พทุ ธประวตั ิ การแสดงปฐมเทศนา ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร • หลงั จากตรัสรู้แลว้ พระพทุ ธเจา้ ทรงมีพระมหากรุณาสงสารสตั วโ์ ลก จึงทรงมีพระประสงคจ์ ะไปแสดง ธรรมโปรดอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุททกดาบส รามบุตร แต่ท่านท้งั สองสิ้นชีพไปก่อนหนา้ น้นั ๗ วนั แล้ว จึงตดั สินพระทยั จะไปโปรดปัญจวคั คีย์ ซ่ึงเคยรับใช้พระองคข์ ณะทรงบาเพ็ญทุกกรกิริยา โดยพระองคท์ รงแสดงปฐมเทศนาท่ีเรียกวา่ ธมั มจักกปั ปวตั ตนสูตร
พระองคเ์ สดจ็ ไปแสดงธรรมโปรด “ปญั จวคั คยี ์ ณ ป่าอิสปิ ตนมฤคทายวนั ” ปฐมเทศนาการแสดงธรรมครงั้ น้ี เรยี กวา่ ธรรมทแ่ี สดง คือ ธมั มจกั กปั ปวตั นสตู ร
ปญั จวคั คยี ์ คอื กลุ่มคนแรกทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรมโปรด 1. โกณฑญั ญะ (ภิกษรุ ูปแรก) 2. วัปปะ 4. มหานามะ 3. ภัททยิ ะ 5. อัสสชิ
ไมส่ ามารถพน้ ทกุ ขไ์ ด้ • ทรงช้ีว่ามีทาง “สุดโต่ง” ๒ ทางท่ีบรรพชิตไม่พึง ปฏิบตั ิ คือ การหมกมุ่นในกามอนั เป็ นทางหย่อน คอื ตงึ เกนิ /หยอ่ นเกนิ เกินไป และการทรมานตนให้ลาบาก อนั เป็ นทาง ตึงเกินไป
มัชฌมิ าปฏปิ ทา • ทรงแสดง “ทางสายกลาง หรือมชั ฌิมาปฏิปทา” มรรคมอี งค์ 8 คือ อริ ยมรรค มีองค์แปดประการ อันได้แก่ เห็นชอบ ดาริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ อาชีพชอบ พยายามชอบ สติชอบและสมาธิชอบ
• ทรงแสดง “อริยสัจส่ีประการ” คือ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค อย่างพิสดาร และครบวงจร ว่า พระองคน์ ้นั ทรงตรัสรู้สิ่งเหล่าน้ีอยา่ งไร ความจรงิ 4 อยา่ ง ทกุ ข์ สมุทัย นโิ รธ มรรค
ดวงตาเหน็ ธรรม • หลงั ฟังเทศน์จบลง โกณฑญั ญะได้ “ดวงตา ภิกษุรูปแรก เห็นธรรม” จึงทูลขอบวช พระพุทธองค์ ประทานการบวชดว้ ยการอุปสมบท เรียกว่า “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” ถือเป็ นพระสาวกรูป แรกในพระพทุ ธศาสนา
หมุนกงลอ้ • กล่าวถึงเทพท้งั หลายต้งั แต่ภุมมเทวดา ไดป้ ่ าวร้อง บอกต่อๆ กนั ไปจนถึงหมู่พรหมว่า พระพุทธเจา้ ทรง คาสอนจะดาเนนิ ไป หมุนกงล้อ คือ พระธรรม ที่ไม่มีใครไม่ว่าสมณะ ข้างหนา้ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม สามารถหมุนกลบั ได้
ตรงกับวนั เพญ็ เดือน 3 “พระสงฆส์ าวก 1,250 รูป มาเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ทวี่ ดั เวฬวุ นั ” โดยมไิ ดน้ ดั หมาย จึงทรงแสดง โอวาทปาฏโิ มกข์
ของพระพทุ ธศาสนา คือ ทเ่ี ปน็ หวั ใจศาสนา การเผยแผศ่ าสนา มีคณุ สมบตั ิ เชน่ พระนพิ พาน ไมท่ าชวั่ ทาดี จติ ใจผอ่ งใส ใช้ขนั ตธิ รรม/สนั ตวิ ธิ ี เครง่ ในระเบยี บ
อ่านวา่ มา-ระ-ว-ิ ชยั แปลวา่ ชนะมาร จาลองเหตกุ ารณ์ ตอน ผจญมาร และสามารถเอาชนะพญามารได้ โดยมี “พระแมธ่ รณเี ปน็ พยาน”
ขณะท่ีพระพุทธองคท์ รงน่งั สมาธิอยู่ใตต้ น้ โพธิ์ พญาวสวัตดีมารไดม้ าขบั ไล่พระองค์ และอา้ งวา่ บลั ลงั กเ์ ป็นของตน พระพทุ ธองค์ ทรงแยง้ ว่าบลั ลงั กเ์ ป็นของพระองค์ และทรง ตรสั วา่ “ขอใหว้ สนุ ธราจงเป็นพยาน” ทนั ใด นนั้ พระแมธ่ รณีไดผ้ ดุ ขนึ้ มาจากแผ่นดินและ บีบมวยผมบนั ดาลใหเ้ กิดกระแสนา้ ไหลท่วม กองทัพพญามารจนพ่ายแพ้ ชาวพุทธจึง สรา้ งปางนีข้ นึ้
เปน็ “สญั ลกั ษณ”์ แทน “กเิ ลส” 3 ประการ 1. โลภะ คอื ความอยากได้ 2. โทสะ คอื ความโกรธ 3. โมหะ คอื ความหลง ความเขลา การสกู้ บั พญามาร กค็ อื การสกู้ บั กิเลส
พระพทุ ธรปู ทอี่ ยใู่ น “อริ ยิ าบถยนื ” จาลองเหตุการณ์ ตอน เสด็จลงจากดาวดึงส์ ด้วยกริ ยิ าทง่ี ดงามยิง่ กว่าทุกครง้ั เปน็ พระพทุ ธรปู ทมี่ ี “ความอ่อนชอ้ ยทส่ี ดุ ”
ปางนี้มีความเก่ียวโยงกับปางเสด็จลงมาจาก สวรรค์ช้ันดาวดึงส์ กล่าวคือ หลังจากพระ พุทธองค์เสด็จขึน้ ไปจาพรรษา ณ สวรรค์ช้ัน ดาวดึงส์ เพ่ือแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา ตลอด ๓ เดือนแล้ว ก็เสด็จลงมาจากสวรรค์ ซ่ึงพระพุทธลลี านอกจากบ่งบอกถึงความงาม อนั อ่อนช้อย น่าเลื่อมใสศรัทธาแล้วยังหมายถึง การเคลื่อนไหวด้วยพระมหากรุณา เพ่ือโปรด เวไนยสัตว์ให้หลุดพ้นจากความทุกข์
ยังเป็น “สัญลกั ษณ”์ แทน การเคลอื่ นไหว เพอื่ โปรดเวไนยสตั ว์ ใหห้ ลดุ พน้ จากความทกุ ขใ์ นสงั สารวฏั โดยไมเ่ หนด็ เหนอื่ ยพระวรกาย
พระพทุ ธรปู “น่งั สมาธแิ ละยกพระหตั ถ์” จาลองเหตกุ ารณ์ ตอน แสดงปฐมเทศนา คือ ธมั มจกั กปั ปวตั นสตู ร แก่ “ปัญจวคั คยี ”์
หลังจากตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จดาเนิน ด้วยพระบาทไปยังป่ าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัต ตนสูตร อันว่าด้วยอริยสัจ ๔ ประการ แก่ปัญจ วคั คยี ์โดยมโี กณฑญั ญะเป็ นหัวหน้าในการแสดง ปฐมเทศนานี้ เรียกอีกอย่างว่า ทรงหมุนกงล้อ ธรรมชาติ ซึ่งเป็ นเครื่องหมายแห่งการประกาศ พระพทุ ธศาสนาเป็ นคร้ังแรก
มีความเช่ือวา่ บูชาเพอ่ื สรา้ งสริ ิมงคลแก่ตนเอง โดยแบง่ เปน็ แตล่ ะปางใน 1 สปั ดาห์ ดังน้ี
พุทธลกั ษณ์ อริ ยิ าบถยนื ลืมพระเนตร เพง่ ไปขา้ งหนา้ พระหัตถท์ ง้ั 2 ประสานอยขู่ า้ งหนา้ จาลองเหตกุ ารณ์ “หลงั จากตรสั รใู้ หมๆ่ ” พระพทุ ธเจา้ ทรงจอ้ งตน้ พระศรมี หาโพธไิ์ มก่ ระพรบิ พระเนตรเปน็ เวลา 7 วัน สถานทนี่ ี้ เรยี กวา่ “อนมิ สิ เจดีย”์
พุทธลกั ษณ์ ปางหา้ มสมทุ ร อิริยาบถยนื ยื่นพระหตั ถท์ งั้ 2 ไปขา้ งหนา้ แบพระหตั ถต์ งั้ ขา้ งหนา้ เสมอพระอรุ ะ จาลองเหตุการณ์ “ขณะไปโปรดชฎลิ 3 พี่นอ้ ง” แลว้ เกดิ ฝนตก หนกั นา้ ทว่ ม แต่พระองคท์ รงยนื อยู่ ภายในวงลอ้ มของนา้ ทว่ ม เปน็ ทอ่ี ศั จรรยย์ ง่ิ นกั
พุทธลกั ษณ์ อริ ิยาบถนอนตะแคงขวา พระบาททง้ั 2 เสมอกัน พระหตั ถซ์ า้ ยทาบวรกาย ขวาตง้ั ขนึ้ รบั เศยี ร จาลองเหตุการณ์ “อสุรนิ ทราหสู าคญั วา่ ตนเองมรี า่ งกายใหญโ่ ต” แสดงความกระดา้ งกระเดอื่ งไมอ่ อ่ นนอ้ ม พระองคจ์ งึ เนรมติ กายใหญโ่ ต ลดทฐิ อิ สรู
พทุ ธลักษณ์ อริ ยิ าบถยนื พระหตั ถ์ทงั้ สอง ประคองบาตร จาลองเหตุการณ์ “เมอื่ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ไปโปรดพระประยรู ญาติ กรุงกบิลพสั ดุ์” เช้าวนั รงุ่ ขน้ึ ทรงบาตรไปโปรดสตั ว์ เสดจ็ พทุ ธดาเนนิ ไปตามถนนกรงุ กบลิ พสั ดุ์
พุทธลกั ษณ์ อริ ิยาบถประทบั นงั่ ห้อยพระบาท พระหัตถซ์ า้ ยวางควา่ บนพระชานุ ขวาวางหงาย จาลองเหตกุ ารณ์ “เม่ือพระภกิ ษเุ มอื งโกสมั พที ะเลาะกนั ขนานใหญ่” พระองคท์ รงเสดจ็ ไปหา้ มปราม แตไ่ มม่ ใี ครฟงั พระองคจ์ งึ หลกี ไปในปา่ มพี ญาชา้ งกบั ลงิ ปรนนบิ ตั ิ
พทุ ธลักษณ์ อิรยิ าบถประทบั นง่ั ขดั สมาธิ พระบาทขวาทบั ซา้ ย พระหตั ถท์ งั้ สองวางหงายบนพระเพลาขวาทบั พระหตั ถซ์ า้ ย จาลองเหตุการณ์ “เมอ่ื พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั รู้ อนตุ รสมั มาสมั โพธญิ าณ” ใต้ตน้ พระศรมี หาโพธิ
พุทธลกั ษณ์ อิรยิ าบถยนื พระหตั ถ์ทงั้ สองประสานกนั ยกขึน้ ทาบพระอรุ ะ พระหัตถข์ วาทบั ซา้ ย จาลองเหตกุ ารณ์ “เม่อื ทรงราพงึ ถงึ ธรรมะทตี่ รสั รวู้ า่ มคี วามลกึ ซง้ึ ” ยากทค่ี นทว่ั ไฟจะเขา้ ถงึ ทรงคิดวา่ ไมอ่ ยากสอน ใคร แตส่ ุดทา้ ยตดั สนิ ใจไปสง่ั สอนประชาชน
พทุ ธลักษณ์ อริ ิยาบถประทบั ขดั สมาธเิ หนอื ขนดพญานาค ท่มี าขดใหป้ ระทบั แผ่พงั พานบงั ลม ฝนให้ จาลองเหตกุ ารณ์ “หลังจากพระพทุ ธเจา้ ตรสั รู้ ขณะประทบั ใตต้ น้ มจุ ลิ นทร”์ มีฝนตก 7 วนั เม่ือฝนหยกุ พญานาคจาแลง กายมาณพหนมุ่ ยนื ประคองอญั ชลอี ยขู่ า้ งๆ
Search
Read the Text Version
- 1 - 31
Pages: