ทำเนียบแหล่งเรียนรู้ และภูมิปัญญำทอ้ งถนิ่ ประจำเดือน กรกฎำคม 2563 รวบรวมโดย กศน.อำเภอศรีบุญเรือง
คำนำ ทำเนียบแหลง่ เรยี นรู้ เลม่ น้ี ได้รวบรวมแหล่งเรียนรู้ดำ้ นต่ำง ๆ ทง้ั 9 ด้ำน ประจำเดือน กรกฎำคม 2563 เพื่อเกบ็ รวบรวมเปน็ ขอ้ มลู พ้ืนฐำนดำ้ นแหล่งเรียนรปู้ ระจำอำเภอศรบี ุญเรอื ง หำกผดิ พลำดประกำรใด ขออภัยมำ ณ ท่นี ้ดี ว้ ย กศน.อำเภอศรบี ญุ เรอื ง กรกฎำคม 2563
สำรบัญ แหล่งเรียนรูต้ ำบล หนำ้ เมืองใหม่ 1 โนนมว่ ง 5 โนนสะอำด 9 กดุ สะเทียน 13 ทรำยทอง 17 นำกอก 24 ยำงหลอ่ 28 ศรีบุญเรอื ง 31 หนองแก 34 หนองบัวใต้ 37 หนั นำงำม 40 หนองกุงแกว้ 43
1 ตำบลเมืองใหม่ ประวตั ิและผลงำนครูภมู ิปัญญำท้องถ่ินจังหวัดหนองบวั ลำภู ดำ้ น...หมอดิน / ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกจิ พอเพยี ง สำขำ...ปรำชญช์ ำวบำ้ นด้ำนหมอดนิ นายทวี กว้างขวาง
2
3 ประวัติประวัตแิ ละผลงำนครภู มู ปิ ัญญำทอ้ งถิน่ จังหวัดหนองบวั ลำภู ดำ้ น... หมอดนิ / ศูนย์เรยี นรู้เศรษฐกจิ พอเพยี ง สำขำ... ปรำชญช์ ำวบำ้ นด้ำนหมอดิน 1. ประวตั ิและผลงำน ไร่สวนผสม...ไรผ่ ักและไมด้ อกปลอดสำรพษิ ผลงำนท่โี ดดเด่นของนำยทวี กว้ำงขวำง มีควำม โดดเด่นเพรำะเป็นคนแรกของจงั หวดั หนองบัวลำภู ทเี่ ปน็ เกษตรกรปลกู ผกั และไมด้ อกไม้ประดับรำยใหญ่ของ อำเภอศรีบญุ เรอื ง ท่รี ่วมมือกบั สำนกั งำนเกษตร มีกำรพฒั นำเพื่อให้เหมำะสมกบั สภำพพืน้ ดินหรือบริบทของ ชุมชนและควำมตอ้ งกำรของตลำด มีกำรสรำ้ งงำน สรำ้ งอำชีพท่มี น่ั คงใหก้ ับชมุ ชน และสรำ้ งชอื่ เสียงให้กับ กล่มุ ปลูกพืชเศรษฐกิจที่มกี ำรร่วมมอื กนั ในหมบู่ ำ้ นชมพูทอง ตำบลเมอื งใหม่ ของอำเภอศรบี ญุ เรือง 2. องคค์ วำมร้แู ละควำมเชี่ยวชำญ ตลอดเวลำ 8 ปี ที่ผ่ำนมำ นำยทวี กว้ำงขวำง มีควำมรูค้ วำมชำนำญด้ำนกำรปลกู พืช เศรษฐกิจทุกประเภทเป็นอยำ่ งดี มีกำรพฒั นำสำยพนั ธ์ตลอดเวลำและเผยแพร่แลกเปลีย่ นเรยี นรดู้ ำ้ นกำร ปลูกผกั และไม้ดอกไมป้ ระดับและปลกู พชื เศรษฐกิจกับทุกกลมุ่ ทุกชุมชนเพอ่ื นำเอำควำมรู้ที่ไดม้ ำปรบั เปลีย่ น หรอื พัฒนำใหม้ คี วำมเหมำะสมกับบรบิ ทและควำมนยิ มต่ำงๆตลอดเวลำ 3. กำรถ่ำยทอดควำมรแู้ ละควำมเชี่ยวชำญ ทผ่ี ่ำนมำ นำยทวี กว้ำงขวำง มีควำมรู้ควำมชำนำญด้ำนกำรปลูกพืชเศรษฐกิจท่ีสรำ้ งรำยได้ แกค่ รอบครัวและชุมชนเปน็ อยำ่ งดี มกี ำรพัฒนำสำยพันธต์ุ ลอดเวลำและเผยแพร่แลกเปลย่ี นเรียนรู้ด้ำนกำร พฒั นำสำยพนั ธขุ์ องพชื ต่ำงๆกบั ทกุ กลุ่ม ทุกชมุ ชนเพอ่ื นำเอำควำมรทู้ ี่ได้มำปรับเปลยี่ นหรือพัฒนำใหม้ ีควำม เหมำะสมกบั บรบิ ทและควำมนยิ มตำ่ งๆตลอดเวลำ 4. ลกั ษณะของเครือขำ่ ยและกำรสรำ้ งเครือข่ำย มีกำรแลกเปลยี่ นเรยี นรู้กบั ทุกองคก์ ร ทกุ ชุมชน เพื่อสร้ำงควำมเช่ือถือกบั เครือข่ำยหรอื ลูกค้ำ เปดิ โอกำสให้ทุกภำคเี ครือขำ่ ยแลกเปล่ียนควำมรู้เพอ่ื พฒั นำสำยพันธ์ุใหท้ ันสมยั และเหมำะสมกับควำมตอ้ งกำร ของลกู คำ้ เช่นพัฒนำกำรปลกู พชื อน่ื ลงในชอ่ งว่ำงระหวำ่ งแถว ในรูปแบบของไรส่ วนผสม และมีกำรเล้ยี งสัตว์ เศรษฐกจิ เช่นเลยี้ ง วัว ไก่ เป็ด และ หมู ทมี่ ีกำรประกนั คุณภำพและรำคำ และมีกำรพัฒนำเป็นแหล่งเรยี นรู้ สำหรับผู้สนใจในกำรศึกษำดงู ำนดว้ ย 5. ผลงำนท่ีเป็นประโยชนต์ ่อชุมชนและสงั คม สรำ้ งรำยได้ ลดรำยจำ่ ยและใช้เวลำวำ่ งใหเ้ กิดประโยชน์ เปดิ โอกำสใหค้ นในชมุ ชนมำรวมกลุ่ม กนั เพ่อื สรำ้ งจดุ แข็งให้กบั กับชุมชน มเี อกลักษณ์ที่โดดเด่นทำให้เป็นทสี่ นใจกบั ชมุ ชนอน่ื ๆเพือ่ นำเป็นแบบอยำ่ ง เป็นท่สี นใจและพดู ถงึ ในดำ้ นกำรปลูกพชื เศรษฐกิจแบบไร่สวนผสม ที่เหมำะสมกับควำมตอ้ งกำรของตลำดใน ปจั จบุ ันและอนำคต
4 6. รำงวลั หรือเกยี รติคุณทไ่ี ด้รับ - รำงวลั เกษตรกรดีเด่นดำ้ นพชื เศรษฐกจิ ใหม่ ระดบั ดเี ดน่ ของจงั หวดั หนองบวั ลำภู - รำงวลั ดเี ดน่ ปรำชญช์ ำวบ้ำนดำ้ นหมอดินและปยุ๋ อินทรีย์ของอำเภอศรบี ุญเรือง
5 ตำบลโนนมว่ ง ประวัติและผลงำนครูภูมิปญั ญำทอ้ งถิ่นจังหวัดหนองบวั ลำภู ดำ้ นอุตสำหกรรมและหัตถกรรม สำขำคลงั ปญั ญำ รปู ภำพ นำยทองแสง สีถำพล
6 * หมำยเหตุ ใสร่ ปู ภำพ 2 – 5 รูปขึ้นไป รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ
7 นำยทองแสง สถี ำพล ประวัติและผลงำนครภู มู ปิ ญั ญำทอ้ งถ่นิ จงั หวดั หนองบัวลำภู ด้ำนคลงั ปญั ญำ สำขำคลังปัญญำอุตสำหกรรมและหตั ถกรรม 1. ประวัตแิ ละผลงำน ทอ่ี ยู่นำยทองแสง สีถำพล เกิดวันท่ี 15 ต.ค.2489 ที่อยู่ 125 หมู่ที่ 4 บ้ำนโนนสงวน ตำบลโนนม่วง อำเภอศรบี ญุ เรือง จังหวัดหนองบวั ลำภู ควำมเปน็ มำ จำกวถิ ีชวี ติ ควำมเป็นอยู่ ของประชำชนทำงภำคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีค่ำนิยมในกำร รบั ประทำนข้ำวเหนยี วเป็นอำหำรหลัก ทำให้มีนักคิดค้น และประดิษฐ์เคร่ืองมือเคร่ืองใช้ในชีวิตประจำวันขึ้น ดว้ ยกำรนำเอำวสั ดทุ ี่มีอยู่ตำมธรรมชำติ ที่หำง่ำยและใช้ภูมิปัญญำ ที่แฝงด้วยศิลปะแขนงหน่ึง เช่นศิลปะเช่น ศลิ ปะกำรจกั สำน กำรถกั ทอ เปน็ ต้น ในกำรประดิษฐเ์ คร่อื งมือต่ำง ๆ กำรสำนกระติบข้ำว เป็นกำรสืบทอดมำ จำกบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือว่ำเป็นหัตถกรรม ให้รำยได้ให้กับครอบครัว อีกท้ังยังเป็นกำรสืบสำนภูมิ ปัญญำทอ้ งถ่นิ และถ่ำยทอดควำมรู้ใหก้ บั ลูกหลำนและชมุ ชน โดยพ่อทองแสง ได้เร่ิมกำรสำนกระติ๊บข้ำวจำกผู้เป็นญำติคือคุณพ่อทองมำ โดยได้เริ่มฝึกกำรสำน กระต๊ิบ ต้ังแต่อำยุ 13 ปี ทีบ้ำนเกิดของตนในจังหวัดกำฬสินธ์ จนได้เรียนรู้กำรสำนด้วยตนเองและคิดค้น ประดิษฐ์ตัวอักษรลงไปในกระต๊ิบและเครื่องจักสำนท่ีใช้เป็นภำชนะ เช่น กระจำด ฝำชี กระติบข้ำว กระด้ง เพื่อใหเ้ กดิ ควำมสวยงำมและเป็นของทร่ี ะลึก เพ่ือเพ่ิมมลู คำ่ ผลติ ภัณฑ์ 2. องคค์ วำมรแู้ ละควำมเชี่ยวชำญ กำรถ่ำยทอดควำมรู้ เน้นกำรถ่ำยทอดควำมรู้โดยตรงจำกผู้ถ่ำยทอดสู่ผู้รับกำรถ่ำยทอด ในอดีต จะถ่ำยทอดให้กบั บุคคลในครอบครัว แต่ในปจั จุบันจะถ่ำยทอดควำมรู้ใหก้ บั สมำชิกหรือบุคคลท่ัวไปที่สนใจโดย จะมกี ำรผสมผสำนกันท้งั วธิ ีกำรสำธิตและกำรให้ลงมอื ปฏิบัติจริง เป็นวิธีท่ีดีที่สุดท่ีจะทำให้ผู้เรียนสำมำรถสำน ได้ ผู้เรียนจะต้องสังเกตจนเกิดควำมเข้ำใจและจดจำขั้นตอนต่ำงๆ ของกำรสำนกระต๊ิบข้ำว ผู้สอนจะอธิบำย ขน้ั ตอนและเทคนิควิธีกำรสำนกระติ๊บข้ำวในระหว่ำงกำรสำธิต จำกน้ันจึงให้ผู้เรียนหรือผู้รับกำรถ่ำยทอดฝึก ปฏบิ ตั กิ ำรสำนทุกขนั้ ตอนวธิ ีกำรถำ่ ยทอดควำมรกู้ ำรสำนกระต๊ิบขำ้ วทไ่ี ดผ้ ลดีท่สี ุด ส่วนใหญ่จะสอนแบบตัวต่อ ตวั หรือสอนเปน็ รำยคน ซึง่ เป็นวิธสี อนแบบด้งั เดิม 3. กำรถ่ำยทอดควำมรูแ้ ละควำมเชยี่ วชำญ กำรนำควำมรู้ไปใช้ กำรสำนกระติ๊บมำเป็นอำชีพเสริม ควำมรู้ที่นำไปประยุกต์ใช้ มำจำกกำร กำหนดควำมรแู้ ละกำรแสวงหำควำมรู้จำกแหล่งตำ่ ง ๆ ได้แก่ ควำมรู้ภูมิปัญญำท่ีได้รับกำรถ่ำยทอดจำกบรรพ บุรุษ ควำมรู้จำกประสบกำรณท์ ผ่ี จู้ ักสำนไดล้ งมือปฏบิ ัติมำอย่ำงยำวนำนจนเกดิ ทักษะ ควำมรทู้ ีไดร้ ับจำกแหล่ง ควำมรตู้ ำ่ งๆ และเทคนิคใหมๆ่ ควำมรูท้ ่ไี ด้รบั จำกกำรแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ รวมท้ังควำมรขู้ องผู้จักสำนควำมรู้เดิม ผสมผสำนกับควำมรใู้ หม่ใหเ้ กิดลำยใหมๆ่ และกำรประดิษฐต์ วั อกั ษรลงบนกระตบิ๊ ขำ้ ว
8 4. ลกั ษณะของเครือขำ่ ยและกำรสร้ำงเครือข่ำย กำรถำ่ ยทอดกระบวนกำรสำนกระต๊บิ ข้ำวทั้งสองวธิ ดี ังกล่ำวเป็นกำรถ่ำยทอดโดยตรง และใช้วิธี เดยี วกันในกำรถ่ำยทอดให้ผู้เรียนเทคนิคสำคัญของวิธีกำรถ่ำยทอดควำมรู้กำรสำนกระติ๊บข้ำว ท่ีได้ผลดีที่สุด ส่วนใหญจ่ ะสอนแบบตัวตอ่ ตวั หรอื สอนเป็นรำยคน ซึง่ เปน็ วิธสี อนแบบดง้ั เดิม 5. ผลงำนทีเ่ ปน็ ประโยชน์ตอ่ ชุมชนและสงั คม กจิ กรรมจดุ เรียนรูประจำตำบล 6. รำงวัลหรือเกยี รติคณุ ท่ไี ด้รบั เป็นวิทยำกรด้ำนกำรสำนกระตบิ๊ ข้ำวประจำหมบู่ ้ำน /ผู้ผลิตและสง่ เสรมิ ผลติ ภัณฑข์ องชุมชน อำเภอศรีบญุ เรือง
9 ตำบลโนนสะอำด ประวัติและผลงำนครภู มู ปิ ญั ญำท้องถ่นิ จงั หวัดหนองบวั ลำภู ด้ำนทอผำ้ พื้นเมือง สำขำศิลปะหตั ถกรรม นำงบุสดี ผลำนิสงค์
10
11 ประวตั ิและผลงำนครภู มู ิปญั ญำท้องถิน่ ต.โนนสะอำด อ.ศรีบญุ เรอื ง จังหวัดหนองบัวลำภู ดำ้ นทอผำ้ พืน้ เมือง สำขำศิลปะหัตถกรรม 1. ประวัตแิ ละผลงำน นำงบุสดี ผลำนสิ งค์ อย่บู ำ้ นเลขท่ี 12 ม.13 บ้ำนโนนนำใหม่ ตำบลโนนสะอำด อำเภอศรีบญุ เรอื ง จงั หวดั หนองบวั ลำภู ทอผ้ำต้งั แต่ ยงั สำวไดร้ ับกำรถำ่ ยทอดมำจำกร่นุ แม่ จนถงึ ปัจจุบนั ได้เปดิ กลุม่ สรำ้ งอำชพี กับคนในชุมชน และทำยงั ทำอยู่ 2. องคค์ วำมรแู้ ละควำมเชี่ยวชำญ กำรทอผำ้ พ้นื เมอื ง ไดแ้ ก่ ผ้ำลำยน้ำไหล ผ้ำขำวม้ำ 3. กำรถำ่ ยทอดควำมรู้และควำมเชีย่ วชำญ ถ่ำยทอดควำมรู้ใหก้ บั ชำวบ้ำนในชุมชน อุปกรณท์ อผ้าพืน้ เมอื ง 1) กง ใชพ้ ันเสน้ ดา้ ย เพ่อื เตรียมไจด้ายสาหรับฟอกและย้อม 2) อัก ใชพ้ นั เสน้ ดา้ ย เพ่ือจัดระเบียบ 3) กระบอกไมไ่ ผ ใช้สาหรบั พนั เส้นด้าย ใช้แทนหลอดด้าย 4) แกนกระสวย ใช้สาหรับพนั ดา้ ยพงุ เป็นหลอดเลก็ ๆ 5) ไน เปน็ เคร่ืองมอื สาหรบั กรอด้ายเข้าหลอดดา้ ย กอนที่จะนาไปใสกระสวย ตอ้ งนาไปใช้ รวมกับระวงิ มลี ักษณะดา้ นหนึ่งเป็นกงลอ้ ขนาดใหญมเี พลาหมุนด้าย มีสายพานตอไปยงั ทอเลก็ ๆ ทป่ี ลายอีก ข้างหนึง่ 6) หลกั เปีย (หลักเผยี ) โครงไม้สาหรบั เตรียมดา้ ยยนื 7) แปรงหวีด้ายยนื 8) อปุ กรณ์สาหรบั มดั หม่ี คอื โฮงมดั หมี่ เมตร (ปัจจุบันมหี ลักเปยี ขนาดใหญ วิธกี ารทอผ้า ปัจจบุ นั ถึงแม้วายงั ไมมหี ลักฐานท่ีแนชดั บงบอกถึงต้นกาเนิดของการ ทอผ้า แตก็สามารถเทียบเคียง กบั หลกั ฐานอนื่ ๆ ซึ่งมีความคล้ายคลงึ กนั โดย มเี หตุผลหลายอยางสนับสนนุ แนวคดิ ทีว่ า การทอผา้ มี วิวัฒนาการมาจากการ ทาเชอื ก ทอเส่ือ และการจกั สาน โดยเฉพาะอยางย่งิ ลายเชือกทาบทป่ี รากฎ รองรอยให้ เห็นบนภาชนะดินเผา ซงึ่ พบเปน็ จานวนมากตามแหลงโบราณคดี กอนประวตั ศิ าสตร์สมยั หนิ ใหม เร่ือยมา จนถงึ แหลง่โบราณคดีสมยั ประวตั ิ ศาสตร์ ด้วยเหตนุ เ้ี อง จึงกลาวไดว้ าการทอผา้ เป็นงานหัตถกรรมที่เกาแก ที่สดุ ในโลกงานหน่ึง หลักของการทอผ้า ก็คอื การทาให้เส้นด้ายสองกลุมขดั กนั โดยทัง้ สอง พวกต้งั ฉากกนั เสน้ ด้ายกลุม หน่ึงเรียกวา ดา้ ยยนื และอกี กลมุ หนึง่ เรียกวา ด่ายพุง ลกั ษณะของการขัดกันของด้ายพุงและดา้ ยยนื จะขัดกนั แบบธรรมดาที่เรียกวาลายขัด หรืออาจจะเพิ่มเทคนิคพิเศษเพอื่ ให้ผ้ามีลวดลาย สสี ันที่สว ขั้นตอนในการทอผ้า 1. สืบเส้นด้ายยนื เขา้ กับแกนม้วนด้ายยืน และรอ้ ยปลายดา้ ยแตละเสน้ เขา้ ในตะ กอแตละชุดและ ฟันหวี ดึงปลายเสน้ ด้ายยนื ทั้งหมดม้วนเขา้ กับแกนม้วนผ้าอีกด้านหนึ่ง ปรับความตึงหยอนให้ พอเหมาะ กรอด้ายเขา้ กระสวยเพ่ือใช้เปน็ ด้ายพุง
12 2. เร่มิ การทอโดยกดเครือ่ งแยกหมตู ะกอ เส้นด้ายยนื ชุดที่ 1 จะถูกแยก ออกและเกิดชองวาง สอด กระสวยดา้ ยพงุ ผาน สลับตะกอชุดท่ี 1 ยกตะกอชุดที่ 2 สอดกระสวยด้ายพุงกลับ ทาสลับกันไปเรอื่ ย ๆ 3. การกระทบฟนั หวี (ฟืม) เม่ือสอดกระสวยดา้ ยพุงกลบั ก็จะกระทบฟนั หวี เพ่ือใหด้ า้ ยพุงแนบติดกนั ไดเ้ นอื้ ผา้ ทีแ่ นนหนา 4. การเกบ็ หรือมว้ นผา้ เม่อื ทอผา้ ไดพ้ อประมาณแล้วก็จะมว้ นเก็บในแกนม้วนผ้า โดยผอนแกนด้ายยนื ให้คลายออกและปรบั ความตึงหยอนใหม ให้ พอเหมาะ การทอผ้าพ้นื เป็นการใช้หลกั การทอผ้าเบ้อื งตน้ ทนี่ าเอาดา้ ยเส้ยยืนและดา้ ยเส้นพุงมาขดั กัน เพอ่ื ให้ เกดิ เป็นผนื ผ้า โดยด้ายเสน้ พุงและเสน้ ยืนอาจเป็นดา้ ยสเี ดียวกนั หรอื ตางสกี ัน หรอื นาเอาเสน้ ด้ายที่เป็นด้นิ เงินหรอื ดน้ิ ทองมาทอควบด้าย เพอ่ื ให้ผ้า มีความมนั ระยบั สวยงามยิ่งขึน้ 4. ลกั ษณะของเครือข่ำยและกำรสรำ้ งเครือข่ำย เครือข่ำยเทศบำลตำบลโนนสะอำด กศน. พัฒนำชุมชน 5. ผลงำนท่ีเปน็ ประโยชน์ต่อชมุ ชนและสงั คม กำรใหค้ วำมรูด้ ้ำนกำรทอผ้ำกบั คนในชมุ ชน 6. รำงวลั หรือเกียรติคณุ ทีไ่ ด้รับ ได้รบั 4 ดำวจำกศนู ย์ OTOP จำกจงั หวัดหนองบวั ลำภู
13 ตำบลกดุ สะเทียน ประวตั ิและผลงำนครภู ูมปิ ญั ญำทอ้ งถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ด้ำนกรรมกรรม สำขำปลูกพืชผสม นำยออ๊ ต เคนนนั ท์
14 ชอื่ – สกุล : นำยออ๊ ต เคนนนั ท์ อำยุ : 52 ปี จบกำรศึกษำ : ประถมศึกษำ ประวัตกิ ำรทำงำน : เจ้ำหนำ้ ท่ีกรมกำรปกครอง
15 นำยออ๊ ต เคนนันท์ ประวัตแิ ละผลงำนครูภูมปิ ัญญำทอ้ งถ่ินจงั หวัดหนองบัวลำภู 1. ประวัตแิ ละผลงำน ช่ือ – สกลุ : นำยออ๊ ต เคนนนั ท์ อำยุ : 52 ปี จบกำรศกึ ษำ : ประถมศึกษำ ประวตั กิ ำรทำงำน : เจำ้ หนำ้ ที่กรมกำรปกครอง เป็นวิทยำกรถ่ำยทอดควำมร้กู ำรปลูกพชื ผสมผสำนบำ้ นคลองเจริญ ต.กดุ สะเทยี น จ.หนองบวั ลำภู 2. องค์ควำมรู้และควำมเช่ียวชำญ มคี วำมรู้ด้ำนกำรปลกู พชื ผสมผสำน 3. กำรถ่ำยทอดควำมรู้และควำมเชีย่ วชำญ ถ่ำยทอดควำมรู้ไดใ้ นตำบลและพ้นื ท่ีใกล้เคียง ระบบเกษตรกรรมที่จะนาไปสกู ารเกษตรย่ังยืน โดยมรี ปู แบบที่ดาเนินการมีลักษณะใกล้เคียงกัน และ ทาให้ ผู้ปฏิบัติมีความสับสนในการให้ความหมายและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ได้แกระบบเกษตรผสมผสานและ ระบบ ไรนาสวนผสม ในท่นี ี้จึงขอให้คาจากัดความรวมทั้งความหมายของคาท้งั 2 คา ดงั ตอไปนี้ ระบบเกษตรผสมผสาน (Integrated Farming System) เป็นระบบการเกษตรที่มีการเพาะปลูกพืช หรือการเลี้ยงสัตว์ตาง ๆ ชนิดอยูในพ้ืนท่ีเดียวกันภายใต้การเกื้อกูล ประโยชน์ตอกันและกันอยางมี ประสิทธภิ าพสงู สดุ โดยอาศยั หลักการอยูรวมกนั ระหวางพืช สัตว์ และสิ่งแวดล้อมการอยูรวมกันอาจจะอยูใน รูปความสัมพันธ์ระหวางพืชกับพืช พืชกับสัตว ์ หรือสัตว์กับสัตว์ก็ได้ ระบบ เกษตรผสมผสานจะประสบ ผลสาเรจ็ ได้ จะต้องมกี ารวางรูปแบบ และดาเนนิ การ โดยใหค้ วามสาคญั ตอกจิ กรรม แตละชนิดอยางเหมาะสม กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม มีการใช้แรงงาน เงินทุน ที่ดิน ปัจจัย การผลิตและ ทรัพยากรธรรมชาติอยางมีประสิทธิภาพ ตลอดจนรู้จักนาวัสดุเหลือใช้จากการผลิตชนิดหนึ่งมาหมุน เวียนใช้ ประโยชนก์ ับการผลิตอีกชนิดหนึ่งกบั การผลติ อกี ชนิดหนงึ่ หรือหลายชนิด ภายในไรนาแบบครบวงจร ตัวอยาง กจิ กรรมดงั กลาว เชน การเล้ยี งไก หรอื สุกรบนบอปลา การเลี้ยงปลาในนาข้าว การเลยี้ งผงึ้ ในสวนผลไม้ ระบบไรนาสวนผสม (Mixed/Diversefied/Polyculture Farming System) เปน็ ระบบการเกษตรที่ มีกิจกรรมการผลติ หลาย ๆ กิจกรรมเพ่ือตอบสนองตอการบรโิ ภคหรอื ลดความเส่ียงจากราคา ผลิตผลทม่ี คี วาม ไมแนนอนเทานั้น โดยมิได้มกี ารจัดการใหก้ ิจกรรมการผลติ เหลาน้ันมีการผสมผสานเกอ้ื กูลกันเพ่ือ ลดตน้ ทุน การผลิต และคานึงถึงสภาพแวดลอ้ มเหมือนเกษตรผสมผสานการทาไรนาสวนผสมอาจมกี ารเก้อื กูลกนั จาก กิจกรรมการผลติ บา้ ง แตกลไกการเกิดขนึ้ นั้นเปน็ แบบ “เปน็ ไปเอง” มิใชเกิดจาก “ความรู้ ความ
16 เข้าใจ” อยางไร ก็ตามไรนาสวนผสม สามารถพฒั นาความร้คู วามสามารถของเกษตรกรผู้ดาเนนิ การให้เปน็ การ ดาเนนิ การในลักษณะ ของระบบเกษตรผสมผสานได้ 4. ลักษณะของเครอื ข่ำยและกำรสรำ้ งเครอื ข่ำย เป็นแหล่งเรยี นรู้ในพน้ื ท่ตี ำบลกดุ สะเทยี นทไ่ี ดร้ ับผิดชอบ 5. ผลงำนที่เปน็ ประโยชนต์ ่อชุมชนและสงั คม ให้ควำมรู้ในเรื่องกำรปลกู พืชผสมผสำน 6.รำงวัลหรือเกยี รติคุณท่ไี ด้รบั ไมม่ ี
17 ตำบลทรำยทอง ประวัตแิ ละผลงำนครูภมู ิปญั ญำทอ้ งถน่ิ จงั หวัดหนองบวั ลำภู ดำ้ นกำรทอผ้ำลำยพ้ืนเมอื ง สำขำดำ้ นอตุ สำหกรรมและหัตถกรรม นำงรำนูล ผำแดง
18 * หมำยเหตุ ใสร่ ปู ภำพ 2 – 5 รปู ขึ้นไป รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ พ
19 นำงรำนูล ผำแดง ประวตั ปิ ระวัติและผลงำนครภู ูมปิ ญั ญำทอ้ งถน่ิ จังหวดั หนองบวั ลำภู ด้ำนกำรทอผ้ำลำยพืน้ เมือง สำขำด้ำนอุตสำหกรรมและหตั ถกรรม 1. ประวตั แิ ละผลงำน นำงรำนูล ผำแดง อำศัยอยู่บ้ำนเลขท่ี 239 หมู่ที่ 7 ถนน ตำบลทรำยทอง อำเภอศรีบุญเรอื ง จงั หวดั หนองบัวลำภู จบกำศึกษำระดับมัธยมศกึ ษำตอนปลำย ปัจจุบนั ดำรงตำแหน่งหวั หนำ้ กลุม่ วิสำหกจิ ชุมชนกล่มุ ทอผำ้ บำ้ นทรำยมูล 2. องคค์ วำมรแู้ ละควำมเชีย่ วชำญ นางรานูล ผาแดง หวั หนา้ กลมุ วิสาหกิจชุมชนกลุมทอผา้ บ้านทรายมูล วัย ๖๐ ปี บอกวา เร่ิมตน้ ทอผา้ ตงั้ แต เด็ก โดยมีแมและยายเปน็ ผ้ถู ายทอดความรู้ จนสง่ั สมประสบการณ์ ได้รับการยอมรับจาก ชาวบา้ นวามีฝีมอื ใน การทอผา้ ไดป้ ระณตี และสวยงาม โดยใชเ้ วลาวางหลังจากทานามาทอผ้าไวใ้ ช้ในครวั เรอื น การทอผ้าฝา้ ยนน้ั ตอ้ งใช้เวลาต้องมคี วามละเอียดตอนหลงั ผ้าที่ทอน้ันบางคร้ังนาไปขายมีรายไดไ้ วใ้ ช้จายใน ครอบครวั 3. กำรถำ่ ยทอดควำมรูแ้ ละควำมเชีย่ วชำญ การทอผา้ การทอผ้านั้นต้องอาศัยฝมี ือและความรู้ความชานาญของผ้ทู อเป็นอยางมาก เปน็ งานศิลปะที่มี อยเู พยี งชิ้นเดียว ในโลก เพราะแตละคนท่ีทาแตละขนั้ ตอน จะมีความแตกตางกัน สีไมเหมอื นกัน นอกจากนัน้ แล้ความสามารถ ในการทอ การสอดกระสวย ความแรงในการตกี ระทบหรือการฟดั ทาให้ได้สเี ข้มออนตางกัน การเรียงเสน้ ดา้ ย ให้ตรงลายจะแสดงถึงความคมชัดและความชานาญของผู้ทอแตละคน อากาศ อุณหภูมิ หรอื แม้แตอารมณ์ ความรูส้ กึ ของผู้ทอ สิ่งเหลานมี้ ผี ลกับความสวยงามของผา้ ผืนนน้ั ๆ จงึ ทา ให้ผา้ ทอมอื แตละผนื ทที่ อ มี เอกลักษณเ์ ปน็ ของตัวเองและมเี พยี งผนื เดยี วในโลกเทาน้นั ชาวบ้านโนนอุดมใช้ กพี่ ้นื บา้ น เป็นเครือ่ งมอื สาหรับการทอผ้าไหมและผ้าฝ้าย เพราะในระหวาง ทอจะต้องมีการเรยี งจับลายของเส้นพงุ อยตู ลอดเวลา นางรานูล ผาแดง ได้กลาวถงึ อปุ กรณส์ าหรับทอผา้ ไว้ โดยมีรายละเอียดดังนี้ ๑.โครงหกู หรอื โครงก่ี ประกอบด้วยเสา ๔ ต้น มีรางหูกหรือรางก่ี ๔ ด้าน ทั้งดา้ นบนและ ด้านลาง เสาแตละด้ายมไี ม้ยดึ ตดิ กนั เป็นแบบดัง้ เดิมท่ีนยิ มใช้กนั มาต้งั แตอดีตถึงปัจจุบัน ๒.ฟืม หรอื ฟนั หวี มีฟันเป็นช่ี คลา้ ยหีว ใชส้ าหรบั สอดเส้นด้ายยนื เพ่อื จัดเส้นดา้ ยให้อยหู างกนั และ ใช้กระทบด้ายเส้นพุงให้สานขดั กับดา้ ยเส้นยืนที่อักแนนเป็นเนอื้ ผ้า ฟนั ฟืมอาจจะทาดว้ ยไม้ หรือเหล็ก หรือ สแตนเลสกไ็ ด้ มหี ลายขนาด ขึ้นกับวาผู้ใช้จะตอ้ งการผา้ กวา้ งขนาดเทาใด เชน ฟืมอาจะมี ๓๕ –๕๐ หลบ หรือ มากกวานี้ แตละหลบมี ๔๐ ชองฟนั แตละซองจะสอดเสน้ ไหมยนื ๒ เสน้ ดงั นั้นการทอผา้ คร้ังหนง่ึ ๆ อา จะใช้เส้นด้ายยนื ประมาณ ๒,๘๐๐ - ๔,๐๐๐ เส้น ชาวบ้านโนนอุดมจะนยิ มใช้ฟมื ๕๐ หรอื ๖๐
20 ๓.เขาหูก หรือตะกอ คือ เชอื กทาด้วยด้ายไนลอนทรี่ ้อยคล้องไหมยืน เพ่ือแบงเสน้ ด้ายเป็น หมวดหมู ตามท่ตี ้องการเมื่อยกเขาหกู หรือตะกอขึ้น กจ็ ะดงึ เสน้ ดา้ ยยนื เปดิ เปน็ ชอง สามารถพุงกระสวยเข้าไป ให้เสน้ ดา้ ย พุงสานขัดกับเส้นด้ายยนื ได้ เวลาสอดเส้นดา้ ยยืนต้องสอดสลับกันไปเส้นหนึ่งเว้นเส้นหนง่ึ และมี เชอื กผกู เขาหกู แขวนไวก้ ับโครงกดี่ า้ นบนสามารถเล่ือนไปมาได้ สวนด้านลางผกู เชอื กติดกับคานเหยียบ เมอื่ ต้องการดึงแยก เส้นด้ายให้เปน็ ชองจะใชเ้ ท้าเหยยี บทค่ี านเหยียบทาใหเ้ ขาหกู เลอ่ื นข้นึ -ลง เกดิ เป็นชอง สาหรบั ใสเส้นด้ายพุง หากตอ้ งการทอผา้ เป็นลวดลายที่งดงาม จะต้องใช้ตะกอและคานเหยยี บจานวนหลายอัน วิธีการเก็บตะกอหรอื เก็บเขาจะแตกตางกันไปตามลักษณะของผ้าและลวดลายของผ้าท่ีจะทา การทอผา้ ของ ชาวบ้านโนนอดุ มสวน ใหญจะใชแ้ บบ ๒ ตะกอ ๔.ไมห้ นา้ หูก คือ ไมท้ ีอ่ ยูสวนหน้าสดุ ของหกู สาหรบั ผูกขึงลูกตงุ้ ทาด้วยไม้ไผทง้ั ลา ๕.ไม้รางหูก คอื ไมท้ ี่พาดขวางโครงหูก สวนบนทาด้วยไม้ไผท้งั ลามี ๓ -๔ ทอน ใช้สาหรับผกู แขวน ลกู ตุ้ง ไมข้ ้างเขา และฟมื ๖.กระดานมว้ นหกู เป็นไมก้ ระดานที่ใช้สาหรับม้วนปลายดา้ นหนึ่งของเสน้ ด้ายยืน ซง่ึ มว้ นเก็บ และ จดั เสน้ ยืนให้เปน็ ระเบยี บ นอกจากนย้ี ังชวยใหเ้ สน้ ด้ายในหูกตึง โดยท่ีปลายอีกด้านหนง่ึ ผูกตดิ หรอื พันไว้ กบั มว้ นผา้ ๗.ลกู ตงุ้ คอื ไม้ท่สี อดด้างกระดานม้วนหูก มี ๒ ลูกทาดว้ ยไม้เนื้อแข็ง สวนหัวของลูกตงุ้ เจ้า สาหรบั แขวนไว้กับรางหูกและตอ้ งผกู ยดึ ติดลกู ต้งุ ไว้กับไม้หนา้ หูก เพอ่ื ไมใหล้ กู ตงุ้ แกวงไปมา ๘.ไม้ค้างเขาหรือไม้ค้างตะกอ เป็นไม้ ๒ อนั สาหรบั แขวนเขาหกู หรอื ตะกอ สวนปลายทั้งสอง ด้าน จะเจาะรผู กู เชือกแขวนไวก้ บั ไม้ทพ่ี าดขวางรางหกู ๙. คานแขวน เปน็ ไมห้ าบหกู โดยสอดกบั เชือกที่ผูกกับเขาดา้ นบน เพื่อให้หกู ยดึ ติดกับกี่ โดย ไม้ หาบหูกจะมีอันเดี่ยวไมวาจะใชฟ้ มื ท่มี เี ขา ๒ เขา ๓ เขา หรอื ๔ เขา ๑๐. ตีนฟืม หรือตนี เหยียบ หรอื คานเหยียบ คือ ไม้ ๒ – ๔ อัน ขนึ้ กบั จานวนเขาหรอื ตะกอ โดย ตนี เหยยี บนจี้ ะผูกเชือกเชอ่ื มดยงกบั เขาหูก เพอ่ื ใช้สาหรบั เหยยี บดงึ เขาหกู ๒ -๔ ตบั ใหร้ ัง้ เสน้ ไหมยืนข้นึ หรอื ลงสลับกนั และเปิดชองวางให้กระสวยพุงผาน ตนี ฟมื จะมลี กั ษณะกลม ยาวประมาณ ๑.๕ – ๒ เมตร และ จะ วางขวางกบั โครงหกู ๑๑.ไมม้ ้วนผา้ หรอื ไม้พนั ผ้า หรอื ไม่ค้ ้าพัน คอื ไมท้ ใ่ี ช้ผกู ปลายด้านหน่ึงของไหมยืน ซงึ่ สอดผาน ฟนั หวแี ลว้ ใช้ผ้าไหมทีท่ อเป็นเนอ้ื ผ้าแลว้ โดยสวนใหญไม้ม้วนผา้ ทาดว้ ยไมเ้ หลยี่ มยาวประมาณ ๑๒๐-๑๘๐ เซนตเิ มตร ๑๒.บาก่ี คือไม้ท่ใี ชร้ องรบั สวนปลายสองดา้ นของไม้มว้ นผ้ามี ๒ หลกั แตละหลักมรี ะยะหางกัน ตาม ความกวา้ งของหูก ๑๓.ไมน้ งั่ เปน็ ไม้กระดานท่ใี ช้สาหรับนัง่ ทอผ้า ความยาวของไมน้ งั่ เทากบั ความกว้างของโครง หูก ๑๔.ผัง เป็นไมท้ ่ใี ชข้ ึงไวต้ ามความกว้างของรมิ ผ้าที่ทอ เพ่ือใหห้ น้าผ้าตึงพอดีกบั ฟมื ปลายท้ังสอง ของ ผังอาจเหลาแหลมเปน็ ๒ แฉกหรอื เป้นทองเหลอื งทีม่ ี ๒ แฉกสวมทงั้ สองข้าง
21 อุปกรณ์ในการมัดหม่ี ๑)ม้ามดั หม่ี ๒)แบบลายมัดหม่ีทีอ่ อกแบบและถอดแบบลงบนตารางกราฟแล้ว ๓)เชือกฟาง ๔)กรรไกร ๕)เหลก็ สอดมดั หมี่ ขั้นตอนในการมัดหม่ี ๑)นาปอยมดั หมม่ี าขึงบนม้ามัดหม่ี ๒)นาเชอื กจากปอยมดั หมี่สอดเข้าไปในหลกั หม่ีขา้ งไดข้างหนง่ึ ผกู กลุมมดั หม่ไี ว้เป็นวง โดยระวัง ไมให้หมี่ หลดุ ออกจากกันและใช้เป็นหูหวิ้ จบั เพ่ือนาไปย้อมสีและจะถอดฝ้ายมัดหมอ่ี อกเมือ่ นาไปทอ ๓)มัดหมดี่ ้วยเชือกฟางจนครบหลักหมี่ ตามลวดลายในแบบจากตารางกราฟจนถงึ เชงิ ผ้า โดย อาจจะมัด จากด้านบนลงลางหรอื มัดจากลางขึ้นไปด้านบน หรืออาจจะเร่ิมจากตรงกลางกอนแล้วจึงขยาย ออกไปใหเ้ ต็ม หลักหมก่ี ็ได้ ๔)เร่มิ ตน้ มัดปลายเชือกกับลูกหมี่ แลว้ จึงพนั ปลายอกี ขา้ งหนงึ่ ซ้อนทับใหแ้ นน เพ่ือไมใหส้ ยี ้อม ซึมเข้าขอ้ หมี่เมอื่ พนั ทับกนั ไปจนได้ความยาวตามแบบลายมัดหม่แี ล้ว จงึ มัดปลายเชือกกบั ลกู หมี่ให้แนน โดย เหลอื ปลาย เชือกไวเ้ พื่อให้สามารถแก้เชอื กมัดออกไดง้ าย ๕)มดั ลกู หม่ีในแตละลาด้วยวิธเี ดียวกนั ไปจนหมดตามแบบลายท่ีถอดลงในกระดาษกราฟ ๖)การท่ลี ายหมี่จะเลก็ หรือใหญ ขึ้นกับการมดั ลูกหมใี่ นแตละลาหม่ี หากมัดลูกหม่ีกวา้ งลายกจ็ ะ ขยายใหญ หากมดั ลูกหม่ีแคบลายก็จะเลก็ ลง ๗)เม่ือมดั ลายตามแบบในกระดาษกราฟเสร็จเรียบร้อยแล้วถอดปอยมัดหมอ่ี อกจากมา้ มดั หม่ี และนาไป ยอ้ มสีตามต้องการในข้ันตอไป อปุ กรณ์การย้อมสี มอี ุปกรณ์ คือ เตา หมอ้ ตม้ กะละมัง ท่คี บี ผา้ และสีตามแบบทอี่ อกไว้ ข้ันตอนในการยอ้ มสีมดั หม่ี ๑.กาหนดสขี องผืนผา้ ที่ต้องการ ๒.กาหนดสขี องลายตามลวดลายในแบบจากตารางกราฟวาต้องการสีอะไรบ้าง ๓.เชือกฟางทีม่ ดั ลกู หมี่ในแตละลาหม่ี จะปอ้ งกนั ไมใหส้ ีซมึ เขา้ ไปในปอยไหมในจดุ ทมี่ ดั หาก ต้องการให้ ไหมบรเิ วณใดเป็นสีใดเม่อื จะย้อมสีนน้ั ก็จะตอ้ งแกะเชือกบริเวณที่ตอ้ งการออก เม่อื ย้อมสีนั้นแล้วก็ ต้องมดั เชอื ก ฟางกลับคืนในจุดนนั้ เพ่ือกนั ไมให้สที ่ีไมต้องการซึมเข้าไปผสม ๔.ในการย้อมสมี ัดหมีจ่ ะต้องยอ้ มสอี อนกอน แล้วจงึ ย้อมสีเขม้ ภายหลัง เชน ตอ้ งการผา้ ลายสี เหลอื งก็ ตอ้ งนาไปย้อมสเี หลอื งกอนแล้วจงึ นาไปยอ้ มสีอน่ื ๆ ท่มี ีความเข้มขึน้ ทล่ี ะลาดับ เพราะหากนาไปย้อมสี เขม้ กอน เชน ยอ้ มสีน้าเงินแลว้ นามาย้อมสีเหลอื งกจ็ ะไมไดผ้ า้ สีเหลอื งเพราะสจี ะผสมกันเป็นสีเขียวตาม หลกั การผสมสี
22 ๕.เมอ่ื นาผ้าไปยอ้ มสีออน เชน ยอ้ มสเี หลืองแล้ว หากต้องการให้บริเวณใดยงั คงเป็นสีเหลือง ก็ ตอ้ งนา เชอื กฟางมดั กันลกู หมใี่ นลามัดหมี่บริเวณสเี หลอื งไปตามลาดับสีในแบบลายทถ่ี อดลงในกระดาษกราฟ เมื่อเสร็จแล้วจึงนาไปยอ้ มสีเขม้ ตอไป วิธีการย้อมสี ๑.ตง้ั นา้ ประมาณ ๒ ลติ ร ตอสีเหลือง ๑ ซอง ตอมัดหม่ี ๑ ปอย ต้มให้เดอื ด ๒.นาปอยมัดหมลี่ งต้มนานประมาณ ๒๐–๓๐ นาที ๓.ขณะตม้ ตอ้ งพลิกหรือกลบั ปอยมดั หม่ไี ปมาเพ่ือใหส้ ซี มึ เข้าไปในเสน้ ไหมอยางทวั่ ถึง และตอ้ ง ระวัง เชือกทีส่ อดในชวงหลักหมีข่ า้ งใดข้างหน่ึงทผ่ี ูกกลุมมัดหมีเ่ ป็นวงไว้ไมใหห้ ม่ีหลุดออกจากกัน โดยใชเ้ ป็นหู หิว้ สาหรับจบั นาไปย้อมสี ๔.เมอื่ ย้อมเรียบรอ้ ยและทง้ิ ปอยมดั หมไ่ี ว้จนเยน็ แลว้ นาใสภาชนะไปลา้ งจนนา้ ใสไมมสี ตี กผสม ในน้า ๕.นาปอยมัดหม่ขี นึ้ ผ่งึ ลมท้ิงไว้ให้แหง้ จะได้เสน้ ไหมเปน็ สเี หลอื งหมด ๖.นาไหมมัดหมี่ไปขงึ บนม้ามัดหมแี่ ลว้ ใชเ้ ชอื กฟางมดั ลกู หม่ี ตามลายทีถ่ อดลงในกระดาษกราฟ ให้เสร็จ เรียบรอ้ ยเพอ่ื มัดเกบ็ ลายให้เป็นสีเหลอื ง ๗.หลังจากนัน้ นาไปยอ้ มสนี ้าเงนิ ตอไป โดยใช้ขั้นตอนเชนเดียวกบั ๑ – ๕ ๘.เสรจ็ เรียบร้อยแล้วจงึ นาไปทอเปน็ ผนื ผ้าไดต้ ามต้องการ ข้ันตอนการทอผา้ คือ การเอาเส้นไหมมากกวา ๒ เส้นขึน้ ไปมาขัดสลับกัน ซ่งึ มีวิธกี ารทอเป็นข้นั ๆ ดังน้ี ๑.เมื่อเตรยี มเส้นไหมพุงและไส้หูกเรียบร้อยแล้ว นาเอาเส้นหกู อันใหมสืบตอกบั ไสห้ ูกท่ีค้างอยูใน เขา หูกและรองฟันฟมื เดิม กางก่ีหรือหูกใหเ้ รียบรอ้ ย ๒.เอาหลอดไหมเข้ารองกระสวย ร้อยด้ายจากหลอดผานรเู ล็ก ๆ ขา้ งกระสวย หากเสน้ ไหมหมด จาก หลอดแรก ตอ้ งเอาหลอดท่ี ๒,๓...ตามลาดบั หลอดที่รอ้ ยไว้ บรรจเุ ข้ากระสวยและทอตามลาดับ ๓..คล้องเชือกจากเขาหูกอันหนึง่ เขา้ กับไมค้ นั เหยียบขา้ งใดขา้ งหน่ึงและคล้องเชือกเขาหูกท่ี เหลอื อกี อนั เข้ากบั ไมค้ นั เหยยี บอีกอนั เม่ือเหยียบไมค้ ันเหยยี บข้างหนึง่ ไส้หูกกางออกเปน็ ชองเนอ่ื งจากการดงึ ของเขาหกู พงุ กระสวยผานชองวางนั้น แล้วดึงฟืมกระทบเสน้ ฝา้ ยทีอ่ อกมาจากกระสวยเข้าไปเก็บไว้ เหยยี บไม้ คันเหยียบ อีกอนั พงุ กระสวยผานชองวาง กลับมาทางเดมิ ดึงฟืมกระทบเสน้ ฝา้ ยเขา้ เก็บ เหยียบไมค้ ันเหยยี บ อกี อนั พุง กระสวย ดึงฟืมกระทบ เหยยี บไม้คันเหยียบ ทาสลบั กันไปเร่อื ย ๆ จนไดผ้ ืนผ้าเกิดขน้ึ ยากมากแล้ว จงึ พันผืนผา้ ไวด้ ว้ ยไมก้ าปัน้ จากประสบการณ์การทอผา้ ในเวลา ๑ วนั จะทอผ้าไหมได้ประมาณ ๑ เมตร ถ้าอากาสดี ท้องฟา้ มแี ดด จะทอผา้ ได้สวยกวาวันท่ีฝนตก อากาศขนึ้ เพราะไหมจะเหนียว เส้นไหมไมตงึ ทอยาก จะเกิด การ ลองผดิ ลองถกู จนเกดิ การชานาญ การที่พยายามคน้ หาภูมปิ ญั ญาหรอื บุคคลในการมดั ย้อมและทอผา้ มา พัฒนาความรูใ้ หก้ ับบคุ คลทว่ั ไปเพอ่ื เผยแพร และพฒั นาลายผา้ ไหมมดั หมี่จนเกิดนวัตกรรมใหม เป็น เอกลักษณเ์ ฉพาะตน ในปัจจุบัน
23 4. ลกั ษณะของเครอื ขำ่ ยและกำรสรำ้ งเครอื ขำ่ ย นางรานูล ผาแดง ไดร้ ับเกยี รติเป็นวทิ ยากรใหก้ ับหลายหนวยงาน เชน อบต.ทรายทอง กศน. ตาบลทรายทอง รพ.สต.บา้ นทรายมูล พฒั นาชุมชน 5. ผลงำนที่เป็นประโยชนต์ ่อชุมชนและสงั คม บุคคลทีม่ ภี มู ปิ ญั ญาคอื นางรานูล ผาแดง ทอผ้าพนื้ เมืองบา้ นทรายมลู หมทู ่ี 7 ตาบลทราย ทอง อาเภอศรบี ุญเรอื ง จงั หวดั หนองบวั ลาภู ผมู้ ีสวนสาคัญในการผลิตลายพน้ื บา้ น และได้รวมกิจกรรม หนงึ่ ตาบล หนงึ่ ผลติ ภัณฑ์ และไดร้ ับการคัดสรรเป็นผลติ ภัณฑ์ OTOP ห้าดาว ประเภทผลิตภณั ฑ์ผา้ ไหมมดั หมี่ กลุมหวังเปน็ อยางยิ่งวา ผา้ ไหมมัดหมี่ จะเป็นอกี หนง่ึ ผลิตภณั ฑผ์ ้าไหมและผา้ ฝ้ายไทยทอี่ าจสร้างชอ่ื เสยี งให้แก อ อาเภอศรีบุญเรือง จงั หวดั หนองบวั ลาภู และประเทศไทยด้วยในอนาคตอันใกลน้ ้ี 6. รำงวลั หรือเกยี รติคณุ ทีไ่ ด้รับ ๑.รางวลั ผานมาตรฐานงานพัฒนาชมุ ชน ปี ๒๕๕๕ หนวยงานสานักงานพฒั นาชมุ ชน จังหวัดหนองบัวลาภู ๒.รางวัลผมู้ ีสวนสาคญั ในการผลติ ผ้าไหมและไดร้ วมกิจกรรมยอดหน่ึงตาบล หนง่ึ ผลติ ภณั ฑ์ และไดร้ ับการคัดสรรเป็นผลติ ภัณฑ์ OTOP ประเภทผลิตภณั ฑ์อนรุ กั ษ์ลวดลายพืน้ บ้าน จากกรมการพฒั นา ชุมชน
24 ตำบลนำกอก ประวัตแิ ละผลงำนครูภมู ิปญั ญำท้องถนิ่ จังหวัดหนองบวั ลำภู ด้ำน.....เศรษฐกิจพอเพยี ง สำขำ....ดำ้ นกำรเลย้ี งสตั ว์ . นำยสมยศ หมู่หมน่ื ศรี
25 * หมำยเหตุ ใสร่ ปู ภำพ 2 – 5 รปู ขึ้นไป พ
26 นำยสมยศ หมู่หม่นื ศรี ประวตั ิประวัตแิ ละผลงำนครูภูมปิ ญั ญำท้องถนิ่ จงั หวัดหนองบวั ลำภู ด้ำนเศรษฐกจิ พอเพยี ง สำขำดำ้ นกำรเล้ยี งสตั ว์ 1. ประวัตแิ ละผลงำน เปน็ ปรำฃญ์ชำวบ้ำนโนนสำรำญ เป็นหมอดนิ ก่อนที่ผมจะกลับมำชว่ ยครอบครวั ของผมอย่ำงเต็มตัว ผมเปล่ยี นวิถีกำรทำเกษตรหลังจำกเรยี นรู้เกษตรทฤษฎใี หมว่ ่ำด้วยเรือ่ งกำรแบง่ พน้ื ทีเ่ ป็น 4 สว่ น มนี ้ำ มีนำ มี พ้ืนท่ปี ลกู ผัก และท่ีอยูอ่ ำศัย สิง่ ท่พี ผมทำไมใ่ ชก่ ำรหยบิ ยกวิธกี ำรท้ังหมดมำทำอย่ำงไมป่ ระมำณตน แตท่ ำ่ นดู บริบทท่ีสำคัญและทำได้จรงิ กอ่ น ซง่ึ ผมพบว่ำน้ำมคี วำมสำคัญในกำรทำเกษตร ถำ้ มีถนน มีไฟฟ้ำ และอ่นื ๆ แต่ ไมม่ ีน้ำ ยงั ไงก็ทำเกษตรไมไ่ ด้ จงึ ขดุ สระนำ้ ขึ้นมำ ซึง่ กต็ ้องใชเ้ งิน แตไ่ มม่ ีใครยอมให้กู้ พอดผี มร้จู กั กับคนขุดดิน ขำยก็เลยยกดนิ 1 ไร่ให้เขำแลกกบั หนองน้ำไวท้ ำเกษตร พอมนี ำ้ กป็ ลูกพรกิ กะเพรำ มะเขือ มีกนิ แลว้ ยงั มี รำยได้เขำ้ มำ 2. องคค์ วำมรู้และควำมเช่ียวชำญ เปน็ เรื่องงำ่ ยมำกท่ใี ครจะเร่มิ ทำเกษตรแบบมกั ง่ำย และเล้ยี งสัตว์ทใี่ ช้บรโิ ภคแบบตำมมีตำมเกดิ แล้ว นงั่ หวังกบั ฟ้ำกับฝนว่ำจะไดผ้ ลผลิตท่ีดี “กม็ คี นมำเสนอขำยปยุ๋ ถงึ ทนี่ เี่ หมอื นกันนะ ยำฆ่ำแมลงก็เยอะ เวลำพูดเรือ่ งเกษตรอินทรียท์ ุกคนจะนึกถงึ กำร ปลกู พชื ผลไม้โดยไม่ใชส้ ำรเคมี ยำฆ่ำแมลง มีข้อจำกัดมำกมำยเต็มไปหมด เกษตรกรจึงไม่คอ่ ยอยำกทำ แต่ใน ควำมเข้ำใจของเรำ เกษตรอนิ ทรียค์ ือกำรปลูกไวก้ นิ ไวแ้ บง่ ปันคนอน่ื เมอื่ นยิ ำมคนละแบบวธิ ีกำรก็คนละแบบ เลย เรำจะคดิ ถงึ ควำมปลอดภัยและกำรปลอดสำรกบั ทุกเรอื่ ง ซ่ึงหำกเอำตัวเลขผลกำไรจำกผลิตภัณฑเ์ กษตร อินทรยี ม์ ำเป็นแรงจูงใจใหท้ ำเกษตรอนิ ทรีย์ เม่อื ไมเ่ ปน็ ตำมท่คี ำดหวังเกษตรกรก็รู้สึกลม้ เหลว 3. กำรถ่ำยทอดควำมรูแ้ ละควำมเชยี่ วชำญ ทม่ี ำของชดุ ควำมคิดน้มี ำจำกกำรปฏบิ ัติจริงในบ้ำนของเขำ ซ่ึงตอนแรกอำจจะเร่มิ จำกไมม่ ีเงนิ แต่ แทนทีจ่ ะหำแต่รำยไดเ้ ขำต้องรจู้ ักกำรลดรำยจำ่ ย มวี ิธีกำรและองคค์ วำมรู้มำกมำยเพยี งเลอื กใช้ใหเ้ หมำะสมกบั ภูมศิ ำสตรแ์ ละสังคมของตวั เอง ขอยกตวั อยำ่ งในพ้ืนทีแ่ ปลงผักทบ่ี ุญล้อมเล่ำว่ำเขำไม่มีเงนิ ซ้ือผ้ำมำคลุม จงึ เลือกปลูกกล้วยใหใ้ บโต พรำงแสง เขำบอกว่ำ ปลกู กล้วยไดท้ ั้งเครอื ได้ทงั้ หนอ่ กำ้ นกล้วยก็ใชเ้ ป็นท่คี ้ำผกั ให้เครือของบวบ ถั่ว และ ตำลึง พันกำ้ นขนึ้ ไป ปกติเกษตรกรนิยมใช้ตำขำ่ ยหรือไมล้ ้อมซ่ึงใช้ได้หนเดียวกต็ ้องทิง้ แตก่ ้ำนกล้วยท่หี มด อำยุขัย เมอื่ วำงลงไปในดนิ รำดด้วยน้ำหมกั เข้มข้น กลบดว้ ยดิน ท้ิงไว้ 2 สปั ดำหแ์ ล้วสับใหก้ ลำยเป็นปยุ๋ ก้ำน เหลำ่ นั้นจะย่อยสลำย ดนิ ก็ไดธ้ ำตุอำหำรเพ่มิ ขึน้ ไมต่ อ้ งย้ำยท่ปี ลูกเพรำะเรำรูจ้ กั ปรุงดินใหด้ ี 4. ลกั ษณะของเครอื ขำ่ ยและกำรสร้ำงเครือขำ่ ย กำรให้ผลผลิตทุกๆอย่ำงในบำ้ นของเรำกบั ทุกๆหน่วยงำนทม่ี ำเยี่ยมชอบและแลกเปล่ียนองค์ควำมรู้
27 5. ผลงำนทเี่ ป็นประโยชนต์ ่อชุมชนและสงั คม นน้ั กค็ อื กำรไปบรรยำยรว่ มเปน็ วิทยำกรใหก้ ับชมุ ชนในตำบลนำกอกและหนว่ ยงำนท่ไี ดร้ บั เชิญให้ ควำมรู้ 6. รำงวัลหรอื เกียรติคณุ ทไ่ี ด้รับ เกษตรกรดีเดน่ ด้ำนกำรเลี้ยงสตั วต์ ำบลนำกอก
28 ตำบลยำงหลอ่ ประวัติและผลงำนครภู ูมิปัญญำท้องถ่นิ จังหวัดหนองบวั ลำภู ด้ำน.....หัตถกรรม สำขำ....เครอ่ื งมอื เคร่ืองใชพ้ ้นื บำ้ น นำยผล ศรอี ำกำศ
29 * หมำยเหตุ ใสร่ ปู ภำพ 2 – 5 รปู ข้นึ ไป
30 ประวตั ิและผลงำนครภู มู ิปัญญำทอ้ งถ่ินจงั หวัดหนองบวั ลำภู ด้ำน.....หัตถกรรม สำขำ....เคร่ืองมอื เครือ่ งใชพ้ น้ื บ้ำน 1. ประวัตแิ ละผลงำน เป็นปรำฃญ์ชำวบำ้ นป่ำคำ 130 ม.2 ต.ยำงหลอ่ อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู เป็นตวั แทนเข้ำ แข่งขนั งำนของดศี รบี ุญเรอื ง 2. องคค์ วำมรู้และควำมเชีย่ วชำญ ไดถ้ ่ำยทอดองคค์ วำมร้ไู ดท้ ำกำรฝึกใหก้ ับคนในชุมชนเพือ่ มีอำชพี เสรมิ เพ่ิมรำยได้ในครัวเรอื น และยงั สำมำรถทำเป็นอำชพี หลักได้รับจ้ำงสำนแหและสง่ ไปยังลูกค้ำโดยตรง 3. กำรถ่ำยทอดควำมรแู้ ละควำมเช่ยี วชำญ การจักรสานกระบงุ้ ลักษณะของเครือ่ งมือ : กระบงุ เปน็ ภาชนะทจ่ี กั สานดว้ ยไม้ไผเปน็ ลวดลายตางๆ ใช้สาหรบั ใส ข้าว ข้าวโพด ถ่วั งา ใชต้ วงหรือโกย และใสของอื่นๆ ปากมลี ักษณะเป็นรูปทรงกลมกว้างประมาณ 30-40 เซนติเมตร ก้นมรี ปู ทรงส่เี หลยี่ ม และมีหูห้อยตรงปากกระบุง 2 ข้างเอาไวส้ าหรบั รอ้ ยเชือกเพอ่ื ใช้หาบ หรือหว้ิ ขนาดของกระบงุ โดยท่ัวไปแลว้ จะมีอยู สามขนาด รูปทรงจะแตกตางกันออกไปตามลกั ษณะของการใชง้ าน กระบงุ ขนาดใหญมหี รู อ้ ยเชอื กเพ่อื ใช้หาบ ขนาดกลางใช้ในการตวงหรอื โกย และกระบงุ ขนาดเล็กจะใชส้ าหรับ งานเบ็ดเตลด็ ทั่วๆ ไป การใช้ประโยชน์:หลงั การเกบ็ เก่ยี ว และเกบ็ รกั ษา อธิบายการใช้ประโยชน์: กระบุง เปน็ เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้สาหรับตักตวงหรอื โกย ขา้ ว เมลด็ พืช และ ใสสิง่ ของอ่นื ๆ ทั้งนี้การใช้ขึ้นอยกู บั ขนาดของกระบุงดว้ ย ซึ่งหากเป็นกระบงุ ขนาดใหญจะใช้สาหรับในการหาบ ข้าว หรือเมล็ดพืชตางๆ ถา้ เปน็ ขนาดกลางจะใช้สาหรับในการตวง หรือโกยขา้ ว แตถ้าหากเปน็ กระบงุ ขนาด เล็กจะนิยมมาใสของเบ็ดเตลด็ กระบุงสามารถใช้งานไดป้ ระมาณ 2-4 ปี และนยิ มทากันในท้องถ่ิน 4. ลักษณะของเครอื ข่ำยและกำรสรำ้ งเครอื ข่ำย กำรได้แลกเปล่ยี นเรียนรูข้ องคนในครับครัว ชุมชน สังคมจงึ เกิดแนวคิดสำนแหขำยแบบเป็นจรงิ ผำ่ นทำงโลกออนไลน์ 5. ผลงำนทีเ่ ป็นประโยชนต์ อ่ ชมุ ชนและสังคม นน้ั กค็ ือกำรไปบรรยำยรว่ มเปน็ วทิ ยำกรให้กบั ชุมชนในตำบลยำงหล่อและหนว่ ยงำนท่ไี ดร้ บั เชญิ ให้ควำมรู้ 6. รำงวลั หรือเกยี รติคณุ ทไี่ ด้รบั ประธำนกลุ่มดีเดน่ ระดบั จังหวดั ระดับภำค ระดับประเทศ
31 ตำบลศรบี ุญเรอื ง ประวตั แิ ละผลงำนครูภูมปิ ญั ญำท้องถ่นิ จงั หวัดหนองบวั ลำภู ดำ้ น หตั ถกรรม สำขำ กำรจกั สำน นำงวริ ะวรรณ โกศล
32
33 นำงวิระวรรณ โกศล ประวัติประวัติและผลงำนครภู ูมิปญั ญำท้องถน่ิ จังหวดั หนองบวั ลำภู ด้ำน หตั ถกรรม สำขำ กำรจกั สำน 1. ประวัตแิ ละผลงำน วิทยำกรกล่มุ กำรจกั สำนกระติบข้ำว 2. องคค์ วำมรู้และควำมเชี่ยวชำญ กระตบิ ขำ้ ว (หรอื ก่องขำ้ วเหนยี ว) เปน็ ของใชป้ ระจ้ำบำ้ นที่ใช้บรรจขุ ้ำวเหนยี ว ทุกครัวเรือน ทุกพืน้ ทที่ ร่ี ับประทำนข้ำวเหนียว โดยเฉพำะในภำคอีสำนของไทย ซึ่งชำวอีสำนนิยมบรโิ ภคขำ้ วเหนียว จำกวถิ ี ชีวติ ควำมเปน็ อยู่ ของประชำชนทำงภำคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ทม่ี คี ่ำนิยมในกำร รับประทำนข้ำวเหนยี วเปน็ อำหำรหลกั ท้ำใหม้ นี กั คดิ คน้ และประดษิ ฐเ์ คร่อื งมอื เครื่องใช้ในชวี ิตประจ้ำวนั ขนึ้ ด้วยกำรน้ำเอำวัสดุทีม่ อี ยู่ตำม ธรรมชำติ ท่หี ำงำ่ ยและใช้ภูมปิ ัญญำ ที่แฝงด้วยศิลปะแขนงหนึ่ง เชน่ ศลิ ปะ เช่น กำรจกั สำน กำรถักทอ 3. กำรถ่ำยทอดควำมรู้และควำมเช่ียวชำญ 1. บรรยำยใหค้ วำมรู้ 2. สำธติ 3. ลงมอื ปฏิบัติ 4. ลกั ษณะของเครือขำ่ ยและกำรสร้ำงเครือขำ่ ย 1. จดั อบรม สมั มนำเพอื่ ให้เกิดควำมรู้ควำมเข้ำใจและใหค้ วำมรว่ มมอื ของประชำชน 2. มีกำรส่งขำ่ วสำร ใหค้ วำมรู้แก่ผู้สนใจ แลกเปลี่ยนเรียนรูก้ นั ในชุมชน 3. เข้ำรว่ มโครงกำรตำ่ ง ๆ ของภำครัฐด้วยควำมเต็มใจและเสียสละ 5. ผลงำนท่ีเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสงั คม 1. ทำให้เกิดอัตรำกำรวำ่ งงำน และเปน็ อำชพี ท่ีสุจรติ และเพม่ิ รำยได้ใหแ้ กค่ รอบครัว 6. รำงวลั หรือเกียรติคุณท่ไี ด้รับ 1. ผลิตภัณฑ์ท่ไี ด้จำกกำรจักรสำรแจกจ่ำยแก่สมำชิกในชมุ ชน 2. สร้ำงองค์ควำมร้แู ลกเปล่ียนแนวควำมคิดด้ำนกำรจักรสำนใหแ้ กช่ มุ ชน
34 ตำบลหนองแก ประวัตแิ ละผลงำนครภู มู ิปญั ญำทอ้ งถิน่ จังหวัดหนองบวั ลำภู ด้ำน ภมู ปิ ัญญำด้ำนหมอลำพ้ืนบ้ำน นำยคำไส เข่อื นสูงเนนิ
35
36 นำยคำไส เขอื่ นสงู เนนิ ประวตั ิประวตั ิและผลงำนครภู ูมปิ ญั ญำท้องถนิ่ จังหวดั หนองบวั ลำภู ดำ้ น หมอลำพื้นบำ้ นอีสำน 1. ประวตั แิ ละผลงำน เป็นแหลง่ เรียนรทู้ ่ีมกี ำรสืบสำน ประเพณวี ัฒนธรรมด้ำน ศิลปะพน้ื บ้ำนอสี ำน ดำ้ นร้องเพลง เปน็ นกั ร้องประจำตำบลหนองแก ผ่ำนเวทปี ระกวด และได้รบั รำงวัลหลำยรำงวัล 2. องคค์ วำมรู้และควำมเชยี่ วชำญ นำยคำไส เขอ่ื นสงู เนนิ เป็นปรำชญ์ชำวบำ้ นในเรอื่ งกำรร้องหมอลำพ้ืนบ้ำน มีนำเสยี งท่ี ไพเรำะในกำรอ้ งหมอลำพื้นบำ้ นอสี ำน และถำ่ ยทอดควำมรใู้ ห้กับผทู้ ี่สนใจในหมบู่ ำ้ น สำมำรถทีน่ ำควำมรทู้ ่ี ไดร้ บั ไปใช้เพอ่ื ควำมบันเทิงในชุมชน ตลอดจนรกั ษำขนบธรรมเนยี มประเพณขี องชำวอสี ำน และนำยคำไส เขือ่ นสงู เนนิ ยังเคยไดร้ บั รำงวัลรองชนะเลศิ ในกำรประกวดร้องเพลงลูกทงุ่ หมอลำ ในงำนมหกรรมวชิ ำกำร กศน.จังหวัดหนองบัวลำภู ในปี 2558 นบั เป็นปรำชญช์ ำวบำ้ นในกำรดำ้ นกำรแสดงดนตรีศิลปวัฒธรรมของ ชำวอีสำนไดเ้ ปน็ อย่ำงดี 3. กำรถำ่ ยทอดควำมรแู้ ละควำมเชยี่ วชำญ ถำ่ ยทอดควำมรู้โดยนำยคำไส เข่ือนสงู เนิน ได้มีโครงกำรสอนลกู หลำนในหมบู่ ำ้ นในกำร ถ่ำยทอดศลิ ปะดำ้ นกำรร้องเพลงหมอลำใหก้ บั ลูกหลำนในหม่บู ำ้ น 4. ลักษณะของเครอื ข่ำยและกำรสรำ้ งเครอื ข่ำย แนะนำประชำสัมพันธ์ใหห้ น่วยงำนหรือบุคคลที่สนใจกำรรอ้ งเพลงหมอลำพน้ื บำ้ น เข้ำมำ เรียนรโู้ ดยกำรปฏิบตั ิจริง โดยกำรสนบั สนุนจำกสำนกั งำนเทศบำลตำบลหนองแก ศน.ตำบลหนองแก พัฒนำ ชมุ ชนอำเภอศรบี ุญเรือง 5. ผลงำนทีเ่ ป็นประโยชนต์ ่อชุมชนและสงั คม เปน็ สถำนทถี่ ่ำยทอดศิลปะพ้นื บำ้ น บ้ำนโนนประดู่ หมู่ที่ 5 ตำบลหนองแก อำเภอศรีบุญเรอื ง จังหวัดหนองบวั ลำภู เปน็ กำรสบื สำนวัฒนธรรมไทยมำแต่โบรำณ 6. รำงวลั หรอื เกียรติคณุ ท่ไี ด้รับ รำงวัลรองชนะเลศิ อันดบั สองกำรประกวดร้องเพลงลูกท่งุ จำกสำนกั งำน กศน.จงั หวดั หนองบวั ลำภู
37 ตำบลหนองบัวใต้ ประวัตแิ ละผลงำนภมู ปิ ญั ญำทอ้ งถิ่น ตำบลหนองบวั ใต้ อำเภอศรบี ญุ เรอื ง จงั หวดั หนองบวั ลำภู ดำ้ นกำรเกษตร สำขำเกษตรกรรม นำยอนภุ ำพ มนฑำ
38
39 ชอื่ -สกุล นำยอนภุ ำพ มนฑำ ประวัติและผลงำนภูมปิ ัญญำท้องถิ่น ตำบลหนองบัวใต้ อำเภอศรีบุญเรือง จังหวดั หนองบวั ลำภู ด้ำนกำรเกษตร สำขำเกษตรกรรม 1. ประวตั ิและผลงำน ทีอ่ ยู่ 58 หมทู่ ี่ 1 บ้ำนหนองบวั ใต้ ตำบลหนองบวั ใต้ อำเภอศรบี ญุ เรือง จงั หวัดหนองบัวลำภู เบอร์โทรศัพท์ 0892673462 ได้ศึกษำหำควำมรู้จำกกำรศกึ ษำดูงำน และประสบกำรณ์ในกำรทำกำรเกษตร นำมำปรบั ใชท้ ำ ใหป้ ระสบผลสำเรจ็ พร้อมท้ังถ่ำยทอดควำมรู้ให้คนรุน่ หลังทสี่ นใจเข้ำมำเรียนรกู้ ำรเกษตรผสมผสำน 2. องคค์ วำมรูแ้ ละควำมเช่ยี วชำญ เป็นระบบกำรเกษตรทมี่ กี จิ กรรมกำรผลติ หลำย ๆ กิจกรรมเพือ่ ตอบสนองต่อกำรบริโภคหรือลด ควำมเส่ียงจำกรำคำ ผลิตผลท่มี คี วำมไม่แน่นอนเทำ่ น้ัน โดยมไิ ด้มกี ำรจดั กำรให้กจิ กรรมกำรผลิตเหลำ่ นั้นมีกำร ผสมผสำนเก้อื กลู กนั เพือ่ ลดตน้ ทุนกำรผลิต 3. กำรถ่ำยทอดควำมรู้และควำมเชีย่ วชำญ มีกำรถ่ำยทอดควำมรู้ด้ำนกำรเกษตรผสมผสำนให้แก่ประชำชนในหมู่บ้ำน และเป็นวิทยำกร ใหก้ บั หนว่ ยงำนตำ่ งๆ 4. ลักษณะของเครือขำ่ ยและกำรสรำ้ งเครอื ขำ่ ย เครือข่ำยที่ใหก้ ำรสง่ เสรมิ และสนับสนนุ คือหนว่ ยงำนรำชกำรต่ำงๆ อบต. เปน็ ตน้ 5. ผลงำนทีเ่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ ชุมชนและสงั คม เป็นแหล่งเรียนร้ใู ห้กับประชำชนได้เข้ำมำศกึ ษำเรียนร้เู กยี่ วกับกำรเกษตรผสมผสำน 6. รำงวลั หรอื เกียรติคุณที่ได้รับ ใบประกำศเกียรตคิ ุณจำกส่วนรำชกำรต่ำงๆ
40 ตำบลหันนำงำม ประวัตแิ ละผลงำนครภู มู ิปญั ญำท้องถ่ินจงั หวัดหนองบวั ลำภู ดำ้ น...ปรชั ญำ ศำสนำ และประเพณี สำขำ กำรร้อยมำลัย . นำงสุดำรตั น์ พลสุภี
41 * หมำยเหตุ ใสร่ ปู ภำพ 2 – 5 รปู ข้นึ ไป
42 ประวัตปิ ระวัติและผลงำนครูภมู ปิ ญั ญำท้องถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู 1.ประวตั แิ ละผลงำน นำงสดุ ำรัตน์ พลสภุ ี บำ้ นเลขท่ี 37 หมูท่ ี่ 6 บำ้ นโนนข่ำ ตำบลหันนำงำม อำเภอศรีญเรือง จังหวัดหนองบวั ลำภู 39180 2. องค์ควำมรู้และควำมเช่ยี วชำญ บรรพบุรุษของไทยเรำมีช่ือเสียงในงำนด้ำนศิลปะกำรประดิษฐอ์ ย่ำงมำกมำย โดยเฉพำะ กำรประดิษฐ์ ตกแตง่ พวงดอกไม้ ใบไม้ ผลไม้ และวัสดอุ ื่น ๆ เป็นที่ขน้ึ ชอื่ มำนำนแตโ่ บรำณกำลแลว้ แตไ่ มป่ รำกฏแนช่ ัดวำ่ ได้ มกี ำรเรมิ่ ต้นมำแต่ในสมยั ใดแน่ คงเนือ่ งมำแตไ่ มม่ กี ำรจดบันทกึ เปน็ ลำยลักษณอ์ ักษรไวน้ น่ั เอง จงึ ไมม่ ีหลกั ฐำน ใดๆ ให้อนชุ นรุน่ หลังไดส้ ืบคน้ และสืบทอดต่อไป 3. กำรถำ่ ยทอดควำมรู้และควำมเชีย่ วชำญ ท่ีมำของชดุ ควำมคิดนม้ี ำจำกกำรปฏิบตั ิจรงิ ในบ้ำนของเขำ ซง่ึ บริบทของพ้ืนทภ่ี ำค ตะวันออกเฉียงเหนอื มวี ัฒธรรม ควำมเชือ่ ทง่ี ดงำม จึงทำให้จำเป็นต้องเรียนรู้เพือ่ สืบสำนและถำ่ ยทอดกำร รอ้ ยมำลยั โดยกำรสอนเยำวชนเปน็ กำรส่วนตวั ในเวลำว่ำง และกำรพำไปเรยี นรู้ประสบกำรณ์จริงในงำนตำ่ ง ๆ 4. ลักษณะของเครือขำ่ ยและกำรสร้ำงเครือข่ำย กิจกรรมในชุมชนทกุ กิจกรรม เขำ้ ร่วมกจิ กรรมชมุ ชน แนะนำตวั เองถึงควำมสำมำรถเฉพำะทำงของ ตัวเอง ให้สงั คมรู้จัก แลว้ จะเกดิ กำรแนะนำปำกต่อปำก 5. ผลงำนทีเ่ ป็นประโยชนต์ อ่ ชมุ ชนและสังคม เปน็ วิทยำกรงำนมงคลต่ำงๆ ในตำบลหนั นำงำม 6. รำงวัลหรือเกยี รติคณุ ทีไ่ ด้รับ
43 ตำบลหนองกงุ แกว้ ประวตั ิและผลงำนครูภูมปิ ญั ญำทอ้ งถิน่ จงั หวดั หนองบวั ลำภู ดำ้ น........กำรตดั เยบ็ เสอ้ื ผ้ำ........ สำขำ....อตุ สำหกรรมและหัตถกรรม.... นำงธำรำทพิ ย์ พิมพำเรอื
44
45 นำงธำรำทิพย์ พมิ พำเรอื ประวตั ิประวัตแิ ละผลงำนครูภมู ิปัญญำท้องถนิ่ จังหวัดหนองบัวลำภู ด้ำน......กำรตัดเยบ็ เสื้อผ้ำ.... สำขำ.......อุตสำหกรรมและหตั ถกรรม..... 1. ประวัติและผลงำน นำงธำรำทพิ ย์ พิมพำเรอื อย่บู ำ้ นเลขที่ 151 หมูท่ ี่ 5 บำ้ นผำสุก ตำบลหนองกุงแก้ว อำเภอศรี บุญเรือง จังหวัดหนองบวั ลำภู ซ่ึงเป็นหมู่บำ้ นทอ่ี ย่หู ่ำงไกลจำกตัวอำเภอศรีบุญเรืองมำกที่สุด ท่ำนเป็นครูภูมิ ปญั ญำทอ้ งถิ่นทม่ี ีควำมสำมำรถหลำกหลำยด้ำน โดยเฉพำะด้ำนกำรตัดเย็บเส้ือผ้ำชนิดต่ำงๆ ไม่ว่ำจะเป็นกำร ตัดเยบ็ ดว้ ยมอื หรอื จกั ร ท่ำนจะมีควำมชำนำญ กำรออกแบบเสื้อผ้ำชนิดต่ำงๆ เป็นท่ียอมรับของชุมชน ได้รับ เชญิ ใหเ้ ปน็ วทิ ยำกรจำกหน่วยงำนและชุมชนต่ำงๆมำกมำย 2. องค์ควำมรู้และควำมเชย่ี วชำญ ท่ำนเป็นครูภูมิปัญญำท้องถ่ินท่ีมีควำมสำมำรถหลำกหลำยด้ำน โดยเฉพำะด้ำนกำรตัดเย็บ เส้ือผ้ำชนิดต่ำงๆ ไม่ว่ำจะเป็นกำรตัดเย็บด้วยมือหรือจักร ท่ำนจะมีควำมชำนำญ กำรออกแบบเสื้อผ้ำชนิด ต่ำงๆ เป็นที่ยอมรบั ของชมุ ชน ไดร้ บั เชิญใหเ้ ปน็ วทิ ยำกรจำกหนว่ ยงำนและชมุ ชนตำ่ งๆมำกมำย 3. กำรถำ่ ยทอดควำมรแู้ ละควำมเชีย่ วชำญ นำงธำรำทิพย์ พิมพำเรือ เป็นผู้มีประสบกำรณ์ในด้ำนกำรตัดเย็บเส้ือผ้ำอย่ำงยำวนำน และมี ควำมเป็นวิทยำกำรที่มีควำมเชี่ยวชำญ สำมำรถถ่ำยทอดควำมรู้ให้กับผู้เรียนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ ท่ำน ประกอบอำชพี รบั จ้ำงตัดเยบ็ เสือ้ ผำ้ และได้รับเชิญเปน็ วทิ ยำกรหลำยจงั หวัด 4. ลักษณะของเครือขำ่ ยและกำรสรำ้ งเครือขำ่ ย นำงธำรำทพิ ย์ พิมพำเรือ เป็นผมู้ ปี ระสบกำรณ์ในดำ้ นกำรตดั เยบ็ เสอ้ื ผ้ำอย่ำงยำวนำน มีควำมรู้ ควำมสำมำรถในด้ำนกำรตัดเย็บเส้ือผ้ำ เป็นท่ีรู้จักของบุคคล หน่วยงำน ทำให้ท่ำนได้รับเชิญเป็นวิทยำกร ถ่ำยทอดองค์ควำมร้ใู นหลำยจงั หวดั ทำให้ไดร้ ู้จกั กับเครอื ขำ่ ยตำ่ งๆมำกมำย 5. ผลงำนท่เี ป็นประโยชนต์ ่อชุมชนและสังคม นำงธำรำทิพย์ พมิ พำเรือ ถือได้ว่ำเป็นบุคคลท่ีมีควำมสำคัญต่อชุมชน ได้เป็นวิทยำกรมำอย่ำง ยำวนำน มีลูกศิษย์ที่ได้รับกำรถ่ำยทอดควำมรู้ไปประกอบอำชีพ และประสบผลสำเร็จมำกมำย ถือเป็น ประโยชน์ต่อชุมชนและสงั คมเปน็ อันมำก 6. รำงวัลหรอื เกยี รติคุณทไ่ี ด้รับ ท่ำนได้รับรำงวลั ต่ำงๆมำกมำย ทั้งเปน็ บุคคลตวั อยำ่ งของชุมชน ไดร้ บั รำงวัลจำกหนว่ ยงำน รำชกำรตำ่ งๆ เชน่ พฒั นำชุมชน อบต. เทศบำล เป็นตน้
คณะผจู้ ดั ทำ นำยประมวล ไชยศรี ผอ.กศน.ศรีบญุ เรือง น.ส.สุรรี ตั น์ ชัยวี บรรณำรักษ์ปฎิบัติกำร น.ส.ปรทิ ัศน์ กองคำ ครอู ำสำสมคั รฯ ครู กศน.ตำบล ครู ศรช. ครผู สู้ อนคนพกิ ำร
Search
Read the Text Version
- 1 - 49
Pages: