๔๗ ๕. พระเถระและพระเถรีผู้มชี ่ือต่อไปนี้ ได้รับเอตทคั คะในทางไหน ? (๒๕๕๘) ก. พระมหากจั จายนะ ข. พระโมฆราช ค. พระราหุล ง. ปฏาจาราเถรี จ. อบุ ลวรรณาเถรี ตอบ : ก. พระมหากจั จายนะ เป็นเอตทคั คะในทางอธิบายคายอ่ ใหพ้ สิ ดาร ข. พระโมฆราช เป็นเอตทคั คะในทางทรงจีวรเศร้าหมอง ค. พระราหุล เป็นเอตทคั คะในทางผใู้ ฝ่ใจศึกษาพระธรรมวนิ ยั ง. ปฏาจาราเถรี เป็นเอตทคั คะในทางทรงวินยั จ. อบุ ลวรรณาเถรี เป็นเอตทคั คะในทางมีฤทธ์ิฯ ๖. ภิกษุ ภกิ ษณุ ี ผ้เู อตทัคคะในทางเป็ นพระธรรมกถึก คือใคร ? (๒๕๕๗) ตอบ : ภิกษผุ เู้ ป็นเอตทคั คะในทางเป็นพระธรรมกถึกคอื พระปณุ ณมนั ตานีบุตร, ภิกษุณีผเู้ ป็นเอตทคั คะในทางเป็นพระธรรมกถึกคือ พระมหาธรรมทินนาเถรี ๗. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอปุ มาด้วยพณิ ๓ สาย แก่ใคร ? ด้วยทรงพระประสงค์ใด ? (๒๕๕๙) ตอบ : แก่พระโสณโกฬิวิสะ ฯ ดว้ ยทรงพระประสงคจ์ ะใหท้ ่านทาความเพียรพอประมาณ เพราะท่านทาความ เพียรอยา่ งยงิ่ เดินจงกรมจนเทา้ แตก ฯ ๘. พระพทุ ธองค์ทรงแสดงโทษแห่งความเพยี รที่ตึงเกินไปและหย่อนเกนิ ไปแก่พระโสณโกฬิวสิ ะ ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : พระพุทธองคท์ รงยกพณิ ๓ สายเขา้ มาเปรียบเทียบ ๙. บรรดาศิษย์ ๑๖ คน ศิษย์คนใดนาพระธรรมเทศนาของพระพทุ ธองค์ไปบอกแก่พราหมณ์พาวรีผู้ เป็ นอาจารย์ ? พราหมณ์พาวรี ฟังพระธรรมเทศนาน้นั แล้ว ได้บรรลธุ รรมช้ันไหน ? (๒๕๕๘) ตอบ : ปิ งคิยมาณพ ฯ ช้นั เสขภมู ิ ฯ ๑๐. มาณพท้งั ๑๖ คนผู้ทูลถามโสฬสปัญหากบั พระพุทธองค์ เป็ นศิษย์ของใคร ? ท่านต้งั สานกั อย่ทู ี่ ไหน ? (๒๕๕๗) ตอบ : เป็นศิษยข์ องพราหมณ์พาวรี ฯ ต้งั สานกั อยรู่ ิมฝั่งแมน่ ้าโคธาวารี ซ่ึงอยรู่ ะหวา่ ง เมืองอสั สกะกบั เมืองอาฬากะ ฯ ๑๑. ปัญหาว่า โลกคือหมู่สัตว์อนั อะไรปิ ดบังไว้จงึ หลงอยู่ในทม่ี ืด ดังนี้ ใครเป็ นผู้ถาม ?และพระ ศาสดาทรงพยากรณ์ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : อชิตมาณพเป็นผถู้ าม ฯ ทรงพยากรณ์วา่ โลกคอื หม่สู ตั ว์ อนั อวิชชา คือ ความไม่รู้ แจง้ ปิ ดบงั ไว้ จึงหลงดุจอยใู่ นท่ีมืด ฯ
๔๘ ๑๒. “หมู่มนุษย์ในโลกนี้ อาศัยอะไรจงึ บูชายญั บวงสรวงเทวดา” น่เี ป็ นปัญหาของใคร? และได้รับ พุทธพยากรณ์ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : เป็นปัญหาของปุณณกมาณพ ฯ ไดร้ ับพทุ ธพยากรณ์วา่ หมมู่ นุษยเ์ หล่าน้นั อยากได้ ของที่ตนปรารถนา อาศยั ของท่ีมีชราทรุดโทรม จึงบชู ายญั บวงสรวงเทวดา ฯ ๑๓. ปิ งคิยมาณพฟังพยากรณ์ปัญหาจากพระบรมศาสดาแล้ว ได้บรรลธุ รรมช้ันไหน ? เพราะเหตุ ไร ? ตอบ : ไดด้ วงตาเห็นธรรม ฯ เพราะความฟ้งุ ซ่านดว้ ยความคดิ ถึงอาจารยใ์ นขณะฟังพระธรรมเทศนา จึงไมอ่ าจทาจิตใหส้ ิ้นอาสวะ ฯ ๑๔. อาจารย์ผู้ผกู ปัญหาให้ศิษย์ ๑๖ คนไปทูลถามพระพุทธเจ้า ช่ืออะไร ? ท้งั อาจารย์และศิษย์ฟัง พุทธพยากรณ์ แล้วได้บรรลุผลอะไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : พราหมณ์พาวรี ฯ ปิ งคิยมาณพไดด้ วงตาเห็นธรรม, ศิษยอ์ ีก ๑๕ คน ไดบ้ รรลเุ ป็นพระอรหนั ต,์ ส่วนอาจารยไ์ ดบ้ รรลเุ สขภมู ิ ฯ ๑๕. พระโมฆราช และ พระอบุ าลี ได้รับการยกย่องว่าเลศิ ในทางไหน ? (๒๕๖๒) ตอบ : พระโมฆราช ไดร้ ับยกยอ่ งวา่ เป็นผทู้ รงจีวรเศร้าหมอง พระอบุ าลี ไดร้ ับยกยอ่ งวา่ เป็นผทู้ รงพระวนิ ยั ฯ ๑๖. พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพระโมฆราชด้วยเรื่องอะไร ? มคี วามหมายอย่างไร (๒๕๕๓) ตอบ : วา่ ดว้ ยเร่ืองสุญญตานุปัสสนา ฯ มีความหมายวา่ ใหพ้ ิจารณาเห็นโลกโดยความเป็น ของวา่ งเปลา่ ถอนความเห็นวา่ เป็นตวั ตนของเราเสีย ฯ ๑๗. คาถามว่า “ข้าพเจ้าจักพจิ ารณาเห็นโลกอย่างไร มจั จุราชจงึ จกั ไม่แลเหน็ ” ใครเป็ นผ้ถู าม พระ ศาสดาทรงพยากรณ์ไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ : พระโมฆราชเป็นผทู้ ูลถาม พระศาสดาทรงพยากรณ์วา่ ทา่ นจงเป็นคนมีสติ พจิ ารณาเห็นโลกโดยความเป็นของวา่ งเปลา่ ถอนความตามเห็นวา่ ตวั ของเราเสีย ทุกเมื่อเถิด ทา่ นจกั ขา้ มลว่ งมจั จุราชเสียไดด้ ว้ ยอบุ ายอยา่ งน้ี ทา่ นพิจารณาเห็นโลก อยา่ งน้ีแล มจั จุราชจึงไม่แลเห็น ฯ ๑๘. “โลกมอี ะไรผูกพนั ไว้ อะไรเป็ นเคร่ืองสัญจรของโลกน้นั ท่านกล่าวกนั ว่า นิพพานๆ ดังนี้ เพราะ ละอะไรได้ ?” ปัญหานีใ้ ครทูลถาม ? (๒๕๕๑) ตอบ : อุทยมาณพเป็นผทู้ ูลถาม ฯ ______________________________________________________________________________
๔๙ ๒.๓ วชิ าศาสนพธิ ี หมวดท่ี ๑ กศุ ลพธิ ี ๑. การศึกษาให้เข้าใจในศาสนพธิ ี มปี ระโยชน์อย่างไร ? (๒๕๖๒) ตอบ : ๑. ทาใหเ้ ขา้ ใจเร่ืองของศาสนพธิ ีไดโ้ ดยถกู ตอ้ ง ๒. ทาใหเ้ ห็นเป็นเร่ืองสาคญั ไม่ไร้สาระ ๓. ทาใหป้ ฏิบตั ิไดถ้ ูกตอ้ งไมผ่ ดิ เพ้ยี นจากขนบธรรมเนียมประเพณี ฯ ๒. วนั ธรรมสวนะ คือวันอะไร ? ทรงอนุญาตให้มใี นวันใดบ้าง ? (๒๕๖๑) ตอบ : วนั ธรรมสวนะ คือวนั กาหนดประชุมฟังธรรมทว่ั ไป เรียกวา่ วนั พระ เดือนหน่ึง ๔ วนั คอื ๑.วนั ข้ึน ๘ ค่า, ๒.วนั ข้ึน ๑๕ ค่า, ๓.วนั แรม ๘ ค่า, ๔.วนั แรม ๑๕ ค่า ฯ ๓. การทาวตั รสวดมนต์ มีประโยชน์อย่างไร ? จงอธบิ าย (๒๕๖๒) ตอบ : เป็นอุบายสงบใจ ไม่ใหค้ ดิ วนุ่ วายตามอารมณ์ไดช้ ว่ั ขณะท่ีทาเม่ือทาประจาวนั ละ ๒ เวลา ท้งั เชา้ เยน็ คร้ังละคร่ึงชวั่ โมง หรือ ๑ ชว่ั โมงเป็นอยา่ งนอ้ ย กเ็ ท่ากบั ไดใ้ ช้ เวลาสงบจิตได้ วนั ละไมต่ ่ากวา่ ๑ ใน ๒๔ ชวั่ โมง ฯ ๔. ศาสนพธิ เี ล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กป่ี ระเภท ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๖) ตอบ : ๓ ประเภท ฯ คือ ๑) สังฆอุโบสถ ๒) ปาริสุทธิอโุ บสถ ๓) อธิษฐานอโุ บสถ ฯ ๕. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้ การเข้าพรรษา การออกพรรษา ฯ (๒๕๕๖) ตอบ : การเข้าพรรษา หมายถึง การที่ภิกษผุ กู ใจวา่ จะอยู่ ณ ท่ีใดที่หน่ึงตลอดเวลา ๓ เดือน ในฤดูฝน ไมไ่ ปคา้ งแรมใหล้ ่วงราตรีในท่ีแห่งอ่ืนระหวา่ งผกู ใจน้นั เวน้ แต่ไปดว้ ย สตั ตาหกรณียะ ฯ การออกพรรษา หมายถึง กาลที่สิ้นสุดกาหนดอยจู่ าพรรษาของภิกษุตามพระวินยั บญั ญตั ิ มีพธิ ีเป็นสงั ฆกรรมพเิ ศษโดยเฉพาะ เรียกโดยภาษาพระวนิ ยั วา่ ปวารณา กรรม คอื การทาปวารณาของสงฆผ์ อู้ ยรู่ ่วมกนั ตลอดเวลา ๓ เดือน ฯ ๖. ธรรมเนยี มของสงฆ์ทีพ่ งึ ปฏบิ ตั ชิ อบต่อกนั เพ่ือความสามคั คี เรียกว่าอะไร ? หมายถึงอะไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : เรียกวา่ สามีจิกรรม ฯ หมายถึง การขอขมาโทษ และการใหอ้ ภยั กนั ฯ ๗. จงเขยี นอุโบสถศีลข้อท่ี ๓ มาดู ฯ (๒๕๕๘) ตอบ : อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ ฯ
๕๐ ๘. จงเขยี นอโุ บสถศีล เฉพาะข้อที่ ๗ มาดู (๒๕๕๕) ตอบ : นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวเิ ลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ ฯ ๙. สามีจิกรรม หมายถงึ อะไร ? มกี แี่ บบ ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑) ตอบ : หมายถึง การขอขมาโทษกนั ใหอ้ ภยั กนั ทุกโอกาส ไมว่ า่ จะมีโทษขดั ขอ้ งหมองใจ กนั หรือไม่กต็ าม ถึงโอกาสท่ีควรทาสามีจิกรรมกนั แลว้ ทุกรูปไม่พึงละโอกาส เสีย ฯ มี ๒ แบบ ฯ คือ ๑. แบบขอขมาโทษ ๒. แบบถวายสกั การะ ฯ ๑๐. กศุ ลพธิ ี คืออะไร ? พธิ ีทาสามีจกิ รรม หมายถึงอะไร ? (๒๕๖๐) ตอบ : คอื พิธีบาเพญ็ กุศล ฯ หมายถึง การขอขมาโทษกนั ใหอ้ ภยั กนั ทุกโอกาส ไม่วา่ จะมีโทษขดั ขอ้ งหมองใจ กนั หรือไมก่ ต็ าม ถึงโอกาสท่ีควรทาสามีจิกรรมกนั แลว้ ทุกรูปไมพ่ ึงละโอกาสเสีย ______________________________________________________________________________ หมวดที่ ๒ บุญพธิ ี ๑. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้ (๒๕๕๘) ก. ปาฏิปคุ คลกิ ทาน ข. เภสัชทาน ค. สลากภตั ง. ผ้าวัสสิกสาฎก จ. ผ้าอจั เจกจวี ร ฯ ตอบ : ก. ปาฏิปคุ คลิกทาน คือทานท่ีถวายเจาะจงเฉพาะรูปน้นั รูปน้ี ข. เภสัชทาน คอื การถวายเภสชั ๕ ไดแ้ ก่ เนยใส เนยขน้ น้ามนั น้าผ้ึง น้าออ้ ย ค. สลากภตั คอื ภตั ตาหารที่ทายกทายกิ าถวายตามสลาก ง. ผา้ วสั สิกสาฎก คือผา้ ท่ีอธิษฐานสาหรับใชน้ ุ่งในเวลาอาบน้าฝน หรืออาบน้า ทว่ั ไป จ. ผา้ อจั เจกจีวร คอื ผา้ จานาพรรษาท่ีทายกรีบด่วนถวายก่อนวนั ออกพรรษา ๒. การถวายผ้าวัสสิกสาฎกน้ัน มีมูลเหตมุ าจากอะไร? ใครเป็ นผ้ถู วายคนแรก ? (๒๕๕๕, ๒๕๕๙) ตอบ : มีมลู เหตุมาจากเดิมยงั ไม่มีพุทธานุญาตใหภ้ ิกษุมีผา้ วสั สิกสาฎก ภิกษทุ ้งั หลายจึง เปลือยกายอาบน้า นางวสิ าขามหาอุบาสิกาทราบเร่ืองน้นั แลว้ เห็นวา่ ไมส่ มควรแก่ เพศสมณะ จึงทลู ขอพระพทุ ธานุญาต เพ่ือถวายผา้ อาบน้ าฝนแก่ภิกษทุ ้งั หลาย ฯ ๓. วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร ? เน่ืองด้วยวันน้นั มบี ุญพธิ ีอะไรท่ที ากนั มาจนถงึ บดั นี้ ?(๒๕๕๔) ตอบ : คอื วนั ที่พระพทุ ธเจา้ เสด็จลงจากเทวโลก หลงั จากที่เสดจ็ ข้ึนไปจาพรรษาใน ดาวดึงส์พภิ พถว้ นไตรมาส โบราณเรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ วนั พระเจา้ เปิ ดโลก ฯ
๕๑ มีการทาบญุ ตกั บาตรแด่พระพุทธเจา้ พร้อมท้งั พระสงฆ์ จนเป็นประเพณีทาบญุ ตกั บาตร ที่เรียกวา่ ตกั บาตรเทโวโรหณะ มาจนถึงปัจจุบนั น้ี ฯ ๔. วันทพ่ี ระพทุ ธเจ้าเสดจ็ ลงจากสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ เรียกว่าวันอะไร ? (๒๕๖๐) ตอบ : เรียกวา่ วนั เทโวโรหณะ ฯ ตรงกบั วนั มหาปวารณา วนั เพญ็ เดือน ๑๑ ฯ ๕. วิหารทานคาถา ซึ่งเป็ นบทอนุโมทนาพเิ ศษ เริ่มต้นด้วย สีต อณุ ฺห ปฏิหนฺติ ฯลฯ นิยมใช้สวด เม่ือใด ? (๒๕๕๔) ตอบ : เมื่อทายกถวายเสนาสนะมี โบสถ์ วิหาร กุฎี เป็นตน้ ฯ ๖. คาว่า เจริญพระพทุ ธมนต์กบั สวดพระพุทธมนต์ใช้ต่างกนั อย่างไร ? การทาบญุ ฉลองอฐั ิจัดเข้าใน อย่างไหนใน ๒ อย่างข้างต้น ? (๒๕๕๓) ตอบ : เจริญพระพุทธมนตใ์ ชใ้ นงานมงคล สวดพระพทุ ธมนตใ์ ชใ้ นงานอวมงคล ฯ จดั เขา้ ในการเจริญพระพทุ ธมนต์ แตไ่ มต่ อ้ งต้งั ขนั น้ามนตแ์ ละสายสิญจน์ ฯ ๗. สามัญอนุโมทนากบั วเิ สสอนุโมทนา ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ : ต่างกนั อยา่ งน้ี สามญั อนุโมทนา คอื การอนุโมทนาที่นิยมใชป้ ฏิบตั ิกนั ทว่ั ไปเป็น ปกติ ไม่วา่ งานใดกใ็ ชอ้ นุโมทนาอยา่ งน้นั ส่วนวเิ สสอนุโมทนา คือการอนุโมทนาดว้ ยบทสวดสาหรับอนุโมทนาเป็นพิเศษ เฉพาะทาน เฉพาะกาล และเฉพาะเร่ือง ๘. ในงานมงคลที่ทากนั อย่างสามัญทั่วไป นยิ มเจริญพระพุทธมนต์ด้วยบทสวดมนต์ทร่ี วมเรียก ส้ันๆ ว่าอะไร ? และต้องมีบทอื่นมาประกอบอกี เรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : เรียกวา่ เจ็ดตานาน ฯ เรียกวา่ ตน้ สวดมนตห์ รือตน้ ตานาน และทา้ ยสวดมนต์ ฯ ๙. เทศน์มหาชาติ คือการเทศน์เรื่องอะไร ? มกี กี่ ณั ฑ์ ? จบเทศน์มหาชาตแิ ล้ว นยิ มเทศน์ต่อด้วยเรื่อง อะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : เร่ืองเวสสนั ดรชาดก ฯ มี ๑๓ กณั ฑ์ ฯ เรื่อง จตรุ าริยสจั จกถา ฯ ______________________________________________________________________________ หมวดที่ ๓ ทานพธิ ี ๑. บท อทาสิ เม อกาสิ เม… และบท อยญจฺ โข ทกขฺ ณิ า ทนิ ฺนา… ใช้ต่างกนั อย่างไร?(๒๕๕๒) ตอบ : อทาสิ เม อกาสิ เม… ใชใ้ นกรณีท่ีศพยงั อยู่ อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา… ใชใ้ นกรณีทาบญุ อฐั ิ ฯ _____________________________________________________________________________
๕๒ หมวดท่ี ๔ ปกณิ ณกพธิ ี ๑. จงเขยี นคาถาท่ใี ช้ในการบังสุกลุ เป็ น และบงั สุกุลตาย มาดู ? (๒๕๕๗) ตอบ : คาถาท่ีใชใ้ นการบงั สุกุลเป็นวา่ อจิร วตย กาโย, ปถวึ อธิเสสฺสติ, ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญาโณ, นิรตฺถ ว กลิงฺคร, คาถาท่ีใชใ้ นการบงั สุกลุ ตายวา่ อนิจฺจา วตสขารา อุปฺปาทวยฺธมฺมิโน อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตส วู ปสโมสุโขฯ ๒. การทาสังคายนาก่อให้เกดิ คุณประโยชน์แก่พระศาสนาอย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๖) ตอบ : ใหเ้ กิดคุณประโยชน์อยา่ งน้ี คือ กาจดั และป้องกนั อลชั ชีได้ ทาความเห็นพุทธ ศาสนิกใหถ้ กู ตอ้ งและปฏิบตั ิถกู ตอ้ งได้ และทาใหพ้ ระศาสนามนั่ คงและแพร่หลาย ยง่ิ ข้ึน ฯ ๓. งานทาบญุ ต่อนามหรือต่ออายุ คืองานทาบุญเช่นไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : คืองานทาบุญที่คณะญาติของผกู้ าลงั ป่ วยหนกั จดั ข้ึน เพอ่ื ใหผ้ ปู้ ่ วยหายป่ วย และ เพอื่ ใหผ้ ปู้ ่ วยไดม้ ีโอกาสบาเพญ็ กุศลในบ้นั ปลายแห่งชีวิตของตน หรือเป็นความ ประสงคข์ องผจู้ ะทาบญุ ตอ่ อายเุ องเพ่ือความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ฯ ______________________________________________________________________________
๕๓ ๒.๔ วชิ าวนิ ัยมขุ อารัมภบท ๑. พระวินยั แบ่งออกเป็ นกอ่ี ย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๗) ตอบ : แบ่งเป็น ๒ ประการ คือ ๑. อาทิพรหมจริยกาสิกขา, ๒. อภิสมาจาริกาสิกขา ฯ ๒. ภิกษผุ ู้ละเมิดสิกขาบทนอกพระปาตโิ มกข์ ต้องอาบัตอิ ะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ : ตอ้ งอาบตั ิถุลลจั จยั และ ทกุ กฏ ฯ ๓. สิกขาบทนอกพระปาตโิ มกข์ท่เี รียกว่าอภิสมาจารแบ่งเป็ น ๒ คือเป็ นข้อห้าม ๑ เป็ นข้ออนุญาต ๑ น้นั คืออย่างไร ? ปรับโทษแก่ผ้ลู ่วงละเมิดไว้อย่างไร? (๒๕๕๒) ตอบ : ทเี่ ป็ นข้อห้าม คอื กิริยาบางอยา่ งหรือบริขารบางประเภทไมเ่ หมาะแก่สมณสารูป จึงทรงหา้ มไมใ่ หก้ ระทาหรือใชบ้ ริขารเช่นน้นั เช่น หา้ มไมใ่ หไ้ วผ้ มยาว ไม่ใหไ้ ว้ หนวดเครายาว ไม่ใหใ้ ชบ้ าตรไม้ เป็นตน้ ทีเ่ ป็ นข้ออนุญาต คือ เป็นการประทานประโยชนพ์ เิ ศษแก่พระภิกษุ เช่น ทรง อนุญาต ผา้ วสั สิกสาฎกในฤดูฝน เป็นตน้ ฯ ปรับโทษโดยตรงมีเพยี ง ๒ คือ ถลุ ลจั จยั , ทุกกฏ แมใ้ นขอ้ ที่ทรงอนุญาต เมื่อไม่ทาตามก็เป็นอาบตั ิทุกกฏ เพราะไมเ่ อ้ือเฟ้ื อ ฯ ๔. สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์เรียกว่าอะไร ? ทรงบัญญัตไิ ว้เพ่ือประโยชน์อะไร ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๐) ตอบ : เรียกวา่ อภิสมาจาร ฯ ทรงบญั ญตั ิไวเ้ พอ่ื ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของภิกษุ และเพ่ือความงามของพระ ศาสนา เช่นเดียวกบั ตระกลู ใหญ่ จาตอ้ งมีขนบธรรมเนียมและระเบียบไวร้ ักษา เกียรติ และความเป็นผดู้ ีของตระกลู ฯ ๕. อภิสมาจารคืออะไร ? ภิกษผุ ้ไู ม่เอื้อเฟื้ อในอภิสมาจารมโี ทษอย่างไรบ้าง ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๙) ตอบ : คอื ธรรมเนียมหรือมารยาทที่ดีงามของภิกษุ ฯ มีโทษปรับอาบตั ิถลุ ลจั จยั เป็นอยา่ งสูง แต่มีนอ้ ย ส่วนมากปรับอาบตั ิทุกกฎเป็นพ้นื ๖. อภสิ มาจาร คืออะไร ? ปรับอาบัติได้กอ่ี ย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๖, ๒๕๕๑) ตอบ : คือ ธรรมเนียมของภิกษุ ฯ ปรับอาบตั ิได้ ๒ อยา่ ง ฯ คอื ถุลลจั จยั และทกุ กฏ ฯ ๗. อาทพิ รหมจริยกาสิกขา กบั อภสิ มาจาริกาสิกขา ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : ตา่ งกนั ดงั น้ี อาทิพรหมจริยกาสิกขา ไดแ้ ก่ขอ้ ศึกษาอนั เป็นเบ้ืองตน้ แห่งพรหมจรรย์
๕๔ อนั ไดแ้ ก่ พระพทุ ธบญั ญตั ิท่ีทรงต้งั ไวใ้ หเ้ ป็นพุทธอาณา เป็นสิกขาบทอนั มาใน พระปาติโมกข์ เป็นขอ้ บงั คบั โดยตรง ที่ภิกษจุ ะตอ้ งประพฤติปฏิบตั ิโดยเคร่งครัด ส่วนอภิสมาจาริกาสิกขา ไดแ้ ก่ ขอ้ ศึกษาอนั เนื่องดว้ ยอภิสมาจาร คือมารยาทอนั ดี ที่ทรงบญั ญตั ิหรืออนุญาตไว้ อนั มานอกพระปาติโมกข์ เป็นขนบธรรมเนียมอนั ดี งามของหมคู่ ณะท่ีควรประพฤติ ฯ ๘. ภกิ ษผุ ้ปู ฏบิ ตั ิพระวินัยส่วนอภิสมาจารให้ดงี าม จะต้องปฏบิ ตั อิ ย่างไร ? (๒๕๕๔, ๒๕๕๔) ตอบ : ตอ้ งปฏิบตั ิโดยสายกลาง คอื ไม่ถือเคร่งครัดอยา่ งงมงาย จนเป็นเหตุทาตนใหล้ าบาก เพราะเหตธุ รรมเนียมเลก็ ๆ นอ้ ยๆ อนั ขดั ตอ่ กาลเทศะ และไม่สะเพร่ามกั ง่าย ละเลย ตอ่ ธรรมเนียมของภิกษุ จนถึงทาตนใหเ้ ป็นคนเลวทราม ฯ _____________________________________________________________________________ กณั ฑ์ที่ ๑๑ กายบริหาร ๑. ในกายบริหาร มขี ้อปฏบิ ตั เิ กย่ี งกบั หนวดและคิว้ ไว้อย่างไร ? (๒๕๕๙) ตอบ : เก่ียวกบั หนวด มีขอ้ ปฏิบตั ิไวว้ า่ อยา่ พงึ ไวห้ นวดไวเ้ ครา คอื ตอ้ งโกนเสมอ หา้ ม ไม่ใหแ้ ตง่ หนวดและหา้ มไม่ใหต้ ดั หนวดดว้ ยกรรไกร เกี่ยวกบั ควิ้ ไมไ่ ดว้ างหลกั ปฏิบตั ิไว้ แต่พระสงฆไ์ ทยนิยมโกนพร้อมกบั ผม ฯ ๒. มขี ้อกาหนดในการไว้ผมยาวของพระภิกษอุ ย่างไร ? ในการโกนผม ภกิ ษใุ ช้กรรไกรแทนมีดโกน ได้หรือไม่ ? (๒๕๕๑) ตอบ : ไวไ้ ดเ้ พียง ๒ เดือน หรือ ๒ นิ้ว เป็นอยา่ งยงิ่ ฯ ในการโกนผม ภิกษุใชก้ รรไกร แทนมีดโกนไมไ่ ด้ เวน้ ไวแ้ ตอ่ าพาธ ฯ ๓. การผดั หน้า ไล้หน้า ทาหน้า ทรงห้ามและทรงอนุญาตไว้ในกรณใี ด ? (๒๕๕๗) ตอบ : ทรงหา้ มเฉพาะเพ่อื ทาใหส้ วย, ทรงอนุญาตในกรณีอาพาธ ๔. เปลือยกายอย่างไรต้องอาบตั ิถุลลจั จยั ? อย่างไรต้องอาบตั ทิ ุกกฎ ? (๒๕๖๒, ๒๕๕๔) ตอบ : เปลือยกายเป็นวตั รเอาอยา่ งเดียรถีย์ ตอ้ งอาบตั ิถลุ ลจั จยั ฯ เปลือยกายทากิจแก่กนั เช่นไหว้ รับไหว้ ทาบริกรรม ใหข้ อง รับของ และเปลือย กายในเวลาฉนั ในเวลาด่ืม ตอ้ งอาบตั ิทกุ กฏ ฯ ๕. มพี ระบัญญัตขิ ้อหน่งึ ว่า อย่าพงึ นุ่งผ้าอย่างคฤหสั ถ์ อย่าพงึ ห่มผ้าอย่างคฤหสั ถ์ ในกรณที ภ่ี ิกษุถกู โจรชิงผ้านุ่งห่มไปหมด พงึ ปฏบิ ัติอย่างไรจึงจะถูกต้องตามพระวินยั ? (๒๕๕๒) ตอบ : พึงปิ ดกายดว้ ยวตั ถอุ ยา่ งใดอยา่ งหน่ึงเป็นการชวั่ คราว โดยท่ีสุดแมใ้ บไมก้ ็ใชไ้ ด้ หา้ มมิใหเ้ ปลือยกาย ฯ
๕๕ ๖. ภิกษุเปลือยกายในกรณีต่อไปนี้ ต้องอาบตั อิ ะไรหรือไม่ ? (๒๕๕๗) ก. เปลือยเป็ นวัตรอย่างเดยี รถีย์ ข. เปลือยทากจิ แก่กนั เช่น ไหว้ รับไหว้ ค. เปลือยเวลาฉัน ในเวลาดื่ม ง. เปลือยในเรือนไฟ จ. เปลือยในน้า ตอบ : ก. เปลือยกายเป็นวตั รอยา่ งเดียรถีย์ ตอ้ งอาบตั ิถลุ ลจั จยั , ข. เปลือยทากิจแก่กนั เช่น ไหว้ รับไหว้ ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏ, ค. เปลือยในเวลาฉนั ในเวลาดื่ม ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏ, ง. เปลือยในเรือนไฟ ไมต่ อ้ งอาบตั ิ, จ. เปลือยในน้า ไม่ตอ้ งอาบตั ิ ๗. ข้อว่า อย่าพงึ นุ่งห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ น้นั มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : มีอธิบายวา่ หา้ มนุ่งห่มเคร่ืองนุ่งห่มของคฤหสั ถ์ เช่น กางเกง เส้ือ ผา้ โพก หมวก ผา้ นุ่ง ผา้ ห่มสีต่าง ๆ ชนิดตา่ ง ๆ และหา้ มอาการนุ่งห่มต่าง ๆ ท่ีไมใ่ ช่ของภิกษุ ฯ ๘. ภิกษแุ ม้ล่วงละเมิดพระวินัยแล้วไม่ต้องอาบตั ิ ได้รับยกเว้นทุกสิกขาบท ได้แก่ภิกษุประเภทไหน บ้าง ? (๒๕๕๕) ตอบ : ไดแ้ ก่ ภิกษุบา้ คลงั่ จนไมม่ ีสติสมั ปชญั ญะ, ภิกษเุ พอ้ จนไมร่ ู้สึกตวั , ภิกษุ กระสับ กระส่าย เพราะมีเวทนากลา้ จนถึงไม่มีสติ ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ท่ี ๑๒ บริขาร บริโภค ๑. ผ้าสาหรับทาจีวรนุ่งห่มน้ัน ทรงอนุญาตไว้กชี่ นิด ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๒, ๒๕๕๘) ตอบ : ๖ ชนิด ฯ คอื ๑. โขมะ ผา้ ทาดว้ ยเปลือกไม้ ๒. กปั ปาสิกะ ผา้ ทาดว้ ยฝ้าย ๓. โกเสยยะ ผา้ ทาดว้ ยใยไหม ๔. กมั พละ ผา้ ทาดว้ ยขนสัตว์ ยกเวน้ ผมและขนมนุษย์ ๕. สาณะ ผา้ ทาดว้ ยเปลือกป่ าน ๖. ภงั คะ ผา้ ทาดว้ ยของ ๕ อยา่ งน้นั แต่อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงปนกนั ฯ ๒. จวี รผืนหน่งึ มกี าหนดจานวนขัณฑ์ไว้อย่างไร ? ใน ๑ ขณั ฑ์ประกอบด้วยอะไรบ้าง ?(๒๕๕๑) ตอบ : กาหนดจานวนไวไ้ มน่ อ้ ยกวา่ ๕ ขณั ฑ์ แตใ่ หเ้ ป็นขณั ฑค์ ่ี คอื ๗, ๙, ๑๑ เป็นตน้ ฯ ประกอบดว้ ย มณฑล อฑั ฒมณฑล กสุ ิ อฑั ฒกุสิ ฯ
๕๖ ๓. สังฆาฏิ บาตร ประคตเอว เขม็ มดี โกน อย่างไหนจดั เป็ นบริขารบริโภค อย่างไหนจัดเป็ นบริขาร อปุ โภค ? (๒๕๕๙) ตอบ : สังฆาฏิ บาตร ประคตเอว จดั เป็นบริขารบริโภค เขม็ มีดโกน จดั เป็นบริขารอุปโภค ฯ ๔. บาตรทท่ี รงอนุญาตให้ใช้มกี ชี่ นิด ? และกข่ี นาด ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๗) ตอบ : บาตรที่ทรงอนุญาตใหใ้ ชม้ ี ๒ ชนิด คอื ๑. บาตรดินเผา สุมดาสนิท ๒. บาตรเหลก็ ฯ ขนาดบาตรท่ีทรงอนุญาตใหใ้ ช้ มี ๓ ชนิด คือ ๑. บาตรขนาดเลก็ จุขา้ วสุกแห่งขา้ วสารก่ึงอาฬหกะ คอื ๒ คนกินเหลือ ๓ คน กินไมพ่ อ ๒. บาตรขนาดกลาง จุขา้ วสุกแห่งขา้ วสารนาฬีหน่ึง (ทะนาน) คือกินได้ ๕ คน ๓. บาตรขนาดใหญ่ จุขา้ วสุกแห่งขา้ วสารปัตถะหน่ึง คือ กินได้ ๑๐ คน ๕. บาตรทที่ รงอนุญาต มกี ชี่ นิด ? อะไรบ้าง ? บาตรแสตนเลสจดั เข้าในชนดิ ไหน ? (๒๕๖๑) ตอบ : มี ๒ ชนิด ฯ คอื ๑. บาตรดินเผา ๒. บาตรเหลก็ ฯ บาตรแสตนเลสจดั เขา้ ในบาตรเหลก็ ฯ ๖. บริขาร ๘ มอี ะไรบ้าง ? ทจ่ี ดั เป็ นบริขารบริโภคและบริขารอุปโภคมอี ะไรบ้าง ? (๒๕๖๒, ๒๕๕๖) ตอบ : มี ไตรจีวร คือผา้ นุ่งผา้ ห่มและผา้ ทาบ บาตร ประคดเอว เขม็ มีดโกน และผา้ กรอง น้าฯ ไตรจีวร บาตร ประคดเอว รวม ๕ อยา่ ง จดั เป็นบริขารบริโภค, เขม็ มีดโกน และ ผา้ กรองน้า จดั เป็นบริขารอุปโภค ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ท่ี ๑๓ นิสัย ๑. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้ ก. อปุ สัมปทาจารย์ ข. อุทเทสาจารย์ ค. สัทธวิ ิหาริก ง. อนั เตวาสิก จ. นสิ สัยมตุ ตกะ (๒๕๕๗) ตอบ : ก. อุปสัมปทาจารย์ ทาหนา้ ที่สวดกรรมวาจาเม่ืออปุ สมบท, ข. อุทเทสาจารย์ ทาหนา้ ที่สอนธรรม ค. สัทธวิ ิหาริก เป็นคาเรียกผทู้ ี่ไดร้ ับอุปสมบท คือ ถา้ อปุ สมบทต่อพระอุปัชฌาย์
๕๗ รูปใด ก็เป็นสทั ธิวหิ าริกของพระอปุ ัชฌายร์ ูปน้นั ง. อนั เตวาสิก ใชเ้ รียกภิกษผุ อู้ าศยั อยู่กบั อาจารย์ หรือภิกษุผมู้ ิใช่พระอุปัชฌายข์ อง ตน จ. นิสสัยมุตตกะ ภิกษผุ พู้ น้ การถือนิสยั หมายถึง ภิกษุมีพรรษาพน้ ๕ แลว้ มีความรู้ ธรรมวนิ ยั พอรักษาตวั ไดแ้ ลว้ ไม่ตอ้ งถือนิสยั ในอุปัชฌาย์ หรืออาจารยต์ อ่ ไป ๒. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้ อปุ ัชฌายะ สัทธวิ ิหาริก นิสสัย ? (๒๕๕๕) ตอบ : อปุ ัชฌายะ เป็นชื่อเรียกภิกษุผรู้ ับใหพ้ ่ึงพงิ แปลวา่ ผฝู้ ึกสอนหรือผดู้ ูแล, สัทธิวหิ าริก เป็นชื่อเรียกภิกษผุ พู้ ่ึงพิง แปลวา่ ผอู้ ยดู่ ว้ ย, นิสสัย เป็นช่ือเรียกกิริยาที่พ่ึงพงิ ฯ ๓. ในบาลแี สดงเหตนุ ิสสัยระงบั จากอปุ ัชฌายะไว้ ๕ ประการ มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๔, ๒๕๕๘) ตอบ : มีอุปัชฌายะหลีกไปเสีย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑ ไปเขา้ รีตเดียรถียเ์ สีย ๑ ส่ังบงั คบั ๑ ๔. คาว่า ถือนิสัย หมายความว่าอย่างไร ? ภกิ ษุผู้เป็ นนวกะจะต้องถือนิสัยเสมอไปหรือไม่ ประการไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : หมายความวา่ ยอมตนอยใู่ นความปกครองของพระเถระผมู้ ีคณุ สมบตั ิควรปกครอง ตนไดย้ อมตนใหท้ ่านปกครอง พ่ึงพงิ พานกั อาศยั ทา่ น ฯ ตอ้ งถือนิสัยเสมอไป แต่มีขอ้ ยกเวน้ ภิกษผุ ยู้ งั ไม่ต้งั ลงเป็นหลกั แหล่ง คือภิกษุ เดินทางภิกษผุ เู้ ป็นไข้ ภิกษผุ พู้ ยาบาลผไู้ ดร้ ับของจากคนไขเ้ พ่ือใหอ้ ยู่ ภิกษุผเู้ ขา้ ป่ า เพ่อื เจริญสมณธรรมชวั่ คราว และกรณีท่ีในท่ีใด หาทา่ นผใู้ หน้ ิสัยมิได้ และมี เหตขุ ดั ขอ้ งท่ีจะไปอยใู่ นที่อื่นไม่ได้ จะอยใู่ นที่น้นั ดว้ ยผกู ใจ ๕. การประณาม ในพระวินัยหมายความว่าอย่างไร ? มพี ระพุทธานุญาตให้อปุ ัชฌาย์ทาการ ประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติอย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ : หมายความวา่ การไลส่ ทั ธิวหิ าริก หรืออนั เตวาสิกผปู้ ระพฤติมิชอบ ผปู้ ระพฤติดงั น้ี ๑. หาความรักใคร่ในอปุ ัชฌายม์ ิได้ ๒. หาความเล่ือมใสมิได้ ๓. หาความละอายมิได้ ๔. หาความเคารพมิได้ ๕. หาความหวงั ดีตอ่ มิได้ ฯ ๖. ตามนยั แห่งอรรถกถา อาจารย์มกี ปี่ ระเภท ? อะไรบ้าง ? คาขอนสิ สัยอาจารย์ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๓)
๕๘ ตอบ : มี ๔ ประเภท ฯ คอื ๑. ปัพพชั ชาจารย์ อาจารยใ์ นบรรพชา ๒. อุปสมั ปทาจารย์ อาจารยใ์ นอปุ สมบท ๓. นิสสยาจารย์ อาจารยผ์ ใู้ หน้ ิสสัย ๔. อทุ เทสาจารย์ อาจารยผ์ บู้ อกธรรม ฯ วา่ อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ ฯ ๗. ภกิ ษเุ ช่นไร ช่ือว่า นวกะ มชั ฌิมะ เถระ ? (๒๕๖๐) ตอบ : ภิกษุมีพรรษาไม่ถึง ๕ ชื่อวา่ นวกะ ภิกษุมีพรรษาต้งั แต่ ๕ ข้ึนไป แตย่ งั ไม่ถึง ๑๐ ตอ้ งประกอบดว้ ยคุณธรรมตามพระ วินยั ชื่อวา่ มชั ฌิมะ ภิกษมุ ีพรรษาต้งั แต่ ๑๐ ข้นึ ไป ตอ้ งประกอบดว้ ยคุณธรรมตามพระธรรมวนิ ยั ชื่อ วา่ เถระ ฯ ๘. นสิ ัยระงบั กบั นิสัยมตุ ตกะ มอี ธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : นิสยั ระงบั หมายถึง การที่ภิกษุผถู้ ือนิสยั ขาดจากปกครอง นิสยั มตุ ตกะ หมายถึง ภิกษผุ ไู้ ดพ้ รรษา ๕ แลว้ และมีคณุ สมบตั ิพอรักษาตนผอู้ ยู่ ตามลาพงั ได้ ทรงพระอนุญาตใหพ้ น้ จากนิสยั ฯ ๙. ภกิ ษุเช่นไรควรได้นสิ ัยมุตตกะ ? (๒๕๖๒, ๒๕๖๐) ตอบ : ภิกษุผคู้ วรไดน้ ิสัยมุตตกะ คอื ๑. เป็นผมู้ ีศรัทธา หิริ โอตตปั ปะ วิริยะ สติ ๒. เป็นผถู้ ึงพร้อมดว้ ยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยไดย้ นิ ไดฟ้ ังมามาก มีปัญญา ๓. รู้จกั อาบตั ิ มิใช่อาบตั ิ อาบตั ิเบา อาบตั ิหนกั จาพระปาฏิโมกขไ์ ดแ้ ม่นยา ท้งั มี พรรษาพน้ ๕ ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ที่ ๑๔ วัตร ๑. วัตรคืออะไร ? อุปัชฌายวัตรและสัทธิวหิ าริกวตั ร ใครพงึ ทาแก่ใคร ? (๒๕๕๙) ตอบ : คือ แบบอยา่ งอนั ดีงามที่ภิกษคุ วรประพฤติในกาลน้นั ฯ อปุ ัชฌายวตั ร สทั ธิวิหาริกพึงทาแก่อปุ ัชฌาย์ สัทธิวิหาริกวตั ร อปุ ัชฌายพ์ ึงทาแก่สัทธิวิหาริก ฯ
๕๙ ๒. ในคาว่า ภกิ ษุผ้ถู งึ พร้อมด้วยวตั ร วตั รได้แก่อะไร ? มอี ะไรบ้าง ? (๒๕๕๑) ตอบ : ไดแ้ ก่ ขนบ คอื แบบอยา่ ง อนั ภิกษุควรประพฤติในกาลน้นั ๆ ในท่ีน้นั ๆ ในกิจ น้นั ๆ แก่บคุ คลน้นั ๆ ฯ มี ๑. กิจวตั ร วา่ ดว้ ยกิจอนั ควรทา ๒. จริยาวตั ร วา่ ดว้ ยมารยาทอนั ควรประพฤติ ๓. วธิ ิวตั ร วา่ ดว้ ยแบบอยา่ ง ฯ ๓. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า วตฺตสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร วตั รคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?(๒๕๖๑, ๒๕๕๔) ตอบ : วตั ร คอื แบบอยา่ งอนั ภิกษคุ วรประพฤติในกาลน้นั ๆ ในที่น้นั ๆ ในกิจน้นั ๆ แก่ บคุ คลน้นั ๆ ฯ มี ๑. กิจวตั ร วา่ ดว้ ยกิจอนั ควรทา ๒. จริยาวตั ร วา่ ดว้ ยมารยาทอนั ควรประพฤติ ๓. วธิ ีวตั ร วา่ ดว้ ยแบบอยา่ ง ฯ ๔. ภิกษุผู้ได้รับเสนาสนะของสงฆ์ให้เป็ นท่ีอย่อู าศัย ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะน้นั อย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : ควรเอาใจใส่รักษาดงั น้ี ๑. ไมท่ าใหเ้ ปรอะเป้ื อน ๒. ชาระใหส้ ะอาด ๓. ระวงั ไม่ใหช้ ารุด ๔. รักษาเคร่ืองเสนาสนะ ๕. ต้งั น้าฉนั น้าใชไ้ วใ้ หม้ ีพร้อม ๖. ของใชส้ าหรับเสนาสนะหน่ึงอยา่ นาไปใชท้ ่ีอื่นใหก้ ระจดั กระจาย ฯ ๕. ภกิ ษุผ้อู าพาธควรปฏบิ ัติตนอย่างไร จึงไม่เป็ นภาระแก่ผู้พยาบาล ? (๒๕๕๘) ตอบ : ควรปฏิบตั ิตนใหเ้ ป็นผพู้ ยาบาลง่าย คอื ทาความสบายใหแ้ ก่ตน (ไม่ฉนั ของแสลง) รู้จกั ประมาณในการบริโภค ฉนั ยาง่าย บอกอาการไขต้ ามเป็นจริงแก่ผพู้ ยาบาล เป็นผอู้ ดทนต่อทุกขเวทนา ฯ ๖. ภกิ ษุเม่ือจะนัง่ ลงบนอาสนะ ทรงให้ปฏิบตั ิอย่างไรก่อน ? ท่ีทรงให้ปฏบิ ตั อิ ย่างน้นั เพื่อประโยชน์ อะไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : ทรงใหพ้ ิจารณาก่อน อยา่ ผลุนผลนั นงั่ ลงไป ฯ เพอ่ื วา่ ถา้ มีของอะไรวางอยบู่ นน้นั จะทบั หรือกระทบของน้นั ถา้ เป็นขนั น้ากจ็ ะหก เสียมารยาท พงึ ตรวจดูดว้ ยนยั น์ตา หรือดว้ ยมือลบู ก่อน ตามแต่จะรู้ไดด้ ว้ ยอยา่ งไร
๖๐ แลว้ จึงค่อยนง่ั ลง ฯ ๗. คาว่า ภกิ ษุจับต้องวัตถุเป็ นอนามาสเป็ นอาบตั ิอะไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : คอื ส่ิงที่ภิกษุไมค่ วรจบั ตอ้ ง ฯ ภิกษจุ บั ตอ้ งมาตุคาม เป็นอาบตั ิสงั ฆาทิเสส ถุลลจั จยั และทกุ กฏตามประโยค จบั ตอ้ งบณั เฑาะกด์ ว้ ยความกาหนดั เป็นอาบตั ิถลุ ลจั จยั นอกน้นั เป็นวตั ถแุ ห่งอาบตั ิ ทุกกฎท้งั หมด ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ที่ ๑๕ คารวะ ๑. คารวะ คืออะไร ? การลกุ ขนึ้ ยืนรับเป็ นกจิ ทีผ่ ู้น้อยพงึ ทาแก่ผู้ใหญ่แต่ควรเว้นในเวลาเช่นใดบ้าง ? (๒๕๕๔) ตอบ : คือ กิริยาท่ีแสดงอาการอ่อนนอ้ มโดยสมควรแก่กาล สถานที่ กิจ และบคุ คล ฯ ควรเวน้ ในเวลานง่ั อยใู่ นสานกั ของผใู้ หญ่ ไม่ลกุ รับผนู้ อ้ ยกวา่ ท่าน ในเวลานงั่ เขา้ แถวในบา้ น ในเวลาเขา้ ประชุมสงฆใ์ นอาราม ฯ ๒. การลุกยืนขนึ้ รับ เป็ นกจิ ท่ีผู้น้อยพงึ ทาแก่ผ้ใู หญ่ จะปฏิบัตอิ ย่างไรจึงไม่ขดั ต่อพระวินัย ? (๒๕๕๘) ตอบ : นงั่ อยใู่ นสานกั ผใู้ หญ่ ไม่ลกุ รับผนู้ อ้ ยกวา่ ท่าน นง่ั เขา้ แถวในบา้ น เขา้ ประชุมสงฆ์ ในอาราม ไมล่ ุกรับท่านผใู้ ดผหู้ น่ึง ฯ ๓. กริ ิยาทแี่ สดงความอ่อนน้อมต่อกนั และกนั เป็ นความดีของหมู่ แต่ต้องทาให้ถูกต้องตามกาลเทศะ ในข้อนคี้ วรงดเว้นในกรณใี ดบ้าง ? จงบอกมาสัก ๕ ข้อ (๒๕๕๓) ตอบ : ไดแ้ ก่ในเวลาดงั ตอ่ ไปน้ี (ตอบเพยี ง ๕ ขอ้ ) ๑. ในเวลาประพฤติวฏุ ฐานวธิ ี คอื อยกู่ รรม เพ่อื ออกจากอาบตั ิสังฆาทิเสส ๒. ในเวลาถูกสงฆท์ าอกุ เขปนียกรรม ท่ีถกู หา้ มสมโภคและสงั วาส ๓. ในเวลาเปลือยกาย ๔. ในเวลาเขา้ บา้ นหรือเดินอยตู่ ามทาง ๕. ในเวลาอยใู่ นที่มืดท่ีแลไม่เห็นกนั ๖. ในเวลาที่ทา่ นไม่รู้ คือนอนหลบั หรือขลุกขลุ่ยอยดู่ ว้ ยธุระอยา่ งหน่ึง หรือส่งใจ ไปอ่ืน แมไ้ หว้ ท่านกค็ งไม่ใส่ใจ ๗. ในเวลาขบฉนั อาหาร ๘. ในเวลาถ่ายอจุ จาระ ถ่ายปัสสาวะ ฯ
๖๑ ๔. ภิกษผุ ู้เป็ นอาคันตุกะ ไปสู่อาวาสอื่น พงึ ประพฤตอิ ย่างไรจงึ จะถกู ธรรมเนียมตามพระวนิ ยั ? (๒๕๖๐, ๒๕๖๒) ตอบ : พงึ ประพฤติดงั น้ี ๑. ทาความเคารพในทา่ น ๒. แสดงความเกรงใจเจา้ ของถิ่น ๓. แสดงอาการสุภาพ ๔. แสดงอาการสนิทสนมกบั เจา้ ของถิ่น ๕.ถ้ าจะอยทู่ ่ีนนั่ ควรประพฤติใหถ้ ูกธรรมเนียมของเจา้ ของถ่ิน ๖. ถือเสนาสนะแลว้ อยา่ ดูดาย เอาใจใส่ชาระปัดกวาดใหห้ มดจดจดั ต้งั เคร่ือง เสนาสนะใหเ้ ป็นระเบียบ ฯ ๕. ก่อนหน้าปรินิพพาน ตรัสส่ังภกิ ษทุ ้ังหลายให้แสดงความเคารพด้วยการเรียกกนั ว่าอย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : ตรัสใหภ้ ิกษผุ อู้ ่อนพรรษากวา่ เรียกผแู้ ก่พรรษากวา่ วา่ ภนั เต และใหภ้ ิกษุผแู้ ก่พรรษากวา่ เรียกผอู้ อ่ นพรรษากวา่ วา่ อาวุโส ฯ ๖. ภกิ ษุอยู่ในกุฎีเดยี วกนั กบั ภิกษผุ ้มู พี รรษามากกว่า ควรปฏิบัตติ นอย่างไรจงึ ชื่อว่าแสดงความ เคารพท่านตามพระวนิ ัย ? (๒๕๕๑, ๒๕๖๐, ๒๕๖๒) ตอบ : ควรปฏิบตั ิตนอยา่ งน้ี คือ จะทาส่ิงใด ๆ ควรขออนุญาตทา่ นก่อน เช่น จะสอนธรรม จะอธิบายความ จะสาธยาย จะแสดงธรรม จะจุดจะดบั ไฟ จะเปิ ดจะปิ ดหนา้ ต่าง หา้ มมิใหท้ าตามอาเภอใจ ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ที่ ๑๖ จาพรรษา ๑. ดถิ ีท่กี าหนดให้เข้าจาพรรษาในบาลกี ล่าวไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๒) ตอบ : กล่าวไว้ ๒ ฯ คือ ๑. ปรุ ิมิกาวัสสูปนายกิ า วนั เขา้ พรรษาตน้ คอื วนั แรม ๑ ค่า เดือน ๘ ๒. ปัจฉิมิกาวัสสูปนายิกา วนั เขา้ พรรษาหลงั คือวนั แรม ๑ ค่า เดือน ๙ ฯ ๒. วนั เข้าพรรษาในบาลกี ล่าวไว้ ๒ วัน คือวนั เข้าพรรษาต้น และวนั เข้าพรรษาหลงั ในแต่ละอย่าง กาหนดวนั ไว้อย่างไร ? (๒๕๕๖) ตอบ : วนั เข้าพรรษาต้น กาหนดเมื่อพระจนั ทร์เพญ็ เสวยฤกษอ์ าสาฬหะล่วงไปแลว้ วนั หน่ึง คอื วนั แรม ๑ ค่า เดือน ๘
๖๒ วนั เข้าพรรษาหลงั กาหนดเมื่อพระจนั ทร์เพญ็ เสวยฤกษอ์ าสาฬหะน้นั ลว่ งแลว้ เดือน ๑ คอื วนั แรม ๑ ค่า เดือน ๙ ฯ ๓. สัตตาหกรณยี ะและสัตตาหกาลกิ มีอธบิ ายอย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ : สัตตาหกรณยี ะ คือ กิจจาเป็นบางอยา่ งท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงอนุญาตใหภ้ ิกษุผอู้ ยจู่ า พรรษาไปพกั แรมคนื ท่ีอื่น แตต่ อ้ งกลบั มาภายใน ๗ วนั สัตตาหกาลกิ คอื เภสชั ๕ ท่ีรับประเคนแลว้ เกบ็ ไวบ้ ริโภคได้ ๗ วนั ฯ ๔. ธุระเป็ นเหตุไปด้วยสัตตาหกรณยี ะที่ท่านกล่าวไว้ในบาลี มอี ะไรบ้าง ? (๒๕๕๘, ๒๕๖๐) ตอบ : มี ๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เขา้ ไปเพือ่ รักษาพยาบาล ๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เขา้ ไปเพื่อระงบั ๓. มีกิจสงฆเ์ กิดข้ึน เป็นตน้ วา่ วหิ ารชารุดลงในเวลาน้นั ไปเพอ่ื หาเคร่ือง ทพั พสมั ภาระมาปฏิสงั ขรณ์ ๔. ทายกตอ้ งการจะบาเพญ็ กศุ ล ส่งมานิมนต์ ไปเพอื่ บารุงศรัทธาของเขา หรือแมธ้ ุระอื่นนอกจากน้ี ที่เป็นกิจลกั ษณะ อนุโลมตามน้ี ฯ ๕. สัตตาหกรณยี ะ คืออะไร ? มวี ธิ ปี ฏิบตั อิ ย่างไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : สตั ตาหกรณียะ คอื ธุระเป็นเหตใุ หภ้ ิกษุออกจากวดั ในระหวา่ งพรรษาได้ ๗ วนั โดย ท่ีพรรษาไม่ขาด ดว้ ยเหตุ คอื ๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เขา้ ไปเพอื่ รักษาพยาบาลกไ็ ด้ ๒. สหธรรมิกกระสนั จะสึก รู้เขา้ ไปเพ่ือระงบั ๓. มีกิจสงฆเ์ กิดข้นึ เป็นตน้ วา่ วิหารชารุดในเวลาน้นั ไปเพอ่ื หาเคร่ืองทพั พสัมม ภาระ (วสั ดุก่อสร้าง) มาปฏิสงั ขรณ์ซ่อมแซมไดอ้ ยู่ ๔. ทายกตอ้ งการบาเพญ็ กุศลนิมนตไ์ ปเพ่ือบารุงศรัทธา ของเขาไดอ้ ยู่ แมธ้ ุระอ่ืน นอกจากน้ี ที่เป็นกิจจะลกั ษณะ อนุโลมตามน้ี เกิดข้ึนไปก็ไดเ้ หมือนกนั ๖. ภิกษอุ ย่จู าพรรษาแล้ว มีเหตไุ ปท่ีอื่น ผูกใจจะกลบั มาให้ทนั ในวันน้ัน แต่กลบั มาไม่ทนั เช่นนี้ พรรษาขาดหรือไม่ ? เพราะเหตใุ ด ? (๒๕๕๙) ตอบ : ถา้ ไปดว้ ยธุระที่ทรงอนุญาตใหไ้ ปดว้ ยสัตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด เพราะยงั อยู่ ในพระพุทธานุญาตน้นั เอง ท้งั จิตคิดจะกลบั ก็มีอยู่ ถา้ ไปดว้ ยมิใช่ธุระที่เป็น สัตตาหกรณียะพรรษาขาด ฯ
๖๓ ๗. ภกิ ษอุ ยู่จาพรรษาครบ ๓ เดือน จนได้ปวารณา ย่อมได้อานิสงส์แห่งการจาพรรษาอะไรบ้าง ? (๒๕๕๕) ตอบ : ไดร้ ับอานิสงส์ ๕ อยา่ ง คอื ๑. เท่ียวไปไม่ตอ้ งบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรคในปาจิตติยกณั ฑ์ ๒. เที่ยวจาริกไปไมต่ อ้ งถือเอาไตรจีวรไปครบสารับ ๓. ฉนั คณโภชน์ (การฉนั อาหารเป็นหมู่) และปรัมปรโภชน์ (โภชนะทีหลงั ) ได้ ๔. เก็บอติเรกจีวรไวไ้ ดต้ ามปรารถนา ๕. จีวรอนั เกิดข้นึ ในท่ีน้นั เป็นของไดแ้ ก่พวกเธอ ท้งั ไดโ้ อกาสเพือ่ กรานกฐิน และรับอานิสงส์ ๕ น้นั เพมิ่ ออกไปอีก ๔ เดือนตลอด เหมนั ตฤดู ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ที่ ๑๗ อุโบสถ ปวารณา ๑. ในวดั หนึ่งมภี กิ ษุอย่กู นั ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป ๑ รูป เมื่อถงึ วนั อุโบสถพงึ ปฏิบัตอิ ย่างไร ?(๒๕๕๓, ๒๕๕๖) ตอบ : มีภิกษุ ๔ รูป พงึ ประชุมกนั ในอโุ บสถ สวดปาติโมกข์ มีภิกษุ ๓ รูป พึงประชุมกนั ทาปาริสุทธิอุโบสถ รูปหน่ึงสวดประกาศญตั ติจบแลว้ แตล่ ะรูปพึงบอกความบริสุทธ์ิของตน มีภิกษุ ๒ รูป ไมต่ อ้ งต้งั ญตั ติ พงึ บอกความบริสุทธ์ิแก่กนั และกนั มีภิกษุ ๑ รูป พึงอธิษฐาน หรือมีภิกษุต่ากวา่ ๔ รูป จะไปทาสังฆอุโบสถกบั สงฆใ์ น อาวาสอื่น ก็ควร ฯ ๒. บพุ พกรณ์และบพุ พกจิ ในการทาอุโบสถสวดปาติโมกข์ ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๘) ตอบ : ตา่ งกนั อยา่ งน้ี บพุ พกรณ์เป็นกิจท่ีภิกษพุ ึงทา ก่อนแต่ประชุมสงฆ์ มีกวาดบริเวณ ท่ีประชุมเป็นตน้ ส่วนบุพพกิจเป็นกิจท่ีภิกษพุ ึงทาก่อนแตส่ วดปาติโมกข์ มีนา ปาริสุทธิของภิกษผุ อู้ าพาธมา เป็นตน้ ฯ ๓. บพุ พกรณ์และบุพพกจิ ในการทาอุโบสถต่างกนั อย่างไร ? ในวดั ทีม่ ีภกิ ษุ ๓ รูป เมื่อถงึ วนั อุโบสถ จะต้องทาบพุ พกรณ์และบุพพกจิ หรือไม่ เพราะเหตไุ ร ? (๒๕๕๒) ตอบ : บุพพกรณ์ คือ กรณียะอนั จะพงึ กระทาใหเ้ สร็จก่อนประชุมสงฆ์ ส่วนบพุ พกิจ เป็นธุระอนั จะพงึ ทาก่อนแตส่ วดปาติโมกข์ ฯ บุพพกรณ์น้นั เป็นกรณียะ จะตอ้ งทาเพราะตอ้ งไปประชุมกนั ตามกิจ ส่วนบุพพกิจน้นั ไม่ตอ้ งทาเพราะภิกษุ ๓ รูปไม่ตอ้ งสวดปาติโมกข์ ฯ
๖๔ ๔. สังฆกรรม ๓ อย่างนี้ คือ การสวดปาฏโิ มกข์ อุปสมบทกรรมและอพั ภาณกรรม มีจากดั จานวน สงฆ์อย่างน้อยเท่าไร จึงจะถกู ต้องตามพระวนิ ยั ? (๒๕๕๕) ตอบ : การสวดปาฏิโมกข์ ตอ้ งการสงฆจ์ ตุวรรค คือ ๔ รูป เป็นอยา่ งนอ้ ย อปุ สมบทกรรมในปัจจนั ตประเทศ ตอ้ งการสงฆป์ ัญจวรรค คอื ๕ รูป เป็นอยา่ ง นอ้ ย อุปสมบทกรรมในมธั ยมประเทศ ตอ้ งการสงฆท์ สวรรค คือ ๑๐ รูป เป็นอยา่ งนอ้ ย อพั ภาณกรรมตอ้ งการสงฆว์ ีสติวรรค คือ ๒๐ รูปเป็นอยา่ งนอ้ ย ฯ ๕. วนิ ัยกรรม กบั สังฆกรรม มีความหมายต่างกนั อย่างไร ? การทาวินัยกรรมน้ัน มีจากดั บคุ คลและ สถานทบ่ี ้างหรือไม่อย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : ต่างกนั อยา่ งน้ี กรรมที่ภิกษุแตล่ ะรูปหรือหลายรูปจะพงึ ทาตามพระวนิ ยั เช่น พินทุ อธิษฐานวกิ ปั จีวร เป็นตน้ เรียกวา่ วินยั กรรม กรรมที่ภิกษคุ รบองคเ์ ป็นสงฆ์ มี จานวนอยา่ งต่าต้งั แต่ ๔ รูปข้ึนไปจะพงึ ทา เช่น อปโลกนกรรม เป็นตน้ เรียก วา่ สังฆกรรม ฯ จากดั บุคคลและสถานที่ไวด้ งั น้ี ๑. แสดงอาบตั ิ ตอ้ งแสดงแก่ผเู้ ป็นภิกษดุ ว้ ยกนั ๒. อธิษฐาน ตอ้ งทาเอง ๓. วกิ ปั ตอ้ งวิกปั แก่สหธรรมิกท้งั ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี นางสิกขมานา สามเณร สามเณรีรูปใดรูปหน่ึง ๔. หา้ มไม่ใหท้ าในท่ีมืด แต่ทาในสีมาหรือนอกสีมาใชไ้ ดท้ ้งั น้นั ฯ ๖. สงฆ์สวดปาฏโิ มกข์อยู่ ภกิ ษอุ ่ืนมาถึง หรือมาถึงเมื่อสวดจบแล้ว พงึ ปฏิบตั ิอย่างไร ? (๒๕๖๐) ตอบ : พึงปฏิบตั ิอยา่ งน้ี คือ ถา้ ภิกษมุ าใหม่มากกวา่ ภิกษุท่ีประชุมกนั อยู่ ตอ้ งสวดต้งั ตน้ ใหม่ ถา้ เทา่ กนั หรือนอ้ ยกวา่ ส่วนท่ีสวดไปแลว้ กแ็ ลว้ ไป ใหภ้ ิกษทุ ี่มาใหมฟ่ ังส่วน ที่ยงั เหลืออยู่ ถา้ สวดจบแลว้ จะมามากกวา่ หรือนอ้ ยกวา่ กไ็ ม่ตอ้ งสวดซ้าอีก ให้ ภิกษทุ ่ีมาใหม่บอกปาริสุทธิในสานกั ภิกษผุ ฟู้ ังปาฏิโมกขแ์ ลว้ ฯ ๗. การทาอุโบสถสวดปาติโมกข์ นอกจากวันพระจนั ทร์เพญ็ และพระจนั ทร์ดับแล้วยงั ทรงอนุญาต ให้ทาได้ในวันใดอกี ? อุโบสถเช่นน้นั เรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : ในวนั ที่ภิกษุผแู้ ตกกนั ปรองดองกนั ได้ ฯ เรียกวา่ สามคั คีอุโบสถ ฯ ๘. ในวดั ท่ไี ม่มภี กิ ษุผู้ทรงจาปาตโิ มกข์ได้จนจบ ถงึ วันอุโบสถ สวดเท่าทจี่ าได้แล้วชักสุตบท (สวดย่อ) โดยอ้างว่า เกดิ เหตุฉุกเฉิน ถกู ต้องหรือไม่ ? เพราะเหตใุ ด ? (๒๕๕๔) ตอบ : สวดปาติโมกขย์ อ่ น้นั ถกู ตอ้ งแลว้ แตจ่ ะอา้ งวา่ สวดยอ่ เพราะเกิดเหตุฉุกเฉินน้นั ไม่
๖๕ ถูกตอ้ ง ฯ เพราะการสวดยอ่ เนื่องจากจาไดไ้ ม่หมด ทรงอนุญาตไวแ้ ผนกหน่ึงตา่ งหาก ไมจ่ ดั เขา้ ในเหตุฉุกเฉิน ๑๐ ประการ ฯ ๙. ทรงอนุญาตให้สวดปาตโิ มกข์ย่อเพราะเหตฉุ ุกเฉิน ๑๐ อย่าง จงบอกมาสัก ๕ อย่าง (๒๕๕๗) ตอบ : เหตฉุ ุกเฉิน ๑๐ อยา่ งที่ทรงอนุญาตใหส้ วดปาติโมกขย์ อ่ ได้ คอื ๑. พระราชาเสดจ็ มา เลิกสวดพระปาติโมกขเ์ พ่อื รับเสด็จ ๒. โจรปลน้ เลิกสวดเพ่อื หนีภยั ๓. ไฟไหม้ เลิกสวดเพื่อดบั ไฟ ๔. น้าหลากมา เลิกสวดเพอ่ื หนีน้า ถา้ สวดกลางแจง้ ฝนตกลงมา เลิกสวดเพ่อื หนี ฝน ๕. คนมามาก เลิกสวดเพ่อื จะรู้เหตุ หรือเพอ่ื ทาการตอ้ นรับไดอ้ ยู่ ๖. ผเี ขา้ ภิกษุ เลิกสวดเพ่ือขบั ผี ๗. สตั วร์ ้าย มีเสือ เป็นตน้ เขา้ มาในอาราม เลิกสวดเพอื่ ขบั ไล่ ๘. งรู ้ายเล้ือยเขา้ มาในท่ีประชุม เลิกสวดเพ่ือขบั ไลเ่ ช่นเดียวกนั ๙. ภิกษเุ กิดอาพาธโรคร้ายข้นึ ในที่ประชุม อนั เป็นอนั ตรายแก่ชีวติ เลิกสวดเพ่ือ เยยี วยาแกไ้ ข แมม้ ีอนั ตรายถึงกบั สิ้นชีวติ ในท่ีน้นั กเ็ หมือนกนั ๑๐. มีอนั ตรายแก่พรหมจรรย์ เช่น มีใครมาเพื่อจบั ภิกษรุ ูปใดรูปหน่ึง เลิกสวด เพราะความอลหมา่ น (เลือกตอบเพียง ๕ ขอ้ ) ๑๐. ปวารณา คืออะไร ? มีพระพทุ ธานุญาตให้ทาในวนั ไหน ? (๒๕๖๒) ตอบ : คอื การบอกใหโ้ อกาสแก่ภิกษุท้งั หลายเพือ่ ปรารถนาตกั เตือนวา่ กล่าวตนได้ ฯ มีพระพทุ ธานุญาตใหท้ าในวนั ข้นึ ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ ซ่ึงเป็นวนั เตม็ ๓ เดือนแตว่ นั จาพรรษา ฯ ๑๑. ปวารณามีกอี่ ย่าง ? อะไรบ้าง ? ในอาวาสหน่ึงมภี กิ ษุจาพรรษา ๓ รูป เม่ือถงึ วนั ปวารณา พงึ ปฏิบัตอิ ย่างไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : มี ๓ อยา่ ง คอื สังฆปวารณา คณปวารณา และบคุ คลปวารณา ฯ พงึ ทาคณปวารณา ฯ ๑๒. ภิกษุจาพรรษาอยู่ด้วยกนั ๕ รูป ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูปหรืออยู่รูปเดียว ถึงวนั ปวารณาพงึ ปฏบิ ตั ิ อย่างไร ? (๒๕๕๒) ตอบ : อยดู่ ว้ ยกนั ๕ รูป พึงทาปวารณาเป็นการสงฆ์ อยดู่ ว้ ยกนั ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป พงึ ทาปวารณาเป็นการคณะ
๖๖ อยรู่ ูปเดียว พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล ฯ ๑๓. ในวดั หนง่ึ มีภกิ ษุจาพรรษา ๔ รูป เม่ือถึงวันปวารณาออกพรรษาพงึ ทาอย่างไร ?ถ้ามภี กิ ษุ อาคนั ตุกะสัตตาหะมาสมทบอกี ๕ รูป จะพงึ ปฏิบัตอิ ย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : ในวนั มหาปวารณาพึงทาคณะปวารณา โดยรูปหน่ึงต้งั ญตั ติแลว้ กล่าวปวารณา ตามลาดบั พรรษา ฯ ถา้ มีภิกษุอาคนั ตุกะสตั ตาหะมาเพ่ิมอีก ๕ รูป พึงทาปวารณาเป็นสงั ฆปวารณา แลว้ กลา่ วปวารณาตามลาดบั พรรษา ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ท่ี ๑๘ อปุ ปถกริ ิยา ๑. อปุ ปถกริ ิยา คืออะไร ? มกี อ่ี ย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๘) ตอบ : คือการทานอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ มี ๓ อยา่ ง ฯ คอื ๑. อนาจาร ไดแ้ ก่ ความประพฤติไมด่ ีไม่งาม ๒. ปาปสมาจาร ไดแ้ ก่ ความประพฤติเลวทราม ๓. อเนสนา ไดแ้ ก่ ความหาเล้ียงชีพไมส่ มควร ฯ ๒. อปุ ปถกริ ิยา คืออะไร ? ความประพฤติเช่นไรจัดเข้าใน อนาจาร ปาปสมาจาร อเนสนา ? (๒๕๕๓) ตอบ : คือ การทานอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ ความประพฤติไมด่ ีไมง่ าม และเล่นมีประการตา่ ง ๆ จดั เขา้ ในอนาจาร ความประพฤติเลวทราม จดั เขา้ ในปาปสมาจาร, ความเล้ียงชีพไม่สมควร จดั เขา้ ในอเนสนา ฯ ๓. การทานอกรีตนอกรอยของสมณะทเ่ี รียกว่า อนาจาร ปาปสมาจาร และอเนสนา ได้แก่ ความ ประพฤตเิ ช่นไร ? รวมเรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๒) ตอบ : อนาจาร ไดแ้ ก่ ความประพฤติไม่ดี ไมง่ าม และเล่นมีประการตา่ งๆ ปาปสมาจาร ไดแ้ ก่ ความประพฤติเลวทราม อเนสนา ไดแ้ ก่ ความเล้ียงชีพไม่สมควร ฯ รวมเรียกวา่ อปุ ปถกิริยา ฯ ๔. อนาจาร หมายถงึ อะไร ? เล่นอย่างไรบ้าง จดั เป็ นอนาจาร ? ตอบ : อนาจาร หมายถึง ความประพฤติไม่ดีไมง่ าม และการเล่นมีประการต่าง ๆ ฯ เลน่ อยา่ งเดก็ เลน่ คะนอง เล่นพนนั เลน่ ปู้ย่ีปู้ยา เล่นอึงคะนึง จดั เป็นอนาจาร ฯ
๖๗ ๕. ดิรัจฉานวชิ าไม่ดีอย่างไร พระศาสดาจงึ ตรัสห้ามไว้ ไม่ให้บอกไม่ให้เรียน ? (๒๕๖๒) ตอบ : เป็นความรู้ท่ีเขาสงสยั วา่ ลวงหรือหลง ไมใ่ ช่ความรู้จริงจงั ผบู้ อกเป็นผลู้ วง ผเู้ รียน ก็เป็นผหู้ ดั เพื่อจะลวงหรือเป็นผหู้ ลงงมงาย ฉะน้นั พระศาสดาจึงตรัสหา้ มไว้ ไมใ่ ห้ บอกไมใ่ หเ้ รียน ฯ ๖. ปาปสมาจาร คืออะไร ? ภิกษชุ ่ือว่า กุลปสาทโก เพราะประพฤตอิ ย่างไร ? (๒๕๖๑) ตอบ : คอื ความประพฤติเลวทราม เนื่องดว้ ยการคบคฤหสั ถด์ ว้ ยการสมาคมอนั มิชอบ ฯ เพราะประพฤติพอดีพองาม ยงั ความเล่ือมใสนบั ถือของเขาใหเ้ กิดในตน เป็นศรี ของพระศาสนา ฯ ๗. ภกิ ษไุ ด้ช่ือว่า “กลุ ทูสโก ผ้ปู ระทุษร้ายสกุล” เพราะประพฤตอิ ย่างไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : เพราะประพฤติใหเ้ ขาเสียศรัทธาเล่ือมใส คือ เป็นผปู้ ระจบเขาดว้ ยกิริยาทาตนอย่าง คฤหสั ถ์ ยอมตนใหเ้ ขาใชส้ อย หรือดว้ ยอาการเอาเปรียบโดยเชิงใหส้ ิ่งของเลก็ น้อย ดว้ ยหวงั ไดม้ าก ฯ ๘. ภิกษไุ ด้ชื่อว่า “กลุ ปสาทโก ผ้ยู ังตระกลู ให้เล่ือมใส” เพราะมีปฏิปทาอย่างไร ? ตอบ : เพราะมีปฏิปทาอยา่ งน้ี คือเป็นผถู้ ึงพร้อมดว้ ยอาจาระ ไมท่ อดตนเป็นคนสนิทของ สกลุ โดยฐานเป็นคนเลว และอีกอยา่ งหน่ึง ไมร่ ุกรานตดั รอนเขา แสดงเมตตาจิต ตอ่ เขาประพฤติพอดีพองาม ยงั ความเล่ือมใสนบั ถือของเขาใหเ้ กิดในตน ฯ ๙. ภกิ ษไุ ด้ชื่อว่าผู้ประทษุ ร้ายสกุล กบั ภกิ ษไุ ด้ช่ือว่าผู้ยังสกลุ ให้เล่ือมใส เพราะมีความประพฤติ ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๔, ๒๕๕๖) ตอบ : ตา่ งกนั อยา่ งน้ี ภิกษุผปู้ ระทุษร้ายสกลุ เป็นผปู้ ระพฤติใหเ้ ขาเสียศรัทธาเล่ือมใส ประจบเขาดว้ ยกิริยาทาตนอยา่ งคฤหสั ถ์ ใหข้ องกานลั แก่สกุลอยา่ งคฤหสั ถเ์ ขาทา ยอมตนใหเ้ ขาใชส้ อย หรือดว้ ยอาการเอาเปรียบโดยเชิงใหส้ ิ่งของเลก็ นอ้ ยดว้ ยหวงั ไดม้ าก ส่วนภิกษผุ ยู้ งั สกุลใหเ้ ลื่อมใส เป็นผถู้ ึงพร้อมดว้ ยอาจาระ ไมท่ อดตนเป็น คนสนิทของสกลุ โดยฐานเป็นคนเลว ไม่รุกราน ตดั รอนเขา แสดงเมตตาจิต ประพฤติพอดีพองาม ทาใหเ้ ขาเล่ือมใสนบั ถือตน ฯ ๑๐. อเนสนาได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๖๐) ตอบ : อเนสนา ไดแ้ ก่ กิริยาแสวงหาเล้ียงชีพในทางไม่สมควร ฯ มี ๒ อยา่ ง คือ ๑. การแสวงหาเป็นโลกวชั ชะ มีโทษทางโลก ๒. การแสวงหาเป็นปัณณตั ติวชั ชะ มีโทษทางพระบญั ญตั ิ ฯ ______________________________________________________________________________
๖๘ กณั ฑ์ท่ี ๑๙ กาลกิ ๔ ๑. กาลกิ มเี ท่าไร ? อะไรบ้าง ? กล้วยดองน้าผึง้ เป็ นกาลกิ อะไร ? (๒๕๕๑) ตอบ : มี ๔ ฯ ยาวกาลิก ยามกาลิก สตั ตาหกาลิก ยาวชีวิก ฯ กลว้ ยดองน้าผ้ึงเป็นยาวกาลิก ฯ ๒. กาลกิ ๔ ได้แก่อะไรบ้าง ? โภชนะ ๕ เภสัช ๕ จดั เป็ นกาลกิ อะไร ? (๒๕๕๗) ตอบ : กาลิก ๔ คือ ๑) ยาวกาลิก ๒) ยามกาลิก ๓) สัตตาหกาลิก ๔) ยาวชีวกิ ฯ, โภชนะ ๕ จดั เป็นยาวกาลิก, เภสชั ๕ จดั เป็นสตั ตาหกาลิกฯ ๓. กาลกิ คืออะไร ? มอี ะไรบ้าง ? กาลกิ ระคนกนั มีกาหนดอายุไว้อย่างไร ? จงยกตวั อย่าง(๒๕๕๒) ตอบ : ของที่จะพงึ กลืนใหล้ ว่ งลาคอลงไป ฯ มีดงั น้ี ยาวกาลิก ยามกาลิก สตั ตาหกาลิก และยาวชีวิก ฯ กาหนดอายตุ ามกาลิกที่มีอายสุ ้นั ท่ีสุดเป็นเกณฑ์ เช่น เอายาผงท่ีเป็นยาวชีวกิ ซ่ึงไม่ จากดั อายคุ ลุกกบั น้าผ้งึ ท่ีเป็นสตั ตาหกาลิกซ่ึงมีกาหนดอายไุ ว้ ๗ วนั ดงั น้ีตอ้ งถือ อายุ ๗ วนั เป็นเกณฑ์ ฯ ๔. ยาวกาลกิ กบั ยาวชีวิก ต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๖๒) ตอบ : ยาวกาลิก คอื ของที่ใชบ้ ริโภคเป็นอาหาร บริโภคไดช้ ว่ั คราวคือต้งั แต่เชา้ ถึงเท่ียง วนั ไดแ้ ก่ โภชนะ ๕ นมสด นมส้ม ของขบเค้ียว เป็นตน้ ฯ ส่วนยาวชีวกิ เป็นของท่ีใหป้ ระกอบเป็นยา บริโภคไดเ้ สมอไปไมม่ ีจากดั เวลา แต่ เม่ือมีเหตุจึงบริโภคได้ ไดแ้ ก่ รากไม้ น้าฝาดใบไม้ ผลไม้ ยางไม้ เกลือ เป็นตน้ ฯ ๕. ยาวกาลกิ กบั ยาวชีวิกได้แก่กาลกิ เช่นไร ? กาลกิ ระคนกนั มกี ฎเกณฑ์กาหนดอายุไว้อย่างไร ? จงยกตัวอย่าง (๒๕๕๓) ตอบ : ยาวกาลิก ไดแ้ ก่ ของท่ีใหบ้ ริโภคไดช้ วั่ คราว ต้งั แต่เชา้ ถึงเท่ียงวนั ยาวชีวิก ไดแ้ ก่ ของท่ีใหบ้ ริโภคไดเ้ สมอไป ไม่มีจากดั กาล ฯ กฎเกณฑก์ าหนดอายตุ ามกาลิกที่มีอายนุ อ้ ยที่สุด เช่น ยาผง เป็นยาวชีวิกคลุกกบั น้าผ้งึ ท่ีเป็นสตั ตาหกาลิก ตอ้ งถืออายุ ๗ วนั เป็นเกณฑ์ ฯ ๖. ภกิ ษฉุ ันเนื้องู เนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๖๑) ตอบ : ฉนั เน้ืองู ตอ้ งอาบตั ิทกุ กฎ, ฉนั เน้ือมนุษย์ ตอ้ งอาบตั ิถลุ ลจั จยั ฯ ๗. เภสัช ๕ มอี ะไรบ้าง จัดเป็ นกาลกิ อะไร ? (๒๕๕๕) ตอบ : เนยใส เนยขน้ น้ามนั น้าผ้ึง น้าออ้ ย ฯ จดั เป็นสัตตาหกาลิก ฯ
๖๙ ๘. คาว่า อนั โตวุฏฐะ อนั โตปักกะ สามปักกะ หมายถงึ อะไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : อนั โตวฏุ ฐะ หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุเก็บไวใ้ นท่ีอยขู่ องตน ฯ อนั โตปักกะ หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุหุงตม้ ภายใน (ที่อยขู่ องตน) ฯ สามปักกะ หมายถึง ยาวกาลิกท่ีภิกษทุ าใหส้ ุกเอง ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ที่ ๒๐ ภัณฑะต่างเจ้าของของสงฆ์ ๑. ลหุภัณฑ์และครุภัณฑ์ทีเ่ ป็ นของสงฆ์ คือของเช่นไร ? อย่างไหนแจกกนั ได้และไม่ได้ ? (๒๕๖๑) ตอบ : ลหุภณั ฑ์ คือ ของเบา มีบิณฑบาต เภสัช กบั บริขารที่จะใชส้ าหรับตวั คือบาตร จีวร ประคดเอว เขม็ มีดพบั มีดโกน เป็นของท่ีแจกกนั ได้ ครุภัณฑ์ คือ ของหนกั ไม่ใช่ของสาหรับใชใ้ หส้ ิ้นไป เป็นของควรรักษาไวไ้ ดน้ าน เป็นเครื่องใชใ้ นเสนาสนะ หรือเป็นตวั เสนาสนะเอง ตลอดถึงกฎุ ีและที่ดิน เป็น ของท่ีแจกกนั ไม่ได้ ฯ ๒. ภัตตุทเทสกะ จวี รภาชกะ และอปั ปมัตตกวิสัชชกะ หมายถงึ ภกิ ษุผู้มหี น้าท่ีอะไร ? (๒๕๖๐) ตอบ : ภัตตุทเทสกะ หมายถึง ภิกษผุ มู้ ีหนา้ ท่ีแจกภตั ตาหาร ตลอดถึงรับนิมนตข์ องทายก แลว้ จดั ส่งพระไปให้ จีวรภาชกะ หมายถึง ภิกษุผมู้ ีหนา้ ที่แจกจีวร อปั ปมัตตกวสิ ัชชกะ หมายถึง ภิกษุผมู้ ีหนา้ ที่แจกเภสัชและบริขารเลก็ นอ้ ย ฯ ๓. ภณั ฑะของภกิ ษุผู้มรณภาพ จะตกเป็ นของใคร ? ภิกษุผู้อุปัฏฐากจะถือเอาด้วยวิสาสะได้หรือ ไม่ ? จงอธิบาย (๒๕๕๙) ตอบ : ตกเป็นของสงฆ์ ฯ ไมไ่ ด้ เพราะการจะถือเอาดว้ ยวสิ าสะ ตอ้ งถือเอาในเวลาท่ีเจา้ ของภณั ฑะยงั มีชีวิต อยู่ ๔. ลกั ษณะถือวิสาสะทม่ี าในพระบาลมี ีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๗) ตอบ : ลกั ษณะการถือวสิ าสะในบาลี มีองค์ ๕ คอื ๑. เป็นผเู้ คยไดเ้ ห็นกนั มา ๒. เป็นผเู้ คยคบกนั มา ๓. ไดพ้ ูดกนั ไว้ ๔. ยงั มีชีวิตอยู่ ๕. รู้วา่ ของของผนู้ ้นั เราถือเอาแลว้ เขาจกั พอใจ
๗๐ ๕. องค์ท่เี ป็ นลกั ษณะแห่งการถือวิสาสะ คืออะไรบ้าง ? เห็นว่าข้อไหนสาคัญ ? (๒๕๕๕) ตอบ : คอื เป็นผเู้ คยไดเ้ ห็นกนั มา ๑ เป็นผเู้ คยคบกนั มา ๑ ไดพ้ ูดกนั ไว้ ๑ ยงั มีชีวติ อยู่ ๑ รู้วา่ ของน้นั เราถือเอาแลว้ เขาจกั พอใจ ๑ ฯ เห็นวา่ ขอ้ สุดทา้ ยสาคญั ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ท่ี ๒๑ วินยั กรรม ๑. สภาคาบตั ิ คืออาบัติเช่นไร ? ภิกษุต้องสภาคาบัติ จะพงึ ปฏบิ ตั ิอย่างไร ? (๒๕๖๑, ๒๕๕๔) ตอบ : คือ อาบตั ิที่ภิกษตุ อ้ งวตั ถุเดียวกนั เพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกนั ฯ เมื่อภิกษตุ อ้ งสภาคาบตั ิ หา้ มไมใ่ หแ้ สดงอาบตั ิน้นั ต่อกนั หา้ มไม่ใหร้ ับอาบตั ิของ กนั ใหแ้ สดงในสานกั ภิกษุอ่ืน ถา้ สงฆต์ อ้ งสภาคาบตั ิท้งั หมดตอ้ งส่งภิกษรุ ูปหน่ึง ไปแสดงในที่อ่ืน ภิกษทุ ี่เหลือจึงแสดงในสานกั ของภิกษนุ ้นั ฯ ๒. ผ้าบริขารโจล ได้แก่ผ้าเช่นไร ? การอธษิ ฐานด้วยกายกบั การอธิษฐานด้วยวาจาต่างกนั อย่างไร ? (๒๕๕๔) ตอบ : ไดแ้ ก่ ผา้ ท่ีไมใ่ ช่ของใหญถ่ ึงกบั นุ่งห่มได้ เช่นผา้ กรองน้า ถุงบาตร ยา่ ม ฯ การอธิษฐานดว้ ยกาย คือ การใชม้ ือจบั หรือลูบบริขารที่จะอธิษฐานแลว้ ทาความ ผกู ใจ ตามคาอธิษฐานน้นั ๆ ส่วนการอธิษฐานดว้ ยวาจา คือ การเปลง่ คาอธิษฐาน น้นั ๆ ไม่ถกู ของดว้ ยกายกไ็ ด้ ฯ ๓. ภกิ ษุจะเปลยี่ นไตรครอง พงึ ปฏบิ ตั ิตามลาดบั อย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๗) ตอบ : กรณีปกติเม่ือถึงเวลาเปลี่ยนจีวรเก่าก็ดี จีวรกฐินก็ดี ตอ้ งกล่าวคาสละผา้ เสียก่อน แลว้ ทาพนิ ทุ แลว้ กอ็ ธิษฐานผา้ ตามช่ือ จีวร สังฆาฏิ สบง ตามภาษาบาลี, กรณีจีวรถูกขโมยไปหรือสูญหายตอ้ งกลา่ วคาถอนเสียก่อน ทาความอาลยั แลว้ นา ผา้ ผนื ใหม่มาทาพินทุ อธิษฐานตามลาดบั ๔. ผ้าต่อไปนี้ คือ สังฆาฏิ อนั ตรวาสก นิสีทนะ ผ้าอาบน้าฝน ผ้าเช็ดปาก ผ้าถุงบาตรผืนใดท่ีทรง อนุญาตให้อธิษฐานได้เพยี งผืนเดยี ว ? (๒๕๕๔) ตอบ : สงั ฆาฏิ นิสีทนะ อนั ตรวาสก และผา้ อาบน้าฝน ฯ ๕. จวี รที่วิกปั ไว้ เมื่อจะนามาใช้ต้องทาอย่างไร ? ถ้าไม่ทาเช่นน้นั ต้องอาบตั อิ ะไร ? (๒๕๖๑) ตอบ : จีวรท่ีวกิ ปั ไว้ เม่ือจะนามาใชต้ อ้ งขอใหผ้ รู้ ับถอนก่อน ฯ ตอ้ งอาบตั ิปาจิตตีย์ ฯ ๖. การแสดงอาบตั ิ การอธษิ ฐาน การทาวกิ ปั ในทางพระวินยั เรียกว่าอะไร ? การทากจิ เหล่านจี้ ากดั บุคคลไว้อย่างไร ? (๒๕๕๒)
๗๑ ตอบ : เรียกว่า วนิ ยั กรรม ฯ การแสดงอาบตั ิ จากดั ภิกษุผรู้ ับ ตอ้ งเป็นภิกษผุ มู้ ีสังวาสเดียวกนั , การอธษิ ฐานให้ ทาเอง, การทาวิกปั จากดั ผรู้ ับ ตอ้ งทากบั สหธรรมิกท้งั ๕ คือ ภิกษุ ภิกษณุ ี สามเถร สามเณรี สิกขมานา รูปใดรูปหน่ึง ฯ ______________________________________________________________________________ กณั ฑ์ที่ ๒๒ ปกิณณกะ ๑. มหาปเทส แปลว่าอะไร ? ทรงประทานไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? (๒๕๕๘) ตอบ : แปลวา่ ขอ้ สาหรับอา้ งใหญ่ ฯ เพ่ือเป็นหลกั แห่งการวินิจฉยั ท้งั ในทางธรรมท้งั ในทางวนิ ยั ฯ ๒. ภกิ ษจุ ะฉันสิ่งใด ๆ ต้องรับประเคนก่อน มีกรณยี กเว้นเป็ นพเิ ศษอะไรบ้างทีไ่ ม่ต้องรับประเคน ก่อนกฉ็ ันได้ ? (๒๕๕๓) ตอบ : ยกเวน้ เป็นพิเศษเฉพาะภิกษุอาพาธถูกงูกดั ใหฉ้ นั ยามหาวกิ ฏั ๔ คอื มตู ร คูถ เถา้ และดินได้ ฯ ๓. อนามฏั ฐบณิ ฑบาต ได้แก่โภชนะเช่นไร ? มขี ้อห้ามตามพระวนิ ยั ไว้อย่างไร ?(๒๕๕๖) ตอบ : ไดแ้ ก่ โภชนะท่ีภิกษุไดม้ ายงั ไม่ไดห้ ยบิ ไวฉ้ นั ฯ มีขอ้ หา้ มไม่ใหภ้ ิกษใุ หแ้ ก่คฤหสั ถอ์ ่ืนนอกจากมารดาและบิดา ฯ ๔. สมบตั ขิ องภกิ ษใุ นทางพระวินัยมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๖๑) ตอบ : มี ๔ ฯ คือ ๑. สีลสมบตั ิ ๒. อาจารสมบตั ิ ๓. ทิฏฐิสมบตั ิ ๔. อาชีวสมบตั ิ ฯ ๕. ภิกษผุ ้ไู ด้ชื่อว่าโคจรสัมปันโนผ้ถู งึ พร้อมด้วยโคจรเพราะปฏิบตั อิ ย่างไร ? (๒๕๕๓) ตอบ : เพราะเวน้ อโคจร ๖ จะไปหาใครหรือจะไปท่ีไหน เลือกบคุ คล เลือกสถานอนั สมควร ไปเป็นกิจลกั ษณะในเวลาอนั ควร ไม่ไปพร่าเพรื่อ กลบั ในเวลาประพฤติ ตนไม่ใหเ้ ป็นท่ีรังเกียจของเพือ่ นสหธรรมิกเพราะการไปเที่ยว ฯ ๖. ภิกษไุ ด้ช่ือว่า อาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร เพราะประพฤติปฏิบัติ เช่นไร ? (๒๕๕๕, ๒๕๖๐) ตอบ : เพราะมีความประพฤติปฏิบตั ิสุภาพเรียบร้อยสมบรู ณ์ดว้ ยอภิสมาจาริกวตั ร เวน้ จากอโคจร คือบคุ คลและสถานท่ีที่ไม่ควรไป ฯ
๗๒ ๗. ภกิ ษุผู้ได้ชื่อว่าประดบั พระศาสนาให้รุ่งเรืองเพราะประพฤตปิ ฏบิ ตั ิเช่นไร ? จงชี้แจง (๒๕๕๒) ตอบ : เพราะมีความประพฤติปฏิบตั ิสุภาพเรียบร้อย สมบูรณ์ดว้ ยอภิสมาจาริกวตั ร เวน้ จากบุคคล และสถานที่ไมค่ วรไป คอื อโคจร เป็นผไู้ ดช้ ่ือวา่ อาจารโคจรสัมปันโน ผถู้ ึงพร้อมดว้ ยมรรยาท และโคจรอนั เป็นคู่ กบั คุณบทวา่ สีลสมั ปันโน ผถู้ ึงพร้อมดว้ ยศีล ฯ ______________________________________________________________________________
Search