สอื่ เสมอื นจริง เรอ่ื ง วิวัฒนาการเครอ่ื งดนตรีไทย
ส่อื เสมือนจรงิ เร่อื ง ววิ ฒั นาการเครอื่ งดนตรไี ทย ดาวโหลดไฟล์ .pdf ยทู ูป แบบทดสอบ หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ เล่นเกมส์ ผจู้ ัดทํา
ผจู้ ัดทาํ นางสาวศราวรรณ พิมพันธุ์ รหสั นักศึกษา 63B44640623
เครอ่ื งดนตรไี ทย แบ่งออกเปน็ 4 ประเภท ตามกิริยาท่ีทาํ ใหเ้ กดิ เสยี ง คือ 1. เครื่องดดี หมายถงึ การดีดใหเ้ กดิ เสียง โดยใชม้ ือ หรอื วสั ดุปดั สาย เชน่ กระจบั ป่ี จะเข้ 2. เครือ่ งสี หมายถึง การสีระหว่างสาย ๒ ชนิด เช่น ซอสามสาย ซอดว้ ง ซออู้ 3. เครื่องตี หมายถึง การตดี ้วยมอื หรอื วสั ดเุ พอื่ ให้เกดิ เสยี ง เคร่ืองมี ๒ แบบ คอื เครอื่ งตีประเภททําด้วยไม้ เชน่ ระนาดเอก กรับเสภา เครื่องตปี ระเภททาํ ด้วยโลหะ เช่น ระนาด ทมุ้ เหลก็ ฆ้องวงใหญ่ ฉ่ิง ฉาบ 4. เครอ่ื งเปา่ หมายถึง การเปา่ ลมเขา้ ไป เพ่ือใหเ้ กิด เสียง เช่น ปี่ ขล่ยุ
1. เคร่ืองตี วิวฒั นาการเกิด เครื่องดนตรีไทย 2. เคร่อื งเปา่ 3. เคร่ืองดีด นักวิชาการสันนิษฐานการกําเนิดเครื่อง 4. เครอ่ื งสี ดนตรีไทย ตามกิริยาของมนุษย์ยุค โบราณ ดังนี้ ประเภทแรก เคร่อื งดนตรปี ระเภทแรกทีก่ ําเนิด คอื ประเภท เคร่ืองตี เนือ่ งจากมนุษย์ใชก้ ารปรบมอื เพอื่ สร้าง ความบนั เทงิ โดยการปรบมอื สรา้ งจังหวะ ต่อมา จงึ หาวัสดตุ ่าง ๆ เช่น ก่งิ ไม้ มาตีประกอบจงั หวะ ประเภทที่สอง เครื่องเป่าเกิดหลังจากเครื่องตี เนื่องจากใช้การ เป่า โดยเร่ิมจากการผวิ ปาก เปา่ ใบไม้ ประเภทท่ีสาม เครื่องดีด เกิดจากการลองความตึงของธนู และความแข็งของคันส่งกอ่ นการดีดให้เกดิ เสียง ประเภทสุดท้าย เครื่องสี เกิดจากแนวคิดจากการเสียดสีของไม้ เช่น กอไผ่ถูกลมเกิดเสียดสีกันเป็นเสียง ต่อมาจึง หาวสั ดุทม่ี สี ายสีกันให้ดัง
วิวัฒนากในารยเคุ กสดิ มเคยั รตอื่ ่างงดๆนตรไี ทย สมัยทวารดี 1 สมัยทวารวดี (พ.ศ. 1200 - 1600) สมยั สโุ ขทยั ปรากฎหลักฐานในภาพปูนปั้นที่เมือง โบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี เป็นภาพ ผู้หญิงห้าคน สี่คนมีเครื่องดนตรีประจําตัว ได้แก่ พิณห้าสาย พิณนํ้าเต้า กรับ และฉิ่ง อีกคนหนงึ่ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นนกั ร้อง 2 สมยั สุโขทยั (ราว พ.ศ. 1800 - 1900) ในหลักศิลาจารึกสมัยสุโขทัยกล่าวถึง สมยั อยุธยา 3 เครื่องดนตรีไทยไว้มากมาย เช่น พิณ (อาจหมายถึงกระจับปี่หรือพิณนํ้าเต้า) สมัยอยุธยา (พ.ศ. 1893 - 2310) ฆ้อง ระฆัง กังสดาล มโหระทึก กลอง เครื่องดนตรีมีครบถ้วนทั้งดีด สี ตี เป่า ใหญ่ กลองรวม กลองเล็ก ฉิ่ง บัณเฑาะว์ ซอพุงตอ (สันนิษฐานว่าเป็น ชาวบ้านนิยมเล่นกันมาก จนในสมัยสมเด็จ ซอสามสาย) แตร สังข์ ปี่ไฉน เขาสัตว์ พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991 - 2031) ฯลฯ รวมทั้งมีบันทึกว่ามีการถวาย ต้องออกกฎมณเฑียรบาล ห้ามเป่าขลุ่ย เป่า เครื่องดนตรีให้แก่วัดด้วย มีเรียกวง ปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีโทนทับ ใน ดนตรีประเภทหนึ่งว่า “พาทย์” น่าจะ เขตพระราชฐาน เป็นเครื่องตีทําจังหวะและทํานองไม่มี หลกั ฐานเกย่ี วกบั บทเพลงท่ใี ชบ้ รรเลง มีวงปี่พาทย์เครื่องห้า ประกอบด้วยป่ี ระนาด ฆ้องวง ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง ใช้ บรรเลงในงานพิธีกรรมทางศาสนา งานบุญ พิธี และงานแสดงนาฏกรรม เช่น โขน หนัง ใหญ่ มีวงมโหรีเครื่องสีซึ่งประกอบด้วย ซอสาม สาย กระจับปี่ โทน กรับพวง และผู้ขับร้องลํา นํา ต่อมาได้เพิ่มรํามะนาและขลุ่ยเข้ามาเป็น วงมโหรีเครื่องหก มีการผูกคํากลอนเป็นบท มโหรีใช้ร้องส่งกัน ในภายหลังได้นําจะเข้มา บรรเลงแทนกระจับป่ี
ววิ ฒั นาการเกิดเครอ่ื งดนตรีไทย ในยุคสมัยรัตนโกสินทร์ 1 สมยั รชั กาลท่ี 1 สมยั รตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลท่ี 1 (พ.ศ. 2325 – 2352) 2 มีการเพิ่มกลองทดั ในวงปีพ่ าทย์ขึน้ อีกหน่งึ ลูก รวม เป็นสองลูก เสยี งสูงลูกหนงึ่ เรยี กวา่ “ตวั ผ”ู้ เสียงตา่ํ สมัยรัชกาลที่ 2 ลกู หน่ึงเรียกว่า “ตัวเมีย” อกี ท้ังมเี ครื่องดนตรเี กดิ ข้ึน ใหม่ คือ ระนาดแก้ว รชั กาลที่ 2 (พ.ศ. 2352 - 2367) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงเป็นทั้งนักกวีและดุริยกวี ทรงส่งเสริมด้าน วรรณคดีและการละคร พระองค์ทรงซอสามสายได้ไพเราะนับเป็นสมัยที่ดนตรีไทย เจริญร่งุ เรืองข้นึ อย่างมาก สมัยนี้การขับเสภาเล่านิทานเฟื่องฟูมากโดยเฉพาะวรรณคดีพื้นบ้านเรื่อง ขุนช้างขุนแผน แต่ เดิมการขับเสภามีเพียงกรับเสภาคู่หนึ่ง และผู้ขับเสภาต้องใช้เสียงขับและขยับกรับตลอดไม่ มีโอกาสพัก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงโปรดเกล้าฯให้นําวงปี่พาทย์มา ประกอบการขับเสภา เริ่มแรกเป็นการบรรเลง สอดแทรกการขับเล่าเรื่อง ภายหลังลด บทบาทของผู้ขับและการขับเล่าเรื่อง คงเหลือแต่การร้องส่งเป็นบทเพลง แต่เนื่องจากเสียง ของตะโพนนั้นดังมาก ไม่เหมาะกับการร้อง จึงมีผู้นําเปิงมางมาถ่วงด้วยขี้เถ้าบดกับข้าวสุก เพื่อให้เสียงตํ่าลง เกิดเป็นกลองสองหน้า ใช้ตีหน้าทับแทนตะโพนและกลองทัด วงปี่พาทย์ เสภาจึงประกอบด้วย ปี่ใน ระนาด ฆ้องวง กลองสองหน้า และฉิ่ง ถือเป็นพระเพณีต่อมา จนถึงปจั จบุ ัน 3 สมยั รชั กาลท่ี 3 รชั กาลท่ี 3 (พ.ศ. 2367 - 2394) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ยกเลิกละครหลวง การ ละครและดนตรีจึงไปเจริญรุ่งเรืองอยู่ตามวังของเจ้านาย ซึ่งส่งผลให้ ดนตรไี ทยแพร่หลายมาถงึ ปัจจบุ ัน เกิดเครื่องดนตรีขึ้นอีกสองชนิดในวงปี่พาทย์ คือระนาดทุ้มกับฆ้องวง เล็ก มีการนําปี่นอกซึ่งเดิมใช้ในการแสดงหนังใหญ่ มาประสมในวงป่ี พาทย์อีกอย่างหนงึ่ วงปีพ่ าทยจ์ ึงพฒั นาเปน็ วงปพ่ี าทย์เครื่องคู่ เกิดเพลงสําเนียงภาษาต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้น เนื่องจากเริ่มมี ชาวต่างชาตเิ ข้ามาคา้ ขายมากขึ้น Bass Drum เครื่องดนตรีตะวันตกเข้ามาในเมืองไทยพร้อมกับการฝึก แถวทหารแบบตะวันตก คนไทยเรียกวา่ “กลองมะรกิ นั ”
ววิ ัฒในนายกคุ าสรมเกัยดิ รเัตคนรโ่ือกงสดนิ นทตรร์ ีไทย 4 สมยั รัชกาลท่ี 4 รชั กาลที่ 4 (พ.ศ. 2394 - 2411)พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเพิ่มระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็กเข้าประสม เป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ เพื่อประกอบเสภาและร้องส่ง ท่านทรงมีแนวคิดการสร้างระนาด เหล็ก มาจากนาฬิกาตั้งโต๊ะ ซึ่งเป็นนาฬิกาตะวันตก เมื่อถึงเวลาก็จะตีเสียงเป็นเพลง ดัง กังวาน ทํานองห่าง ๆ ส่วนวงปี่พาทย์ประกอบละครยังเป็นวงเครื่องห้าหรือเครื่องคู่ อีกทั้งเกิด การประสมวงกลองแขกกับวงเครื่องสาย เรียกว่า วงกลองแขกเครื่องใหญ่ ภายหลังเรียกว่าวง เครื่องสายปี่ชวา เกิดวงบัวลอย และได้ประสมวงปี่พาทย์กับวงบัวลอย คือ วงปี่พาทย์นางหงส์ ที่ใช้ประโคมศพ วงเครื่องเป่าของดนตรีตะวันตกเข้ามามีบทบาทในการฝึกหัดแถวทหารเพื่อ การสวนสนาม มีครูฝึกดนตรีฝรัง่ เขา้ มาฝึกสอน
ววิ ัฒในนายกุคาสรมเกัยดิ รเตั คนรโอ่ื กงสดินนทตรร์ ีไทย 5 สมัยรชั กาลที่ 5 รัชกาลท่ี 5 (พ.ศ. 2411 - 2453) อิทธพิ ลของตะวนั ตกทาํ ให้เกดิ ละครไทยรูปแบบใหมๆ่ เชน่ ละครดกึ ดําบรรพ์ ละครพนั ทาง ละคร ร้อง และละครพดู จงึ มีการปรับปรุงดนตรใี ห้สมั พนั ธก์ นั ดว้ ย สมเด็จฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ ฯ ปรบั ปรุงวงป่ีพาทยใ์ หม้ ีเสยี งนุ่มนวลข้นึ เพอื่ ประกอบการแสดง ละครรูปแบบใหม่ โดยนาํ เคร่ืองดนตรที ี่มเี สยี งเหมาะสม เชน่ ระนาดทุม้ เหลก็ ฆ้องหยุ่ 7 ใบ ขล่ยุ อู้ มาแทนเคร่ืองดนตรที มี่ เี สยี งดงั หรือเสียงเลก็ แหลม เรียกวงปพี่ าทย์นว้ี ่า “วงปพี่ าทย์ดึกดําบรรพ์” พ.ศ. 2452 วงดนตรอี งั กะลุงออกแสดงครงั้ แรกในงานกฐนิ พระราชทาน ณ วัดราชาธริ าช โดย จางวางศร (ภายหลงั เปน็ หลวงประดษิ ฐไ์ พเราะ) และ ครู เอ้อื น ดิษฐ์เชย เปน็ ผู้ดดั แปลงเครอ่ื ง ดนตรอี งุ คลุงทีไ่ ด้จากเกาะชวามาเปน็ “องั กะลุง” ที่คนไทยรู้จกั กันในทุกวันนี้
ววิ ฒั ในนายกคุ าสรมเกยั ิดรเัตคนรโือ่ กงสดินนทตรร์ ไี ทย 6 สมัยรชั กาลท่ี 6 รัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2453 - 2468) เป็นสมัยที่การละครและดนตรีเจริญรุ่งเรืองมาก ถือได้ว่าเป็นยุค ทองของดนตรีไทย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง โปรดการดนตรีและการละคร ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ บทละคร ชนิดต่าง ๆ รวมทั้งบทละครแบบตะวันตก ทรงจัดตั้งกรมมหรสพ แยกจากกรมโขนหลวง ทรงจัดตั้งกรมพิณพาทย์หลวงดูแลเรื่อง ของปี่พาทย์ เครื่องสาย และกลองแขก ปี่ชวา เพื่อใช้บรรเลง ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ โดยมีวงปี่พาทย์วงหนึ่งสําหรับตาม เสด็จฯ เรียกว่า “วงข้าหลวงเดิม” ต่อมาเรียกว่า “วงตามเสด็จ” เกิดความนิยมใช้วงปี่พาทย์มอญบรรเลงในงานพระศพเจ้านายชั้น ผูใ้ หญแ่ ละมกี ารประพนั ธเ์ พลงสาํ เนียงมอญดว้ ย เกิดรูปแบบการประสมวงดนตรีไทยกับเครื่องดนตรีต่างชาติ เช่น เครื่องสายประสมขิม เครื่องสายประสมเปียโนของตะวันตก เป็น ต้น นับเป็นแบบแผนที่เอื้อให้ดนตรีไทยสามารถปรับตัวและสืบ ทอดต่อไปโดยไม่เสยี เอกลกั ษณ์ สมัยรัชกาลท่ี 7 7 รัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468 - 2477) พ.ศ. 2472 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุ ภาพทรงริเริ่มการบันทึกโน๊ตเพลงไทยเป็นโน๊ตสากล โดยบันทึก เป็นทางของวงปี่พาทย์ มีแนวปี่ใน ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวง ใหญ่ ฆ้องวงเลก็ ระนาดเอกเหล็ก ตะโพน กลอง และฉง่ิ มีการนําออร์แกนลมมาปรับปรุงให้ได้ระดับเสียงใกล้เคียงกับ เครื่องดนตรีไทย รวมทั้งไวโอลิน หีบเพลงชัก และขิม และ ปรับปรุงวิธีการจัดวงดนตรีเทคนิคการบรรเลง เพื่อแสดงประกอบ ภาพยนต์เงียบตามโรงภาพยนต์ จนวงเครื่องสายประสมออร์แกน เปน็ ท่นี ยิ มของประชาชนทั่วไป
ววิ ฒั ในนายกุคาสรมเกัยิดรเตั คนรโอื่ กงสดนิ นทตรร์ ีไทย 8 สมยั รชั กาลที่ 8 รชั การที่ 8 (พ.ศ. 2477 - 2489) เกดิ โรงเรียนสอนดนตรีและนาฏศิลปไ์ ทยของราชการแหง่ แรกคือ โรงเรยี น นาฏดรุ ิยางคศาสตร์ข้ึนกับ กรมศลิ ปากร กระทรวงศึกษาธกิ าร (ปจั จบุ นั คอื วทิ ยาลยั นาฏศิลป์) กอ่ ตัง้ โดย พลตรี หลวงวจิ ติ รวาทการ เมื่อ พ.ศ. 2479 กรมศิลปากรตงั้ คณะกรรมการตรวจสอบบทเพลงเพ่อื บนั ทกึ โนต๊ เพลงไทย เปน็ โน๊ตสากล ตอ่ จากที่ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดาํ รงฯ ทรงทําไว้ เกิดนโยบายรัฐนิยม ปรบั ปรงุ ประเทศไทยไปสู่อารยะ มีการควบคุมการ บรรเลงดนตรีไทย และนกั ดนตรตี ้องมีใบสําคญั ศลิ ปิน
วิวฒั ในนายกุคาสรมเกัยดิ รเตั คนรโื่อกงสดนิ นทตรร์ ไี ทย 9 สมยั รชั กาลที่ 9 รชั กาลท่ี 9 (พ.ศ. 2489 – ปัจจบุ นั ) มกี ารนําทํานองเพลงพน้ื เมอื งหรือเพลงไทยสองช้นั ชั้นเดียว มาใสเ่ นือ้ ร้องใหม่แบบเนอ้ื เต็มตามทํานอง เกิดเปน็ เพลง ลกู ทงุ่ เพลงลกู กรุง พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวภูมพิ ลอดลุ ยเดช ทรงใหว้ งดนตรไี ทยท่มี ีชื่อเสียงมาบรรเลง บนั ทกึ เสยี งออกอากาศผา่ นทาง สถานวี ทิ ยุ อ.ส. พระราชวงั ดุสิตเป็นประจาํ เชน่ คณะศรทองของหลวงประดิษฐไ์ พเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) คณะพาทยโกศล วงของคณุ หญิงช้ิน ศิลปบรรเลง และวงของนายมนตรี ตราโมท เป็นต้น บางครง้ั พระองคท์ รงบนั ทกึ เสียงกบั วงดนตรีไทยดว้ ย เชน่ วงของข้าราชบริพาร และวงเคร่ืองสายผสมของคณะแพทยส์ มาคม (แพทยอ์ าวุโส) เป็นตน้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั โปรดเกล้าฯ ให้กรมศลิ ปากรจัดพิมพส์ มุดโน๊ตเพลงไทยออกเผยแพรเ่ ปน็ ครงั้ แรกเม่อื พ.ศ. 2505 พ.ศ. 2512 พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั โปรดเกล้าฯ ให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั วดั ความถี่ของ เสียงดนตรไี ทยเพ่ือให้เป็นมาตรฐาน การสอนดนตรไี ทยไดร้ บั การส่งเสริมเขา้ สู่โรงเรยี นและสถาบันการศกึ ษาทวั่ ประเทศ ทัง้ ในระดับประถมฯ มัธยมฯ จนถึง อุดมศึกษา มีการกอ่ ตั้งชมุ นมุ ดนตรไี ทยในสถาบนั การศึกษาตา่ ง ๆ และมกี ารจัดประกวดวงดนตรีไทยในระดับต่าง ๆ โดย ภาครัฐและเอกชน พ.ศ. 2528 สาํ นกั งานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เริม่ ตน้ การประกาศยกย่องศิลปินแหง่ ชาตเิ ปน็ ปแี รก โดนนาย มนตรี ตราโมท ได้รบั การยกย่องเปน็ ศิลปนิ แห่งชาตสิ าขาศลิ ปะการแสดงดนตรีไทย ศิลปินรนุ่ ใหม่พฒั นาดนตรไี ทยในแนวทางร่วมสมัย เชน่ การประสมวงที่มีเครือ่ งดนตรไี ทยกับเครอื่ งดนตรตี ะวันตก การใช้ เทคโนโลยีการบนั ทกึ เสียงสรา้ งมติ ิเสยี งใหมๆ่ ในดนตรไี ทย ดนตรไี ทยไดร้ บั การเผยแพรผ่ า่ นทางสื่อรปู แบบใหม่ ทั้งแถบบันทึกเสียง และซดี ี รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ และ เว็บไซต์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ทรงเป็นองค์อุปถัมภศ์ ิลปวัฒนธรรมดนตรีที่สําคญั ยง่ิ พระองค์ทรงพระ ปรชี าสามารถในทางการบรรเลงดนตรไี ทยและขับรอ้ งตลอดจนพระราชนพิ นธ์เน้อื รอ้ งสําหรับนาํ ไปบรรจุเพลงตา่ ง ๆ ผลงานเพลงพระราชนิพนธท์ ่มี ชี ือ่ เสียง เช่น เพลงไทยดาํ เนนิ ดอย เพลงเต่าเห่ เพลงชื่นชุมนุมกลมุ่ ดนตรไี ทย เป็นตน้ เสดจ็ ไปรว่ มงานมหกรรมดนตรีไทยตา่ ง ๆ งานแสดงดนตรีไทยครง้ั สาํ คญั ๆ งานพธิ ีไหว้ครดู นตรีไทย และงานพระราชทาน รางวัลศิลปนิ แห่งชาติ ใหแ้ ก่ศลิ ปนิ ดนตรีไทยและศลิ ปนิ ด้านอ่นื ๆ
สรุปเครื่องดนตรีไทยตามยุคสมัย ดงั นี้ ทวารวดี สโุ ขทยั อยุธยา รตั นโกสนิ ทร์ ตามหลกั ฐานประติมากรรมปูนป้ัน ปรากฏหลักฐานที่พบเครื่องดนตรีในสมัย คูบัว จ.ราชบุรี พบพณิ หา้ สาย พิณ อยุธยา เช่น จดหมายเหตุลาลูแบร์ อีกทั้งพบ นาํ้ เตา้ กรับ และฉิ่ง การห้าเล่นเครื่องดนตรีในกฎมณเฑียนบาล ได้แก่ ปี่ ระนาด ฆ้องวง ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง ซอสามสาย กระจับปี่ โทน กรับพวง ขลุ่ย ซอ กระจับป่ี จะเข้ โทนทับ ตามหลักฐานจากไตรภูมิพระร่วง ใ น ส ม ั ย ร ั ต น โ ก ส ิ น ท ร์ ปรากฏเครื่องดนตรี ดังนี้ กระจับป่ี พบเครื่องดนตรี ดังนี้ ระนาด พิณนํ้าเต้า ฆ้อง ระฆัง กังสดาล แก้ว กลองทัด 2 ใบ กลอง มโหระทึก กลองใหญ่ กลองรวม กลอง หน้า ระนาดทุ้ม ฆ้องวงเล็ก เล็ก ฉิ่ง บัณเฑาะว์ ซอพุงตอ ระนาดทุ้มเหล็ก ระนาดเอก (สันนิษฐานว่าเป็นซอสามสาย) แตร เหล็ก กลองตะโพน ฆ้องหยุ่ สงั ข์ ปไี่ ฉน เขาสัตว์
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: