ฐานท่ี 6 ฐานรกั การอ่าน ใบความรู้ท่ี 2 เรื่อง หลักการทรงงาน
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
ใบความรู้ท่ี 2 เรื่อง หลกั การทรงงาน 23 ขอ้ ของ รัชกาลท่ี 9 พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว ทรงทุม่ เทพระวรกาย ตรากตราและมุ่งมั่นเพือ่ แก้ไขปญั หาความ เดือดร้อนใหแ้ กพ่ สกนกิ รไมว่ า่ จะเชือ้ ชาตใิ ด ก็มิทรงย่อทอ้ เข้าไปชว่ ยเหลอื ราษฎรทั้งด้านสาธารณะสุข การศึกษา สาธารณสุข การศึกษา สาธารณปู โภคขนั้ พืน้ ฐาน การเกษตร การฟ้ืนฟู ทรัพยากรธรรมชาติ และ สิ่งแวดลอ้ มทั้งดิน นา้ ป่าไม้ และ พลงั งาน หรอื แม้กระท่งั การจราจร ทรงคิดคน้ หาแนวทางแกไ้ ข ปญั หาไดอ้ ย่างแยบยล การทรงงานในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัว ทรงยดึ การดาเนนิ งานในลกั ษณะทางสายกลางท่ี สอดคล้องกบั สิง่ ทีอ่ ยู่รอบตัว และสามารถปฏิบตั ิไดจ้ รงิ ทรงมคี วามละเอยี ดรอบคอบและทรงคิดค้นหาแนวทาง พฒั นาเพือ่ มงุ สปู่ ระโยชน์ตอ่ ประชาชนสงู สดุ มีคณุ ค่าและควรยดึ เปน็ แบบอยา่ งในการเจรญิ รอยตามเบือ้ งพระ ยคุ ลบาท นามาปฏิบตั เิ พือ่ ให้เกิดผลตอ่ ตนเอง สงั คม และ ประเทศชาตติ ลอดไป รายละเอยี ดหลกั การทรงงาน มดี งั ต่อไปน้ี 1. จะทาอะไรต้องศกึ ษาขอ้ มลู ใหเ้ ปน็ ระบบ ทรงศึกษาข้อมลู รายละเอยี ดอยา่ งเปน็ ระบบจากข้อมลู เบื้องต้น ทั้งเอกสาร แผนท่ี สอบถามจาก เจา้ หน้าที่ นกั วชิ าการ และราษฎรในพน้ื ทใ่ี หไ้ ดร้ ายละเอยี ดที่ถูกต้อง เพอ่ื นาข้อมูลเหล่านนั้ ไปใช้ประโยชน์ได้ จริงอย่างถกู ต้อง รวดเรว็ และตรงตามเป้าหมาย 2. ระเบดิ จากภายใน จะทาการใดๆ ต้องเรม่ิ จากคนที่เก่ียวขอ้ งเสียกอ่ น ต้องสร้างความเขม้ แข็งจากภายในใหเ้ กิดความ เข้าใจและอยากทา ไมใ่ ชก่ ารสง่ั ให้ทา คนไม่เขา้ ใจก็อาจจะไม่ทาก็เปน็ ได้ ในการทางานนนั้ อาจจะต้องคยุ หรอื ประชุมกบั ลูกน้อง เพอื่ นรว่ มงาน หรือคนในทมี เสียกอ่ น เพอ่ื ให้ทราบถึงเปา้ หมายและวิธีการต่อไป 3. แกป้ ญั หาจากจุดเลก็ ควรมองปัญหาภาพรวมก่อนเสมอ แต่เมอื่ จะลงมอื แกป้ ัญหานน้ั ควรมองในสิง่ ที่คนมักจะมองขา้ ม แล้วเริม่ แกป้ ัญหาจากจุดเล็กๆ เสียกอ่ น เมื่อสาเร็จแล้วจงึ คอ่ ยๆ ขยบั ขยายแก้ไปเรื่อยๆ ทลี ะจดุ เราสามารถ เอามาประยุกต์ใชก้ บั การทางานได้ โดยมองไปทเ่ี ป้าหมายใหญข่ องงานแตล่ ะช้นิ แล้วเริ่มลงมอื ทาจากจดุ เล็กๆ ก่อน ค่อยๆ ทา ค่อยๆ แกไ้ ปทีละจดุ งานแตล่ ะช้ินก็จะลลุ วงไปได้ตามเปา้ หมายท่วี างไว้ “ถ้าปวดหัวคดิ อะไร ไมอ่ อก ก็ตอ้ งแก้ไขการปวดหัวน้กี อ่ น มันไมไ่ ด้แกอ้ าการจรงิ แต่ต้องแก้ปญั หาทท่ี าใหเ้ ราปวดหวั ใหไ้ ดเ้ สียกอ่ น เพื่อจะให้อยูใ่ นสภาพท่ีดไี ด้…”
4. ทาตามลาดบั ข้นั เริม่ ต้นจากการลงมอื ทาในสง่ิ ที่จาเปน็ กอ่ น เมอื่ สาเร็จแล้วก็เริม่ ลงมอื สงิ่ ท่จี าเป็นลาดับตอ่ ไป ด้วย ความรอบคอบและระมดั ระวงั ถ้าทาตามหลักน้ไี ด้ งานทกุ ส่ิงก็จะสาเรจ็ ได้โดยง่าย… ในหลวงรชั กาลท่ี 9 ทรง เร่ิมต้นจากสง่ิ ทีจ่ าเปน็ ท่สี ุดของประชาชนเสียก่อน ได้แก่ สุขภาพสาธารณสขุ จากน้นั จงึ เป็นเรอ่ื งสาธารณปู โภค ขั้นพนื้ ฐาน และสิ่งจาเปน็ ในการประกอบอาชพี อาทิ ถนน แหล่งนา้ เพอื่ การเกษตร การอปุ โภคบริโภค เน้น การปรบั ใชภ้ มู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่ินทรี่ าษฎรสามารถนาไปปฏิบัติได้ และเกดิ ประโยชนส์ งู สดุ “การพฒั นาประเทศ จาเปน็ ตอ้ งทาตามลาดับข้นั ตอ้ งสรา้ งพนื้ ฐาน คือความพอมี พอกนิ พอใช้ของประชาชนส่วนใหญเ่ ปน็ เบอื้ งต้น ก่อน ใช้วิธกี ารและอุปกรณท์ ีป่ ระหยัด แตถ่ ูกตอ้ งตามหลกั วิชา เมอ่ื ได้พน้ื ฐานทีม่ ั่นคงพร้อมพอสมควร สามารถ ปฏบิ ัตไิ ดแ้ ลว้ จงึ ค่อยสร้างเสรมิ ความเจรญิ และฐานะเศรษฐกิจขัน้ ทส่ี ูงข้นึ โดยลาดับต่อไป…” พระบรมราโชวาท ของในหลวงรชั กาลที่ 9 เมอื่ วนั ที่ 18 กรกฎาคม 2517 5. ภมู สิ ังคม ภูมศิ าสตร์ สงั คมศาสตร์ การพฒั นาใดๆ ตอ้ งคานงึ ถึงสภาพภมู ิประเทศของบรเิ วณน้นั วา่ เปน็ อยา่ งไร และสังคมวทิ ยาเกย่ี วกับ ลักษณะนิสัยใจคอคน ตลอดจนวฒั นธรรมประเพณีในแตล่ ะท้องถน่ิ ท่ีมคี วามแตกตา่ งกนั “การพัฒนาจะตอ้ ง เป็นไปตามภมู ปิ ระเทศทางภมู ศิ าสตร์และภมู ปิ ระเทศทางสงั คมศาสตร์ ในสังคมวิทยา คือนิสัยใจคอของคนเรา จะไปบังคบั ใหค้ นอน่ื คิดอยา่ งอื่นไม่ได้ เราต้องแนะนา เข้าไปดูวา่ เขาต้องการอะไรจรงิ ๆ แล้วกอ็ ธิบายใหเ้ ขา เขา้ ใจหลกั การของการพัฒนานก้ี ็จะเกดิ ประโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ ” 6. ทางานแบบองค์รวม ใชว้ ิธคี ดิ เพ่อื การทางาน โดยวิธีคดิ อยา่ งองคร์ วม คือการมองสิง่ ต่างๆ ท่เี กดิ อยา่ งเป็นระบบครบวงจร ทกุ สง่ิ ทุกอย่างมีมติ เิ ชอ่ื มต่อกนั มองสง่ิ ทีเ่ กิดข้นึ และแนวทางแกไ้ ขอย่างเชอื่ มโยง 7. ไมต่ ดิ ตารา เมอ่ื เราจะทาการใดน้ัน ควรทางานอยา่ งยืดหยุ่นกบั สภาพและสถานการณ์น้นั ๆ ไม่ใชก่ ารยึดติดอยกู่ ับ แค่ในตาราวิชาการ เพราะบางที่ความรู้ท่วมหวั เอาตวั ไมร่ อด บางครง้ั เรายดึ ตดิ ทฤษฎีมากจนเกนิ ไปจนทาอะไร ไมไ่ ด้เลย สงิ่ ทเ่ี ราทาบางคร้งั ต้องโอบอ้อมต่อสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดลอ้ ม สังคม และจิตวทิ ยาดว้ ย
8. ร้จู ักประหยดั เรยี บงา่ ย ไดป้ ระโยชนส์ ูงสดุ ในการพฒั นาและช่วยเหลือราษฎร ในหลวงรชั กาลท่ี 9 ทรงใช้หลกั ในการแกป้ ญั หาดว้ ยความเรียบ งา่ ยและประหยดั ราษฎรสามารถทาได้เอง หาได้ในท้องถน่ิ และประยกุ ต์ใชส้ ง่ิ ทีม่ อี ยใู่ นภมู ิภาคนนั้ มาแกไ้ ข ปรบั ปรุง โดยไม่ต้องลงทุนสูงหรือใชเ้ ทคโนโลยีท่ยี ุ่งยากมากนกั ดังพระราชดารสั ตอนหน่งึ วา่ “…ให้ปลกู ป่าโดย ไม่ต้องปลกู โดยปลอ่ ยให้ขึ้นเองตามธรรมชาติจะไดป้ ระหยดั งบประมาณ…” 9. ทาให้ง่าย ทรงคิดคน้ ดดั แปลง ปรบั ปรงุ และแก้ไขงาน การพฒั นาประเทศตามแนวพระราชดาริไปได้โดยง่าย ไม่ ยุ่งยากซบั ซ้อนและทสี่ าคญั อย่างยิง่ คือ สอดคล้องกบั สภาพความเปน็ อยขู่ องประชาชนและระบบนเิ วศ โดยรวม “ทาใหง้ ่าย” 10. การมีส่วนร่วม ทรงเป็นนักประชาธปิ ไตย ทรงเปิดโอกาสให้สาธารณชน ประชาชนหรอื เจ้าหน้าท่ที กุ ระดบั ได้มาร่วม แสดงความคิดเห็น “สาคญั ที่สดุ จะต้องหัดทาใจให้กวา้ งขวาง หนักแนน่ ร้จู กั รับฟงั ความคิดเห็น แมก้ ระทง่ั ความวพิ ากษ์วจิ ารณจ์ ากผอู้ ่นื อยา่ งฉลาดนนั้ แท้จริงคอื การระดมสติปญั ญาละประสบการณอ์ ันหลากหลายมา อานวยการปฏบิ ตั ิบรหิ ารงานใหป้ ระสบผลสาเรจ็ ท่ีสมบรู ณ์น่ันเอง” 11. ต้องยดึ ประโยชน์สว่ นรวม ในหลวงรัชกาลท่ี 9 ทรงระลกึ ถึงประโยชน์ของสว่ นรวมเปน็ สาคญั ดังพระราชดารสั ตอนหน่งึ วา่ “… ใครตอ่ ใครบอกว่า ขอใหเ้ สียสละส่วนตวั เพ่อื สว่ นรวม อันน้ีฟงั จนเบื่อ อาจราคาญด้วยซ้าวา่ ใครตอ่ ใครมาก็บอก ว่าขอใหค้ ิดถงึ ประโยชน์ส่วนรวม อาจมานกึ ในใจวา่ ใหๆ้ อยู่เรือ่ ยแลว้ สว่ นตัวจะได้อะไร ขอให้คิดวา่ คนทใ่ี ห้เป็น เพือ่ ส่วนรวมนนั้ มไิ ดใ้ หส้ ว่ นรวมแต่อยา่ งเดยี ว เป็นการให้เพื่อตวั เองสามารถที่จะมสี ่วนรวมทีจ่ ะอาศยั ได้…” 12. บรกิ ารทีจ่ ุดเดียว ทรงมีพระราชดารมิ ากว่า 20 ปแี ลว้ ให้บรหิ ารศูนย์ศกึ ษาการพฒั นาหลายแหง่ ทัว่ ประเทศโดยใช้ หลกั การ “การบริการรวมทจี่ ุดเดียว : One Stop Service” โดยทรงเน้นเร่ืองรูร้ กั สามคั คแี ละการรว่ มมือร่วม แรงรว่ มใจกนั ดว้ ยการปรับลดช่องวา่ งระหว่างหน่วยงานทีเ่ กย่ี วขอ้ ง
13. ใช้ธรรมชาตชิ ่วยธรรมชาติ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว รัชกาลท่ี 9 ทรงเข้าใจถงึ ธรรมชาติและต้องการใหป้ ระชาชนใกลช้ ิดกับ ทรพั ยากรธรรมชาติ ทรงมองปัญหาธรรมชาตอิ ย่างละเอียด โดยหากเราตอ้ งการแกไ้ ขธรรมชาติจะต้องใช้ ธรรมชาตเิ ข้าช่วยเหลอื เราด้วย 14. ใชอ้ ธรรมปราบอธรรม ทรงนาความจรงิ ในเรื่องธรรมชาตแิ ละกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเปน็ หลักการแนวทางปฏบิ ตั ใิ นการ แกไ้ ขปญั หาและปรบั ปรุงสภาวะที่ไมป่ กตเิ ขา้ สู่ระบบทป่ี กติ เชน่ การบาบดั นา้ เน่าเสยี โดยให้ผักตบชวา ซึ่งมี ตามธรรมชาตใิ ห้ดดู ซมึ ส่ิงสกปรกปนเปื้อนในน้า 15. ปลูกปา่ ในใจคน การจะทาการใดสาเรจ็ ต้องปลกู จติ สานึกของคนเสียก่อน ต้องใหเ้ หน็ คุณค่า เห็นประโยชนก์ บั สิง่ ทจี่ ะ ทา…. “เจา้ หนา้ ทป่ี ่าไมค้ วรจะปลูกตน้ ไมล้ งในใจคนเสียกอ่ น แลว้ คนเหล่านน้ั ก็จะพากันปลกู ตน้ ไม้ลงบน แผ่นดินและจะรักษาต้นไมด้ ว้ ยตนเอง” 16. ขาดทุนคอื กาไร หลกั การในพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั รัชกาลท่ี 9 ทม่ี ีต่อพสกนิกรไทย “การให้” และ “การ เสียสละ” เป็นการกระทาอนั มผี ลเป็นกาไร คอื ความอยู่ดีมีสขุ ของราษฎร 17. การพึ่งพาตนเอง การพฒั นาตามแนวพระราชดาริ เพ่ือการแก้ไขปัญหาในเบ้อื งต้นดว้ ยการแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ เพ่ือใหม้ ีความแขง็ แรงพอทจี่ ะดารงชวี ิตไดต้ ่อไป แล้วขัน้ ต่อไปกค็ ือ การพัฒนาให้ประชาชนสามารถอยใู่ นสงั คม ไดต้ ามสภาพแวดลอ้ มและสามารถ พ่ึงตนเองไดใ้ นทส่ี ดุ 18. พออยพู่ อกิน ใหป้ ระชาชนสามารถอย่อู ย่าง “พออยู่พอกิน” ให้ได้เสยี ก่อน แลว้ จงึ คอ่ ยขยับขยายให้มีขีดสมรรถนะ ทกี่ ้าวหน้าตอ่ ไป 19. เศรษฐกิจพอเพยี ง เป็นปรชั ญาท่ใี นหลวงรัชกาลท่ี 9 พระราชทานพระราชดารัสช้แี นะแนวทางการดาเนนิ ชีวติ ให้ดาเนิน ไปบน “ทางสายกลาง” เพ่อื ให้รอดพ้นและสามารถดารงอย่ไู ดอ้ ย่างมนั่ คงและยง่ั ยนื ภายใตก้ ระแสโลกาภิวตั น์ และการเปลย่ี นแปลงต่างๆ ซง่ึ ปรชั ญาน้ีสามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้ท้ังระดับบุคคล องคก์ ร และชุมชน บทความทีเ่ กย่ี วขอ้ ง : เดินตามรอยเทา้ พอ่ ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง
20. ความซื่อสัตย์สจุ ริต จริงใจตอ่ กัน ผทู้ ี่มีความสุจรติ และบรสิ ทุ ธิ์ใจ แม้จะมีความรู้นอ้ ย กย็ อ่ มทาประโยชน์ใหแ้ ก่สว่ นรวมไดม้ ากกว่าผ้ทู ี่มี ความรมู้ าก แต่ไม่มคี วามสุจรติ ไมม่ ีความบรสิ ทุ ธใ์ิ จ 21. ทางานอย่างมีความสุข ทางานต้องมีความสขุ ด้วย ถ้าเราทาอยา่ งไมม่ ีความสขุ เราจะแพ้ แตถ่ ้าเรามีความสุขเราจะชนะ สนุก กบั การทางานเพียงเท่านนั้ ถอื วา่ เราชนะแลว้ หรือจะทางานโดยคานึงถงึ ความสขุ ท่ีเกิดจากการไดท้ าประโยชน์ ใหก้ ับผู้อืน่ กส็ ามารถทาได้ “…ทางานกบั ฉนั ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมคี วามสุขร่วมกนั ในการทา ประโยชน์ให้กับผอู้ ่ืน…” 22. ความเพียร การเร่มิ ตน้ ทางานหรือทาส่ิงใดน้ันอาจจะไมไ่ ด้มีความพรอ้ ม ตอ้ งอาศัยความอดทนและความมงุ่ มนั่ ดงั เช่นพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” กษตั ริยผ์ ้เู พียรพยายามแม้จะไมเ่ ห็นฝงั่ ก็จะวา่ ยนา้ ตอ่ ไป เพราะถา้ ไม่ เพยี รว่ายกจ็ ะตกเป็นอาหารปู ปลาและไมไ่ ด้พบกบั เทวดาทช่ี ่วยเหลอื มิให้จมน้า 23. รู้ รัก สามคั คี รู้ คือ รู้ปญั หาและรูว้ ิธแี กป้ ัญหานั้น รัก คอื เมอ่ื เรารู้ถึงปญั หาและวธิ แี ก้แล้ว เราตอ้ งมีความรกั ทจ่ี ะลงมอื ทา ลงมอื แก้ไขปญั หานัน้ สามัคคี คอื การแก้ไขปัญหาต่างๆ ไมส่ ามารถลงมือทาคนเดียวได้ ต้องอาศัยความรว่ มมอื รว่ มใจกัน ข้อมูลจาก : https://th.jobsdb.com, http://www.crma.ac.th, http://umongcity.go.th
สแกนควิ อาร์โคด้ เพื่อทาใบงาน แบบทดสอบหลังเรยี น
Search
Read the Text Version
- 1 - 8
Pages: