒๖ วีรรส เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย คิดใครลาลาญหัก ปลดเปลื้อง ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง ตูจักสู่ภพเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม รสแห่งความกล้าหาญ พระราชหฤทัยพระองค์ที่สละพระชนม์ชีพ สวรรคตที่จะไม่เป็นภาระแก่พระญาติและ ข้าราชบริพาร โดยไม่หวาด กลัวความตายเลย คุณค่าด้า นสังคม ๑. สะท้อนความคิด ความเชื่อของคนไทยในอดีตได้เป็นอย่างดี ผิวพอกำลังเรือ ก็แล่นรอดไม่ร้าวราน หากกรรมจะบันดาล ก็คงล่มทุกลำไป ฉะนี้อยู่ทุกจิตใจ ชาวเรือก็ย่อมรู้ ต้องจำแก้ด้วยแรงระดม แต่ลอยอยู่ตราบใด จะรอดทั้งจะชื่นชม ให้ปรากฏว่าถึงกรรม แก้รอดตลอดฝั่ ง ได้เลื่องลือสรรเสริญ เหลือแก้ก็จำจม กำลังดอกจึงจมสูญ เสียทีก็มีชื่อ สงสารว่ากรรมเกิน -ความเชื่อเรื่องเวรกรรม ๒. มีสติในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ผิวทอดธุระนิ่ง บ วุ่นวิ่งเยียวยาทำ ที่สุดก็สูญลำ เหมือนที่แก้ไม่หวาดไหว
๒๗ ๓.กําลังใจเป็นสิ่งสําคัญ ที่จะต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ขอจงวราพาธ บรมนาถเร่งเคลื่อนคลาย พระจิตพระวรกาย จงผ่องพันที่หม่นหมอง ๔. ปลุกจิตสำนึกให้คนในชาติหวงแหนรักษาผืนแผ่นดินไทยไว้ให้ดำรงอยู่ สืบไปและตระหนักถึงความเหนื่อยยากของบรรพบุรุษที่ต้องยอมแลกด้วย ชีวิตเพื่อรักษาฝืนแผ่นดินนี้ไว้ ค่านิยม ที่เป็นพาหนยาน ๑. ความกตัญญู ประจำหน้าพลับพลาชัย เปรียบตัวเหมือนอย่างม้า ผูกเครื่องบังเหียนอาน ๒. เหตุที่เป็นข้อผูกมัดของกษัตริย์ที่มีต่อประเทศชาติมีความยิ่งใหญ่กว่า ชีวิต เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย คิดใคร่ลาลาญหัก ปลดเปลื้อง ตะปูดอกใหญ่ตรึ้ง บาทา อยู่เฮย จึงบ่อาจลีลา คล่องได้ ข้อคิด ๑. ผู้นำประเทศต้องมีสำนึกในความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองและความอยู่ รอดของประเทศ ๒. บุคคลพึงสละแม้ชีวิต เพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ ๓. บุคคลควรมีความเห็นใจ ไม่สร้างความลำบากใจให้แก่ผู้อื่นโดยเฉพาะผู้ ที่อยู่ต่ำกว่า ๔. ปุถุชนไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งสูงเพียงใด ย่อมประพฤติบกพร่องผิด พลาดได้ในบางโอกาส ๕. อารมณ์สะเทือนใจหรือแรงบันดาลใจเป็นปัจจัยสำคัญในการแต่งบทกวี ๖. บุคคลพึงฟังคำแนะนำตักเตือนที่มีเหตุผลสมควรจากทุกคน ๗. เมื่อประสบปัญหาในชีวิต หากเรารู้จักใช้สติในการแก้ปัญหา ก็จะทำให้ ปัญหาคลี่คลายลงได้
๒๘ บรรณานุกรม นางสาวณัฐวรรณ จงแจ้งกลาง//(๒๕๖๓)//คุณค่าด้าน วรรณศิลป์และสังคม (สืบค้น ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๕) จากhttps://serendipity55555nattawan.blogspot.com อาจารย์ ดร.บัวลักษณ์ นาคทรงแก้ว//(ไม่ทราบปี)// เอกสารประกอบการเรียนการสอน : เรื่อง ขัตติย พันธกรณี(สืบค้น ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๕) จาก http://elsd.ssru.ac.th Jutalak Cherdharun//(๘/มิถุนายน/๒๕๖๔)//ขัตติย พันธกรณี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 วิชาภาษาไทย (สืบค้น ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๕) จาก https://blog.startdee.com skktutor//(ไม่ทราบปี)//เนื้อเรื่องย่อขัตติยพันธกรณี วรรณคดีไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 (สืบค้น ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๕) จาก https://sites.google.com วิกิพีเดีย(๒๕๖๕)//สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ(สืบค้น ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๕) จาก https://th.m.wikipedia.org/ Phatthai๒๕๖๑//(๒๕๖๑-o๖-๙)//ใบความรู้เรื่องขัตติย พันธกรณี(สืบค้น ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๕) จาก https://pubhtml5.com/
ภาคผนวก ๒๙
Search
Read the Text Version
- 1 - 33
Pages: