จริยธรรมและจรรยาบรรณการวิจยั อาจารย์ ดร.วีระ สุภะ [email protected]
308 แผนการสอนประจาหนว่ ยที่ 14 สปั ดาหท์ ่ี 15 แผนการสอน การวจิ ยั ทางการสือ่ สาร รหัสวิชา 04-70-312 เวลา 4 คาบ หนว่ ยท่ี 14 จริยธรรมและจรรยาบรรณการวิจยั บทเรียนที่ 10.1ชือ่ บทเรยี น 10.1 วตั ถุประสงค์ของการวิจัยกบั จรรยาบรรณของการวิจัย 10.2 จรยิ ธรรมเบื้องต้นของนักวิจัยจดุ ประสงคก์ ารสอน 10.1 เข้าใจวตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัยกับจรรยาบรรณของการวิจยั 10.1.1 อธิบายวตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั กับจรรยาบรรณของการวิจยั 10.2 เข้าใจจริยธรรมเบือ้ งตน้ ของนกั วิจัย 10.2.1 อธิบายจรยิ ธรรมเบื้องต้นของนักวิจัย 10.3 มีทกั ษะในการคิดวิเคราะหจ์ รยิ ธรรมและจรรยาบรรณการวิจัย 10.3.1 ฝกึ ปฏิบัติวเิ คราะหก์ รณีศกึ ษาจรยิ ธรรมและจรรยาบรรณการวิจัยวิธีสอนและกิจกรรม 1. สอนโดยการบรรยาย อธิบายเนือ้ หาที่เรยี นพร้อมตอบข้อซักถาม 2. ให้นักศึกษาทาแบบฝกึ หดั ประจาหนว่ ยเรียน 3. เฉลยคาตอบแบบฝกึ หัดประจาหนว่ ยเรียนพร้อมให้เหตผุ ลประกอบสื่อการสอน 1. ใบความรปู้ ระกอบการบรรยาย 2. หนงั สืออา้ งองิ 3. สารสนเทศจากอินเทอร์เนต็
309งานท่มี อบหมาย 1. ให้นักศึกษาค้นคว้าทารายงานกลุ่มเพิ่มเติมจากใบความรู้ 2. ให้นกั ศึกษาอ่านทาความเขา้ ใจใบความรทู้ ี่ใชป้ ระกอบการบรรยายในครั้งต่อไป แผนการสอนประจาหน่วยที่ 10 (ต่อ)สัปดาห์ท่ี 15 แผนการสอน รหสั วิชา การวจิ ยั ทางการสื่อสาร 04-70-312เวลา 4 คาบ หน่วยท่ี 10 จริยธรรมและจรรยาบรรณการ บทเรยี นท่ี วิจยั 10.1การวัดผล 1. สงั เกตความสนใจ การซกั ถาม การแสดงความคิดเห็น 2. ตรวจคะแนนจากการทาแบบฝกึ หดั ประจาหน่วยเรียน 3. ให้คะแนนจากงานทีม่ อบหมาย การทารายงานกลุ่มบนั ทึกผลการสอน................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................ บทที่ 10 จริยธรรมและจรรยาบรรณการวิจัย
310 สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์ (2544 : 589-610) กล่าวว่า ประเทศไทยได้มีการทาการวิจัยและฝกึ อบรมการด้านการวิจัยทางสงั คมศาสตรแ์ ละศาสตร์สาขาอื่นมาเป็นเวลานาน แต่ส่ิงทีไ่ ด้ปล่อยปะละเลยกันในการฝึกอบรมและการสอนระเบียบวิธีการวิจัยในสถาบั นการศึกษาทั้งในภาครัฐและเอกชนส่วนราชการตา่ งๆของรฐั คือจริยธรรมและจรรยาบรรณทางวชิ าการ การปล่อยปะละเลยดังกล่าวเห็นได้ชดั จากการทีต่ าราทางวิชาการและทางดา้ นการวิจัยที่แต่ง หรือ เรียบเรียงโดยนักวิชาการไทยแทบจะไม่มีกล่าวถึงจริยธรรมหรือจรรยาบรรณทางด้านวิชาการหรือทางด้านการวิจัยเลย แต่ในประเทศแล้วแม้ว่าจรรยาบรรณทางวิชาการพืน้ ๆได้มีการเรียนรู้สงั่ สอนกันมาต้ังแตป่ ระถมและมัธยมศกึ ษา เช่นมีการส่ังสอนว่าการคดั ลอกบทความหรอื การขโมยผลงานทางวิชาการของผอู้ ืน่ มาเป็นของตน (Plagarism) เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ผิดจริยธรรมทางวิชาการ ในตาราทางวิชาการหรือตาราที่ว่าด้วยการวิจัย จะมีบททีว่ า่ ด้วยจริยธรรมหรอื จรรยาบรรณทางวชิ าการให้เหน็ อยู่เสมอ ด้วยเหตุผลของการละเลยและการขาดการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมทางวิชาการดังกล่าว นักวิชาการที่เป็นผลผลิตของสถาบันการศึกษาของไทยรวมทั้งผู้ที่เป็นผลผลิตครึ่งไทยครึ่งเทศ ที่ผ่านสถาบันการศึกษาไทยในตอนต้นและต่างประเทศในภายหลัง จานวนไม่น้อยจึงมิได้ตระหนักแล้วให้ความสาคัญในเร่ืองนี้เท่าที่ควร อีกทั้งได้กระทาหลายสิ่งหลายอย่างที่นักวิชาการของประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ทากัน ดังจะเห็นได้จากการที่ครูอาจารย์นาเอาผลงานเขียนของผู้ร่วมงานหรือของนักศึกษามาเป็นผลงานของตน โดยการเปลี่ยนชื่อเจ้าของผลงานหรือเปลี่ยนแปลงชื่อผลงานและนาไปตีพิมพ์เป็นเอกสารทางวิชาการหรือตาราสอน ตาราบางตารารวบรวมมาจากรายงานของนกั ศกึ ษาซึง่ มีสานวนการเขียนหลายสานวนโดยไม่รู้สึกละอายต่อการกระทาดังกล่าว นักวิชาการไทยบางคนได้นาผลงานของผู้อื่นที่ได้ทาการศึกษาวิจัยมานานปีแต่ยังไม่ได้มีการตีพิมพ์เป็นผลงานวิจัยของตนโดยมิได้ตระหนักในใจว่าได้กระทาในสิ่งที่เลวร้ายทางวิชาการ ซึ่งเป็นผลร้ายมากกว่าผลดีสาหรับตนเองเม่ือความจริงปรากฏว่าใครคือเจ้าของผลงานที่แท้จริง การพิสูจน์ว่าผลงานที่เป็นปัญหาว่าเป็นของผู้ใดในวงการวิจัยทางสงั คมศาสตร์หากทากนั จริงจังคงไม่ยากนักแต่จะสะดวกมากขึ้นหากมีองค์กรกลางที่จะมาคอยดูแลปัญหาดงั กล่าวแทนทีจ่ ะปล่อยใหเ้ ป็นภาระของคู่กรณี
311 ในปจั จุบันถึงเวลาแล้วที่ควรจะได้มีองค์กรกลางมาดาเนินการอย่างเป็นทางการไม่ควรจะปล่อยตามยถากรรมและให้เป็นเร่ืองของคู่กรณีอีกต่อไป สภาวิจัยแห่งชาติเองควรรับภาระดังกล่าวในฐานนะที่เป็นองค์กรกลางทางด้านการวิจัยในรับชาติ เช่นที่ประเทศที่เจริญแล้วเขาทากัน ในการดาเนินการให้มีบทลงโทษทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ผู้ละเมิดจรรยาบรรณทางวิชาการและทางการวิจัย ผ่านกระบวนการอนุมัติเงินสนับสนุนการวิจัยที่ใช้งบประมาณจากรัฐไม่ว่าจะผา่ นส่วนราชการใดของรฐั แม้ว่าปัญหาที่เกิดขึน้ จากการขาดจรรยาบรรณทางวิชาการและทางการวิจัยเปน็ เรื่องที่เรามักจะได้ยินข่าวเป็นระยะๆ ในสื่อสารมวลชน แต่เน่ืองจาก “จรรยาบรรณนักวิจัย” ยังเป็นเร่ืองที่ค่อนข้างใหม่ในวงการวิจัยของสังคมไทย จึงใคร่ขอนาเสนอประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับจรรยาบรรณของการวิจยั ใหค้ รอบคลุมมากที่สดุ เท่าทีจ่ ะทาได้ ท่มี าและความขัดแย้งทางจรยิ ธรรมหรือจรรยาบรรณในการวิจยั ในขั้นต้นขอสมมติว่าเราเข้าใจกันว่า “จริยธรรม” หมายถึงสิ่งที่ดีงาม (Virtue) และเข้าใจแจ่มแจ้งว่าสิ่งดีงามน้ันคืออะไร แต่ในสภาพของชีวิตจริงจากการที่คนเรามีความเห็นแตกต่างกันในสิ่งที่เรียกว่าความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่ยังมิได้มีการกาหนดไว้เป็นแนวทางและบรรทัดฐานของสังคมที่คนในสังคมพึงปฏิบัติตาม ทาให้คนมีพฤติกรรมที่ ผิดจริยธรรมทางสังคม โดยไม่มีความรู้สึกสะทกสะท้านต่อพฤติกรรมอันขัดต่อศีลธรรมอันดีงามของสังคม ซ้ายังอาจเข้าใจว่าตนมิได้กระทาในสิง่ ผิดจรยิ ธรรมหรอื จรรยาบรรณท้ังๆทีไ่ ด้กระทาไป เพราะตนได้กระทาไปตามแนวคิด บรรทัดฐานและพฤติกรรมของบุคคลที่ใกล้ชิดของพรรคพวกเป็นหลัก ด้วยเหตุดังกล่าว องค์กรและองค์การสาธารณชนท้ังหลายที่พฤติกรรมของสมาชิกอาจมีผลกระทบต่อตัวบุคคล จึงได้มีการออกข้อกาหนดต่างๆ ที่ให้สมาชิกขององค์กรและองค์การต่างๆปฏิบัติตาม ซึ่งเรียกกันว่าจรรยาบรรณอย่างไรก็ตามมีข้อกาหนดที่เป็นลายลกั ษณ์อักษรเป็นจรรยาบรรณมิได้เป็นหลักประกันว่าจะเป็นมาตรการทีจ่ ะช่วยให้สมาชิกหรือผู้ที่เกี่ยวข้องเช่นนักวิจัยให้หลุดพ้นจากการตัดสินใจทางค่านิยม (Value Judgements) โดยการปฏิบัติตามบรรทัดฐานที่ได้กาหนดไว้ สมาชิกหรือนักวิจัยยังต้องทาการตัดสินใจเปรียบเทียบเลือกเอาระหว่างความถูกต้องทางจริยธรรมหรือความเห็นแก่ตัวหรือพวกพ้องที่ขาดความ
312ถูกต้องและระหว่างความสาคัญของงาน(วิจัย)กับความรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพของผู้ที่เป็นเป้าหมายของงาน(การวิจัย) การตัดสินใจดังกล่าวน้ันเองคือพื้นฐานทางจริยธรรมของการวิจัยที่แท้จริง ตัวจรรยาบรรณเองเม่ือจะนามาใช้ยังต้องขึ้นอยู่กับการตีความและการตัดสินใจของสมาชิกขององค์การหรอื องค์การ(นักวิจัย)เองเป็นสาคัญ มโนธรรมของแต่ละบุคคลเท่าน้ันที่จะคอยกากับกระตนุ้ ให้แต่ละบุคคลตระหนกั ถึงความรับผดิ ชอบชว่ั ดีที่ตนได้กระทาไป ความสาคญั ของการมีจรรยาบรรณ การมีจรรยาบรรณของนักวิจยั นับวันจะมีความสาคัญมากขึ้นตามลาดบั ท้ังนีเ้ พราะการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความรวดเร็วและได้ผูกประเทศไทยเข้ากับระบบการเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกๆด้าน กระแสโลกาภิวัฒน์ที่เกิดขึ้นในลักษณะดังกล่าวมีผลกระทบอย่างมากต่อมาตรฐานของการทาวิจัย ที่นักวิชาการและนักวิจัยไทยทุกคนจาต้องปรับตัวให้เข้ากับกระแสดังกล่าวให้ได้ เราไม่สามารถที่จะใช้มาตรฐานและวิธีการแบบท้องถิ่นหรือแบบไทยตามสบายเช่นที่เคยเป็นมาในอดีตได้อีกต่อไป เพราะไม่ได้มาตรฐานสากล หากนักวิจัยไทยมีพฤติกรรมดาเนินทางด้านการวิจัย ซึ่งนักวิชาการม่ัวโลกในประเทศอื่นๆ เขาไม่พึงกระทากัน เพราะถือว่าผิดจรรยาบรรณของนักวิจัยจะเป็นการยากที่นักวิจัยไทยจะอยู่ร่วมโลกทางด้านวิชาการกับเขาได้อย่างได้รับเกียรติ ศักดิ์ศรี และการเคารพนักถือทางวิชาการจากการนกั วิจยั นานาชาติ ถึงแม้จะไม่มีกระแสโลกาภิวัตน์ (ซึ่งเป็นไปไม่ได้) เรายังคงต้องมีเป็นจรรยาบรรณของนกั วิจัย เพราะการมีเกณฑ์ของความถูกต้องที่นักวิจัยทุกคนพึงมีความเข้าใจร่วมกันและปฏิบัติตามในสิ่งที่เป็นบรรทัดฐานอันดีงามของสังคมน้ัน จะช่วยให้การดารงชีพร่วมกันเป็นไปอย่างสงบสุข ปราศจากซึ่งความขัดแย้งในสิ่งที่ไม่จาเป็นจะต้องขัดแย้งกันด้วยความอวิชชา หรือความรเู้ ท่าไม่ถึงการณเ์ พราะไม่ทราบระเบียบแบบแผนและวฒั นธรรมที่ดงี ามของการวิจยั ก าร สั ม ม น า กั น ใน เร่ือ ง จ ร ร ย า บ ร ร ณ ข อ ง นั ก วิ จั ย ค ว ร มี ก า ร จั ด ท า เป็ น ค ร้ั ง ค ร า วโดยเฉพาะเม่ือมีเหตุการณ์สาคัญๆ ที่เกี่ยวข้องเกิดขึ้น ทั้งนี้เน่ืองจากเงินอุดหนุนการวิจัยมีแนวโน้มทีจ่ ะมีมากขึน้ ทกุ ปีเพราะรัฐบาลและภาคเอกชนต่างเห็นความจาเป็นของการวิจยั ที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมและต่อการกาหนดนโยบายแนวทางและมาตรการต่างๆ
313ของรัฐ หากนกั วิจัยมีความมุ่งมั่นในคุณธรรมหรอื จริยธรรมหรอื จรรยาบรรณของนักวิจัยที่ดี มีความรบั ผดิ ชอบต่อสังคม นกั วิจัยจะสามารถตอบสนองความต้องการของกระแสดงั กล่าวอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ไม่สร้างความเสื่อมศรัทธาของสาธารณชนที่มีต่อนักวิชาการหรือนักวิจัยไทยทั่วไป การคานึงถึงจรรยาบรรณนักวิจัยจึงเป็นเรื่องทีเ่ หมาะสมถูกกาลเทศะอย่างยิ่ง1. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั กับจรรยาบรรณของการวิจัย ในกระบวนการวิจัย จุดมุ่งหมายหลักคือการได้มาซึ่งความรู้ที่จะนามาใช้เป็นประโยชน์ต่อชุมชน สังคม หรือแม้แต่บุคคลซึ้งอาจเป็นผู้วิจัยเองและ/หรือผู้ที่เป้าหมายของการวิจัย แต่หากกระบวนการดาเนินการวิจัยได้ก่อให้เกิดทุกข์ เกิดปัญหา เกิดความไม่ดีงามสร้างความลาบาก ความไม่สบายใจและทุกข์ใจทุกข์กายให้แก่ทุกคนที่เกี่ยวข้องแล้ว การวิจัยดังกล่าวจะต้องมีการทบทวนว่าสมควรทาหรือไม่ เพราะได้ขัดแย้งกับเป้าหมายสูงสุดของการวิจัยเสียตั้งแตแ่ รกแล้ว ในวงการสังคมศาสตร์ ส่ิงที่เราศึกษาค้นคว้าวิจยั คือ คนและกิจกรรมของคนหรอื กลุ่มคน การคานึงถึงจรรยาบรรณจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสม จรรยาบรรณที่เหมาะสมจะต้องไม่ตึงจนผวู้ ิจัยไม่สามารถวิจยั ได้ หรือหย่อยจนผู้ที่ถกู วิจยั ได้รบั ความเสียหายจากการที่วิจัยโดยไม่รู้เร่อื งอะไรและ/หรือไม่มีการบอกกล่าวถึงผลเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัย ด้วยเหตุนีก้ ารประนีประนอมกันระหว่าง (ก) ผลประโยชน์ทางวิชาการคือการได้มาซึ่งข้อมูลที่ผู้วิจัยต้องการตามหลักวิชาการและ (ข) ผลประโยชน์ทางด้านจิตใจ ร่างกาย และเศรษฐกิจสังคมของผู้ที่เป็นเป้าหมายของการวิจัยจงึ เป็นสิ่งจาเป็น และต้องมีการวางกฎเกณฑ์จรรยาบรรณที่เหมาะสม ให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มิใช่หละหลวมเกินไปจนผู้ที่ถูกวิจัยนั้นเสียหายอย่างมากมายหรือรัดกุมจนให้งานวิจัยหรือผลงานทางวิชาการไม่อาจเกิดขึ้นได้ตัวอย่างของจรรยาบรรณที่ตึงจนเกินไปคือ มีกาหนดให้ผู้วิจัยต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ที่ถูกวิจัยหรอประชากรเป้าหมายโดนต้องมีการชี้แจงให้ประชากรเป้าหมายเข้าใจอย่างชัดเจนว่าผู้วิจัยจะทาการศึกษาอะไรและอย่างไร ซึ่งในบางคร้ังการกระทาดังกล่าว ทาให้ผู้วิจัยไม่
314สามารถทาการวิจัยได้ เพราะกระบวนการวิจัยต้องการข้อมูลโดยผู้ที่ถูกศึกษาไม่รู้ตัวว่ากาลังถกู ศกึ ษา ตวั อย่างของการวิจัยทางสังคมศาสตร์ ที่มักได้รับการอ้างถึงเมื่อมีการพูดถึงจริยธรรมของการวิจัย คืองานวิจัยของมิลแกรม นักจิตวิทยาสังคม (Milgram 1964, อ้างใน Crono andbrewer, 1986) มิลแกรมศึกษาเร่ืองเชื่อฟังแบบทาลายล้างมีพิษภัย (Destructive Obedience)ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยถูกหลอกให้หลงเชื่อว่าตัวเองนั้น ได้ทาการช๊อตไฟฟ้าแก่ผู้เข้าร่วมโครงการอีกคนหนึ่ง (ซึ่งโดยแท้จริงแล้วเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับนักวิจัยและไม่ได้รับการช๊อตด้วยไฟฟ้าจริงเพียงแต่แสร้งทาว่าได้รับ) ท้ังน้ีเพราะมิลแกรมต้องการศึกษาความเครียด ซึง่ เกิดจากผู้เข้าร่วมโครงการต้องทาการลงโทษผู้ที่ตนคิดว่าเป็นผู้ร่วมโครงการวิจัยอีกคนหนึ่ง ด้วยการช๊อตด้วยไฟฟ้าแรงสูง และในที่สุดผู้เข้าร่วมโครงการเองทนความเครียดดังกล่าวไม่ไหวเลยประสาทเสียไป ซึ่งมิลแกรมได้ให้เหตุผลว่า ถ้าผู้เข้าร่วมโครงการเป็นตัวของตัวเองแล้วและมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง ไม่จาเป็นต้องเชื่อฟังว่าจะต้องช๊อตไฟฟ้าผู้เข้าร่วมโครงการด้วยไฟฟ้าแรงสูง แล้วจะไม่ประสาทเสีย และการวิจัยดังกล่าวคงไม่มีใครโจมตีว่าผิดจรรยาบรรณแต่ที่โจมตีกันจริงๆ แล้วคือการหลอกผู้ที่เข้าร่วมโครงการเข้าใจว่าได้มีการช๊อตไฟฟ้าด้วยไฟแรงสูง ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีการใช้ไฟฟ้าแรงสูงเพียงแต่ผู้สมรู้ร่วมคิดแสร้งทาว่าตนเองได้รับไฟฟ้าแรงสูง การวิจัยดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้ามีการบอกข้อเท็จจริงให้ทุกฝ่ายได้ทราบอย่างไรก็ตามหลังจากการสิ้นสุดโครงการ มิลแกรมได้เปิดเผยให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้ทราบถึงความเป็นจริงและได้เสริมประสบการณ์ให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับตนเอง(Self-awareness) มากขึ้น ตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่งเป็นการศึกษาของฮัมฟรีย์ส (Humphreys) (อ้างใน Sandersand Pinhey, 1983) เกี่ยวกับพฤติกรรมร่วมเพศเดียวกันของผู้ชาย (Male homosexualbehavior) ที่เกิดขึ้นในห้องน้าสาธารณะซึ่งตัวฮัมฟรีย์สเองทาเป็นผู้ที่หาความสุขจากการแอบมองดูพฤติกรรมดังกล่าว บทบาทดงั กล่าวนีเ้ รียกว่า ราชินีเฝา้ มอง (Watch queen) หรือนางเฝ้าสิ่งถือว่าเป็นสิ่งปกติในสภาวการณ์และสถานที่เช่นนั้น การที่ฮัมฟรีย์สปรากฏตัวในสถานที่เช่นนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดความวิตกกังวลแต่อย่างใดแก่ชายที่มาหาความสุขด้วยกัน และนอกจากน้ันตัวนางเฝ้า (ราชินี) เองยังช่วยเป็นยามคอยดูแลสถานการณ์ให้ด้วย แต่ถ้าหาก
315ประชากรที่เป็นเป้าหมายของการศึกษาทราบบทบาทที่แท้จริงของฮัมฟรีย์สอาจจะไม่พอใจหรือมีปัญหาทาให้ไม่สามารถทาวิจัยได้ ส่ิงที่ก่อให้เกิดประเด็นเป็นปัญหาทางด้านจริยธรรมคือการที่ฮัมฟรีย์สได้ทาการวิจัยติดตามโดยทาการจดบันทึกเลขทะเบียนรถ ที่ผู้ร่วมเพศเดียวกันได้นามาจอดไว้ในบริเวณใกล้เคียง แล้วทาการสืบจนได้ชื่อและที่อยู่ของเจ้าของรถ โดยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการวิจัย หากมีการติดตามไปจนถึงบ้านแล้วทาเป็นไม่รู้เร่ืองมาก่อน โดยเข้าไปสัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ทัศนคติต่างๆที่จะเป็นประโยชน์ต่อการศกึ ษา การที่ฮัมฟรีย์สมาเปิดเผยถึงเทคนิควิธีการศึกษาดังกล่าว โดยเชื่อว่ามิได้เป็นการผิดจรรยาบรรณ และข้อค้นพบของเขาได้ก่อให้เกิดความกระจ่างแจ้งอย่างมากในเร่ืองไม่มีผู้ใดรู้อะไรเท่าใดนัก แต่การให้เหตุผลว่าข้อค้นพบนั้นเป็นเหตุที่สนับสนุนความคุ้มค่าของวิธีการศกึ ษาที่ใช้ เท่ากับเป็นการเปิดช่องทางให้มีการนาเอาวิธีการใดๆ ก็ได้มาใช้เพื่อการวิจัย ขอเพียงแต่ใหไ้ ด้มาซึ่งข้อค้นพบที่มีคุณค่าทางวิชาการซึ่งอาจไกลไปถึงกรณีค่ายกักกันของพวกนาซีที่ทารุณกรรมกับชาวยิว เพื่อเหตุผลทางด้านการศึกษาและวิจัยลักษณะการตายด้วยการทารุณกรรมแบบต่างๆ ตัวอย่างการศึกษาของฮัมฟรีย์สแม้ว่าจะห่างไกลจากค่ายกักกันของพวกนาซี แตก่ ็ชีใ้ ห้เหน็ ถึงความเสีย่ งต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนของวิธีการศกึ ษาบางวิธี ตัวอย่างท้ังสองตัวอย่างข้างต้นชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดจากความขัดแย้งทางจริยธรรมระหว่างความต้องการทางด้านการวิจัยกับผลกระทบหรือผลประโยชน?ที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายของการวิจัย ยังมีตัวอย่างอื่นๆอีกมากมาย เช่น การติดยาเสพติดของผู้ที่อยู่ในโครงการฟื้นฟูสุขภาพหรือในสถานกักกันหรือของนักโทษในเรอื นจาซึ่งผู้วิจัยไม่สามารถบอกให้ผใู้ ด โดยเฉพาะประชากรเป้าหมายรู้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนว่าตนตอ้ งการจะศึกษาเรื่องอะไร ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมและจรรยาบรรณ เท่าที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นแต่เพียงการเสนอแนะในเบื้องต้นเกี่ยวกับจริยธรรมและจรรยาบรรณทางวิชาการซึ่งรวมถึงทางด้านการวิจัยด้วย โดยยังมิได้มีการนิยามให้ชัดเจนว่า จรรยาบรรณหรือจริยธรรมน้ันคอื อะไร และแตกต่างกันอย่างไร
316 จริยธรรม หรอถึง ความดีที่งดงาม (Virtue) ตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “Ethics” ซึ่งเมลเดน (Melden, 1978) ได้กล่าวว่าได้มาจากภาษากรีกว่า “Ethos” ซึ่งเดิมหมายถึงประเพณี(Customs) ธรรมเนียมปฏิบัติ (Habitual conduct) และต่อมาได้หมายถึงศีลธรรม (Morals) ซึ่งตรงกบั ภาษาละตนิ ว่า “Mores” ซึ่งแปลเปน็ ไทยว่าจารีตประเพณี จรรยาบรรณหมายถึงกฎเกณฑ์แห่งความดีที่สมาชิกของสงั คมพึงปฏิบัติ ซึง่ เกิดขึ้นเมื่อสมาชิกส่วนใหญ่เห็นว่าพฤติกรรมที่ดีงามน้ันจาเป็นต้องมีการกาหนดอย่างเป็นทางการเพื่อสมาชิกทุกคนจะได้มีการยึดถือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เป็นทางการ เพราะว่าสมาชิกของสังคมมิได้ผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคม (Socialization) ที่เหมือนกัน ค่านิยม ทัศนคติ และพฤติกรรมของแต่ละคนหรือบางคนถึงอาจจะเพี้ยนแตกต่างกันไป การที่จะให้สมาชิกใหม่และเก่าได้รับรู้ถึงจริยธรรมร่วมกันเพื่อรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศศักดิ์ศรีของวงการชีพและเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการประพฤติมิชอบของสมาชิก และควบคุมพฤติกรรมของสมาชิกให้อยู่กับร่องกับรอยหรือแนวทางที่เหมาะสม จึงได้มีการบัญญัติหรือออกข้อบังคับของวิชาชีพซึ่งเรียกว่าจรรยาบรรณ (Professional ethics หรือ ethical codes) เช่น ความป่ันป่วนของตลาดหลกั ทรัพย์ทีอ่ าจเกิดจากพฤติกรรมอันมิชอบของสมาชิก ทาใหค้ ณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ได้ออกจรรยาบรรณของสมาชิกตลาดหลักทรัพย์เป็นข้อกาหนดเกี่ยวกับจรรยาบรรณของสมาชิกเพื่อเป็นแนวทางให้บริษัทสมาชิก กรรมกร พนักงานและลูกจ้างของบริษัทสมาชิปฏิบัติงานด้วยความสุจริต และเป็นมาตรฐานเดียวกันโดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1กุมภาพนั ธ์ 2538 เปน็ ต้นไป (วัฏจักรรายวนั หลักทรัพย์, 30 มกราคม 2538:3) จรรยาบรรณของนกั วิจัยในประเทศท่ีพฒั นาแล้ว สาหรับการวิจัยทางสังคมศาสตร์ สมาคมวิชาการสาขาต่างๆในประเทศที่เจริญแล้วอย่างสหรัฐได้ออกจรรยาบรรณสาหรับนักวิจัยและนักวิชาการของตน เช่น สมาคมนักมานุษยวิทยา สหรัฐอเมริกา The Council of the America Anthropological Association แก้ไขเพิ่มเติมในปี 1979 (Dooley, 1983) สมาคมจิตวิทยาสหรัฐโดย The Council ofRepresentativesof the AmericaPsychological Association ในปี พ.ศ. 1982 ร่วมกับคณะกรรมาธิการป้องกันผู้เข้ามีส่วนร่วมในการวิจัย (Committee for the Protector of Human Participants in Research)
317ในประกาศใช้จรรยาบรรณในการวิจยั ที่เรียกว่า Ethical Principles in the Conduct of Researchwith Human Participants และสมาคมสังคมวิทยาแห่งสหรัฐ โดยสภาของสมาคม (The Councilof the American Sociological Association) ในปี ค.ศ. 1981 ก็ได้ออกแนวทางในการวิจัยเกี่ยวกับคน ที่เรียกว่า Human Subject Guidelines of the American Sociological Associationซึ่งได้มกี ารแก้ไขปรับปรุงในปี ค.ศ. 1982 (Dooley, 1983) อย่างไรก็ตามเนื่องจากขาดอานาจบังคับทางกฎหมาย และองค์การบริหารวิชาชีพต่างๆ เหล่านี้แม้ว่าจะเข้มแข็งกว่าวงการวิชาชีพของประเทศไทย แต่ก็ไม่สามารถจะยับย้ังการละเมดิ จรรยาบรรณของสมาคมวิชาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเนื่องจากการที่รัฐบาลกลางได้มีบทบาทอย่างมากในด้านการส่งเสริมจัดสรรงบประมาณการวิจัย จึงได้มีการกาหนดแนวทางให้รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นใช้ในการพิจารณาสนับสนุนให้ทุนวิจัยซึ่งในปี ค.ศ.1974 ได้มีพระราชบัญญัติการวิจัยแห่งชาติ (National Research Act) ซึ่งนาไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมการป้องกันการวิจัยเกี่ยวกับคนทางด้านชีวแพทย์ และพฤติกรรมศาสตร์ ที่เรียกว่าThe National Commission on the Protection of Human Subjects of Biomedical andBehavioral Research ซึ่งมีการต้ังคณะกรรมการพิจารณาข้อเสนอโครงการวิจัย ถึงแม้ว่านกั วิจัยจะไม่ใช้เงินทุนของรฐั กลางหรอื รัฐบาลท้องถิ่นแต่ยงั ต้องขออนมุ ัติจากสถาบันทีต่ นใช้สิ่งอานวยความสะดวกหรือบุคลากร โดยที่สถาบันแห่งนั้นยินดีที่จะให้ความร่วมมือเพื่อแสดงให้เหน็ ว่าสถาบนั นั้นๆต้องการคมุ้ ครองสทิ ธิของผู้ที่ตกเปน็ กรณีของการวิจยั ในการพิจารณ าอนุมัติหรือไม่อนุมัติให้ทาวิจัยของคณ ะกรรมการฯ จะแบ่งโครงการวิจัยออกเปน็ 3 ประเภท คือ ประเภทที่ได้รับการยกเว้น (Exempt) ประเภทเอื้ออานวยให้ (Expedited) และป ระเภ ท ที่ มีการพิ จารณ าเต็มที่ (Full Review) สาระสาคัญ ของโครงการวิจัยท้ัง 3 ประเภท มีดังนี้ 1. ประเภทได้รบั การยกเว้น (Exempt) ซึง่ ได้แก่การวิจัยทีไ่ ม่มีการเสี่ยงหรือมีความเสี่ยงต่า (no or low risk) เช่นการวิจัยข้อมูลทุติยภูมิ หรือการทดสอบการศึกษา การสังเกตพฤติกรรมสาธารณะหรือการวิจัยสารวจ ไม่มีการระบุตัวตนที่เป็นเป้าหมายของการศึกษา(บุคคลที่ให้คาตอบหรือข้อมูล) ที่อาจนาไปสู่ปัญหาทางการเงนิ หรือทางกฎหมาย หรือในหัวข้อทีอ่ อ่ นไหว (เชน่ ยาเสพติด พฤติกรรมเบีย่ งเบน หรอื พฤติกรรมเพศ)
318 2. ประเภทที่ผ่อนปรนเอื้ออานวยให้ (Expedited) เช่น การวิจัยที่บันทึกเสียง หรือถ่ายภาพผู้ให้ข้อมูล การใช้เอกสารข้อมูลบุคคลที่มีอยู่ การศึกษาพฤติกรรมกลุ่มที่ไม่ก่อให้เกิดความเครียด หรอื การทดสอบความเฉียบแหลมไหวพริบและประสาทสัมผัสในการเรียนรู้ 3. ประเภทที่ต้องมีการพิจารณาเต็มที่ (Full Review) คือการวิจัยท้ังหลายที่ไม่ตกอยู่ในกลุ่ม “ยกเว้น” หรอื “เอื้ออานวย” การวิจัยประเภทนี้จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ที่ตกเป็นกรณีศกึ ษาที่จะต้องมีการอธิบายอย่างชัดแจ้งครบถ้วน (Informed consent) จากผู้ที่เป็นเจ้าของการวิจัยคายินยอมนั้นจะต้องเป็นลายลักษณ์อักษรซึง่ จะมีการยกเว้นได้ต่อเมื่อมีเหตุผลที่ฟงั ขึ้นถึงขน้ั ทีว่ ่าถ้าหากไม่ได้รบั การยกเว้นแล้ว หา้ มมใิ ห้มกี ารดาเนินการ2. จริยธรรมเบื้องตน้ ของนักวิจัย 1. ความซื่อตรง ในบรรดาความดีงามต่างๆของนักวิจัย สิ่งที่สาคัญที่สุดของความเป็นนักวิจัยที่ดีมีจริยธรรม คือ ความซื่อตรง (Honesty) ความซื่อตรงนี้มีคุณค่าและความหมายท้ังในด้านศลี ธรรมและในด้านการปฏิบัติหน้าที่ของความเป็นนักวิจัย นักวิจัยที่ขาดความซือ่ ตรงคดโกงในด้านต่างๆ โดยลาพังก็ยากที่จะหาคนค้าสมาคมด้วยได้และเสี่ยงต่อการกระทาผิดทางกฎหมายและขาดความไว้เนื้อเช่ือใจจากบุคคลฝา่ ยต่างๆ ในด้านผลงานของการวิจัยหรอื แม้แต่ที่จะใหท้ าการวิจัย ความซือ่ ตรงน้ี แซนเดอร์สและพินเฮย์ (Sanders and Pinhey, 1983) แบ่งออกเป็น (ก)ความซื่อตรงในข้อค้นพบ และ (ข) ความซือ่ ตรงต่อผู้เปน็ เป้าหมายของการวิจยั ความซื่อตรงต่อข้อค้นพบของนักวิจยั ในที่นหี้ มายถึงการอทุ ิศตัวของผู้วิจัยการที่ค้นคว้าหาข้อเท็จจริงที่ถูกต้องมากที่สุด (The most valid information) เท่าที่ตนจะสามารถทาได้ โดยต้องซื่อสัตย์กับตนเองและทุกฝ่ายที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในเร่ืองเกี่ยวกับ (ธรรมชาติของ) สิ่งที่วิจัยว่าทาอะไรและดาเนินการอย่างไร และในการรายงานจะต้องรายงานตามสภาพความเป็นจรงิ ทั้งในด้านระเบียบและวิธีและในข้อค้นพบ สิ่งที่ถือได้ว่าเลวร้ายมาก (The most insidious) ของการวิจัย คือการรายงานเท็จเกี่ยวกับข้อค้นพบของการศึกษา เพราะการกระทาดังกล่าวนอกจากทาให้นักวิจัยผู้อื่นหลงผิด
319ทาการวิจยั ตามแนวทางข้อค้นพบเหล่านั้นแล้วยังทาให้ผลงานวิจัยต่างๆที่นักวิจัยผไู้ ร้จริยธรรมผนู้ ั้นได้ทามาขาดความเชือ่ ถอื ผู้วิจัยบางคนทาการแก้ไขข้อค้นพบโดยการเปลี่ยนระดับนัยสาคัญทางสถิติของการทดสอบ หรือแก้ตัวเลขต่างๆ เพื่อให้เกิดความแตกต่างที่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ได้ต้ังไว้แทนที่จะพยายามหาเหตุผลหรอื อธิบายอืน่ ๆทีเ่ หมาะสมกับข้อค้นพบ ที่ไม่ชัดเจนหรอื ขดั แย้งกับทฤษฎีหรอื สมมติฐานที่ต้ังไว้ เพื่อประโยชน์ต่อความเข้าใจหรอื เพื่อเปน็ แนวทาในการศึกษาวิจัยต่อไปในอนาคต การฉ้อโกงดังกล่าวนี้ยากแก่การตรวจสอบยกเว้นแต่จะกระทาโดยนักวิจัยที่เชย่ี วชาญอยู่ในวงการนนั้ ๆ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความซื่อตรงต่อประชากรเป้าหมายของการวิจัย ตัวอย่างที่เป็นคลาสสิกนิยมอ้างกันมากที่สุด คือ การกล่าวอ้างในนามของนักวิทยาศาสตร์ของพวกนาซีที่ทดลองศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความเจ็บปวดที่คนเราสามารถจะทนได้ก่อนที่จะตาย เช่น ผลของความสูงบนเรือบินที่ไม่มีการปรับแรงกดดันของอากาศ หรือการหลอกให้ชาวยิวไปอาบน้าทาความสะอาดก่อนจะจัดที่พักให้แล้วปล่อยแก๊สพิษฆ่าทั้งเด็กผู้ใหญ่ ชายหญิง เป็นต้น หรอื อย่างที่นักวิจยั ญี่ปุ่นทากับชาวเกาหลีในสมนั สงครามโลก เพื่อทดสอบความอดทนของมนุษย์และของอวัยวะต่างๆ ของมนษุ ย์ในสภาวะต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการได้รับคายินยอมที่เพียบพร้อมด้วยข้อสนเทศ (Informedconsent) แม้ว่าการทดลองกับคนในลักษณะที่พวกนาซีกระทาต่อชาวยิวและญี่ปุ่นต่อชาวเกาหลีคงจะไม่เกิดขึ้นอีกในวงการวิจัยทั้งหลาย แต่ถึงกระนั้นในปัจจุบันนี้ได้มีการกาหนดเป็นบรรทัดฐานว่าผู้วิจัยจะต้องชี้แจงให้ผู้เป็นเป้าหมายของการวิจัยทราบถึงข้อเท็จจริงต่างๆเกี่ยวกับงานวิจัยที่ตนเองทา โดยไม่มีการปิดบังอาพรางหรือหลอกหลวงให้ผูที่เป็นเป้าหมายของการวิจัยเข้าใจผิด ในประเทศที่พฒั นาแล้วจะต้องมกี ารทาหลกั ฐานเป็นเอกสารแสดงการให้ความยินยอมโดยผทู้ ีใ่ ห้ความยินยอมมอี ิสระที่จะร่วมหรอื ไม่ร่วมได้ตามความต้องการของตน เนื่องจากการวิจัยทางสังคมศาสตร์และพฤตกรรมศาสตร์ในปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่ก่อใหเ้ กิดผลรา้ ยต่อประชากรทีเ่ ปน็ เป้าหมาย และไม่มีการบงั คบั หรอื ข่มขใู่ ห้ประชากรเป้าหมายเข้าอยู่ในโครงการการวิจัย ปัญหาเร่ืองของการได้รับคายินยอมอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจึงมักไม่ค่อยเกิดขึ้น ถึงกระน้ันผู้ที่กระทาการวิจัยจะต้องชี้แจงให้ผู้ที่เป็นประชากรเป้าหมายของ
320การศึกษาได้ทราบว่าตนเองทาการศึกษาอะไร ทาอย่างไร และจะนาไปใช้ประโยชนอ์ ะไร โดยไม่มีการปิดบังอาพรางหรอื โกหกหลอกลวงให้เกิดความเข้าใจผดิ 2. ความลบั เฉพาะสว่ นบคุ คล (Confidentiality) ปัญหาเร่ืองความลับเฉพาะของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยทั่วไปไม่เป็นประเด็นปัญหาของจริยธรรมของการวิจัย แต่จะเป็นปัญหาทันทีเม่อื มีสิ่งที่กระทาผิดกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นในการวิจัยประเมินผลโครงการต่างๆ หรือการศึกษาพฤติกรรมเบี่ยงเบนท้ังหลาย (เช่น การค้าประเวณี การติดยาเสพติด การรีดไถ การคอรับชั่น) ที่ผู้ให้ข้อมูลอาจได้รับอันตรายหากผู้วิจัยเปิดเผยว่าได้ข้อมูลดังกล่าวมาจากผู้ใดหรือใครบ้างที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นผู้ที่จะให้ข้อมูลอาจไม่ให้ขอ้ มูลหากทราบว่าผทู้ ี่ทาการศกึ ษานั้นเป็นใคร (ใช่พวกเดียวกับตนหรอื ไม่) สิ่งที่ถือเป็นจรรยาบรรณของนักวิจัยคือการรักษาความลับเกี่ยวกับผู้ให้ข้อมูล เช่น ไม่เอาแบบสอบถามทีเ่ ก็บรวบรวมมาซึ่งมีชื่อที่อยู่ของผู้ให้ข้อมูลเปิดเผยให้แก้ผอู้ ืน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อให้เกิดผลร้ายแก่ผู้ให้ข้อมูล แม้ว่าจะเกิดประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่หรือประโยชน์ต่อทางราชการ สิ่งที่ควบคู่ไปกับจรรยาบรรณของนักวิจัย คือมารยาทของนักวิจัยที่จะไม่เอาเร่ืองส่วนตัว หรือเร่ืองราวรายบุคคลของผู้ที่เป็นเป้าหมายของการวิจัยไปพูดในที่สาธารณะไม่ว่าจะเป็นไปในลักษณะการบันเทิงหรือการถกเถียงทางวิชาการ หากจะใช้เป็นกรณีศึกษาควรที่จะหาทางมใิ ห้มีการระบุได้วา่ กรณีศกึ ษาน้ันเป็นผู้ใดและอยู่ที่ใดซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือเสี่ยงต่อการก่อใหเ้ กิดความเสียหายได้ 3. ความเสียหายหรอื ความเสี่ยงต่อความเสียหาย ความเสียหายหรอื ความเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขนึ้ สามารถแยกออกได้เป็น 3ประเภท คือ (ก) ความเสียหายทางด้านจิตวิทยา (Psychological risk) (ข) ความเสี่ยงทาสังคมต่อตัวบุคคล (Individuals) และ (ค) ความเสีย่ งทางสังคมต่อกลุ่ม (Groups) ความเสี่ยงทางด้านจิตวิทยาคือการวิจัยที่ไปขัดขวางกิจกรรมปกติของบุคคลแล้วก่อให้เกิดความเครียดขึ้นระหว่างการวิจัยหรือจากการที่เข้าไปร่วมในการวิจัยเช่น เกิดความวิตกเกี่ยวกับศักดิ์ศรีของตน (Self esteem) เกิดจากความต้องการเชิงพฤติกรรมที่ต่างไปจาก
321ค่านิยม จริยธรรม หรือศีลธรรมของตน เกิดจากการที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่ชอบ และเกิดจากการที่ต้องใช้กาลังกายมากไป ความเสี่ยงทางสังคมต่อบุคคล หมายถึง การที่ผู้เข้าร่วมวิจัยอาจจะต้องเสี่ยงต่อการสูญเสียความสัมพันธ์ที่พึงปรารถนาต่อสมาชิกภาพในกลุ่มและระหว่างกลุ่มต่างๆ หรือเสียโอกาสที่พึงมีตามปกติต่อการที่จะได้มาซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าว เช่น การถูก (ใส่ร้าย) ป้ายชื่อการเผชิญกับปฏิกิริยาเชิงปฏิปักษ์ของผอู้ ื่น โอกาสของการเข้าถึงหรือได้มาซึง่ บทบาทการเขยิบฐานะทางสงั คม การสังสรรคแ์ ละความเป็นสมาชิกของกลุ่มนน้ั ๆลดลง ความเสีย่ งทางสังคมทีก่ ารวิจัยมีต่อกลุ่ม หมายถึง สถานภาพของกลุ่มทั้งกลุ่มที่อาจจะต้องสูญเสยความอยู่รอดหรือสูญเสียความมีชีวิตชีวาของกลุ่ม เช่น ถูกป้ายชื่อว่าฝักใฝฝ่ ่ายไม่ดีได้รับปฏิกิริยาที่เปน็ ปฏิปักษ์จากสภาวะแวดล้อมทางสงั คม เข้าถึงทรัพยากรตา่ งๆได้น้อยลง หาสมาชิกหรือรักษาสมาชิกได้น้อยลง เสียขวัญและกาลังใจ ทาให้องค์กรขาดความเป็นปึกแผ่นสูญเสียโอกาสในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น ก่อให้เกิดการบิดเบือนกิจกรรมของกลุ่ม สิ่งที่นักวิจยั ควรถามคือ การวิจยั ได้ก่อให้เกิดความเสีย่ งต่างๆ เหล่านหี้ รอื ไม่ จริยธรรมกับขัน้ ตอนของการวจิ ยั เท่าที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้แสดงให้ถึงจริยธรรมของการวิจัยกับการวิจัย ในภาพรวมมิได้มีการแบ่งออกมาเป็นข้ันตอนของการวิจัย โดยทั่วไปการวิจัยแบ่งออกเป็นขั้นตอนที่สาคัญดงั ตอ่ ไปนี้ 1) การทาขอ้ เสนอโครงการวจิ ยั 2) การพิจารณาข้อเสนอวิจยั 3) การดาเนินการวจิ ัย 4) การรายงาน การทาข้อเสนอโครงการวจิ ัย ในการทาข้อเสนอโครงการวิจัย ผู้ที่ทาการวิจัยจะต้องกาหนดหัวข้อเร่ืองที่จะทาการวิจัย แล้วนามาแจกแจงว่าตนจะศึกษาอะไรบ้างในหัวข้อเร่ืองนั้นๆ ที่เรียกว่าวัตถุประสงค์ของ
322การวิจัย จากวัตถุประสงค์ของการวิจัยแต่ละข้อผู้วิจัยจะต้องระบุถึงข้อมูลที่ตนต้องการเพื่อตอบสนองความต้องการของวัตถุประสงค์ของการวิจัย จากข้อมูลที่ต้องการผู้วิจัยจะทราบว่าตนจะต้องเก็บข้อมูลนนั้ จากที่ใด (ผใู้ ด/แหล่งใด) โดยวิธีการใด วิธีการที่ได้มาซึ่งข้อมูลนั้น คือตัวสาคัญที่มีผลกระทบและเกี่ยวข้องโดยตรงกับจริยธรรมหรือจรรยาบรรณของนักวิจัย แต่ความรู้สึกดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นกับนักวิจัยที่มีความอ่อนไหวต่อปญั หาจรยิ ธรรมเท่าน้ัน อย่างไรกต็ ามความรู้สกึ อ่อนไหวดงั กล่าวที่สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ เม่ือผู้นั้นได้มีโอกาสรับทราบข่าวสารเกี่ยวกับการเป็นนักวิจัยที่ดีมีจรรยาบรรณผู้วิจัยเม่ือตระหนักถึงปัญหาจริยธรรม/จรรยาบรรณจะต้องหาทาง หรือออกแบบการวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลโดยไม่เกิดผลร้ายต่อประชากรที่เป็นเป้าหมายของการวิจัย ทั้งในด้านจิตวิทยา ทั้งในด้านตัวบุคคล หรือต่อกลุ่มประชากรเป้าหมายหากไม่แน่ใจเพราะโอกาสของความเสี่ยงสงู ผวู้ ิจยั จะต้องเตรียมการชีแ้ จงให้ประชากรเป้าหมายทราบถึงความเสี่ยงดังกล่าว ในการทาข้อเสนอโครงการวิจยั เมือ่ ระบวุ ิธีการเก็บข้อมูลแล้วจะต้องมีการเสนอวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งจะต้องชัดเจนว่าไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ประชาชนที่เป็นเป้าหมายของการวิจัยท้ังทางดา้ นจติ ใจ ตวั บุคคลและกลุ่มบคุ คล การพิจารณาข้อเสนอโครงการวิจัย หากการทาวิจัยน้ันต้องอาศัยเงินทุนสนับสนุนจากภายนอกซึ่งจะต้องมีการพิ จารณาโดยคณะกรรมการซึ่งส่วนใหญ่จะประกอบด้วยนักวิชาการ/นักวิจัยหรือผู้ทรงคุณวุฒิด้านน้ันๆขั้นตอนนเี้ ป็นขั้นตอนที่มีความสาคัญต่อต่อระบบคุณธรรมและจริยธรรมในวงการวิจัยความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้จากการผลักดันพรรคพวกของตนเพื่อให้ได้เงินสนับสนุนการวิจั ยและจากการหาทางทาลายหรือบดบังหรือกีดกันคู่แข่งของตนหรือของพรรคพวกตนด้วยการเอาเหตผุ ลและหลกั การต่างๆมาใช้เพื่อสนับสนนุ การผลักดนั และการกีดกนั ผู้อืน่ ยกเว้นพวกของตน สภาวะเชน่ นีเ้ กิดขึ้นอยู่เสมอๆในสงั คมไทย ทาให้การพิจารณามุ่งไปที่ตัวบุคคล (พรรคพวก)มากกว่าผลงานของการวจิ ยั ทีต่ อ้ งการ ในด้านผู้เสนอโครงการวิจัยเพื่อขอรับทุน ผู้เสนอโครงการบางคนพยายามทาทุกอย่างหรอื หลายที่จะใหไ้ ด้มาซึง่ เงนิ ทุนสนับสนุนการวิจัยเพื่อตนเองจะได้ทาการวิจัยในเรื่องน้ันเพื่อจะ
323ได้มีผลงานทางวิชาการ ในบางกรณีเพื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น หรือผลประโยชน์อื่นๆทางสังคม ในสภาวะเช่นนี้จะทาให้ผู้ที่จะทาการวิจัยพยายามชี้แจงให้คณะกรรมการผู้พิจารณาเห็นว่าโครงการวิจัยของตนได้ใช้วิธีการศกึ ษาหลายวิธีแต่ละวิธีมีความถูกต้อง ซึ่งพฤติกรรมการชีแ้ จงดังกล่าวนี้ไม่ได้ผิดอะไร แต่จะผิดจรรยาบรรณทันทีหากผู้วิจัยรู้ว่าจริงๆ แล้วทาไม่ได้หรือจะไม่ทาและไม่ได้ทาจริงเม่ือถึงข้ันตอนของการดาเนินการโครงการวิจัย สภาวิจัยแห่งชาติของประเทศไทยประสบปัญหาดังกล่าวนี้ไม่น้อยในการตรวจรับงานวิจยั ทีไ่ ด้รับเงินอุดหนุนจากสภาฯ การดาเนินการวจิ ยั ในการดาเนินการวิจัย ซึ่งมีขั้นตอนต่างๆมากมาย ขั้นตอนที่สาคัญที่เกี่ยวข้องกับจรรยาบรรณและจริยธรรมของนักวิจัย คือการทบทวนวรรณกรรม การเก็บรวบรวมข้อมูลการวิเคราะหแ์ ละตีความหมายข้อมูล และการรายงานผล การทบทวนวรรณกรรม ในข้ันตอนนี้เป็นข้ันตอนที่แสวงความรอบรู้ที่ทาทาการวิจัยว่าได้ทาการศึกษาค้นคว้าในเรื่องน้ันๆ มามากน้อยเพียงใด บางคนเข้าใจผิดคิดว่าการกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่เคยมีผใู้ ดศึกษามาก่อน” แสดงถึงความเก่งกาจ การมีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ของตน โดยหารู้ไม่ว่าผรู้ ู้อืน่ ๆ ที่อยู่ในวงการเขาจะคิดอย่างไรกับการกล่าวที่ไม่เป็นความจริงโดยตลอด การที่หัวข้อเร่ืองอาจจะแตกต่างกนั เวลาอาจแตกต่างกัน หรือกลุ่มประชากรเป้าหมายแตกต่างกัน ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีผู้ใดศึกษามาก่อน ตราบใดที่ตัวแปร (อิสระ) ที่เกี่ยวข้องได้มีผู้ศึกษามาก่อนจริงๆ แล้วผู้วิจัยจะต้องถามตัวเองว่าตัวเองน้ันได้ทาการศึกษามาอย่างถ่องแท้ทั่วสากลจักรวาลแล้วหรือถึงสามารถกล่าวได้ว่าไม่เคยมีผู้ใดได้คิดหรอื ได้ศึกษามาก่อน สาหรับผู้ที่ได้ทาการศึกษาทบทวนวรรณกรรมและพยายามแสวงหาว่าผู้ใดเคยศึกษาเรื่องนีม้ าก่อนในแงม่ ุมใดด้วยวิธีการใด หากได้อ่านผลงานต้นฉบับจะสามารถอ้างอิงได้ถูกต้องครบถ้วน แต่บางคนอ่านบทวิจารณ์หรือการทบทวนวรรณกรรมน้ันมาเป็นรายงานโดยไม่บอกกล่าวว่าเอามาจากใคร และทาราวกับว่าตนเองเป็นผู้ทบทวนมาเอง ในประเทศตะวันตกถือว่าพฤติกรรมดังกล่าวเปน็ ความผิดที่รุนแรงพอๆ กับการขโมยผลงานวิจัยของคนอื่นมาเป้นของตน
324เป็นการขัดต่อจริยธรรมที่เขาสอนกันมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียนเกี่ยวกับระบบอ้างอิงที่ใช้ในการทารายงาน การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ในการได้มาซึ่งข้อมูล ผู้ที่การวิจัยจะต้องทาการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยผู้ให้ข้อมูลจะต้องมีความสมัครใจที่จะให้ และไม่มีการบังคับขู่เข็ญใดๆ ควรมีการชี้แจงให้ผู้ให้ข้อมูลทราบว่าตนเองทาเรอ่ื งอะไร ดว้ ยวิธีการใด และจะนาข้อมลู ไปใช้ประโยชน์ในทางใด หากมีความเสีย่ งที่จะเกิดผลร้ายต่อผู้เข้าร่วมวิจัยควรมีการชี้แจงและขอความยินยอมและความสมัครใจในการเข้าร่วมเปน็ ส่วนหน่งึ ของโครงการวิจยั ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ยกเว้นแตว่ ่าถ้าชแี้ จงไปแล้วไม่มีโอกาสที่จะได้ทาการวิจัยในเรื่องน้ันๆ ได้ หากชแี้ จงไม่ได้และไม่สามารถขอความยินยอมได้ผู้วิจัยสามารถที่จะทาได้หากม่ันใจว่าการวิจัยน้ันไม่ส่งผลร้ายให้กับประชากรที่เป็นเป้าหมายของการวจิ ยั ในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดปัญหาแก่ผู้ถูกวิจัย ผู้วิจัยจะต้องไม่เก็บรักษาข้อมูลไว้ในลักษณะที่เสี่ยงต่อการเปิดโอกาสให้ผู้อื่นที่อาจจะใช้ประโยชน์ทางข้อมูลนาข้อมูลไปใช้แล้วก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ให้ข้อมูล หากต้องเก็บไว้ในสภาพแบบสอบถามหรือการบันทึกสดไม่ควรให้มีการนาไปใช้ประโยชน์อื่นที่นอกเหนือจากการวิจัย หากเป็นไปได้ควรทาลายชื่อของผู้ให้ข้อมูล หรือจัดทารหัสและปกปิดรหัสไว้มิให้มีการทราบโดยตรงว่าข้อมูลน้ันเปน็ ของใครอยู่ทีใ่ ด การวเิ คราะหแ์ ละตีความหมายขอ้ มูล ในเมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ขั้นต่อไปของการวิจัย คือ การวิเคราะหแ์ ละตีความหมายข้อมูลผู้วิจัยจะต้องทาการวิเคราะห์และเสนอผลการวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมาและจะต้องเสนอในลักษณะที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลได้ กล่าวคือ ควรเสนอในลักษณะรวมๆหรอื เป็นกรณีศกึ ษาที่ไม่สามารถระบไุ ด้ว่าเจ้าของขอ้ มลู น้ันเป็นใครและอยู่ที่ใด สิ่งที่สาคัญคือการเสนอข้อมูลนั้นควรเสนอตามสภาพความเป็นจริงที่ได้จากการวิเคราะห์ ไม่มีการตกแต่งข้อมูลให้เป็นไปในทางใดทางหนึ่งโดยเจตนาที่จะบิดเบือนความจริงมากกว่าให้เปน็ ไปตามสภาพของข้อมูล
325 ในการตีความผลที่ได้จากการวิเคราะห์ ผู้วิจัยจะต้องมีความเป็นภาวะนิสัยหรือวัตถุวิสัย (Objectivity) คือ ควรตีความที่อาศัยหลักทางวิชาการ โดยไม่มีเจตนาที่จะชี้นาไปในทางที่ขัดแย้งกับข้อมูลที่ได้วิเคราะห์ออกมาเพื่อให้เป็นไปตามจิตวิสัย (Subjectivity) ของผู้วิจัยเองไม่ว่าจะด้วยเหตผุ ลใดก็ตาม การรายงานผลการวิจัย การรายงานผลการวิจัย หมายถึง การรายงานกิจกรรมต่างๆที่ไดเกระทาไป และผลที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมนั้นๆ เช่น การรายงานการทบทวนวรรณกรรม ผลของการทบทวนวรรณกรรม (การได้มาซึงกรอบแนวความคิดสาหรับการวิจัย หรอื สมมติฐานสาหรับการวิจัย)การเก็บรวบรวมข้อมูล (กระบวนการและวิธีการที่ใช้เก็บและผลของการจัดเก็บ) การวิเคราะห์(วิธีการที่ใช้และผลที่ได้จากการวิเคราะห)์ (การอา่ นและตีความหมายผล) การเขียนรายงานการวิจัยจะต้องเขียนให้ถูกต้องตามหลักวิชาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการอ้างอิง เม่ือมีการนาผลงานของผู้อื่นมาใช้แม้แต่คาศัพท์สาคัญ (Key terms) หรือประโยคแต่ละประโยค จะต้องมีการระบุให้ชัดเจนว่าเป็นของใครแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสานวน ประโยค หรอื ข้อความนนั้ ๆ ในกรณีที่มีการอ้างข้อความยาวเกินประโยคควรมีการใช้ย่อหน้าและ/หรือใช้ตัวอักษรเล็กกว่าปกติ เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าข้อความนนั้ ยาวถึงไหน เท่าใด และเป็นข้อความของใคร สิ่งที่เป็นปัญหาในวงการศึกษาปัจจุบัน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูบาอาจารย์ทาเสียเองหรือไม่ให้ความเอาใจใส่ต่อสิ่งเหล่านี้) คือการที่ นักศึกษา (ครูอาจารย์) เองเพียงแต่เขียนประโยคนาเพียงประโยค 2 ประโยค หรือมากกว่าน้ันแล้วต่อข้อความที่เหลือเป็นหน้าๆ หลายหน้าซึ่งเป็นผลงานของผู้อื่นท้ังสิ้นโดยมิได้มีการอ้างอิงหรือแสดงให้เห็นว่าเป็นผลงานของผู้อื่นการกระทานี้ถือได้ว่าผิดจรรยาบรรณทางวิชาการ หารกระทาด้วยเจตนาจะเป็นการผิดต่อจริยธรรมที่ร้ายแรง และหากไม่เจตนายังสมควรได้รับการบอกกล่าวว่าเป็นพฤติกรรมที่ผิดอย่างรา้ ยแรงไม่เปน็ สิง่ พึงปฏิบตั ิในวงการวชิ าการ ในการรายงานผลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูล จะต้องชัดเจนว่าผู้วิจัยมีภาวะวิสัยหรือวัตถุวิสัย(Objectivity) และความเป็นกลางทางวิชาการ (Neutrality) ไม่ฝักฝาฝ่ายใดด้วยจิตวิสัยด้วยความชอบและความต้องการของตนเอง ไม่มีการแก้ไขข้อมูลหรือผลการวิเคราะห์ให้
326แตกต่างจากสภาพที่เป็นจริงหรือได้จากการวิเคราะห์ ข้อสรุปและข้อเสนอแนะต้องเป็นข้อค้นพบที่ได้จากวิจัยโดยตรง มิใช่นาเอาข้อสรุปและข้อเสนอแนะของผู้อื่นมาใช้หรือคิดขึ้นมาเองเป็นเอกเทศจากข้อค้นพบที่ได้จากการวิจัย ความผิดพลาดในการเสนอข้อมูลสรุปและข้อเสนอแนะนี้ อาจไม่รุนแรงและไม่ประเด็นทางด้านจริยธรรมหากผู้วิจัยมิได้กระทาไปด้วยเจตนาที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือด้วยผลประโยชน์อื่นใด แต่หลักฐานที่เป็นเอกสารมีความสาคญั กว่าเจตนาเพราะเจตนาน้ันไม่มใี ครหยงั่ รไู้ ด้ ในการรายงานการวิจัย หาการดีดีพิมพ์ผลงสนการวิจัยน้ันมีผลกระทบต่อความก้าวหน้าทางด้านวิชาการที่เกี่ยวข้อง ควรรายงานผู้วิจัยและผู้รวบรวมวิจัยตามสภาพความเป็นจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทยที่มีระบบอุปถัมภ์ (Patronage) ผู้นาทางวิชาการเละทาตนเป็นพ่อพระโอบอุ้มผอู้ ื่นและทาใหผ้ ู้อื่นภายนอกเข้าใจผิดในความรู้ ความสามารถของผู้ที่ได้รับการโอบอุ้มนอกจากจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแล้ว ยังเป็นผลร้ายแต่ตัวผู้ได้รับการโอบอุ้มด้วยในภายหลังเพราะไม่ใช่เปน็ ผทู้ ี่มีความสามารถอย่างแท้จริง แตเ่ ป็นเพียงนักวิชาการ/นักวิจัยจอมปลอม(Phony) หากสภาวะการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นทั่วไปความสับสนในวงการวิชาการจะมีมากขึ้นเพียงใด วงการวิชาการ/วงการวิจัยต่างประเทศแทบจะไม่มีพฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะนักวิชาการและนักวิจัยที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางเขามีศักดิ์ศรี รู้จักวางบรรทัดฐานและประปฏิบัติตามบรรทัดฐานที่ดีในวงการวิชาการ ผู้ใดมีบทบาทมากในงานวิจัยชิ้นน้ันจะได้รับเกียรติเป็นชื่อแรก ชื่อของผู้อื่นเรียงตามลาดับของผลงาน เพื่ อนักวิชาการอื่นๆจะได้ทราบว่าเป็นผลงานของผู้ใดแน่นอน การอ่านผลงานทางวิชาการจะให้ความสาคัญแก่ผู้เขียนที่เป็นผู้เขียนที่มีชื่อเป็นอันดับแรกและรองมาตามลาดับแต่ในวงการวิชาการไทยมีการช่วยเหลือกันเกินสภาพความเป็นจริงและมีเจตนาที่จะให้ผู้อื่นอยู่นอกโครงการวิจัยเข้าใจผดิ ความมากน้อยของผลงานทางวิชาการ มิได้ขึ้นอยู่กับปริมาณงานมากน้อยเพียงใดในเชิงแรงงาน แต่ขึ้นอยู่กลับใครเป็นผู้เขียนรายงานและใครเป็นเจ้าของความคิด มากกว่าการที่ใครเป็นเจ้าของข้อมูลไม่ว่าการเก็บข้อมูลน้ันจะใช้เวลานานเท่าใดหรือลาบากเพียงใดนี่คอการแตกต่างระหว่างานกรรมกรและงานสมอง ผลงานทางวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาที่ทามาด้วยความลาบากยากเย็นหากอาจารย์ต้องนามาเขียนใหม่เป็นบทความทางวิชาการ ชื่อเจ้าของ
327บทความคือตัวอาจารย์เป็นชื่อแรก และชื่อของนักศึกษาเจ้าของวิทยานิพนธ์เป็นชื่อที่สองโดยธรรมเนียมปฏิบัติยกเว้นแต่จะได้มีการตกลงกันเป็นอย่างอื่นที่เจ้าของข้อมูลต้องการให้มีการนามาใช้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดซึ่งโดยท่ัวไปเป็นข้อตกลงที่มิชอบทางจรรยาบรรณ มุ่งประโยชน์ในการแอบอ้างเป็นผลงานของตนมากกว่าการยอมรับสภาพความเปน็ จรงิ ในทางวิชาการ ในบางครั้งการทาไม่ถูกต้องตามจรรยาบรรณทางวิชาการ ดังเช่นในการอ้างอิงผลงานทางวิชาการ คือ การไม่เสนอชือ่ ผู้ร่วมงานวิจัยทุกคนในผลงานวิจัยที่ถูกอ้างอิง เสนอแต่ชือ่ ของตนเองทั้งๆที่มีผู้อื่นร่วมงานวิจัยอยู่ด้วยด้วยเจตนาที่จะให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าตนเองเป็นผู้ที่มีผลงานมากมายเช่นน้ัน และเกรงไปว่าการเปิดเผยชื่อผู้อื่นที่ร่วมทีมวิจัยจะทาให้คะแนนการพิจารณาของตนนอ้ ยลง ไม่ว่าจะด้วยเจตนาใดหรอื ไม่มีเจตนาใดพฤติกรรมดังกล่าวไม่พึงปฏิบัติในวงการวจิ ัยและไม่เปน็ จรยิ ธรรมของนักวิจัยที่ดี จรรยาบรรณกับการใชป้ ระโยชน์จากงานวิจัย จรรยาบรรณของนักวิจัยมิได้สิ้นสุดลงเม่ือได้ทาการวิจัยเสร็จสิ้นแล้ว นักวิจัยที่มีจรรยาบรรณยังจะต้องคิดคานึงถึงประโยชน์จากงานวิจัยที่อาจมีการนาไปใช้ โดยกลุ่มบุคคลต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ที่มุ่งแสวงหาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในสภาวะสังคมต่างๆซึ่งผู้ที่จะใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยน้ันอาจจะใช้เพื่อควบคุม (Control) บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เป็นเป้าหมายของการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น ในเร่ืองนี้สิ่งที่นักวิจัยจะต้องคานึงถึง คือ (ก) ใครที่ควรจะได้รับรู้ (ความรู้ในที่นี้หมายถึง ข้อค้นพบและวิธีวิทยาที่ใช้ในการวิจัย) และเข้าถึงซึ่งความรู้ดังกล่าวที่ได้จากการวิจัยและ (ข) ความรู้ดังกล่าวจะเพิ่มโอกาสให้มีการควบคุมบุคคลหรอื กลุ่มบุคคล โดยบคุ คลใดหรือกลุ่มบุคคลใด มากน้อยเพียงใด ตัวอย่างของประเด็นในเร่ืองนี้ คือการใช้ประโยชน์จากการศึกษาปัจจัยทางสังคมและทัศนคติ (ที่ได้จากการสร้างเคร่ืองมือวัดหรือทดสอบที่ดูเสมือนว่าวัดหรือทดสอบเร่ืองอื่น) กับความมีหัวรนุ แรงของนักศึกษา ที่ผู้บริหารสถาบันการศกึ ษาอาจใชเ้ ป็นประโยชน์ในการคดั เลือกหรือในการขจัดนักศึกษาหัวรุนแรงให้ออกไปจากระบบการศึกษา หรือ การใช้ประโยชน์ที่ไม่
328ถูกต้องของผู้ที่ขาดความรู้ความเข้าใจในปัญหาเทคนิคของการวิจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากข้อค้นพบน้ันยังมีความไม่แน่นอนสูงและเกี่ยวข้องกลุ่มเฉพาะต่างๆ เช่น กลุ่มเชื้อชาติ กลุ่มผตู้ ้องหาที่อาจก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติตามความแตกต่างของกลุ่ม รายงานการวิจัยที่มีลักษณะการใช้ประโยชน์ดังกล่าวนี้ควรตีพิมพ์หรือไม่เป็นปัญหาทางดา้ นจริยธรรมของนักวิจัย เพราะเสี่ยงต่อการทาความเสียหายใหแ้ ก่กลุ่มทีเ่ กี่ยวข้องเมื่อมี่ผู้ที่จะใช้ประโยชน์จากการวิจัยแล้วใช้ไปในทางที่ผิดๆ เมื่อสภาวะเช่นนี้มีโอกาสเกิดขึ้นเป็นภาระของผู้วิจยั ทีจ่ ะต้องใหก้ ารศกึ ษาแก่ผจู้ ะใช้ประโยชน์จากข้อค้นพบนั้นด้วย หากจะให้มีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยดังกล่าวเพื่อให้ผู้ประโยชน์ได้ทราบถึงข้อจากัดต่างๆของการวิจัย และหากเป็นที่ชดั เจนว่าความรู้ที่ได้จากการศึกษาวิจัยจะมีการนาไปใช้ประโยชน์ในการทาลายล้าง ผู้วิจัยก็ไม่ควรจะรายงานผลงานดังกล่าว และโดยแท้จริงแล้วไม่ควรคิดทางานวิจัยน้ันตงั้ แต่แรก ในทางตรงข้าม หากว่าผลงานดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลดีต่อผู้ที่เกี่ยวข้องหรือเป็นเป้าหมายของการวิจัยแล้วก็ควรได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ เช่น ผลงานของไมเคิล แฮริ่งตัน เรือ่ งThe Other American,ที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ได้ใช้ประโยชน์ในการเริ่มต้นประสงครามกับความยากจน หรือ โสเภณีเด็ก สภาพปัญหา ปัจจัยสาเหตุ และแนวทางแก้ไข ของ ศ.ดร.สุชาติประสิทธิ์รัฐสิทธ์ุ และคณะ ซึงคณะรัฐมนตรีฝ่ายสังคม ได้นาข้อเสนอแนะจากผลงานวิจัยประกาศใช้เป็นนโยบายและมาตรการในการแก้ไขปัญ หาโสเภณี จากการนาเสนอโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม นายพิศาล มูลศาสตร์สาทรและได้รบั รางวลั ผลงานวิจัยดีเยี่ยมด้านการพัฒนาสงั คม จากมลู นิธิหมอ่ มงามจติ ต์ บรุ ฉัตร อย่างไรก็ตาม มาตรฐานที่จะใช้ในการประเมินหรือตัดสินประโยชน์ที่พึงได้รับจากการวิจัยว่าเป็นผลดีหรือผลร้ายต่อผู้ที่เกี่ยวข้องน้ัน เป็นเร่ืองของค่านิยมมากว่าเป็นเร่ืองของข้อมูลและข้อค้นพบ แตถ่ ึงกระน้ันก็มีส่ิงที่ผู้วิจัยพึงยึดถือเปน็ หลักปฏิบัติหรือจรรยาบรรณได้ส่ิงน้ันคือการกระทามุ่งการวิจัยที่จะได้มาซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดในการบรรลุเป้าหมายที่เป็นประโยชน์ต่อมนษุ ยชาติดว้ ยวิธีการทีม่ คี วามเปน็ มนุษย์ จรรยาบรรณกับการเปน็ นักวิจยั ดีเด่นแหง่ ชาติ
329 สานักงานคณะกรรมการวิจัยแหง่ ชาติหรือสภาวิจยั แหง่ ชาติเองได้ถือประเด็นจริยธรรมเป็นคุณสมบัติที่สาคัญข้อหนึง่ ของการคดั เลือกความเปน็ นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกเปน็ นักวิจัยดีเด่นแหง่ ชาติ นอกจากจะเปน็ ผทู้ ี่มีผลงานวิจัยที่มีคุณภาพเปน็ ที่ยอมรับทั้งภายในและภายนอกประเทศ เป็นบุคคลที่เป็นที่ยอมรับแก่บุคคลในวงการและทาประโยชน์ให้กับวงการเป็นระยะเวลายาวนานอย่างชัดแจ้งแล้ว ยังต้อเป็นผู้ที่มีจริยธรรมและประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุคคลอื่น ซึ่งนับว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องของการสร้างสรรค์พัฒนางานวิจัยในระดับประเทศ พฤติกรรมที่ไม่ดีงามตา่ งๆ ทีก่ ล่าวมาแล้วข้างตน้ เป็นเงือ่ นไขอย่างหนึ่งของการไม่เข้าข่ายการเป็นนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติของสภาวิจัย ใครควรเป็นผู้ดแู ลจรรยาบรรณนกั วิจยั และดแู ลอย่างไร ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าวงการวิชาการและวงการวิจัยของไทยน้ันได้ปล่อยปละละเลยมานานจนนิสัยที่ไม่ดีงามได้สะสมกันมามากทั้งในระดับนักศึกษา นักวิชาการ อาจารย์และนกั วิจัย เพระขาดการชีแ้ นวทางทีถ่ ูกต้อง ด้วยเหตุต่างๆที่กล่าวมาแล้ว คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้ริเริ่มกระตุ้นให้ชุมชนวิชาการมีความสนใจในเร่ืองดังกล่าวนี้ การกระตุ้นดังกล่าวมีความสาคัญยิ่งต่อวงการวิจัย สภาวิจัยแห่งชาติเองได้กาหนดร่างจรรยาบรรณนักวิจัยในสังคมไทย แตย่ ังขาดแนวทางในการบังคบั ใช้ อย่างไรก็ตามการดูแลจริยธรรมของการวิจัยเป็นเรื่องที่ต้องทาด้วยความละเอียดอ่อนเต็มไปด้วยความรู้ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจทั้งฝ่ายวิจัยและฝ่ายที่ถูกวิจัย มิฉะน้ันแล้ว จะกลายเป็นการถ่วงความเจริญทางด้านการวิจัยมากกว่าการส่งเสริมการวิจัย ในการควบคุมให้ผู้วิจัยอยู่ในทานองคลองทาของจรรยาบรรณของนักวิจัยนั้น ควรทาด้วยการแนะนา การชี้แจงแนวทางมากกว่าการใชม้ าตรฐานในเชิงลบ บ่อยครั้งที่ผู้ที่มีบทบาทในการติดตามและการดูแลงานวิจัยมักจะสวมบทบาทยักษ์แสดงอิทธิพลว่าตนมีอานาจในการควบคุม โดยไม่มีการให้ความเคารพซึ่งกันและกันให้กับผู้ที่ทาการวิจัย และก่อให้เกิดผลเสียต่อโครงการวิจัยในเร่ืองน้ันๆ เพราะไปสร้างปัญหาและอุปสรรคให้กับผู้ที่ทาการวิจัยที่สูงกว่าทั้งคุณวฒุ ิ วัยวุฒิ และประสบการณ์ด้านการวิจัย ทางที่ถูกที่ควรแล้วการติดตามดูแลงานวิจัยควรเป็นเร่ืองการตรวจสอบภายหลัง (Post audit หรือ
330Post evaluation) และในระหว่างการทาวิจัยควรให้เป็นเรือ่ งของการใหค้ าปรึกษาหารอื เพือ่ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อให้การวิจัยน้ันบรรลุผลมากกว่ามิใช่การยัดเยียดความคิดหรือการแสดงอานาจบาทใหญ่ของฝา่ ยที่มคี วามรับผดิ ชอบในการตดิ ตามและดูแลโครงการวิจัย จริยธรรมเป็นเร่ืองที่มีความสาคัญมาก เม่ือนามาใช้ในการวิจัยจะพิจารณาต้ังแต่ข้อเสนอโครงการวิจยั ไปจนถึงการดาเนนิ การ การเขียนโครงการวิจยั และการใชป้ ระโยชน์จากโครงการวิจัย และจะต้องระมัดระวัง มิให้มีความเป็นระบบสานักงานหรือที่เรียกกันว่าระบบราชการมากจนผู้ที่สมควรจะทาการวิจัยต้องท้อแท้ต่อการทาวิจัย แต่ก็ไม่ใช่หย่อนยานจนไร้ความหมายสรุป จริยธรรมและจรรยาบรรณของการวิจัยหรือนักวิจัย เป็นเร่ืองที่ละเอียดอ่อนเพราะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าคุณงามความดี ซึ่งหากไม่มีการวางบรรทัดฐานที่เป็นทางการนักวิชาการ นักศึกษา คณาจารย์ และผู้วิจัยซึ่งขาดความรู้ในเรื่องนี้จะต่างคนต่างคิดว่าสิ่งที่ตนทานั้นเป็นสิง่ ที่ไม่ผิดและไม่ขัดต่อสง่ิ ทีเ่ รียกว่าความดที างวิชาการ
331 บรรณานุกรมภาษาไทยวัฐจกั รรายวัน หลกั ทรพั ย์. จรรยาบรรณสมาชิก. 30 มกราคม 2538 หนา้ 3.สุชาติ ประสิทธิร์ ัฐสินธุ์. (2544). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสงั คมศาสตร.์ พิมพ์ครง้ั ที่ 11. กรงุ เทพมหานคร: เฟื่องฟ้า พริน้ ตงิ้ จากัด.ภาษาอังกฤษCrano, William D. and Brewer, Marilynn B. (1986). Principles and Methods in Social Research. Boston : Allyn and Bacon, Inc.; Chapter 16. “Social Responsibility and Ethics in Social Reserach” 323 – 328.Dooley, David. (1983). Social Research Methods. Englewood Cliffs, N.J: Prentice Hall, “Ethics and Value”; 19-41.Melden,A.I. (1978). Ethical Theories : A Book of Readings. Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc.
332Sanders, William B. and Pinhey. Thomas K. (1989). The Conduct of Social Research. New York: Holt, Rinehart and Winston. แผนการสร้างเครื่องมือวัดผลการเรียน เวลาสอบ 2หน่วยท่ี 10 เร่อื ง จรยิ ธรรมและจรรยาบรรณการวิจัยคะแนน 8 คะแนน ปรบั หมายชวั่ โมง ขยาย เหตุ1. ตารางวิเคราะหค์ ะแนนรายจดุ ประสงค์ 10รหัส จุดประสงคท์ วั่ ไป คะแนน 1010.1 เข้าใจวัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั กับจรรยาบรรณ 2 20 ของการวจิ ัย 210.2 เข้าใจจริยธรรมเบอื้ งตน้ ของนกั วิจัย 410.3 มีทักษะในการคิดวิเคราะห์จรยิ ธรรมและ จรรยาบรรณการวิจยั2. ตารางวิเคราะห์ลกั ษณะเครือ่ งมอื วัดผล คะแนน หมายรหสั จุดประสงคเ์ ฉพาะ
10.1.1 อธิบายอธิบายวัตถุประสงค์ของการวิจัยกับจรรยาบรรณของ 10 333 การวิจัย เหตุ 10 ปรนัย10.2.1 อธิบายจรยิ ธรรมเบื้องต้นของนกั วิจัย 2010.3.1 ฝกึ ปฏิบัติวิเคราะหก์ รณีศึกษาจริยธรรมและจรรยาบรรณการ ปรนยั ปรนยั วิจัย แบบฝึกหัดหน่วยท่ี 10 เวลา 2 จริยธรรมและจรรยาบรรณการวิจัย (10คะแนน 40 คะแนนชวั่ โมงคาส่งั จงตอบคาถามต่อไปนี้1. จงอธิบายวตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั กับจรรยาบรรณของการวจิ ัยคะแนน)
334 (10 (202. จงอธิบายจรยิ ธรรมเบอื้ งต้นของนกั วิจยัคะแนน)3. ฝกึ ปฏิบัติวเิ คราะหก์ รณีศกึ ษาจรยิ ธรรมและจรรยาบรรณการวจิ ัยคะแนน)
Search
Read the Text Version
- 1 - 28
Pages: