Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 1.ปกวิทยาศาสตร์

1.ปกวิทยาศาสตร์

Published by superses26, 2020-05-04 08:12:02

Description: 1.ปกวิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2560 ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 47 สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ข้อ 2. ขวดท่ี 2 เหตผุ ล ตามหลกั การดูดกลนื และสะทอ้ นแสงสขี องวัตถสุ ตี ่างๆ วัตถุสดี า ดูดกลนื แสงสที กุ สไี ว้หมด ไม่มกี ารสะทอ้ นแสงสใี ดๆออกมาจงึ มองเหน็ วัตถเุ ปน็ สีดา วัตถุสขี าว ไม่ดูดกลนื แสงสีใดๆ จะมีการสะทอ้ นแสงสีทุกสีออกมา จงึ มองเห็นวัตถเุ ปน็ สีขาว วัตถุสเี ขียว ยอมใหแ้ สงสเี ขียวผ่านได้หมด แสงสเี หลอื งและแสงสีน้าเงนิ ผา่ นไดเ้ ลก็ น้อย ส่วนแสงสีอ่ืนๆถกู ดดู กลืน วตั ถุสีเหลอื ง จะสะทอ้ นแสงสีเหลอื งและและสขี ้างเคยี ง คือสีเขียวและสแี สด สว่ นแสงสอี นื่ ๆถูดดูดกลนื ดงั นั้น เมือ่ วัตถแุ ตล่ ะสีดดู กลนื แสงไดแ้ ตกตา่ ง การเพมิ่ ข้นึ ของอุณหภูมกิ แ็ ตกต่างกนั โดยวัตถุทดี่ ูดกลนื แสงสี ไดม้ ากจะมีอุณหภูมิเพิม่ ข้ึนมากเช่นกนั และวตั ถุที่ดดู กลืนแสงสีไดน้ ้อยหรือสะทอ้ นแสงสอี อกได้มากอณุ หภมู ิก็ จะนอ้ ยลงเช่นกัน

เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปีการศกึ ษา 2560 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 48 สานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 31. ตอ่ วงจรไฟฟ้า ซง่ึ ประกอบดว้ ยแบตเตอรี่ แอมมิเตอร์ และหลอดไฟฟ้า ดังแผนภาพ เม่อื ใช้แบตเตอรีท่ ี่มีความตา่ งศักย์ 6 โวลต์ พบวา่ วดั กระแสไฟฟา้ ผา่ นวงจรได้ 4 แอมแปร์ ถ้าเปลย่ี นแบตเตอร่ี เป็น 3 โวลต์ กระแสไฟฟ้าผ่านวงจรจะเปล่ยี นแปลงไปจากเดมิ อย่างไร 1. ลดลง 2 แอมแปร์ 2. ลดลง 3 แอมแปร์ 3. เพ่ิมขึน้ 0.5 แอมแปร์ 4. เพม่ิ ข้ึน 4 แอมแปร์ สาระท่ี 5 พลงั งาน มาตรฐาน ว 5.1 เข้าใจความสัมพนั ธร์ ะหว่าง พลงั งานกบั การดารงชวี ิต การเปลย่ี นรูปพลงั งาน ปฏสิ ัมพันธ์ ระหว่างสารและ พลงั งาน ผลของการใช้พลงั งาน ตอ่ ชีวติ และส่ิงแวดลอ้ ม มกี ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ สอื่ สารส่งิ ทเ่ี รียนรแู้ ละนาความรู้ ไปใช้ประโยชน์ ตัวชวี้ ดั ม .3/2 ทดลองและอธิบายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ความต่างศักย์ กระแสไฟฟา้ ความ ตา้ นทาน และนา ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ระดบั พฤติกรรม ด้านความรู้ (Knowledge) : √ 1) ความจา √ 2) เข้าใจ √ 3) นาไปใช้ √ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมินค่า 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ 1. ลดลง 2 แอมแปร์ จากโจทย์ ใชก้ ฎของโอหม์ สูตร V=IR หาค่าความตา้ นทาน (R) ก่อน เม่ือ ความตา่ งศกั ย์เท่ากบั 6 โวลต์ จะได้ 6 = (4) R R = 1.5 โอห์ม หาค่ากระแสไฟฟ้า เมื่อ ความตา่ งศกั ย์เท่ากบั 3 โวลต์ จะได้ 3 = I (1.5) I = 2 แอมแปร์ ดงั นน้ั ถา้ เปล่ยี นแบตเตอรเ่ี ปน็ 3 โวลต์ กระแสไฟฟ้าผ่านวงจรจะเปลยี่ นเปน็ 2 แอมแปร์

เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปีการศกึ ษา 2560 ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 49 สานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 32. บ้านหลงั หน่งึ เปลย่ี นเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ในบ้านดังน้ี 1). เปลี่ยนหลอดไฟฟา้ แบบไส้ กาลงั ไฟฟา้ 60 วัตต์ เปน็ หลอดแอลอดี ี กาลังไฟฟา้ 10 วัตต์ โดย เปล่ียนทงั้ หมด 20 หลอด 2). เปลี่ยนเตารีดกาลังไฟฟา้ 800 วตั ต์ เป็นกาลงั ไฟฟ้า 1,000 วัตต์ จานวน 1 เคร่อื ง กาหนดให้ บ้านหลังนี้ใชง้ านหลอดไฟฟา้ หลอดละ 100 ช่วั โมงตอ่ เดอื น และใชง้ านเตารดี 10 ชว่ั โมงตอ่ เดือน เมื่อเวลาผา่ นไป 1 เดอื น หลงั เปลี่ยนเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้า บ้านหลังนี้จะใชพ้ ลงั งานไฟฟา้ เปลีย่ นแปลงไปจากเดิม อย่างไร 1. น้อยลง 98 กโิ ลวัตตช์ ว่ั โมง 2. น้อยลง 158 กโิ ลวตั ต์ชว่ั โมง 3. มากขึ้น 98 กิโลวตั ต์ชว่ั โมง 4. มากขึ้น 158 กโิ ลวัตตช์ ว่ั โมง สาระที่ 5 พลงั งาน มาตรฐาน ว 5.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดารงชีวิต การเปล่ียนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสารและพลังงาน ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม มีกระบวน การสืบเสาะหาความรู้ ส่อื สารสงิ่ ท่ีเรยี นรู้และนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ตัวช้ีวดั ม.3/3. คานวณพลงั งานไฟฟา้ ของเครอ่ื งใช้ ไฟฟา้ และนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ระดับพฤตกิ รรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมนิ คา่ 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ ขอ้ ) 1 นอ้ ยลง 98 กโิ ลวตั ต์-ชวั่ โมง เหตุผล พลงั งานไฟฟ้า หมายถึง กาลงั ไฟฟ้าทน่ี าไปใชใ้ นระยะเวลาหนึ่ง มีหนว่ ยวดั เป็นวัตตช์ วั่ โมง (Wh) หรือยนู ติ ใช้ แทนด้วยตัว W สตู รคานวณ พลังงานไฟฟ้า (ยนู ิต) = กาลงั ไฟฟ้า (วตั ต)์ X เวลา (ชว่ั โมง) ÷ 1000 วธิ คี านวณ หลอดไฟฟ้าแบบไส้ ใช้กาลงั ไฟฟ้า 60 วัตต์ จานวน 20 หลอด เวลา 100 ชัว่ โมง ใช้พลงั งานไฟฟ้า ดังนี้

เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2560 ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 50 สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 พลงั งานไฟฟา้ เท่ากบั (60x20)x100/ 1000 = 120 กิโลวัตต-์ ชั่วโมง เตารีด ใช้กาลงั ไฟฟา้ เท่ากับ (800 วตั ต์x10 ชั่วโมง)/1000 = 8 กิโลวตั ต์-ชว่ั โมง รวมใชพ้ ลังงานไฟฟา้ ท้งั หมด เท่ากับ 100+8 = 108 กิโลวตั ต-์ ช่วั โมง ต่อมาเปลีย่ นเป็นหลอดแอลอดี ี กาลงั ไฟฟ้า 10 วตั ต์ ใช้พลงั งานไฟฟ้า = (10 วัตต์x20หลอด)x 100 ชว่ั โมง/1000 = 20 กโิ ลวัตต-์ ช่ัวโมง เตารีด ใชก้ าลังไฟฟ้า 1000 วตั ต์ ใชพ้ ลงั งานไฟฟา้ = (1000 วตั ต์ x 10 ชัว่ โมง) / 1000 = 10 กโิ ลวัตต์-ชว่ั โมง ดังน้ันรวมใช้พลงั งานไฟฟ้าทั้งหมด เท่ากบั 20 + 10 = 30 กิโลวตั ต-์ ช่ังโมง เพราะฉะนนั้ บา้ นหลงั น้ใี ชพ้ ลังงานไฟฟา้ เปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ เท่ากับ 108-30 = 78 กโิ ลวัตต-์ ชัว่ โมง

เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 51 สานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 33. ข้อมลู แสดงตัวอย่างแหลง่ กาเนดิ ของแก๊สเรือนกระจก 4 ชนดิ เปน็ ดงั น้ี ชนิดแกส๊ เรอื นกระจก ตวั อยา่ งแหล่งกาเนิด มีเทน นาข้าว ของเสียจากสัตว์เล้ียง การเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลงิ ชวี ภาพ กระบวนการหมัก อินทรยี วัตถแุ บบไมใ้ ชอ้ อกซเิ จนของจุลนิ ทรยี ์ ไนตรสั ออกไซด์ ปุย๋ ทม่ี ไี นไตรเจนเปน็ องค์ประกอบ การเผาป่า ไร่นา หรือพน้ื ทเ่ี กษตรกรรม กระบวนการย่อยสลายซากพชื ซากสตั วข์ องแบคทีเรีย คารบ์ อนไดออกไซด์ การเผาปา่ การเผาไหมเ้ ชื้อเพลงิ ฟอสซลิ การหายใจของพชื และสตั ว์ คลอโรฟลอู อโรคาร์บอน สารทาความเย็น ตวั ทาละลายทางเคมี สารชว่ ยในการขยายตัวของโฟม สาร สาหรบั การดับเพลงิ จากข้อมลู แก๊สเรือนกระจกชนิดใดเกิดจากกิจกรรมของมนุษยเ์ ท่าน้ัน 1. มเี ทน 2. ไนตรสั ออกไซด์ 3. คาร์บอนไดออกไซด์ 4. คลอโรฟลอู อโรคารบ์ อน สาระที่ 6 กระบวนการเปลยี่ นแปลงของโลก มาตรฐาน ว 6.1 เข้าใจกระบวนการตา่ ง ๆ ที่เกิดข้นึ บนผวิ โลกและภายในโลก ความสัมพนั ธข์ อง กระบวนการตา่ ง ๆ ทมี่ ีผลตอ่ การเปลย่ี นแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสณั ฐานของโลก มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจิตวทิ ยาศาสตร์ สอื่ สารสิง่ ทเี่ รยี นรแู้ ละนาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ช้วี ดั ม.1/6.สบื ค้น วิเคราะห์ และอธบิ ายปจั จยั ทางธรรมชาตแิ ละการกระทาของมนษุ ย์ท่ีมีผลตอ่ การ เปลยี่ นแปลงอณุ หภมู ขิ องโลก รโู หว่โอโซน และฝนกรด ระดบั พฤตกิ รรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมนิ คา่ 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ ขอ้ 4 คลอโรฟลูออโรคารบ์ อน เหตผุ ล จากตารางแสดงตวั อย่างแหลง่ กาเนดิ แกส๊ เรือนกระจกทงั้ 4 ชนดิ พบวา่ แก๊สมีเทน เกดิ จากการกระทาของมนษุ ย์ สัตว์ จลุ นิ ทรยี ์ และเกดิ เองตามธรรมชาติ แกส๊ ไนตรัสออกไซด์ เกดิ จากการกระทาของมนษุ ย์ แบคทเี รีย และเกดิ เองตามธรรมชาติ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดจากการกระทาของมนษุ ย์ สัตว์ และพืช แก๊สคลอโรฟลอู อโรคารบ์ อน เกดิ จากการกระทาของมนษุ ยเ์ พียงอยา่ งเดียว

เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 52 สานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 34. เกษตรกรคนหน่ึงไดต้ รวจสอบสมบตั ิของดนิ ในทดี่ นิ 2 แปลง เพือ่ เตรียมเพาะปลกู พืชผลทางการเกษตร ได้ผลดงั นี้ ท่ีดนิ การทดสอบด้วย ปรมิ าณอินทรวี ตั ถุ ค่าการนาไฟฟ้า กระดาษลติ มัส ในดนิ (%) (dS/m) A ไมเ่ ปลย่ี นสกี ระดาษลติ มสั 2.2 4.6 ทัง้ สแี ดงและสนี ้าเงนิ B ไมเ่ ปลี่ยนสกี ระดาษลิตมสั 0.9 1.8 ทัง้ สแี ดงและสนี า้ เงนิ ขอ้ มลู ปรมิ าณอนิ ทรีวตั ถใุ นดนิ และระดบั ความเค็มของดินที่มผี ลกระทบต่อพชื เปน็ ดังน้ี ปรมิ าณอินทรวี ตั ถใุ นดนิ (%) ระดบั นอ้ ยกว่า 1.5 ตา่ 1.5 – 2.5 ปานกลาง มากกวา่ 2.5 สงู ค่าการนาไฟฟ้า ระดบั ความเคม็ ของดิน ผลตอ่ การเพราะปลกู พชื (dS/m) น้อยกวา่ 2 ไม่เค็ม ไม่มีผลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของพืช 2-4 เคม็ เล็กน้อย มีผลต่อการเจรญิ เตมิ โตของพชื ไม่ทนเค็ม 4-8 เค็มปานกลาง มีผลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของพชื หลายชนดิ 8-16 เคม็ มาก พชื ทนเคม็ เทา่ นัน้ ท่เี จรญิ เตบิ โตได้ มากกวา่ 16 เคม็ มากทีส่ ุด พืชทนเค็มน้อยชนิดท่เี จริญเตบิ โตได้ หมายเหตุ การวดั ความเค็มของดนิ ทาได้โดยการวดั คา่ การนาไฟฟ้าของสารละลายเกลอื ในดนิ ซ่ึงสกัดจากดินที่อิ่มตัวด้วย นา้ ทอ่ี ุณหภมู ิ 25 องศาเซลเซยี ส เนื่องจากการนาไฟฟ้ามีความสมั พันธ์กบั ความเข้มขน้ ของเกลอื ในนา้ จงึ ทาให้ ประมาณปรมิ าณเกลอื ทีล่ ะลายในนา้ ทสี่ กดั ออกมาจากดินได้ คา่ การนาไฟฟ้ามีหนอ่ ยเปน็ เดซิซเี มนตอ่ เมตร (deci siemens/metre, dS/m) จากขอ้ มลู หากเกษตรกรตอ้ งการปรับปรุงดินในทีด่ ินท้งั 2 แปลงดงั กล่าวเพอื่ ปลกู พชื ไม่ทนเคม็ ท่ีเจริญเตมิ โตได้ ดใี นดินทีเ่ ป็นกลางและปรมิ าณอินทรวี ตั ถุปานกลางขน้ึ ไป การปรับปรงุ ดนิ ในขอ้ ในต่อไปน้ีถกู ต้อง 1. ที่ดิน A ใสป่ นู ขาว ท่ดี ิน B ไถกลบซากพชื ท่มี ีอยู่ในแปลง 2. ที่ดนิ A ใสป่ ยุ๋ ซากพชื ซากสัตว์ ท่ีดิน B ใสก่ ามะถนั ผงแล้วชะดนิ ดว้ ยน้า 3. ท่ีดนิ A ชะดว้ ยนา้ จืดแล้วระบายน้าท้ิง ท่ีดิน B ไถกลบซากพชื ที่มีอยใู่ นแปลง 4. ที่ดิน A ใสก่ ามะถนั ผงแลว้ ชะดินดว้ ยนา้ ทด่ี ิน B ชะด้วยน้าจืดแล้วระบายนา้ ท้ิง

เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 53 สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 สาระที่ 2 ชีวติ กบั สงิ่ แวดลอ้ ม มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจความสาคญั ของทรพั ยากรธรรมชาติ การใช้ ทรัพยากรธรรมชาตใิ นระดับ ท้องถนิ่ ประเทศ และโลก นาความร้ไู ปใช้ในการจดั การ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม ในท้องถิน่ อยา่ งยงั่ ยืน ตัวชวี้ ดั ม.3/5 อภิปรายปญั หาสง่ิ แวดล้อมและเสนอแนะ แนวทางการแกป้ ัญหา ระดับพฤตกิ รรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมินค่า 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ 3. ที่ดนิ A ชะด้วยน้าจดื แล้วระบายน้าทิ้ง ที่ดิน B ไถกลบซากพืชท่ีมอี ย่ใู นแปลง ท่ดี นิ A เมื่อเทียบกับขอ้ มลู ปรมิ าณอนิ ทรยี วัตถุในดิน และระดับความเคม็ ของดิน วดั ไดว้ ่า ทีด่ นิ A ดิน ไม่เคม็ จึงไมม่ ีผลต่อการเจรญิ เตบิ โตของพชื จึงควรใชว้ ธิ ไี ถกลบซากพืชท่มี ีอยใู่ นแปลง ท่ีดิน B เมือ่ เทียบกบั ขอ้ มลู ปรมิ าณอนิ ทรยี วตั ถุในดนิ และระดบั ความเคม็ ของดิน วัดไดว้ ่า ทีด่ ิน B ดนิ เคม็ ปานกลาง มผี ลกระทบตอ่ การเจรญิ เติบโตของพืชหลายชนดิ จึงใชว้ ธิ ีแก้ปัญหาดินเค็ม โดยการชะด้วยนา้ จดื แล้วระบายนา้ ทง้ิ

เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 54 สานกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 35. ข้อมูลแสดงความคา่ แขง็ ของแรต่ ามมาตรฐานความแขง็ ของโมส์เป็นดังน้ี จากขอ้ มูล ถ้าตวั อยา่ งแร่ A และ B เปน็ ตวั อย่างแร่ตามมาตรฐานความแข็งของโมส์ ข้อสรปุ ใดไมถ่ ูกตอ้ ง 1. ตัวอย่างแร่ A มีความแขง็ มากกวา่ ตวั อยา่ ง B แตม่ ีความแข็งนอ้ ยกวา่ แรค่ อรนั ดัม 2. หากขูดตวั อยา่ งแร่ A ดว้ ยแรโ่ ทแพซ จะเกิดรอนในแร่ท้งั สองชนดิ 3. ตวั อย่างแร่ B มีความแข็งมากกวา่ แร่ควอรต์ แตม่ คี วามแข็งน้อยกว่าแร่คอรันดัม 4. หากขูดตวั อยา่ งแร่ B ดว้ ยแรฟ่ ลอู อไรต์ จะเกดิ รอยแรฟ่ ลูออไรต์ แต่ไมเ่ กดิ รอยที่ตวั อย่างแร่ B สาระท่ี 6 กระบวนการเปลีย่ นแปลงของโลก มาตรฐาน ว 6.1 เขา้ ใจกระบวนการต่าง ๆ ทีเ่ กิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสมั พันธข์ อง กระบวนการตา่ ง ๆ ทมี่ ีผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสณั ฐานของโลก มีกระบวนการสบื เสาะหาความร้แู ละจติ วิทยาศาสตร์ ส่ือสารส่งิ ที่เรยี นรแู้ ละนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วดั ม.2/5. ตรวจสอบและอธบิ าย ลกั ษณะทางกายภาพของแร่ และการนาไปใชป้ ระโยชน์ ระดับพฤติกรรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมินค่า 6) สรา้ งสรรค์

เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 55 สานักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ข้อ) 3 ตวั อยา่ งแร่ B มีความแข็งมากกว่าแรค่ วอร์ต แต่มคี วามแข็งนอ้ ยกวา่ แร่คอรนั ดัม เหตผุ ล ความแขง็ คอื ความคงทนต่อการขดี ขูด แร่แต่ละชนดิ จะมคี วามแข็งเฉพาะตัว แร่ทม่ี ีความแข็งมากจะ สามารถขีดบนแรท่ ี่มีความแข็งนอ้ ยกว่าเป็นรอยได้ ความแขง็ ของแรแ่ บง่ เปน็ 10 ระดบั ตามระบบของโมห์ (Mohr’s scale of hardness) ไดด้ ังนี้ โดยตวั เลขเรยี งจากแรท่ ่ีมีความแข็งน้อยไปหามาก สัญลกั ษณแ์ สดง ตวั อย่างวสั ดทุ ใ่ี ช้ทดสอบแร่

เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 56 สานักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 26 36. ทดสอบความสามารถนสว่ นผสมแตกตา่ งกนั โดยจดั ชุดการทดลองดงั ภาพ จากนนั้ เทน้าปรมิ าตรเท่ากนั ลง ในภาชนะแลว้ วัดความสูงของระดับน้าในหลอด จากการทดลอง การคาดคะเนผลการทดลองในข้อความใดไมถ่ กู ตอ้ ง 1. ตะกอนที่มีชอ่ งว่างระหวา่ งตะกอนมาก ความสูงของระดบั นา้ ในหลอดจาต่ากว่าตะกอนทีม่ ีชอ่ งวา่ ง ระหว่างตะกอนน้อย 2. หากเทน้าปรมิ าตรทเ่ี ท่ากันลงในตะกอนชนดิ ต่างๆ ตะกอนทม่ี รี ะดับนา้ ในหลอดสูงกว่าจะมีสมบัติ ในการเปน็ ชน้ั หนิ อุม้ น้าดกี วา่ 3. หากเทนา้ ลงในตะกอนชนดิ ตา่ งๆ ใหน้ า้ ในหลอดมีระดบั ความสูงเท่ากัน ตะกอนท่เี ทนา้ ลงไป มากกว่าจะมีสมบตั ใิ นการเปน็ ช้ันหนิ อุม้ นา้ ดีกวา่ 4. ตะกอนท่มี ีลกั ษณะกลมมนและมีขนาดใหญ่ ความสงู ของระดบั น้าในหลอดจะตา่ กวา่ ตะกอนทีม่ ี ลกั ษณะเป็นเหลีย่ มเป็นมุมและมขี นาดคละกนั ท้งั ขนาดเลก็ และขนาดใหญ่ สาระท่ี 6 กระบวนการเปลีย่ นแปลงของโลก มาตรฐาน ว 6.1 เขา้ ใจกระบวนการต่าง ๆ ทเ่ี กิดขึน้ บนผวิ โลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ของ กระบวนการตา่ ง ๆ ทม่ี ผี ลตอ่ การเปล่ยี นแปลงภูมิอากาศ ภมู ิประเทศ และสณั ฐานของโลก มกี ระบวนการสืบ เสาะหาความรูแ้ ละจติ วิทยาศาสตร์ สือ่ สารส่งิ ทเี่ รยี นรู้และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตวั ช้ีวัด ม.2/1.สารวจ ทดลองและอธบิ ายลกั ษณะของชัน้ หน้าตดั ดนิ สมบตั ิของดิน และกระบวนการเกดิ ดิน ระดับพฤติกรรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมินคา่ 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ ข้อ) 2 เหตผุ ล ความพรนุ คือ ชอ่ งวา่ งระหวา่ งเมด็ ดิน เป็นที่สาหรับใหน้ ้าและอากาศผ่านเขา้ ไปในเน้ือดิน ดนิ ช้นั บนมี ความพรุนมากกวา่ ดนิ ชั้นล่าง ดงั น้นั หากเทนา้ ปริมาตรที่เท่ากนั ลงในตะกอนชนดิ ตา่ งๆกัน ตะกอนทีม่ ีระดับ นา้ ในหลอดสูงกว่าเพราะนา้ ซมึ ผา่ นไดม้ ากกว่า

เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 57 สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 37. ข้อมูลสารวจการใช้ประโยชน์พน้ื ท่บี รเิ วณรมิ ฝ่งั แมน่ ้าสายหนึ่งจากตน้ แมน่ า้ ไปยงั ปากแม่นา้ พบว่า โรงงาน อตุ สาหกรรมและพ้นื ทเี่ กษตรกรรมมีการปล่อยนา้ เสียลงสงู แม่นา้ ตลอดเวลา และหมบู่ ้าน 4 แห่ง ทต่ี ้งั บ้านเรอื นอาศยั อยู่รมิ นา้ มกี ารใชน้ า้ จากแม่น้าเพอื่ การอปุ โภคและบริโภค ดังภาพ จากภาพ หมบู่ ้านใดได้รบั ผลกระทบทง้ั จากการกัดเซาะตลงิ่ และมลพิษทางนา้ จากโรงงานอุตสาหกรรมและพนื้ ท่ี เกษตรกรรมมากทสี่ ดุ 1. A 2. B 3. C 4. D สาระท่ี 6 กระบวนการเปลีย่ นแปลงของโลก มาตรฐาน ว 6.1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ท่เี กิดขึ้นบนผวิ โลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ของ กระบวนการตา่ ง ๆ ทม่ี ผี ลต่อการเปล่ยี นแปลงภมู ิอากาศ ภูมปิ ระเทศ และสณั ฐานของโลก มกี ระบวนการสืบ เสาะหาความรูแ้ ละจติ วทิ ยาศาสตร์ สือ่ สารสิง่ ท่ีเรยี นรู้และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตวั ช้ีวัด ม.2/9. ทดลองเลยี นแบบและอธิบายกระบวนการผพุ งั อยู่กบั ที่ การกรอ่ น การพดั พา การ ทบั ถม การตกผลึกและผลของ กระบวนการดงั กลา่ ว ระดับพฤตกิ รรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมนิ คา่ 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ ข้อ 3) เหตผุ ล เมอ่ื กระแสน้าไหลผา่ นทางโค้ง จะลดความเรว็ ลง ทาใหค้ วามเร็วของของน้าบริเวณ บา้ นA มากกว่า บริเวณ บา้ น B และความเร็วของนา้ บริเวณ บ้าน C มากกว่าบรเิ วณ บา้ น D ถา้ ความเรว็ ของกระแสน้ายงิ่ มาก จะทาใหช้ ายฝั่งบริเวณบ้าน A และบา้ น C ยิง่ ถกู กดั เซาะใหส้ กึ กร่อนไดม้ ากขึน้ และพัดพาไปตกตะกอนไดไ้ กล มากขนึ้ นอกจากนี้บา้ น C ยังตอ้ งรองรบั น้าเสียมากกว่าเพราะอยทู่ า้ ยโรงงานและพืน้ ท่เี กษตรกรรม

เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 58 สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 38. กราฟแสดงขอ้ มลู การทานายระดับนา้ ทะเลขึ้นสูงสุดและระดับน้าทะเลลงตา่ สดุ ในแตล่ ะวนั ของเดอื นหน่ึง เปน็ ดังนี้ ตาแหนง่ ของดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ และโลกในภาพใดตอ่ ไปน้ี ที่ส่งผลให้เกดิ น้าข้นึ และน้าลง ดงั กราฟในวันท่ี 8 สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ มาตรฐาน ว 7.1 เข้าใจวิวฒั นาการของระบบสุรยิ ะ กาแลก็ ซี และเอกภพ การปฏสิ มั พนั ธภ์ ายในระบบสรุ ยิ ะ และผลตอ่ สงิ่ มชี ีวิตบนโลก มกี ระบวนการสืบเสาะ หาความรู้และจติ วิทยาศาสตร์ การส่ือสารสิง่ ที่เรียนรแู้ ละนา ความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ ตวั ชว้ี ัด ม.3/1. สืบค้นและอธบิ ายความสัมพนั ธ์ระหว่าง ดวงอาทติ ย์ โลก ดวงจันทร์และดาวเคราะห์อน่ื ๆ และผลทเ่ี กดิ ขน้ึ ตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มและสิง่ มชี วี ิตบนโลก ระดบั พฤติกรรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมนิ ค่า 6) สรา้ งสรรค์

เฉลยขอ้ สอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดับชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 59 สานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ข้อ) 3 เหตผุ ล นา้ ข้นึ เกิดใน 2 สว่ นของโลกคือ สว่ นทีห่ ันเขา้ หาดวงอาทติ ย์หรือดวงจนั ทร์ และสว่ นทอี่ ยหู่ ่างจากซีก โลกดา้ นตรงขา้ ม และเกิดนา้ ขน้ึ น้าลงสงู สดุ หรอื น้าเกิด (Spring tide) เมอื่ โลก ดวงจันทร์ ดวงอาทติ ย์ อยู่ใน แนวเดียวกันหรอื ทุกๆ 2 อาทติ ย์ คอื ข้ึน 15 ค่า และ แรม 15 ค่า และระดบั น้าขนึ้ นา้ ลงจะเปลย่ี นแปลงนอ้ ย หรอื น้าตาย (Neap tide)เมื่อดวงอาทติ ย์ โลก ดวงจนั ทร์ อยใู่ นแนวตงั้ ฉากคือ วันขน้ึ 7 คา่ และ แรม 7 คา่ จากรูป จะเหน็ วา่ ดวงจันทรจ์ ะทามมุ ต้งั ฉากกบั ดวงอาทติ ย์เมอ่ื มองจากโลก ทาให้แรงโนม้ ถ่วงจากดวง จนั ทรแ์ ละดวงอาทติ ย์หักล้างกัน นา้ จึงขึ้นต่าทสี่ ุดและลงนอ้ ยทีส่ ดุ หรือมคี วามแตกต่างของระดบั นา้ ท่ขี ึน้ และลง น้อยท่สี ุด เรยี กวา่ เป็น น้าตาย (Neap tide) ซง่ึ จะเกดิ ข้นึ เดือนละสองวนั

เฉลยขอ้ สอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 60 สานกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 39. นกั เรียนคนหนึง่ สังเกตทอ้ งฟา้ เวลา 19.00 น. ด้านทศิ ใต้ พบกล่มุ ดาว A ดังภาพ จากภาพ ในวนั เดยี วกันน้ี หากนกั เรยี นคนดังกล่าวสงั เกตทอ้ งฟ้าอีกครง้ั ในเวลา 22.00 น. จะมองเห็นกลมุ่ ดาว A ดงั ภาพใด สาระท่ี 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ มาตรฐาน ว 7.1 เขา้ ใจววิ ฒั นาการของระบบสุรยิ ะ กาแลก็ ซี และเอกภพ การปฏสิ ัมพันธ์ภายในระบบสรุ ยิ ะ และผลต่อสง่ิ มีชีวติ บนโลก มีกระบวนการสบื เสาะ หาความรแู้ ละจิตวิทยาศาสตร์ การสือ่ สารส่ิงท่เี รียนร้แู ละนา ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ชี้วัด ม.3/3. ระบตุ าแหน่งของกล่มุ ดาว และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ระดบั พฤติกรรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 3) นาไปใช้ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมินค่า 6) สรา้ งสรรค์

เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 61 สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ขอ้ ) 2 เหตุผล การสังเกตดาวในแตล่ ะคนื จะพบวา่ ดาวมีการเคลอ่ื นที่จากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวนั ตก เน่อื งจาก โลกหมุนจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก ในการบอกตาแหน่งของดาวอาจบอกเวลาขึน้ ของดาว คือขณะท่ีดาว เสมือนวา่ กาลังโผล่พน้ ขอบฟา้ ทิศตะวันออก เนื่องจากโลกหมนุ รอบตวั เองทาให้ดาวปรากฏเสมือนวา่ เคลอื่ นท่ี ไปบนทอ้ งฟ้า ดงั นั้นตาแหนง่ ของดาวจงึ มีความสมั พันธก์ ับเวลาทที่ าการสงั เกตและตาแหนง่ ท่ีสงั เกต ในการ บอกตาแหน่งของดวงดาวข้ันพ้นื ฐานเราใช้ระบบเส้นขอบฟา้ คือบอกตาแหนง่ ดว้ ยคา่ 2 ค่าคือ มมุ ทิศและมมุ เงย

เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 62 สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 26 40. ขอ้ มลู แสดงความสูงจากผิวโลกและคาบในการโคจรรอบโลกของดาวเทียม 3 ดวง เป็นดังนี้ ดาวเทยี ม ความสงู จากผวิ โลก (km) คาบในการโคจรรอบโลก 1 รอบ A 160 1 ชว่ั โมง 27 นาที B 1,609 1 ช่วั โมง 57 นาที C 35,786 24 ชั่วโมง จากข้อมูล ข้อความใดไม่ถกู ต้อง 1. แรงโนม้ ถว่ งของโลกต่อดาวเทียม A มากกวา่ ดาวเทียม B 2. ความเรว็ ในการโคจรของดาวเทียม B มากกวา่ ดาวเทียม C 3. เม่อื สงั เกตจากพื้นโลกจะเหน็ ดาวเทียม A อยตู่ าแหนง่ คงทบ่ี นทอ้ งฟ้า 4. ดาวเทียม C เหมาะสาหรบั ใชเ้ ป็นดาวเทยี มส่ือสาร เพราะสง่ สญั ญาณมายงั โลกได้ต่อเนอ่ื ง สาระท่ี 7 ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ มาตรฐาน ว 7.2 เข้าใจความสาคญั ของเทคโนโลยีอวกาศทีน่ ามาใชใ้ นการสารวจอวกาศ และ ทรัพยากรธรรมชาติด้านการเกษตรและการสอ่ื สาร มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และจติ วิทยาศาสตร์ สอื่ สารส่งิ ที่เรียนรู้ และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชนอ์ ย่างมีคุณธรรมตอ่ ชวี ติ และสง่ิ แวดลอ้ ม ตัวชี้วดั ม.3/1. สืบค้นและอภปิ รายความก้าวหนา้ ของเทคโนโลยอี วกาศที่ใชส้ ารวจอวกาศ วตั ถุท้องฟ้า สภาวะอากาศ ทรัพยากร ธรรมชาติ การเกษตร และการส่ือสาร ระดบั พฤตกิ รรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมนิ คา่ 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ ขอ้ ) 3 เหตผุ ล ความเรว็ วงโคจรของดาวเทยี มจะขึ้นอยู่กบั ระดบั ความสงู จากพื้นโลก กล่าวคือ เม่ือดาวเทียมยิ่งใกล้ โลกมากเท่าไหร่ ความเรว็ วงโคจรกจ็ ะเพม่ิ มากข้ึน สว่ นของดาวเทยี มสื่อสารสว่ นใหญจ่ ะโคจรในวงโคจรทอ่ี ยนู่ งิ่ เทยี บกบั โลก ทาให้ดาวเทยี มอย่เู หนอื จุด คงท่ีบนโลกเสมอ กลา่ วคอื การโคจรของดาวเทียมรอบโลกใช้เวลาเดินทาง 24 ชว่ั โมง โลกก็หมนุ รอบตวั เอง 24 ช่ัวโมง ถ้าเราสอ่ งกลอ่ งโทรทัศน์ มองเห็นดาวเทยี มดวงนี้ มนั จะอยกู่ ับที่ ดเู หมอื นไมเ่ คลื่อนท่ี (ความจริง ดาวเทียมจะเคลอื่ นท่ไี ปพรอ้ มกับเรา) เราเรยี กวงโคจรชนดิ นีว้ ่า วงโคจรประจาท่ี (Geostationary orbits) ดาวเทยี มทโี่ คจรเชน่ นี้ เช่น ดาวเทยี มตรวจสภาพอากาศ (Weather satellites) และดาวเทยี มสอื่ สาร (Communications satellites)

เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดับชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 63 สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 ตอนท่ี 2 แบบปรนยั เลือกตอบเชิงซอ้ น เลือกคาตอบทถ่ี ูกต้องในแต่ละคาถามยอ่ ย จานวน 5 ขอ้ (ขอ้ 41 – 45 ) ข้อละ 4 คะแนน รวม 20 คะแนน 41. ผปู้ ว่ ยโรคไตมกี ารทางานของไตผิดปกติ ทาใหร้ ่างกายไมส่ ามารถขับของเสยี และปรบั สมดลุ ของน้ากบั แร่ ธาตไุ ด้ วธิ ีหนง่ึ ในการรักษาผปู้ ว่ ยโรคไต คือ การฟอกเลอื ดโดยใชเ้ ครอื่ งไตเทียมซงึ่ ใชห้ ลกั การแพรข่ องสาร ผา่ นเยอ่ื เลอื กผ่านในการกาจดั ของเสียเหมือนกับท่อของหนว่ ยไตเป็นดงั ภาพ จากข้อมูลข้อความตอ่ ไปนี้ถูกตอ้ งใช่หรือไม่ ใช่ หรอื ไมใ่ ช่ ใช่ / ไม่ใช่ ข้อความ 41.1 ความเขม้ ข้นของเสียในเลือดทีจ่ ะนามาฟอกจะตอ้ งนอ้ ยกวา่ ในเครื่องไตเทียม จึงจะ ใช่ / ไมใ่ ช่ สามารถกาจดั สารน้นั ออกจากเลอื ดได้ ใช่ / ไม่ใช่ 41.2 เลอื ดบรเิ วณ A มปี ริมาณยเู รยี สูงกวา่ เลอื ดบรเิ วณ B 41.3 ผปู้ ่วยโรคไตควรหลีกเลยี่ งอาหารทม่ี แี รธ่ าตุสงู 41.1 สาระที่ 1 สง่ิ มีชวี ติ กับกระบวนการดารงชวี ิต มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจหนว่ ยพน้ื ฐานของสิ่งมีชีวติ ความสมั พนั ธ์ ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบต่าง ๆ ของ สง่ิ มชี วี ิตท่ที างานสัมพันธ์กัน มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สอ่ื สารสิง่ ที่เรยี นร้แู ละนาความรูไ้ ปใช้ในการดารงชวี ิต ของตนเองและดูแลสิง่ มชี วี ิต ตวั ชี้วัด ม.1/4 ทดลองและอธบิ ายกระบวนการสารผ่านเซลล์ โดยการแพร่และออสโมซสิ ระดับพฤติกรรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมินค่า 6) สรา้ งสรรค์

เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 64 สานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 26 เฉลยคาตอบ ใช่ หรือ ไมใ่ ช่ ไมใ่ ช่ ข้อความ 41.1 ความเข้มข้นของเสยี ในเลือดท่จี ะนามาฟอกจะตอ้ งนอ้ ยกวา่ ในเครอ่ื งไตเทยี ม จึง จะสามารถกาจัดสารนั้นออกจากเลอื ดได้ เหตผุ ล การแพร่ คือ คอื การเคล่ือนท่ีของอนภุ าคสารจากบรเิ วณท่ีมีความหนาแนน่ สงู ไปยังบรเิ วณทมี่ ีความ หนาแนน่ ของสารตา่ (สารเขม้ ข้นมากไปสารเขม้ ขน้ นอ้ ย) ดังน้ันถา้ ความเขม้ ข้นของเสียในเลอื ดที่จะนามาฟอก ไตนอ้ ยกวา่ ในเครือ่ งไตเทยี ม จะไม่สามารถกาจดั สารนน้ั ออกจากเลอื ดได้ จากข้อมลู ขอ้ ความตอ่ ไปนี้ถูกต้องใช่หรือไม่ 41.2 สาระที่ 2 ชวี ติ กบั สิ่งแวดลอ้ ม มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสิง่ แวดลอ้ มในท้องถนิ่ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสิง่ แวดล้อมกับสิ่งมชี วี ิตความสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งมชี วี ิตต่าง ๆ ในระบบนเิ วศ มีกระบวนการสบื เสาะหาความรูแ้ ละจติ วทิ ยาศาสตร์ สือ่ สารสิง่ ท่เี รยี นรู้ และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตวั ช้ีวดั ม.2/1 อธิบายโครงสร้างและการทางานของระบบยอ่ ยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบขับถ่าย ระบบสืบพันธุ์ของมนษุ ย์และสัตว์ รวมทั้งระบบประสาทของมนษุ ย์ ระดบั พฤติกรรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เขา้ ใจ 3) นาไปใช้  4) วิเคราะห์ 5) ประเมินค่า 6) สรา้ งสรรค์  ดา้ นทักษะกระบวนการ (Process Skill) ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (Attribte) เฉลยคาตอบ ข้อความ ใช่ หรือ ไมใ่ ช่ 41.2 เลือดบรเิ วณ A มีปรมิ าณยูเรยี สูงกวา่ เลอื ดบรเิ วณ B ใช่ เหตผุ ล การฟอกเลอื ด คอื กระบวนการนาเลอื ดออกจากรา่ งกายของผปู้ ว่ ยมาทาให้สะอาดขนึ้ โดยการใช้ เคร่ืองไตเทียม เพ่ือกาจัดของเสยี ปรับระดบั เกลอื แรใ่ นเลอื ด และปรับสมดลุ ของนา้ ในรา่ งกายให้เปน็ ปกติ ผ้ปู ่วยโรคไตมกี ารทางานของไตผดิ ปกติ ทาใหร้ ่างกายไม่สามารถขับของเสยี และปรับสมดลุ ของน้ากบั แรธ่ าตุ ได้ จงึ ทาใหม้ ยี ูเรยี ในเลอื ดสงู เมื่อทาการฟอกไตแลว้ ปรมิ าณยูเรียจะลดลง เลอื ดบริเวณ A คอื เส้นเลอื ดแดงท่ีนาของเสียออกจากรา่ งกายจึงมีปริมาณยูเรยี สูงกว่าเลอื ดบรเิ วณ B ซงึ่ เป็น เส้นเลอื ดดาท่นี ากลับเขา้ สรู่ า่ งกาย

เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 65 สานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 41.3 สาระท่ี 2 ชวี ติ กบั สงิ่ แวดลอ้ ม มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจส่งิ แวดล้อมในทอ้ งถ่นิ ความสัมพนั ธ์ระหว่างสง่ิ แวดล้อมกับสิง่ มชี ีวิตความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งส่ิงมชี วี ติ ต่าง ๆ ในระบบนิเวศ มกี ระบวนการสบื เสาะหาความรแู้ ละจิตวทิ ยาศาสตร์ สือ่ สารส่งิ ทเี่ รยี นรู้ และนาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ช้ีวดั ม.2/1 อธิบายโครงสรา้ งและการทางานของระบบย่อยอาหาร ระบบหมนุ เวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบขับถ่าย ระบบสบื พันธุ์ของมนุษย์และสตั ว์ รวมทง้ั ระบบประสาทของมนุษย์ ระดบั พฤตกิ รรม ดา้ นความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมินค่า 6) สรา้ งสรรค์ เฉลยคาตอบ ขอ้ ความ ใช่ หรอื ไม่ใช่ 41.3 ผปู้ ว่ ยโรคไตควรหลกี เลย่ี งอาหารทม่ี ีแรธ่ าตสุ งู ใช่ เหตุผล หน้าทีห่ ลักของไตคอื การกรองของเสยี ทีอ่ ยู่ในเลอื ดและขบั ถา่ ยออกนอกรา่ งกายทางน้าปัสสาวะ ดงั น้ัน ในนา้ ปัสสาวะกจ็ ะมีสารพวกยเู รีย (Urea) ซ่งึ เกิดจากการเผาผลาญสารอาหารพวกโปรตนี ออกมาทาให้มกี ลนิ่ และยงั หนา้ ทใ่ี นการปรบั ปริมาณของเกลือแรโ่ ซเดยี ม โพแทสเซยี มไบคาร์บอเนต และคลอไรดใ์ หอ้ ยใู่ นปรมิ าณ สมดลุ ปกติ ผปู้ ่วยโรคไตควรหลกี เลย่ี งอาหารทม่ี ีแร่ธาตุสงู

เฉลยขอ้ สอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 66 สานักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 42. นาของแข็ง A ทีม่ ลี กั ษณะเปน็ ผงละเอียดสีฟ้า ไปทาการทดลองตามขั้นตอนดงั แผนภาพตอ่ ไปน้ี จากขอ้ มลู ขอ้ ความตอ่ ไปน้กี ลา่ วถกู ต้องใช่หรอื ไม่ ใช่ หรอื ไม่ใช่ ใช่ / ไม่ใช่ ขอ้ ความ ใช่ / ไมใ่ ช่ 42.1 ของแข็ง A เป็นสารประกอบ ที่ประกอบดว้ ยธาตุอยา่ งน้อย 2 ชนิด คอื B และ C ใช่ / ไม่ใช่ 42.2 ของผสมระหวา่ ง B กบั C สามารถแยกออกจากกันได้ด้วยวธิ กี ลน่ั 42.3 ถ้านาสาร A ไปแยกดว้ ยวิธีโครมาโทรกราฟี โดยใช้นา้ เป็นตวั ทาละลายพบวา่ สารสี เขียวจะมคี า่ Rf มากกว่าสารสเี หลอื ง สาระที่ 3 สารและสมบตั ิของสาร มาตรฐาน ว 3.1 เขา้ ใจสมบัติของสาร ความสมั พันธร์ ะหว่างสมบตั ิของสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียว ระหวา่ งอนภุ าค มีกระบวนการสบื เสาะ หาความรู้และจติ วิทยาศาสตร์ สอ่ื สารสงิ่ ท่ีเรียนรู้ นาความรูไ้ ปใช้ ประโยชน์ ตวั ชวี้ ัด ม.2/3. ทดลองและอธิบายการหลกั การแยกสารดว้ ยวธิ กี ารกรอง การตกผลกึ การสกัด การกลั่น และโครมาโทกราฟี และนาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ระดับพฤตกิ รรม 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ ด้านความรู้ (Knowledge) : 5) ประเมนิ คา่ 6) สรา้ งสรรค์

เฉลยขอ้ สอบ O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 67 สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 เฉลยคาตอบ 42.1 ไม่ใช่ 42.2 ไมใ่ ช่ 42.3 ใช่ เหตผุ ล 42.1 ของแขง็ A เป็นสารประกอบ แต่ยงั ไม่แน่ใจวา่ ประกอบดว้ ยธาตุ 2 ชนดิ หรอื ไม่ เพราะบางทีอาจ ประกอบดว้ ยธาตมุ ากกว่า 2 ชนดิ ขึ้นไปก็ได้ 42.2 ของผสมระหว่าง B กบั C สามารถแยกออกจากกนั ดว้ ยวธิ ีการกรอง ไม่ใช่การกลั่น 42.3 ถา้ นาสาร A ไปแยกด้วยวิธโี ครมาโทกราฟี โดยใชน้ า้ เป็นตัวทาละลาย จะพบวา่ สารสเี ขยี วมา่ Rf มากกว่า สารสเี หลอื ง เพราะสารทลี่ ะลายในตัวทาละลายไดด้ ีจะขึน้ ไปไดส้ ูงกว่าสารทล่ี ะลายไดไ้ มด่ ี จากการทดลองสารสี เขยี วสามารถละลายไดด้ กี วา่ สารสเี หลอื ง เพราะสามารถผา่ นกระดาษกรองได้

เฉลยข้อสอบ O-NET วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2560 ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 68 สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 43. ศกึ ษาการเคลอ่ื นที่ของวตั ถใุ นแนวตรง โดยกาหนดให้ ตาแหนง่ เร่ิมต้นของการเคลอื่ นทีเ่ ปน็ ตาแหน่งอา้ งองิ จากขอ้ มลู ขอ้ ความตอ่ ไปนีก้ ล่าวถกู ตอ้ งใชห่ รอื ไม่ ใช่ หรอื ไมใ่ ช่ ใช่ / ไม่ใช่ ขอ้ ความ ใช่ / ไมใ่ ช่ 43.1 ตลอดการเคลอื่ นท่ที ้ังหมด วตั ถุมกี ารกระจัดเทากบั ศูนย์ ใช่ / ไม่ใช่ 43.2 การเคล่ือนทีใ่ นชว่ งวินาทีที่ 0-15 วัตถมุ ขี นาดของความเร็วเฉลี่ย 0.1 เมตรต่อวินาที 43.3 ภายในชว่ งวินาทีที่ 0-10 วัตถเุ คลอื่ นที่ดว้ ยอัตราเรว็ เฉลยี่ นอ้ ยกวา่ ชว่ งวินาทีที่ 10-30 สาระท่ี 4 แรงและการเคลอื่ นท่ี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง และแรงนิวเคลียร์ มีกระบวนการสืบ เสาะหาความรู้ สอื่ สารสงิ่ ทเี่ รยี นรูแ้ ละนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชนอ์ ย่างถกู ตอ้ งและมีคณุ ธรรม ตัวชว้ี ดั ม.3/1 อธบิ ายความเร่งและผลของแรงลพั ธท์ ี่ทาต่อวตั ถุ ระดบั พฤติกรรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมนิ ค่า 6) สรา้ งสรรค์

เฉลยขอ้ สอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 69 สานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 เฉลยคาตอบ 43.1 ใช่ 43.2 ใช่ 43.3 ไม่ใช่ วิธีคดิ 43.1 ตอบ ใช่ การกระจัด เปน็ 0 เพราะ การกระจดั หรอื การขจดั (Displacement) คอื ความยาวของ ระยะทางทีส่ นั้ ทีส่ ุดจากจุดเรมิ่ ตน้ ไปยังจุดสุดท้าย ในโจทย์ จุดเริม่ ต้นและจดุ สุดท้ายอยูท่จี ุดเดยี วกัน คอื 0 43.2 ตอบ ใช่ ความเร็วเฉลยี่ ในชว่ ง 0 – 15 วนิ าที หาได้จาก V= ∆������ V= ∆������ 1.5 15 V = 0.1 เมตร/วินาที 43.3 ตอบ ไมใ่ ช่ ความเรว็ เฉล่ยี ในช่วง 0 – 10 วินาที หาได้จาก V= ∆������ V= ∆������ V= 2 10 0.2 เมตร/วินาที ความเรว็ เฉลย่ี ในชว่ ง 10 – 30 วนิ าที หาไดจ้ าก V= ∆������ V= ∆������ V= 0 20 0 เมตร/วินาที เพราะฉะนัน้ ความเรว็ ในชว่ ง 0 – 10 วินาที มากกว่า ความเรว็ ในชว่ ง 10 – 30 วนิ าที

เฉลยขอ้ สอบ O-NET วชิ าวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2560 ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 70 สานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 44. ปลอ่ ยวัตถุชน้ิ หนง่ึ ใหเ้ คลอื่ นท่ตี ามรางเรยี บลนื่ จากตาแหน่ง A แล้วผา่ นตาแหนง่ B C และ D ตามลาดบั ดงั ภาพ จากขอ้ มูล ขอ้ ความตอ่ ไปน้กี ล่าวถกู ตอ้ งใชห่ รอื ไม่ ใช่ หรอื ไม่ใช่ ใช่ / ไมใ่ ช่ ขอ้ ความ ใช่ / ไมใ่ ช่ 44.1 ทีต่ าแหน่ง A วตั ถมุ พี ลงั งานศกั ยโ์ น้มถ่วงนอ้ ยกว่าทตี่ าแหน่ง B ใช่ / ไมใ่ ช่ 44.2 ท่ตี าแหน่ง C วัตถุมพี ลงั งานจลน์มากกวา่ ท่ีตาแหนง่ D 44.3 ทุกตาแหนง่ มพี ลงั งานกลเทา่ กนั สาระที่ 5 พลังงาน มาตรฐาน ว 5.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสารและพลังงาน ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม มีกระบวน การสืบเสาะหาความรู้ สือ่ สารสิ่งที่เรยี นรแู้ ละนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตัวชีว้ ดั ม.3/1 อธบิ ายงาน พลังงานจลน์ พลงั งานศักยโ์ นม้ ถ่วง กฎการอนรุ ักษพ์ ลังงาน และความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งปริมาณเหล่าน้ี รวมทงั้ นาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ระดับพฤตกิ รรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วเิ คราะห์ 5) ประเมนิ คา่ 6) สรา้ งสรรค์

เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 71 สานักงานเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 เฉลยคาตอบ 44.1 ไม่ ใช่ 44.2 ใช่ 44.3 ใช่ วิธีคดิ 44.1 ทต่ี าแหน่ง A วตั ถุมพี ลงั งานศกั ยโ์ นม้ ถ่วงน้อยกว่าทตี่ าแหน่ง B ตอบ ไมใช่ เพราะ ตาแหนง่ A จะมพี ลงั งานศกั ยโ์ น้มถว่ ง มากทส่ี ุด เพราะพลงั งานศกั ยข์ ึ้นอยกู่ บั ความสงู ของวัตถุ ตามความสมั พนั ธ์ ������������ = mgh 44.2 ที่ตาแหนง่ C วตั ถมุ ีพลงั งานจลน์มากกว่าท่ีตาแหนง่ D ตอบ ใช่ เพราะ พลงั งานจลน์ข้ึนอยกู่ ับความเร็วของ การเคลอ่ื นทว่ี ตั ถุ โดยท่ตี าแหนง่ C จะมี พลังงานจลน์สูงสุด แต่มพี ลงั งานศักยต์ า่ สดุ ตามความสมั พันธ์ ������������ = 12m������2 44.3 ท่ีทกุ ตาแหนง่ มีพลงั งานกลเท่ากนั ตอบ ใช่ เพราะ พลงั งานกล = พลงั งานศกั ย์ + พลงั งานจลน์ พลังงานกล = ������������ + ������������ ( พลังงานไมม่ ีการสญุ หายไป แตม่ ีการเปล่ียนแปลงรูปพลงั งาน)

เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวทิ ยาศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2560 ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 72 สานักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 45. ขอ้ มูลการตรวจวดั อณุ หภูมิอากาศโดยใชเ้ ทอร์มอมเิ ตอรก์ ระเปาะแหง้ และกระเปาะเปียกของจังหวัด 3 จังหวัดในชว่ งเชา้ กลางวัน และกลางคืนของวันเดยี วกนั ไดผ้ ลดงั น้ี จากข้อมลู ข้อความตอ่ ไปนี้กล่าวถกู ตอ้ งใชห่ รอื ไม่ ใช่ หรือ ไมใ่ ช่ ใช่ / ไมใ่ ช่ ขอ้ ความ 45.1 ถ้ามีความชน้ื สัมพทั ธ์ 85% ข้นึ ไป จะมโี อกาสเกิดฝนแล้ว จ.กรงุ เทพฯ จะมีโอกาส ใช่ / ไม่ใช่ เกดิ ฝนท้งั สามชว่ งเวลา 45.2 ในชว่ งเวลากลางวัน คนท่อี าศยั อยู่ จ.ยะลา จะมีโอกาสตากผ้าแห้งไวกว่าคนทอี่ าศยั ใช่ / ไมใ่ ช่ อยู่ จ.กรุงเทพฯ และ จ.เชยี งใหม่ 45.3 ในชว่ งเวลาเชา้ คนทว่ี ่ิงออกกาลงั กายที่ จ.เชียงใหม่ จะรสู้ ึกตัวเหนยี วเหนอะหนะ ไม่ สบายตวั กว่าคนท่วี ่งิ ออกกาลงั กายที่ จ.กรุงเทพฯ

เฉลยข้อสอบ O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 73 สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 26 สาระที่ 6 กระบวนการเปลย่ี นแปลงของโลก มาตรฐาน ว 6.1 เข้าใจกระบวนการตา่ ง ๆ ท่เี กดิ ขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสมั พันธ์ของ กระบวนการตา่ ง ๆ ทมี่ ผี ลต่อการเปลี่ยนแปลงภมู อิ ากาศ ภูมปิ ระเทศ และสัณฐานของโลก มกี ระบวนการสืบ เสาะหาความร้แู ละจติ วิทยาศาสตร์ สือ่ สารสง่ิ ทีเ่ รยี นรแู้ ละนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตวั ช้วี ดั ม.1/2. ทดลองและอธบิ ายความสมั พันธร์ ะหว่าง อุณหภูมิ ความชน้ื และความกดอากาศที่มผี ลตอ่ ปรากฏการณท์ างลมฟา้ อากาศ ระดบั พฤติกรรม ด้านความรู้ (Knowledge) : 1) ความจา 2) เข้าใจ 3) นาไปใช้ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมนิ ค่า 6) สรา้ งสรรค์ ด้านทักษะกระบวนการ (Process Skill) ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (Attribte) เฉลยคาตอบ 45.1 ไมใ่ ช่ 45.2 ใช่ 45.3 ไมใ่ ช่ เหตุผล การหาคา่ ความช้นื สมั พทั ธห์ าได้จาก อณุ หภูมิของเทอร์มอมเิ ตอร์แบบกระเปาะแหง้ -อณุ หภมู เิ ทอร์มิ มิเตอรแ์ บบกระเปาะเปียก เมอ่ื ได้ผลต่างนามาเทยี บกบั ตาราง และจากการหาค่าความชน้ื สมั พทั ธ์ พบวา่ เช้า กรุงเทพฯ ยะลา เชียงใหม่ กลางวนั 92 58 74 เย็น 93 62 65 77 85 92 ดงั้ น้ัน 45.1 ถา้ มคี วามชนื้ สมั พัทธ์ 85% ข้ึนไป จะมโี อกาสเกิดฝนแลว้ จ.กรุงเทพฯจะมโี อกาสเกิดฝนทง้ั สาม ชว่ งเวลา (ข้อน้ีตอบ ไม่ใช่ เพราะชว่ งเยน็ ของ จ.กรุงเทพฯ มีความชืน้ สมั พทั ธเ์ พยี ง 77% เทา่ นน้ั จงึ ไมม่ โี อกาส เกดิ ฝนในชว่ งเย็น) 45.2 ในชว่ งเวลากลางวันคนทอี่ าศยั อยู่ จ.ยะลา จะมโี อกาสตากผา้ แหง้ ไวกว่าคนท่ีอาศยั อยู่ จ. กรุงเทพฯ และ จ.เชยี งใหม่ (ข้อนต้ี อบ ใช่ เพราะ ยะลามีคา่ ความชื้นสัมพัทธ์น้อยกว่ากรงุ เทพฯ และเชียงใหม่ จึงมีโอกาสตากผา้ แหง้ ไวกวา่ ) 45.3 ในชว่ งเวลาเชา้ คนที่ว่งิ ออกกาลงั กายท่ี จ.เชยี งใหม่ จะรสู้ กึ ตัวเหนียวเหนอะหนะ ไมส่ บายตวั กวา่ คนทวี่ ง่ิ ออกกาลงั กายที่ จ.กรุงเทพฯ (ข้อนต้ี อบ ไม่ใช่ เพราะ ค่าความชืน้ สมั พทั ธท์ ี่กรงุ เทพฯมมี ากกว่าเชียงใหม่ ดงั นั้นคนที่ว่ิงออกกาลังกายทก่ี รงุ เทพฯจะตัวเหนยี วเหนอะหนะมากกวา่ คนท่อี อกกาลังกายท่เี ชยี งใหม)่

เฉลยขอ้ สอบ O-NET วิชาวิทยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2560 ระดับชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 74 สานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 ที่ปรึกษา คณะผจู้ ดั ทา 1. นายอดุลย์ศกั ดิ์ บุญเอนก ผูอ้ านวยการสานกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 26 2. นายอภสิ ทิ ธิ์ ศรีดาพรหม รองผอู้ านวยการสานักงานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 26 3. นายทองสุข มาตย์คามี รองผอู้ านวยการสานักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 4. ดร.นวพรรด์ิ นามพทุ ธา ผู้อานวยการกลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผล คณะจดั ทาเอกสาร ผอู้ านวยการกลุ่มนิเทศ ตดิ ตามและประเมินผล ศกึ ษานเิ ทศก์ สานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 26 1. ดร.นวพรรดิ์ นามพทุ ธา ศกึ ษานิเทศก์ สานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 2. นายไวรัช ตะวนั ศกึ ษานิเทศก์ สานักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26 3. นายอภิชาต เขม็ พิลา ศกึ ษานิเทศก์ สานักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 26 4. ดร.กรนนั ท์ วรรณทวี ครูโรงเรียนเขวาไรศ่ กึ ษา 5. นางสาวรงุ่ ฤทยั ไมตรีก้านตรง ครูโรงเรียนวงั ยาวศึกษาวิทย์ 6. นายกฤษณ์ สบื เมอื งซ้าย ครโู รงเรียนโพนงามพิทยานุกลุ 7. นายอภภิ พ จันทะเดช ครูโรงเรยี นประชาพัฒนา 8. นายวิชยั ลาธิ ครโู รงเรียนโนนราษีวทิ ยา 9. นางมุนี ภวภตู านนท์ ครโู รงเรียนนาภพู ทิ ยาคม 10. นางสาววริ ญั ญา ผลเลศิ ครโู รงเรียนแกดาวิทยาคาร 11. นางสาวฉววี รรณ์ ศิริสาราญ ศกึ ษานิเทศก์ สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 26 12. นายบญุ มี ประกอบแสง 13. นางสาวอิทธิณ์ ณฏั ฐ์ นนั แกว้ ศึกษานิเทศก์ สานักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 26 ศึกษานเิ ทศก์ สานกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 26 คณะบรรณาธิการ ศกึ ษานิเทศก์ สานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 26 1. ดร.เอมอร จันทนนตรี ศึกษานิเทศก์ สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 26 2. ดร.ฐิตารีย์ วลิ ัยเลศิ 3. นางสาวรงุ่ ฤทัย ไมตรีกา้ นตรง ครู โรงเรียนหนองมว่ งวทิ ยาคาร 4. นางอรชมุ า ด้วงชา้ ง พิมพ์และออกแบบปก นายฉัตรมงคล สูงเนนิ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook