⤠ç§Ò¹¤ÍÁ¾ÇÔ àµÍà ¤Í× ÍÐäÃ
⤠ç§Ò¤¹ÍפÍÍÐÁä¾ÃÇÔ àµÍà โครงงานคอมพวิ เตอร์ เปนกิจกรรมการเรียนรูปแบบหนึง ทีผเู้ รยี นสามารถเลอื กศึกษาและเรียนร้โู ดยมีอิสระในการ เลือกปญหาทีตนเองสนใจ โดยอาจใช้ทักษาะความรใู้ น กระบวนการทางวิชาการตา่ ง ๆ เขา้ มาเปนเครืองมือในการ ศกึ ษา แตโ่ ดยส่วนใหญ่แลว้ โครงงานคอมพิวเตอร์มกั ใช้ ความรู้ทางกระบวนการเกียวกบั วิศวกรรมซอฟตแ์ วร์ และพนื ทางทางคอมพวิ เตอรเ์ ขา้ มาศึกษา คน้ คว้าและพฒั นาเพือแก้ ปญหาทตี นเองสนใจ โครงงานเทคโนโลยีเปนโครงงานทเี กยี วกับการนาํ ความรู้ ทกั ษะและทรัพยากรมาสรา้ งหรือประดษิ ฐ์ เครืองมอื เครอื งใช้ อุปกรณ์ หรือวิธีการ เพือใช้แกป้ ญหาหรอื ตอบสนองความ ต้องการ ซงึ อาจเปนการสร้างสิงประดิษฐใ์ หม่ๆ หรอื ปรบั ปรงุ พฒั นาสงิ ทมี ีอยู่แล้วใหม้ ปี ระสิทธิภาพดยี ิงขนึ โดยมขี ันตอนการ ทํางานบนพืนฐานกระบวนการเทคโนโลยี จดุ ประสงคท์ สี ําคญั ของการทําโครงงานคอมพิวเตอร์มี จุดมงุ่ หมายสาํ คัญคือการเปดโอกาส ให้ผู้ทําโครงงานไดร้ ับ ประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอรแ์ ก้ปญหา ไดใ้ ฝเรยี นใฝรแู้ ละการพฒั นาความคดิ ใหม่ ๆ ซึงอาจนาํ ไปสู่ การประดษิ ฐค์ ิดค้นหรอื พฒั นาโปรแกรมประยุกต์ตา่ ง ๆ ไดใ้ น อนาคต 1. เพอื ศึกษาความหมายประเภทของโครงงาน 2. นักเรยี นสามารถวิเคราะห์ปญหาและเลอื กวิธีการแก้ปญหา ได้อย่างเหมาะสม
สาระการเรียนรู้ ดา้ นความรู้ (Knowledge) 1. อธิบายความหมายและประเภทของโครงงานได้ 2. อธิบายขนั ตอนของโครงงานเทคโนโลยีได้ ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (Process) 1. มีทักษะการคดิ เพอื การแก้ปญหา 2. มีทักษะกระบวนการทํางานกลุ่ม »ÃÐàÀ·¢Í§â¤Ã§§Ò¹¤ÍÁ¾ÔÇàµÍà ໹ ¾×¹é °Ò¹¢Í§ งานวิจัยในทกุ ๆ สาขาวชิ า ซึงมคี วามหลากหลายทงั ในลักษณะ ของเนือหา กจิ กรรม และลกั ษณะของประโยชนห์ รอื ผลงาน สามารถแบ่งออกเปนหลายประเภท คือ โครงงานพัฒนาสือเพือการศกึ ษา (Educational Media) โครงงานพัฒนาเครืองมือ (Tools Development) โครงงานประเภทจําลองทฤษฎี (Theory Experiment) โครงงานประเภทการประยุกต์ใชง้ าน (Application) โครงงานพฒั นาเกม (Game Development) โครงงานอนิ เทอรเ์ น็ตออฟตงิ ค์ (IoT) โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี ขันตอนการดําเนินการ ดังนี 1. ระบปุ ญหา 2. รวบรวมขอ้ มูลและแนวคิดทีเกียวข้องกบั ปญหา 3. ออกแบบวธิ กี ารแกป้ ญหา 4. วางแผนและดําเนินการแกป้ ญหา 5. ทดสอบ ประเมนิ ผล และปรบั ปรงุ แกไ้ ขวธิ ีการปญหาหรือ ชนิ งาน 6. นําเสนอวธิ กี ารแกป้ ญหา ผลการแกป้ ญหาหรอื ชินงาน
â¤Ã§§Ò¹¤ÍÁ¾ÔÇàµÍÃầ Í͡໹ 4 »ÃÐàÀ· µÒÁÅ¡Ñ É³Ð¢Í§¡Ô¨¡ÃÃÁ·Õè·íÒ ´§Ñ ¹Õé 1.โครงงานประเภทสาํ รวจรวบรวมข้อมลู (SERVEY RESEARCH PROJECT) เปนโครงงานการศึกษาทเี กิดจากปญหาความไมร่ ู้ ตอ้ งการทจี ะร้สู งิ ใดสิงหนงึ จงึ ดาํ เนนิ การสํารวจ หรอื เก็บ รวบรวมข้อมูลเรอื งใดเรืองหนึงทมี ีอยู่ตามธรรมชาติ สงิ แวดลอ้ ม แล้วนําเอาข้อมูลนนั มาจาํ แนกเปนหมวดหมูใ่ นรปู แบบทีเหมาะสม เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบันทกึ เปนตน้ เพอื นาํ ไปใช้ในการวางแผนหรือพัฒนางาน หรือดําเนินการพัฒนาปรบั ปรงุ เพิมเติมผลงานและสง่ เสรมิ ผลผลิตใหม้ คี ณุ ภาพดียงิ ขึน แล้วนําเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ ตาราง กราฟ แผนภูมิ และคาํ อธบิ ายประกอบ เพือให้ เหน็ ลักษณะหรือความสมั พนั ธใ์ นเรอื งทีศึกษาชัดเจนยงิ ขึน โดย ขอ้ มูลนนั อาจมีผู้จัดทาํ แต่มีการแปรเปลียนไปแล้ว ตอ้ งสํารวจ จดั ทําขึนมาใหม่ให้ทนั สมยั อยู่เสมอ ตวั อยา่ ง หวั ขอ้ เรือง/ ชอื โครงงาน ประเภทขอ้ มลู สํารวจ 1. พนั ธุ์ผเี สอื ในตาํ บล……………………...…….. 2. สมุนไพรในหมบู่ ้าน……………..…………….. 3. การใช้ยานพาหนะในอําเภอ…………………… 4. อาชีพของประชาชนในตําบล………...….….… 5. โครงงานสาํ รวจวัสดอุ ปุ กรณ์ในชมุ ชน 6. การสาํ รวจราคาผลผลติ เกษตรในทอ้ งถนิ 7. การสํารวจราคาสนิ คา้ อปุ โภคบริโภคในท้องถนิ 8. โครงงานสาํ รวจสถานประกอบการช่างในชมุ ชน
ขนั ตอนการดําเนนิ การ ดงั นี 1. กาํ หนดปญหาหรือความอยากรู้ 2. ตงั สมมุตฐิ าน 3. รวบรวมข้อมูล 4. วเิ คราะห์ 5. สรปุ อภปิ รายผล 2.โครงงานประเภททดลอง (EXPERIMENTAL RESEARC HPROJECT) เปนการศึกษาเปรียบเทียบของสงิ ของสองสิง(หรือมากกวา่ ) หรือวิธกี ารทํางานสองวธิ ี(หรอื มากกวา่ ) ดาํ เนนิ การทดลองหรอื พสิ ูจน์ความจรงิ ตามหลักวิชาการอยา่ งเปนเหตเุ ปนผล หรือ ค้นหาขอ้ เทจ็ จรงิ ในสิงทีต้องการรู้หรอื หาคําตอบของปญหา เปนการศึกษาทีเกดิ จากปญหา ตอ้ งการร้ถู ึงผลของการเปรียบ เทียบ หาความสัมพันธร์ ะหวา่ งเหตแุ ละผล แลว้ นําผลทีไดแ้ ตล่ ะ อย่างมาเปรียบเทยี บกนั การทําโครงงานประเภทนี ผ้เู รยี นต้องมกี ารกําหนดรปู แบบในการทดลอง โดยออกแบบใน รูปผลการทดลอง เพือศกึ ษาตัวแปรหนงึ จะมีผลตอ่ ตัวแปรที ต้องการศึกษาอย่างไร ดว้ ยการควบคมุ ตวั แปร โดยกําหนด ตวั แปรตา่ ง ๆ ไว้ใหช้ ัดเจนเพอื จะปฏบิ ัตกิ ารได้ถูกตอ้ ง ศึกษาค้นคว้าและทดลอง เพอื นําผลทไี ด้มายนื ยันหลักการหรือ ทฤษฎีทีเกยี วขอ้ ง มวี ตั ถุประสงค์ เพอื การศกึ ษาเรืองใดเรืองหนงึ โดยเฉพาะ เปนโครงงานทเี กดิ ขึนเพอื ยนื ยนั ทฤษฎหี รือหลักการ เชน่ 1. โครงงานปลูกผักลอยฟาไร้สารพษิ 2. โครงงานศกึ ษาสตู รอาหารไกต่ อน 3. โครงงานการศกึ ษาขนมอบชนดิ ต่าง ๆ
4. โครงงานทดลองปลกู พชื โดยไมใ่ ช้ดิน 5. โครงงานการใช้ฮอร์โมนกับกิงกหุ ลาบ 6. โครงงานศกึ ษาวสั ดกุ ่อสร้างประเภทไม้ 7. โครงงานการยดื อายขุ องกุหลาบตัดดอก 8. โครงงานสารในพืชชนิดใดใช้ฆา่ แมลงสาบ 9. โครงงานศึกษาสตู รนํายากัดกระจกจากผลไม้ 10.โครงงานการศกึ ษาเครอื งดมื ทผี ลติ จากผลไม้ 11.โครงงานการปลกู พชื ดว้ ยสารละลายจากมลู สัตว์ 12.โครงงานการควบคมุ กลว้ ยให้สกุ อยา่ งมคี ณุ ภาพ 13.โครงงานแสงมีผลต่อการเจริญเติบโตของผกั คะน้า 14.โครงงานควบคมุ การเจริญเตบิ โตของไมป้ ระดบั ประเภทเถา ขนั ตอนการมดี ังนี 1. กําหนดปญหา 2. ตังจุดประสงค์ 3. ตงั สมมตุ ฐิ าน 4. การออกแบบทดลอง 5. รวบรวมข้อมลู ทไี ดจ้ ากการทดลอง 6. วิเคราะหห์ รอื แปลผล 7. สรุปผลการทดลอง 3.โครงงานประเภทสิงประดิษฐ์หรือการพัฒนา (DEVELOPMENTAL RESEARCH PROJECT OR INVENTION PROJECT) เปนโครงงานเกดิ จากความคดิ ริเรมิ สร้างสรรค์ขนึ ใหม่ หรอื หลงั จากทไี ด้ศึกษาทฤษฎีหรอื พบเห็นผลงานของผอู้ นื แล้ว แต่ ต้องการพัฒนา จึงทาํ การดัดแปลง สรา้ งแบบจาํ ลองขึน เพือ อธิบายแนวคดิ บางอยา่ ง โดยประดษิ ฐเ์ ปนของเลน่ เครืองมือ
เครืองใช้ หรืออปุ กรณ์ใชส้ อยตา่ ง ๆ แลว้ ศกึ ษาคุณภาพ หาประสทิ ธิภาพและอายุการใช้งาน เช่น 1. ถงั ขยะจากยางรถยนต์ 2. ผลิตภณั ฑ์กระดาษสา 3. แบบจําลองพัดลมไอนํา 4. กระดาษจากวา่ นหางจระเข้ 5. โครงงานประดิษฐโ์ คมไฟฟา 6. กระถางต้นไม้จากกระดาษใชแ้ ลว้ 7. นาํ ยาบว้ นปากจากสมนุ ไพรธรรมชาติ 8. ดอกไมป้ ระดษิ ฐจ์ ากใบไมป้ ระเภทต่างๆ 9. โครงงานสร้างบา้ นแบบบจําลองประหยัดไฟ 10. โครงงานประดิษฐส์ งิ ของประดับบ้านดว้ ยไม้ไผ่ ขนั ตอนการดําเนนิ การดังนีขันตอนการดาํ เนนิ การดงั นี 1. กําหนดโครงงาน ประโยชน์ รูปแบบ/แบบ วสั ดุอุปกรณ์ เครอื งมอื 2. ดําเนนิ การตามขนั ตอนปฏิบัติ ดาํ เนนิ การปฏิบัติ นําเสนอ ผลงานในรปู ผลิตภณั ฑ์ 4.โครงงานประเภททฤษฎหี รอื อธิบาย (THEORETICAL RESEARCH PROJECT) เปนโครงงานทีเกดิ จากปญหาความตอ้ งการทฤษฎีใหม่ๆ หลักการหรือแนวคดิ ใหม่ ๆ มาใช้ประโยชนใ์ นโอกาสอนื ๆ จงึ ดาํ เนนิ การสรา้ งทฤษฎีใหม่ ๆ ขนึ มวี ัตถุประสงคเ์ พือเสนอ ความรู้ หรือหลักการใหม่ ๆ เกยี วกบั เรืองใดเรอื งหนึงทียงั ไม่มี ใครเคยคิดหรอื ขดั แยง้ หรือขยายจากของเดมิ ทมี ีอยู่ ซึงตอ้ ง ผา่ นการพสิ จู นอ์ ย่างมหี ลักการกอ่ น โดยอาศยั ทฤษฎี
หลักการ หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื ทฤษฎอี นื ๆ ตลอดจน ข้อมลู อนื ๆ สนบั สนุนโครงงานประเภทนีมกั เปนโครงงานทาง คณิตศาสตร/์ วิทยาศาสตร์ เชน่ 1. การเกษตรทฤษฎีใหม่ 2. การผลติ ก๊าซชีวภาพจากมลู สัตว์ 3. การผลติ แท่งเชอื เพลิงเขยี ว ข้อดขี องการเรยี นรแู้ บบโครงงาน 1. ผู้เรียนไดเ้ ลือกประเดน็ ทจี ะศกึ ษา วธิ ีการศึกษาและ แหล่งความร้ดู ว้ ยตนเอง 2. ผเู้ รยี นมคี วามสนใจเพราะเปนผู้ศึกษาหรือลงมอื ปฏบิ ตั ิ จรงิ ดว้ ยตนเองทุกขนั ตอน 3. การศกึ ษาไดเ้ ชอื มโยงหรือบรู ณาการระหวา่ งความร/ู้ ทักษะ/ประสบการณ์เดิมกบั สงิ ใหม่ 4. ชว่ ยใหเ้ กิดการเรียนร้ตู ามวธิ ธี รรมชาติและมปี ระสบการณ์ ในการทํางานรว่ มกับผูอ้ ืน 5. สง่ เสรมิ ความคิดสรา้ งสรรค์ และการทํางานอย่างมแี ผน และรูจ้ กั ประเมนิ ผลงานของตนเอง 6. ฝกให้นักเรียนไดร้ ู้จักแกป้ ญหาในการทํางาน และเตรียม พร้อมทีจะเผชิญกับสภาพสังคมจรงิ 7. เปนการจัดกิจกรรมทเี นน้ ผเู้ รยี นเปนสําคัญได้จรงิ 8. ใช้ทักษะทางวทิ ยาศาสตร์ และเหตุผลในการปฏบิ ตั งิ าน อยา่ งเปนระบบ ข้อจํากัดของการเรยี นรู้แบบโครงงาน 1. ใช้เวลาในการเรยี นรู้มาก เสยี คา่ ใชจ้ า่ ยคอ่ นข้างสูง 2. หากขาดการเอาใจใส่ ขาดความอดทน วางแผนการ ทาํ งานไม่ดี ขาดทักษะ อาจทําให้ไม่ประสบผลสาํ เร็จ
โครงงานเทคโนโลยสี ามารถแบ่งระยะการทํางานออกเปน 3 ระยะ ไดแ้ ก่ 1. ระยะเริมตน้ โครงงาน 2. ระยะทาํ โครงงาน 3. ระยะนําเสนอโครงงาน 1.ระยะเรมิ ต้นโครงงาน - เลอื กเรอื งทจี ะทําโครงงาน โดยการสาํ รวจปญหาหรอื ความตอ้ งการโดย 1) สงั เกตและศกึ ษาข้อมลู จากสถานการณร์ อบตัวหรอื ชุมชน เพือศึกษาปญหาหรือความตอ้ งการ 2) ตดิ ตามขา่ วเหตุการณ์สาํ คญั ๆ และสํารวจตนเองวา่ สนใจปญหาหรือความต้องการใดเปนพิเศษ 3) คิดเชือมโยงว่ามีเรอื งใดทีตอ้ งการจะศกึ ษาเพมิ เติม - ตดั สนิ ใจเลอื กว่าจะแก้ปญหาหรอื สนองความต้องการ ทีตนเองสนใจ (นกั เรยี นจะสามารถพบข้อปญหาหรือความ ต้องการจะจดั ทําโครงงาน)
ÇÔ ¸Õ ¡ Ò Ã ·Òí â ¤ Ã § § Ò ¹ ¤ Í Á ¾Ô Ç à µ Í Ã โ ค ร ง ง า น ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ เ ป น กิ จ ก ร ร ม ที ต้ อ ง ทํา อ ย่ า ง ต่ อ เ นื อ ง ห ล า ย ขั น ต อ น แ ล ะ แ ต่ ล ะ ขั น ต อ น จ ะ มี ค ว า ม สํา คั ญ ต่ อ ค ว า ม สํา เ ร็ จ ข อ ง โ ค ร ง ง า น นั น ๆ ก า ร คั ด เ ลื อ ก โ ค ร ง ง า น ที ส น ใ จ จ ะ ทาํ ค ว ร เ ป น ไ ป ต า ม ค ว า ม ส า ม า ร ถ ค ว า ม ถ นั ด ค ว า ม ส น ใ จ แ ล ะ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง ตั ว ผู้ เ รี ย น เ อ ง ก า ร สํา ร ว จ แ ล ะ ก า ร เ ลื อ ก เ รื อ ง ที จ ะ ทาํ โ ค ร ง ง า น เ ป น ขั น ต อ น แ ร ก ข อ ง ก า ร ทํา โ ค ร ง ง า น ซึ ง เ ป น ขั น ต อ น ที สาํ คั ญ ม า ก ขั น ต อ น ก า ร ทํา โ ค ร ง ง า น ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ ดั ง นี 3. 1 . ก า ร คั ด เ ลื อ ก หั ว ข้ อ โ ค ร ง ง า น ( ก า ร ตั ง ชื อ โ ค ร ง ง า น ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ ที ส น ใ จ จ ะ ทาํ ) 2 . ก า ร ศึ ก ษ า ค้ น ค ว้ า จ า ก เ อ ก ส า ร แ ล ะ แ ห ล่ ง ข้ อ มู ล ก า ร จั ด ทาํ ข้ อ เ ส น อ โ ค ร ง ง า น 4 . ก า ร ล ง มื อ พั ฒ น า โ ค ร ง ง า น 5 . ก า ร จั ด ทํา ร า ย ง า น 6 . ก า ร นาํ เ ส น อ แ ล ะ ก า ร แ ส ด ง ผ ล ง า น ข อ ง โ ค ร ง ง า น 1 . ก า ร คั ด เ ลื อ ก หั ว ข้ อ โ ค ร ง ง า น ( ก า ร ตั ง ชื อ โ ค ร ง ง า น ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ ที ส น ใ จ จ ะ ทาํ ) ป ญ ห า สาํ คั ญ ใ น ก า ร ทาํ โ ค ร ง ง า น ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ ป ร ะ ก า ร ห นึ ง คื อ ผู้ เ รี ย น ไ ม่ ท ร า บ ว่ า จ ะ ทํา โ ค ร ง ง า น เ รื อ ง อ ะ ไ ร โ ด ย ทั ว ไ ป เ รื อ ง ที จ ะ นาํ ม า พั ฒ น า เ ป น โ ค ร ง ง า น ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ มั ก จ ะ ไ ด้ ม า จ า ก เ รื อ ง ทั ว ๆ ไ ป จ า ก ป ญ ห า คาํ ถ า ม ห รื อ ค ว า ม ส น ใ จ ใ น เ รื อ ง ต่ า ง ๆ จ า ก ก า ร สั ง เ ก ต สิ ง ต่ า ง ๆ ที เ กี ย ว เ นื อ ง กั บ ร ะ บ บ ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ ห รื อ สิ ง ต่ า ง ๆ ร อ บ ตั ว ผู้ เ รี ย น ส า ม า ร ถ จ ะ ศึ ก ษ า ก า ร ไ ด้ ม า ข อ ง เ รื อ ง แ ล ะ ชื อ ที จ ะ ทํา โ ค ร ง ง า น จ า ก ตั ว อ ย่ า ง ต่ อ ไ ป นี
ÇÔ ¸Õ ¡ Ò Ã ·Òí â ¤ Ã § § Ò ¹ ¤ Í Á ¾Ô Ç à µ Í Ã กระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม เปนกระบวนการแกป้ ญหา หรือพฒั นางานอย่างเปนระบบภายใตข้ อ้ จาํ กดั หรอื เงือนไข และ ทรพั ยากร เพอื ใหไ้ ด้แนวทางการแก้ปญหาหรอื พัฒนางานทเี หมาะ สมทสี ุด มีขนั ตอน ดังนี 1. ระบปุ ญหา เปนการทาํ ความเขา้ ใจปญหาหรือความทา้ ทาย วิเคราะห์ เงือนไขหรือขอ้ จํา กดั ของสถานการณ์ปญหา เพือกาํ หนดขอบเขต ของปญหา ซงึ จะนาํ ไปส่กู ารสร้างชินงานหรือวธิ ีการในการแกป้ ญหา 2. รวบรวมขอ้ มูลและแนวคิดทเี กียวข้องกับปญหา เปนการรวบรวมข้อมูลและแนวคิดทางวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีทเี กียวขอ้ งกับแนวทางการแกป้ ญหา และประเมินความเปนไปได้ ข้อดแี ละข้อจาํ กัด 3. ออกแบบวธิ ีการแก้ปญหา เปนการประยุกตใ์ ช้ขอ้ มูลและแนวคิดทเี กยี วข้องเพือการ ออกแบบชนิ งานหรอื วธิ ีการในการแกป้ ญหา โดยคาํ นงึ ถงึ ทรพั ยากร ข้อจาํ กัดและเงือนไขตามสถานการณ์ทกี ํา หนด 4. วางแผนและดํา เนนิ การแกป้ ญหา เปนการกาํ หนดลาํ ดับขนั ตอนของการสรา้ งชินงานหรอื วิธกี าร แลว้ ลงมือสรา้ งชินงาน หรือพัฒนาวธิ ีการเพอื ใชใ้ นการ แก้ปญหา
ÇÔ ¸Õ ¡ Ò Ã ·Òí â ¤ Ã § § Ò ¹ ¤ Í Á ¾Ô Ç à µ Í Ã 5. ทดสอบ ประเมนิ ผล และปรับปรุงแก้ไขวธิ กี ารแกป้ ญหา หรอื ชินงาน เปนการทดสอบและประเมินการใช้งานของชนิ งานหรอื วิธีการ โดยผลทไี ดอ้ าจนํา มาใชใ้ นการปรับปรุงและพัฒนาให้มี ประสทิ ธภิ าพในการแกป้ ญหาไดอ้ ย่างเหมาะสมทีสุด 6. นาํ เสนอวธิ ีการแก้ปญหา ผลการแกป้ ญหาหรือชินงาน เปนการนํา เสนอแนวคดิ และขันตอนการแกป้ ญหาดว้ ยการ สรา้ งชินงานหรือการพฒั นาวธิ ีการ ให้ผอู้ ืนเข้าใจและได้ขอ้ เสนอแนะเพอื การพัฒนาตอ่ ไป กระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรมนอกจากจะนาํ ไปใชใ้ นการแก้ปญหา หรอื พัฒนางานในทางวศิ วกรรมหรือเทคโนโลยี แลว้ ยงั สามารถประยกุ ต์ใช้ไดก้ บั การทาํ งานหรอื การแก้ปญหาในชวี ิตประจํา วนั เชน่ หากเราตอ้ งการปรับห้องนํา ในบา้ นใหเ้ หมาะสํา หรับผสู้ งู อายุทเี ดนิ หรอื นงั ไมส่ ะดวก ตอ้ งเริมจากการระบุ ปญหาหรอื ความต้องการว่าผู้สงู อายตุ อ้ งการสิงใดบ้างเพอื อาํ นวยความสะดวก ขณะใชง้ าน อกี ทงั ยงั ช่วยปองกนั อุบัตเิ หตุทอี าจเกดิ ขนึ จากนันตอ้ งสาํ รวจ ข้อมูลทีเกยี วขอ้ ง เช่น วสั ดุ อปุ กรณ์ แลว้ จงึ นาํ ข้อมูลทีได้มาออกแบบและ วางแผนจากนันลงมือสรา้ งชนิ งานหรอื วิธกี าร โดยระหวา่ งการปฏิบัตงิ านควรมีการทดสอบและประเมินชินงานหรือวิธี การ และปรับปรุงแก้ไขหากเกดิ ข้อผิดพลาด จนได้ผลลัพธ์ทพี ร้อมใช้งานสาํ ห รับผ้สู งู อายุตอ่ ไป
µÑ Ç Í Â Ò § ¡ Ò Ã à ¢Õ Â ¹ â ¤ à § § Ò ¹ ã º § Ò ¹ ·èÕ 6 . 1 à Ãè× Í Í § ÇÔ à ¤ Ã Ð Ò Ë » Ë Ò
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: