Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานวิจัยในชั้นเรียนประจำปีการศึกษา2563

งานวิจัยในชั้นเรียนประจำปีการศึกษา2563

Published by kruton cmt, 2021-03-30 14:24:10

Description: งานวิจัยในชั้นเรียนประจำปีการศึกษา2563

Search

Read the Text Version

การพัฒนาความกลา้ แสดงออกด้านการเป็นผนู้ าโดยใชก้ ระบวนการปฏิบตั จิ ริงของ นกั เรยี นสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศกึ ษา) โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 เชยี งใหม่ ผวู้ จิ ยั นายธรี ยทุ ธ ยานะ๊ โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 อาเภอแมแ่ จม่ จงั หวดั เชียงใหม่ สังกัดสานักบรหิ ารงานการศกึ ษาพิเศษ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

การพัฒนาความกลา้ แสดงออกด้านการเป็นผนู้ าโดยใชก้ ระบวนการปฏิบตั จิ ริงของ นกั เรยี นสาขาวชิ าการโรงแรม (ทวิศกึ ษา) โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 เชยี งใหม่ ผวู้ จิ ยั นายธรี ยทุ ธ ยานะ๊ โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 อาเภอแมแ่ จม่ จงั หวดั เชียงใหม่ สังกัดสานักบรหิ ารงานการศกึ ษาพิเศษ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

คำนำ งานวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือเพื่อเปรียบเทียบการปรับเปล่ียนพฤติกรรมความกล้าแสดงออกก่อ น และหลังด้านการเป็นผู้นาของนักเรียนสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชียงใหม่กลุม่ เป้าหมายของการวิจยั คือ นักเรียนในระดบั ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 4 สาขาวิชาการโรงแรม โรงเรยี น ราชประชานุเคราะห์ 31 เชียงใหม่ นักเรียนหญิง จานวน 18 คน การวิจัยคร้ังนี้ผู้วิจัยใช้ กิจกรรมการสร้าง ภาวะความเป็นผู้นา และแบบสังเกตการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการเปรียบเทียบพฤติกรรมก่อนและหลัง การทาการวจิ ยั เปน็ เครือ่ งมือในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากการวจิ ยั ในคร้งั นี้ผู้วิจัยไดค้ าดหวังไวว้ ่า จะไดผ้ ลสัมฤทธทิ์ ี่ดี ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมความกล้า แสดงออกก่อนและหลังด้านการเป็นผู้นาของนักเรียนและสามารถเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจนางานวิจัยไป พัฒนาหรือการนาไปใช้กับนักเรียนในระดับช้ันอื่น และหวังว่างานวิจัยช้ินน้ีจะเป็นประโยชน์กับผู้ท่ีสนใจทุก ท่าน ผจู้ ดั ทำ นำยธีรยทุ ธ ยำน๊ะ

สำรบญั หน้ำ ก คานา ข สารบัญ ค สารบัญตาราง บทท่ี 1 บทนา 1 2- - ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา 2 - คาถามการวิจัย 2 วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 3 - ขอบขา่ ยการวจิ ยั 3 - นยิ ามเชงิ ปฏิบัตกิ าร - ประโยชนท์ คี่ าดว่าจะได้รับจากงานวิจยั 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กี่ยวข้อง - แนวคิดเก่ยี วกับกิจกรรมการฝึกภาวะความเปน็ ผู้นา 5 - ความแตกต่างระหวา่ งพฤติกรรมกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสม 6 พฤติกรรมไมก่ ล้าแสดงออก และพฤติกรรมกา้ วรา้ ว 7 - ลักษณะของการกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสม 8 - ผลของการมีพฤติกรรมการกลา้ แสดงออกอยา่ งเหมาะสม 8 - การพฒั นาพฤตกิ รรมกล้าแสดงออกอยา่ งเหมาะสม 8 - แนวคิดทเี่ กย่ี วข้องกบั กระบวนการกลุม่ 9 - ความหมายของกระบวนการกลุ่ม 13 - ทฤษฎเี กีย่ วกับกระบวนการกลมุ่ 15 - เทคนคิ และวิธีการทใี่ ชใ้ นกระบวนการกลุม่ - งานวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วข้อง 16 บทท่ี 3 วธิ ีดาเนนิ การวจิ ัย 16 - กลมุ่ เป้าหมาย 17 18 - เคร่ืองมือการวิจัย - วธิ ีการดาเนนิ งานวิจัย - การวเิ คราะหข์ ้อมูล

สำรบัญ(ต่อ) หน้ำ บทที่ 4 ผลการวิจยั 19 - สัญลกั ษณ์ทีใ่ ช้ในการนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู 19 - ลาดับข้นั ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู 20 - ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 23 บทที่ 5 สรปุ ผลการวจิ ัย อภิปราย และข้อเสนอแนะ 23 - สรปุ ผลการวจิ ัย 23 - อภปิ รายผล - ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก ประวัติผจู้ ดั ทา

บทที่ 1 บทนา 1. ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา การศึกษาถือว่าเป็นเร่ืองท่ีสาคัญมากสาหรับทุกประเทศ เพราะเป็นต้นกาเนิดแห่งการพัฒนาที่ไม่ หยุดย้ังของคน การที่เราจะใช้เทคนิคหรือวิธีการสอนให้แก่เด็กเหมือนเช่นเดิม ท่ีผ่านมา คงจะเป็นไปไม่ได้อีก แล้ว เพราะวา่ ในปจั จุบนั สภาพการณ์ต่าง ๆ ไดเ้ ปล่ยี นแปลงไปเปน็ ยุคโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยีมีความทนั สมัยทา ให้การศึกษาสามารถเรียนรู้กันได้ข้ามประเทศ เพียงแค่คุณอยู่ที่บ้าน แม้กระท่ังการติดต่อสื่อสารก็ทาให้ได้รับ ข้อมูลข่าวสารท้ังทางบวกและทางลบ ตัวอย่างที่เหมาะสมและไม่เหมาะสม จึงทาให้เกิดการลอกเลียนแบบ อย่างถูกต้องและไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะวัยรุ่น เป็นวัยที่มีความอยากรู้ อยากเห็น และอยากลอกเป็นอย่างมาก จึงทาให้พฤติกรรมการแสดงออกของแต่ละบุคคลและแต่ละคร้ังมีท้ังความเหมาะสมและไม่เหมาะสม ส่ิงที่ดี อาจถูกมองเป็นส่ิงท่ีไม่ดี และสิ่งท่ีไม่ดีอาจถูกมองเป็นส่ิงท่ีดี เนื่องจากการได้รับรู้ข้อมูลมาจากโลกอินเตอร์เน็ต อย่างผิด ๆ ทาให้วัยรุ่นไทยในปัจจุบันมีพฤติกรรมการแสดงออกท่ีไม่เหมาะสมหรือพฤติกรรมท่ีก้าวร้าว ซึ่ง บางคร้ังอาจจะแสดงออกมาอย่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้ โดยในปัจจุบันคนไทยมีแนวโน้มท่ีจะแสดงออก พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมมาก เพราะเราได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรมความเกรงใจ และคาว่าไม่เป็นไรมากจาก บรรพบุรุษ จึงทาให้เราไม่กล้าแสดงออก หรืออาจเป็นเพราะความไม่มั่นใจ อาย ไม่กล้า จึงทาให้บุคคลอ่ืนมอง ว่าเราเปน็ คนไม่รู้ ฉลาดนอ้ ย หรอื ต่อตา้ น จึงไม่แสดงออก ทาใหเ้ รามีความเสย่ี งต่อการขาดโอกาสการก้าวหน้า ในชีวิต ถ้าหากบุคคลใดมีความบกพร่องเก่ียวกับการกล้าแสดงออก บุคคลน้ันมักจะพบกับปัญหาท้ังในด้าน การติดต่อ และการมีปฏิสัมพันธก์ ับบุคคลอ่ืน ซ่ึงจะทาให้เกิดความยากลาบากทั้งในการเรียน การทางาน และ เกิดความวิตกกงั วลต่าง ๆ ตามมา ข้าพเจา้ จึงไดท้ าการวจิ ยั ในเร่ืองการพัฒนาความกล้าแสดงออกดา้ นการเป็นผนู้ าโดยใช้กระบวนการ ปฏิบัติจรงิ ของนักเรียนของนักเรยี นสาขาวชิ าการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชยี งใหม่ เนื่องจากว่า นักเรียนบางกลุ่มไม่ค่อยมีความกล้าแสดงออกด้านการเป็นผู้นา สาเหตุอาจมาจาก นักเรียนส่วน ใหญ่ในสาขาวิชาการท่องเที่ยว 80%เป็นเด็กชนเผ่า พูดไม่ค่อยชัด เขิน อาย จึงอาจจะเป็นสาเหตุที่ทาให้ นักเรียนไม่มีความกล้าแสดงออกด้านความเป็นผู้นา ทั้งน้ีเม่ือนักเรียนเลือกเรียนในสาขานี้แล้ว นักเรียนควรมี ภาวะความเป็นผู้นาและมีความกล้าแสดงอก กล้าตัดสินใจและมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า จึงเป็นสาเหตุท่ีทาให้ ข้าพเจ้าได้ทาการวิจัยในเร่อื งนขี้ นี้ มา

ผลของงานวิจัยอาจจะทาให้นักเรียนกลุ่มที่ไม่มีความกล้าแสดงออกปรับเปล่ียนพฤติกรรมความกล้า แสดงออกด้านการเป็นผู้นาของนักเรียนและสามารถนาไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองในการดารงชีวิตและ การทางานหากนักเรยี นได้จบการศึกษาไป 2. คาถามการวจิ ัย ผลการเปรียบเทยี บพฤติกรรมความกล้าแสดงออกด้านการเป็นผู้นาของนกั เรียนสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชียงใหม่ ที่ได้รับการฝึกด้วยวิธีการโดยการใช้กิจกรรม ฝกึ ภาวะความเปน็ ผูน้ ามีผลอยา่ งไร 3. วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย เพ่ือเปรียบเทียบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมความกล้าแสดงออกก่อนและหลังด้านการเป็นผู้ นาของ นกั เรียนสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศกึ ษา) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชยี งใหม่ ขอบขา่ ยการวิจยั กลุ่มเป้าหมายของการวิจัย คือ นักเรียนสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 เชียงใหม่ นักเรียนหญงิ จานวน 18 คน ตวั แปรทีศ่ ึกษา ตัวแปรต้น คือ กระบวนการกลุ่ม ได้แก่ ด้านการพูด การกระทา และการแสดงความคิดเห็น ตัวแปรตาม คือ พฤตกิ รรมการกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสม 4. นิยามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร พฤติกรรมการกล้าแสดงออก หมายถึง พฤติกรรมท่ีบุคคลสามารถแสดงออกได้อย่างเป็นธรรมชาติ มากท่ีสุดตามสภาพการณ์ท่ีเป็นอยู่ และสามารถจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยวิธีการทางบวก โดยปราศจาก ความวิตกกังวล นั่นคือบุคคลสามารถแสดงออกซึ่งความต้องการหรือความรู้สึกได้อย่างตรงมาและจริงใจ อย่างไรก็ตามพฤติกรรมการกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสมมิใช่กระทาเพ่ือท่ีจะให้ได้สิง่ ที่ต้องการ เป้าหมายของ การกระทาพฤติกรรมกลา้ แสดงออกน้ันคือการส่ือสารอย่างชดั เจนและตรงไปตรงมา ไมโ่ จมตีความต้องการหรือ การคิดเห็นขอบบุคคลอื่น ซึ่งการทาเช่นน้ันจะทาให้มีโอกาสบรรลุเป้าหมายท่ีต้องการโดยไม่ปฏิเสธสิทธิของ ผอู้ ่นื

ผู้นา หมายถึง สัมพันธภาพในเร่ืองของการใช้อิทธิพล ที่มีต่อกันและกัน ระหว่างผู้นากับผู้ตามท่ีมุ่ง หมายให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยสะท้อนถึงวัตถุประสงค์ท่ีมีร่วมกันภาวะผู้นา เกี่ยวข้องกับ การใช้อิทธิพล (Influence) เกิดข้ึนระหว่างกลุ่มบุคคล โดยกลุ่มบุคคลเหล่านั้นมีความตั้งใจท่ีจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงดังกลา่ วจะสะท้อนให้เหน็ วตั ถุประสงคท์ ม่ี รี ่วมกนั ระหวา่ งผู้นากับผู้ตาม นักเรียน หมายถึง นักเรียนสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชียงใหม่ 6. ประโยชน์ทีค่ าดว่าจะไดร้ ับจากงานวจิ ัย 1. นกั เรียนมคี วามกลา้ แสดงออกด้านการเปน็ ผนู้ ามากย่งิ ขึ้น 2. นักเรียนตระหนักถึงความสาคัญเล็งเห็นถึงประโยชน์และเจตคติท่ีดีต่อการแสดงออกด้าน การเป็นผู้นาและนาไปปรบั ใชใ้ นการทางานตอ่ ไปในอนาคต

บทท่ี ๒ เอกสารงานวิจยั ท่ีเกี่ยวข้อง การวจิ ัย เร่อื ง “การพฒั นาความกลา้ แสดงออกดา้ นการเป็นผู้นาโดยใช้กระบวนการปฏิบัติจรงิ ของนักเรยี นสาขาวิชาการโรงแรม (ทวศิ ึกษา) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชยี งใหม่” ผูว้ ิจยั ไดศ้ ึกษา เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้องดงั นี้ เอกสารงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง 1. แนวคดิ เกี่ยวกบั กิจกรรมการฝึกภาวะความเป็นผู้นา 1.1 ความแตกต่างระหวา่ งพฤติกรรมกล้าแสดงออกอยา่ งเหมาะสม พฤติกรรมไม่ กลา้ แสดงออก และพฤติกรรมกา้ วร้าว 1.2 ลักษณะของการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม 1.3 ผลของการมีพฤตกิ รรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม 1.4 การพัฒนาพฤติกรรมกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสม 2. แนวคิดทเ่ี กย่ี วข้องกบั กระบวนการกลมุ่ 2.1 ความหมายของกระบวนการกลุ่ม 2.2 ทฤษฎเี กี่ยวกับกระบวนการกลุ่ม 2.3 เทคนคิ และวธิ กี ารทีใ่ ช้ในกระบวนการกลุ่ม 1. แนวคิดเก่ยี วกบั กิจกรรมการฝกึ ภาวะความเป็นผู้นา ผู้นา หมายถึง สัมพันธภาพในเรื่องของการใช้อิทธิพล ที่มีต่อกันและกัน ระหว่างผู้นากับผู้ตามท่ีมุ่ง หมายให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยสะท้อนถึงวัตถุประสงค์ที่มีร่วมกันภาวะผู้นา เกี่ยวข้องกับ การใช้อิทธิพล (Influence) เกิดข้ึนระหว่างกลุ่มบุคคล โดยกลุ่มบุคคลเหล่าน้ันมีความต้ังใจท่ีจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็นวัตถุประสงค์ท่ีมีร่วมกันระหว่างผู้นากับผู้ตาม โดย Daft (1999) กล่าวว่า อิทธิพล (Influence) หมายถึง สัมพันธภาพระหว่างบุคคลท่ีไม่ใช่การยอมจานนและการบังคับ ซึ่ง ต้องมีลักษณะเป็นการยอมรับซึ่งกันและกัน (Reciprocal) ระหว่างผู้นากับผู้ตามบุคคลในระบบความสัมพันธ์ ดังกล่าว มีความต้องการการเปล่ียนแปลง ดังน้ัน ภาวะผู้นาจึงเกี่ยวข้องกับการสรา้ งและการพัฒนาให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่การรักษาสถานภาพเดิม (Status quo) ย่ิงไปกว่าน้ันการเปลี่ยนแปลงท่ีต้องการผู้นาไม่ได้ เป็นผู้กาหนดแต่เป็นท่วี ัตถุประสงคก์ าหนดรว่ มกันระหว่างผูน้ าและผู้ตาม อันจะกอ่ ใหเ้ กดิ แรงจูงใจท่จี ะโน้มน้าว บคุ คลให้มงุ่ ไปสู่ผลสาเร็จท่ีต้องการอย่างแท้จรงิ

ความหมายของภาวะผู้นาในส่วนของ พระธรรมปิฎก ให้ความหมายไว้ว่า “คุณสมบัติ เช่นสติปัญญา ความดี งาม ความรู้ความสามารถของบุคคล ท่ีชักนาให้คนทั้งหลายมาประสานกัน และพากันกันไปสู่จุดมุ่งหมายท่ีดี งาม” (ธีรวรรณ ธีระพงษ์, 2543) ให้ความหมายว่า เป็นพฤติกรรมที่บุคคลสามารถแสดงออกได้ อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุดตามสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ และสามารถจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยวิธีการ ทางบวก โดยปราศจากความวิตกกงั วล นน่ั คอื บุคคลสามารถแสดงออกซึ่งความต้องการหรือความรสู้ ึกได้อย่าง ตรงมาและจริงใจ อย่างไรก็ตามพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมมิใช่กระทาเพ่ือที่จะให้ได้ส่ิงที่ ตอ้ งการ เปา้ หมายของการกระทาพฤติกรรมกล้าแสดงออกนั้นคือการส่ือสารอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา ไม่ โจมตีความต้องการหรือการคิดเห็นขอบบุคคลอื่น ซ่ึงการทาเช่นน้ันจะทาให้มีโอกาสบรรลุเป้าหมายท่ีต้องการ โดยไม่ปฏิเสธสทิ ธิของผอู้ นื่ โบเวอร์ และ โบเวอร์ (Bower & Bower, 1976) ให้ความหมายว่า พฤติกรรมที่เหมาะสมในการ แสดงออก คือความสามารถในการที่จะแสดงความรู้สึกท่ีจะเลือกว่าควรปฏิบัติอย่างไร ท่ีจะแสดงสิทธิเมื่อมี ความเหมาะสม ท่ีจะเพิ่มความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเอง ท่ีจะช่วยพัฒนาความมั่นใจในตนเองให้เกิดขึ้น ท่ีจะ แสดงความไม่เห็นด้วยเม่ือคิดว่ามีความสาคัญมากพอ และความสามารถในการท่ีจะดาเนินการ เพื่อปรับ พฤติกรรมจองตนเองและขอร้องให้ผู้อ่นื เปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมการต่อต้านเขาด้วย เจกุโบว์ก้ี (Jakubowski, 1973) ให้ความหมายว่า พฤติกรรมระหว่างบุคคลหนึ่งซึ่งบุคคลลุกขึ้นเพ่ือ แสดงสิทธิอันถูกต้องของเขาในวิถีทางท่ีไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น เป็นการแสดงความรู้สึก การคิดและความเช่ือ ออกมาอยา่ งตรงไปตรงมา จรงิ ใจ และเหมาะสม สรุปความหมาย พฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม หมายถึง พฤติกรรมที่บุคคลแสดงออก อย่างเหมาะสม กล้าคิด กล้าพูด กล้ากระทาในส่ิงท่ีถูกต้อง เป็นการเพ่ิมความม่ันใจในตนเองโดยไม่ละเมิดสิทธิ ของผอู้ น่ื โดยเปน็ การแสดงออกอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา 1.1 ความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม พฤติกรรมไม่กล้าแสดงออก และพฤติกรรมกา้ วรา้ ว การตอบสนองอยา่ งเหมาะสม (Assertion) พฤติกรรมกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมเป็นพฤติกรรมท่แี สดงถึงความกล้าพูด กล้าคิด กล้ากระทาใน ส่ิงท่ีถูกต้อง และกล้าแสดงออกตามความรู้สึกที่แท้จริงของตน โดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น และเม่ือแสดง พฤตกิ รรมไปแลว้ จะไมม่ ีความวิตกกงั วลใจ ซึง่ แสดงถึงการยอมรับในสทิ ธิของบุคคล เมื่อพจิ ารณาในรูปของการ มีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น จะเป็นบุคคลที่สื่อสารด้วยความจริงใจ เปิดเผยและตรงตามความต้องการหรือ

ความรู้สกึ ของตนเอง โดยมีวิธกี ารทเี่ หมาะสมและสอดคล้องกบั สถานการณ์ซง่ึ แสดงถึงการมีความเคารพนับถือ ยอมรบั และเห็นคุณค่าของบุคคลอ่ืนและของตนเองด้วย การตอบสนองอยา่ งไม่กลา้ แสดงออก (Passive) พฤติกรรมไม่กล้าแสดงออก หรือการยอมตาม เป็นความขลาดกลัวท่ีไม่กล้าแสดงออกถึงความรู้สึก ความต้องการที่แท้จริงของตน รวมทั้งไม่สามารถจะรักษาสิทธิของตนเองได้ เป็นบุคคลท่ีมีความอาย ไม่กล้า แสดงออกถึงความไม่สบายใจหรือความไม่เห็นด้วยกับบุคคลอื่น ไม่กล้าปฏิเสธ มีความเชื่อฟัง สอนง่าย มักจะ เก็บความรู้สึกขุน่ มวั เอาไว้ หากถูกเอาเปรียบก็มักจะถอยหนีหรือหลบตวั มกั จะมีความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเอง ต่าหากต้องการแสดงออกถึงความต้องการของตน ก็มักจะมีความวิตกกังวลหรอื ความไม่สบายใจ จึงมีท่าทางที่ ระมัดระวัง และกลา่ วคาขอโทษอยู่เสมอ พรอ้ มกับมภี าษาทา่ ทางท่ไี มเ่ หมาะสม เช่น การไม่กลา้ สบตาผสู้ นทนา พดู เสียงเบา พดู เร็วเกนิ ไป เป็นต้น การตอบสนองด้วยความก้าวร้าว (Aggression) พฤติกรรมก้าวร้าวเป็นการแสดงออกถึงการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางเรียกร้องถึงสิทธิของตนโดยไม่ สนใจวา่ จะไปละเมิดสิทธิของผู้อน่ื หรือไม่ ไมเ่ หน็ ความสาคญั ของปฏิกริ ิยา ความร้สู ึก และความคดิ เห็นท่ีบุคคล อน่ื ไดแ้ สดงออกมา รวมท้ังไม่มีความเคารพนับถือบุคคลอืน่ ดว้ ย บุคคลทมี่ ีพฤติกรรมก้าวร้าวจึงมักแสดงออกถึง ความรู้สึก ความต้องการ และความคิดเห็นที่ตนมีในลักษณะของการข่มขู่ บังคับ เรียกร้อง พูดโต้เถียงให้ชนะ พูดกล่าวโทษผูอ้ ่ืน พูดเสยี งดัง พดู จาเสยี ดสี พดู เหยยี ดหยาม ข่มข่หู รอื พูดในส่ิงท่ีแสดงถึงความมีอานาจของตน หรือทาให้ตนเองมีความสาคัญมากขึ้น และอาจแสดงความหยาบคายต่อบุคคลอื่น มักจะทาให้บุคคลอื่นไม่ สบายใจหรือขัดใจ หรือโกรธอยู่เสมอ ซึ่งมีผลทาให้สัมพันธภาพระหว่างบุคคลเปลี่ยนแปลงไป ถึงแม้ผู้มี พฤติกรรมก้าวร้าวจะมีความรู้สึกผิด แต่บรรลุเป้าหมายที่ตนต้องการก็เหมือนได้รับการเสริมแรงต่อพฤติกรรม ก้าวร้าวนัน้ จงึ มแี นวโนม้ การกระทาก้าวร้าวต่อไปอกี 1.2ลกั ษณะของการกลา้ แสดงออกอยา่ งเหมาะสม เฟสเตอร์ฮิม (Fensterheim & Bear, 1978) กล่าวว่าบุคคลที่มีความกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม จะตอ้ งมีลกั ษณะ 4 ประการดังนี้ 1. ร้สู ึกอสิ ระท่จี ะเปดิ เผยตนเอง ไมว่ ่าจะเปน็ การพดู หรือการกระทา 2. สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลได้ทุกระดับ และทุกประเภท เช่น คนแปลกหน้า เพ่ือนฝูง คนในครอบครวั โดยทกี่ ารตดิ ตอ่ นนั้ เปน็ ไปอยา่ งเปดิ เผยและตรงไปตรงมา 3. มีความกระตือรือร้นในการดาเนนิ ชีวิต พยามยามทาส่งิ ตา่ ง ๆ ตามท่ตี นเองคิดและตอ้ งการ ไม่น่งั คอยวา่ อะไรจะเกิดขนึ้ กับตนเองและไมต่ ้องรอคอยใหใ้ ครมาชว่ ย

4. กระทาในสิ่งท่ีทาให้ตนเองภูมิใจอย่างที่สุด ยอมรับความสามารถและข้อจากัดของตนเอง แต่ในขณะเดยี วกันกพ็ ยามนาตนเองไปสู่ความสาเรจ็ ถึงแม้วา่ จะล้มเหลวก็ยังนบั ถือตนเอง 1.3 ผลของการมีพฤติกรรมการกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสม (ธีรวรรณ ธีระพงษ์, 2543) กล่าวว่าพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผู้น้ันเป็นท่ี ยอมรบั และสามารถแสดงสิทธขิ องตนโดยไม่กระทบสทิ ธิของผอู้ นื่ อันนาไปส่สู ัมพันธท์ ี่พัฒนาและดงี าม ไดแ้ ก่ 1. การยืนหยัดเพ่ือตัวเอง และการทาให้คนอื่นรู้จักตัวของเรานั้นเป็นการเคารพตนเองและ เป็นการทจ่ี ะได้รับการเคารพจากผูอ้ น่ื 2. การพยามยามใช้ชีวิตของเราอยู่ในแนวทางที่จะไม่ทาให้ผู้อื่นเจ็บปวดเลย ไม่ว่าจะอยู่ ภายใตเ้ ง่อื นไขใด ๆ กต็ าม มักจะจบลงด้วยการทาให้ผู้อื่นและตวั เองเจ็บปวดด้วย (เปน็ วงจรของพฤติกรรมการ ไมก่ ล้าแสดงออก) 3. เม่ือเรายืนหยัดเพื่อตัวเอง และแสดงความรู้สึกของเราออกมาอย่างจริงใจ หรือแสดงการ คดิ เหน็ อยา่ งตรงไปตรงมา ดว้ ยท่าทีทเี่ หมาะสม ทุกคนจะไดร้ ับประโยชน์ในระยะยาว แตถ่ ้าเราไม่จรงิ ใจต่อคน อน่ื เทา่ กับวา่ เราไม่จริงใจกบั ตัวเอง ทกุ คนท่ีเก่ียวขอ้ งกจ็ ะสูญเสียประโยชน์ในระยะยาว 4. ในการเสียสละความเปน็ ตวั ของเราเอง และปฏิเสธความรู้สึกส่วนตัวของเรา มักจะนาไปสู่ ความร้าวรานในสมั พนั ธ์ หรอื ความสมั พันธ์ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ 5. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะมีคุณค่ามากข้ึนและน่าพึงพอใจมากขึ้นเมื่อเราสามารถ แลกเปลยี่ นการตอบสนองตอบที่จรงิ ใจกับบคุ คลอื่น และไมข่ ดั ขวางบคุ คลอนื่ ท่ีตอบสนองต่อเรา 6. การไม่ให้ผู้อ่ืนรู้ว่าเราคิด หรือรู้สึกอย่างไร เป็นการเห็นแก่ตัวเท่า ๆ กับการไม่สนใจ ความรู้สกึ และการคิดของคนอื่น 7. การทเี่ ราเสยี สิทธสิ ว่ นตัวของเรา เทา่ กับเราสอนใหบ้ คุ คลอื่นเอาเปรยี บเรา 8. ในการที่เรากล้าแสดงออก และบอกบุคคลอื่นว่าพฤติกรรมของเขามีผลต่อเราเช่นใด เท่ากับเราได้เปิดโอกาสให้เขาเปล่ียนพฤติกรรม และเป็นการแสดงให้เห็นว่าเราได้ให้เกียรติแก่สิทธิของเขา ที่ บอกให้เขารู้ว่าเขากาลังยืนอยู่ท่ีจุดใดกับเรา (สมโภชน์ เอ่ียมสุภาษิต, 2539 อ้างถึงใน ธีรวรรณ ธีระพงษ์, 2543) 1.4 การพัฒนาพฤตกิ รรมกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสม (Developing Assertiveness) การฝกึ พฤติกรรมกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสม มีหลักสาคญั 3 ประการดงั น้ี

1. การตระหนักรู้ตนเอง (Self – awareness) เป็นการสารวจตรวจสอบพฤติกรรมการ แสดงออกของตนเอง พิจารณาผลท่ีเกิดขึ้น อาจขอรับข้อมลู ยอ้ นกลบั จากผู้อ่นื หรือการสารวจด้วยตนเอง 2. การฝึกพฤติกรรมกล้าแสดงออก เป็นกระบวนการฝึกทักษะการกล้าแสดงออก ทั้ง ความรสู้ กึ ความคดิ และการตดิ ต่อสื่อสาร เชน่ ทักษะการแสดงการเห็นด้วยกับสาระสาคัญที่ได้รับการวิพากษ์ ทักษะการตอบสนองผู้วิพากษ์ ทักษะการยอมรับการวิพากษ์ หรือทักษะการแสดงความม่ันคงในความคิดและ ความรู้สึกของตน เป็นต้น การฝึกพฤติกรรมกล้าแสดงออก ประกอบด้วยความรู้ความเข้าใจและการฝึกหัดให้ เกิดความคล่องตวั 3. การพัฒนาพฤติกรรมกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการฝึกทักษะที่ จาเป็นจนชานาญแล้ว ควรพัฒนาเพ่ิมพูนทักษะให้มากข้ึน รวมท้ังการรักษาให้เป็นพฤติกรรมคงทนต่อไป โดย การฝึกหดั แสดงออกและตอบสนองกับผ้ทู ่ีเกยี่ วข้องในสถานการณต์ า่ ง ๆ ซัลเทอร์ (Salter, 1949) ได้สรุปว่า บุคคลผู้มีพฤติกรรมกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมจะสามารถ แสดงพฤติกรรมต่อไปน้ีได้ ไดแ้ ก่ การแสดงความรู้สึก พดู เก่ียวกับตวั ท่านเอง การพูดทกั ทายปราศรัย การยอม รับคาชมเชย การแสดงออกทางสีหน้าที่เหมาะสม การแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างสุภาพ การขอร้องให้แสดง ความกระจ่างแจ้ง การถามหาเหตุผล การแสดงความไม่เห็นด้วยขณะนั้น การกล่าววาจาเพ่ือรักษาสิทธิ การ แสดงความม่นั คง หลกี เล่ียงท่จี ะต้องแสดงเหตุผลในทกุ ๆ ความเห็น 2. แนวคิดที่เก่ียวขอ้ งกับกระบวนการกลุม่ 2.1 ความหมายของกระบวนการกลุ่ม ชาร์ทวิง และ เซนเดอร์ (Cartwright & Zander, 1968) ให้ความหมายว่า อุดมการณ์ทางการเมือง แบบหน่ึงท่ีกลุ่มควรจัดให้มีและควรดาเนินการโดยอุดมการณ์ จะเป็นเร่ืองเก่ียวกับความเป็นผู้นาในระบบ ประชาธิปไตย รวมถึงการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของสมาชิกคุณค่า และประโยชน์ที่สมาชิกและสังคมควร ได้รับ ซ่ึงการรวมกลุ่มดังกล่าวจะมีคุณค่าต่อสมาชิก ซ่ึงนับว่าเป็นการรวมกลุ่มในอุดมคติที่สมาชิกทุกคนจะมี ความเท่าเทียมกัน ไม่มีการกาหนดการเป็นผู้นาผู้ตาม ทุกคนจะใช้สติปัญญาและความสามารถที่ตนมีอยู่อย่าง เตม็ ท่เี พือ่ ให้เกดิ ประโยชน์ตอ่ ตนและสังคม (ช่อลัดดา ขวัญเมือง, 2541) ให้ความหมายว่า กระบวนการที่ช่วยให้นักเรียนได้มีพัฒนาการในด้าน ทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรมท่ีบกพร่อง เป็นปัญหาควรแก้ไขโดยกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ จึงเป็นวิธีการท่ีเปิด โอกาสให้นักเรียนเข้าใจความต้องการของตนเองและของผู้อ่ืน จากการสัมผัสด้วยการปฏิบัติจนเกิดการค้นพบ สงิ่ ทตี่ อ้ งการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ซ่งึ ทาให้เกิดประโยชนต์ ่อการปฏบิ ตั ติ นในการอยรู่ ว่ มกับผู้อน่ื

(กาญจนา ไชยพันธ์ุ, 2549) ให้ความหมายว่า การที่บุคคลมารวมกันเพื่อศึกษาประสบการณ์ของกลุ่ม หลาย ๆ ฝา่ ย ศึกษาพฤตกิ รรมความเป็นผู้นาผูต้ าม ความคิด ฝึกปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งบุคคล และมกี ารศึกษาจาก ประสบการณ์ โดยผศู้ กึ ษาจะตอ้ งเข้าไปมีสว่ นร่วมในประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีจดั ขึน้ สรุปความหมาย กระบวนการกลุ่ม หมายถึง การที่บุคคลมารวมกันต้ังแต่ 2 คนข้ึนไป เพ่ือร่วมกัน กระทาการศกึ ษาหาข้อมูลตามความเป็นจรงิ โดยทกุ คนได้รับประโยชน์ ไมม่ กี ารเป็นผู้นา ผตู้ าม ทกุ คนสามารถ แสดงความคิด ความรูส้ ึก และการกระทาไดอ้ ยา่ งเท่าเทยี มกัน เพ่ือใหเ้ กิดประโยชน์ต่อตนเองและตอ่ สงั คม 2.2 ทฤษฎีเก่ยี วกับกระบวนการกลุ่ม (กาญจนา ไชยพันธุ์, 2549) กระบวนกลุม่ ตอ้ งอาศยั ทฤษฎีเขา้ มามสี ว่ นเกี่ยวข้องในการจัดกระบวนการ กลุ่ม ซง่ึ มที ฤษฎีดงั ต่อไปน้ี 1. ทฤษฎีสนาม (Field Theory) ของ Kurt Lewin ในเรื่องของกลุ่ม Lewin สรุปสาระสาคัญของ ทฤษฎีสนามไวด้ งั นี้ (วนิ ิจ เกตขุ าและคมเพชร ฉัตรศุภกุล, 2522) 1. พฤติกรรมเป็นผลจากพลังความสัมพันธ์ของสมาชิกในกลุ่ม กลุ่มไม่ได้เกิดจากการรวมตัว ของสมาชกิ เพยี งเอยา่ งเดียว แตจ่ ะเป็นผลจากโครงสร้างทเี่ กดิ จากการเกีย่ วข้องสมั พนั ธ์กันและกันในกลุ่ม 2. โครงสร้างของกลุม่ เกิดจากระบวนกลมุ่ ของบุคคลทมี่ ีลักษณะแตกตา่ งกัน 3. การรวมกลุ่มแต่ละคร้ังจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม โดยเป็นปฏิสัมพันธ์ใน รปู การกระทาความรสู้ ึกและความคิด 4. องค์ประกอบด้านปฏิสัมพันธ์ ได้แก่ การกระทา ความรู้สึก และความคิด จะก่อให้เกิด โครงสรา้ งของกล่มุ แตล่ ะครัง้ ซ่ึงมีลักษณะแตกต่างกนั ออกไปตามลกั ษณะของสมาชกิ ในกลมุ่ 5. สมาชิกในกลุ่มจะมีการปรับตัวเข้าหากัน และพยายามช่วยกันทางาน ซึ่งการท่ีบุคคล พยายามปรบั บุคลกิ ภาพของตนทมี่ ีความแตกต่างกนั นี้ จะกอ่ ใหเ้ กิดความเป็นอันหนึ่งอันเดยี วกัน และทาใหเ้ กิด พลงั หรือแรงผลักดนั ของกล่มุ ทที่ าในการทางานเปน็ ไปด้วยดี 2. ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์ (Interaction Theory) ของ Bales โฮมาน และ ไวที (Homans & Whyte อ้าง ถึงใน ทศิ นา แขมมณี และคณะ, 2522) ไดก้ ล่าวถงึ แนวคดิ พื้นฐานของทฤษฎีน้ี คือ 1. กล่มุ จะมีปฏสิ มั พันธโ์ ดยการกระทากิจกรรมอย่างใดอย่างหนึง่ 2. ปฏสิ ัมพนั ธ์จะเป็นปฏิสัมพนั ธท์ กุ ๆ ดา้ น คือ - ปฏสิ มั พนั ธท์ างรา่ งกาย

- ปฏิสัมพันธ์ทางวาจา - ปฏิสมั พนั ธ์ทางจติ ใจ 3. กิจกรรมตา่ ง ๆ ท่ีกระทาผ่านการมปี ฏสิ ัมพนั ธน์ ้ี จะกอ่ ใหเ้ กิดอารมณ์ความรสู้ ึกข้นึ 3. ทฤษฎีบุคลิกภาพของกลุ่ม (Group Syntality Theory) ของ Cattell ทฤษฎีน้ีอาศัยหลักการจาก ทฤษฎีการเสริมแรง (Reinforcement Theory) (โยธิน ศันสนยุทธ, 2528) คือ กฎแห่งผล (Low of Effect) เพื่ออธบิ ายพฤติกรรมของกลมุ่ แนวคดิ ในทฤษฎนี ้ีประกอบไปด้วย 1. ลกั ษณะของกล่มุ ประกอบดว้ ย - กลุ่มแต่ละกลุ่มจะประกอบด้วยสมาชิกซึ่งมีบุคลิกภาพเฉพาะตัว (Population Traits) ได้แก่ สติปัญญา ทัศนคติ บุคลิกภาพ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าเป็นลักษณะในรูปเอกัตบุคคลที่รวมกันเข้า เป็นกล่มุ การทางานของเอกตั บุคคลท่ีทางานสอดคล้องกนั เรยี กวา่ กลมุ่ - กลุ่มแตล่ ะกลุม่ จะมีบุคลิกภาพเฉพาะกลุ่ม (Syntality Traits) หรอื ความสามารถท่ี กลุ่มได้รับจากสมาชิก ซึ่งจะทาให้กลุ่มมีลักษณะท่ีแตกต่างกันออกไป บุคลิกภาพของกลุ่มได้จากความสามารถ ของกลุม่ ทีม่ อี ยใู่ นการกระทาของสมาชกิ รว่ มกนั - กลุ่มแต่ละกลุ่มจะมีลักษณะโครงสร้างภายในโดยเฉพาะ (Characteristic of Internal Structure) ซึ่งหมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก และแบบแผน หรือลักษณะในการรวมกลุ่ม เชน่ มกี ารแสดงตาแหน่งบทบาทหน้าท่ี มกี ารส่อื สารกันระหวา่ งสมาชกิ 2. พลัง หรือการเปล่ียนแปลงบคุ ลิกภาพของกลุ่ม (Dynamics of Syntality) หมายถึง การ แสดงกิจกรรมหรือความรว่ มมือของสมาชกิ ในกลุ่มเพื่อจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง การกระทาของสมาชิกจะ มลี กั ษณะ 2 ประการ คอื - ลักษณะที่ทาให้กลุ่มรวมกันได้ (Maintenance Synergy) หมายถึง ลักษณะของ ความร่วมมือในการกระทากิจกรรมของสมาชิกแต่ละกลุ่มเพื่อให้ความสัมพนั ธข์ องสมาชกิ เป็นไปได้อย่างราบร่ืน และก่อให้เกดิ ความสามคั คี ซ่ึงจะทาใหก้ ารรวมกลุ่มไม่มกี ารแตกแยก หรอื การถอนตวั ออกจากกลุม่ - ลักษณะทจี่ ะทาใหก้ ลุ่มประสบผลสาเร็จ (Effective Synergy) หมายถึง กิจกรรมท่ี สมาชกิ กระทาเพ่อื ให้บรรลุจุดมุ่งหมายท่ีตั้งไว้ 4. ทฤษฎีพื้นฐานความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล หรือ FIRO (Fundamental Interpersonal Relation Orientation) ของ Schuts ทฤษฎนี ี้จะพจิ ารณาพฤติกรรมระหวา่ งสมาชิกท่ีพยายามปรบั ตวั เข้าหากัน โดยเช่ือ ว่าคนทุกคนจะมีลักษณะเฉพาะในการปรับตัวให้เข้ากับผู้อ่ืน ความต้องการท่ีจะมีความสัมพันธ์กับผู้อ่ืนมี 3 ลักษณะ คือ

1. ความต้องการมีส่วนร่วมหรือการเช่ือมโยงกับผู้อื่น (Inclusion) ได้แก่ความต้องการจะมี สมั พนั ธก์ บั ผอู้ น่ื โดยการแสดงพฤติกรรมการสนใจตอ่ ผู้อื่น และความเป็นมิตรหรือความตอ้ งการอยรู่ ว่ มกับผู้อื่น เพ่ือใหเ้ กดิ ชือ่ เสียง (Prestige) การเปน็ ท่ียอมรบั นับถือ (Recognition) และความมเี กยี รติ (Prestige) เปน็ ตน้ 2. ความต้องการในการควบคุม (Control) หมายถึง กระบวนการบุคคลตัดสินใจเพ่ือจะให้ อิทธิพล (Authority) มีอานาจ (Power) หรือความต้องการจะควบคุมผู้อ่ืน ซ่ึงอาจจะแสดงออกมาในลักษณะ คอื การควบคมุ ผูอ้ นื่ 3. ความต้องการเป็นท่ีรักใครของผู้อ่ืน (Affection) หมายถึง ความรู้สึกและอารมณ์ส่วนตัวท่ี เกิดข้ึนระหว่างบุคคลสองคน เช่น ความรัก ความเป็นมิตร การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การสร้างความผูกพันทาง อารมณ์ เพ่อื ใหเ้ กิดความใกล้ชดิ สนทิ สนมต่อกนั การที่บุคคลมีความสัมพันธ์กัน จะแสดงพฤติกรรมและความต้องการเฉพาะตน ซึ่งพัฒนาขึ้น จากการไดร้ ับการสนองความต้องการในวัยเด็ก ความสมั พนั ธ์ของสมาชิกในกลุ่มอาจเป็นในลักษณะทเ่ี ข้ากันได้ (Compatibility) หรือเข้ากันไม่ได้ (Incompatibility) ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับบุคคลท่ีสัมพันธ์กันและลักษณะในการ แสดงความสมั พันธ์กันเปน็ สาคญั 5. ทฤษฎีสัมฤทธิผลของกลุ่ม (A Theory of Group Achievement) ผู้ที่เริ่มทฤษฎีนี้ คือ Stogdill โดยมีวัตถุประสงค์สาคัญในเร่ืองผลผลิตหรือสัมฤทธิผลของกลุ่ม ดังนั้นทฤษฎีน้ีจึงไม่กล่าวถึงพฤติกรรมของ สมาชิกในกลมุ่ แตเ่ น้นโครงสรา้ งของทฤษฎีประกอบดว้ ยตัวแปร 3 ประเภท คือ 1. การลงทุนของสมาชิกหรือตัวแปรที่สมาชิกป้อนใส่เข้าไป (Member Input) คือ การ แสดงออกของสมาชิกภายในกลุ่ม รวมถงึ การกระทาและการแสดงออกของสมาชิกเป็นสว่ นสาคญั โดยเฉพาะใน เร่ือง เมื่อบุคคลมาอยู่รวมกันจะมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) การแสดงออก (Performance) และความ คาดหวงั (Expectations) 2. สื่อกลางของการลงทุนของสมาชิก (Mediating Variables) เม่ือสมาชิกมีการลงทุนโดย กระทาหรือมีปฏิสัมพันธ์ รวมทั้งการคาดหวังผลร่วมกันแล้ว ส่ิงหนึ่งท่ีจะทาให้กลุ่มบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายที่ ต้องการ คือ การกาหนดโครงสร้างของกลุ่มข้ึน เพื่อเป็นส่ือให้การลงทุนของสมาชิกบังเกิดผล โครงสร้างของ กลุ่มประกอบด้วย โครงสร้างอย่างเป็นทางการ โครงสร้างเกี่ยวกับบทบาทของสมาชิก และผลของกลุ่มหรือ สมั ฤทธิผลของกลุ่ม 6. ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่ม (Exchange Theory) Thifaut and Kelley ทฤษฎีน้ีเน้น ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกและกระบวนการกลุ่ม ซึ่งจะก่อให้เกิดผลจากการรวมกลุ่ม แนวคิดของทฤษฎีจะ เป็นพื้นฐานของการทาหน้าท่ีในกลุ่มได้เป็นอย่างดี แนวคดิ ที่สาคัญของทฤษฎีมี 3 ประการ ลกุ ท์ (Lugt, 1970) คือ

1. ในการรวมกลุ่มทาให้เกิดการแลกเปล่ียนพฤติกรรมและเกิดความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก ซ่ึงเกิดจากการที่สมาชิกมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในรูปต่าง ๆ เช่น การส่ือสาร หรือการแสดงพฤติกรรมที่บุคคลหนึ่ง แสดงต่ออีกคนหน่ึง และจะมีอิทธิผลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคลน้ันด้วย เช่น การแสดงพฤติกรรม การ กระทาหรอื คาพดู 2. การแลกเปลี่ยนพฤติกรรมและความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก จะก่อให้เกิดผลของกลุ่ม (Group Outcome) ขึ้น จึงเป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ของสมาชิก (Consequences of Interaction) ซ่ึง ประกอบด้วยรางวัลจากการมีปฏิสัมพันธ์ เช่น ความสบายใจ ความสนุกสนาน ความอิ่มอกอ่ิมใจ ความพอใจ และเหน็ คุณคา่ ของการพยายามกระทาพฤติกรรมน้นั ใหบ้ รรลุจุดมุ่งหมายตามทต่ี ้องการ 7. ทฤษฎีสังคมมิติ (Sociometric Theory) Moreno คือ ผู้ก่อตั้งทฤษฎีและอาศัยพื้นฐานทางทฤษฎี ดังนี้ 1. การกระทาและจริยธรรมหรือขอบเขตการกระทาของกลุ่มจะเกิดความสัมพันธ์ระหว่าง สมาชิกในกลมุ่ 2. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาความสัมพันธ์ คือ การแสดงบทบาทจาลอง (Role Playing) หรอื สงั คมมติ ิ (Sociometric) 8. ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory) ทฤษฎีจิตวิเคราะห์นี้ สิงมัน (Sigmund Freud, 1993) มีแนวคิดสาคญั ของทฤษฎี คอื 1. กระบวนการทางแรงจูงใจ (Motivation Process) เมื่อบุคคลมาอยู่รวมกันจะต้องอาศัย แรงจงู ใจเป็นรางวลั หรือผลจากการทางานในกลุม่ 2. การรวมกลุ่ม (Cohesive) บุคคลจะมีโอกาสแสดงตนอย่างเปิดเผย หรือพยายามป้องกัน ปิดบังตนเองโดยกลวิธีในการป้องกันตน หรือพยายามปิดบังตนเองโดยกลวิธีในการวิเคราะห์ต่าง ๆ (Defense Mechanism) การใช้แนวคิดนี้ในการวิเคราะห์กลุ่ม ซึ่งให้บุคคลแสดงออกตามความเป็นจริง โดยใช้วิธีการ บาบดั จะทาให้สมาชิกในกลุ่มเกดิ ความเขา้ ใจตนเองและผู้อนื่ 2.3 เทคนิคและวิธกี ารที่ใชใ้ นกระบวนการกลมุ่ สาหรับเทคนิคและวิธีการท่ีใช้ในกระบวนการกลุ่มน้ัน (สุรางค์ โค้วตระกูล, 2541 อ้างถึงใน นิตยา วิเศษพานิช, 2546) ได้กล่าวถึงเทคนิคและวิธีการนากระบวนการกลุ่มมาใชใ้ นการสอน โดยใช้สรุปเป็นเทคนคิ วธิ ีท่ีสาคัญ ๆ ดังต่อไปนี้ 1. เกม (Game) การสอนโดยใชเ้ กม เปน็ การสอนโดยให้ผูเ้ รียนเขา้ ไปอย่ใู นกจิ กรรม หรือสถานการณ์ ที่ผู้เล่นยินยอมตกลงกันที่จะปฏิบัติตามเง่ือนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายท่ีต้องการ ซ่ึงมักจะมีผล

ในรูปของการแพ้ การชนะ การเล่นเกมจะช่วยให้สมาชิกได้เรียนรู้ยุทธวิธีท่ีจะเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ และได้ ฝกึ ฝนเทคนิค และทกั ษะที่ตอ้ งการ รวมทง้ั ชว่ ยใหเ้ กดิ ความสนกุ สนานในการเรียน 2. บทบาทสมมติ (Role - Play) การใช้กิจกรรมบทบาทสมมติ เป็นการใช้ตัวละครท่ีสมมติข้ึนจาก สถานการณ์ใดสถานการณ์หน่ึงที่ใกล้เคียงความเป็นจริง มาเป็นเครื่องมือในการจัดกิจกรรมโดยให้ผู้เรียนสวม บทบาทนั้น ๆ และแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนเกี่ยวกับบทบาทน้ันออกมา วิธีการนี้ช่วยให้มีโอกาสศึกษา วิเคราะห์ถึงความรู้สึกและพฤติกรรมของตนเองและผู้อ่ืนได้อย่างลึกซึ้ง และบทบาทสมมติยังช่วยให้เข้าใจถึง บทบาททต่ี า่ งไปจากตน 3. กรณีตัวอย่าง (Case) เปน็ การใช้กรณี หรอื เร่ืองราวตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้ จรงิ มาดัดแปลงและใชเ้ ป็นส่ือ ตัวอย่าง หรือเคร่ืองมือในการศึกษาวิเคราะห์และอภิปรายกัน เป็นการช่วยฝึกฝนการใช้ความคิดในการ แก้ปัญหาหลาย ๆ แบบ วิธีการนี้ช่วยให้คิดและพิจารณาข้อมูลท่ีตนได้รับอย่างถ่ีถ้วน นอกจากน้ันยังช่วยให้ การเรยี นรู้มีลักษณะใกล้เคยี งกับความเปน็ จริง ทาให้การเรยี นรมู้ ีความหมายต่อผู้เรียนมากขนึ้ 4. สถานการณ์จาลอง (Simulation) เป็นการใช้สถานการณ์ท่ีจาลองขึ้นให้เหมือนจริง หรือใกล้เคียง กับความเป็นจริง โดยให้ผู้เรียนเข้าไปอยู่ในสถานการณ์น้ัน และมีปฏิสัมพันธ์กับส่ิงต่าง ๆ ท่ีอยู่ในสถานการณ์ และใช้ข้อมูลในความเป็นจริงในสภาพการณ์นั้น ในการตัดสินใจและแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยที่การตัดสินใจน้ันจะ ส่งผลถงึ ผเู้ ลน่ ถึงลกั ษณะเดยี วกบั ที่เกิดขนึ้ ในสถานการณจ์ ริง ในการเลน่ ในสถานการณ์จาลองชว่ ยให้ผู้เรียนเกิด ความเข้าใจลึกซึ้งในองค์ประกอบที่ซับซ้อนของสภาพความเป็นจริงได้ทดลองแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ท่ีในชีวิต จริงอาจไม่กล้าแสดง เพราะเป็นการเส่ียงต่อผลทจี่ ะไดร้ ับจนเกนิ ไป 4. กลุ่มย่อย (Small Group) การใช้กลุ่มย่อยช่วยเปิดโอกาสให้สมาชิกได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมอย่าง ทั่วถึง รวมทั้งให้สมาชิกได้เรียนรู้จากกันและกัน คือได้เรียนรู้ความรู้สึก พฤติกรรม การปรับตัว การมี ปฏิสัมพันธ์ การเรียนรู้บทบาทหน้าที่ การแก้ปัญหาและการตัดสนิ ใจร่วมกัน ทั้งยังได้แลกเปล่ียนประสบการณ์ ความรู้ ความคิด การใช้เทคนิคกลุ่มย่อยมีหลายวธิ ีด้วยกัน แต่ท่ีนิยมใช้กันมากก็คือ กลุ่มระดมสมอง ที่เรียกวา่ Brainstorming Group จากทกี่ ล่าวมา อาจกล่าวไดว้ ่า เทคนคิ และวิธีการใช้กระบวนการกลมุ่ น้นั มีหลากหลาย ฉะนน้ั ในการที่ จะเลือกใช้วิธีการใด จึงควรคานึงถึงความเหมาะสมในทุกด้าน รวมท้ังคานึงถึงวัตถุประสงค์ และเป้าหมายของ การจดั กจิ กรรมในแตล่ ะคร้งั ด้วย รายวชิ า การพัฒนาบุคลิกภาพในงานท่องเที่ยว นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 สายการโรงแรม โรงเรียนราช ประชานเุ คราะห์ 31 เชียงใหม่

งานวจิ ัยท่ีเกยี่ วขอ้ ง (วิมพ์วิภา ถาสกุล, 2550) ทาการวิจัยเชงิ ทดลอง เพ่ือศึกษาการใช้กิจกรรมตามทฤษฎีเผชิญ ความจริงเพ่ือเสริมสร้างพฤติกรรมกล้าแสดงออกของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างจานวน 10 คน ถูกเลือกมาแบบสุ่มอย่างง่าย เพื่อเข้าร่วม กิจกรรมกลุ่มตามทฤษฎีเผชิญความจริงจานวน 10 กิจกรรม เคร่ืองมือที่ใช้ได้แก่ แบบทดสอบพฤติกรรมกล้า แสดงออกประเมินก่อนและหลังการเข้าร่วมกิจกรรม และกิจกรรมตามทฤษฎีเผชิญความจริง วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาค่า t – test ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการเข้าร่วม กิจกรรม นักเรียนมีค่าเฉล่ียของคะแนนพฤติกรรมกล้าแสดงออกสูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสาคญั ทางสถติ ิท่รี ะดับ 0.05 (D’Zurilla & Goldfried ,1971) ได้ทาการวิจัยโดยมีวัตถุประสงค์คือมุ่งระบุลาดับเวลา ความคิดของคนที่มีพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมสูง กับคนท่ีมีพฤติกรรมการกล้าแสดงออก อย่างเหมาะสมต่า พบว่าคนท่ีมีพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมสูงมีทักษะการแก้ปัญหา มีการ เตรียมปัญหา มีการกาหนด มีการสร้างรูปแบบทักษะการแก้ปัญหา และม่ันใจตนเองในการมีความสามารถท่ี จะให้คาตอบสงู กวา่ ผทู้ ี่มพี ฤตกิ รรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมต่า (รศั มี เชอ้ื เจ็ดตน, 2539) ศกึ ษาพฤติกรรมกล้าแสดงออกของเด็กปฐมวัยโดยใช้บทบาทสมมุติ และเปรียบเทียบพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมของเด็กปฐมวัยท่ีรับการฝึก โดยใช้กิจกรรม บทบาทสมมุติ และไม่ได้รับการฝึกโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมุติ จานวน 46 คน พบว่านักเรียนท่ีได้รับการฝึก โดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมุติมีพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมใน ด้านการพูดมากกว่าการกระทา และการคิดและมีพฤตกิ รรมกลา้ แสดงออกเพมิ่ ขึ้นหลงั ได้รับการฝึกโดยใชก้ ิจกรรมบทบาทสมมตุ ิ

บทท่ี 3 วธิ ีการดาเนินการวจิ ยั การดาเนินการวิจัยผูว้ ิจยั ดาเนนิ การตามขน้ั ตอนดงั นี้ 1. กลมุ่ เป้าหมาย นักเรยี นในระดับชั้น มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 สายการโรงแรม นกั เรยี นหญิง จานวน 18 คน 2. เครอื่ งมอื การวจิ ยั การวิจัยคร้ังนี้ผู้วิจัยใช้ กิจกรรมการสร้างภาวะความเป็นผู้นา และแบบสังเกตการเปล่ียนแปลง พฤติกรรมและการเปรียบเทียบพฤติกรรมก่อนและหลังการทาการวิจยั เปน็ เครอ่ื งมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีแนวทางใน ดังนี้ 2.1 ประเภทของเครือ่ งมือวิจัย 2.1.1 เครือ่ งมือสาหรบั การพัฒนา คอื การทากจิ กรรมการสร้างภาวะความเป็นผนู้ า 2.1.2 เครอ่ื งมอื สาหรบั การตรวจสอบการพฒั นา คอื แบบสังเกตการเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรม 2.2 วธิ กี ารสร้างเครื่องมือวิจยั ในการวิจยั ครัง้ นผ้ี วู้ ิจัยดาเนินการสร้างเครือ่ งมือการวิจัยตามลาดับ ดังนี้ 2.2.1 เครื่องมือสาหรับการพัฒนา โดยการทากิจกรรมการสร้างภาวะความเป็นผู้นา มี ขนั้ ตอน ดงั น้ี - ศึกษาเอกสารแนวคิดกิจกรรมการฝึกภาวะความเป็นผนู้ า ตระหนักถึงความสาคัญ ของการ เปน็ ผนู้ า - ผู้วิจัยสร้างความตระหนักให้เห็นถึงความสาคัญของการเป็นผู้นาโดยผ่านกิจกรรม การฝกึ ภาวะความเปน็ ผู้นา - นาประเด็นการทากิจกรรมการฝึกภาวะความเป็นผู้นาเปรียบเทียบพฤติกรรมก่อน และหลงั ท่สี ร้างขน้ึ ไปเสนอเพื่อตรวจสอบความถกู ต้อง -ผวู้ ิจัยดาเนนิ การปรับปรุงแกไ้ ขตามข้อเสนอแนะของผเู้ ชีย่ วชาญ 2.2.2 เคร่ืองมือสาหรับการตรวจสอบการพัฒนา คือ แบบสังเกตการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม มีขัน้ ตอนการสร้างดงั น้ี - ศึกษาเอกสารแนวคดิ ทฤษฎีเกยี่ วกับการจัดทาแบบสังเกต - ผวู้ จิ ยั สรา้ งแบบสังเกตพฤตกิ รรม - นาแบบสังเกตพฤติกรรมท่ีสร้างขึ้น นาเสนอผู้เช่ียวชาญ เพื่อตรวจสอบความตรง ของเน้อื หา และดาเนนิ การปรบั ปรงุ แกไ้ ขตามข้อเสนอแนะของผเู้ ชี่ยวชาญ

- จัดทาแบบสงั เกตพฤตกิ รรมฉบบั สมบูรณเ์ พอ่ื ใช้ในการวิจยั ครงั้ ต่อไป 3. วธิ ีการดาเนินงานวจิ ัย การวิจัยคร้ังน้ี ผวู้ ิจยั ไดม้ กี ารดาเนนิ การดังนี้ 3.1 ผู้วิจัยได้สังเกตพฤติกรรมการเป็นผู้นาของนักเรียนชั้น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายการ โรงแรม โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชยี งใหมก่ ่อนทากจิ กรรม 3.2 ออกแบบเคร่ืองมือสาหรับการพัฒนาโดยการตระหนักให้เห็นถึงความสาคัญของการเป็นผู้นาโดย ผา่ นกจิ กรรมการฝกึ ภาวะความเปน็ ผนู้ าดา้ นการ 3.3 กิจกรรม สร้างภาวะความเป็นผู้นาคร้ังท่ี 1 ผู้วิจัยได้ตระหนักถึงการฝึกภาวะความเป็นผู้นาในช้ัน เรียนในด้านการตัดสนิ ใจในการทางาน, ความมน่ั ใจในตวั เอง และความกล้าแสดงออกหน้าช้นั เรยี น 3.4 ผู้วิจัยประเมินผลการทากิจกรรมครั้งท่ี 1 โดยใช้แบบสังเกตการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของ นกั เรยี น 3.5 กิจกรรม สร้างภาวะความเป็นผู้นาคร้ังท่ี 2 ผู้วิจัยได้ตระหนักถึงการฝึกภาวะความเป็นผู้นาในช้ัน เรยี นในด้านการตัดสนิ ใจในการทางาน, ความมัน่ ใจในตวั เอง และความกลา้ แสดงออกหน้าชั้นเรยี น 3.6 ผู้วิจัยประเมินผลการทากิจกรรมครั้งที่ 2 โดยใช้แบบสังเกตการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของ นกั เรยี น 3.7 กิจกรรม สร้างภาวะความเป็นผู้นาคร้ังที่ 3 ผู้วิจัยได้ตระหนักถึงการฝึกภาวะความเป็นผู้นาในชั้น เรยี นในด้านการตดั สินใจในการทางาน, ความมนั่ ใจในตัวเอง และความกลา้ แสดงออกหนา้ ชน้ั เรยี น 3.8 ผู้วิจัยประเมินผลการทากิจกรรมครั้งท่ี 3 โดยใช้แบบสังเกตการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของ นักเรียน 3.9 กิจกรรม สร้างภาวะความเป็นผู้นาครั้งที่ 4 ผู้วิจัยได้ตระหนักถึงการฝึกภาวะความเป็นผู้นาในช้ัน เรียนในด้านการตัดสินใจในการทางาน, ความมนั่ ใจในตัวเอง และความกลา้ แสดงออกหนา้ ชัน้ เรยี น 3.10 ผู้วิจัยประเมินผลการทากิจกรรมครั้งที่ 4 โดยใช้แบบสังเกตการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของ นกั เรยี น 3.11 กิจกรรม สร้างภาวะความเปน็ ผู้นาครง้ั ท่ี 5 ผ้วู จิ ยั ไดต้ ระหนกั ถึงการฝึกภาวะความเปน็ ผู้นาในชั้น เรยี นในดา้ นการตัดสนิ ใจในการทางาน, ความมน่ั ใจในตัวเอง และความกลา้ แสดงออกหน้าช้นั เรียน 3.12 ผู้วิจัยประเมินผลการทากิจกรรมครั้งที่ 5 โดยใช้แบบสังเกตการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของ นักเรยี น 3.13 สรุปผลการประเมินการสงั เกตการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมของนักเรียนทัง้ 5 คร้ัง

4. การวเิ คราะหข์ ้อมลู 4.1 สรุปวิเคราะห์ข้อมลู สรุปวเิ คราะห์ข้อมลู ผลคะแนนท่ีไดจ้ ากการสงั เกตพฤติกรรมการเปลยี่ นแปลงดา้ นภาวะความ เป็นผูน้ าของนักเรียน นกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 สายการโรงแรม โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 เชยี งใหม่ 4.2 สถติ ทิ ่ีใช้ในการวิเคราะห์สรปุ ข้อมลู การวเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยการหาค่าความถี่แลว้ นามาเปรยี บเทยี บกบั เกณฑ์ ดังนี้ เกณฑ์ คะแนน 10-15 หมายถึง ดมี าก คะแนน 5-9 หมายถงึ พอใช้ คะแนน 1-4 หมายถึง ควรปรบั ปรุง

บทท่ี 4 ผลการวิจยั การวิจัยเร่ือง การพัฒนาความกล้าแสดงออกด้านการเป็นผู้นาโดยใช้กระบวนการปฏิบัติจริงของ นักเรียนสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชียงใหม่ จานวน 18 คน ผู้วิจัย นาเสนอผลการวิจยั ในประเด็นตา่ ง ๆ ดังต่อไปน้ี 1. สญั ลกั ษณท์ ่ใี ชใ้ นการนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู 2. ลาดับข้ันในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการเปรยี บเทียบ 1. สญั ลกั ษณท์ ี่ใช้ในการนาเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ผู้วจิ ยั ไดก้ าหนดสัญลกั ษณท์ ี่ใช้ในการแปลความหมายผลการวิเคราะหข์ ้อมูล ดงั นี้ N แทน จานวนกลมุ่ เปา้ หมาย ƒ แทน คะแนนความถ่ี ∑������ แทน ผลรวมของคะแนนท้งั หมด ผู้วิจยั ไดก้ าหนดคะแนนท่ใี ชใ้ นการแปลความหมายผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ดังนี้ คะแนน 40.00-60.00 หมายถงึ ดีมาก คะแนน 20.00-39.99 หมายถงึ พอใช้ คะแนน 1.00-19.99 หมายถึง ควรปรับปรุง 2. ลาดับขน้ั ในการเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในการวิเคราะห์ ผูร้ ายงานไดด้ าเนนิ การตามลาดับขนั้ ตอนที่ 1 วิเคราะห์ผลโดยการหาค่าความถ่ีในการประเมินของนักเรียนจากการสังเกตพฤติกรรมการ เปลี่ยนแปลงด้านภาวะความเป็นผู้นาของนักเรียนสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 31 เชียงใหม่ จานวน 18 คน ตอนที่ 2 วิเคราะห์ผลรวมร้อยละการประเมินของนักเรียนจากการสังเกตพฤติกรรมการเปล่ียนแปลง ด้านภาวะความเป็นผู้นาของนักเรียนสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชียงใหม่ จานวน 18 คน

3.ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตารางที่ 1 คะแนนคา่ ความถี่ เพอ่ื หาคา่ ความถี่เกณฑใ์ นการสังเกตพฤตกิ รรมการ เปลย่ี นแปลงด้านภาวะความเป็นผู้นาของนักเรียน นกั เรยี นสาขาวชิ าการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรยี นราช ประชานุเคราะห์ 31 เชยี งใหม่ จานวน 18 คน จานวน 5 คร้งั นกั เรียน ค่าความถ่ีดา้ น ความหมาย คนท่ี ตัดสินใจในการ ทางาน 1 12 ดี 2 12 ดี 3 14 ดี 4 12 ดี 5 10 พอใช้ 6 11 ดี 7 12 ดี 8 10 พอใช้ 9 15 ดี 10 18 ดีมาก จากตารางที่ 1 การสังเกตพฤติกรรมการเปล่ียนแปลงด้านภาวะความเป็นผู้นาของนักเรียนด้าน ตัดสินใจในการทางาน นักเรียนสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชียงใหม่ จานวน 18 คน อยู่ในเกณฑ์ ดมี าก จานวน 1 คน อยใู่ นเกณฑ์ ดี จานวน 7 คน และอยูใ่ นเกณฑ์ พอใช้ จานวน 2 คน ตารางที่ 2 คะแนนคา่ ความถ่ี เพือ่ หาคา่ ความถเี่ กณฑใ์ นการสงั เกตพฤตกิ รรมการเปล่ยี นแปลงด้าน ภาวะความเป็นผนู้ าของนกั เรียน นักเรยี นสาขาวิชาการโรงแรม (ทวศิ ึกษา) โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 เชียงใหม่ จานวน 18 คน จานวน 5 ครง้ั

นกั เรยี น ค่าความถี่ดา้ น ความหมาย คนที่ ความม่ันใจใน ตวั เอง 1 12 ดี 2 12 ดี 3 12 ดี 4 13 ดี 5 13 ดี 6 10 พอใช้ 7 12 ดี 8 13 ดี 9 12 ดี 10 15 ดมี าก จากตารางที่ 2 การสังเกตพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงด้านภาวะความเป็นผู้นาของนักเรียน ดา้ นความมัน่ ใจในตวั เอง นักเรียนสาขาวชิ าการโรงแรม (ทวศิ กึ ษา) โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 เชียงใหม่ จานวน 18 คน อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก จานวน 1 คน อยู่ในเกณฑ์ ดี จานวน 8คน และอยู่ในเกณฑ์ พอใช้ จานวน 1 คน

ตารางท่ี 3 คะแนนคา่ ความถี่ เพื่อหาค่าความถเ่ี กณฑ์ในการสงั เกตพฤตกิ รรมการเปล่ยี นแปลงด้านภาวะความ เป็นผูน้ าของนักเรียน นักเรยี นสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 เชียงใหม่ จานวน 18 คน จานวน 5 ครัง้ ค่าความถ่ีด้าน นกั เรยี น ความกลา้ ความหมาย คนท่ี แสดงออกหนา้ ช้ัน เรยี น 1 16 ดมี าก 2 15 ดี 3 13 ดี 4 11 ดี 5 13 ดี 6 10 พอใช้ 7 13 ดี 8 14 ดี 9 14 ดี 10 20 ดีมาก จากตารางที่ 2 การสังเกตพฤติกรรมการเปล่ียนแปลงด้านภาวะความเป็นผู้นาของนักเรียนด้านความ กล้าแสดงออกหน้าช้ันเรียน นักเรียนสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชียงใหม่ จานวน 18 คน พบว่าอยู่ในเกณฑ์ ดีมาก จานวน 2 คน อยู่ในเกณฑ์ ดี จานวน 7 คน และอยู่ใน เกณฑ์ พอใช้ จานวน 1 คน

ตอนที่ 2 วิเคราะห์ผลรวมร้อยละการประเมินของนักเรียนจากการสังเกตพฤติกรรมการเปลยี่ นแปลง ด้านภาวะความเป็นผู้นาของนักเรียน นักเรียนสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชยี งใหม่ จานวน 18 คน ตารางที่ 4ผลรวมรอ้ ยละการประเมนิ ของนักเรยี นจากการสงั เกตพฤติกรรมการเปลย่ี นแปลง ด้านภาวะความเป็นผูน้ าของนักเรียนสาขาวิชาการโรงแรม (ทวศิ ึกษา) โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 เชยี งใหม่ จานวน 18 คน ผลรวมพฤติกรรมดา้ น นกั เรียนคน ตัดสนิ ใจในการ ความมนั่ ใจใน ความกล้าแสดงออก การพัฒนาความกลา้ ท่ี ทางาน ตวั เอง หนา้ ชนั้ เรยี น แสดงออกดา้ นการเปน็ (20) (20) (20) ผนู้ า (60) 1 12 12 16 40 2 12 12 15 39 13 39 3 14 12 11 36 13 36 4 12 13 10 31 13 37 5 10 13 14 37 14 41 6 11 10 20 53 389 7 12 12 38.9 8 10 13 9 15 12 10 18 15 รวม เฉล่ีย จากตารางที่ ๑ พบวา่ พฤติกรรมด้านภาวะความเปน็ ผู้นาของนกั เรยี น นกั เรยี นสาขาวิชาการโรงแรม (ทวศิ ึกษา) โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 เชยี งใหม่ จานวน 18 คน อยใู่ นระดับ พอใช้ (ค่าเฉลี่ยเท่ากบั 38.9)

บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภปิ ราย และขอ้ เสนอแนะ การวิจัยในชัน้ เรยี นเรอื่ งการพัฒนาความกล้าแสดงออกดา้ นการเป็นผู้นาโดยใช้กระบวนการปฏบิ ัติจริง ของนักเรียนสาขาวชิ าการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชียงใหม่ จานวน 18 คน โดย มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบการปรับเปล่ียนพฤติกรรมความกล้าแสดงออกก่อนและหลังด้าน การเป็นผู้นาของนักเรียนสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชียงใหม่ และมี กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนนักเรียนสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชียงใหม่ จานวน 18 คน โดยมีเคร่ืองมอื ในการวจิ ัย คือ กิจกรรมการสร้างภาวะความเป็นผู้นา และแบบสงั เกต การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการเปรียบเทียบพฤติกรรมก่อนและหลังการทาการวิจัย เป็นเคร่ืองมือในการ เกบ็ รวบรวมข้อมูล ผูว้ จิ ยั เสนองานวิจยั ดังนี้ สรุปผลการวจิ ยั พฤติกรรมดา้ นภาวะความเป็นผนู้ าของนักเรียนสาขาวชิ าการโรงแรม (ทวิศกึ ษา) โรงเรยี นราช ประชานเุ คราะห์ 31 เชียงใหม่ อยู่ในระดบั พอใช้ (คา่ เฉลย่ี เท่ากบั 38.9) อภปิ รายผล ท้ังนี้พฤติกรรมด้านภาวะความเป็นผู้นาของนักเรียนสาขาวิชาการโรงแรม (ทวิศึกษา) โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เชียงใหม่ อยู่ในระดับ พอใช้ (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 38.9) อาจเป็นเพราะวิธีการท่ี ผู้วิจัยสร้างขึ้นได้ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชียวชาญ สอดคล้องกับผลการศึกษาของ(ธีรวรรณ ธีระพงษ์, 2543) ให้ความหมายว่า เป็นพฤติกรรมที่บุคคลสามารถแสดงออกได้อย่างเป็นธรรมชาติมากท่ีสุดตามสภาพการณ์ที่ เปน็ อยู่ และสามารถจดั การกบั ปัญหาต่าง ๆ ไดด้ ้วยวธิ กี ารทางบวก โดยปราศจากความวติ กกังวล น่ันคอื บุคคล สามารถแสดงออกซึ่งความต้องการหรือความรู้สึกได้อย่างตรงมาและจริงใจ อย่างไรก็ตามพฤติกรรมการกล้า แสดงออกอย่างเหมาะสมมิใช่กระทาเพื่อที่จะให้ได้ส่ิงที่ต้องการ เป้าหมายของการกระทาพฤติกรรมกล้า แสดงออกนนั้ คือการส่ือสารอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา ไมโ่ จมตีความต้องการหรือการคิดเห็นขอบบุคคลอ่ืน ซง่ึ การทาเช่นน้นั จะทาให้มีโอกาสบรรลเุ ปา้ หมายทีต่ อ้ งการโดยไมป่ ฏิเสธสิทธขิ องผู้อืน่ ขอ้ เสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะ สาหรับการนาผลการวจิ ยั ไปใช้ 1.1 การเลือกเน้ือหาที่นามาจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นส่ิงสาคัญ ควรเลือกกิจกรรมที่มี ความเหมาะสมของ เพศ วัย และระดับความสามารถในการเรียนของนักเรียนด้วย หากเนื้อหาใดที่นักเรียนสนใจ นักเรียนจะเกิดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้เพิ่ม มากข้ึน

1.2 ในระหว่างการดาเนินการจัดกิจกรรม ครูควรสังเกตพฤติกรรมนักเรียนที่มีการ เรียนรู้ช้า หรือต้องการความช่วยเหลือ ควรใช้การเสริมแรงกระตุ้นใหน้ ักเรยี นสนใจ หรอื อธบิ ายให้เขา้ ใจชดั เจนอกี ครั้ง 2.ขอ้ เสนอแนะสาหรับการวิจยั คร้ังต่อไป 2.1 ควรมีการนาแบบฝึกทักษะท่ีสร้างข้ึนไปทดลองใช้กับนักเรียนโรงเรียนอื่นเพ่ือจะได้ ข้อสรปุ ผลการวจิ ยั ท่กี ว้างขน้ึ 2.2 ควรมีการสร้างกจิ กรรมในกลุ่มสาระการเรียนรู้อืน่ ๆให้แก่นักเรียนสนใจอยากเรียนรู้ และสรา้ งในรปู แบบตา่ งๆ เพือ่ เพ่ิมความสนใจใหแ้ กน่ ักเรียนมากยิ่งข้นึ

บรรณานุกรม วิมพว์ ภิ า ถาสกลุ .2550. การวจิ ยั เชิงทดลอง เพื่อศึกษาการใชก้ ิจกรรมตามทฤษฎเี ผชิญความจรงิ เพื่อเสริมสร้าง พฤติกรรมกล้าแสดงออกของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นสาธิตมหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่. รัศมี เชื้อเจ็ดตน.2539. ศึกษาพฤติกรรมการกล้าแสดงออกของเด็กปฐมวัยโดยใช้บทบาทสมมุติและ เปรียบเทียบพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมของเด็กปฐมวัยที่รับการฝึก โดยใช้กิจกรรมบทบาท สมมุติ และไมไ่ ดร้ บั การฝกึ โดยใชก้ ิจกรรมบทบาทสมมุติ. D’Zurilla & Goldfriend.1971. การวจิ ยั เพ่อื ศกึ ษาพฤติกรรมการกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสม.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook