Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แก้ไขคู่มือเตรียมสอบนักธรรมเอก พ.ศ.๒๕๕๑-๒๕๖๒

แก้ไขคู่มือเตรียมสอบนักธรรมเอก พ.ศ.๒๕๕๑-๒๕๖๒

Description: แก้ไขคู่มือเตรียมสอบนักธรรมเอก พ.ศ.๒๕๕๑-๒๕๖๒

Search

Read the Text Version

๓๗ ๑. โลกคือหมูส่ ตั ว์ อนั ชราเป็นผูน้ าๆ เขา้ ไปใกล้ ไมย่ งั่ ยนื ๒. โลกคอื หมูส่ ัตว์ ไมม่ ีผปู้ ้องกนั ไม่เป็นใหญ่จาเพาะตน ๓. โลกคอื หมู่สตั วไ์ มม่ ีอะไรเป็นของ ๆ ตน จาตอ้ งละทิ้งส่ิงท้งั ปวงไป ๔. โลกคอื หมู่สตั ว์ พร่องอยเู่ ป็นนิตย์ ไม่รู้จกั อิ่ม เป็นทาสแห่งตณั หา ฯ ๓. พระมหากสั สปเถระประพฤตธิ ุดงควตั รเพราะเห็นอานาจประโยชน์อย่างไร? (๒๕๖๒, ๒๕๖๐) ตอบ : เพราะเห็นอานาจประโยชน์ ๒ อยา่ ง คือ ๑. การอยเู่ ป็นสุขในบดั น้ีของตน ๒. เพือ่ อนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลงั จะไดเ้ ป็นทิฏฐานุคติแห่งคนผมู้ าเกิดใน ภายหลงั เมื่อทราบวา่ สาวกของพระพุทธเจา้ ไดป้ ระพฤติอยา่ งน้ี เขาจะไดป้ ระพฤติ ตามซ่ึงเป็ นทางอานวยสุขแก่เขาเองฯ ๔. พระพทุ ธพจน์ว่า “ภทฺเทกรตฺโต” ผ้มู ีราตรีเดยี วอนั เจริญ หมายถงึ การปฏบิ ัติย่างไร ? พระสาวก รูปใดสามารถอธบิ ายพระพทุ ธพจน์นีไ้ ด้ถูกต้องตามพทุ ธประสงค์ ? (๒๕๖๒) ตอบ : หมายถึง เป็นผมู้ ีความเพยี ร ไม่เกียจคร้านท้งั กลางวนั และกลางคนื อยดู่ ว้ ยความไม่ ประมาท ฯ พระมหากจั จายนะ ฯ ๕. ข้อความว่า “วรรณะใดประพฤติกศุ ลกรรมบถ วรรณะน้นั ย่อมเข้าถงึ สุคติโลกสวรรค์” ดังนี้ ใคร กล่าว และกล่าวแก่ใคร ? (๒๕๕๕) ตอบ : พระมหากจั จายนะ กล่าว ฯ กลา่ วแก่พระเจา้ มธุรราชอวนั ตีบตุ ร ฯ ๖. ผ้ทู ไ่ี ด้รับการอปุ สมบทโดยวธิ ีรับโอวาท และโดยวธิ รี ับครุธรรม คือใคร ? และได้รับการยกย่องว่า เป็ นเอตทคั คะในทางใด ? (๒๕๕๘) ตอบ : โดยวิธีรับโอวาท คือพระมหากสั สปะ และโดยวธิ ีรับครุธรรม คอื พระมหาปชาบดี โคตมี ฯ พระมหากสั สปะ ในทางผทู้ รงธุดงคค์ ุณ ส่วนพระมหาปชาบดี โคตมี ในทาง รัตตญั ญู ฯ ๗. อนาถบิณฑกิ เศรษฐี มีนามเดมิ ว่าอะไร ? ได้บรรลุคณุ วิเศษอะไรในพระพทุ ธศาสนา ? ที่ไหน ? (๒๕๕๘) ตอบ : สุทตั ตะ ฯ โสดาปัตติผล ฯ ท่ีเมืองราชคฤห์ ฯ ๘. คาว่า “วรรณะใด ประพฤติอกศุ ลกรรมบถ เบื้องหน้าแต่มรณะ วรรณะน้นั ย่อมเข้าสู่อบายเสมอ กนั หมด ไม่มพี เิ ศษ” ใครกล่าว ? และกล่าวกบั ใคร ? (๒๕๕๘) ตอบ : พระมหากจั จายนะ กลา่ ว ฯ

๓๘ กล่าวกบั พระเจา้ มธุราชอวนั ตีบตุ ร ฯ ๙. พระพทุ ธโอวาท ๓ ข้อ ท่ที รงประธานแก่พระมหากสั สปว่าอย่างไร ? จดั เข้าในการอุปสมบทวิธี ใด ? (๒๕๕๙) ตอบ : พระโอวาท ๓ ขอ้ วา่ ดงั น้ี ๑. กสั สปะ ท่านพงึ ศึกษาวา่ เราจกั เขา้ ไปต้งั ความละอายและความยาเกรงไวใ้ นภิกษุ ท้งั ที่เป็นผเู้ ฒ่า ท้งั ที่เป็นผใู้ หม่ ท้งั ท่ีเป็นปานกลางอยา่ งแรงกลา้ ๒. เราจกั ฟังธรรมอนั ใดอนั หน่ึงซ่ึงประกอบดว้ ยกศุ ล เราจกั เง่ียโสตฟังธรรมน้นั พจิ ารณาเน้ือความ ๓. เราจกั ไม่ละสติเป็นไปในกาย คอื พิจารณากายเป็นอารมณ์ ฯ จดั เขา้ ในเอหิภิกขอุ ปุ สมบทวธิ ี ฯ ______________________________________________________________________________ ปริเฉทท่ี ๘ ว่าด้วยการโปรดมาณพ ๑๖ คน ๑. พราหมณ์พาวรีผูกปัญหาให้มาณพ ๑๖ คน ผ้เู ป็ นศิษย์ทูลถามพระบรมศาสดาเพ่ือประสงค์อะไร? ปัญหาว่า “หมู่มนุษย์โลกนี้ คือ ฤษีกษตั ริย์พราหมณ์เป็ นอนั มากอาศัยอะไร จึงบูชายญั บวงสรวง เทวดา” ผู้ทูลถามคือใคร? และทรงพยากรณ์ว่าอย่างไร? (๒๕๕๒) ตอบ : พราหมณ์พาวรีประสงคจ์ ะสืบสวนใหไ้ ดค้ วามแน่นอนวา่ พระโอรสของศากยราช เสดจ็ ออกบรรพชา ปฏิญญาพระองคว์ า่ เป็นพระอรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจา้ ตามขา่ ว เลา่ ลือน้นั เป็นจริงหรือไม่ ฯ ผทู้ ลู ถามคือ ปณุ ณกมานพ ฯ ทรงพยากรณ์วา่ หมมู่ นุษยเ์ หลา่ น้นั อยากไดข้ องที่ตนปรารถนา อาศยั ของที่มีชรา ทรุดโทรมจึงบูชายญั บวงสรวงเทวดา ฯ ๒. ปัญหาว่า “โลกคือหมู่สัตว์ อนั อะไรปิ ดบังไว้ จงึ หลงดจุ อยู่ในทมี่ ืด” ดงั นี้ ใครเป็ นผ้ถู าม? ได้รับคา พยากรณ์ว่าอย่างไร ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๕) ตอบ : อชิตมาณพเป็นผถู้ าม ฯ ไดร้ ับการพยากรณ์วา่ โลกคอื หมู่สัตว์ อนั อวชิ ชาคือความ ไม่รู้แจง้ ปิ ดบงั ไวจ้ ึงหลงดุจอยใู่ นท่ีมืด ฯ ______________________________________________________________________________ ปริเฉทที่ ๙ ว่าด้วยการอนุญาตญตั ตจิ ตุตถกรรมวาจา ๑. พระพทุ ธเจ้าตรัสสอนพระราธะว่า ส่ิงใดเป็ นมาร ท่านจงละความกาหนดั พอใจในส่ิงน้นั เสีย มารในท่นี หี้ มายถงึ อะไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ

๓๙ ๒. การอปุ สมบทด้วยญัตตจิ ตุตถกรรมวาจา พระสาวกผ้เู ป็ นอปุ ัชฌายะ และเป็ นสัทธวิ ิหาริกรูปแรก คือใคร ? (๒๕๕๕) ตอบ : พระสารีบตุ ร เป็นอุปัชฌายะรูปแรก ฯ พระราธะ เป็นสทั ธิวหิ าริกรูปแรก ฯ ๓. การอุปสมบทสาหรับพระภกิ ษุในคร้ังพทุ ธกาล มีท้งั หมดกว่ี ิธี ?อะไรบ้าง ?ในปัจจุบันใช้วิธใี ด ? (๒๕๕๖) ตอบ : มี ๓ วิธี ฯ คอื ๑. เอหิภิกขอุ ปุ สัมปทา ๒. ติสรณคมนูปสัมปทา ๓. ญตั ติจตุตถกรรมอปุ สัมปทา ฯ ใชญ้ ตั ติจตุตถกรรมอปุ สมั ปทา ฯ ๔. พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราธะว่า “สิ่งใดเป็ นมาร ท่านจงละความกาหนดั พอใจในส่ิงน้นั เสีย” มารในที่นหี้ มายถึงอะไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : หมายถึง รูป เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ ฯ ______________________________________________________________________________ ปริเฉทที่ ๑๐ ว่าด้วยการเสดจ็ เมืองกบลิ พสั ด์ุ ๑. พระพทุ ธองค์ทรงแสดงสุจริตธรรมโปรดพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางมหาปชาบดโี คตมี ทา ให้ท้งั ๒ พระองค์ได้บรรลุอริยผลช้ันไหน? (๒๕๖๐, ๒๕๕๒) ตอบ : ทาใหพ้ ระเจา้ สุทโธทนะทรงบรรลสุ กทาคามิผล และพระนางมหาปชาบดีโคตรมี ทรงบรรลโุ สดาปัตติผล ______________________________________________________________________________ ปริเฉทท่ี ๑๑ ว่าด้วยศากยวงศ์ออกบวช ๑. อนุรุทธศากยะออกบวชเพราะมูลเหตุอะไร ? ผู้ที่ออกบวชพร้อมกบั ท่านมีใครบ้าง ? (๒๕๕๔) ตอบ : มีเพราะมูลเหตจุ ากการที่อนุรุทธศากยะเป็นพระญาติของพระพทุ ธเจา้ ซ่ึงควรออก บวชตามพระพทุ ธเจา้ อยา่ งท่ีเจา้ ศากยะองคอ์ ่ืนผมู้ ีชื่อเสียงไดก้ ระทากนั และคร้ัน เม่ือไดฟ้ ังคาพูดของมหานามศากยะผพู้ ว่ี า่ การงานของผอู้ ยคู่ รองเรือนไม่มีสิ้นสุด

๔๐ ที่สุดของการงานไมม่ ีปรากฏ จึงตดั สินใจใหพ้ ี่อยคู่ รองเรือนส่วนตนออกบวช ฯ มี พระเจา้ ภทั ทิยะ อานนั ทะ ภคั คุ กิมพลิ ะ เทวทตั และ อบุ าลี ฯ ๒. พระสาวกทมี่ ักเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า “สุขหนอ สุขหนอ” ดังนี้ คือใคร ? ท่านเปล่งอทุ านเช่นนี้ เพราะอะไร ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๘) ตอบ : คอื พระภทั ทิยะ ฯ เพราะเม่ือก่อนทา่ นเป็นพระเจา้ แผน่ ดิน ตอ้ งจดั การรักษาป้องกนั ท้งั ในวงั นอกวงั ท้งั ในเมืองนอกเมือง จนตลอดทว่ั อาณาเขต แมม้ ีคนคอยรักษาอยา่ งน้ีแลว้ ยงั ตอ้ ง หวาดระแวง สะดุง้ กลวั อยเู่ ป็นนิตย์ คร้ันทรงออกบวชไดบ้ รรลอุ รหตั ผลแลว้ แมอ้ ยู่ ในที่ไหนๆ ก็ไมห่ วาดระแวง ไม่สะดุง้ กลวั ไม่ตอ้ งขวนขวาย มีใจปลอดโปร่งเป็น ดุจมฤคอยู่ จึงเปลง่ อทุ านเช่นน้นั ฯ ๓. อาสยะ และ ปโยคะ ในสัตตูปการสัมปทา หมายถึงอะไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : อาสยะ หมายถึง ความมีพระหฤทยั เยอื กเยน็ ดว้ ยความกรุณา ปรารถนา คณุ ประโยชน์อยเู่ ป็นนิตย์ แมใ้ นบุคคลที่ทาผดิ ต่อพระองคม์ ีพระเทวทตั เป็นตน้ ก็ยงั ทรงกรุณา ปโยคะ หมายถึง ความมีพระหฤทยั มิไดม้ ่งุ หวงั ตอ่ อามิส เทศนาสั่งสอนสัตวด์ ว้ ย ขอ้ ปฏิบตั ิ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ฯ ๔. พระอานนท์ได้รับเลือกให้เป็ นพุทธอปุ ัฏฐากในเวลาก่อนหรือหลงั บรรลุเป็ นพระโสดาบนั ? ได้รับ ยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็ นเอตทัคคะในทางใดบ้าง ? (๒๕๕๖) ตอบ : หลงั บรรลุเป็นพระโสดาบนั ฯ ในทางเลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายที่เป็นพหุสูต มีคติ มีสติ มีธิติ และเป็นอุปัฏฐาก ฯ ๕. พระปณุ ณมนั ตานีบตุ รเป็ นชาวเมืองไหน? ต้ังอยู่ในคุณธรรมอะไรบ้าง? (๒๕๖๐) ตอบ : เป็นชาวเมืองกบิลพสั ดุฯ์ ต้งั อยใู่ นคุณธรรม ๑๐ ประการ คือ มกั นอ้ ย สนั โดษ ชอบสงดั ไม่ชอบเกี่ยวขอ้ ง ดว้ ยหมู่ ปรารภความเพยี ร บริบูรณ์ดว้ ยศีล สมาธิ ปัญญา วมิ ตุ ติ ความรู้เห็นใน วมิ ตุ ติฯ ______________________________________________________________________________ ปริเฉทท่ี ๑๒ ว่าด้วยพระโสณโกฬิวสิ ะและพระรัฐบาลออกบวช

๔๑ ๑. พระเจ้าโกรัพยะตรัสถึงเหตแุ ห่งความเส่ือมทจี่ ะให้คนออกบวชกบั พระสาวกรูปใด ? เหตุแห่ง ความเส่ือมน้นั ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ : ตรัสกบั พระรัฏฐปาลเถระ ฯ เหตุน้นั ไดแ้ ก่ ๑. ความแก่ชรา ๒. ความเจบ็ ๓. ความสิ้นโภคทรัพย์ ๔. ความสิ้น ญาติ ฯ ๒. จงระบุชื่อพระสาวกผ้ทู ่ีบวชด้วยเหตตุ ่อไปนี้ ก. บวชด้วยศรัทธา ข. บวชเพราะจาใจ ค. บวชตามเพื่อน ง. บวชเพราะเหน็ โทษของการครอง เรือน (๒๕๕๑) ตอบ : ก. บวชดว้ ยศรัทธา คอื พระรัฐปาลเถระ ข. บวชเพราะจาใจ คอื พระนนั ทเถระ ค. บวชตามเพอื่ น คอื พระวิมล พระสุพาหุ พระปณุ ณชิ พระควมั ปติ ง. บวชเพราะเห็นโทษของการครองเรือน คือ พระมหากสั สปเถระ ฯ ๓. พระสาวกผู้กล่าวว่า โลกคือหมู่สัตว์อนั ชราเป็ นผู้นา ๆ เข้าไปใกล้ ไม่ยง่ั ยืน ดงั นี้ คือใคร ? กล่าวแก่ใคร ? ได้รับเอตทัคคะในทางใด ? (๒๕๕๔) ตอบ : คอื พระรัฐบาล ฯ แก่พระเจา้ โกรัพยะ ฯ ในทางเป็นยอดของภิกษผุ บู้ วชดว้ ยศรัทธา ฯ ๔. ธรรมุทเทศ ๔ ข้อ ได้แก่อะไรบ้าง? ใครแสดง? แสดงแก่ใคร ? (๒๕๕๗) ตอบ : ไดแ้ ก่ ๑. โลกคอื หมู่สัตว์ อนั ชราเป็นผนู้ า นาเขา้ ไปใกล้ ไม่ยงั่ ยนื ๒. โลกคือหมสู่ ัตว์ ไมม่ ีผปู้ ้องกนั ไม่เป็นใหญ่จาเพาะตน ๓. โลกคือหมสู่ ตั ว์ ไมม่ ีอะไรเป็นของของตน จาตอ้ งละทิง้ สิ่งท้งั ปวงไป ๔. โลกคือหมู่สตั ว์ พร่องอยเู่ ป็นนิตย์ ไมร่ ู้จกั อ่ิม เป็นทาสแห่งตณั หา ฯ พระรัฐบาลแสดง ฯ แสดงแก่พระเจา้ โกรัพยะ ฯ ______________________________________________________________________________ ปริเฉทที่ ๑๓ ว่าด้วยการเสดจ็ โปรดพระพุทธบดิ า พระพุทธมารดา และเสดจ็ ดบั ขันธปรินิพพาน

๔๒ ๑. พระสารีบตุ รปรินิพพานทีไ่ หน ? ท่านเลือกสถานที่น้ันเพราะเหตไุ ร ? (๒๕๖๐, ๒๕๕๓) ตอบ : ที่นาลนั ทคาม แควน้ มคธ ฯ เพราะต้งั ใจจะโปรดนางสารีพราหมณีผเู้ ป็นมารดาของท่าน ใหพ้ น้ จากมิจฉาทิฏฐิ ก่อนท่ีทา่ นจะปรินิพพาน ฯ ๒. พระพทุ ธองค์เสด็จไปแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดาในสวรรค์ช้ันใด ? ด้วยรรมอะไร ? และ พระพุทธมารดาได้รับผลอะไร ? (๒๕๕๘) ตอบ : ในสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ ฯ ดว้ ยพระอภิธรรม ฯ ไดบ้ รรลพุ ระโสดาปัตติผล ฯ ______________________________________________________________________________ เหตกุ ารณ์ก่อนพุทธปรินิพพาน ๑. ถปู ารหบคุ คล คือใคร ? มีกปี่ ระเภท ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๒, ๒๕๕๓, ๒๕๕๑) ตอบ : คือ บคุ คลผคู้ วรแก่การสร้างสถปู ไวป้ ระดิษฐาน ฯ มี ๔ ประเภท ฯ คือ ๑. พระตถาคตอรหนั ตสัมมาสมั พุทธเจา้ ๒. พระปัจเจกพุทธเจา้ ๓. พระอรหนั ตสาวก ๔. พระเจา้ จกั รพรรดิราช ฯ ๒. นิมติ โอภาสทพ่ี ระศาสดาทรงแสดงแก่พระอานนท์ก่อนทรงปลงอายุสังขาร มีใจความว่า อย่างไร ? ทรงแสดงเพ่ืออะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : มีใจความวา่ อิทธิบาทท้งั ๔ ประการ ท่านผใู้ ดผหู้ น่ึง ไดเ้ จริญใหม้ ากแลว้ สามารถจะดารงอยไู่ ดก้ ปั ๑ หรือเกินกวา่ น้นั อิทธิบาทท้งั ๔ น้นั พระตถาคตได้ เจริญแลว้ ถา้ ทรงปรารถนา ก็จะดารงอยไู่ ดก้ ปั ๑ หรือเกินกวา่ น้นั ฯ เพอ่ื ใหพ้ ระอานนทก์ ราบทลู อาราธนาใหท้ รงดารงอยชู่ ว่ั อายกุ ปั ๑ หรือเกินกวา่ น้นั ๓. อายสุ ังขาราธิษฐานกบั การปลงอายุสังขาร หมายถึงอะไร ? พระพทุ ธเจ้าทรงกระทาที่ไหน ? (๒๕๕๙, ๒๕๕๔) ตอบ : อายสุ ังขาราธิษฐาน หมายถึง การที่พระพุทธเจา้ ทรงต้งั พระหฤทยั วา่ จกั ดารงพระ ชนมอ์ ยแู่ สดงธรรมสัง่ สอนมหาชน จนกวา่ พุทธบริษทั จะต้งั มนั่ และไดป้ ระกาศ พระศาสนาใหแ้ พร่หลายมนั่ คงสาเร็จประโยชนแ์ ก่มหาชน ฯ ท่ีอชปาลนิโครธ ใกลส้ ถานที่ตรัสรู้ ฯ

๔๓ การปลงอายสุ ังขาร หมายถึง การที่พระพุทธเจา้ ทรงกาหนดวนั ปรินิพพาน นบั แต่ วนั เพญ็ เดือน ๓ ไปอีก ๓ เดือน ฯ ท่ีปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี ฯ ๔. พุทธเจดยี ์มกี ปี่ ระเภท? อะไรบ้าง? พระพทุ ธรูป สงเคราะห์เข้าในเจดยี ์ประเภทใด? (๒๕๕๕) ตอบ : มี ๔ ประเภท ฯ คอื ธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ ธรรมเจดีย์ และอุทเทสิกเจดีย์ ฯ สงเคราะหเ์ ขา้ ในอุทเทสิกเจดีย์ ฯ ๕. พระพุทธองค์ทรงเลือกเมืองกสุ ินารา เป็ นสถานท่ีเสด็จดับขันธปรินพิ พาน ด้วยเหตผุ ลอนั ใด ? (๒๕๕๖) ตอบ : ดว้ ยเหตผุ ลคือ ๑. จะเป็นเหตเุ กิดแห่งมหาสุทสั สนสูตร ๒. จะไดโ้ ปรดสุภทั ทปริพาชก ผเู้ ป็นพทุ ธเวไนย ๓. จะไดป้ ้องกนั การรบกนั คร้ังใหญเ่ พอื่ แยง่ ชิงพระบรมสารีริกธาตุ ฯ ๖. ปาวาลเจดยี ์ และ มกุฏพนั ธนเจดยี ์ อย่ทู ี่เมืองอะไร? มีความเกยี่ วข้องกบั พระพุทธเจ้าอย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : ปาวาลเจดียอ์ ยทู่ ่ีเมืองไพศาลี เป็นท่ีทรงปลงพระชนมายสุ งั ขาร ฯ มกฏุ พนั ธนเจดียอ์ ยทู่ ่ีเมืองกสุ ินารา เป็นที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ฯ ๗. อภญิ ญาเทสิตธรรม มอี ะไรบ้าง ? ทรงแสดงแก่ใคร ? ท่ีไหน ? (๒๕๕๗, ๒๕๕๓) ตอบ : มี สติปัฏฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ฯ ทรงแสดงแก่ภิกษสุ งฆผ์ อู้ าศยั อยใู่ นเมืองเวสาลี ฯ ท่ีกูฏาคารศาลา ป่ ามหาวนั ฯ ๘. ในพทุ ธกจิ จกถา พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ด้วยทรงม่งุ ประโยชน์อะไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : ทรงมุง่ ประโยชนท์ ้งั ๓ คือ ๑. ทิฏฐธรรมิกตั ถประโยชน์ คอื ประโยชน์ท่ีจะพึงไดใ้ นปัจจุบนั ๒. สมั ปรายกิ ตั ถประโยชน์ คือประโยชน์ที่จะพึงไดใ้ นภายหนา้ ๓. ปรมตั ถประโยชน์ คือประโยชนอ์ ยา่ งยง่ิ ไดแ้ ก่ วิมุตติ ความหลุดพน้ พิเศษ ฯ ๙. ภิกษุณผี ู้มีชื่อต่อไปนไี้ ด้รับเอตทัคคะในทางไหน ? (๒๕๖๑) ก. พระมหาปชาบดีโคตมเี ถรี

๔๔ ข. พระเขมาเถรี ค. พระอุบลวัณณาเถรี ง. พระปฏาจาราเถรี จ. พระธัมมทินนาเถรี ตอบ : ก. ไดร้ ับเอตทคั คะในทางรัตตญั ญู ข. ไดร้ ับเอตทคั คะในทางมีปัญญา ค. ไดร้ ับเอตทคั คะในทางมีฤทธ์ิ ง. ไดร้ ับเอตทคั คะในทางทรงวินยั จ. ไดร้ ับเอตทคั คะในทางธรรมกถึก ฯ ๑๐. พระสาวกผ้ไู ด้รับการยกย่องเป็ นเอตทัคคะหลายอย่างกว่าสาวกรูปอื่นคือใคร? เป็ นเอตทัคคะ ในทางใดบ้าง? (๒๕๕๒) ตอบ : พระอานนทเถระ ฯ ในทาง ๑. เลิศกวา่ ภิกษทุ ้งั หลายที่เป็นพหุสูต ๒. เลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายท่ีมีคติ ๓. เลิศกวา่ ภิกษทุ ้งั หลายท่ีมีสติ ๔. เลิศกวา่ ภิกษทุ ้งั หลายท่ีมีธิติปัญญาจาทรง ๕. เลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายท่ีเป็นอุปัฏฐาก ฯ ______________________________________________________________________________ เหตกุ ารณ์หลงั พุทธปรินิพพาน ๑. สุภทั ทวุฑฒบรรพชิต กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวนิ ยั ว่าอย่างไร ? และทาให้เกดิ เหตกุ ารณ์อะไรใน กาลต่อมา ? (๒๕๖๑) ตอบ : วา่ “เราท้งั หลายพน้ ดีแลว้ จากพระสมณะน้นั บดั น้ี เราพอใจจะทาส่ิงใดกท็ า หรือ มิ พอใจทาส่ิงใดก็ไมต่ อ้ งทา” ฯ เป็นเหตใุ หเ้ กิดสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั คร้ังที่ ๑ ฯ ๒. การทาสังคายนาคร้ังที่ ๓ มมี ูลเหตุจากอะไร ? ใครเป็ นผู้อปุ ถัมภ์ ? พระสงฆ์ผู้เข้าร่วมทา สังคายนามีจานวนเท่าไร ? ใครเป็ นประธาน ? ใช้เวลานานเท่าไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : มีมูลเหตุจากพวกเดียรถียเ์ ป็นจานวนมากปลอมบวชในพระพุทธศาสนา ฯ พระเจา้ อโศกมหาราช ทรงเป็นผอู้ ปุ ถมั ภ์ ฯ มีจานวน ๑,๐๐๐ รูป ฯ พระโมคคลั ลีบุตรติสสเถระ เป็นประธาน ฯ

๔๕ ใชเ้ วลา ๙ เดือน ฯ ๓. สังคายนา คืออะไร? พระสุภัททวฑุ ฒบรรพชิตผู้เป็ นเหตใุ ห้พระมหากสั สปะทาปฐมสังคายนา ได้กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินยั มีใจความว่าอย่างไร? (๒๕๕๒) ตอบ : คอื การประชุมกนั เรียบเรียงศาสนธรรมคาสอนของพระศาสนา วางไวเ้ ป็นแบบ แผน ฯ มีใจความวา่ ทา่ นท้งั ปวงอยา่ โศกเศร้าอยา่ ร้องไหร้ ่าไรไปเลย เม่ือพระสมณโคดม ยงั อยนู่ ้นั เบียดเบียนวา่ กล่าว วา่ ส่ิงน้ีควรสิ่งน้ีไมค่ วร จาเดิมแต่น้ีเราปรารถนาจะ กระทาสิ่งใด เราก็กระทาส่ิงน้นั ได้ พระสมณโคดมนิพพานเสียกพ็ น้ ทกุ ขพ์ น้ ร้อน เราท้งั ปวงแลว้ ฯ ๔. หลงั จากพระพุทธเจ้าปรินพิ พานแล้ว พระมหากสั สปะได้ทากจิ ใดทีส่ าคัญแก่พระศาสนา ? จง อธิบาย ? (๒๕๖๑) ตอบ : ท่านไดท้ ากิจที่สาคญั คอื เป็นผชู้ กั ชวนภิกษุสงฆ์ ทาสังคายนาร้อยกรองพระธรรม วินยั และเป็นประธานในการทาสงั คายนาน้นั อนั เป็นเหตใุ หพ้ ระศาสนาต้งั มนั่ ถาวรสืบมาจนถึงปัจจุบนั ฯ ๕. หลงั จากพระพุทธเจ้าปรินพิ พาน พระสาวกองค์ใดเป็ นประธานในการทาปฐมสังคายนา? เพราะ ปรารภเหตใุ ด? (๒๕๖๐) ตอบ : พระมหากสั สปะฯ เพราะปรารภคากลา่ วจาบจว้ งพระธรรมวนิ ยั ของพระสุภทั ทะ ผบู้ วชตอนแก่ ในระหวา่ งเดินทางมาสักการะพระพทุ ธสรีระฯ ๖. พระมหากสั สปเถระชักชวนภิกษุท้งั หลายให้ทาสังคายนาคร้ังแรก เพราะปรารภเหตุอะไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : เพราะปรารภเหตุ ๒ ประการ คอื ๑. ระลึกถึงคาของสุภทั ทวฑุ ฒบรรพชิตกล่าวจว้ งจาบพระธรรมวินยั ๒. ระลึกถึงอุปการคุณของพระผมู้ ีพระภาคที่มีอยแู่ ก่ตน ฯ ๗. สุภทั ทะ วฑุ ฒบรรพชิต กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยว่าอย่างไร ? และทาให้เกดิ เหตุการณ์อะไร ในกาลต่อมา ? (๒๕๕๗) ตอบ : วา่ “เราท้งั หลายไดพ้ น้ เสียแลว้ ดว้ ยดีจากพระสมณะน้นั ดว้ ยท่านสงั่ สอนวา่ ‘ส่ิงน้ี ควร ส่ิงน้ีไมค่ วร’ เราเกรงก็ตอ้ งทาตาม เป็นความลาบากนกั กบ็ ดั น้ีเราจะทาส่ิงใด หรือมิพอใจทาส่ิงใดก็ไดต้ ามความปรารถณา จะตอ้ งเกรงแตบ่ ญั ชาของผใู้ ดเลา่ ” ฯ เป็นเหตุใหเ้ กิดสงั คายนาพระธรรมวินยั คร้ังที่ ๑ ฯ ๘. ในคร้ังปฐมสังคายนา พระสาวกองค์ใดรับหน้าทวี่ สิ ัชนาพระวนิ ัย ? ท่านอปุ สมบทพร้อมกบั ใคร

๔๖ บ้าง ? (๒๕๖๑) ตอบ : พระอบุ าลีเถระ ฯ อุปสมบทพร้อมกบั เจา้ ศากยะ ๕ พระองค์ คอื ภทั ทิยะ อนุรุทธะ อานนท์ ภคั คุ กิมพิละ กบั เจา้ โกลิยะ ๑ องค์ คือเทวทตั ฯ ๙. พระมหากสั สปะ พระอุบาลี และพระอานนท์ องค์ใดนพิ พานก่อนหรือหลงั พระพุทธองค์ ? จง อ้างหลกั ฐานมาแสดง (๒๕๕๘) ตอบ : หลงั พระพุทธองคท์ ้งั หมด ฯ หลกั ฐาน คือ พระสาวกท้งั ๓ องคน์ ้นั ไดร้ ่วมประชุมสงฆท์ าสังคายนาคร้ังท่ี ๑ หลงั พทุ ธปรินิพพานได้ ๓ เดือน ๑๐. ในการถวายพระเพลงิ พระพุทธสรีระ พระพุทธสรีระส่วนใดยงั คงเหลืออยู่ ? (๒๕๕๘) ตอบ : พระอฐั ิ พระเกสา พระโลมา พระนขา พระทนั ตา เหลืออยู่ นอกน้นั ถูกเพลิงไหม้ หมดสิ้น ฯ ๑๑. การทาสังคายนาคร้ังแรก เกดิ ขนึ้ หลงั จากปรินิพพานล่วงแล้วกเี่ ดือน ? ใช้เวลาเท่าไร ? ใครทา หน้าทีป่ จุ ฉาและวสิ ัชชา ? (๒๕๕๙) ตอบ : ล่วงแลว้ ๓ เดือน ฯ ใชเ้ วลา ๗ เดือน ฯ พระมหากสั สปะทาหนา้ ที่ปุจฉา, พระอบุ าลีทาหนา้ ที่วสิ ัชนา พระวินยั , พระอานนทท์ าหนา้ ท่ีวิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรมฯ ______________________________________________________________________________

๔๗ ๒.๓ วชิ าวนิ ัยมขุ กณั ฑ์ที่ ๒๓ สังฆกรรม ๑. กรรมวาจาวิบัตเิ พราะสวดผิดฐานกรณ์น้นั อย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : คอื การสวดธนิตเป็นสิถิล ๑ สวดสิถิลเป็นธนิต ๑ สวดวมิ ตุ เป็นนิคคหิต ๑ สวด นิคคหิตเป็นวมิ ุต ๑ ฯ ๒. สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงประมวล เร่ืองอนั เนื่องด้วยวนิ ัยท่ีภกิ ษุ ผ้เู ป็ นเถระพงึ เรียนรู้เป็ นหลกั ไว้ในวนิ ัยมขุ เล่ม ๓ คืออะไรบ้าง ? เม่ือเรียนรู้แล้วจะอานวย ประโยชน์อะไรบ้าง ? (๒๕๕๒) ตอบ : คอื ธรรมเนียม วิธี และกรณียะตา่ ง ๆ อนั เน่ืองดว้ ยวนิ ยั ฯ ยอ่ มอาจจะอานวยในหนา้ ท่ีใหเ้ ป็นไปโดยเรียบร้อย และอาจเป็นที่พ่ึงของผนู้ อ้ ยใน กิจการ ฯ ๓. สังฆกรรม เม่ือกล่าวโดยประเภท มีเท่าไร? อะไรบ้าง? จงยกตวั อย่างของสังฆกรรมน้นั ๆ มา อย่างละ ๑ ตัวอย่าง ? (๒๕๕๒) ตอบ : กล่าวโดยประเภท มี ๔ ฯ คือ ๑. อปโลกนกรรม ตวั อยา่ งเช่น การรับสามเณรผถู้ ูกลงโทษเพราะกลา่ วตู่พระผมู้ ี พระภาคเจา้ และไดร้ ับการยกเลิกโทษเพราะกลบั ประพฤติดี ๒. ญตั ติกรรม ตวั อยา่ งเช่น การเรียกอุปสมั ปทาเปกขะผไู้ ดร้ ับการไล่เลียง อนั ตรายกิ ธรรมแลว้ กลบั เขา้ มาในหมู่สงฆ์ ๓. ญตั ติทุติยกรรม ตวั อยา่ งเช่น สวดหงายบาตรแก่ผถู้ กู คว่าบาตรเพราะกลบั ประพฤติดีในภายหลงั ๔. ญตั ติจตตุ ถกรรม ตวั อยา่ งเช่น การสวดกรรมที่สงฆผ์ ทู้ ากรรม ๗ สถาน มีตชั ชนียกรรมเป็นตน้ ลงโทษภิกษุผปู้ ระพฤติมิชอบ ๔. การผกู พทั ธสีมาในบัดนี้ มขี ้ันตอนในการปฏบิ ัตอิ ย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ : มีข้นั ตอนดงั น้ี ๑. พ้นื ท่ีอนั จะสมมติเป็นสีมาตอ้ งไดร้ ับพระราชทานวิสุงคามสีมาก่อน ๒. ประชุมภิกษผุ อู้ ยใู่ นเขตวสิ ุงคามสีมาหรือนาฉนั ทะของเธอมาแลว้ สวดถอนเป็น แห่ง ๆ ไปกวา่ จะเห็นวา่ พอดี พึงสวดถอนติจีวราวิปปวาสก่อนแลว้ จึงสวดถอน สมานสังวาสสีมา

๔๘ ๓. เตรียมนิมิตไวต้ ามทิศ ๔. เม่ือสมมติสีมา ตอ้ งประชุมภิกษุผอู้ ยภู่ ายในนิมิตหรือนาฉนั ทะของเธอมา แลว้ ออกไปทกั นิมิต ๕. กลบั มาสวดสมมติสมานสงั วาสสีมาก่อนแลว้ สวดสมมติติจีวราวราวิปปวาส สีมา ฯ ๕. โดยทว่ั ไป มคี วามเข้าใจเรื่องสังฆกรรมว่า ในสีมาเดียวกนั ภิกษจุ ะประชุมทาสังฆกรรมวันหน่ึง ๒ คร้ังไม่ได้ข้อนมี้ คี วามจริงเป็ นอย่างไร? จงอธิบาย (๒๕๕๒) ตอบ : มีความเป็นจริงเป็นอยา่ งน้ี คอื สงั ฆกรรมบางอยา่ ง เช่น อโุ บสถ ปวารณา ภิกษุอยู่ ในสีมาเดียวกนั จะตอ้ งพร้อมเพรียงกนั ทาจะแยกกนั ทา ๒ พวก ๒ คร้ังไม่ได้ แตส่ ังฆกรรมบางอยา่ ง เช่น อปุ สมบทกรรมอพั ภานกรรม จะทาวนั เดียวหลายคร้ัง ก็ได้ ๖. สังฆกรรม กบั วินัยกรรม มีกาหนดบุคคลและสถานทต่ี ่างกนั หรือเหมือนกนั อย่างไร? (๒๕๕๓) ตอบ : ตา่ งกนั ดงั น้ี สงั ฆกรรม ตอ้ งประชุมสงฆค์ รบองคต์ ามกาหนดแห่งกรรมน้นั ๆ ตอ้ งทาในสีมา เวน้ ไวแ้ ต่อปโลกนกรรม ทานอกสีมาก็ได้ ส่วนวินยั กรรม ไม่ตอ้ งประชุมสงฆ์ และทานอกสีมาก็ได้ ฯ ๗. สังฆกรรมมอี ะไรบ้าง ? สังฆกรรมอะไรทส่ี งฆ์จตวุ รรคทาไม่ได้ ? (๒๕๖๒) ตอบ : มี ๑. อปโลกนกรรม ๒. ญตั ติกรรม ๓. ญตั ติทุติยกรรม ๔. ญตั ติจตตุ ถกรรม ฯ ปวารณา ใหผ้ า้ กฐิน อปุ สมบท และอพั ภาน สงฆจ์ ตุวรรคทาไมไ่ ด้ ฯ ๘. สงฆ์ผ้ทู าสังฆกรรม ท่านจัดเป็ นวรรคไว้อย่างไรบ้าง ? แต่ละวรรคทากรรมอะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๔) ตอบ : จดั อยา่ งน้ี คอื สงฆม์ ีจานวน ๔ รูปเรียกวา่ จตรุ วรรค จานวน ๕ รูป เรียกวา่ ปัญจวรรค จานวน ๑๐ รูป เรียกวา่ ทสวรรค จานวน ๒๐ รูป เรียกวา่ วีสติวรรค ฯ สงั ฆกรรมทุกอยา่ ง เวน้ ปวารณา ใหผ้ า้ กฐิน อุปสมบท และอพั ภาน สงฆจ์ ตุรวรรคทาได,้ ปวารณา ใหผ้ า้ กฐิน อุปสมบทในปัจจนั ตชนบท สงฆป์ ัญจวรรคทาได,้ อุปสมบทในมธั ยมชนบท สงฆท์ สวรรคทาได,้

๔๙ อพั ภาน สงฆว์ ีสติวรรคทาได้ ฯ สงฆม์ ีจานวนมากกวา่ ที่กาหนดไว้ สามารถทากรรมประเภทน้นั ๆ ได้ ฯ ๙. สังฆกรรมมีกป่ี ระเภท? อะไรบ้าง? สังฆกรรมแต่ละประเภท ทรงอนุญาตให้สงฆ์พร้อมเพรียงกนั ทาในที่เช่นไร ? (๒๕๖๐, ๒๕๕๕) ตอบ : สงั ฆกรรมมี ๔ ประเภท ฯ คือ อปโลกนกรรม ๑ ญตั ติกรรม ๑ ญตั ติทตุ ิยกรรม ๑ ญตั ติจตุตถกรรม ๑ ฯ อปโลกนกรรม ทรงอนุญาตใหส้ งฆพ์ ร้อมเพรียงกนั ทาในเขตสีมา หรือนอกเขต สีมาก็ได้ ส่วนญตั ติกรรม ญตั ติทตุ ิยกรรม และญตั ติจตุตถกรรม ทรงอนุญาตใหส้ งฆพ์ ร้อม เพรียงกนั ทาในเขตสีมา จะเป็นพทั ธสีมา หรืออพทั ธสีมากไ็ ด้ ฯ ๑๐. ความพรั่งพร้อมของสงฆ์ครบองค์ทก่ี าหนดเป็ นส่วนสาคัญในการประกอบสังฆกรรมน้ันๆ เม่ือ ครบองค์สงฆ์ตามทก่ี าหนด สังฆกรรมน้นั ๆ เป็ นอนั ใช้ได้แล้ว หรือยังมชี ่องทางเสียหายอ่ืนอกี ? จงชี้แจง (๒๕๕๕) ตอบ : นบั วา่ เป็นใชไ้ ดเ้ ฉพาะแต่อปโลกนกรรมเท่าน้นั ส่วนสังฆกรรมอ่ืนๆ อีก ๓ อยา่ ง คอื ญตั ติกรรม๑ ญตั ติทตุ ิยกรรม ๑ ญตั ติจตตุ ถกรรม ๑ ยงั มีช่องทางเสียหายอ่ืนอีก คอื วตั ถวุ บิ ตั ิบา้ ง สีมาวบิ ตั ิบา้ ง กรรมวาจาวิบตั ิบา้ ง ฯ ๑๑. ภกิ ษผุ ู้ปรารถนาความต้งั อยู่ยั่งยืนของพระธรรมวนิ ยั ควรปฏบิ ตั ิตนอย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : ควรต้งั อยใู่ นสีลสามญั ญตา ทิฏฐิสามญั ญตา และลชั ชีธรรม สารวมในพระ ปาติโมกข์ ประกอบด้วยอาจาระและโคจระ เห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย สาเหนียกศึกษาในสิกขาบทท้งั หลาย ฯ ๑๒. อุโบสถกรรม อุปสมบทกรรม อปโลกนกรรม อพั ภานกรรม อุกเขปนียกรรม ใช้สงฆ์จานวน เท่าไรเป็ นอย่างน้อย จงึ จะถกู ต้องตามพระวินยั บญั ญัติ ? (๒๕๕๗) ตอบ : อโุ บสถกรรม ใชส้ งฆ์ ๔ รูป อปุ สมบทกรรม ในปัจจนั ตชนบท ใชส้ งฆ์ ๕ รูป ในมชั ฌิมชนบทใชส้ งฆ์ ๑๐ รูป อปโลกนกรรม ใชส้ งฆ์ ๔ รูป อพั ภานกรรม ใชส้ งฆ์ ๒๐ รูป อกุ เขปนียกรรม ใชส้ งฆ์ ๔ รูป ฯ

๕๐ ๑๓. สังฆกรรมย่อมวิบัติเพราะเหตุไรบ้าง ? ภกิ ษุ ๓ รูป ประชุมกนั ในสีมาสวดปาฏโิ มกข์ช่ือว่าวิบัติ เพราะเหตุไหน ? (๒๕๖๒) ตอบ : สังฆกรรมยอ่ มวิบตั ิ (คือใชไ้ ม่ได้ แมท้ าแลว้ ก็ไมเ่ ป็นอนั ทา) เพราะเหตุ ๔ อยา่ ง คอื เพราะวตั ถบุ า้ ง เพราะสีมาบา้ ง เพราะปริสะบา้ ง เพราะกรรมวาจาบา้ ง ฯ ชื่อวา่ วิบตั ิเพราะปริสะ ฯ ๑๔. สังฆกรรมย่อมวิบัติ โดยอะไรบ้าง ? สงฆ์ให้อุปสมบทแก่อภพั พบุคคล เป็ นสังฆกรรมวบิ ตั ิโดย อะไร ? (๒๕๕๘) ตอบ : โดยวตั ถุ สีมา ปริสะ และกรรมวาจา ฯ วบิ ตั ิโดยวตั ถุ ฯ ๑๕. มูลเหตทุ ีท่ าให้เกดิ สังฆกรรมมกี อี่ ย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๙) ตอบ : มี ๒ อยา่ ง ฯ คือ ๑. มีภิกษุบริษทั เพิม่ จานวนมากข้นึ ๒. มีพระพุทธประสงคเ์ พือ่ ใหส้ งฆเ์ ป็นใหญ่ในการบริหารหม่คู ณะ ฯ ๑๖. ญตั ตแิ ละอนุสาวนาหมายถงึ อะไร ? อนุสาวนามีใช้ในสังฆกรรมอะไรบ้าง ? (๒๕๕๙) ตอบ : ญตั ติ หมายถึง คาเผดียงสงฆ์ อนุสาวนา หมายถึง คาประกาศคาปรึกษาและขอ้ ตกลงของสงฆ์ มีใชใ้ น ๒ สังฆกรรม คือ ๑. ญตั ติทตุ ิยกรรม ๒. ญตั ติจตตุ ถกรรม ๑๗. ญตั ติและอนุสาวนา หมายถึงอะไร ? ญตั ตมิ ใี ช้ในสังฆกรรมอะไรบ้าง ? (๒๕๖๑) ตอบ : ญตั ติ หมายถึง ค าเผดียงสงฆ์ อนุสาวนา หมายถึง การสวดประกาศค าปรึกษาและขอ้ ตกลงของสงฆ์ ฯ มีใชใ้ น ๓ สังฆกรรม คือ ๑. ญตั ติกรรม ๒. ญตั ติทุติยกรรม ๓. ญตั ติจตตุ ถกรรม ฯ ______________________________________________________________________________

๕๑ กณั ฑ์ที่ ๒๔ สีมา ๑. ติจวี ราวปิ ปวาสสีมา และ อุทกุกเขปสีมา ได้แก่สีมาเช่นไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : ติจีวราวิปปวาสสีมา ไดแ้ ก่ สีมาท่ีสงฆส์ มมติใหเ้ ป็นแดนไมอ่ ยปู่ ราศจากไตรจีวร ไดใ้ นเขตสีมาน้นั อทุ กกุ เขปสีมา ไดแ้ ก่ สีมาที่กาหนดเขตแห่งสามคั คดี ว้ ยชวั่ วกั น้าสาดแห่งคนมีอายุ และกาลงั ปานกลาง ฯ ๒. นิมิตทอี่ ย่รู อบโรงอโุ บสถ มไี ว้เพ่ือประโยชน์อะไร ? จงเขียนคาทักนิมิตในทศิ ตะวนั ตกเฉียงใต้ มาดู ? (๒๕๕๓) ตอบ : มีไวเ้ พื่อเป็นเครื่องหมายกาหนดเขตการทาสงั ฆกรรม ฯ ทกฺขณิ าย อนุทิสาย กึ นิมิตฺต ฯ ๓. จงอธิบายความหมายของวิสุงคามสีมา และสัตตพั ภันตรสีมา ? (๒๕๕๓) ตอบ : วสิ ุงคามสีมา หมายถึง เขตแห่งสามคั คที ่ีสงฆไ์ ดร้ ับพระราชทานพระบรม ราชานุญาตยกใหเ้ ป็นแผนกหน่ึงจากบา้ น ฯ สตั ตพั ภนั ตรสีมา หมายถึง เขตแห่งสามคั คีในป่ าหาคนต้งั บา้ นเรือนไม่ไดช้ ว่ั ๗ อพั ภนั ดร (๔๙ วา) โดยรอบ นบั แตท่ ่ีสุดแห่งสงฆอ์ อกไป ฯ ๔. สีมา มีกปี่ ระเภท? อะไรบ้าง? (๒๕๖๐) ตอบ : มี ๒ ประเภทฯ คือ พทั ธสีมา และ อพทั ธสีมาฯ ๕. สีมา คืออะไร ? มีความสาคัญอย่างไร ? (๒๕๖๒, ๒๕๕๔) ตอบ : คอื เขตประชุมของสงฆผ์ ทู้ าสังฆกรรม ฯ มีความสาคญั เพื่อจะกาหนดรู้เขตประชุมแห่งสงฆท์ ี่ประชุมกนั ทาสังฆกรรมมีการ ใหอ้ ปุ สมบทแก่กุลบุตร เป็นตน้ ท่ีพระศาสดาทรงอนุญาตใหส้ งฆพ์ ร้อมเพรียงกนั ทา ฯ ๖. พทั ธสีมา มกี ช่ี นดิ ? อะไรบ้าง? สีมาผกู เฉพาะบริเวณอโุ บสถเรียกว่าอะไร? (๒๕๕๕) ตอบ : มี ๓ ชนิด คือ สีมาผกู เฉพาะบริเวณโรงอุโบสถ เรียกขณั ฑสีมา ๑ สีมาผกู ทวั่ วดั เรียกมหาสีมา ๑ สีมาผกู ๒ ช้นั ๑ ฯ เรียกวา่ ขณั ฑสีมา ฯ

๕๒ ๗. สีมาเป็ นหลกั สาคญั แห่งสังฆกรรมอย่างไร ? พทั ธสีมามีกาหนดขนาดพืน้ ที่ไว้อย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : สีมาเป็นเขตประชุมของสงฆผ์ ูท้ ากรรม พระศาสดาทรงพระอนุญาตใหส้ งฆพ์ ร้อม เพรียงกนั ทาภายในสีมาเพื่อจะรักษาสามคั คใี นสงฆ์ ฯ อยา่ งน้ี คือ กาหนดไม่ใหส้ มมติสีมาเลก็ เกินไปจนจุภิกษุ ๒๑ รูปนงั่ ไม่ได้ และไมใ่ หส้ มมติสีมาใหญเ่ กินไปกวา่ ๓ โยชน์ ฯ ๘. นมิ ติ รอบโรงอุโบสถ มีความสาคัญอย่างไร ? คาทกั นิมติ ในทิศตะวนั ออกว่าอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : มีความสาคญั คอื ใชเ้ ป็นเคร่ืองหมายเพื่อกาหนดเขตสีมาสาหรับทาสังฆกรรม ฯ คาทกั นิมิตในทิศตะวนั ออกวา่ “ปุรตฺถิมาย ทิสาย กึ นิมิตฺต” ฯ ๙. จงอธิบายความหมายคาต่อไปนี้ ก. สัตตพั ภันตรสีมา ข. อุทกกุ เขปสีมา ฯ (๒๕๕๗) ตอบ : ก. สตั ตพั ภนั ตรสีมา ไดแ้ ก่ สีมาในป่ าหาคนต้งั บา้ นเรือนมิได้ กาหนดเขตแห่ง สามคั คีในชวั่ ๗ อพั ภนั ดรโดยรอบ นบั แต่ที่สุดแนวแห่งสงฆอ์ อกไป (๗ อพั ภนั ดร คอื ๔๙ วา) ข. อุทกุกเขปสีมา ไดแ้ ก่ สีมามีกาหนดเขตสามคั คีดว้ ยชวั่ วกั น้าสาดแห่งคนมีอายุ และกาลงั เป็นปานกลาง ฯ ๑๐. สีมา มกี ป่ี ระเภท ? อะไรบ้าง ? ประเภทไหนสมมติเป็ นตจิ วี ราวิปปวาสไม่ได้ ? (๒๕๕๘) ตอบ : มี ๒ ประเภท ฯ พทั ธสีมา คือแดนที่ผกู หมายถึงเขตอนั สงฆก์ าหนดเอาเอง และอพทั ธสีมา คือ แดนที่ไมไ่ ดผ้ กู หมายถึงเขตอนั เขากาหนดไวโ้ ดยปกติของบา้ นเมือง หรือเขตท่ี มีสญั ญตั ิอยา่ งอื่นเป็นเครื่องกาหนด ฯ ประเภทอพทั ธสีมา ฯ ๑๑. สีมาสังกระ คืออะไร ? สงฆ์จะทาสังฆกรรมในสีมาเช่นน้นั ได้หรือไม่อย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ : คือ สีมาท่ีสมมติคาบเกี่ยวกนั ระหวา่ งสีมาที่สมมติไวเ้ ดิมและสีมาท่ีสมมติข้ึน ใหม่ ฯ สงฆท์ าสงั ฆกรรมในสีมาที่สมมติไวเ้ ดิมได้ แตท่ าในสีมาท่ีสมมติข้ึนใหม่ไมไ่ ด้ ฯ ๑๒. การทักนิมติ ในทิศท้งั ๘ น้ัน ทักทิศละหนถูกต้องหรือไม่ ? เพราะเหตุไร ? จงเขียนคาทกั นิมิต ในทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือมาดู (๒๕๕๙) ตอบ : ไม่ถกู ตอ้ ง ฯ ท่ีถกู ตอ้ งน้นั เม่ือเร่ิมตน้ ทกั นิมิตในทิศบรู พาแลว้ ทกั มาโดยลาดบั จนถึงนิมิตสุดทา้ ย แลว้ ตอ้ งทกั นิมิตในทิศบรู พาซ้าอีก ฯ

๕๓ คาทกั นิมิตในทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือวา่ ดงั น้ี “อตุ ฺตราย อนุทิสาย กึ นิมิตฺต” ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ท่ี ๒๕ สมมติเจ้าหน้าทที่ าการสงฆ์ ๑. เจ้าอธิการตามพระวนิ ยั หมายถึงใคร ? สงฆ์พงึ สวดสมมติเจ้าอธิการด้วยกรรมวาจาประเภทใด ? (๒๕๖๒) ตอบ : หมายถึง ภิกษุผไู้ ดร้ ับสมมติจากสงฆใ์ หเ้ ป็นเจา้ หนา้ ที่ทาการสงฆน์ ้นั ๆ ฯ พึงสวดสมมติดว้ ยญตั ติทุติยกรรม ฯ ๒. ภกิ ษุผ้ไู ด้รับสมมตจิ ากสงฆ์ให้เป็ นเจ้าหน้าท่ที าการสงฆ์น้นั ๆ เรียกว่าอะไร ? พงึ สวดสมมติด้วย กรรมวาจาประเภทใด ? (๒๕๕๑) ตอบ : เรียกวา่ เจา้ อธิการ ฯ พึงสวดสมมติดว้ ยญตั ติทตุ ิยกรรม ฯ ๓. ตามความในพระราชบัญญตั คิ ณะสงฆ์ วัดมกี ปี่ ระเภท ? อะไรบ้าง ? และใครเป็ นผ้แู ทนของวัดใน กจิ การท่วั ไป ? (๒๕๕๕) ตอบ : มี ๒ ประเภท ฯ คอื ๑. วดั ท่ีไดร้ ับพระราชทานวสิ ุงคามสีมา ๒. สานกั สงฆ์ ฯ เจา้ อาวาสเป็นผแู้ ทนของวดั ในกิจการทว่ั ไป ฯ ๔. พระทัพพมัลลบตุ ร มคี วามดาริอย่างไร พระศาสดาทรงทราบแล้วทรงสาธุการ ตรัสให้สงส์ สมมติให้ท่านรับหน้าท่ีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๙, ๒๕๕๕) ตอบ : ทา่ นดาริวา่ ท่านอยจู่ บพรหมจรรยแ์ ลว้ ควรจะรับธุระของสงฆจ์ ึงกราบทูลพระ ศาสดาทรงสาธุการแลว้ ตรัสใหส้ งส์สมมติทา่ นใหเ้ ป็นภตั ตุทเทสกะและเสนาสน คาหาปกะ ฯ ๕. เจ้าอธิการตามพระวนิ ัยหมายถงึ ใคร ? สงฆ์พงึ สวดสมมติเจ้าอธกิ ารด้วยกรรมวาจาประเภทใด (๒๕๕๖) ตอบ : หมายถึง ภิกษผุ ไู้ ดร้ ับสมมติจากสงฆใ์ หเ้ ป็นเจา้ หนา้ ท่ีทาการสงฆน์ ้นั ๆ ฯ พึงสวดสมมติดว้ ยญตั ติทุติยกรรม ฯ ๖. ภิกษุผ้คู วรได้รับเลือกให้เป็ นเจ้าหน้าที่ทาการสงฆ์ พงึ ประกอบด้วยคณุ สมบัตอิ ะไรบ้างและจะ ปฏิบตั หิ น้าทีน่ ้นั ได้ต้งั แต่เมื่อไร ? (๒๕๕๘)

๕๔ ตอบ : ดว้ ยคณุ สมบตั ิเหลา่ น้ี คือ ๑. ไมถ่ ึงความลาเอียงเพราะความชอบพอ ๒.ไม่ถึงความลาเอียงเพราะเกลียดชงั ๓.ไมถ่ ึงความลาเอียงเพราะงมงาย ๔.ไมถ่ ึงความลาเอียงเพราะกลวั ๕.เขา้ ใจการทาหนา้ ท่ีอยา่ งน้นั ฯ ต้งั แตส่ งฆส์ วดสมมติดว้ ยญตั ติทุติยกรรมวาจาใหเ้ ป็นเจา้ หนา้ ท่ีน้นั ฯ ๗. ภิกษุผู้ควรได้รับสมมติให้เป็ นภัตตุทเทสกะ ต้องประกอบด้วยคุณสมบตั เิ ช่นไร ? (๒๕๖๑) ตอบ : ตอ้ งประกอบดว้ ยคณุ สมบตั ิดงั น้ี คือ ๑. เวน้ อคติ ๔ คือ ฉนั ทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ ๒. รู้จกั ภตั รท่ีควรแจกหรือมิควรแจก ๓. รู้จกั ลาดบั ที่พงึ แจก ฯ ๘. คาว่า “เจ้าอธิการ” ในพระวินยั หมายถึงใคร ? มีกแี่ ผนก ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๙) ตอบ : หมายถึง ภิกษุท่ีสงฆส์ มมติใหเ้ ป็นหนา้ ท่ีทากิจการของสงฆ์ ฯ มี ๕ แผนก ฯ คือ ๑. เจา้ อธิการแห่งจีวร ๒. เจา้ อธิการแห่งอาหาร ๓. เจา้ อธิการแห่งเสนาสนะ ๔. เจา้ อธิการแห่งอาราม ๕. เจา้ อธิการแห่งคลงั ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ท่ี ๒๖ กฐิน ๑. กฐิน มชี ่ือมาจากอะไร ? ผ้าท่ีเป็ นกฐินได้มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๐) ตอบ : มาจากไมส้ ะดึงท่ีลาดหรือกางออกสาหรับขึงจีวรเพือ่ เยบ็ ฯ มี ๑. ผา้ ใหม่ ๒. ผา้ เทียมใหมค่ อื ผา้ ฟอกสะอาดแลว้ ๓. ผา้ เก่า ๔. ผา้ บงั สุกุล

๕๕ ๕. ผา้ ที่ตกตามร้านตลาดซ่ึงเขานามาถวายสงฆฯ์ ๒. ผ้าทไ่ี ม่ทรงอนุญาตให้ใช้เป็ นผ้ากฐิน ได้แก่ผ้าเช่นไรบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ : เช่นน้ี คือ ๑. ผา้ ที่ไม่ไดเ้ ป็นสิทธิ เช่น ผา้ ที่ขอยมื เขามา ๒. ผา้ ที่ไดม้ าโดยอาการอนั มิชอบ คอื ทานิมิตไดม้ า พดู เลียบเคียงไดม้ า และผา้ เป็นนิสสัคคยี ์ ๓. ผา้ ที่ไดม้ าโดยบริสุทธ์ิ แต่เก็บคา้ งคนื ไว้ ฯ ๓. การอปโลกน์ และ การสวดกรรมวาจาให้ผ้ากฐิน จดั เป็ นสังฆกรรมประเภทใด ? อย่างไหนต้องทา ในสีมา อย่างไหนทานอกสีมากไ็ ด้ ? (๒๕๖๒) ตอบ : การอปโลกน์เพ่ือใหผ้ า้ กฐิน จดั เป็นอปโลกนกรรม การสวดเพ่ือใหผ้ า้ กฐิน จดั เป็น ญตั ติทุติยกรรม ฯ การอปโลกนเ์ พ่ือใหผ้ า้ กฐิน ทาในสีมาหรือนอกสีมากไ็ ดก้ ารสวดกรรมวาจาใหผ้ า้ กฐินตอ้ งทาในสีมาเทา่ น้นั ฯ ๔. กฐิน เป็ นสังฆกรรมอะไร ? การรับกฐิน ตลอดจนถึงการกราน ต้องทาในสีมาเท่าน้นั หรือทานอก สีมากไ็ ด้ ? (๒๕๕๓) ตอบ : เป็นญตั ติทุติยกรรม ฯ การรับกฐิน การอปโลกน์เพ่อื ใหผ้ า้ กฐิน และการกรานกฐินทาในสีมาหรือ นอกสีมาก็ได้ การสวดญตั ติทุติยกรรมวาจาใหผ้ า้ กฐิน ตอ้ งทาในสีมาเท่าน้นั ฯ ๕. สงฆ์ผู้มีสิทธริ ับผ้ากฐิน ต้องมีคณุ สมบตั ิอย่างไร ? ภิกษุผู้ควรครองผ้ากฐิน พงึ มีคุณสมบัติ อะไรบ้าง ? จงบอกมาสัก ๕ ข้อ (๒๕๕๔) ตอบ : ตอ้ งเป็นผจู้ าพรรษามาแลว้ ถว้ นไตรมาสไม่ขาดในอาวาสเดียวกนั มีจานวนต้งั แต่ ๕ รูปข้ึนไป ฯ พงึ มีคุณสมบตั ิอยา่ งน้ี คอื (ใหต้ อบเพยี ง ๕ ขอ้ ใน ๘ ขอ้ ต่อไปน้ี) ๑. รู้จกั บพุ พกรณ์ ๒. รู้จกั ถอนไตรจีวร ๓. รู้จกั อธิษฐานไตรจีวร ๔. รู้จกั การกราน ๕. รู้จกั มาติกา คือหวั ขอ้ แห่งการเดาะกฐิน

๕๖ ๖. รู้จกั ปลิโพธกงั วลเป็นเหตยุ งั ไมเ่ ดาะกฐิน ๗. รู้จกั การเดาะกฐิน ๘. รู้จกั อานิสงส์กฐิน ฯ ๖. ภิกษถุ ือว่าได้รับอานิสงส์กฐินแล้ว เข้าบ้านในเวลาวกิ าลโดยไม่บอกลา ต้องอาบัตอิ ะไรหรือไม่ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : ในกรณีท่ีรับนิมนตแ์ ลว้ ไปในท่ีนิมนต์ ภายหลงั ภตั รเขา้ บา้ นโดยไมบ่ อกลา ไม่ ตอ้ งอาบตั ิ ซ่ึงไดร้ ับยกเวน้ ดว้ ยอานิสงส์ที่วา่ เท่ียวไปไม่ตอ้ งบอกลา ตามสิกขาบท ท่ี ๖ แห่งอเจลกวรรค ในปาจิตติยกณั ฑ์ ฯ แต่ในกรณีท่ีไมไ่ ดร้ ับนิมนต์ เขา้ บา้ นในเวลาวิกาล ตอ้ งอาบตั ิปาจิตตีย์ ตาม สิกขาบทที่ ๓ แห่งรัตนวรรค ในปาจิตติยกณั ฑ์ ยกเวน้ ในกรณีรีบด่วน เช่นภิกษุ ถูกงูกดั รีบเขา้ ไปเพ่อื หายาหรือตามหมอ ฯ ๗. กรานกฐิน ได้แก่ การทาอย่างไร ? จงเขยี นคาอนุโมทนากฐินมาดู (๒๕๖๑, ๒๕๕๙, ๒๕๕๖) ตอบ : ไดแ้ ก่ เมื่อมีผา้ เกิดข้ึนแก่สงฆใ์ นเดือนทา้ ยฤดูฝน พอจะทาเป็นไตรจีวรผืนใดผนื หน่ึงได้ สงฆพ์ ร้อมใจกนั ยกใหแ้ ก่ภิกษรุ ูปหน่ึงผเู้ หมาะสม ภิกษุผไู้ ดร้ ับผา้ น้นั นาไปทาเป็นจีวรผนื ใดผืนหน่ึงใหแ้ ลว้ เสร็จในวนั น้นั แลว้ มาบอกแก่ภิกษผุ ยู้ กผา้ น้นั ให้ เพ่ืออนุโมทนา ภิกษเุ หลา่ น้นั อนุโมทนา ท้งั หมดน้ีคือกรานกฐิน ฯ คาอนุโมทนากฐินวา่ อตฺถต ภนฺเต สงฺฆสฺส กฐิน ธมฺมิโก กฐินตฺถาโร อนุโมทามิ ฯ ๘. ผ้าทีไ่ ม่ทรงอนุญาตให้ใช้เป็ นผ้ากฐิน ได้แก่ผ้าเช่นไรบ้าง ? (๒๕๕๗) ตอบ : เช่นน้ี คอื ๑. ผา้ ท่ีไม่ไดเ้ ป็นสิทธิ เช่น ผา้ ท่ีขอยมื เขามา ๒. ผา้ ท่ีไดม้ าโดยอาการอนั มิชอบ คือทานิมิตไดม้ า พดู เลียบเคยี งไดม้ าและผา้ เป็น นิสสคั คีย์ ๓. ผา้ ท่ีไดม้ าโดยบริสุทธ์ิ แตเ่ ก็บคา้ งคืนไว้ ฯ ๙. ภิกษุผู้กรานกฐินแล้ว ย่อมได้อานิสงส์อะไรบ้าง ? (๒๕๕๗) ตอบ : ๑. เที่ยวไปไม่ตอ้ งบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลวรรค ในปาจิตติยกณั ฑ์ ๒. เที่ยวจาริกไปไมต่ อ้ งถือเอาไตรจีวรไปครบสารับ ๓. ฉนั คณะโภชนไ์ ด้ ๔. เกบ็ อติเรกจีวรไวไ้ ดต้ ามปรารถนา

๕๗ ๕. จีวรอนั เกิดข้นึ ในที่น้นั เป็นของไดแ้ ก่พวกเธอ ท้งั ไดโ้ อกาสขยายเขตจีวรกาลใหย้ าวออกไปตลอด ๔ เดือนฤดูเหมนั ตด์ ว้ ย ฯ ๑๐. อานิสงส์กฐินจะสิ้นสุดลง เพราะเหตอุ ะไรบ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ : เพราะปลิโพธ ๒ ประการ คอื อาวาสปลิโพธ ความกงั วลในอาวาส และจีวร ปลิโพธ ความกงั วลในจีวรขาดลง และสิ้นสุดเขตจีวรกาล ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ท่ี ๒๗ บรรพชา อปุ สมบท ๑. ผ้จู ะเข้ามาอุปสมบทเป็ นภิกษใุ นพระพทุ ธศาสนาต้องประกอบด้วย คุณสมบตั ิอะไรบ้าง ? (๒๕๖๑) ตอบ : ประกอบดว้ ยคณุ สมบตั ิ ๕ ประการ คือ ๑. เป็นชาย ๒. มีอายคุ รบ ๒๐ ปี ๓. ไม่เป็นมนุษยว์ ิบตั ิ เช่น ถูกตอน หรือเป็นกะเทย เป็นตน้ ๔. ไม่เคยทาอนนั ตริยกรรม ๕. ไมเ่ คยตอ้ งปาราชิก หรือไม่เคยเขา้ รีตเดียรถียท์ ้งั ที่เป็นภิกษุ ฯ ๒. ในอุปสมบทกรรม อภัพพบคุ คล หมายถงึ ใคร ? จาแนกโดยประเภทมเี ท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๐, ๒๕๕๑) ตอบ : หมายถึง บคุ คลที่ทรงหา้ มไมใ่ หอ้ ปุ สมบท ฯ มี ๓ ประเภท คือ ๑. เพศบกพร่อง ๒. ประพฤติผดิ พระธรรมวนิ ยั ๓. ประพฤติผดิ ต่อกาเนิดของเขาเอง ฯ ๓. อนั ตรายกิ ธรรมท่ยี กขนึ้ ถามอปุ สมปทาเปกขะในการอุปสมบทน้นั ข้อท่ีเป็ นอนั ตรายร้ายแรง ถงึ กบั ทาให้เป็ นภกิ ษุไม่ได้ คือข้อใดบ้าง ? (๒๕๕๒) ตอบ : คือ ขอ้ วา่ ไมใ่ ช่มนุษย์ ไมใ่ ช่บรุ ุษ อายไุ มค่ รบ ๒๐ ปี ฯ ๔. บุรพกจิ ท่พี งึ ทาเป็ นเบือ้ งต้นก่อนแต่อุปสมบท คืออะไรบ้าง ? ในกจิ เหล่าน้นั กจิ ทต่ี ้องทาเป็ น การสงฆ์ มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๓) ตอบ : คือ ใหบ้ รรพชา ขอนิสสัย ถืออปุ ัชฌายะ ขนานชื่อมคธแห่งอุปสมั ปทาเปกขะ

๕๘ และบอกนามอปุ ัชฌายะ บอกบาตรจีวร สง่ั ใหอ้ ปุ สัมปทาเปกขะออกไปยนื ขา้ งนอก สมมติภิกษรุ ูปหน่ึงเป็นผซู้ กั ซอ้ มอปุ สัมปทาเปกขะถึงอนั ตรายกิ ธรรม เรียกอปุ สมั ปทาเปกขะเขา้ ในสงฆ์ ใหข้ ออปุ สมบท สมมติภิกษุรูปหน่ึง สอบถามอปุ สัมปทาเปกขะถึงอนั ตรายกิ ธรรมในสงฆ์ ฯ มี สมมติภิกษุรูปหน่ึงเป็นผซู้ กั ซอ้ มอุปสมั ปทาเปกขะถึงอนั ตรายกิ ธรรม เรียก อุปสมั ปทาเปกขะเขา้ ในสงฆ์ สมมติภิกษุรูปหน่ึงสอบถามอปุ สมั ปทาเปกขะ ถึงอนั ตรายกิ ธรรมในสงฆ์ ฯ ๕. อปุ สัมปทาเปกขะจะสาเร็จเป็ นพระภิกษไุ ด้ เม่ือพระกรรมวาจาจารย์สวดถงึ บาลบี ทใด ? (๒๕๕๓) ตอบ : ถึงบทวา่ โส ภาเสยฺย ทา้ ยอนุสาวนาท่ี ๓ ฯ ๖. องคสมบตั ขิ องภกิ ษุผ้จู ะเป็ นอุปัชฌาย์ให้อุปสมบท เป็ นอาจารย์ให้นสิ ัย ท่ีกาหนดไว้ในบาลมี ี หลายอย่าง แม้บกพร่องบางอย่างกไ็ ด้ แต่ทข่ี าดไม่ได้คือองคสมบตั อิ ะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : ท่ีขาดไม่ได้ คอื มีพรรษา ๑๐ หรือยงิ่ กวา่ ฯ ๗. ในการอปุ สมบท คนทไี่ ด้ช่ือว่าลกั เพศ ได้แก่คนเช่นไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : ไดแ้ ก่ คนถือเพศภิกษเุ อาเอง ดว้ ยต้งั ใจจะปลอมเขา้ อยใู่ นหมู่ภิกษุ ดงั คากลา่ ววา่ เดียรถียป์ ลอมเขา้ อยใู่ นหมู่ภิกษุคร้ังอโศกรัชกาล ถา้ คนน้นั เป็นแตส่ ักวา่ ทรงเพศ เพราะเหตุอยา่ งอื่น เป็นตน้ วา่ เพ่อื หนีภยั ไม่จดั เป็นคนลกั เพศ ฯ ๘. อะไรเป็ น บพุ พกจิ และ ปัจฉิมกจิ แห่งอปุ สมบทกรรม ? (๒๕๕๕) ตอบ : การใหบ้ รรพชาจนถึงสมมติภิกษรุ ูปหน่ึงสอบถามอปุ สัมปทาเปกขะถึง อนั ตรายกิ ธรรมในสงฆ์ เป็นบุพพกิจแห่งอปุ สมบทกรรม ฯ การวดั เงาแดด การบอกประมาณแห่งฤดู การบอกส่วนแห่งวนั การบอกสงั คตี ิ การ บอกนิสัย ๔ การบอกอกรณียกิจ ๔ ในลาดบั เวลาสวดกรรมวาจาจบ เป็นปัจฉิมกิจ แห่งอุปสมบทกรรม ฯ ๙. จงเขยี นคาขออุปสมบทมา ? (๒๕๕๕) ตอบ : สงฺฆมฺภนฺเต อุปสมฺปท ยาจามิ อุลฺลมุ ฺปตุ ม ภนฺเต, สงฺโฆ อนุกมฺป อปุ าทาย ทตุ ิยมฺปิ ภนฺเต สงฺฆ อปุ สมฺปท ยาจามิ อุลฺลมุ ฺปตุ ม ภนฺเต สงฺโฆ อนุกมฺป อปุ าทาย ตติยมฺปิ ภนฺเต สงฺฆ อุปสมฺปท ยาจามิ อุลฺลุมฺปตุ ม ภนฺเต, สงฺโฆ อนุกมฺป อุปาทาย

๕๙ ๑๐. ญัตติ กบั อนุสาวนา ต่างกนั อย่างไร ? มีใช้ในสังฆกรรมอะไรบ้าง ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๖) ตอบ : ญตั ติ คือ การเผดียงสงฆ์ ส่วนอนุสาวนา คอื การประกาศความปรึกษาและตกลง ของสงฆ์ ฯ ญตั ติ มีใชใ้ นญตั ติกรรม ญตั ติทตุ ิยกรรม และญตั ติจตุตถกรรม ส่วนอนุสาวนา มีใชเ้ ฉพาะในญตั ติทุติยกรรม และญตั ติจตุตถกรรม ฯ ๑๑. สงฆ์ผู้จะให้การอุปสมบทแก่กุลบุตร ในพระวนิ ยั มีกาหนดจานวนภกิ ษุไว้อย่างไร ? ถ้าไม่ครบ ตามจานวนน้นั จัดเป็ นวบิ ัติอะไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : มีกาหนดอยา่ งน้ี คือในมธั ยมชนบท ๑๐ รูปเป็นอยา่ งต่า ในปัจจนั ตชนบท ๕ รูปเป็นอยา่ งต่า ฯ จดั เป็น ปริสวบิ ตั ิ ฯ ๑๒. ท่านศึกษาพระวินยั ในเร่ืองการอุปสมบทดแี ล้ว จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้ ? (๒๕๕๗) ก. อภพั บุคคล ข. อปุ สัมปทาเปกขะ ค. กรรมวาจา ง. อนุสาวนา จ. อนุศาสน์ ตอบ : ก. อภพั บุคคล คือบคุ คลผไู้ มค่ วรแก่การใหอ้ ุปสมบท ทรงหา้ มไวเ้ ป็นเด็ดขาด อุปสมบทไม่ข้ึน ข. อปุ สัมปทาเปกขะ คือผปู้ ระสงคจ์ ะอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ค. กรรมวาจา คือวาจาท่ีสวดประกาศในการใหอ้ ุปสมบท ง. อนุสาวนา คอื วาจาท่ีสวดประกาศความปรึกษาและตกลงสงฆ์ จ. อนุศาสน์ คือกิจที่พึงทาภายหลงั จากอปุ สมบทเสร็จแลว้ มีการบอกนิสสยั ๔ บอกอกรณียกิจ ๔ เป็นตน้ ฯ ๑๓. อภัพพบุคคลผ้กู ระทาผิดต่อพระศาสนา ถูกห้ามอุปสมบท มีกปี่ ระเภท ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ : มี ๗ ประเภท คือ ๑. คนฆา่ พระอรหนั ต์ ๒. คนทาร้ายภิกษณุ ี ไดแ้ ก่ ผขู้ ่มขืนภิกษณุ ีในอชั ฌาจาร ๓. คนลกั เพศ คอื คนถือเพศเป็นภิกษเุ อง ๔. ภิกษุไปเขา้ รีตเดียรถีย์ ๕. ภิกษุตอ้ งปาราชิกละเพศไปแลว้ ๖. ภิกษุทาสงั ฆเภท ๗. คนทาร้ายพระศาสดาจนถึงหอ้ พระโลหิต ฯ

๖๐ ๑๔. การบอกนิสสัย ๔ และอกรณยี ะ ๔ บอกในเวลาใด ? และใครเป็ นผู้บอก ? (๒๕๕๙) ตอบ : ท่านใหบ้ อกในลาดบั แห่งอปุ สมบทแลว้ หา้ มไม่ใหบ้ อกก่อนหนา้ อปุ สมบท ฯ อุปัชฌายะบอกกไ็ ด้ กรรมวาจาจารยห์ รืออนุสาวนาจารยบ์ อกกไ็ ด้ ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ท่ี ๒๘ วิธีระงับวิวาทาธิกรณ์ ๑. ววิ าทาธิกรณ์ คืออะไร ? ระงบั ได้ด้วยอธิกรณสมถะข้อใดบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ : คือ การเถียงกนั ปรารภพระธรรมวนิ ยั ฯ ดว้ ยสัมมุขาวินยั และเยภยุ ยสิกา ฯ ๒. ภิกษุผ้กู ่อววิ าทาธิกรณ์ อย่างไรช่ือว่าปรารถนาดี อย่างไรช่ือว่าปรารถนาเลว ? (๒๕๖๒, ๒๕๕๖) ตอบ : ผกู้ ่อววิ าทเพราะเห็นแก่พระธรรมวินยั (ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ) ช่ือวา่ ทาดว้ ยปรารถนาดี ผกู้ ่อวิวาทดว้ ยทิฐิมานะ แมร้ ู้วา่ ผิดกข็ นื ทา (ประกอบดว้ ยโลภะ โทสะ โมหะ) ช่ือวา่ ทาดว้ ยปรารถนาเลว ฯ ๓. ภกิ ษทุ ะเลาะกนั เรื่องสรรพคุณของยา จดั เป็ นวิวาทาธกิ รณ์ได้หรือไม่ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : ไม่ได้ ฯ เพราะววิ าทาธิกรณ์ มุ่งเฉพาะวิวาทปรารถพระธรรมวนิ ยั ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ที่ ๒๙ วธิ ีระงับอนุวาทาธิกรณ์ ๑. ตชั ชนยี กรรมและตัสสปาปิ ยสิกากรรม กรรมไหนสาหรับลงโทษแก่ภกิ ษผุ ้เู ป็ นโจทก์ ? กรรมไหน สาหรับลงโทษแก่ภกิ ษผุ ้เู ป็ นจาเลย ? เพราะประพฤติบกพร่องอย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : ตชั ชนียกรรมสาหรับลงโทษแก่ภิกษุผเู้ ป็นโจทก์ เพราะจงใจหาความเทจ็ ใส่ภิกษุ อ่ืน ก่ออธิกรณ์ข้นึ ในสงฆ์ ตสั สปาปิ ยสิกากรรมสาหรับลงโทษแก่ภิกษุผเู้ ป็น จาเลย เพราะเป็นผจู้ งใจปกปิ ดความประพฤติเสียหายของตนดว้ ยการใหก้ ารเทจ็ ฯ ๒. อนุวาทาธกิ รณ์ คืออะไร ? ระงับด้วยอธกิ รณสมถะเท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๕) ตอบ : คอื การโจทกนั ดว้ ยอาบตั ิน้นั ๆ ฯ ระงบั ดว้ ยอธิกรณสมถะ ๔ อยา่ ง คือ ๑) สัมมขุ าวินยั ๒) สติวินยั ๓) อมฬู หวินยั ๔) ตสั สปาปิ ยสิกา ฯ ๓. อนุวาทาธกิ รณ์เช่นไร อนั ภกิ ษุจะพงึ ยกขนึ้ พจิ ารณาตัดสินได้ ? (๒๕๖๐) ตอบ : ตอ้ งเป็นเร่ืองมีมลู คือ

๖๑ เรื่องท่ีไดเ้ ห็นเอง ๑ เรื่องท่ีไดย้ นิ เองหรือมีผบู้ อกและเชื่อวา่ เป็นจริง ๑ เร่ืองที่เวน้ จาก ๒ สถานน้นั แตร่ ังเกียจโดยอาการ ๑ ฯ ๔. อนุวาทาธกิ รณ์ คือ อะไร ? เมื่อเกดิ ขนึ้ ใครต้องขวนขวายเพื่อระงับ ? หากปล่อยไว้จะเกดิ ผลเสีย อย่างไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : คอื การโจทกนั ดว้ ยอาบตั ิน้นั ๆ ฯ ภิกษุผเู้ ป็นประธานสงฆ์ พึงขวนขวายรีบระงบั ฯ หากไม่รีบระงบั จะทาใหเ้ สียสีล สามญั ญตาและเสียสามคั คี เป็นทางแตกเป็นนานาสงั วาส ฯ ๕. สัมมุขาวินยั มอี งค์เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๐) ตอบ : มีองค์ ๔ ฯ คอื ๑. ในท่ีพร้อมหนา้ สงฆ์ ๒. ในที่พร้อมหนา้ ธรรม ๓. ในที่พร้อมหนา้ วินยั ๔. ในท่ีพร้อมหนา้ บคุ คลฯ ๖. การโจทภิกษุอ่ืนด้วยอาบตั ิ ทาด้วยกายกไ็ ด้ ด้วยวาจากไ็ ด้ อยากทราบว่า การโจทด้วยกายน้นั ทา อย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ : ทาโดยแสดงอาการไมน่ บั ถือวา่ เป็นภิกษุ มีการไมอ่ ภิวาทเป็นตน้ การเขยี นหนงั สือ โจท ก็จดั วา่ เป็นการโจทดว้ ยกาย ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ท่ี ๓๐ วิธีระงับอาปัตตาธิกรณ์ ๑. พระอรรถกถาจารย์แสดงลกั ษณะปกปิ ดอาบัตสิ ังฆาทเิ สสไว้เป็ น ๕ คู่อย่างไรบ้าง ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๑) ตอบ : แสดงไว้ ๕ คู่ ดงั น้ี ๑. เป็นอาบตั ิ และรู้วา่ เป็นอาบตั ิ ๒. เป็นปกตตั ตะ และรู้วา่ เป็นปกตตั ตะ ๓. ไมม่ ีอนั ตราย และรู้วา่ ไมม่ ีอนั ตราย ๔. อาจอยู่ และรู้วา่ อาจอยู่ ๕. ใคร่จะปิ ด และปิ ดไว้ ฯ

๖๒ ๒. รัตตเิ ฉท หมายถงึ อะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ : หมายถึง การขาดราตรีแห่ง (การประพฤติ) มานตั ฯ มี ๑) อยรู่ ่วม ๒) อยปู่ ราศ ๓) ไมบ่ อก ๔) ประพฤติในคณะอนั พร่อง ฯ ๓. อาปัตตาธิกรณ์ระงบั ในสานกั บคุ คลด้วยอธิกรณสมถะอะไร ? และระงับในสานกั สงฆ์ด้วย อธกิ รณสมถะอะไร ? (๒๕๕๒) ตอบ : ระงบั ในสานกั บคุ คลดว้ ยปฏิญญาตกรณะ ฯ ระงบั ในสานกั สงฆ์ ดงั น้ี ถา้ เป็นครุกาบตั ิ ดว้ ยสัมมุขาวินยั และปฏิญญาตกรณะ ถา้ เป็นลหุกาบตั ิ ดว้ ยสมั มุขาวนิ ยั และติณวตั ถารกะ ฯ ๔. อนั ตราบัติ คืออาบตั อิ ะไร ? ภกิ ษุจะต้องอาบตั ินไี้ ด้ในเวลาไหนบ้าง ? (๒๕๕๒) ตอบ : คือ อาบตั ิสงั ฆาทิเสสท่ีตอ้ งในระหวา่ งประพฤติวุฏฐานวิธี ฯ ภิกษจุ ะตอ้ งอาบตั ิน้ีไดใ้ นระหวา่ งที่กาลงั อยปู่ ริวาส หรืออยปู่ ริวาสแลว้ เป็น มานตั ตารหะ กาลงั ประพฤติมานตั อยู่ หรือประพฤติมานตั แลว้ เป็นอพั ภานารหะ ฯ ๕. ภิกษเุ สียสีลสามัญญตาเพราะประพฤติอย่างไร ? พระบรมศาสดาทรงวางโทษไว้ให้สงฆ์ทากรรม อะไรแก่เธอ ? (๒๕๕๒) ตอบ : เพราะตอ้ งอาบตั ิแลว้ ไมย่ อมรับวา่ เป็นอาบตั ิ หรือไม่ยอมทาคนื ฯ ทรงวางโทษไวใ้ หส้ งฆท์ าอุกเขปนียกรรมแก่เธอ ฯ ๖. ตณิ วตั ถารกวนิ ยั มีอธิบายอย่างไร ? ใช้ระงบั อธกิ รณ์อะไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : อธิบายวา่ กิริยาที่ใหป้ ระนีประนอมกนั ท้งั ๒ ฝ่าย ไม่ตอ้ งชาระสะสางหาความ เดิม เป็นดงั กลบไวด้ ว้ ยหญา้ ฯ ใชร้ ะงบั อาปัตตาธิกรณ์ที่ยงุ่ ยากยดื เยอ้ื ไม่รู้จบและ เป็นเรื่องสาคญั อนั จะเป็นเครื่องกระเทือนทว่ั ไป เวน้ ครุกาบตั ิและอาบตั ิท่ีเนื่อง ดว้ ยคฤหสั ถ์ ฯ ๗. วฏุ ฐานวิธี แปลว่าอะไร ? ประกอบด้วยอะไรบ้าง ? (๒๕๖๒) ตอบ : แปลวา่ ระเบียบเป็นเคร่ืองออกจากอาบตั ิ ฯ ประกอบดว้ ยปริวาส มานตั ปฏิกสั สนา และอพั ภาน ฯ ๘. วฏุ ฐานวธิ หี มายถึงอะไร ? ในการทาวฏุ ฐานวิธีแต่ละอย่างน้ัน ต้องการสงฆ์จานวนเท่าไรเป็ น อย่างน้อย ? (๒๕๖๐, ๒๕๕๔) ตอบ : หมายถึง ระเบียบวิธีเป็นเครื่องออกจากอาบตั ิสังฆาทิเสส ฯ อพั ภาน ตอ้ งการสงฆ์ ๒๐ รูปเป็นอยา่ งนอ้ ย นอกน้นั ตอ้ งการต้งั แต่ ๔ รูปข้นึ ไป ฯ

๖๓ ๙. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้ ก. ปริวาส ข. อพั ภาน ฯ (๒๕๕๖) ตอบ : ก. ไดแ้ ก่ การประพฤติวตั รพเิ ศษอยา่ งหน่ึงเทา่ จานวนวนั ที่ภิกษผุ ตู้ อ้ งอาบตั ิ สงั ฆาทิเสสแลว้ ปกปิ ดไว้ ฯ ข. ไดแ้ ก่ การท่ีสงฆส์ วดระงบั อาบตั ิสังฆาทิเสส ฯ ๑๐. อกุ เขปนียกรรม และ นยิ สกรรม สงฆ์พงึ ลงแก่ภกิ ษเุ ช่นไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : อกุ เขปนียกรรม พึงลงแก่ภิกษไุ มเ่ ห็นอาบตั ิ ผไู้ มท่ าคนื อาบตั ิ หรือผไู้ ม่สละทิฏฐิ บาป นยิ สกรรม พึงลงแก่ภิกษุผมู้ ีอาบตั ิมาก หรือคลุกคลีกบั คฤหสั ถด์ ว้ ยการคลุกคลีอนั ไม่ควร ฯ ๑๑. อธกิ รณ์อนั สงฆ์วนิ ิจฉัยแล้ว ฝ่ ายไม่ชอบใจ จกั อทุ ธรณ์ต่อสงฆ์อ่ืนให้วนิ จิ ฉัยใหม่ได้หรือไม่ ? จง อธบิ ายพอเข้าใจ (๒๕๕๘) ตอบ : ไดก้ ็มี ไมไ่ ดก้ ็มี ฯ ตามสิกขาบทที่ ๓ แห่งสัปปาณวรรค ปาจิตติยกณั ฑ์ โจทกก์ ็ดี จาเลยก็ดี สงฆก์ ด็ ี รู้อยวู่ า่ อธิกรณ์น้นั สงฆห์ มู่น้นั วนิ ิจฉยั เป็นธรรมแลว้ ฟ้ื นข้นึ เพื่อ วินิจฉยั ใหม่ ตอ้ งอาบตั ิปาจิตติยะ เป็นอนั อุทธรณ์ไม่ได้ แต่ถา้ เห็นวา่ ไม่เป็นธรรม ฟ้ื นข้นึ ไมเ่ ป็นอาบตั ิ เป็นอนั อทุ ธรณ์ได้ ฯ ๑๒. รัตตเิ ฉท คืออะไร ? รัตตเิ ฉทของภกิ ษุผู้ประพฤตมิ านัต มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ : คอื การขาดราตรี ฯ มี ๔ อยา่ ง ฯ คือ ๑. สหวาโส อยรู่ ่วม ๒. วปิ ปฺ วาโส อยปู่ ราศ ๓. อนาโรจนา ไม่บอก ๔. อเู น คเณ จรณ ประพฤติในคณะอนั พร่อง ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ท่ี ๓๑ กจิ จาธิกรณ์ว่าด้วยนิคหกรรม ๑. กจิ จาธกิ รณ์และนิคคหะ คืออะไร ? (๒๕๖๑) ตอบ : กิจจาธิกรณ์ คือ กิจอนั จะพงึ ทeดว้ ยประชุมสงฆ์ ตา่ งโดยเป็นอปโลกนกรรม ญตั ติ กรรม ญตั ติทตุ ิยกรรม ญตั ติจตุตถกรรม นิคคหะ คอื การขม่ เป็นกิจอยา่ งหน่ึงแห่งผปู้ กครองหมู่ ฯ

๖๔ ๒. ในทางพระวนิ ัย การคว่าบาตร หมายถงึ อะไร ? และจะหงายบาตรได้เม่ือไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : หมายถึง การไมใ่ หค้ บหาสมาคมดว้ ยลกั ษณะ ๓ ประการ คอื ๑. ไม่รับบิณฑบาตของเขา ๒. ไม่รับนิมนตข์ องเขา ๓. ไมร่ ับไทยธรรมของเขา ฯ เม่ือผถู้ ูกคว่าบาตรน้นั เลิกกลา่ วติเตียนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นตน้ น้นั แลว้ กลบั ประพฤติดี พึงหงายบาตรแก่เขาได้ ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ท่ี ๓๓ ปกณิ กะ ๑. ลงิ คนาสนา คืออะไร ? บคุ คลทที่ รงพระอนุญาตให้ทาลงิ คนาสนามกี ป่ี ระเภท ? ใครบ้าง ? (๒๕๕๓) ตอบ : คอื การใหฉ้ ิบหายเสียจากเพศ ฯ มี ๓ ประเภท ฯ คือ ภิกษุตอ้ งอนั ติมวตั ถแุ ลว้ ยงั ปฏิญญาตนเป็นภิกษุ ๑ บคุ คลผอู้ ปุ สมบทไมข่ ้ึน ไดร้ ับอุปสมบทแตส่ งฆ์ ๑ สามเณรผปู้ ระกอบดว้ ยองค์ ๑๐ มีเป็นผมู้ กั ผลาญชีวติ เป็นตน้ ๑ ฯ ๒. นาสนา คืออะไร? บุคคลเช่นไรท่ที รงอนุญาตให้นาสนา ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๕) ตอบ : คือ การยงั บคุ คลผไู้ มส่ มควรถือเพศภิกษแุ ละสามเณร ใหส้ ละเพศเสีย ฯ บคุ คลท่ีทรงอนุญาตใหน้ าสนามี ๓ ประเภท คอื ๑. ภิกษตุ อ้ งอนั เติมวตั ถแุ ลว้ ยงั ปฏิญญาตนเป็นภิกษุ ๒. บคุ คลผอู้ ปุ สมบทไมข่ ้ึน ไดร้ ับอปุ สมบทแตส่ งฆ์ ๓. สามเณรผปู้ ระกอบดว้ ยองค์ ๑๐ ขอ้ ใดขอ้ หน่ึง เช่น เป็นผมู้ กั ผลาญชีวิตสตั ว์ เป็นตน้ ฯ ๓. ภิกษผุ ู้ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย และได้มคี าวนิ จิ ฉัยถงึ ทส่ี ุดให้ได้รับนิคหกรรมให้สึก ต้องปฏิบัติ อย่างไร ? ถ้าไม่ปฏบิ ตั ติ ามต้องได้รับโทษอะไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : ตอ้ งสึกภายในยส่ี ิบสี่ชว่ั โมงนบั แตเ่ วลาที่ไดท้ ราบคาวินิจฉยั ฯ ถา้ ไม่ปฏิบตั ิตาม ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหน่ึงปี ฯ ______________________________________________________________________________

๖๕ ๒.๔ วชิ าพระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ ๑. พระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ คืออะไร ? ตอบ : คอื กฏหมายฉบบั หน่ึงวา่ ดว้ ยคณะสงฆ์ ฯ ๒. คาว่า คณะสงฆ์ และคณะสงฆ์อื่น แห่งมาตรา ๕ ทวิ ในพระราชบญั ญัติคณะสงฆ์หมายถึงใคร ตอบ : คณะสงฆ์ หมายถึง บรรดาพระภิกษุท่ีไดร้ ับบรรพชาอปุ สมบทจากพระอปุ ัชฌาย์ ตามพระราชบญั ญตั ิน้ี หรือตามกฎหมายที่ใชบ้ งั คบั ก่อนพระราชบญั ญตั ิน้ี ไม่วา่ จะปฏิบตั ิศาสนกิจในหรือนอกราชอาณาจกั ร ฯ คณะสงฆอ์ ื่น หมายถึง บรรดาบรรพชิตจีนนิกายหรืออนมั นิกาย ฯ ๓. ตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ วดั มีกปี่ ระเภท? อะไรบ้าง? และใครเป็ นผ้แู ทนของวดั ใน กจิ การทวั่ ไป ? ตอบ : มี ๒ ประเภท ฯ คือ ๑. วดั ท่ีไดร้ ับพระราชทานวิสุงคามสีมา ๒. สานกั สงฆ์ ฯ เจา้ อาวาสเป็นผแู้ ทนของวดั ในกิจการทว่ั ไป ฯ ______________________________________________________________________________ หมวด ๑ สมเดจ็ พระสังฆราช ______________________________________________________________________________ หมวด ๒ มหาเถรสมาคม ๑. กรรมการมหาเถรสมาคมดารงอยู่ในตาแหน่งคราวละกปี่ ี ? ตอบ : กรรมการมหาเถรสมาคมซ่ึงพระมหากษตั ริยท์ รงแต่งต้งั อยใู่ นตาแหน่งคราวละ ๒ ปี และอาจไดร้ ับการแตง่ ต้งั อีกไดฯ้ ๒. องค์กรปกครองคณะสงฆ์สูงสุด คืออะไร ? มีการกาหนดองค์ประกอบไว้อย่างไร ? ตอบ : คอื มหาเถรสมาคม ฯ มีการกาหนดองคป์ ระกอบไวอ้ ยา่ งน้ี คอื สมเดจ็ พระสงั ฆราช ซ่ึงทรงดารงตาแหน่งประธานกรรมการโดยตาแหน่ง และ กรรมการอื่นอีกไมเ่ กิน ๒๐ รูป ซ่ึงพระมหากษตั ริยท์ รงแตง่ ต้งั จากสมเด็จพระราชา คณะ พระราชาคณะ หรือพระภิกษุซ่ึงมีพรรษาอนั สมควร และมีจริยวตั รในพระ ธรรมวนิ ยั ท่ีเหมาะสมแก่การปกครองคณะสงฆ์ ฯ

๖๖ ๓. กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งพระมหากษตั ริย์ทรงแต่งต้ัง จะพ้นจากตาแหน่งในกรณใี ด บ้าง ? ตอบ : ๑. มรณภาพ ๒. พน้ จากความเป็นพระภิกษุ ๓. ลาออก ๔. พระมหากษตั ริยม์ ีพระบรมราชโองการใหอ้ อก ______________________________________________________________________________ หมวด ๓ การปกครองคณะสงฆ์ ๑. ตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบญั ญัติคณะสงฆ์ ให้จัดแบ่งเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาคไว้ อย่างไร ? ตอบ : แบ่งดงั น้ี คอื ๑. ภาค ๒. จงั หวดั ๓. อาเภอ ๔. ตาบล ส่วนจานวนและเขตปกครองดงั กลา่ วใหเ้ ป็นไปตามที่กาหนดในกฎมหาเถร สมาคม ฯ ๒. เจ้าอาวาส ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ๒๔ ใครเป็ นผ้แู ต่งต้งั ? ตอบ : สมเด็จพระสงั ฆราช ทรงมีพระบญั ชาแตง่ ต้งั เจา้ อาวาสพระอารามหลวง ตามมติ มหาเถรสมาคม เจา้ คณะจงั หวดั แต่งต้งั เจา้ อาวาสวดั ราษฎร์ ฯ ๓. เจ้าอาวาส หมายถึงใคร ? ภกิ ษุผู้จะดารงตาแหน่งเจ้าอาวาสวดั ทีไ่ ม่ใช่พระอารามหลวงต้องมี คุณสมบัตโิ ดยเฉพาะอะไรบ้าง (๒๕๖๒) ตอบ : หมายถึง พระภิกษผุ ไู้ ดร้ ับแต่งต้งั ตามกฎมหาเถรสมาคมใหเ้ ป็นพระสังฆาธิการ ปกครองวดั ใดวดั หน่ึง ฯ คอื ๑. มีพรรษาพน้ ๕ ๒. เป็นผทู้ รงเกียรติคณุ เป็นที่เคารพนบั ถือของคฤหสั ถแ์ ละบรรพชิตในถ่ินน้นั ฯ ๔. การปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค จดั แบ่งเขตการปกครองไว้อย่างไร? จงอ้างมาตราประกอบ ตอบ : ๑. ภาค ๒. จงั หวดั ๓. อาเภอ ๔. ตาบล ฯ ตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ ฯ ______________________________________________________________________________

๖๗ หมวด ๔ นคิ หกรรมและการสละสมณเพศ ๑. ภิกษุผู้ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย และได้มคี าวนิ จิ ฉัยถงึ ท่สี ุดให้ได้รับนิคหกรรมให้สึก ต้องปฏบิ ัติ อย่างไร ? ถ้าไม่ปฏิบตั ติ ามต้องได้รับโทษอะไร ? ตอบ : ตอ้ งสึกภายใน ๒๔ ชว่ั โมงนบั แตเ่ วลาที่ไดท้ ราบคาวนิ ิจฉยั ฯ ถา้ ไม่ปฏิบตั ิตามตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไม่เกินหน่ึงปี ฯ ๒. พระภิกษุจะไม่สังกดั อยู่ในวดั ใดวัดหนึ่งเลยได้หรือไม่ จงอ้างมาตราประกอบด้วย ? ตอบ : ไมไ่ ด้ ตามมาตรา ๒๗ (๓) แห่งพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ ๒๕๐๕, (แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดย พระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ฯ ______________________________________________________________________________ หมวด ๕ วัด ๑. พระราชบญั ญัตณิ ะสงฆ์มาตรา ๓๗ ระบหุ น้าทีเ่ จ้าอาวาสไว้กอ่ี ย่าง ? อะไรบ้าง ? ตอบ : ระบุไว้ ๔ อยา่ งฯ คือ ๑. บารุงรักษาวดั จดั กิจการและศาสนสมบตั ิของวดั ใหเ้ ป็นไปดว้ ยดี ๒. ปกครองและสอดส่องใหบ้ รรพชิตและคฤหสั ถท์ ่ีมีที่อยหู่ รือพานกั อาศยั อยใู่ น วดั น้นั ปฏิบตั ิตามพระธรรมวินยั กฎมหาเถรสมาคม ขอ้ บงั คบั ระเบียบหรือคาสง่ั ของมหาเถรสมาคม ๓. เป็นธุระในการศึกษาอบรมและส่ังสอนพระธรรมวินยั แก่บรรพชิตและคฤหสั ถ์ ๔. ใหค้ วามสะดวกตามสมควรในการบาเพญ็ กุศล ฯ ๒. ที่วดั และท่ีซ่ึงขนึ้ ต่อวัด ตามมาตรา ๓๓ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มกี อ่ี ย่าง ? อะไรบ้าง ? ตอบ : มี ๓ อยา่ งฯ คอื ๑. ที่วดั คือ ท่ีซ่ึงตงั วดั ตลอดจนเขตของวดั น้นั ๒. ท่ีธรณีสงฆ์ คอื ท่ีสงฆซ์ ่ึงเป็นสมบตั ิของวดั ๓. ที่กลั ปนา คอื ที่ซ่ึงมีอุทิศแต่ผลประโยชน์ใหว้ ดั หรือพระศาสนา ฯ ______________________________________________________________________________

๖๘ หมวด ๖ ศาสนสมบัติ ๑. ศาสนสมบัตมิ กี ปี่ ระเภท ? อะไรบ้าง ? การจะนาผลประโยชน์จากศาสนสมบตั ิไปใช้จ่าย มี หลกั เกณฑ์อย่างไร ? ตอบ : มี ๒ ประเภท ฯ คือ ศาสนสมบตั ิกลาง และ ศาสนสมบตั ิวดั ฯ มีหลกั เกณฑอ์ ยา่ งน้ีคอื ๑. ศาสนสมบตั ิกลาง ใชจ้ ่ายในกิจการของสงฆท์ ว่ั ไปตามพระวินยั โดยอนุมตั ิของ สงฆ์ ๒. ศาสนสมบตั ิวดั ใชจ้ ่ายในกิจการของวดั น้นั ๆ แต่จะนาศาสนสมบตั ิของวดั หน่ึงไปใชอ้ ีกวดั หน่ึงไมไ่ ด้ ฯ ๒. ทีว่ ัด ท่ธี รณสี งฆ์ และทศี่ าสนสมบัตกิ ลาง ได้แก่สถานที่เช่นไร ? (๒๕๖๒) ตอบ : ท่ีวดั ไดแ้ ก่ท่ีซ่ึงต้งั วดั ตลอดจนเขตของวดั น้นั ที่ธรณีสงฆ์ ไดแ้ ก่ที่ซ่ึงเป็นสมบตั ิของวดั นอกจากท่ีต้งั วดั ที่ศาสนสมบตั ิกลาง ไดแ้ ก่ที่ซ่ึงเป็นทรัพยส์ ินของพระศาสนาซ่ึงมิใช่ของวดั ใดวดั หน่ึง ฯ ๓. ท่ีวดั ทธ่ี รณีสงฆ์ หรือท่ีศาสนสมบตั ิกลาง จะสามารถโอนกรรมสิทธ์ไิ ด้หรือไม่ ? มหี ลกั ปฏบิ ตั ิ อย่างไร ? ตอบ : สามารถโอนได้ ฯ มีหลกั ปฏิบตั ิตามความในมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แกไ้ ขเพมิ่ เติมโดยพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ (มาตรา ๓๔ การโอนกรรมสิทธ์ิท่ีวดั ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบตั ิกลาง ให้ กระทาไดก้ แ็ ต่โดยพระราชบญั ญตั ิ เวน้ แตเ่ ป็นกรณีตามวรรคสอง ______________________________________________________________________________ หมวด ๗ บทกาหนดโทษ ๑. ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์หรือคณะสงฆ์อ่ืนอนั อาจก่อให้เกดิ ความเส่ือมเสียหรือความแตกแยก มีโทษ อย่างไร ? ตอบ : ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไมเ่ กิน ๒ หม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ ฯ ______________________________________________________________________________