Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore PEPOR

PEPOR

Published by ปี้' ป้อ, 2019-11-09 05:43:19

Description: PEPOR

Search

Read the Text Version

สารบญั หนา้ เรื่อง 1 2-4 8ประเพณีภาคใต้ 5-7 ประเพณีสารทเดอื นสิบ 8-11 ประเพณแี หผ่ ้าข้ึนธาตุ 12-13 ประเพณลี ากเรือพระ ประเพณีชงิ เปรต 14-15 ประเพณีการเดนิ เต่า 16-17 ประเพณใี หท้ านไฟ 18-19 ประเพณรี ดนำ�้คนแก่ 20 ประเพณีขึน้ ถ�ำ้ วดั ถ�ำ้ เขาขนุ กระทิง

1 8ประเพณภี าคใต้ ประเพณีไทยควร รกั ษาไว้

2 ประเพณสี เมือ่ ถงึ วนั แรม 14 คำ่�เดือน สบิ ซึง่ เรยี กกนั วา่ “วันหลองหมฺ ฺ รับ” (หมฺ รฺ ับ อา่ นออกเสียง ม ควบ ร เป็นค�ำ ภาษาไทยถน่ิ ใต้) แตล่ ะครอบครัวหรอื วงศ์ ตระกลู จะรว่ ม กนั น�ำ ข้าวของเครอื่ งใชต้ ่าง ๆ มาจัดเป็นหฺมรฺ ับ ส�ำ หรับ การจัดหมฺ ฺรับน้ัน ไม่มี รปู แบบท่ีแนน่ อน จะจดั เปน็ รปู แบบใดก็ได้ แตล่ ำ�ดับการ จดั ของลงหฺมฺรบั จะเหมือน ๆ กนั คอื เร่ิมตน้ จะนำ�กระบงุ กระจาด ถาดหรือกะละมังมาเป็นภาชนะ แล้วรองก้นด้วยข้าวสาร ตามดว้ ย หอม กระเทยี ม พรกิ เกลอื กะปิ นำ�้ ตาล และเครอ่ื งปรงุ อาหารที่จำ�เปน็ อืน่ ๆ ตอ่ ไปก็ใส่ของจำ�พวกอาหาร แหง้ เชน่ ปลาเค็ม เนอ้ื เคม็ และผักผลไม้ท่เี กบ็ ไวไ้ ด้นาน เชน่ ฟักเขยี ว ฟกั ทอง มะพร้าว ขมน้ิ มัน ลางสาด เงาะ ลองกอง กล้วย ออ้ ย ข้าวโพด ข่า ตะไคร้ ฯลฯ จากนน้ั กใ็ สข่ องใช้ในชวี ิตประจำ�วัน เชน่ ไต้ น�ำ้ มัน มะพร้าว นำ้�มันก๊าด ไม้ขีด หม้อ กระทะ ถว้ ยชาม เขม็ -ดา้ ยและเครื่องเชยี่ นหมาก สุดทา้ ยใส่ส่งิ ทส่ี ำ�คญั ท่ี สดุ ของหมฺ รฺ ับ คอื ขนม 5 อยา่ ง (บางท่านบอกวา่ 6 อยา่ ง) ซ่งึ ขนมแตล่ ะอย่างล้วนมีความหมายในตวั เอง ไดแ้ ก่ ขนมพอง เป็นสญั ลักษณ์แทนแพ สำ�หรบั ผลู้ ่วงลับใช้ล่องข้ามหว้ งมหรรณพ, ขนมลา แทนเครื่องนุ่ง ห่มแพรพรรณ, ขนมกงหรอื ขนมไข่ปลา แทนเคร่อื งประดับ, ขนมดีซ�ำ แทนเงนิ เบย้ี สำ�หรับใชส้ อย, ขนมบ้า แทนสะบา้ ใช้เล่น ในกรณีท่ีมีขนม 6 อยา่ ง จะเพิม่ ขนมลาลอยมัน ซ่ึงใช้แทนฟูกหมอนเข้าไปด้วย

3 สารทเดอื นสิบ ประเพณีสารทเดือนสิบ เปน็ งานบญุ ประเพณีของคนภาคใตข้ องประเทศไทย โดยเฉพาะ ชาวนครศรีธรรมราช ท่ไี ดร้ บั อทิ ธพิ ลด้านความเชื่อ ซงึ่ มาจากทางศาสนาพราหมณ์ โดยมกี ารผสม ผสานกับความเช่ือทางพระพทุ ธศาสนาเข้ามาในภายหลัง โดยมจี ดุ มุ่งหมายส�ำ คัญเพือ่ เป็นการอทุ ศิ สว่ นกศุ ลให้แกด่ วงวญิ ญาณของบรรพชนและญาตทิ ล่ี ่วงลับ ซงึ่ เช่อื วา่ ได้ รบั การปลอ่ ยตวั มาจากภมู นิ รกท่ีตนต้องจองจ�ำ อยเู่ น่อื งจากผลกรรมทีต่ นได้เคยกอ่ ไว้ ตอนทย่ี ังมชี ีวิตอยู่ โดยจะเร่ิมปลอ่ ยตวั จากภมู ินรกในทกุ วนั แรม 1 ค่ำ� เดอื น 10 เพือ่ มายังโลกมนษุ ย์ โดยมจี ดุ ประสงค์ในการมาขอส่วนบญุ จากลกู หลานญาติพ่ีน้องทไ่ี ด้เตรยี ม การอุทศิ ไวใ้ ห้ เปน็ การแสดงความกตัญญกู ตเวทตี ่อผู้ลว่ งลบั หลงั จากนั้นก็จะกลบั ไปยงั ภมู ิ นรก ในวนั แรม 15 ค�่ำ เดอื น 10 ชว่ งระยะเวลาในการประกอบพิธกี รรมของประเพณสี ารทเดอื นสิบ จะมีขนึ้ ในวันแรม 1 คำ่� ถงึ วันแรม 15 ค�ำ่ เดอื น 10 ของทกุ ปี แตส่ �ำ หรบั วันทช่ี าวใตม้ กั จะนยิ มท�ำ บญุ กนั มากคือ วันแรม 13 ถงึ 15 ค่�ำ ประเพณวี ันสารทเดือนสบิ โดยในส่วนใหญ่แลว้ จะตรงกบั เดือน กนั ยายนของทกุ ปี

4

ประเพณแี หผ่ า้ ขึ้นธาตุ 5 ประเพณีทเ่ี ป็นสัญลักษณป์ ระจำ�เมอื งนครฯ นั้นมหี ลาย ประเพณี หนงึ่ ในประเพณที เ่ี ปน็ สญั ลกั ษณข์ องเมืองนครฯ คือ “ประเพณี แหผ่ า้ ข้ึนธาตุ” ทง้ั นี้เพราะประเพณีนไ้ี มม่ ีปฏิบตั กิ ันทใ่ี ดในประเทศไทย นอกจากเมอื งนครฯ เท่านน้ั ประเพณแี หผ่ ้าขน้ึ ธาตคุ อื ประเพณที พ่ี ุทธศาสนกิ ชนร่วมกนั แห่ ผา้ ขนึ้ ห่มโอบรอบฐานพระมหาธาตุทป่ี ระดษิ ฐานภายในวดั พระมหาธาตุ วรมหาวหิ าร จังหวดั นครศรธี รรมราช มักกระท�ำ กันในวันส�ำ คัญทางพทุ ธ ศานา คอื วนั มาฆบชู าและวันวิชาขบูชา

6 ตำ�นานพระมหาธาตุเมืองนครฯ การเรยี กช่ือเจดยี ข์ องวัดมหาธาตนุ ั้นมีหลายช่อื ในบทความนีจ้ ะขอใชค้ ำ�วา่ “พระมหาธาตุ” โดยพระมหาธาตเุ ปน็ พุทธศานโบราณสถานสำ�คัญของไทย เป็นท่เี คารพ สักการะอยา่ งสูงสุดของชาวนครฯ ไม่ปรากฏหลักฐานการก่อสรา้ งทแี่ นช่ ดั แต่มีตำ�นาน กลา่ วว่า พระบรมสารรี กิ ธาตุเสด็จมาสหู่ าดทรายแก้ว เม่ือประมาณ พ.ศ. 834 นางเหม ชาลาและพระธนกุมารจึงไดส้ รา้ งพระมหาธาตุเพอื่ บรรจพุ ระบรมสารีริกธาตุ อยา่ งไรกต็ าม ไมป่ รากฏหลักฐานวา่ พระมหาธาตมุ ีสถาปตั ยกรรมด้ังเดิมเปน็ แบบใด แตพ่ ระมหาธาตไุ ดร้ บั การกอ่ สร้างตกแต่งเพิ่มเติมอยเู่ สมอ ในราวพุทธศตวรรษ ที่ 13 ตรงกบั สมัยอาณาจกั รตามพรลงิ ค์ เมอื งนครฯ ได้รับอทิ ธิพลจากพุทธศาสนานกิ าย มหายาน จึงสนั นิษฐานว่าพระมหาธาตอุ าจมีลักษณะสถาปตั ยกรรมแบบศรวี ชิ ยั ตอ่ มา ราวพุทธศตวรรษที่ 17 ในสมยั พระเจา้ ศรธี รรมโศกราช ปฐมวงศศ์ รี ธรรมโศกราช ไดน้ มิ นตค์ ณะสงฆ์จากลังกามายังเมอื งนครฯ และไดส้ ถาปนาพทุ ธศาสนา นกิ ายลงั กาวงศข์ ึ้น จากนน้ั จงึ ได้ชว่ ยกันบรู ณะปฏสิ ังขรพระมหาธาตุ โดยสร้างสถูปลังกา ครอบพระมหาธาตุองค์เดมิ เป็นสถาปตั ยกรรมแบบลงั กาทรงโอควำ�่ ปากของระฆงั ติดกับ พน้ื กำ�แพงแกว้ ทม่ี มุ กำ�แพงแก้วมีพระมหาธาตจุ �ำ ลองประดษิ ฐานทัง้ สม่ี มุ

7 ตำ�นานการแหผ่ า้ พระบฏ อย่างไรกต็ าม จากหนงั สอื “สารานุกรม จากบทความ “แห่ผา้ ข้ึนธาตุ มรดกจากราชวงศ์ วฒั นธรรมไทย ภาคใต้” อธิบายตำ�นานเรื่องนีต้ า่ ง ศรีธรรมโศกราช” อธบิ ายต�ำ นานท่ีมาของการแหผ่ า้ ขึ้น ออกไปเล็กนอ้ ย กลา่ วคอื คณะพุทธศาสนิกชนล่อง ธาตุวา่ ไม่ก่ีวนั กอ่ นจะเรมิ่ พิธสี มโภชพระมหาธาตุ ผา้ เรือมาจากเมอื งอนิ ทรปตั ซง่ึ อยบู่ ริเวณล่มุ แม่นำ�้ โขง ขาวผืนหนึ่งท่มี ีลายเขียนพุทธประวัติ เรยี กกันวา่ “พระ ฝ่ังเขมร จะนำ�พระบฏไปถวายเปน็ พุทธบชู าพระ บต” หรือ “พระบฏ” ถกู คล่นื ซัดข้ึนท่ีหาดปากพนงั ทนั ตธาตหุ รอื พระเข้ยี วแกว้ ที่ลงั กา และเข้ามาเมอื ง ชาวบา้ นจงึ นำ�ผา้ ผืนนนั้ ถวายพระเจ้าศรีธรรมโศกราช นครศรธี รรมราชในรชั สมัยพระเจ้าจันทรภาณุ ผู้เปน็ เม่ือเจา้ พนกั งานท�ำ ความสะอาดแลว้ เสร็จ พระอนชุ าของพระเจา้ ศรีธรรมโศกราช ส่วนหัวหน้า ปรากฏวา่ ลายเขียนนัน้ ก็ไมเ่ ลือนหายไป ซกั เสร็จจึงผึ่ง คณะพุทธศาสนกิ ชนนัน้ ไม่ปรากฏช่ือแต่เสยี ชวี ิตไป ไว้ในพระราชวัง และประกาศหาเจ้าของจนได้ความวา่ เนื่องจากจมน้ำ� พระบฏเปน็ ของพทุ ธศาสนิกชนคณะหนงึ่ ทีแ่ ลน่ เรือมา แมต้ �ำ นานจากท้งั สองแหลง่ ทีม่ าจะเล่าราย จากเมอื งหงสาวดี มี “ผขาวอรพิ งษ์” เปน็ หัวหน้าคณะ ละเอียดแตกต่างตา่ งกัน แต่เล่าเรอ่ื งราวไปในทิศทาง จะนำ�พระบฏไปบูชาพระพทุ ธบาทท่ลี ังกา แตถ่ กู มรสมุ เดียวกนั คอื เรอื ของพุทธศาสนิกชนคณะหนง่ึ ที่ก�ำ ลัง พดั จนเรอื แตกเสยี ก่อน จะไปลงั กาเกดิ เหตเุ รอื แตกกลางทะเล แลว้ คลื่นไดซ้ ดั พทุ ธศาสนกิ ชนกลุม่ นน้ั มีราว 100 คน รอดเพียง ผ้าพระบฏมาขึน้ ทีช่ ายหาด ก่อนจะนำ�ผ้าพระบฏไป 10 คน ผขาวอรพิ งษท์ ี่รอดชีวติ มาดว้ ยก็ยินดีถวายผ้า หม่ พระมหาธาตุในการสมโภชพระมหาธาตเุ พอ่ื ถวาย พระบฏใหเ้ จา้ เมืองนครศรีธรรมราช พระเจ้าศรีธรรมโศก เปน็ พทุ ธบชู า ราชจงึ โปรดให้ชาวเมอื งจดั เครื่องประโคมแหแ่ หนขึน้ ห่ม พระมหาธาตุ ในคราวเดียวกบั การสมโภชพระมหาธาตุ

8 งานประเพณลี ากเรอื พระ ประเพณีชกั พระ บางทอ้ งถิ่นเรยี กวา่ “ประเพณลี ากพระ “ เปน็ ประเพณพี ื้นเมืองของ ชาวภาคใต้ ได้มีการสืบทอดกนั มาตงั้ แต่สมยั ศรวี ิชยั โดยสนั นษิ ฐานวา่ ไดเ้ กิดมขี ึ้นคร้งั แรกในประเทศอนิ เดยี มพี ุทธตำ�นานเล่าขานสบื ทอดกันมาว่า เม่ือพระพุทธเจ้าทรง ผนวชได้ 7 พรรษา และ พรรษาที่ 7 น้นั ได้เสดจ็ ไปจ�ำ พรรษา ณ สวรรค์ช้ันดาวดึงส์ ครน้ั ออกพรรษาแลว้ ยามเช้าของแรม 1 ค่ำ� เดือน 11 ไดเ้ สดจ็ กลบั มายังโลกมนุษย์ ในการนพ้ี ทุ ธบรษิ ัททั้ง 4 ประกอบด้วย ภิกษุ ภกิ ษุณี อุบาสก และ อบุ าสิกา ซง่ึ รอคอยพระพทุ ธองค์มาเปน็ เวลานานถงึ 3เดือน คร้นั ทราบวา่ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ กลบั จงึ ไดร้ ับเสด็จและไดน้ ำ�ภตั ตาหารคาวหวานไปถวายดว้ ย ผู้ไปทีหลงั นงั่ ไกล ไม่ สามารถเข้าไปถวายภัตตาหารดว้ ยตัวเองได้ จึงใช้ใบไม้ห่ออาหารและส่งผา่ นชุมชน ตอ่ ๆกนั ไป

9 เรือพระคอื ... เรือพระ คือ รถหรือล้อเล่ือนที่ ท�ำ งอนคลา้ ยหัวและ การอญั เชญิ พระลากขึน้ ประดบั ตกแตง่ ให้เป็นรปู เรือแล้ว ท้ายเรอื แลว้ ตกแตง่ เป็นรูป ประดษิ ฐานบนบุษบก วางบษุ บก ซง่ึ ภาษาพน้ื เมือง พญานาค ใชก้ ระดาษสเี งินสี พระลาก คอื พระพุทธรปู ยนื แต่ ของภาคใตเ้ รียกว่า “นม” หรือ ทองท�ำ เปน็ เกล็ดนาค กลางลำ� ทีน่ ยิ ม คอื พระพุทธรูปปางอุ้ม “นมพระ” ยอดบษุ บก เรียกวา่ ตวั พญานาคท�ำ เป็นรา้ นสงู ราว บาตร เม่อื ถงึ วนั ขน้ึ 15 คำ่�เดือน “ยอดนม” ใชส้ �ำ หรบั อาราธนา 1.50 เมตร เรียกวา่ “รา้ นมา้ ” 11 พุทธบริษทั จะสรงน้ำ�พระ พระพุทธรูปขึ้นประดษิ ฐานแลว้ ส่วนท่สี �ำ คัญทีส่ ุด คือ บุษบก ซ่ึง และเปล่ียนจีวร แล้วอญั เชญิ ลากในวันออกพรรษา ลาก แตล่ ะทีจ่ ะมีเทคนิคการออกแบบ ข้ึนบนบษุ บก แลว้ พระสงฆ์ พระทางนำ้� เรียกวา่ “เรือพระ บุษบก มกี ารประดษิ ประดอย จะ เทศนา เร่อื ง การเสด็จไป น�ำ้ ” ส่วนลากพระทางบก เรยี ก อยา่ งมาก หลงั คาบุษบกนิยม ดาวดึงส์ของพระพทุ ธเจ้า ในวัน วา่ “เรอื พระบก” สมยั ก่อนจะ ท�ำ เปน็ รปู จตรุ มขุ ตกแตง่ ดว้ ย แรม 1 ค่�ำ เดอื น 11 ในตอนเช้า ทำ�เปน็ รูปเรือ ให้คล้ายเรือจริง ๆ หางหงส์ ชอ่ ฟ้า ใบระกา และทุก มดื ชาวบ้านจะมาตักบาตรหน้า และตอ้ งทำ�ให้มีนำ้�หนักนอ้ ยทส่ี ุด ครอบครัวตอ้ งเตรยี ม “แทงต้ม” นมพระ เรยี กวา่ “ตักบาตรหน้า จงึ ใชไ้ มไ้ ผ่สานมาตกแตง่ ส่วนท่ี เตรียมหาในกระพอ้ และข้าวสาร ลอ้ ” แลว้ อัญเชญิ ข้ึนประดิษฐาน เป็นแคมเรอื และหัวท้ายเรือคง ข้าวเหนียวเพือ่ นำ�ไปทำ�ขนมตม้ บนนมพระ ทำ�ให้แน่นหนา ทางดา้ นหวั “แขวนเรอื พระ”

10 ชกั พระทางน�ำ้ เปน็ การอัญเชญิ พระพุทธรูปปางอมุ้ บาตรข้ึนประดษิ ฐาน บนบุษบก ในเรอื แลว้ แหแ่ หนโดยการลากไปทางน้�ำ ประเพณลี ากพระ ท่มี ักกระท�ำ ด้วยวิธนี ี้ เปน็ ของวัดท่สี ว่ น ใหญอ่ ยู่ใกลแ้ ม่นำ�้ ล�ำ คลองการลากพระทางน�้ำ จะสนุกกว่าการลากพระทางบก เพราะสภาพ การเออ้ื อ�ำ นวยตอ่ กิจกรรมอ่นื ๆ เช่น สะดวกในการลากพระ งา่ ยแกก่ ารรวมกลมุ่ กนั จดั เรือ พาย แหลง่ ลากพระน้ำ�ท่ีมชี อ่ื เสยี งอยา่ งยง่ิ คอื ทอ่ี ำ�เภอกระบุรี จงั หวัดระนอง อำ�เภอหลงั สวน จังหวัดชมุ พร อำ�เภอพนุ พนิ และ อ�ำ เภอเมืองสรุ าษฎร์ธานี จงั หวัดสรุ าษฎรธ์ านี อ�ำ เภอ ปากพนังจงั หวดั นครศรีธรรมราช รองลงมาอ�ำ เภอระโนด จังหวดั สงขลา อำ�เภอปากพะยูน จังหวดั พัทลุง การชักพระทางน้ำ�ของเกาะพะงัน จังหวดั สรุ าษฎร์ธานี แปลกกว่าท่อี ่ืน คอื จะ ลากกัน 3 วัน ระหวา่ งแรม 8 คำ่�ถึงแรม 10 ค่ำ� เดือน 11 มกี ารปาสาหร่ายโตต้ อบกนั ระหว่าง หนุม่ สาวมีการเลน่ เพลงเรือ และที่แปลกพเิ ศษ คือ มกี ารทอดผา้ ปา่ สามัคคีในวันเร่ิมงาน

11

12 ประเพณีชงิ เปรต ชว่ งเวลา วนั แรม ๑ ค�่ำ เดอื น ๑๐ และ วนั แรม ๑๕ ค่�ำ เดอื น ๑๐ ความส�ำ คญั “ชิงเปรต” เปน็ ประเพณขี องภาคใตท้ กี่ ระทำ�กันในวันสารท เดอื น ๑๐ เป็นประเพณสี �ำ คญั ทจ่ี ดั ขึ้นเพ่ือทำ�บุญอุทศิ แกบ่ รรพบรุ ุษผลู้ ว่ งลับไปแล้ว พระยา อนุมานราชธนได้กลา่ วไวใ้ นสารานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถานวา่ การชิงเปรตที่ปฏบิ ัติ กันในประเพณีสารทเดือน ๑๐ นี้ มลี ักษณะคล้ายกบั การทง้ิ กระจาดของจนี แตก่ ารท้ิง กระจาดของจีนมเี ป้าหมายตรงกบั การตงั้ เปรต-ชิงเปรตเพียงบางสว่ น เท่านั้น กลา่ ว คอื การท้ิงกระจาดของจนี เปน็ การทงิ้ ทานให้แก่พวกผีไม่มีญาติ สว่ นการชิงเปรตของไทยเป็นการ อุทศิ สว่ นกศุ ลไปใหท้ ัง้ ผ(ี เปรต) ท่ี ก เป็นญาติพนี่ ้องของตนเอง และทีไ่ ม่มี ๑ ญาตดิ ้วย นอกจากนว้ี ิธีการปฏบิ ัตใิ น เป การทิ้งกระจาดและการชิงเปรตก็แตก ค ต่างกันด้วย เส ผูเ้ ฒา่ ผแู้ ก่หลายคนได้ยืนยนั อ วา่ การชิงเปรตไมเ่ ปน็ ความอัปมงคลแกผ่ ู้ชิงเปรต แต่อยา่ งใด ในทาง ตรงกัน ส ข้ามกลับถือวา่ เป็นการทำ�บุญดว้ ยซ�ำ้ ไป เพราะชื่อวา่ บุตรหลาน ป ของเปรตตนใดชิงได้ เปรตตนนน้ั ย่อมไดร้ ับส่วนน้นั เพียงแต่ ท ว่าผู้ชิงต้องระมัดระวงั ในการท่อี าหารหรือขนมทต่ี ้ังเปรต เป อาจตกหลาน ลงพนื้ ซึง่ จะทำ�ใหเ้ กิดความสกปรกและเปน็ บ อนั ตรายต่อสุขภาพเท่านน้ั พ ห

13 พธิ กี รรม การตั้งเปรต และชงิ เปรตจะกระทำ�กันในวันทยี่ กหมรบั ไปวดั ไมว่ า่ จะเปน็ วันแรม ๑ คำ่� หรอื แรม ๑๕ ค่ำ� เดอื นสบิ ก็ตาม ผตู้ ้ังเปรตจะนำ�อาหารอกี ส่วนหนงึ่ ไปเพอื่ การต้ังเปรตดว้ ย อาหารท่ีใชต้ ั้ง ปรตนี้สว่ นมากเป็นอาหารที่บรรพบุรุษที่เป็นเปรตชอบอยา่ งละ นดิ อย่างละหน่อย ขนมทไี่ มข่ าด คือ ขนมลา ขนมพอง ขนมบ้า ขนมเบซำ�(ดีซ�ำ ) นอกจากขนมดงั กลา่ วแลว้ ยงั มีของแหง้ ท่ใี ช้เปน็ สบยี งกรงั ก็จัดฝากไปดว้ ย เช่น ข้าวสาร หอม กระเทยี ม พริก เกลอื กะปิ น้ำ�ตาล น้�ำ ปลา กลว้ ย อ้อย มะพรา้ ว ดา้ ย เข็มเย็บผ้า ธูปเทยี น นำ�ลงจดั ในหมรบั โดยเอาของแห้งรองกน้ และอยู่ภายใน ส่วนขนมทัง้ หลายอยูช่ ั้นนอก ปดิ คลุมดว้ ยผนื ลาทำ�เปน็ รปู เจดีย์ยอดแหลม หรือรปู อน่ื แลว้ แต่การ ประดษิ ฐ์ของผูจ้ ดั ส่วนภาชนะทใี่ ช้ แต่เดมิ นิยมใชก้ ระเชอหรือถาด น�ำ หมรับ ท่ีจัดแล้วไปวัด รวมกนั ต้งั ไวบ้ น “รา้ นเปรต” ซึ่งสรา้ งไวก้ ลางวดั ยกเสาสูง ตอ่ มาในระยะหลัง ๆ รา้ ปรตทำ�เป็นศาลา หลังคามุงจากหรอื มุงกระเบอ้ื งแลว้ แต่ฐานะของวดั บางถิ่นจึงเรียก “หลาเปรต” บนร้านเปรตจะมีสายสญิ จน์วงลอ้ มไว้รอบและตอ่ ยาวไปจนถงึ พระสงฆ์ท่ีนัง่ อย่ใู น วิหารที่เปน็ ท่ีทำ� พธิ กี รรม โดยสวดบังสกุ ลุ อัฐหิ รือกระดาษเขยี นช่ือของผู้ตาย ซ่งึ บุตรหลายนำ�มารวมกันในพิธีต่อ หน้าพระสงฆ์ บตุ รหลานจะกรวดน�ำ้ อุทศิ ส่วนบุญไปยงั เปรตชนทเี่ ป็นบรรพบุรษุ

14 ประเพณกี ารเดนิ เตา่ จงั หวดั พังงา

ชว่ งเวลา 15 ในแตล่ ะปเี ตา่ ทะเลแตล่ ะชนดิ จะข้นึ วันทค่ี รบกำ�หนดวางไขน่ นั้ เป็นวนั เวลาที่เต่าทะเลหลายชนิดขนึ้ มา มาวางไข่ ๔ ครัง้ การวางไขข่ องเต่า ข้างขึ้นหรือแรมก่คี ำ่� ก็พอรู้ไดว้ า่ วางไข่บนหาด เมือ่ ถงึ ฤดูวางไข่คอื ทะเลนน้ั มีนิสยั ท่ีแปลกประหลาด เวลาเท่าไรทนี่ ำ�้ ขึ้นครงึ่ ฝั่งน�ำ้ ลงครึ่ง ประมาณ เดอื น ๑๑ แรม ๑ ค�่ำ และนา่ สนใจกวา่ สัตว์อ่ืน ๆ ตรงท่ี ฝัง่ ซึง่ เปน็ เวลาทเ่ี ต่าขึ้นวางไข่ จาก ราวปลายเดือนตุลาคม หรอื ตน้ จะขึน้ มาวางไข่ประจ�ำ ทห่ี รอื ประจำ� นั้นกส็ ามารถเอาตะกร้าไปรอรับไข่ เดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงเดือน หาด ทั้ง ๆ ทท่ี ะเลน้นั กว้างใหญ่ เตา่ ไดถ้ กู ตอ้ งโดยไม่ตอ้ งเดินไปเดิน ๔ ราว ๆ ต้นเดือนกุมภาพนั ธ์ ส่วน ไพศาล เป็นตน้ ว่าเตา่ ทะเลตัวใด ท่ี มา และไม่ต้องเสยี เวลาหาหลุมไข่ กอ่ นหรือหลงั เวลาทว่ี า่ มานีม้ บี ้าง ขน้ึ มาวางไขท่ ี่หาดไหนคราวต่อไปก็ เตา่ ในตอนหลัง เช่นคร้งั ที่ ๑ ขึน้ มา เลก็ น้อย ขน้ึ มาวางไข่ตรงที่หาดนัน้ ทกุ ครงั้ ไป วางไข่ในแรม ๘ คำ่� เดอื น ๑๑ คร้งั ความส�ำ คัญ เปน็ ประจำ�ทกุ ปี อาจยกเวน้ วา่ บาง ต่อไปก็จะขนึ้ วางอกี ในวนั แรม ๑๕ ประเพณีการเดนิ เตา่ คือการเดนิ ครัง้ มนั อาจข้นึ มาพบคนรบกวนก็ คำ�่ เดอื น ๑๑ (หลงั จากคร้ังกอ่ น ๗ หาเตา่ ทะเลทข่ี ึน้ มาวางไข่บนหาด อาจต้องเปล่ียนไปทหี่ าดอืน่ บรเิ วณ วนั ) หรืออาจไม่ขึ้นมาวางไข่ในวัน ทราย ซึง่ แหลง่ ทม่ี ีการเดินเตา่ ทาง ใกล้ ๆ กัน ดงั กล่าวน้ี กจ็ ะขึ้นมาวางไขใ่ นวัน ภาคใตน้ นั้ มีหลายแหลง่ โดยเฉพาะ เนอื่ งจากลักษณะของเต่าทะเล ข้นึ ๗ คำ�่ เดอื น ๑๒ (หลงั จากคร้ัง บริเวณทมี่ เี ตา่ ทะเลขนึ้ มาวางไขค่ อื พิศดารอย่างน้ี ชาวบ้านในสมยั ก่อน ๑๔ วนั ) จากปากคำ�ของชาว บริเวณชายฝ่ัง แถวฝง่ั ทะเลดา้ น กอ่ นจึงสามารถเก็บไข่เตา่ ได้ โดย บ้านท่เี คยไดส้ ัมปทานไข่เต่าหรือ ตะวันตก หรอื ชายฝ่งั ทะเลอันดามนั อาศัยความทรงจ�ำ ของเตา่ ใหเ้ ปน็ เรียกกนั ในภาษาเดิมวา่ “ผกู เต่า” ไดแ้ ก่ ทางตะวนั ตกของจังหวัด ประโยชน์ เพราะว่าเตา่ ทะเลแตล่ ะ บอกวา่ ใชว้ ิธีนีท้ �ำ ให้ไม่ตอ้ งเดนิ ให้ พังงา ซ่งึ เปน็ หาดทรายทม่ี ีความ ตวั หากข้นึ วางไข่ทีใ่ ดแลว้ หลังจาก เมอ่ื ยเลย อาจจนอนอยู่ท่ีบา้ นแล้ว ยาวโดยตลอดรว่ ม ๑๐๐ กิโลเมตร นน้ั ไปเป็นเวลา ๑ สปั ดาห์ หรอื พอถึงเวลาท่ีค�ำ นวณไว้กค็ อ่ ยเดิน ซึ่งในบรเิ วณชายฝ่ังทะเลน้นั จะมี ๒ สัปดาห์ เต่าตัวเดิมนี้ จะข้ึนมา ไปน่งั รอท่ีจดุ น้นั ๆได้ และมักจะถกู เตา่ ทะเลหลายชนิดขึ้นมาวางไขบ่ น วางไข่อีกท่ีหาดเดมิ แต่ตำ�แหนง่ ตอ้ งเสมอทุกคราวไป หาดทราย เมอ่ื ถึงฤดูวางไข่ ชนดิ ทีค่ ลานขน้ึ มาวางไข่จะหา่ งจากท่ี แตใ่ นปจั จบุ ันน้ี ประเพณกี ารเดิน ของเต่าทะเลทีข่ ้ึนมาวางไข่ตาม เคยขึ้นวางไข่ครง้ั ก่อนราว ๑๐-๒๐ เต่าไมม่ ีแล้ว เพราะวา่ ประชาชน ชายฝ่งั ตะวันตกนม้ี ีหลายชนดิ ซ่งึ เมตร อาจเปน็ เพราะวา่ มนั กลัวจะ ในทอ้ งถ่นิ ได้ร่วมมือกนั อนุรักษ์ ชาวบา้ นเรยี กกันหลายช่อื ได้แก่ เตา่ ไปขุดถูกหลุมไขท่ ี่เคยวางไว้แล้ว ก็ พันธส์ุ ัตวน์ ำ้�ชายฝ่งั ทะเล อันดามนั กระ เต่าเฟอื ง เตา่ เล็ก เต่าหางยาว เป็นได้ สว่ นเวลาไหนน้ันชาวบา้ น ได้แก่ เต่าทะเล เป็นต้น ถ้าบุคคลใด เปน็ ต้น จะต้องคำ�นวณโดยการนบั น�ำ้ วา่ ฝ่าฝนื ใน ถอื เป็นการท�ำ ผิดกฎหมาย

16 ชว่ จะนัดหมาย คว กา โดยใช คว การให้ท ลานวดั เปน็ ประวตั ิความเปน็ มา ของประเพณีใหท้ านไฟ กล่าวถงึ ในขุนทกนกิ าย ชาดก เรอ่ื ง ความตระหนีถ่ เ่ี หนียวขอ ทำ�ขนมเบอื้ งทบ่ี า้ นชั้นเจ็ดให้ เศรษฐไี ดร้ บั ประทานโดยไม่ใหผ้ ใู้ ด เห็น จึงโปรดให้พระโมคคัลลานะไปแก้นิสัยของโกลิยะเศรษฐี พระโมคคคั ลานะตรงไปบนตึกชน้ั เจด็ ของคฤหาสนเ์ ศร ทรมานเศรษฐีอย่นู านจนยอมละนิสัยตระหนี่ พระโมคคลั ลานะไดแ้ สดงธรรมเร่ืองประโยชน์ของการให้ จนโกลิยะ ถวายพระพทุ ธเจ้าและพระสาวก ๕๐๐ รูป ณ เชตวนั มหาวหิ าร โกลยิ ะเศรษฐแี ละภรรบาได้นำ�เข้าของเครือ่ งปร พระพทุ ธเจ้าจึงโปรดเทศนาสัง่ สอน ทง้ั สองคนเกดิ ความปตี ิอม่ิ เอบิ ในการบรจิ าคทาน เห็นแจง้ บรรลธุ รรมช้นั โสด สาระ ประเพณใี ห้ทานไฟมสี าระส�ำ คัญที่มีคณุ คา่ แก่ตนเองและสงั คม ดังน้ี ๑. เป็นโอกาสหน่งึ ทีไ่ ด้นัดหมายพรอ้ มกนั ในตอนเชา้ มืด เพ่ือรว่ มทำ�บุญเล้ยี งพระ รวมทัง้ รว่ มรับประทานอาหาร สรา้ งความสามัคคใี นหมคู่ ณะไดด้ ียง่ิ ๒. ท�ำ ใหม้ ีสุขภาพพลานามยั ดี แข็งแรง เพราะการตื่นนอนตอนเช้าตรู่ ได้รับอากาศบรสิ ุทธิ์ ทำ�ให้มีความสดชนื่ เ ๓. การได้ปฏบิ ัตติ ามประเพณี ย่อมท�ำ ใหเ้ กิดความสขุ ใจ เบกิ บานใจในผลบญุ ท่ีตนได้กระทำ� อีกทง้ั ยงั เปน็ แบบอ หลานของตนด้วย

17 ประเพณีให้ทานไฟ ภาค ภาคใต้ จังหวดั นครศรธี รรมราช วงเวลา การให้ทานไฟ ส่วนใหญจ่ ะปฏิบัตใิ นช่วงเดือนยี่ เปน็ ชว่ งเวลาทอี่ ากาศหนาวเยน็ ที่สดุ โดยชาวบ้าน ยไปพร้อมกันในเวลาย�ำ่ รุ่ง หรือตอนเช้ามดื ของวันไหนก็ได้ วามส�ำ คญั ารให้ทานไฟ เปน็ การทำ�บุญเพอ่ื ใหพ้ ระภกิ ษสุ งฆเ์ กิดความอบอนุ่ ในตอนเช้ามดื ของคืนทม่ี ี อากาศหนาวเยน็ ช้ลานวัดเป็นท่กี ่อกองไฟแล้วท�ำ ขนมถวายพระ วามสำ�คญั ทานไฟ เปน็ การทำ�บุญเพอ่ื ใหพ้ ระภกิ ษุสงฆเ์ กิดความอบอุน่ ในตอนเชา้ มืดของคนื ทมี่ ี อากาศหนาวเย็น โดยใช้ นที่กอ่ กองไฟแล้วท�ำ ขนมถวายพระ องโกลิยะเศรษฐี ท่อี ยากกินขนมเบ้อื ง แตเ่ สียดายเงินไม่ยอมซ้ือและไม่อยากให้ลูกเมียได้กินด้วย ภรรยาจงึ ขณะที่สองสามีภรรยาก�ำ ลงั ปรงุ ขนมเบื้อง พระพุทธเจา้ ประทบั อยู่ท่เี ชตวันมหาวิหาร ทรงทราบดว้ ยญาณ รษฐี เศรษฐเี ขา้ ใจวา่ จะมาขอขนม จงึ แสดงอาการรังเกียจและออกวาจาขับไล่ แตพ่ ระโมคคัคลานะพยายาม ะเศรษฐีและภรรยาเกิดความเลือ่ มใส ไดน้ มิ นต์มารับถวายอาหารที่บ้านตน พระโมคคัลลานะแจ้งให้นำ�ไป รุงไปทำ�ขนมเบือ้ งถวายพระพุทธเจ้า และพระสาวก แตป่ รุงเท่าไหร่แป้งทีเ่ ตรียมมาเพยี งเล็กน้อยก็ไมห่ มด ดาบัน รกนั เป็นการ เบกิ บาน อยา่ งแกล่ กู

18 ประเพณีอาบน�ำ้ คนแก่ ความสำ�คัญ ประเพณอี าบน้ำ�คนแกเ่ ป็นวิธีการแสดงออกซ่งึ ความเคารพนบั ถือ แก่บิดามารดา และญาตคิ นแก่ (ผูอ้ าวโุ ส) ของตระกลู รวมทง้ั ผู้มีพระคณุ และบุคคลท่ีตนเคารพ นับถือ ประเพณีอาบนำ�้ คนแก่ เป็นภูมิปญั ญาในการเช่ือมสายใยของครอบครวั ให้สาระ สำ�คัญหลายประการคือ ๑. เป็นประเพณีทมี่ บี ทบาทในการควบคุมคนในสังคมใหว้ างตนให้เหมาะสมตาม ฐานะของคน คอื เมอ่ื เป็นผ้ใู หญ่กต็ ้องเปน็ ผใู้ หญ่ท่ดี ีเพื่อให้คนเคารพนบั ถอื เม่อื เปน็ ผู้ นอ้ ยก็ตอ้ งแสดงความเคารพ และมีความกตัญญูต่อผูใ้ หญ่และผ้มู ีพระคุณ ๒. เปน็ การแสดงถงึ ความกตญั ญกู ตเวทตี อ่ ผมู้ ีพระคณุ ซงึ่ ได้แก่ คนแกใ่ นตระกลู บดิ า มารดา ตลอดจนผูท้ ต่ี นเคารพนบั ถือทั้งหลาย ๓. เกิดความผกู พันในวงศาคณาญาติ สร้างความสนิทสนมกลมเกลียวรักใครก่ นั ใน ตระกลู ย่งิ ข้นึ การพบปะกนั ในระหวา่ งญาติพนี่ ้อง สร้างความอบอนุ่ ปลาบปล้ืมใจให้

19 พิธกี รรม ๑. การขอขมา เม่อื เชิญคนแกท่ ้งั หลายนงั่ ในโรงพธิ เี รียบร้อยแล้ว ลกู หลานและชาวบา้ นทีม่ ารว่ มพิธี จะรวมกลุม่ ยืนอยู่ ดา้ นหนา้ ของคนแกท่ ั้งหลาย ผ้นู �ำ ในพธิ นี ำ�ดอกไม้และ จุดธปู เทยี นพนมมือ แลว้ กลา่ วขอขมา ทุกคนวา่ ตาม ดงั น้ี “กายกรรมสาม วจีกรรมส่ี มโนกรรมสาม หาก ข้าพเจา้ ทั้งหลายเกดิ ประมาทพลาดพล้ังแกท่ า่ น ด้วยกายกด็ ี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ตอ่ หน้ากด็ ี ลบั หลังก็ ดี ไมเ่ จตนากด็ ี ขอให้ทา่ นอโหสกิ รรมให้แกข่ ้าพเจา้ ดว้ ยเถดิ และขอไดโ้ ปรดอำ�นวยพรใหข้ ้าพเจ้าทัง้ หลาย มี ความสุขความเจรญิ ตลอดไป และขอตงั้ จติ อธษิ ฐานขอใหท้ ่านเจรญิ ด้วย อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ ตลอดไป ๒. พธิ ีการอาบน้ำ� การอาบนำ�้ เป็นการตักนำ้�มารดอาบให้คนแกจ่ นเปียก โชกทั้งตวั ปจั จุบันบางหมบู่ า้ นได้ปรบั เปล่ียนวธิ ีการใน การอาบนำ้� มารดน้ำ�ท่ีมือทั้งสองของคนแก่แทนเพราะ คนแกท่ ี่มอี ายุมาก มีลกู หลานและผู้ทเ่ี คารพนับถอื มาก พิธีการอาบน้�ำ ต้องใช้เวลานานจงึ แลว้ เสรจ็ คนแกเ่ หลา่ นัน้ อาจรสู้ กึ หนาวสะท้าน ซ่งึ เป็นเหตใุ ห้เจบ็ ปว่ ยเป็นไข้ ได้ ลกู หลานจะเข้าแถวตกั น้�ำ ท่เี ตรยี มไว้ในโอง่ มารดท่มี ือ หรอื ท่ตี ัวคนแก่ และมอบเคร่อื งนุ่งหม่ เครอื่ งใช้ใหค้ นแก่ พรอ้ มกบั ขอพร คนแกก่ จ็ ะให้พรลูกหลาน การอาบน�ำ้ จะท�ำ ไปตามล�ำ ดบั จนครบทุกคน เม่ือเสรจ็ พธิ ี ลูกหลานจะนำ�เสอื้ ผ้าชุดใหมม่ าผลดั เปลีย่ นให้คนแก่ ทาแปง้ หวผี ม แตง่ ตวั ให้ เป็นอนั เสร็จ พิธกี ารอาบน้ำ� สาระ

20 ประเพณขี ึน้ ถ�้ำ วดั ถำ�้ เขาขุนกระทิง ความส�ำ คัญ ประเพณีข้ึนถ�ำ้ เป็นประเพณีท่มี ีการสบื ทอดกันมาแต่อดตี นยิ มจัดขึน้ เพือ่ เปน็ สิรมิ งคลแกช่ วี ติ หลงั การเก็บ เกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรดว้ ยมีความเชือ่ ว่าการท�ำ นาหรือ กิจกรรมการเกษตรท่ีประสบความส�ำ เรจ็ ได้ เกดิ จากการดลบันดาลของสงิ่ ศักดิส์ ทิ ธท์ิ ง้ั หลาย การขึ้นถำ�้ จึงเป็นพธิ ีกรรมใชบ้ ชู าสง่ิ ศักด์สิ ิทธิ์ ซึ่งมกั เปน็ พระพทุ ธรูปของวัดเพอ่ื แสดงความกตัญญแู ละเปน็ นิมติ รหมายทีด่ ใี ห้ แก่ชีวติ พิธีกรรม เปิดให้มีการสกั การะ และปดิ ทองพระพทุ ธรูปภายในถ้ำ� โดยทางวัดจัดบรกิ ารจำ�หนา่ ยดอกไม้ ธปู เทียน เพื่อหารายไดใ้ ห้วดั อาจมกี ารจัดมโหสพ เช่น มโนราห์ ควายชน การละเลน่ พื้นเมอื ง และรา้ นค้าจ�ำ หนา่ ย สินค้าตา่ ง ๆ สาระ การนมัสการข้ึนถำ�้ ปิดทองเป็นประเพณที ี่ถอื ปฏบิ ัตสิ ืบเนือ่ งทกุ ปเี ช่นเดยี ว กบั กจิ กรรมตามเทศกาลอน่ื ๆ แตเ่ ปน็ การเปดิ โอกาสใหค้ นได้ร่วมท�ำ บุญ และหารายได้ให้วดั เพ่อื ใชจ้ ่ายใน กจิ กรรมต่าง ๆ อนั เปน็ การ สบื ทอดพระพทุ ธศาสนาให้คงอยู่ตลอดไป

21 จัดท�ำ โดย นาย ภทั รร์ ยิ ะ เพ็งสา 6011522069 คณะเทคโนโลยอี ตุ สาหกรรม สาขาเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์และอตุ หกรรมดจิ ิทลั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook