Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การจัดองค์กรและการบริหารงานบุคคล

การจัดองค์กรและการบริหารงานบุคคล

Published by nicco_102, 2017-06-26 23:03:39

Description: การจัดองค์กรและการบริหารงานบุคคล

Keywords: การจัดองค์กรและการบริหารงานบุคคล

Search

Read the Text Version

การจดั องค์กรและการบริหารงานบุคคลความสาคญั ของการจัดองค์กรและการบริหารงานบุคคล องค์กร”เกิดจากการท่ีมนุษยร์ วมกลุ่มกนั เพ่ือทากิจกรรมใดกิจกรรมหน่ึง เพื่อตอบความสนองความตอ้ งการแบบใดแบบหน่ึง เช่น การรวมตวั กนั ของคนในสมยั ก่อนเพื่อการล่าสัตวม์ าเป็ นอาหารการสร้างท่ีอยูอ่ าศยั การรวมตวั ในลกั ษณะน้ียงั ช่วยสร้างความสัมพนั ธ์ของคนในกลุ่ม โดยนาเอาการรวมกลุ่มเป็นเครื่องมือในการกาหนดความสัมพนั ธ์ จนกลายมาเป็นรูปแบบขององคก์ รในปัจจุบนั ท่ีเป็ นการร่วมตวั กนั เพอื่ ใหเ้ กิดผลประโยชน์ มากกวา่ การที่รวมตวั กนั โดยสญั ชาตญาณของมนุษยเ์ อง องค์การจึงเขา้ มามีบทบาทในการในกิจกรรมทุกรูปแบบของมนุษย์ เช่น กิจกรรมดา้ นธุรกิจการศาสนา การศึกษาในปัจจุบนั น้ีกิจกรรมแบบองคก์ รไดข้ ยายตวั เพมิ่ มากข้ึนเป็นลาดบั ดว้ ยเหตุผล 4 ประการคือ 1. เงื่อนไขจากสิ่งแวดล้อม เกิดจากการเปล่ียนแปลงของสังคมวฒั นธรรมชนบท (RuralCulture) มาเป็นสงั คมวฒั นธรรมเมือง (Urban Culture) สังคมประเภทน้ีจะก่อใหเ้ กิดการอยใู่ กลช้ ิดกบั บุคลอื่น เกิดความพ่ึงพาอาศยั กนั เกิดความขดั แยง้ กนั จึงเป็นท่ีมาของการเกิดข้ึนขององคก์ รเพ่ือใหอ้ งคก์ รเป็นเคร่ืองมือในสร้างความสัมพนั ธ์ของมนุษย์ 2. เง่ือนไขจากมนุษยม์ ีผลกระทบต่อการสร้างแรงจูงใจให้มนุษยก์ ่อต้งั องคก์ รใหม่ข้ึนมาที่เกิดจากการเรียนรู้วธิ ีการในการกาหนดความความสัมพนั ธ์เพ่อื หาผลประโยชนจ์ ากการดาเนินงาน 3. เงื่อนไขจากองคก์ ร เมื่อมีการต้งั องคก์ รในระยะหน่ึงจะเกิดการสร้างวฒั นธรรมในองคก์ ร จึงก่อใหเ้ กิดการเปล่ียนไปเรื่อยๆ อยา่ งต่อเนื่อง ดว้ ยปรับตวั ให้เขา้ กบั ส่ิงแวดลอ้ มท้งั ภายใน และภายนอกองคก์ ร เพ่อื รักษาทรัพยากรของตนไว้ 4. เงื่อนไขจากสังคม การเกิดวิวฒั นาการทางสังคมต่างๆ เช่น วิวฒั นาการทางเทคโนโลยีววิ ฒั นาการทางการศึกษา รวมถึงการเพิ่มข้ึนของจานวนประชากรท่ีมากข้ึน ทาใหต้ อ้ งมีการขยายตวั ขององคก์ ร เพอ่ื สนองความตอ้ งการของมนุษยท์ ่ีเพมิ่ มากข้ึน ความหมายขององค์กร มีผใู้ หค้ วามหมายขององคก์ รไวห้ ลายความหมาย เช่น Alvin Brown ซ่ึงกล่าววา่ องคก์ ร หมายถึง หนา้ ท่ีซ่ึงสมาชิกแต่ละคนของหน่วยงานถูกคาดหมายให้ประพฤติปฏิบตั ิและถูกคาดหมายความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสมาชิกเพื่อนาไปสู่วตั ถุประสงคข์ องหน่วยงานอยา่ งมีประสิทธิภาพเป็นความหมายที่เนน้ ภารกิจหนา้ ที่ Louis Allen พิจารณาองคก์ รในแง่ของโครงสร้างซ่ึงเป็ นกลไกที่ทา

ให้ชีวิตสามารถร่วมกนั ทางานไดด้ ีโดยตอ้ งมีการจดั กลุ่มทางาน กาหนดและมอบหมายหน้าที่ ความรับผิดชอบ กาหนดความสัมพนั ธ์ให้บรรลุถึงเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เป็ นความหมายท่ีเน้นกระบวนการ Talcott Parsons มององคก์ รในแง่เป็ น หน่วยงานหน่ึงของสังคม (Social Unit) คือ เป็ นกลุ่มที่ถูกสร้างข้ึนอยา่ งรอบคอบและมีการปรับปรุงตามกาลเวลาเพอ่ื ใหบ้ รรลุถึงเป้าหมายอยา่ งเฉพาะทาง จากความหมายขององคก์ ร จะสามารถมองเห็นไดว้ า่ ความสาคญั ขององคก์ รน้นั เป็ นส่ิงที่จาและขาดไม่ไดค้ ือ องคก์ รจะตอ้ งมีส่วนท่ีเป็ นโครงสร้างที่พลวตั ร (Dynamic) คือคนและกระบวนการปฏิบตั ิของคน เช่น อานาจ หนา้ ที่ ความรับผดิ ชอบ ประกอบโครงสร้างที่คงที่ (Static) คือ อานาจ หนา้ ท่ี ความรับผิดชอบ การแบ่งงานกัน และการติดต่อส่ือสาร (ท้ังการบัญชาและประสานงาน) เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายที่สามารถเรียงลาดบั ความสาคญั ได้ การจัดองค์กร คือการกาหนดโครงสร้างขององค์การอย่างเป็ นทางการ โดยการจัดแบ่งออกเป็ นหน่วยงานยอ่ ยต่างๆ กาหนดอานาจหน้าท่ีความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานไวใ้ ห้ชดั เจนรวมท้งั ความสัมพนั ธ์ระหว่างหน่วยงานย่อยเหล่าน้ัน ท้งั น้ี เพื่อให้เอ้ือต่อการดาเนินงานให้บรรลุวตั ถุประสงคข์ ององคก์ ารอยา่ งมีประสิทธิภาพความสาคัญของการจัดองค์กร องคก์ รเป็ นที่รวมของคนและเป็ นที่รวมของงานต่างๆ เพื่อให้พนกั งานขององคก์ ารปฏิบตั ิงานไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ีและเตม็ สามารถจึงจาเป็ นตอ้ งจดั แบ่งหนา้ ท่ีการงานกนั ทา และมอบอานาจให้รับผิดชอบตามความสามารถและความถนดั ถา้ เป็นองคก์ ารขนาดใหญ่และมีคนมาก ตลอดจนงานท่ีตอ้ งทามีมากก็จะตอ้ งจดั หมวดหมู่ของงานที่เป็ นอยา่ งเดียวกนั หรือมีลกั ษณะใกลเ้ คียงกนั มารวมเขา้ ดว้ ยกนั เรียกว่าฝ่ ายหรือแผนกงาน แลว้ จดั ใหค้ นท่ีมีความสามารถในงานน้นั ๆ มาปฏิบตั ิงานรวมกนั ในแผนกน้นั และต้งั หัวหนา้ ข้ึนรับผิดชอบควบคุม ดงั น้นั จะเห็นจะเห็นว่าการจดั องค์การมีความจาเป็ นและก่อให้เกิดประโยชนห์ ลายดา้ นดงั น้ี1. ประโยชน์ต่อองค์กร (1) การจดั โครงสร้างองคก์ ารท่ีดีและเหมาะสมจะทาให้องค์การบรรลุวตั ถุประสงค์และเจริญกา้ วหนา้ ข้ึนไปเรื่อยๆ (2) ทาใหง้ านไม่ซ้าซอ้ น ไมม่ ีแผนกงานมากเกินไป เป็นการประหยดั ตน้ ทุนไปดว้ ย (3) องคก์ ารสามารถปรับตวั เขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มท่ีเปล่ียนไปไดง้ ่ายๆตามความจาเป็น

2. ประโยชน์ต่อผ้บู ริการ (1) การบริหารงานง่าย สะดวก รู้วา่ ใครรับผดิ ชอบอะไร มีหนา้ ที่ทาอะไร (2) แกป้ ัญหาการทางานซ้าซอ้ นไดง้ ่าย (3) ทาใหง้ านไม่คงั่ คา้ ง ณ จุดใด สามารถติดตามแกไ้ ขไดง้ ่าย (4) การมอบอานาจทาไดง้ ่าย ขจดั ปัญหาการเก่ียงกนั ทางานหรือปัดความรับผดิ ชอบ3. ประโยชน์ต่อผ้ปู ฏบิ ตั ิงาน (1) ทาใหร้ ู้อานาจหนา้ ที่และขอบข่ายการทางานของตนวา่ มีเพยี งใด (2) การแบ่งงานให้พนักงานอย่างเหมาะสม ช่วยให้พนักงานมีความพอใจ ไม่เกิดความรู้สึกวา่ งานมากหรือนอ้ ยเกินไป (3) เมื่อพนกั งานรู้อานาจหน้าที่และขอบเขตงานของตนย่อมก่อให้เกิดความคิดริเร่ิมในการทางาน (4) พนกั งานเขา้ ใจความสมั พนั ธ์ของตนตอ่ ฝ่ ายอ่ืนๆ ทาใหส้ ามารถติดต่อกนั ไดด้ ียง่ิ ข้ึนการจดั องค์การเป็นกระบวนการสร้าวงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งหน้าที่การงานบคุ ลากร และปัจจยั ทางกายภาพตา่ งๆ ขององคก์ าร ในที่นีข้ อนาหลกั การจดั องค์การในระบบราชการมาศกึ ษา เพราะระบบราชการนนั้ เป็ฯองค์การท่ีมีการจดั องคก์ ารท่ีได้รับความนิยมกนั อยา่ งกว้างขวางและมีการนาไปใช้ในทกุ วงการ หลกั ท่ีสาคญั ของการจดั องค์การมีดงั ตอ่ ไปนี ้ การกาหนดหน้าทก่ี ารงาน การกาหนดหนา้ ที่ของงาน (function) น้นั ข้ึนอยกู่ บั วตั ถุประสงคข์ ององคก์ ารหนา้ ที่การงานและภารกิจจึงหมายถึงกลุ่มของกิจกรรมที่ตอ้ งปฏิบตั ิท่ีตอ้ งเพ่อื ใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคข์ ององคก์ ารหนา้ ท่ีการงานจะมีอะไรบา้ งและมีก่ีกลุ่มข้ึนอยกู่ บั เป้าหมายขององคก์ าร ลกั ษณะขององคก์ าร และขนาดขององคก์ ารดว้ ย การแบ่งงาน

การแบ่งงาน (division of work) หมายถึงการแยกงานหรือรวมหนา้ ที่การงานที่มีลกั ษณะเดียวกนั หรือใกลเ้ คียงกนั ไวด้ ว้ ยกนั หรือแบ่งงานตามลกั ษณะเฉพาะของงาน แลว้ มอบงานน้นั ๆ ใหแ้ ก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีความสามารถหรือความถนดั ในการทางานน้นั ๆ โดยต้งั เป็นหน่วยงานข้ึนมารับผดิ ชอบหน่วยงานสาคัญขององค์การหน่วยงานยอ่ ยท่ีสาคญั ขององคก์ าร ไดแ้ ก่ หน่วยงานหลกั (line) หน่วยงานท่ีปรึกษา (Staff)และหน่วยงานอนุกร (auxiliary) การแบง่ หน่วยงานเช่นน้ีทาใหเ้ ห็นลกั ษณะของงานเด่นชดั ข้ึนหน่วยงานหลกั หมายถึงหน่วยงานท่ีทาหนา้ ท่ีโดยตรงกบั วตั ถุประสงคข์ ององคก์ าร และบุคคลท่ีปฏิบตั ิงานท่ีข้ึนตรงต่อสายบงั คบั บญั ชา องคก์ ารทุกแห่งจะตอ้ งประกอบดว้ ยหน่วยงานหลกั ซ่ึงเป็นหน่วยงานปฏิบตั ิดงานเพ่ือผลประโยชน์โดยตรงตอ่ ความสาเร็จขององคก์ ารในธุรกิจขนาดเลก็ มกั จะมีแต่หน่วยงานหลกั เทา่ น้นั อานาจหนา้ ท่ีความรับผิดชอบทุกอยา่ งอยกู่ บั ผเู้ ป็นเจา้ ของหรือผจู้ ดั การ สมาชิกทุกคนอยภู่ ายใตก้ ารควบคุมและสง่ั การจากผจุ้ ดั การแต่เพียงผู้เดียว ในบริษทั ผผู้ ลิตหน่วยงานหลกั คือฝ่ ายผลิต ในหา้ งสรรพสินคา้ หน่วยงานหลกั คือฝ่ ายขาย ส่วนหน่วยงานประกอบท่ีช่วยอานวยความสะดวกใหแ้ ก่หน่วยงานหลกัหน่วยงานทปี่ รึกษา หมายถึงหน่วยงานท่ีช่วยใหห้ น่วยงานหลกั ปฏิบตั ิงานไดด้ ียงิ่ ข้ึน ส่วนใหญ่จะเป็นลกั ษณะผเู้ ชี่ยวชาญเฉพาะงาน หรือเป็นรูปคณะกรรมการที่ปรึกษาในบริษทั ต่างๆ ไดแ้ ก่คณะกรรมการบริหาร ฝ่ ายวจิ ยั วางแผน ฝ่ ายตรวจสอบหน่วยงานอนุกร หมายถึงหน่วยงานที่ช่วยบริการแก่หน่วยงานหลกั และหน่วยงานที่ปรึกษาหน่วยงานอนุกรมกั เป็ นงานดา้ นธุรการและงานอานวยความสะดวกเป็นส่วนใหญ่ ไมม่ ีหนา้ ท่ีบริการลูกคา้ ขององคก์ ารโดยตรง หรือไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิงานอนั เป็ นงานหลกั ขององคก์ ารในบริษทั ทว่ั ไป ไดแ้ ก่ฝ่ ายการเงิน ฝ่ ายบุคคล เป็นตน้สายการบังคบั บัญชาสายการบงั คบั บญั ชา ( chain of command) หมายถึงความสมั พนั ธ์ตามลาดบั ข้นั ระหวา่ งผบู้ งั คบั บญั ชากบั ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา เพือ่ ใหท้ ราบวา่ การติดตอ่ ส่ือสารมีทางเดินอยา่ งไร มีการควบคุมและรับผดิ ชอบอยา่ งไร สายการบงั คบั บญั ชาที่ดีควรมีลกั ษณะดงั น้ี1. จานวนระดบั ช้นั แตล่ ะสายไม่ควรใหม้ ีจานวนมากเกินไป จะทาใหไ้ มส่ ะดวกแก่การควบคุม อาจทาใหง้ านคง่ั คา้ งได้2. สายบงั คบั บญั ชาควรมลั กั ษณะชดั แจง้ วา่ ใครเป็นผมู้ ีอานาจสง่ั การและส่ังไปยงั ผใู้ ด ในทานองเดียวกนั ถา้ จะมีการรายงานจะตอ้ งรายงานต่อใคร มีทางเดินไปในทิศทางใด3. สายการบงั คบั บญั ชาไมค่ วรใหม้ ีการกา้ วก่ายกนั หรือซอ้ นกนั งานอยา่ งหน่ึงควรใหม้ ีผรู้ ับผดิ ชอบเพยี งคนเดียว ถา้ มีผสู้ ัง่ งานไดห้ ลายคนหลายตาแหน่งในงานเดียวกนั จะทาใหก้ ารปฏิบตั ิงานสบั สน

ช่วงการควบคุม ช่วงการควบคุม (Span of control) หมายถึงสิ่งท่ีแสดงใหท้ ราบวา่ ผบู้ งั คบั บญั ชาคนหน่ึงมีขอบเขตความรับผดิ ชอบเพยี งใด มีผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชากี่คน หรือมีหน่วยงานท่ีอยใู่ ตค้ วามควบคุมรับผดิ ชอบก่ีหน่วยงาน แตเ่ ดิมเชื่อกนั วา่ ผบู้ งั คบั บญั ชาคนหน่ึงควรมีผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชารองลงไปไม่เกิน10 ถึง 20 คน ปัจจุบนั เชื่อกนวา่ จะมีผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชากี่คนก็ได้ ท้งั น้ี ข้ึนอยกู่ บั ความสามารถของผบู้ งั คบั บญั ชาและคุณภาพของผใู้ ตบ้ งั คบั ชา ช่วงการควบคุม 3 (แคบ) ช่วงการควบคุม 6 (กว้าง)

ช่วงการควบคุม 16 (กว้างมาก)การจัดโครงสร้างองค์กรธุรกจิ โครงสร้างองคก์ รที่เป็นทางการ 1. องคก์ รแบบหน่วยงานหลกั (Line Organization) พบมากท่ีสุดในธุรกิจขนาดเล็ก ซ่ึงจา้ งบุคคลเพียงไมก่ ่ีคน 2. องค์กรแบบหน่วยงานหลกั และหน่วยงานให้คาแนะนาปรึกษา (Line-Staff Organization)สาหรับธุรกิจขนาดยอ่ มซ่ึงประสบความสาเร็จและความเจริญเติบโตในระดบั หน่ึงโครงสร้างองคก์ รที่ไม่เป็ นทางการ 1. การจดั โครงสร้างของธุรกิจขนาดยอ่ ม พนกั งานและงานจาเป็ นตอ้ งถูกจดั กลุ่มในลกั ษณะหน่ึงจากน้นั ผบู้ ริหารจะไดร้ ับการมอบหมายใหค้ วบคุมดูแลการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีของพนกั งานเหล่าน้นั 1. การจดั องคก์ รโดยใชเ้ วลา (Organization by Time) 2. การจดั องคก์ รโดยใชจ้ านวน (Organization by Number) 3. การจดั องคก์ รโดยใชห้ นา้ ท่ี (Organization by Function) 4. การจดั องคก์ รโดยใชส้ ินคา้ (Organization by Product) 5. การจดั องคก์ รโดยใชพ้ ้ืนท่ี (Organization by Territory) 6. การจดั องคก์ รโดยใชล้ ูกคา้ (Organization by Customer) 7. การจดั องคก์ รโดยใชโ้ ครงการ (Organization by Project) 2. การจดั โครงสร้างโดยวิธีผสม ในบางกรณีการจดั องค์กรโดยใช้หลายๆ วิธีก็อาจจะเป็ นที่ตอ้ งการเพ่อื สามารถตอบสนองความตอ้ งการของธุรกิจได้ แผนภมู ขิ ององค์การ แผนภูมิองคก์ าร (organization chart) เป็ นเครื่องมือสาคญั อยา่ งหน่ึงที่จะช่วยใหเ้ ขา้ ใจโครงสร้างขององคก์ าร อานาจหนา้ ท่ี ความรับผิดชอบ ตลอดจนสายบงั คบั บญั ชาในองคก์ ารน้นั ๆแผนภูมิองค์การเป็ นส่วนย่อท่ีช่วยแสดงให้ทราบถึงหน่วยงานยอ่ ยและความสัมพนั ธ์ของหน่วยงานภายในองคก์ าร การจดั องคก์ ารควรตอ้ งเขียนแผนภูมิแสดงไวด้ ว้ ยเสมอ แผนภูมิองคก์ ารจาแนกไดเ้ ป็ น3 ประเภท 1. แผนภูมิโครงสร้างหลัก (skeleton chart ) เป็ นแผนภูมิแสดงการจดั โครงสร้างท้งั หมดขององคก์ ารวา่ ประกอบดว้ ยหน่วยงานยอ่ ยอะไรบา้ ง มีความสัมพนั ธ์กนั อยา่ งไร หน่วยงานยอ่ ยใด

ข้ึนกบั หน่วยงานใด แสดงสายบงั คบั บญั ชาที่ชดั เจน โดยใชส้ ่ีเหล่ียม () แทนหน่วยงานยอ่ ย เส้นทึบ( - ) แทนสายบงั คบั บญั ชาและเส้นประ (----) แทนสายงานที่ปรึกษาหรือสายประสานงาน แผนภูมิประเภทน้ีเป็ นท่ีนิยมใชก้ นั เพราะชดั เจนดี แสดงหน่วยงานยอ่ ยไดท้ ้งั หมด และไม่มีการเปล่ียนแปลงบอ่ ยนกั บางตาราไดแ้ บ่งแผนภูมิองคก์ ารออกเป็น แบบแนวดิ่ง ซ่ึงนิยมเขียนกนั ทวั่ ไป แบบแนวนอน และ แบบวงกลม ซ่ึงพิจารณาตามลกั ษณะของการเขียนมากกวา่ หลกั การ เป็นแผนภูมิแบบแนวนอนและแบบวงกลมซ่ึงไม่เป็ นท่ีนิยมใช้ ข้อแนะนาในการเขียนแผนภูมิองค์การ การเขียนแผนภูมิองคก์ ารควรดาเนินการดงั น้ี 1. รวบรวมหน่วยงานยอ่ ยท้งั หมดขององคก์ ารวา่ มีท้งั หมดกี่หน่วยงานและศึกษาใหเ้ ขา้ ใจวา่หน่วยงานใดข้ึนอยกู่ บั หน่วยงานใด 2. กาหนดชนิดของแผนภูมิวา่ จะใชแ้ บบใด (แบบโครงสร้างหลกั แบบแสดงตวั บุคคลหรือแบบแสดงหนา้ ที่การงาน) 2. แผนภูมแิ สดงตัวบุคคล (personnel chart) เป็ นแผนภูมิแสดงตาแหน่งและหน่วยงายยอ่ ยคลา้ ยแผนภูมิโครงสร้างหลกั แตร่ ะบุช่ือบุคคลผดู้ ารงตาแหน่งไวด้ ว้ ย บางแห่งติดรูปผดู้ ารงตาแหน่งในระดบั สูงอีกดว้ ย (ดูภาพท่ี 6.21) 3. แผนภูมิแสดงหน้าท่กี ารงาน (function chart) เป็ นแผนภูมิแสดงตาแหน่งและหน่วยงานยอ่ ย คลา้ ยแผนภูมิโครงสร้างหลกั แต่บอกหนา้ ท่ียอ่ ๆ ของแต่ละตาแหน่งไวด้ ว้ ย แผนภูมิแบบน้ีไม่เป็ นท่ีนิยมใช้ แผนภมู อิ งค์การแบบแนวนอน

แผนภูมอิ งค์การแบบวงกลมโครงสร้างขององค์การธุรกจิ ทว่ั ไปโครงสร้างขององค์การธุรกิจท่วั ไป การประกอบธุรกิจท่ีมีขนาดเลก็ มีเจา้ ของคนเดียวเป็ นผลู้ งทุนและดาเนินกิจการจะไม่ยงุ่ ยากสลบั ซบั ซอ้ นมากนกั ขอบข่ายของการประกอบธุรกิจไม่กวา้ งขวางไมจ่ าเป็นตอ้ งมีโครงสร้างที่แน่นอนนนั่ คือ มีการจดั องคก์ ารที่ดี เพอื่ ใหก้ ารดาเนินงานเป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมาย มีกาไรสูงสุดและอยไู่ ดต้ ลอดไป หน่วยงานยอ่ ยท่ีสาคญั ขององคก์ ารธุรกิจทว่ั ไปไม่วา่ จะอยใู่ นรูปของหา้ งหุน้ ส่วนหรือบริษทั จากดั ไดแ้ ก่ ฝ่ ายผลิต ฝ่ ายการเงิน ฝ่ ายการตลาด (ขาย) ฝ่ ายบุคคลสาหรับธุรกิจการคา้ ซ่ึงดาเนินการซ้ือมาและขายไปไมจ่ าเป็นตอ้ งมีฝ่ ายผลิต แตจ่ ะมีฝ่ ายจดั ซ้ือแทน ดงั น้นั การจดั โครงสร้างองคก์ ารธุรกิจทว่ั ไปจะมีลกั ษณะดงั ภาพ

โครงสร้างองค์การธุรกจิ ท่ัวไปการวางแผนความต้องการกาลงั คน และการจัดคนเข้าทางาน 1. การวางกรอบความตอ้ งการของพนกั งาน และพยากรณ์ความตอ้ งการพนกั งานในอนาคต 2. กาหนดวา่ จะมีตาแหน่งผบู้ ริหารจานวนเทา่ ใดในอนาคต 3. ระบุประเภทของงานแต่ละประเภท ในรูปของคาบรรยายลกั ษณะงาน 4. ประเมินนโยบายธุรกิจและปัจจยั อ่ืนๆ 5. พิจารณาตาแหน่งงานที่มีอยู่ 6. สรรหาพนกั งานดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ 7. คดั เลือกบุคคลเพ่ือการวา่ จา้ ง 8. จดั การปฐมนิเทศพนกั งานในธุรกิจ 9. ฝึกอบรมพนกั งานใหป้ ฏิบตั ิงานแลพฒั นาพวกเขา 10. จกั ทาแผนค่าจา้ งและสวสั ดิการที่ยตุ ิธรรม 11. ใส่ใจตอ่ ปัญหาขอ้ ร้องเรียนของพนกั งานระบบการบริหารงานบุคคล 1. ระบบอุปถมั ภ์ 2. ระบบคุณธรรม โดยยดึ หลกั ความเสมอภาค ความสามารถ และความมนั่ คงกระบวนการบริหารงานบุคคล 1. การสรรหาบุคลากร 2. การคดั เลือกบุคลากร 3. การบรรจุบุคลากร

4. การพฒั นาบุคลากร 5. การประเมินผลพนกั งานทุกระดบั ช้นั 6. การกาหนดค่าตอบแทน 7. การเลิกจา้ งการฝึ กอบรมการฝึกอบรมมี 2 ระดบั คือ 1. ฝึกอบรมผปู้ ฏิบตั ิงาน 2. ฝึกอบรมผบู้ ริหารการวางแผนกาลงั คนนโยบายดา้ นบุคลากรควรมีความชดั เจน ไดแ้ ก่ - ชว่ั โมงทางาน ,ค่าตอบแทน, ประโยชน์พิเศษ, วนั หยดุ พกั ผอ่ น, วนั หยุด, การฝึ กอบรม, การร้องทุกข,์ การเล่ือนตาแหน่ง, การประเมินพนกั งาน, การใหอ้ อกจากงานการสร้างแรงจูงใจ และวนิ ัยในการทางาน 1. เป็นผวู้ างแผนการปฏิบตั ิงาน 2. เป็นผจู้ ดั ระเบียบองคก์ ร และจดั ตวั บุคคลใหเ้ ขา้ กบั งาน 3. เป็นผคู้ วบคุมสั่งการ 4. มีหนา้ ที่ใหข้ า่ วและการติดตอ่ ทว่ั ไป 5. มีหนา้ ที่ประสานงาน 6. เป็นผบู้ ารุงขวญั ริเริ่ม และส่งเสริมงาน 7. เป็นผตู้ ดั สินใจออกคาสงั่ ใหป้ ฏิบตั ิ และตอ้ งยอมรับความเสี่ยงตอ่ ความผดิ พลาดท่ีอาจจะพึงมี 8. เป็นท้งั หวั หนา้ ผคู้ วบคุม และจดั มอบงานใหผ้ อู้ ื่นทา 9. มีหนา้ ท่ีตอ้ งประเมินผลงาน และแกไ้ ขปรับปรุงงานใหด้ ีข้ึนการพฒั นาบุคลากร เป็ นการสร้างแรงจูงใจทดี่ ี ซ่ึงอาจกระทาได้หลายๆ วธิ ีดงั นี้ 1. สอนงาน 2. มอบอานาจหนา้ ท่ี 3. จดั ฝึกอบรม 4. ส่งไปดูงาน หรือศึกษาตอ่ 5. จดั ใหเ้ ขา้ ร่วมประชุม หรือมีบทบาทในคณะกรรมการตา่ งๆ 6. เปิ ดโอกาสใหแ้ สดงความคิดเห็น โดยการเขียน พดู ในงานสมั มนาต่าง ๆ เพือ่ เสริมสร้างท่ีมา :www.east.spu.ac.th/business/admin/knowledge/A83management.doc


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook