Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชานาฏศิลป์

วิชานาฏศิลป์

Published by chanajirut, 2022-09-11 06:07:21

Description: จัดทำขึ้นเพื่อเป็นผลงานของรายวิชานาฏศิลป์

Search

Read the Text Version

นาฏศิลป์ไทย

จัดทำโดย จิรุตม์ ชนะ เลขที่ ๑ กฤติน วุฒิเดชารัตน์ เลขที่ ๔ กิตติ ตุลยนิษกะ เลขที่ ๕ แทนธรรม โออินทร์ เลขที่ ๖ ศิรประกฤชฎิ์ ศิริบูรณ์ เลขที่ ๗ มัธาทิยา ใจศรีตระกูล เลขที่ ๒๖ เสนอ ครูสุธิษา ราชสงค์

คุณค่าของนาฏศิลป์ นาฏศิลป์สะท้อนให้เห็นสภาพบ้านเมืองที่มี ความสวยงาม ประณีต เพีบพร้อมไปด้วย ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนวัฒนธรรม ที่ยึดถือปฏิบัติกันมาแต่ละยุคสมัย นาฏศิลป์ไทยมีคุณค่ามากในฐานะที่เป็นที่รวมของ ศิลปะหลายแขนง ปลูกฝังจริยธรรมและเป็นเอกลัก ษณร์ของชาติ ที่แสดงถึงความเป็นอารยประเทศ อาทิ ศิลปะแขนงวิจิตรศิลป์ หรือ ประณีตศิลป์ 1 ประติมากรรม หมายถึง ผลงานศิลปะที่แสดงออกโดยกรรมวิธีการ ปั้ นการหล่อ และการแกะสลัก ประกอบฉากการแสดง เช่น หัวโขน ชฏา มงกุฏ

2 วรรณกรรม ได้แก่ บทประพันธ์ที่เป็นร้อยแก้ว ร้อยกรอง ที่เป็นบทละคร บทเพลง 3สถาปัตยกรรม ศิลปะในการออกแบบสร้างฉากต่างๆ เช่น โบสถ์ วิหาร ปราสาทราชวัง 4จิตรกรรม การแต่งหน้า การเครื่องแต่งกาย เป็นองค์ ประกอบสำคัญ ศิลปะสาขาจิตรกรรมจึงมี ความใกล้ชิดกับผลงานการแสดง 5ดุริยางคศิลป์ ศิลปะทางดนตรี ขับร้อง เป็นหัวใจของนาฏศิลป์ไทย เพราะการแสดงลีลาท่ารำต้องมีดนตรีประกอบการแสดง

ประโยชน์ของนาฏศิลป์ นาฏศิลป์เป็นส่วนสำคัญในการประกอบพิธีกรรม ทั้งพิธีหลวงและพิธีราษฎร์ นอกเหนือไปจากการให้ความบันเทิง 1 สถาบันพระมหากษัตริย์ จำเป็นต้องมีพระราชพิธีต่างๆตามประเพณี 2 มีบทบาทสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของ คนไทยตั้งแต่เกิดจนตายบทบาทในงานสำคัญของ หลวงพิธีกรรมต่างๆของชาวบ้าน รวมถึงการสร้าง ความบันเทิงให้กับผู้คนในสังคม เช่น การแสดง ลิเก ละคร โขน เพลงพื้นเมืองต่าง 3 ประโยชน์โดยตรงสำหรับผู้ศึกษานาฏศิลป์ คือ สอนให้เป็นผู้รู้จักตนเอง เพราะ เป็นวิชาทักษะที่ ต้องอาศัยความมีมานะ อดทน ฝึกฝนเป็นระยะ เวลานาน ผู้เรียนจะค้นพยศักยภาพขิงตนเอง

กระบวนการการ สืบทอดนาฎศิลป์ การสืบทอดนาฏศิ ลป์สมัยโบราณ เป็นการถ่ายทอดจากครูแบบตัวต่อตัว โดยวิธี การจำ ไม่มีการบันทึกเป็น คลศิ าษรูยยซ์ลึ่ังทกีจ่จษะะสณไ์อด้อนรัักศบิษษกรยา์รโคดถรู่ยานยวิาธทฏีกอศิาดลรวปิป์ชจฏึาิงบจมัีะตคิต้วอคืางอมเขสจ้าำาไกคปัตญปัวฏมคิบารัูกตผิูร้สอับองใคนช์้คไทีป่วบยา้ัามงนศริูค้ษทั้รยูง์หทใมำนงดสามนจัยะบ้อโาบยนู่รใทนาุกณตัว ชนิด บีบนวด จนครู เห็นว่าศิ ษย์ผู้นี้มีความกตัญญู มีศรัทธาแน่วแน่ที่จะรับการ ถ่ายทอดวิชา ครูก็จะสอนและมอบวิชาให้ ส่วนสถาบันในการถ่ายทอดวิชานาฏศิ ลป์ ส่วนมากจะเป็นการถ่ายทอดและศึ กษาเล่า เรียนกันในวัง ครูละครจะเป็นเจ้าจอม หม่อมห้าม เป็นราชนิกูล ใครได้รับบทให้แสดงเป็นตัวละคร ในเรื่องใด ก็จะฝึก แเฉสพดางะไบด้ทก็นจั้นะฝจึกนสเชีอ่ ยนวลชูกาศญิ ษยเ์ชรุ่น่นใอหิเหม่นต่าอไบปุษบา รจนา เป็นต้น ต่อมาเมื่อไม่สามารถ การสืบทอดนาฏศิ ลป์สมัยปัจจุบัน ปัจจุบันวิชานาฏศิ ลป์เปิดสอน อยู่ในสถาบันการศึ กษาเกือบทุกระดับ มี กระบวนการเรียนการสอนที่เป็นแบบแผน โดยจัดทำสื่ อ และทำกิจกรรมเพื่อ ประเทืองปัญญา โดยใช้ระบบการเรียนการสอนที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ค้นคว้า หาความรู้ด้วยตนเอง ฝึกให้รู้จักการสังเกต คิดวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ สร้าง จินตนาการ จนเกิด ความคิดสร้างสรรค์ และนำไปใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม สภาพสังคมที่ผู้คนต่างแก่งแย่งแข่งขันกันทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพ ทำให้ การเรียนการสอนมีระยะเวลาอันจำกัด ผู้สนใจจะเรียนมีมาก ครูนาฏศิ ลป์จึง ไทตัมรก่สะษหาะมนจัึากงรเใปถน็นคถุ่หณานย้คาท่ทาีอ่ ขชดื่อนวิงชชผูาม้เรภใีูหยม้ินชปทันีิญ่ ดจะญตตั้วอาตข่งอหอตมงัั่วบนแรบฝรึบพกโฝบบุรนรุ ษจานณแเกลไิดดะ้ชค่ฉววะยนาั้มนกัเนชใี่นจยเรวรื่รชอโางลญกงาศิรรลฝวปึมกะทั้ ง แขนงนี้ ให้คงอยู่คู่ชาติต่อไป

การจัดกิจกรรมเพื่อ สืบทอดวัฒนธรรมทาง ด้านนาฏศิลป์ไทย พิธีไหว้ครู ครอบครู และรับมอบ นาฏศิ ลป์ไทยมีลักษณะเฉพาะที่เป็นแบบแผนขนบนิยมสืบทอดกันมาเป็น เรื่องความ ศรัทธา เชื่ อถือ จึงมีการจัดกิจกรรมที่สะท้อนถึงความเชื่ อดังกล่าว คือ พิธีไหว้ครู ครอบครู รับมอบ เพื่อให้ศิ ษย์ใหม่ได้รู้จักพระนามครูที่เป็นมหาเทพ พควราะมฤเๅปษ็ีนมสิ รนิุมษงย์คยลักปษ้์อทงั้กงัทนี่ เมสีชนีีวยิตดอจัยญู่แไลระไมมี่โมอี กชีาวิสตไอด้ยรู่ับเพถื่่อายมทออบดตัวท่เปา็รนำศิอัษนยส์ูงเพสืุ่ดอ หรือเป็นผู้ประกอบพิธีไหว้ครู คติความเชื่ อเกี่ยวกับนาฏศิ ลป คติความเชื่ อเกี่ยวกับนาฏศิ ลป์มีหลายเรื่อง แต่ที่รู้จักกันดีก็คือ คติความเชื่ อ ในเรื่อง ผิดครู แรงครู ครูเข้า เป็นคติความเชื่ อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อขจัดภัยพิบัติ หแลมะานยำถมึงาซผึู่้งปคฏิวบาัตมิผเปิ็ดนข้สอิรหิ้มามงคจละไดเ้พืร่ัอบใกห้าศริ ษลยง์โนทาษฏศมิีลภัปย์ทพุิกบัคตินขป้อฏิหบ้ัาติมตทาี่มถือ“วผ่าิดผิคดรูค”รู ไใเชดม่่นตไ้ดอ้ห้งแาทลมำะอพติ้อธอีกงไโนหรำงวไ้แคปสรใูดส่คบงถรา้อาตยบรังคไอุมรูท่เิไพศด้ใลคหง้รคนัอ้ รนูบทกีค่่ ลอ่รูวนงถ้ลเัางิบนจไะกปรำำแนหัลล้นว้ใานหพ้พาิาธมทีไตยหั์ดเวพ้ตค่ลอรูงทจ่คะารขรู ชำาั้ดทนี่ หเสปู็รงืนเอพเกลิงน แบบแผน เช่น เพลงหน้าพาทย์ เป็นต้น “แรงครูหรือครูเข้า” หมายถึง จะมีอันเป็น ไปต่างๆ เป็นการบั่นทอนชีวิต ความเป็นอยู่ เหมือนน้ำรอดใต้ทราย

ธรรมเนียมที่ ถือปฏิบัติในการออกโรงแสดง แสดงมใานปกราะรชุอมอไกหโวร้คงแรูสพดร้งอทุมกกคันรั้เงพื่ตอ้อขงออคัญวาเชมิ ญสวศัีสรดีษมะีชคั ยรู ไเปพืต่ัอ้ งใบหู้ชกาารศิแษสย์ดทีง่ รส่วำมเร็จ เลทุล่รวิดงด้แวลยะดหีัวผูโ้ขออนกก่แอสนดองอเปก็นโครงรั้แงสแดรกงต้คอรงูไต้หอวง้คเปร็ูนผู้ผฝู้ึสกวแมลศะี ผรู้ษกำะใกหั้บเกช่านรแชสฎดางมเมงื่กอุฎเลิก แสดงต้องมีพิธีขอขมาผู้แสดง อาวุโส ปัจจุบันพิธีกรรมเหล่านี้ยังถือปฏิบัติ สืบทอด ต่อๆ กันมา นับว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรม อย่างหนึ่งของสังคมที่พึงธำรงรักษาไว้ ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนต้องแข่งขันกันทำมาหากิน เวลา ที่จะมาเสพความงามด้านสุนทรียภาพ ประเภทการแสดง ระบำ รำ ฟ้อนต่างๆ กยรุ็วคมีบสลรมดััดยน้หอแรยืลอละทมงำีตกใาหาม้รกนมรำะาเชดทั้บวคยขึโ้นนดโัลงรนยวั้ีนมสทมจัั้ึงยงสใ่เหรงื่ผอม่ลงเขทที้่านำมำใหมา้ชกา่วแายรสแดเสพงื่กดอ็ตงใ้นหอ้ากงฏปาศรริัลแบปสเ์ปดจลำีง่เยมปี็นคนใวตห้า้อเมขง้ากับ ประณีตสมจริงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยน การแสดงให้เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพสังคมหรือตรงกับความต้องการของผู้ ชม ก็จำเป็นที่ผู้แสดงหรือผู้สร้างสรรค์จะ ต้องรักษารูปแบบของเดิมในส่วนที่เป็น แก่นของเรื่องเอาไว้ มิใช่จะเปลี่ยนไปตามใจชอบ เพราะจะ ทำให้ไม่ตรงตาม แลับกบษแณผะนเฉเดพิมาทะี่บผู้รที่รจพะทบุำรุกษาไรด้สริอเรนิ่มจสะตร้้อางงสผ่รานรพค์ิเธอีคารไวอ้ บนอรักบจมาอกบนี้ในวิชพิาธีนไาหฏว้ศคิ ลรูป์แกล็ยะังมีมี ธครติรคมวเานมียเชมื่ อปเฏกิี่บยัตวิกใันบกเราื่รอองผอิดกคโรรูงแห้สาดมงปแรละะพกฤารติเผคิดารข้พอผหู้้อามาวตุ่โาสงๆนับนเอป็กนจจาากรีตนั้นอยย่ัางมงี หนึ่ งที่ ทรงคุณค่าของสั งคมไทยที่ เราพึงต้องช่วยกันธำรงรักษาเอาไว้

การแสดงนาฏศิลป์ในโอกาสต่างๆ เป็นศิ ลปะคู่บ้านคู่เมืองที่นำมาแสดงได้ทุกดอกาส ทั้งงานพระราชพิธี รัฐพิธี และ งานทั่วๆ ไปของเอกชน โดยงานพระราชพิธี และรัฐพิธีเป็น งานในหน้าที่ของกรมศิ ลปากรที่ต้องจัดการแสดง ในโอกาสสำคัญๆ เป็นศิ ลปะคู่บ้านคู่เมืองที่นำมาแสดงได้ทุกดอกาส ทั้งงานพระราชพิธี รัฐพิธี และ งานทั่วๆ ไปของเอกชน โดยงานพระราชพิธี และรัฐพิธี เป็น งานในหน้าที่ของกรมศิ ลปากรที่ต้องจัดการแสดง ในโอกาสสำคัญๆ งานที่แสดงถึงความเป็นศิ ริมงคล สื่ อความหมายถึงความสุข นิยมใช้ การแสดงที่มีความหมายดี รวมถึงความสนุกสนานเพลิดเพลิน และ การแสดงต้องไม่นานจนเกินไป งานที่แสดงถึงความโศกเศร้าหรือสูญเสีย เช่น งานศพ มักเลือกใช้ การแสดงที่มีจังหวะดนตรีช้าๆ หรือการแสดงที่เป็นตอน เพื่อเป็น เกียรติให้กับผู้เสี ยชี วิตและแขกในงานได้ชมเพื่ อคลายความตึงเครียด

ระบำ รำ ฟ้อน และการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองของไทย ระบำ ระบำมาตรฐาน ระบำปรับปรุง เป็ นระบำที่บรมครูทางนาฏศิลป์ ได้ ลักษณะระบำที่ปรับปรุงหรือ คิดค้นไว้ ทั้งเรื่องเพลง บทร้อง ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยคำนึงถึง การแต่งกาย ท่ารำ ซึ่งไม่สามารถ ความเหมาะสมของผู้แสดง และ ที่จะเปลี่ยนแปลงได้ การนำไปใช้ในโอกาสต่างๆ กัน ตัวอย่างประเภทย่อยของระบำ ระบำมาตรฐานจะมีอยู่ทั้งหมด ปรับปรุง เช่น 6ชุด คือ ระบำสี่บท ระบำปรับปรุงพื้นบ้าน (เต้น ระบำย่องหงิดหรือยู่หงิด กำรำเคียว ระบำงอบ รำบำ ระบำพรหมาสตร์ กะลา) ระบำดาวดึงส์ ระบำปรับปรุงจากท่าทาง ระบำกฤษดา สัตว์ (ระบำนกยูง ระบำ ระบำเทพบันเทิง นกเขา ระบำมฤคระเริง) ระบำปรับปรุงตามเหตุการณ์ ภาพตัวอย่างระบำฝรั่งคู่

รำ การรำแบ่งออกเป็น 3 ประเภทย่อย รำเดี่ยว คือการรำที่ใช้ผู้แสดงเพียงผู้เดียว เช่นการรำฉุยฉาย เป็นต้น รำคู่ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การรำคู่ในเชิงศิลปะการต่อสู้ เช่น รำกระบี่ กระบอง รำกริช เป็นการรำที่ไม่มี บทร้องใช้ในการสลับฉาก และการรำคู่ใน ชุดสวยงาม เช่น พระลอตามไก่ หนุมานจับ นางเบญจกาย จะมีคำร้องใช้ท่าทางในการ แสดงความหมายนั้นๆ การรำหมู่ เป็นการรำตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เช่น รำกลองยาว รำโคม เป็นต้น

ฟ้อน ฟ้อน เป็นภาษาเหนือ หมายถึง การร่ายรำ เพื่อบูชาสิ่ง ต่างๆ อันเป็นศิลปะล้านนาของไทยฝ่ายเหนือ ส่วน ใหญ่จะเป็นการร่ายรำที่แสดงพร้อมกันเป็นชุดๆ การ ฟ้อนแบ่งได้เป็น ๕ ประเภท ฟ้อนที่สืบเนื่องมาจากการนับถือผี เป็นการฟ้อนที่เกี่ยวกับความเชื่อ ความศรัทธาและพิธีกรรมที่เก่าแก่มีมาช้านานแล้ว เช่น ฟ้อนผีบ้านผี เมือง เป็นต้น ฟ้อนแบบเมือง เป็นการฟ้อนที่มีลีลาการแสดงเป็นแบบฉบับของคน เมือง มีความอ่อนช้อยสวยงาม เช่น ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนมาลัย ฟ้อนสาวไหม เป็นต้น ฟ้อนแบบม่าน เป็นการฟ้อนที่ผสมผสานกันระหว่างศิลปะการฟ้อน ของพม่ากับไทยลานนา เช่น ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา เป็นต้น ฟ้อนแบบเงี้ยว เป็นการฟ้อนที่รับอิทธิพลมาจากชาวไทยใหญ่ผสมกับ ชาวไทยลานนา เช่น ฟ้อนเงี้ยว ฟ้อนไต มองเซิง เป็นต้น ฟ้อนที่ปรากฏในบทละคร เป็นการฟ้อนที่มีผู้คิดสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อใช้ ประกอบการแสดงละคร เช่น ฟ้อนลาวแพน ฟ้อนม่านมงคล เป็นต้น ภาพตัวอย่างการฟ้ อนขันตอก

นาฏศิลป์พื้นเมือง ภาคเหนือ การแสดงมีท่วงทำนองช้า เนิบนาบ นุ่มนวล ประกอบด้วยการฟ้อน และ การแสดงที่มีองค์ประกอบของวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น ร่มบ่อสร้าง และ กลองสะบัดชัย ภาคอีสาน มีลักษณะการรวมกลุ่มของชนชาติต่างๆ แต่ละกลุ่มมีลักษณะหลากหลาย ตามเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ แต่ยังมีลักษณะเป็นการแสดงที่เกิดขึ้นเพื่อ พิธีกรรมทางศาสนา และความสนุกสนานรื่นเริงในเทศกาลต่าง ๆ มีการ แสดงประเภท เซิ้ง ฟ้อน และหมอลำ ภาคกลาง ภาคกลางในโอกาสต่างๆมากมาย ทั้งตามฤดูกาล และตามเทศกาล ตลอดจนตามโอกาสที่มีงานรื่นเริง ประกอบด้วยการรำ เช่น เต้นกำรำเคียว เพลงเรือลำตัดและการแสดงอื่น ๆ เช่น เถิดเทิง ภาคใต้ การแสดงนาฏศิลป์มีความรวดเร็วจังหวะเร่งเร้า จะออกมาในลักษณะ กระตุ้นอารมณ์ให้มีชีวิตชีวาและสนุกสนาน เช่น โนรา หนังตะลุง รองเง็ง ตารีกีปัส เป็นต้น

รำกลองยาว หรือ เถิดเทิง ประวัติรำกลองยาว รำกลองยาว ประเพณีการเล่นเทิงบ้องกลองยาว หรือ เถิดเทิง สันนิษฐานว่า เกป็รุนงขธอนงบุพรีม่หารืนอิยสมมัเยล่ตน้นกัแนหม่งากก่รอุงนรัเตมืน่ อโคกรสั้ิงนทีท่ พร์ม่เาวมลาาทพัำกสรงบคพราวมกกทับหไาทรยพใมน่าสกม็ัจยะ เล่น สนุกสนานกันด้วยการเล่นต่างๆ ซึ่ งทหารพม่าบางพวกก็เล่น “กลองยาว” พวกไทย เราได้เห็นก็จำมาเล่นกันบ้าง เมื่อชาวไทยเห็นว่ารำกลองยาวเป็นการเล่นที่สนุกสนาน และเล่นได้ง่ายก็นิยม เล่นกันไปแทบ ทุกบ้านทุกเมืองมาจนทุกวันนี้ ประวัติความเป็นมา คณะกลองยาวที่มีชื่อเสียงมากของชาวอำเภอพยุหะคีรี ได้แก่ คณะ บ.รุ่งเรืองศิลป์ ของนายบุญ เอี่ยมเวช ซึ่ งได้ดัดแปลงท่าร่ายรำมาจากท่า ร่ายรำของลิเก พร้อมได้ดัดแปลงประดิษฐ์ชุดแต่งกายขึ้น โดยเลียนแบบจากเครื่องแต่ง กายของลิเกเช่นกัน และใช้ชื่ อว่า “กลองยาวประยุกต์” และได้นำออกแสดงเป็นครั้ง แรกราวปี พ.ศ. 2500 ผู้เล่น ต่อมใานเตปอลี่นยแนรเปก็นผู้ใรช่้าผูย้หรญำิใชง้เทัป้็งนชผาู้ยร่าแยลระำห ญิง แเทล่าะนเั้คนรื่สอ่วงดนนผู้ตชราียปทรำะกหอน้บาทีใ่นตีตกอลนอแงยรกาวมี ผู้ เฉคลา่นนบทแั้กลงรหะัผบมู้ตดโีหเค1ม6ร่ื่งอคฆง้นดอนงโดตอยรีีกมปีรผ5ู้ะตกีคกอนลบอสไดงำ้ยหแืนกร่ับ3ฉิผ่ ูง้ รำมี 4 คู่ 8 คน มีผู้รำคนหนึ่งเป็นหัวหน้า คล้องนกหวีดไว้ที่ คอสำหรับเป่าเป็น สัญญาณในการเปลี่ยนท่ารำ ในตอนหลังมี การเพิ่มเครื่องดนตรี เช่น กลองอเมริกัน แเพิล่มะปผีู่้ชร่วาายขึร้นำเขแ้าลไะปเพอิี่กมความครึกครื้น ก็

รำกลองยาว หรือ เถิดเทิง อุปกรณ์ในการเล่น กลองยาวที่ใช้ตีเป็นกลองยืน 3 ใบ กลองใหญ่ (กลองอเมริกัน) ฉาบเล็ก 1 คู่ ฉาบใหญ่ 1 คู่ ฉิ่ง 1 คู่ ปี่ ชวา 1 เลา ฆ้อง 1 ใบ กรับ 1 คู่และกลองยาวที่ผู้รำใช้ ประกอบการร่ายรำอีกคนละ 1 ใบ วิธีเล่น ก่อนเล่นมีการทำพิธีไหว้ครู มีดอกไม้ธูปเทียน เหล้าขาว บุหรี่ และเงินค่ายกครู 12 บาท การไหว้ ครูใช้การขับเสภา เมื่อไหว้ครูแล้วจะ โห่ขึ้น 3 ลา แล้วเริ่มแสดง โดยนัก ดนตรีประกอบเริ่มบรรเลง ผู้ร่ายรำ ก็จะเดินและร่ายรำไปตามจังหวะ กท่ลาทอี่ หง วมาีทด่าเสรี่ยายวรแำลทัะ้ตงื่หนมเตด้น3ม3ากทท่ี่าส ุด ก็เห็นจะเป็นท่าที่ 30-31 คือท่าที่มี การต่อกลองขึ้นไป 3 ใบ ให้ผู้แสดง คนหนึ่งขึ้นไปยืนบนกลองใบที่ 3 แล้วควงกลอง และคาบกลอง ซึ่ งผู้ แสดงต้องใช้ความสามารถพิเศษ การแต่งกาย แต่เดิมไม่มีแบบแผน แต่ต่อมาได้คิดประดิษฐ์ชุดเครื่องแต่งกายขึ้นใหม่โดย แปลงจากชุดของลิเก คือ นุ่งกางเกงคลุมเข่า และนุ่งผ้าโจงกระเบนทับกางเกง สวม นเส่ื้อองคมอีผก้าลคมาแดขเนอวสั้ น มีผ้าคาดศีรษะ ทัดดอกไม้ไว้ข้างหู สวมถุงเท้าสีขาวยาวถึงครึ่ง ๑. ชาย นุ่งกางเกงขายาวครึ่งแข้ง สวมเสื้ อคอกลม แขนสั้ น เหนือศอก มีผ้าโพก ศีรษะและผ้าคาดเอว ๒. หญิง นุ่งผ้าซิ่นมีเชิงยาวกรอมเท้า สวมเสื้ อทรงกระบอกคอปิด ผ่าอกหน้า ห่ม สไบทับเสื้ อ คาดเข็มขัดทับเสื้ อ ใส่สร้อยคอและต่างหู ปล่อยผมทัดดอกไม้

รำกลองยาว หรือ เถิดเทิง บทร้องประกอบการเล่น ในการเล่นอาจมีบทร้องประกอบหรือร้องกระทุ้งในเวลาที่ ผู้ร่ายรำออกรำ อเพืยู่่อมีเดพิั่งมนี้ความสนุกสนานครึกครื้นทั้ งผู้ชมและผู้แสดงคำร้องที่ ใช้ร้องเล่นเท่าที่ ใช้ 1. แฮ้-แฮะ แฮ้-แฮะๆๆ แช้-แช้วับๆๆ (แช้วับ เป็นคำร้องเลียนเสียงตีฉาบ มักใช้ ร้องสอดตามจังหวะ) 2. มาแล้วโหวย มาแล้ววา มาแต่ของเขา ของเราไม่มา ตะละล้า(หรือ)มาแล้วโหวย มาแล้ววา มาแต่ป่า รอยตีนโต (ก็มี) 3. ต้อนไว้ ต้อนไว้ เอาไปบ้านเรา บ้านเราคนจน ไม่มีคนหุงข้าว-ตะละล้า 4. ใครมีมะกรูด มาแลกมะนาว ใครมีลูกสาว มาแลกลูกเขย เอาวะเอาเหวย ลูกเขยกลองยาว (บางทีก็ต่อสร้อยด้วยว่า แฮ้ แฮะ บ้าง ตะละล้าบ้าง แช้-วับ บ้าง) 5. ยักคิ้วยักค่อยเสียหน่อยเถอะ ลอยหน้าลอยตาเสียหน่อยเถอะ (ซ้ำ) 6. เจ๊กตายลอยน้ำมาๆ ไม่ได้นุ่งผ้าชฎาแหลมเชี้ ยบๆๆๆ 7. แม่สาวนครสวรรค์ๆ ช่างกล้าหาญเสียนี่ กระไร เอ้าต่อเข้าไปๆ ไม่ต้องกลัวตาย อีหนูๆ ไม่ต้องกลัวร่วงอีหนูๆ ไม่ต้องกลัวตกอีหนูๆ 8พ.อบถอึงกทแ้อม่งจร่ะอไปงกเกร็บะดถั่อวๆงเตพ่าอหัลกับตาแม่วิ่งแร่หาผัว ตะละล้าบอกแม่จะไปเก็บผักๆ 9. ลูกสาวใครเหวย ลูกสาวใครวา เทวดาก็สู้ไม่ได้ สวยอย่างนี้ อย่ามีผัวเลย เอาไว้ ชมเชยอีหนูๆ 10. แดงแจ๊ดๆ แดงแจ๋ แดงแจ๊ดแจ๋แดงแจ๋แดงแจ๊ด 11. ดำปิ๊ ดดำปิ๊ ดดำปี๋ ดำปิ๊ ดปี๋ ดำปี๋ ดำปิ๊ ด

รำกลองยาว หรือ เถิดเทิง เครื่องดนตรี กลองยาว กรับ ฉิ่ง ฉาบ โหม่ง โอกาสและวิธีการเล่น นิยมเล่นกันในงานตรุษ งานสงกรานต์ หรืองานแห่แหน ซึ่ งต้อง เดินเคลื่อนขบวน เช่น ในงานแห่นาค แห่พระ และแห่กฐิน เป็นต้น คนดูคนใดรู้สึกสนุกจะเข้าไป รำด้วย ก็ได้ เพราะเป็นการเล่นอย่างชาวบ้าน เคลื่อนไปกับขบวน พอถึงที่ตรงไหนมีลานกว้าง หศิ ลรือปเาหกมราปะรกั็บหปยุรดุงตใั้หงวม่งเกล่ำนหกนันดกใ่หอ้มนีแพับกบหแนึผ่ งนแลลี้ลวเาคทล่ืา่ อรนำ ไโปดตย่อกำกหานรดเลใ่หน้มเถีิกดลเทอิงงกรำรมก ลอง ยืนด้วย กลองรำ หมายถึง ผู้ที่แสดงลวดลายในการร่ายรำ กลองยืน หมายถึง ผู้ตีกลอง กยืนารใหฝ้ึจกังฝหนวมะใานกก่อานรรคำนกดูาจระเไลด่้นเหเ็ถนิดคเวทิางมแงบาบมนีแ้ มลีมะคาวตารมฐสานนุตกาสยนตัาวนแผู้มเ้ลจ่นะไทัม้่งไหด้มร่วดมต้เอล่งนไดด้้รวับย ก็ตาม จำนวนผู้แสดงแบบนี้ จะมีเป็นชุด คือ พวกตีเครื่องประกอบจังหวะ คนตีกลองยืน คนตีกลองรำ และผู้หญิงที่รำล่อ พวกตีประกอบจังหวะ จะร้องประกอบเร่งเร้าอารมณ์ ให้สนุกสนานในขณะที่ตีด้วย เช่น “มาแล้วโหวย มาแล้ววา มาแต่ของเขา ของเราไม่มา ตะละล้า” “ต้อนเข้าไว้ ต้อนเขาไว้ เอาไปบ้านเรา พ่อก็แก่แม่ก็เฒ่าเอาไปหุงข้าวให้พวกเรากินตะละ ล้า” “ใครมีมะกรูด มาแลกมะนาว ใครมีลูกสาว มาแลกลูกเขย เอาวะ เอาเหวย ลูกเขยกลองยาว ตะละล้า” บก้อล่งา”วคทเีื่ลอเรยมียีเเรกสีียกยกงาตเรมืาเ่ลอม่นเเรสิป่ีมยรตงะีทเเีปภ่ ็ไนทด้จยนีัิ้งนว่หาว่วาเะเถถิหิดดูคเเททนิิงงไทเหทยิรงไืบอด้้อเยทิงนิงนัเ้บปน้็อนคงว่กงาเลร“ีอเยถงิกยดกาั–นวตตเาทาิมมงกเัส–ีนยไบงป้อกเงลพือ่–องใยเหท้าิตงว่า –ง กับการเล่นอื่น ประโยชน์ที่ ได้รับ 1. เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน 2. เพื่อสืบทอดศิลปะการแสดงพื้นบ้านไว้เป็นมรดกของชาว นครสวรรค์

บุคคลสำคัญในวงการนาฏศิลป์ไทย ครูบุญยงค์ เกตุคง คีตกวี นักดนตรีทีมีชื่อเสียงชาวไทย ได้รับยกย่องสรรเสริญว่าเประนาดเทวดา เพราะมีฝีมือบรรเลงระนาด เอกได้ยอดเยี่ยมที่สุด คนหนึ่งในยุคสมัยเดียวกัน ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี เป็นผู้ เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ไทย ทั้งยังเป็นผู้ คิดค้นท่ารำใหม่โดยยึดระเบียบแบบแผนตาม ประเพณีโบราณ และมีความสามารถในการ ประพันธ์บทโขนละครเคยเป็นหม่อมในสมเด็จ พระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรม หลวงนครราชสีมา ถือเป็นหญิงสามัญชนที่ ไม่ใช่ลูกหลานขุนนางคนแรกที่ได้เป็นสะใภ้ หลวง

นายกรี วรศะริน ปัจจุบันอายุ ๗๕ ปี เป็นศิลปินผู้ เชี่ยวชาญสอนนาฏศิลป์โขนของ วิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากรมีความสามารถ รอบรู้กระบวนการงานของ นาฏศิลป์ และการแสดงโขนทุกประเภท เป็นหลักและ แม่แบบโดยเฉพาะ โขนตัวลิง คุณครูเฉลย ศุขะวณิช เป็นผู้เชี่ยวชาญการสอนและ ออกแบบนาฏศิลป์ไทย แห่งวิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากร ซึ่งมีความรู้ความ สามารถสูงในกระบวนท่ารำทุกประเภท ทางราชการได้มอบหมายให้เป็นผู้วางรากฐานจัดสร้าง หลักสูตร การเรียนการสอนวิชานาฏศิลป์ตั้งแต่ระดับต้น จนถึงขั้นปริญญา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook