สะเตม็ ศึกษา STEM Education : การจัดการเรียนร้ยู ุคไทยแลนด์ 4.0 -------------------------------------------------------------------------------------------------------------- “สะเตม็ ศึกษา”(Science Technology Engineering and Mathematics Education : STEM Education) การเรยี นรูท้ ีบ่ ูรณาการการจัดการศึกษาทางด้านวชิ าวิทยาศาสตรเ์ ทคโนโลยี วศิ วกรรมศาสตร์ คณติ ศาสตร์ ตงั้ แต่ระดบั ขนั้ การศึกษาพนื้ ฐาน อาชวี ศึกษา อุดมศึกษาและรวมทั้งการศกึ ษาตลอดชวี ติ โดยมี เป้าหมายท่จี ะสง่ เสรมิ ใหป้ ระชากรรุ่นใหมไ่ ด้มีความรูแ้ ละทักษะการเรียนรใู้ นทางสรา้ งสรรค์แบบใหม่ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในศตวรรษที่ 21 ที่โลกเราสามารถติดต่อส่อื สารกนั ได้อย่างรวดเร็ว จาเป็นอย่างย่งิ ท่จี ะต้อง พัฒนาทกั ษะในการดารงชวี ิต เพือ่ ใหเ้ ยาวชนไทยก้าวสกู่ ารแขง่ ขนั กับประชากรโลกได้ รวมท้งั เมื่อกา้ วเขา้ สู่ ประชาคมอาเซียนในปี 2558 (คศ.2015) “สะเต็มศึกษา”นั้นจะชว่ ยพลิกโฉมการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ ไม่ว่า จะเปน็ วชิ า เคมี ฟสิ ิกส์ ชีววทิ ยา รวมท้ังวิชาคณิตศาสตร์และวศิ วกรรมศาสตร์ โดยสะเต็มศกึ ษานัน้ เปน็ สว่ น หนงึ่ ของการเรยี นวิชาเหล่าน้ีอยู่แล้ว เพียงแต่เนน้ การบูรณาการการเรียนรู้การนาไปใชแ้ ละการฝึกการคิด เพ่อื แก้ไขปัญหาด้วยกระบวนการใหม่ ๆไมใ่ ชก่ ารเรยี นท่เี น้นการทอ่ งจาหรือการเรยี นเพื่อนาไปสอบเทา่ น้ัน ซงึ่ การเรียนแบบสะเต็มศึกษานั้น จะเน้นการลงมือปฏบิ ตั จิ ริง โดยครูผสู้ อนมีความสาคญั อยา่ งย่ิงท่ีจะตั้งคาถาม ให้เดก็ สนใจและเรยี นรวู้ า่ สิ่งที่เรยี นในห้องเรยี นนัน้ เป็นสิ่งท่ีอยู่รอบตวั ในชีวติ ประจาวนั ของเรา การพฒั นา ขีดความสามารถของครู องค์ประกอบในการถา่ ยทอดความร้แู ละการกระตนุ้ ให้นกั เรยี นแสดงออกถึงความคิด สร้างสรรค์ งบประมาณทจี่ ะมาดาเนินการโดยการกระทาที่เป็นระบบในหน่วยงานทเี่ ก่ียวขอ้ ง ไมว่ ่าองค์กร ปกครองท้องถน่ิ กระทรวงไอซีที มหาวทิ ยาลยั ต่าง ๆ รวมทัง้ ภาคเอกชนทีเ่ กยี่ วขอ้ งและชุมชนทจ่ี ะตอ้ งให้ ความร่วมมือ เพ่ือใหก้ ารเรียนการสอนแนวใหม่นี้ให้มปี ระสทิ ธภิ าพและสัมฤทธผิ ล รวมทั้งการออกแบบ การเรียนการสอนทีเ่ หมาะสมกับนักเรยี นได้ ดร.เปกกา เคส จากมหาวิทยาลัยโอลู ประเทศฟินแลนด์ ซึ่งเป็นผู้เชยี่ วชาญทางการศึกษา กลา่ ววา่ “การศึกษาในระบบสะเต็ม ทาใหร้ ะบบการเรยี นการสอนในประเทศฟนิ แลนด์ ถือวา่ ดีท่ีสดุ ในโลก รัฐบาลให้ ความสาคญั กบั ระบบการศึกษา เพราะเปน็ พ้นื ฐานการพฒั นาประเทศอยา่ งย่งั ยืน โดยบุคคลท่ปี ระกอบอาชพี ครใู นทุกระดับชัน้ ตอ้ งจบการศึกษาข้นั ต่าในระดับปริญญาโท นอกจากนท้ี ุกโรงเรียนต้องปรับปรุงใหไ้ ด้ มาตรฐานเทา่ กนั หมด ไม่วา่ จะเป็นโรงเรยี นในเมืองหรือนอกเมืองและการสอบแข่งขนั มหาวิทยาลัยก็ไมส่ งู เพราะทกุ มหาวทิ ยาลยั มคี ุณภาพเทา่ เทียมกัน ชองชุง จากมลู นิธิวิทยาศาสตรข์ นั้ สงู เพื่อการสรา้ งสรรค์ กล่าวว่าประเทศเกาหลใี ต้ กเ็ ป็นประเทศหนึ่ง ที่ให้ความสาคัญกับระบบสะเต็ม โดยเร่มิ มอื สามปีที่ผา่ นมาและพยายามปรบั ปรุงเปลยี่ นแปลงหลกั สูตรให้บอ่ ย ข้นึ เพ่ือตอบสนองเทคโนโลยีทเ่ี ปลี่ยนแปลงไปอยา่ งรวดเร็ว โดยไมใ่ หค้ วามสาคัญกบั วิทยาศาสตร์ที่เกิดข้ึนเม่ือ หนึ่งรอ้ ยปีท่ีผ่านมาแตใ่ ห้ความสาคญั กบั วิทยาศาสตร์ท่ีใชไ้ ด้จรงิ ในชวี ิตประจาวันและการคิดค้นวทิ ยาศาสตร์ สร้างสรรคเ์ พื่อใชใ้ นอนาคต โอบามา ก็ได้สนบั สนนุ นโยบายการศึกษาของระบบสะเต็ม โดยการใหอ้ งคก์ รเอกชนทลี่ งทนุ โดยไม่หวงั ผลกาไรมาสนบั สนนุ ผลกั ดันการศึกษาระบบสะเต็มเพ่อื เพ่ิมคุณภาพนักวิทยาศาสตร์ วศิ วกรรมศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยใี นอนาคต ซ่ึงเกณฑป์ ระเมินตวั ช้วี ดั การศกึ ษาทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตรจ์ ากการวัดของ หน่วยงาน Tim และ Pissa ไดด้ าเนินการอยู่ ในหน่วยงานความรว่ มมอื ในระหว่างประเทศรวมท้ังประเทศไทย เราดว้ ย สาหรบั ประเทศท่ีมีการตนื่ ตัวกับการศึกษาในเรื่องสะเต็มกันมากไม่วาจะเปน็ ประเทศจนี อเมริกา อนิ เดยี ฯลฯ โดยจากการศกึ ษาพบวา่ ในจนี จะผลติ บัณฑิตทส่ี าเร็จการศึกษาระดับปรญิ ญาตรเี กยี่ วกบั
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี ละสะเตม็ ออกมาประมาณ 3.5 ลา้ นคน ซึง่ ประเทศไทยนน้ั ยังไม่ตื่นตวั และ ยกระดับในเรือ่ งนี้ ซึ่งถือวา่ เป็นสง่ิ ทท่ี า้ ทายมากสาหรบั คนไทยในอนาคต 10 แนวทางการจดั กิจกรรมการเรียนร้ทู ่ีจะนาเสนอในบทความนี้ เป็นส่วนหน่งึ ของวธิ ีการหลากหลาย ที่จะปรับการเรยี นเปลยี่ นการสอนวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยใี นหอ้ งเรียนของท่าน ใหส้ อดคล้อง กบั แนวคดิ สะเตม็ ศึกษา ท่านสามารถเลอื กบางแนวทางทเ่ี หมาะสมไปปรับใช้ในช้ันเรยี นของท่านได้ตามความ เหมาะสม ทุกข้อไม่ใชแ่ นวคิดใหม่ และหวังวา่ จะเป็นแนวปฏิบัติที่เกดิ ข้นึ อย่บู า้ งแลว้ ในหลายโรงเรยี น 1. เช่ือมโยงเนือ้ หาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยสี โู่ ลกจริง คุณครูหลายท่านนา่ จะทา อยแู่ ล้วอยา่ งสม่าเสมอ เพียงนักเรยี นมองเหน็ วา่ แนวคดิ หลัก หรือกระบวนการท่ีเรยี นรู้นนั้ สามารถเกดิ ขึ้นได้ ในธรรมชาติ ใช้ประโยชน์ไดใ้ นชวี ติ จริง กเ็ ป็นกา้ วแรกสู่การบูรณาการความรูส้ ูก่ ารเรยี นอยา่ งมีความหมาย เพราะปรากฏการณ์หรอื ประดษิ ฐ์กรรมใด ๆ รอบตัวเรา ไม่ไดเ้ ปน็ ผลของความรู้จากศาสตรห์ นึ่งศาสตร์ใด เพียงศาสตร์เดียว การประยุกต์ความร้งู า่ ยๆ เชน่ การคานวณพ้ืนท่ีของกระดาษชาระแบบม้วน เช่ือมโยงสู่ ความรู้ความสงสัยด้านวัสดุศาสตร์ เทคโนโลยกี ารผลติ และการใชก้ ระบวนการทางวิศวกรรมวิเคราะห์ปญั หา และสรา้ งสรรคว์ ิธีแกไ้ ขได้อย่างหลากหลายจนน่าแปลกใจ 2. การสบื เสาะหาความรู้ การจัดการเรยี นการสอนโดยใหผ้ ูเ้ รยี นได้ศึกษาประเดน็ ปญั หา หรือ ต้งั คาถาม แลว้ สร้างคาอธิบายดว้ ยตนเอง โดยการรวบรวมประจกั ษ์พยานหลกั ฐานที่เกี่ยวข้อง สอ่ื สารแนวคดิ และเหตผุ ล เปรยี บเทยี บแนวคิดตา่ งๆ โดยพิจารณาความหนักแน่นของหลักฐาน ก่อนการตดั สินใจไปในทางใด ทางหนง่ึ นบั เปน็ กระบวนการเรียนรสู้ าคญั ที่ไมเ่ พยี งแต่สนับสนุนการเรียนรูใ้ นประเดน็ ท่ีศึกษาเทา่ นนั้ แตย่ ัง เป็นชอ่ งทางใหม้ ีการบรู ณาการความรใู้ นศาสตร์อนื่ ๆ ที่เกย่ี วข้องกับคาถาม นบั เปน็ แนวทางการจดั การเรียนรู้ ทสี่ นับสนุนจุดเน้นของสะเต็มศึกษาไดเ้ ป็นอย่างดี 3. การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน การทาโครงงานเป็นการสบื เสาะหาความรู้ในรูปแบบ หนึง่ แตผ่ เู้ ขียนได้แยกโครงงานออกมาเป็นหวั ข้อเฉพาะ เน่ืองจากเปน็ แนวทางทีส่ ามารถส่งเสริมการบูรณาการ ความร้สู ูก่ ารแกป้ ัญหาได้ชดั เจน การสบื เสาะหาความรู้บางครัง้ ครูเปน็ ผูก้ าหนดประเด็นปัญหา หรือให้ข้อมลู สาหรบั ศกึ ษาวิเคราะห์ หรือกาหนดวธิ ีการในการสารวจตรวจสอบ ตามขอ้ จากัดของเวลาเรยี น วสั ดุอปุ กรณ์ หรอื ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ แต่การทาโครงงานนัน้ เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนเกดิ ประสบการณ์การเรยี นรู้ สาคญั ในทุกขั้นตอนดว้ ยตนเอง ตั้งแต่การกาหนดปญั หา ศึกษาความรู้ทีเ่ กี่ยวข้อง ออกแบบวิธีการรวบรวม ข้อมลู ดาเนินการ ลงข้อสรปุ และสอ่ื สารสิ่งที่ค้นพบ (บางคร้ังครูอาจกาหนดกรอบกว้างๆ เชน่ ใหท้ าโครงงาน เกยี่ วกับพลงั งานทดแทน โครงงานเกี่ยวกบั การใชค้ ณิตศาสตรใ์ นผลิตภัณฑข์ องชุมชน เป็นต้น) โครงงานใน รูปแบบสิ่งประดิษฐ์จะมีการบูรณาการกระบวนการทางวิศวกรรมได้อย่างโดดเด่น แต่โครงงานในรปู แบบอืน่ ทง้ั โครงงานเชิงทดลอง เชงิ สารวจ หรอื เชิงทฤษฎี กม็ ีคณุ ค่าควรแก่การสนบั สนนุ ไม่แพ้กัน แมน้ ักเรียนจะมี บทบาทหลักในการเรียนรผู้ า่ นการทาโครงงาน แตบ่ ทบาทของครูในการให้คาปรกึ ษาระหว่างนกั เรียนทา โครงงานนนั้ เปน็ บทบาทท่สี าคัญและท้าทาย เน่ืองจากครมู ีความรบั ผดิ ชอบในการสนบั สนุนให้นกั เรียนเกดิ ความร้คู วามสามารถตามเปา้ หมายการจดั การเรียนรู้ โดยครตู ้องเตรียมพรอ้ มที่จะเรียนรู้สิ่งใหมไ่ ปพร้อมๆ กบั นกั เรียนในทุกหัวข้อโครงงาน 4. การสรา้ งสรรคช์ ้ินงาน แนวคดิ นไี้ ม่ได้เป็นแนวคิดใหม่เลยเสยี ทีเดียว ผู้เขยี นยังจดจา ประสบการณ์วัยเด็กได้วา่ มโี อกาสประดิษฐ์ส่งิ ของ อุปกรณต์ า่ งๆ มากมาย ไมว่ า่ จะเปน็ การสานพดั การร้อย มาลัย การประดิษฐ์เคร่ืองดนตรี สมุดภาพ การจดั ป้ายนิเทศ เดก็ ๆ ทุกวนั น้อี าจได้รับการมอบหมายให้
สร้างสรรค์ชนิ้ งานทแี่ ตกต่างไปจากยุคก่อน เชน่ ประดิษฐป์ า้ ยไฟ รถแข่งพลังงานแสงอาทติ ย์ ถา่ ยหนังส้นั ทามัลติมเี ดียสาหรับนาเสนองาน ประสบการณ์การทาช้นิ งานเหล่านี้ สรา้ งทักษะการคดิ การออกแบบ การ ตดั สนิ ใจ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะอย่างยิง่ ช้ินงานท่ีครูผู้สอนเปิดโอกาสให้นกั เรียนคดิ อย่างอสิ ระ และสร้างสรรค์ การประดษิ ฐ์ช้นิ งานเหล่านีป้ ระยุกต์ใช้ความรูว้ ิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ อยา่ งไม่รตู้ ัว บางครั้ง ครูอาจจัดให้นักเรยี นสะทอ้ นความคดิ ว่าได้เกดิ ประสบการณ์หรือเรียนรูอ้ ะไรบ้างจากงานท่มี อบหมายใหท้ า เพราะเป้าหมายของการเรยี นร้อู ยูท่ กี่ ระบวนการทางานดว้ ยเชน่ กนั หากนักเรียนมองเพียงเปา้ หมายชิน้ งานที่ สาเร็จอย่างเดียว อาจไม่ตระหนักวา่ ตนเองไดเ้ รียนร้บู ทเรียนสาคญั มากมายระหวา่ งทาง 5. การบรู ณาการเทคโนโลยี เพียงครูบูรณาการเทคโนโลยที ่เี หมาะสมสู่กระบวนการเรียนรู้ ของนักเรยี น ครูก็ไดก้ ้าวเขา้ ใกล้เป้าหมายการจดั การเรยี นร้ตู ามแนวทางสะเต็มศกึ ษาอีกกา้ วหนึง่ แลว้ เทคโนโลยีท่ีครูสามารถใช้ประโยชนใ์ นชัน้ เรียนปจั จบุ นั มไี ด้ต้งั แตก่ ารสบื คน้ ข้อมูลลกั ษณะตา่ งๆ การบันทึกและ นาเสนอข้อมลู ดว้ ยภาพนงิ่ วดี ิทัศน์ และมัลตมิ เี ดีย การใช้อุปกรณ์ Sensor/data Logger บนั ทึกข้อมลู ในการ สารวจตรวจสอบ การใช้ซอฟตแ์ วร์จดั กระทา วิเคราะห์ขอ้ มูล และเทคโนโลยีอืน่ ๆ อกี มากมาย การใช้ ประโยชนจ์ ากเทคโนโลยเี หลา่ น้ี กระตนุ้ ใหน้ ักเรียนสนใจการเรยี นรู้ เปิดโอกาสให้ประยุกตใ์ ช้ความรู้ แก้ปญั หา และทางานรว่ มกัน รวมท้ังสร้างทักษะสาคัญในการศกึ ษาต่อและประกอบอาชพี ต่อไปในอนาคตด้วย 6. การมุ่งเน้นทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 กิจกรรมการเรยี นรูต้ ามแนวทางสะเต็มศึกษาพัฒนา พัฒนาทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ได้เปน็ อย่างดี ยกตัวอยา่ งทักษะการเรยี นรูแ้ ละสร้างนวตั กรรม (Learning and Innovation Skills) ตามกรอบแนวคิดของ Partnership for 21st Century Skills ท่คี รอบคลมุ 4C คือ Critical Thinking (การคิดเชิงวิพากษ์) Communication (การส่ือสาร) Collaboration (การทางานรว่ มกัน) และ Creativity (การคิดสรา้ งสรรค์) จะเห็นได้ว่ากจิ กรรมการเรียนรู้ในรูปแบบโครงงาน หรือการสร้างสรรค์ ชิ้นงานท่ีกลา่ วถงึ ข้างต้นน้นั สามารถสร้างเสริมทกั ษะเหล่าน้ีไดม้ าก อยา่ งไรกต็ ามในบริบทของโรงเรยี นทัว่ ไป ครูอาจไม่สามารถให้นักเรยี นเรยี นรู้ดว้ ยการทาโครงงาน หรือการสรา้ งสรรค์ช้นิ งานเท่าน้ัน ดงั น้นั ในบทเรยี น อ่ืนๆ ถ้าครมู งุ่ เน้นทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ในทุกโอกาสทเ่ี อ้ืออานวย เปดิ โอกาสให้นกั เรียนไดแ้ สดงความ คิดเหน็ ทางานรว่ มกัน เรียนรกู้ ารหาท่ีติ (ฝึกคิดเชงิ วพิ ากษ์) หาทช่ี มหรือเสนอวธิ กี ารใหม่ (ฝกึ คดิ เชิง สรา้ งสรรค)์ กน็ ับว่าครูจัดการเรยี นการสอนเข้าใกล้แนวคิดสะเตม็ ศึกษามากขึ้น ตามสภาพจรงิ ของชน้ั เรยี น 7. การสรา้ งการยอมรบั และการมีส่วนร่วมจากชุมชน ครูหลายท่านอาจเคยมปี ระสบการณ์ กับผูป้ กครองท่ีไม่เขา้ ใจแนวคิดการศึกษาท่ีพัฒนานักเรียนใหเ้ ปน็ คนเต็มคน แต่ม่งุ หวังให้สอนเพยี งเนื้อหา ติวข้อสอบ อยากให้ครูสรา้ งเด็กทสี่ อบเรียนต่อได้ แต่อาจใช้ชวี ิตไม่ไดใ้ นสงั คมจริงของการเรียนรแู้ ละการ ทางาน เม่ือครูมอบหมายใหน้ ักเรียนสบื คน้ สร้างชิ้นงาน หรอื ทาโครงงาน ผปู้ กครองไม่ให้การสนับสนุน หรอื อกี ดา้ นหนึ่งผู้ปกครองรบั หน้าทีท่ าให้ทุกอย่าง อยา่ งไรก็ตาม หวงั วา่ ผปู้ กครองทุกคนจะไมเ่ ป็นไปตามทีก่ ล่าว ข้างต้น ผลงานจากความสามารถของเดก็ เปน็ อาวธุ สาคญั ท่คี รูจะนามาเผยแพร่จัดแสดงเพอ่ื ชนะใจผ้ปู กครอง และชุมชนให้ใหก้ ารสนับสนุนการจัดการเรยี นรู้ตามแนวทางสะเต็มศกึ ษา ครสู ามารถนานักเรยี นไปศึกษาใน แหลง่ เรยี นร้ขู องชุมชน สารวจส่งิ แวดลอ้ มธรรมชาติในท้องถิ่น ศกึ ษาและรายงานสภาพมลพิษหรอื การใช้ ประโยชนจ์ ากทรัพยากรในพ้ืนท่ีให้ชมุ ชนรับทราบ ตลอดจนศึกษาและแก้ปัญหาท่ีเก่ยี วข้องกบั ผลติ ภณั ฑใ์ น ชมุ ชน กิจกรรมการเรยี นรเู้ หล่านี้ เกดิ ประโยชน์สาหรบั นกั เรียนเอง อาจเปน็ ประโยชน์สาหรบั ชมุ ชน และ สามารถสรา้ งการมสี ว่ นร่วม ความภาคภูมิใจ และทสี่ าคญั อย่างย่ิงคือความรูส้ ึกเปน็ เจา้ ของ ร่วมรับผิดชอบ คุณภาพการจดั การศึกษาในท้องถ่นิ ตวั เองให้เกิดข้ึนได้ 8. การสร้างการสนบั สนุนจากผเู้ ช่ียวชาญในทอ้ งถิน่ การให้นกั เรยี นศึกษาปัญหาปลายเปิด ตามความสนใจของตนเองในลกั ษณะโครงงาน ตลอดจนการเชือ่ มโยงการเรียนรูส้ ่กู ารใชป้ ระโยชนใ์ นบริบทจรงิ
น้นั บางครงั้ นาไปสูค่ าถามทซ่ี ับซ้อนจนต้องอาศยั ความรู้ความชานาญเฉพาะทาง ครูไมค่ วรกลัวจะยอมรับกบั นักเรียนว่าครูไมร่ ู้คาตอบ หรอื ครชู ่วยไม่ได้ แต่ควรใชเ้ ครือขา่ ยท่มี ี เชือ่ มโยงใหผ้ เู้ ชีย่ วชาญในทอ้ งถนิ่ มาชว่ ย สนับสนุนการเรยี นรขู้ องนักเรียน เครือขา่ ยดังกล่าวอาจเป็นไดท้ ั้ง ศิษย์เกา่ ผู้ปกครอง ปราชญช์ าวบา้ น เจา้ หน้าที่รฐั หรืออาจารย์ในสถาบันอดุ มศึกษาในทอ้ งถิ่น ครูสามารถเชิญวิทยากรภายนอกมาบรรยายหรือ สาธติ ในบางหัวขอ้ หรือใชเ้ ทคโนโลยี เช่น การประชุมผ่านวีดิทัศน์ เอื้ออานวยให้ผู้เชีย่ วชาญสามารถพูดคยุ ใหค้ วามคดิ เหน็ หรือวิพากษ์ผลงานของนักเรียน เป็นต้น 9. การเรยี นรอู้ ย่างไม่เปน็ ทางการ (Informal Learning) เดก็ ๆ น้นั รักความสนุก หากเรา จากัดความสนกุ ไม่ให้กล้ากรายใกล้หอ้ งเรยี น ความสุขคงอยหู่ า่ งไกลจากครูและจากเด็กไปเรื่อยๆ แตจ่ ะบูรณา การความสนุกสู่การเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และเทคโนโลยี ผา่ นกระบวนการแก้ปัญหาอย่างไร ต้อง อาศัยความคิดสร้างสรรค์ของครูในการออกแบบกิจกรรมการเรยี นรทู้ ีท่ ้าทาย เพลิดเพลนิ ใหก้ ารเรยี นเหมอื น เปน็ การเล่น แตใ่ นขณะเดยี วกนั กต็ ้องสรา้ งความรู้และความสามารถตามวตั ถุประสงค์ของหลักสูตรดว้ ย การ เรยี นรูอ้ ยา่ งไม่เปน็ ทางการที่ได้รับความนยิ ม คือ การจดั กจิ กรรมค่าย การเรียนรูจ้ ากเพลง เกม ละคร หรือการ ประกวดแข่งขัน กจิ กรรมเหล่านีเ้ ปน็ โอกาสดีทีจ่ ะสรา้ งการมสี ว่ นรว่ มจากชุมชน เชน่ อาจเชญิ ผูเ้ ช่ียวชาญใน ทอ้ งถิ่นเป็นวิทยากรในคา่ ย เปน็ กรรมการผูท้ รงคณุ วฒุ ิ หรือใหก้ ารสนับสนนุ ของรางวลั 10. การเรยี นร้ตู ามอธั ยาศัย (Non-formal learning) เม่ือครูไดด้ าเนนิ การ 9 ขอ้ ขา้ งต้นแล้ว อาจมองออกนอกขอบเขตรั้วโรงเรยี น สรา้ งนิสัยการเรยี นร้ตู ลอดชีวิต ใหเ้ ป็นวฒั นธรรมของชุมชน ร่วมกนั สรา้ ง แหลง่ เรียนรดู้ า้ นสะเตม็ ในท้องถนิ่ เช่น เสน้ ทางศึกษาธรรมชาติ หรอื ประยกุ ต์ความรู้สะเตม็ เพ่ือสนับสนุนแหล่ง เรยี นรู้วถิ ีชุมชน เช่น สง่ เสริมใหน้ กั เรียนใชเ้ ทคโนโลยีทเ่ี หมาะสมนาเสนอขอ้ มลู ภูมศิ าสตร์ ประวตั ิศาสตร์ และ วฒั นธรรมในชุมชน สรา้ งหอเกียรติยศสะเต็มของหมู่บ้าน เพื่อนาเสนอเรอื่ งราวการใชค้ วามรู้สะเตม็ ในการ พัฒนาอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวติ เชน่ ผลงานด้านการเกษตร ดา้ นสาธารณสุข ด้านการพฒั นาผลติ ภัณฑ์ หรอื ด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เปน็ ต้น การสร้างการเปลย่ี นแปลงนนั้ ไมเ่ คยง่าย แตร่ ะบบทีไ่ ม่สามารถปรับเปลย่ี นได้จะมผี ลิตภาพจากัด หน่วยวิจยั ของฝ่ายสง่ เสริมการศกึ ษาบริษทั อนิ เทล ศึกษาโรงเรยี น 5 โรงเรียนทีป่ ระสบความสาเรจ็ ในการปรับ การเรยี นเปลีย่ นการสอนใหส้ ง่ เสริมสะเตม็ ศึกษาพบว่า ปัจจัยรว่ มของโรงเรียนเหล่าน้มี ี 5 ปจั จัย คอื หนึ่ง ทา ในสิ่งที่แตกต่าง สร้างวิสัยทัศน์ และวฒั นธรรมในการเรียนรใู้ นแบบของโรงเรยี นเอง สอง ครใู นโรงเรียนทั้ง 5 ไม่ได้ทางานแบบข้ามาคนเดยี ว แตม่ ชี มุ ชนวิชาชีพ (ญrofessional Learning Communities) เกดิ ข้นึ ใน โรงเรียน ครูคอเดยี วกนั ใจเดียวกัน คดิ ทา ร่วมกนั ในการปรบั เปลีย่ นการเรียนการสอน และครูร่วมกนั กาหนด แนวทางการพฒั นาตนเองให้ตอบสนองต่อความต้องการท่ีแท้จรงิ สาม มีการออกแบบกิจกรรมเสริมนอก โรงเรียนหรอื นอกเวลาเรียน เปน็ กจิ กรรมที่ออกแบบอยา่ งรอบคอบและสร้างสรรค์ เช่น ค่าย ชมุ นุม ชมรม การ ประกวดแข่งขันต่างๆ ส่ี โรงเรยี นให้ความสาคัญและมีคาตอบในการสร้างโอกาสในการเรียนร้ใู หเ้ ดก็ ทุกๆ กลุ่ม ทง้ั เก่ง อ่อน รวย จน อย่างทัว่ ถึง ห้า ทกุ โรงเรียนเสาะแสวงหาความร่วมมอื และทรพั ยากรจากท้องถนิ่ การส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเตม็ ศึกษา เปน็ ความพยายามจากหลากหลายภาคสว่ นใน การขับเคล่ือนการจัดการศึกษาใหส้ ามารถเตรยี มพร้อมเด็กและเยาวชน ให้พร้อมสาหรบั การดารงชวี ิตและ ประกอบอาชีพในโลกของวนั พร่งุ นี้ ด้วยความรูค้ วามเขา้ ใจในความงามและคุณค่าของธรรมชาติ ด้วย ความสามารถในการสร้างสรรคว์ ิธกี ารแก้ปัญหาอย่างเปน็ ระบบด้วยกระบวนคดิ เชงิ วศิ วกรรม และการใช้ ศักยภาพของเทคโนโลยีสื่อสารและทางานรว่ มกับผู้อ่ืนอยา่ งสรา้ งสรรค์ เรามคี วามหวงั สร้างลกู หลานของเราให้ เปน็ คนเต็มคน ทีจ่ ะประคับประคองโลกของเรา สงั คมของเรา ผ่านอนาคตที่กาหนดไม่ได้ เริม่ จากห้องเรยี น ของท่าน เริ่มจากโรงเรียนของทา่ น เรมิ่ จากวันนี้
จดุ เรมิ่ ตน้ ของแนวคดิ STEM Education มีจดุ เร่มิ ต้นมาจากประเทศสหรฐั อเมรกิ า ท่พี บวา่ ผลการทดสอบโครงการประเมินผลนกั เรียนนานาชาติ (Program for International Student Assessment หรือ PISA) และการทดสอบด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ระดับสากล (Trends in International Mathematics and Science Study หรอื TIMSS) ของสหรัฐอเมริกานั้นต่ากว่าหลายประเทศ มีคะแนนวิชาวทิ ยาศาสตร์และคณติ ศาสตรล์ ดลง ซึง่ แสดงให้เห็นถงึ ความถดถอยของคณุ ภาพการจดั การศึกษา โดยประเทศสหรฐั อเมริกาคาดหวงั วา่ นโยบายการศกึ ษาแบบการ สอนดว้ ยการใช้ STEM Education จะช่วยยกระดบั ผลการสอบต่างๆให้สูงขน้ึ สง่ ผลให้ประชากรมคี ุณภาพ และสง่ ผลใหส้ ามารถแก้ปญั หาของชาติในดา้ นอื่นๆ ได้ นอกจากประเทศสหรัฐอเมรกิ าแล้วในประเทศอืน่ ๆ ก็ได้ให้ความสนใจการจดั การเรียนการสอน รปู แบบ STEM Education เชน่ ในประเทศจนี อินเดีย สว่ นในประเทศไทยขณะน้ีสถาบันการสอนวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลย(ี สสวท.) ก็ได้ใหค้ วามสาคัญและส่งเสริมการใช้ STEM Education ในการจดั การเรียนการสอน ในประเทศไทยเชน่ กนั เพราะเราคาดหวงั ว่าการใช้ STEM Education จะช่วยพัฒนาการศกึ ษาของเด็ก นกั เรียนไทยให้มคี ุณภาพ มผี ลการทดสอบระดบั นานาชาติทส่ี งู ขน้ึ STEM Education คอื อะไร ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง ? STEM Education คอื แนวทางการจดั การศกึ ษาทเี่ ปน็ การบูรณาการข้ามกลุ่มสาระวิชา (Interdisciplinary Integration) ระหวา่ งวชิ าวทิ ยาศาสตร์ (Science : S), เทคโนโลยี (Technology : T), วิศวกรรมศาสตร์ (Engineer : E) และคณติ ศาสตร์ (Mathematics : M) เพื่อให้ผู้เรียนนาความรทู้ กุ แขนง มาใชใ้ นการแก้ปัญหา การคน้ ควา้ และการพัฒนาส่งิ ตา่ งๆในสถานการณ์โลกปัจจุบนั STEM Education ประกอบด้วย การนาจุดเดน่ ของธรรมชาตวิ ชิ า ตลอดจนวธิ กี ารสอนของแตล่ ะวชิ า มาผสมผสานกนั คือ - วทิ ยาศาสตร์ (S) เปน็ วชิ าทีว่ า่ ดว้ ยความเข้าใจในธรรมชาติ การสอนวิทยาศาสตรใ์ นแบบ STEM Education ต้องการให้นกั เรยี นมคี วามสนใจ มีความกระตือรือรน้ รูส้ ึกท้าทาย เกิดความมั่นใจใน การเรียน ทาใหผ้ ู้เรียนสนใจท่ีจะเรียนในสาขาวิทยาศาสตรใ์ นระดบั ท่สี งู ขึน้ และประสบความสาเรจ็ ในการเรียน - เทคโนโลยี (T) เป็นวชิ าท่วี ่าด้วยกระบวนการทางานท่ีมกี ารประยุกต์ศาสตร์สาขาอน่ื ๆ ท่เี ก่ียวข้องมาใช้ในการแก้ปญั หา ปรบั ปรงุ พฒั นาสงิ่ ตา่ งๆ เพือ่ ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ผ่าน กระบวนการทางานทางเทคโนโลยที เี่ รียกว่า Engineering Design - วิศวกรรมศาสตร์ (E) เปน็ วชิ าทเ่ี ก่ยี วกบั การสรา้ งสรรค์นวัตกรรมหรอื สรา้ งส่ิงตา่ งๆ เพ่ือมา อานวยความสะดวกของมนุษย์ โดยอาศยั ความรดู้ ้านวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์และกระบวนการทางเทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้สร้างสรรคช์ น้ิ งานนนั้ ๆ - คณติ ศาสตร์ (M) เปน็ วิชาท่วี ่าดว้ ยการศกึ ษาเกย่ี วกับการคานวณ กระบวนการคิด คณิตศาสตร์ ภาษาคณติ ศาสตร์ และการส่งเสรมิ การคิดคณิตศาสตร์ขน้ั สงู ทฤษฎีที่สนับสนนุ การจัดการเรยี นการสอนแบบ STEM Education ทฤษฎที ่สี นับสนุนการจดั การเรียนการสอนแบบ STEM Education คือ ทฤษฎีการสรา้ งความรดู้ ว้ ย ตนเองโดยการสรา้ งสรรค์ชิน้ งาน (Constructionism)
ทฤษฎี Constructionism เปน็ ทฤษฎที มี่ ีพน้ื ฐานมาจากทฤษฎีพฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของเพียเจต์ (Piaget) เช่นเดียวกับทฤษฎกี ารสรา้ งความรู้ (Constructivism) ผ้พู ัฒนาทฤษฎีนีค้ ือ ศาสตราจารย์ ซีมวั ร์ เพเพอร์ท (Seymour Papert) อาจารย์สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชเู ซตส์ (Massachusetts Institute of Technology) แนวความคดิ ของทฤษฎนี คี้ ือ การเรยี นรู้ที่ดเี กิดจากการสรา้ งพลังความรู้ในตนเองและด้วยตนเองของ ผู้เรียน หากผู้เรยี นมีโอกาสได้สรา้ งความคิดและนาความคดิ ของตนเอง ไปสร้างสรรคช์ ิ้นงานโดยอาศัยสอ่ื และ เทคโนโลยที เี่ หมาะสม จะทาใหเ้ หน็ ความคิดน้นั เป็นรูปธรรมท่ชี ดั เจน ความรทู้ ี่ผเู้ รียนสร้างข้ึนในตนเองนี้ จะมี ความหมายต่อผู้เรยี น จะอยู่คงทน ผเู้ รียนจะไมล่ ืมงา่ ย และจะสามารถถ่ายทอดใหผ้ ู้อน่ื เข้าใจความคิดของตน ได้ดี และยังจะเปน็ ฐานใหผ้ ู้เรียนสามารถสรา้ งความรู้ใหม่ต่อไปไดอ้ ย่างไม่มที ส่ี ิ้นสุด การนา STEM Education ไปประยกุ ตใ์ ช้ STEM Education เปน็ การบรู ณาการท่สี ามารถจัดสอนได้ในทุกระดบั ชั้นตั้งแต่ชนั้ อนุบาล - มัธยมศึกษาตอนปลาย โดยใช้หลักการจดั การเรียนการสอนโดยยึดผ้เู รียนเปน็ ศูนย์กลาง ซง่ึ ครูผูส้ อนใชว้ ธิ กี าร สอนแบบการจัดการเรียนการสอนโดยใชป้ ญั หาเป็นหลัก (Problem - Based Instruction), การจัดการเรยี น การสอนโดยใช้โครงการ (Project - Based Instruction) และการจัดการเรยี นการสอนโดยใช้การออกแบบ (Design - Based Instruction) ทาให้ผูเ้ รียนสามารถสร้างสรรค์ พัฒนาช้ินงานได้ดี และถา้ ครผู ้สู อนสามารถ เร่ิมใช้ STEM Education ในการสอนไดเ้ รว็ เทา่ ใด ก็ยง่ิ เปน็ การเพิ่มความสามารถและศกั ยภาพของผู้เรยี น ไดม้ ากข้ึนเท่านัน้ ข้อดี - ขอ้ จากัด ของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ STEM Education ข้อดี 1. เป็นการสอนทีส่ ง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนมองเหน็ ความสมั พันธร์ ะหว่างสาขาวชิ าทีเ่ รียนกับสาขาวิชาอนื่ ท่ี เกีย่ วขอ้ ง ซึ่งทาให้ผ้เู รยี นมีทศั นะกว้างไกล 2. ผู้เรียนสามารถนาความรแู้ ละประสบการณ์ที่ได้รับไปใช้ในชีวิตประจาวนั ได้จรงิ และใช้ได้อย่าง เหมาะสม 3. เป็นการสอนทส่ี ่งเสริมกจิ กรรมการจัดการเรียนการสอนได้หลากหลายรปู แบบ 4. การสอนรปู แบบ STEM Education จะทาให้ผูเ้ รียนเกิดพฒั นาการด้านตา่ งๆ อยา่ งครบถว้ น สอดคลอ้ งกบั แนวการพัฒนาคนใหม้ ีคุณภาพในศตวรรษที่ 21 ท้งั ดา้ นปัญญา ด้านทักษะการคิด เช่น การคดิ วเิ คราะห์ การคิดสรา้ งสรรค์ และดา้ นคุณลกั ษณะ เช่น ผู้เรียนมีทกั ษะการทางานกลมุ่ มีทกั ษะการสอ่ื สารท่ีมี ประสิทธภิ าพ ขอ้ จากัด 1. ประเทศไทยมีเพียงหลักสูตรการสอนที่แบ่งเป็นกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี และ คณิตศาสตร์เท่าน้ัน แต่ยังไม่มีกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิศวกรรมศาสตรป์ รากฏอย่างชัดเจนในระดบั การศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน จะมลี กั ษณะเป็นเพยี งแคก่ ารสอดแทรกอย่ใู นวชิ ากลมุ่ วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีเท่านั้น ทาใหข้ าด ความชดั เจน ขาดความตอ่ เน่ืองและขาดความสอดคลอ้ งกันของแต่ละกลุ่มสาระ จงึ ทาให้ไมม่ ีแนวทางให้ ครผู ู้สอนนาไปจดั การเรยี นการสอนได้ 2. ความไม่พร้อมด้านสอ่ื การสอน บทเรียน กระบวนการวดั และประเมนิ ผลท่ีชัดเจน จะทาใหก้ าร จัดการเรียนการสอนแบบ STEM Education ประสบความสาเร็จไดย้ าก
3. ครูผู้สอนไม่มีความสามารถ ไม่มีความชานาญ และไมม่ ีความรู้เพียงพอ ดงั น้ันจึงตอ้ งมีการเตรยี ม การศกึ ษาและวางแผนการดาเนนิ งาน STEM Education ให้ชดั เจน มกี ารอบรมให้ความรู้แก่ครู เพ่ือให้การ ดาเนนิ งานเป็นไปอยา่ งมรี ปู ธรรม เนือ่ งจากแผนการพัฒนาครทู ่ีดีและชัดเจน จะมสี ว่ นที่ทาใหผ้ บู้ ริหาร สถานศกึ ษาและครูผู้สอนเข้าใจและสามารถนาไปสอนได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 4. การรวมเน้อื หาและประสบการณ์ให้มีการบูรณาการในระดับชั้นมัธยมศึกษาและในระดบั ทส่ี งู ขนึ้ เปน็ ไปไดย้ าก นยิ ามของ สะเต็มศึกษา และข้นั ตอนของการจัดกิจกรรมเรียนรู้ 6 ขน้ั ตอน ในรปู แบบของสะเตม็ ศึกษา คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรการจัดการเรยี นการสอนสะเต็มศกึ ษาในสถานศกึ ษา ได้กาหนดนยิ าม ของ “สะเต็มศึกษา” ว่า เปน็ แนวทางการจัดการศึกษาใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนร้แู ละสามารถบูรณาการความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี กระบวนการทางวิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ไปใช้ในการเช่ือมโยงและแกป้ ัญหา ในชวี ิตจริง รวมทงั้ การพฒั นากระบวนการหรือผลผลิตใหม่ ควบคไู่ ปกบั การพัฒนาทักษะการเรียนรู้แห่ง ศตวรรษท่ี 21 อีกทั้งคณะกรรมการฯ ได้มกี ารกาหนดขั้นตอนของกจิ กรรมเรยี นรู้ 6 ขนั้ ตอน ในรปู แบบของ สะเตม็ ศึกษา ได้แก่ ขั้นท่ี 1 ระบปุ ญั หาในชีวติ จรงิ /นวัตกรรมท่ีต้องการพฒั นา ขน้ั ท่ี 2 รวบรวมขอ้ มูลและแนวคดิ ที่เกยี่ วข้อง ขน้ั ท่ี 3 ออกแบบวิธกี ารแกป้ ัญหา (Science+Math & Technology) ขน้ั ท่ี 4 วางแผนและดาเนนิ การแกป้ ญั หา (Engineering) ข้ันที่ 5 ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรงุ (Engineering) ข้ันที่ 6 นาเสนอวธิ กี ารแกป้ ัญหา ผลการแก้ปญั หา หรอื ผลการพัฒนานวัตกรรม กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม (Engineering Design Process) ทใี่ ช้ในการจดั การ เรยี นรตู้ ามแนวทางสะเตม็ ศึกษา นเี่ ป็นอีกหน่งึ รูปแบบท่ีได้ปรบั ปรุงให้ขนั้ ตอนละเอยี ดชัดเจนมากขน้ึ
โรงเรยี นมหดิ ลวทิ ยานุสรณม์ ีการนา STEM เขา้ มาประยุกต์ในบทเรยี นและกิจกรรมตา่ งๆ เพือ่ สง่ เสรมิ ให้ นกั เรียนเป็นผเู้ รยี นแบบ Active learner ที่มีความรู้ ความเข้าใจอย่างลกึ ซงึ้ สามารถนาความรู้มาประยุกต์ แก้ปัญหาและพัฒนาส่งิ ตา่ งๆ มที ศั นคติและค่านิยมในเชงิ สร้างสรรค์ และเป็นผู้ที่มีทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 กจิ กรรมต่างๆเพอื่ พฒั นาทักษะดา้ น STEM ของนักเรียน ไดแ้ ก่ การบรรยายพิเศษโดยผ้คู ดิ คน้ นวัตกรรม, การศกึ ษาดูงานทางดา้ นวชิ าการ, การใช้ STEM แกป้ ัญหาผ่านการแข่งขนั เกมทางวิทยาศาสตร์, การ ประยุกตใ์ ช้ STEM ในค่ายวชิ าการ, และการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ครู นักเรยี น 1. มีการจดั การเรยี นการสอน STEM โดยผ่าน 1. มีการเรียนรู้แบบ Active learning ผ่านการ รปู แบบต่างๆ อาทิ Inquiry-based learning, ปฏิบตั ิจริง และการเรียนร้ใู นรูปแบบกลุ่ม Problem bases learning, Case-based learning, Project-based learning, 2. มีการพัฒนาทักษะการคดิ แบบตา่ งๆ ผ่าน Engineering design process, Flipped กระบวนการเรยี นแบบ Inquiry-based Classroom, Debate, ICT-Moodle, etc. learning, Problem bases learning, Case- based learning, Project-based learning, 2. ครูจากสาขาวชิ าตา่ งๆร่วมกนั ออกแบบบทเรียน Debate เพื่อนาไปสู่การบรู ณาการความรู้ กจิ กรรม และการประเมินผล 3. มีการจดั รายวิชาพิเศษเพ่ือสง่ เสริมการจัดการ 3. มีการประเมนิ พฒั นาการและการเรียนรขู้ อง เรยี นการสอนสะเตม็ ศึกษา ได้แก่ รายวชิ า นกั เรยี น Scientific inquiry and the nature of science รายวชิ า Integration of knowledge 4. มกี ารจัดกิจกรรม T2T (Talk to Teach) เพ่อื I, II, III รายวชิ า Creativity and Innovation เรียนรแู้ ละแลกเปล่ียนประสบการณ์ระหว่าง และ Science project ครผู ู้สอนทุกวันพธุ เวลา 15.00-16.00 น. บรรณานุกรม ขา่ วสานักงานรัฐมนตรี 218/2559. ผลประชมุ คณะกรรมการนโยบาย “สะเตม็ ศึกษา” กระทรวงศกึ ษาธิการ ทศิ นา แขมมณี. (2555). ศาสตร์การสอน องคค์ วามรเู้ พ่ือการจดั กระบวนการเรียนร้ทู ี่มปี ระสิทธิภาพ. พมิ พ์คร้ังท่ี 15. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ธารง บวั ศร.ี (2532). ทฤษฎีหลักสตู ร การออกแบบและพฒั นา. พมิ พค์ ร้ังที่ 2. กรุงเทพฯ: ครุ ุสภา. พรทิพย์ ศิริภัทราชยั . (2556, เมษายน-มิถนุ ายน). STEM Education กับการพฒั นาทักษะในศตวรรษ ท่ี 21. นกั บริหาร. 33(2) : 49-55. รกั ษพล ธนานุวงศ.์ (2556, พฤษภาคม-มิถนุ ายน). เรยี นรู้สภาวะโลกร้อนดว้ ย STEM Education แบบบูรณาการ. สสวท. 41(182) : 15-20. วชิ ยั ดสิ สระ. (2533). การพฒั นาหลกั สตู รและการสอน. กรงุ เทพฯ: ภาควชิ าหลกั สูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ ประสานมิต http://www.vcharkarn.com/varticle/60865 : tags : science technology engineering and mathematics education สะเตม็ ศกึ ษา STEM Education แนวทางการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
กจิ กรรมท่ี 1 การจัดการเรยี นรู้ STEM Education Active Learning กลุ่มที่ ................................... ช่อื -สกุล ....................................................... STEM Education “สมาชกิ ในแต่ละกลุ่มรว่ มอภปิ รายหาคาตอบโดยการสืบคน้ ข้อมูลและสร้างข้อสรุกเตรียมการนาเสนอ ในประเด็นคาถาม 3 ประเดน็ ” QUESTION-1 การจัดการเรียนรแู้ บบสะเต็มศกึ ษาคืออะไร ? QUESTION-2 การจัดการเรียนรูแ้ บบสะเต็มศกึ ษาส่งผลตอ่ นโยบายไทยแลนด์ 4.0 อย่างไร ? QUESTION-3 การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาได้อย่างไร ?
กจิ กรรมท่ี 2 การจัดการเรยี นรู้ STEM Education Active Learning กลุ่มท่ี ................................... ชื่อ-สกุล ....................................................... 1. แต่ละกลุ่มเลือกอปุ กรณแ์ ละปฏิบัตกิ ิจกรรม ตามประเดน็ คาถาม “สร้างสิ่งก่อสรา้ งจากกระดาษรองรบั น้าหนักวัตถุให้ได้มากทส่ี ดุ และใช้วัสดุน้อยที่สดุ ไดอ้ ย่างไร ??” 2. ตวั แทนกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรเู้ ลอื กรปู แบบการนาเสนอผลงานสะทอ้ นกระบวนการคิดและแกป้ ัญหา 3. วทิ ยากรและผเู้ ข้ารว่ มประชุมปฏบิ ตั ิการรว่ มวพิ ากษแ์ ละสรุปองคค์ วามรู้
กจิ กรรมท่ี 3 การจัดการเรยี นรู้ STEM Education Active Learning กลมุ่ ท่ี ................................... ชอ่ื -สกลุ ....................................................... ออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ STEM Education ชื่อกิจกรรม .................................................................................... จานวน ......... ชั่วโมง รหัสวิชา ........ รายวิชา ............................ กจิ กรรมเพมิ่ เวลารู้ กิจกรรมชุมนุม ผู้ออกแบบ ............................................................................... กลมุ่ สาระ ..................................................... ตัวช้ีวดั /ผลการเรยี นรู้ K P A สมรรถนะ คณุ ลกั ษณะ 4H S: S: การคิด ใฝเ่ รยี นรู้ Heart T: T: สือ่ สาร มงุ่ มนั่ Head M: M: แก้ปัญหา ซื่อสตั ย์ Hand ทกั ษะชีวิต พอเพียง Health ชิ้นงาน/ภาระงาน ICT สาธารณะ Happy ................ ……………. กระบวนการจัดการเรียนร้/ู เทคนคิ วธิ ี/กจิ กรรม/Rode Map การวดั ผล/ประเมินผล K P A สมรรถนะ สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ การนาเสนอ ขอ้ พึงระวงั ชิน้ งาน การ ถอดรหัส ตอบคาถาม นาเสนอ STEM
แผนการจดั กิจกรรม STEM Education (ตวั อย่าง) สาขาวิทยาศาสตร์ ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ......... ชือ่ ผ้อู อกแบบ ............................................... ชื่อกจิ กรรม ..................................................................... โรงเรยี น ....................................................... จานวน.......ชว่ั โมง 1. ตัวชี้วัด S : ................................................................................................................................................................. ....................................................................................... ........................................................................... T : ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................. ................................. M : ................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ..................................... 2. วัตถุประสงค์ 2.1 เพอ่ื ....................................................................................................................... .......................... 2.2 เพื่อ ............................................................................................................................. .................... 2.3 เพ่อื ................................................................................................................................................. 3. ผังมโนทศั น์สะท้อนสาระ/เนื้อหาท่เี กย่ี วช้อง S: วิทยาศาสตร์ ผลงาน T: เทคโนโลยี ................ ………………………………………………………………… ………………………………………………………………… ……………………………………… ... ……………………………………… E: วิศวกรรมศาสตร์ M: คณติ ศาสตร์ …………………………………………………………………… …………………………………………………………………… …………………………………… …………………………………… 4. สถานการณ์สู่กิจกรรม/เง่ือนไข ………………………………………………….………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………..……………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
6. ขนั้ ตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ 5E 5STEP กระบวนการ 6 ข้ัน 1. นาเขา้ ส่กู ิจกรรม (เรื่องเลา่ /ขา่ ว/เกมส/์ คลิป/สถานการณ์จรงิ /etc.) E1 2. ครูและนกั เรียนรว่ มต้ังประเดน็ คาถามจากสถานการณ์ ................................ E1 Q 1) ระบปุ ญั หา/ทาง 3. จดั กล่มุ /สรา้ งทีมนักเรียนตามความสนใจ..................................................... E2 แก้ 4. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มรว่ มวิเคราะหป์ ัญหา สาเหตุ ผลกระทบ ทางแก้ไข ......... 5. กลุม่ รว่ มวางแผน/สืบค้นข้อมูลเพื่อกาหนดชนิ้ งาน ........................................ E2 S 2) รวบรวมขอ้ มูล/ วธิ กี าร 6. กลุ่มร่วมออกแบบ/เขยี นแบบช้ินงาน ............................................................ E2 3) ออกแบบชน้ิ งาน 7. กลุ่มรว่ มวิเคราะห์และตดั สินใจเลือกวัสด/ุ อปุ กรณ์ ....................................... E2 4) วางแผน/ C แก้ปญั หา 8. กลุม่ ร่วมประดษิ ฐ/์ สรา้ งช้ินงาน .................................................................... E2 9. กลมุ่ ทดสอบ/ปรบั ปรุงผลงาน ....................................................................... E2 5) ทดสอบ/ 10. กลุม่ อภิปรายวิเคราะห์/สรุปข้อมูล/เตรียมการนาเสนอ .............................. E3 ประเมนิ 11. กลมุ่ นาเสนอผลงาน ................................................................................... E3 C 12. กล่มุ ถอดรหสั STEM โดยสมาชกิ ท้งั ห้องและครรู ่วมเตมิ เตม็ ...................... E4 S 6) นาเสนอผลงาน 13. สมาชิกร่วมประเมนิ และช่ืนชมผลงานในรปู แบบ Walk Rally/Jig Saw/ E5 นิทรรศการ/youtube/Social Online/ผงั กราฟฟกิ 7. สือ่ การเรยี นรู้/แหลง่ เรียนรู้ 7.1 ส่ือการเรียนรู้ 7.1.1 ............................................................................................................................. .................... 7.1.2 ................................................................................................................................................. 7.2 แหล่งการเรียนรู้ 7.2.1 ............................................................................................................................. .................... 7.2.2 ............................................................................................................................. .................... 8. การวดั ผลและประเมินผล สิ่งทปี่ ระเมนิ วธิ กี ารวดั เคร่อื งมอื ท่ีใช้ เกณฑก์ ารผ่าน 8.1 ความรู้ 8.2 ทกั ษะตามสาระ 8.3 การทางานกลุ่ม 8.4 กระบวนการคิด 8.5 การนาเสนอ 8.6 ความพงึ พอใจ/ความสขุ
ใบกิจกรรมนักเรียน STEM Education (ตวั อย่าง) เน้นสาขา ...................... ระดับชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ......... ชือ่ ผอู้ อกแบบ .................................................... ช่อื กจิ กรรม .......................................................................... โรงเรียน ............................................................ กลุม่ นกั เรียน ................................................... ห้อง ........... จานวน.......ชว่ั โมง สถานการณ์ ผลกระทบ/เง่ือนไข ปญั หา : ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… วธิ กี ารแก้ไข/ช้ินงานสาคัญ : ………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… แผนการดาเนนิ งาน เขียนแบบชนิ้ งาน ว/ด/ป กิจกรรม ผู้รบั ผดิ ชอบ ขัน้ ตอน/วธิ กี ารสรา้ ง รายการวัสดุอปุ กรณ/์ ประมาณการ ถอดรหสั STEM ตารางข้อมลู /สรปุ ผล S: วิทยาศาสตร์ ผลงาน T: เทคโนโลยี ……………………… ............. ……………………………… M: คณิตศาสตร์ ..... ……………………… …………………… E: วิศวกรรม ………………………………
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: