Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การสืบค้น

การสืบค้น

Published by ิจิรพันธ์ มีอนันต์, 2020-02-25 03:28:59

Description: วัตถุประสงค์ เพื่อสืบค้นและเนื้อหาในการเรียน วิชาการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ภาคเรียน2/2562

Keywords: Search

Search

Read the Text Version

วธิ สี อนแบบอุปนยั การจัดการเรยี นการสอนท่ีเนน้ นำเสนอเหตุการณ์ ตวั อยา่ ง ข้อมลู กอ่ นการนำเสนอทฤษฎี หลกั การ ของบทเรยี นนั้นๆ จะทำใหผ้ เู้ รียนไดม้ คี วามหลากหลายในดา้ นความคดิ การแยกแยะ และการจำแนกสิ่งตา่ งๆ นำไปสู่ความเข้าใจในทฤษฎี หลักการได้ยง่ิ ข้นึ การสอนวิธนี ี้ คือ การสอนโดยใช้การอปุ นัย ซึ่งผสู้ อนจะต้อง เข้าใจหลกั การ นำเสนอเหตกุ ารณ์ ตวั อย่างทตี่ รงกบั หลักการทีจ่ ะสอนดว้ ย เพื่อใหผ้ ้เู รยี นเขา้ ใจวธิ ีการสอนโดย อุปนัยมากยงิ่ ขึน้ ดังท่ี ระววี รรณ วฒุ ปิ ระสทิ ธ์ิ (2530 : 71) กล่าวถึงวธิ สี อนแบบอุปมานหรอื อปุ นัยว่า เปน็ วิธีใช้ สอนมาตั้งแตส่ มัยอรสิ โตเตลิ โดยใชก้ ารสอนจากตัวอย่างไปสู่การสรปุ เปน็ กฎเกณฑห์ รือหลกั ทัว่ ไป หรือกล่าวได้ ว่า การสอนแบบอุปมานเปน็ การสอนจากรายละเอยี ดปลกี ยอ่ ยไปหากฎเกณฑ์ การสอนแบบนีจ้ งึ มจี ดุ มงุ่ หมาย เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นรจู้ ักค้นหาข้อเทจ็ จรงิ และหลกั การตา่ งๆ จากการสงั เกตตัวอย่างทสี่ มั พันธ์กันอยา่ งเพยี งพอ ความหมาย นักวิชาการหลายทา่ นได้ใหค้ วามหมายของวธิ สี อนโดยใชอ้ ุปนัย ไวด้ งั ตอ่ ไปน้ี ทศิ นา แขมมณี (2550 : 340) กล่าวถงึ วธิ ีสอนโดยการใช้การอปุ นยั คอื กระบวนการสอนทผ่ี สู้ อน ใชใ้ นการช่วยให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ตามวตั ถุประสงคท์ ่ีกำหนด โดยการนำตัวอยา่ ง / ขอ้ มลู / ความคิด / เหตุการณ์ / สถานการณ์ / ปรากฏการณ์ ที่มหี ลกั การ / แนวคดิ ท่ตี อ้ งการสอนให้แกผ่ เู้ รียน มาใหผ้ ู้เรยี น ศกึ ษาวิเคราะห์ จนสามารถดงึ หลกั การ / แนวคดิ ท่แี ฝงอยู่ออกมา เพอ่ื นำไปใช้ในสถานการณอ์ น่ื ๆ ต่อไป กลา่ วอย่างส้ัน ๆ ไดว้ ่า เป็นการสอนที่ใหผ้ เู้ รยี นสรปุ หลักการจากตัวอย่างตา่ ง ๆ ด้วยตนเอง ไสว ฟกั ขาว (2544 : 94) กล่าววา่ วธิ ีสอนแบบอุปมาน อาจเรยี กอีกอยา่ งหนึง่ ว่า วธิ ีสอนแบบ อปุ นยั ซง่ึ วธิ นี ใ้ี ชต้ ้งั แต่สมยั อรสิ โตเตลิ (Aristotle) เป็นการสอนย่อยไปหาข้อสรปุ ซงึ่ เปน็ สว่ นรวม หรอื สอน จากตัวอยา่ งไปหากฎเกณฑ์ โดยการให้ผเู้ รียนทำการศกึ ษา สังเกต ทดลอง เปรียบเทยี บ พจิ ารณาค้นหา องคป์ ระกอบ หรอื ลกั ษณะสว่ นทเี่ หมือนกนั หรือคลา้ ยคลงึ กนั จากตัวอย่างตา่ ง ๆ เพอ่ื นำมาเปน็ ขอ้ สรุป สพุ ิน บญุ ชวู งศ์ (2544:64) อธิบายถงึ วิธีสอนแบบอปุ นัย เป็นการสอนจากรายละเอียดปลกี ย่อยไป หากฎเกณฑ์ กล่าวคือ การสอนจากสว่ นยอ่ ยไปหาสว่ นรวมหรอื สอนจากตวั อย่างไปหากฎเกณฑ์ หลกั การ ขอ้ เท็จจรงิ หรือข้อสรปุ โดยการใหน้ ักเรยี นทำการศกึ ษา สงั เกต ทดลอง เปรียบเทยี บ แลว้ พิจารณาคน้ หา องค์ประกอบทเ่ี หมอื นกนั หรอื คล้ายคลึงกันจากตัวอย่างตา่ ง ๆ นำมาเปน็ ข้อสรปุ อนิ ทิรา บุณยาทร (2542 : 104) ได้กล่าวถงึ วิธีสอนแบบอุปมัย คอื การสอนจากรายละเอียดปลกี ยอ่ ย ไปหากฎเกณฑ์ หรอื สอนจากตวั อยา่ งไปหากฎเกณฑ์ โดยใหผ้ เู้ รยี นทำการศึกษา สงั เกต ทดลอง เปรียบเทียบ แลว้ พจิ ารณาหาองค์ประกอบทเี่ หมือนกนั หรอื คล้ายคลงึ กันจากตวั อยา่ งตา่ ง ๆ เพ่ือนำมาสรุปในความเปน็ ไป จากส่วนย่อยไปหากฎเกณฑ์ เสริมศรี ลกั ษณศริ ิ(2540 : 78)กล่าววา่ การสอนแบบอปุ มานหรืออปุ นัยหรืออปุ มยั หมายถงึ การ สอนจากตวั อยา่ งไปหากฎเกณฑห์ รอื หลักเกณฑ์ หรือการสอนจากส่วนย่อยไปหาสว่ นรวม กลา่ วคอื ใช้ ตวั อย่างหลาย ๆ ตัวอยา่ ง แลว้ ใหผ้ เู้ รยี นสรปุ เป็นกฎเกณฑ์หลกั การสตู รนยิ ามทฤษฎี ขอ้ เท็จจรงิ หรือข้อสรปุ ตา่ งๆมกั ใช้ในวิชาทีเ่ กีย่ วกบั การคำนวณการค้นคว้า และการทดลองตา่ งๆเช่น วิชา คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ฯลฯ ตัวอยา่ งเชน่ ใหผ้ เู้ รียนดภู าพหสู องขา้ ง ตาสองข้าง จมูก และ ปาก เมื่อนำมารวมกันกเ็ ปน็ สว่ นประกอบของใบหนา้ หรอื ในการสอนเรื่องการบวก ผสู้ อนจะใชข้ องจริงหรอื ของจำลอง รปู ภาพ สญั ลกั ษณ์ แสดงตวั อย่างของการบวกให้มากจนกระทง่ั ผเู้ รยี นสรุปความคดิ รวบยอดได้ วา่ การบวกเปน็ การนำจำนวนสองจำนวนมารวมกนั จำนวนทไี่ ด้จากการรวมสองจำนวนเขา้ ดว้ ยกัน เรียกวา่

ผลรวมหรอื ผลบอกและถอ้ ยคำท่ใี ช้แสดงการบวกกม็ หี ลายอย่าง เปน็ ต้น วธิ ีสอนทตี่ รงข้ามกบั วิธีสอนแบบ อนุมาน สรุปไดว้ ่า วธิ สี อนโดยใช้การอปุ นัย หมายถึง การสอนที่มกี ารลงรายละเอียดปลีกยอ่ ยก่อนการ นำไปส่หู ลักการหรือทฤษฎี โดยอาจจะใช้กรณีตวั อย่าง ขอ้ มูล หรอื เหตกุ ารณ์ตา่ งๆ มาใช้ เพอื่ ให้ผเู้ รยี นไดศ้ กึ ษา วิเคราะห์ จนสามารถสรุปเปน็ หลักการของตนเองไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง จุดมุง่ หมายของวิธีสอนโดยใชก้ ารอปุ นยั นกั วิชาการกลา่ วถึงจดุ มงุ่ หมายของการสอนโดยใช้การอุปนัย ไว้ดังนี้ ทิศนา แขมมณี (2550 : 340) กล่าวว่า เป็นวธิ ที ีม่ งุ่ ให้ผเู้ รียนไดฝ้ ึกทกั ษะการคิดวิเคราะห์ สามารถจับ หลักการหรือประเดน็ สำคญั ไดด้ ้วยตนเอง ทำใหเ้ กดิ การเรยี นรหู้ ลักการแนวคดิ หรอื ขอ้ ความร้ตู ่าง ๆ อย่าง เข้าใจ ไสว ฟกั ขาว (2535 : 94) อธบิ ายวา่ การสอนแบบอนมุ านทม่ี งุ่ ช่วยให้ผเู้ รียนไดค้ ันพบหลกั เกณฑ์ด้วย ตนเอง และเข้าใจความหมายและความสัมพนั ธร์ ะหว่างความคิดตา่ ง ๆ ในสิง่ ท่เี รียนอยา่ งแจม่ แจง้ ตลอดจน สามารถช่วยกระตนุ้ ให้ผเู้ รียนรจู้ ักทำการคน้ คว้าหาความรดู้ ว้ ยตนเอง ชาญชยั ยมดิษฐ์ (2548 : 64) กลา่ วถงึ ความมุ่งหมายของวิธสี อนแบบอปุ นยั วา่ เพอื่ ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นได้ ค้นพบกฎเกณฑห์ รอื ความจรงิ ทส่ี ำคญั ด้วยตนเองใหก้ บั เข้าใจความหมายและความสัมพันธ์ของความคดิ ต่าง ๆ อย่างแจม่ แจ้ง ตลอดจนกระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นรจู้ ดั ทำการสอบสวนคน้ ควา้ หาความรู้ดว้ ยตนเอง อินทริ า บณุ ยาทร (2542 : 104) กลา่ วว่าความมุง่ หมายของการสอนโดยใชอ้ ปุ นยั จำแนกเปน็ ข้อๆ ไดด้ งั นี้ 1. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนไดค้ ้นพบกฎเกณฑ์ หรือความจริงทสี่ ำคญั ดว้ ยตนเอง 2. เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ ข้าใจความหมาย และความสมั พันธ์ของความคดิ ต่าง ๆ และคุณสมบัตขิ องสงิ่ ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างชัดเจน 3. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนไดก้ ระตอื รือร้นทจ่ี ะได้ศึกษา ค้นคว้าหาความร้ดู ว้ ยตนเอง สรุปไดว้ ่า วิธีสอนโดยใช้อุนยั มจี ดุ มงุ่ หมายทสี่ ำคญั คอื ส่งเสริมใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ทักษะการคิด วิเคราะห์ สามารถเขา้ ใจความหมาย ค้นพบความสมั พันธ์ของสิง่ ต่างๆ ได้ด้วยตนเอง อกี ทั้งมุ่งใหผ้ ูเ้ รียน กระตือรอื รน้ ตอ่ การเรียนการร้ดู ว้ ย องคป์ ระกอบของวิธีสอนโดยใช้การอุปนัย ทิศนา แขมมณี (2550 : 340) กล่าวถึงองคป์ ระกอบสำคญั (ทีข่ าดไม่ได)้ ของวธิ สี อนโดยใชอ้ ปุ นยั ว่า ประกอบไปด้วย 1. มผี ู้สอนและผเู้ รียน 2. มตี ัวอยา่ ง / ขอ้ มลู / สถานการณ์ / เหตุการณ์ / ปรากฏการณ์ / ความคดิ ที่เป็นลักษณะยอ่ ย ๆ ของสิง่ ทต่ี อ้ งการใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรียนรู้ 3. มกี ารวิเคราะห์ตวั อย่างต่าง ๆ เพอ่ื หาหลักการท่รี ว่ มกนั 4. มขี อ้ สรปุ ทมี่ ลี ักษณะเปน็ หลกั การ / แนวคิด 5. มผี ลการเรียนรูข้ องผเู้ รยี น

ขั้นตอนในวิธีสอนโดยใช้การอปุ นยั ทศิ นา แขมมณี (2550 : 340) อธิบายถึงข้ันตอนสำคัญของการสอนโดยใช้การอุปนยั วา่ มีดังน้ี 1. ผ้สู อน และ/หรือผู้เรียน ยกตัวอย่าง / ขอ้ มลู / สถานการณ์ / เหตุการณ์ / ปรากฏการณ์ / ความคิด ทเี่ ปน็ ลกั ษณะย่อยของส่งิ ทจี่ ะเรยี นรู้ 2. ผู้เรยี นศกึ ษาและวเิ คราะหห์ าหลกั การที่แฝงอยู่ในตัวอยา่ งนน้ั 3. ผู้เรียนสรปุ หลกั การ / แนวคิดทไี่ ด้จากตัวอย่างนั้น 4. ผู้สอนประเมินผลการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น สริ วิ รรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสขุ (2540 : 132) กลา่ วว่าในการดำเนินการสอนโดยวธิ อี ุปนยั ประกอบดว้ ยข้ันตอนดงั ต่อไปนี้ 1. ขั้นเตรียม 2. ขั้นสอน 3. ข้ันสรปุ 4. ขัน้ ประเมิน ไสว ฟักขาว (2535 : 94-95) ไดเ้ สนอขนั้ ตอนกจิ กรรมการเรียนการสอนแบบอุปมาน มีดงั น้ี 1. ขั้นเตรยี ม 2. ขน้ั นำเสนอ 3. ขั้นเปรียบเทยี บและคน้ หาลกั ษณะร่วม 4. ขน้ั สรปุ กฎเกณฑ์ 5. ขน้ั นำไปใช้ นอกจากนี้ อินทริ า บณุ ยาทร (2542 :104) อธิบายถงึ ขั้นตอนการสอนโดยใช้อุปนัยมี 5 ขน้ั ตอน ดังน้ี 1. ขนั้ เตรียมการ 2. ขน้ั สอน 3. ขน้ั วิเคราะห์ 4. ข้นั สรปุ 5. ข้นั นำไปใช้ 1. การเตรยี มตัวอย่าง ทิศนา แขมมณี (2550 : 341) กล่าววา่ ผู้สอนจำเปน็ ต้องเตรยี มตวั อย่าง / ข้อมลู / สถานการณ์ / เหตกุ ารณ์ / ปรากฏการณ์ / ความคิด ที่มหี ลักการ / แนวคิด ทตี่ อ้ งการให้ผเู้ รยี นเกิดการเรยี นรูแ้ ฝง อยู่ ตวั อยา่ งทีค่ วรใหป้ ระกอบดว้ ยลักษณะหรือคณุ สมบตั ิยอ่ ย ๆ ที่ครอบคลมุ หลกั การ / แนวคิดน้นั เช่น ถา้ ต้องการใหผ้ เู้ รียนได้เรียนรวู้ ่า “สตั วเ์ ล้อื ยคลานคืออะไร” ตวั อยา่ งท่ใี หก้ ็ควรครอบคลุมคณุ สมบัตยิ อ่ ยของ สตั ว์เลอื้ ยคลาน หรือตอ้ งการใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจคำวา่ “ซอ่ื สตั ยส์ ุจริต” ตัวอยา่ งท่ีให้ก็ควรประกอบดว้ ยคุณสมบัติ ต่างๆ ของความซ่อื สัตย์ จะเหน็ ไดว้ ่า วิธสี อนในลกั ษณะนี้เปน็ วิธกี ารหลกั ท่ใี ชใ้ นการสอนมโนทศั น์และหลกั การ ต่าง ๆ ซง่ึ การทจี่ ะชว่ ยให้ผเู้ รยี นได้ใชค้ วามคิดมาก ๆ นน้ั ตัวอย่างที่ใหค้ วรจะเปน็ ตวั อยา่ งที่น่าสนใจและท้า ทายความคดิ ความสามารถของผเู้ รียน คือ ตอ้ งเปน็ เร่ืองทไี่ ม่งายเกนิ ไป แต่ก็ไม่ยากจนเกนิ ความสามารถ และ ตวั อย่างท่ใี ห้ควรมีความหลากหลายและครอบคลมุ ลกั ษณะ / องคป์ ระกอบสำคญั ของมโนทศั น์ / แนวคดิ / หลกั การนนั้ นอกจากนัน้ การตงั้ ประเดน็ คำถามใหผ้ ู้เรียนไดค้ ิดค้นหาคำตอบจากตัวอย่างท่ีให้ กม็ คี วามสำคญั มาก การตงั้ ประเด็นคำถามทีต่ รงจดุ ตรงประเด็น และมีลกั ษณะทที่ า้ ทายความคดิ จะช่วยจูงใจใหผ้ ู้เรยี น อยากคดิ อยากหาคำตอบ และอยากเรยี นรเู้ พมิ่ ขึน้

สิรวิ รรณ ศรพี หล และ พันทพิ า อุทยั สขุ (2540 : 132) กล่าววา่ ขนั้ เตรยี มการสอนของการ สอนโดยใชอ้ ปุ นยั ประกอบด้วยขัน้ ตอนยอ่ ย ดงั นี้ 1. กำหนดจดุ มุง่ หมายของการสอน กอ่ นจะเตรยี มคำสอน ผู้สอนตอ้ งเตรียมจุดมงุ่ หมายวา่ ต้องการจะใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความรู้ ความสามารถดา้ นใด และต้องการใหท้ ราบกฎและหลักการอะไร 2. กำหนดเนือ้ หาและขน้ั ตอนการสอนในการสอนดว้ ยวิธีอปุ นยั ขนั้ ตอนใน การสอนแตล่ ะข้นั ตอน จะตอ้ งมีความสัมพันธ์กนั ผูส้ อนจะต้องเรียงลำดับของเนอ้ื หาของแตล่ ะข้นั ตอนใหม้ ีความสัมพันธส์ อดคล้อง กนั ถา้ หากข้ันตอนของเนอ้ื หาไม่สอดคล้องกนั จะทำใหผ้ ้เู รยี นเกิดการไขว้เขวได้ 3. เตรยี มอปุ กรณก์ ารสอน ใหส้ อดคลอ้ งกับเนอ้ื หาในแตล่ ะข้ันตอน ไสว ฟกั ขาว (2535 : 94-95) แนะนำวา่ ขนั้ เตรียม เปน็ การเตรียมผเู้ รียนใหพ้ ร้อมท่ีจะเรยี น โดย การทบทวนความร้เู ดมิ ให้พร้อมทจ่ี ะใชใ้ นการเชอื่ มโยงกบั ความร้ใู หม่ บอกจุดประสงคแ์ ละอธบิ ายจดุ ประสงค์ ในการเรียนใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ใจอย่างแจม่ แจ้ง นอกจากน้ี อนิ ทิรา บุณยาทร (2542 : 104) อธบิ ายถงึ ขั้นเตรียมการของการสอนโดยใช้อปุ นัยว่า ขน้ั เตรียมการ คือ การเตรยี มตัวผู้เรยี น โดยการทบทวนความรู้เดมิ และปูพ้นื ฐานความร้ใู หม่ หรอื เชื่อมโยง ประสบการณเ์ ดมิ กับประสบการณใ์ หม่ พรอ้ งทง้ั บอกจดุ มงุ่ หมายใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจ เสรมิ ศรี ลกั ษณศิริ (2540 : 279) กล่าวว่า ขั้นเตรยี ม เป็นการนำเขา้ ส่บู ทเรยี น เร้าความสนใจ ของผเู้ รียน ทบทวนความรเู้ ดมิ เพือ่ ใหส้ มั พันธ์กบั ความรู้ใหม่ อธบิ ายความมงุ่ หมายใหผ้ ูเ้ รยี นเข้าใจ สุพนิ บญุ ชูวงศ์ (2544 : 64-65) กลา่ วถึง ขน้ั ตอนของการสอนโดยใชอ้ ุปนัย ว่า ขน้ั เตรยี ม คือ การเตรียมตวั นักเรียน เป็นการทบทวนความรเู้ ดิม กำหนดจุดมุ่งหมาย และอธบิ ายความมงุ่ หมายให้นักเรยี น ได้เข้าใจแจ่มแจง้ สรปุ ได้ว่า ข้นั เตรียม ผสู้ อนต้องกำหนดจุดมงุ่ หมายในการสอน เตรียมอุปกรณส์ ำหรบั การเรยี น การสอนใหก้ บั ผเู้ รียน 2. ข้ันสอน ทิศนา แขมมณี (2550 : 341-342) กล่าวถงึ ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเตมิ ในขน้ั สอนว่า เป็นการใหผ้ เู้ รยี นศกึ ษา วิเคราะหห์ าหลกั การ / แนวคดิ จากตวั อยา่ ง หากตัวอย่างท่ใี หแ้ ก่ผเู้ รียนเป็นตัวอย่างทค่ี รอบคลมุ ลกั ษณะหรอื คณุ สมบตั ิย่อย ๆ ของหลกั การ / แนวคดิ น้ัน ๆ และมคี ำถามที่สามารถนำผเู้ รียนไปสวู่ ตั ถปุ ระสงคท์ ต่ี อ้ งการ แล้ว ยอ่ มจะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นสามารถศึกษาและวเิ คราะห์ไดต้ รงวตั ถุประสงค์อยา่ งรวดเรว็ แตห่ ากผเู้ รียนไม่ ประสบความสำเร็จ หรือทำได้ไมถ่ กู ต้อง ผสู้ อนสามารถใชค้ ำถามเพิ่มเตมิ หรือใหข้ อ้ มูลเพ่มิ เตมิ ได้ แตไ่ ม่ควร ให้ในลกั ษณะทเี่ ป็นการบอกคำตอบ ผสู้ อนพึงระลึกอยเู่ สมอวา่ วธิ สี อนนมี้ งุ่ ช่วยให้ผเู้ รียนได้คดิ ไดท้ ำความ เข้าใจดว้ ยตนเอง จงึ ควรใชว้ ธิ กี ระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นไดค้ ิดคน้ ตอ่ ไป โดยการตง้ั ประเดน็ คำถามเพ่มิ เติมและควรให้ ผู้เรียนได้รว่ มกันคิดรว่ มกันวเิ คราะห์เปน็ กลุ่มย่อย เพอื่ จะไดแ้ ลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ กระตนุ้ และตรวจสอบ ความคิดของกันและกนั อนั จะนำไปสคู่ วามคิดท่ีรอบคอบขน้ึ และถูกต้องมากขน้ึ อยา่ งไรก็ตาม การร่วมกัน คดิ เปน็ กลุ่มน้ีกม็ ีข้อเสยี ตรงท่ีวา่ ผูเ้ รยี นทเ่ี รียนรู้ได้ช้า มกั จะถกู ครอบงำหรือถกู ขม่ โดยผูเ้ รียนทเ่ี รยี นรูไ้ ด้เร็ว กว่า ดังนน้ั ผ้สู อนจึงควรจดั ใหผ้ เู้ รยี นไดม้ ีเวลาในการคิดเป็นรายบุคคลดว้ ยก่อนทจี่ ะอภิปรายกลุม่ ย่อย และ ควรใชเ้ ทคนคิ วิธีการต่าง ๆ ทจ่ี ะชว่ ยให้ผเู้ รียนทกุ คนมสี ว่ นร่วมในการอภปิ รายกลมุ่ ยอ่ ยอยา่ งทวั่ ถึงและเท่า เทยี มกนั พอสมควร สริ ิวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 132) กล่าวถงึ ข้ันสอนของการสอนโดยใช้ อปุ นัยว่า การสอนโดยวธิ ีนค้ี วรใช้วิธกี ารอธบิ ายแตเ่ พยี งส้นั ๆ เฉพาะในเรอ่ื งของความหมาย แนวคดิ กวา้ ง ๆ

และตวั อยา่ งเทา่ นนั้ สว่ นใหญแ่ ลว้ ผู้สอนควรใชเ้ ทคนิคการใชค้ ำถามให้ผู้เรียนไดต้ อบและสรุปความคิดเห็น หรือ แนวคิด ไสว ฟักขาว (2535 : 94-95) กลา่ ววา่ ขน้ั นำเสนอ เป็นขั้นท่คี รูนำเสนอตวั อย่างหรือกรณีตา่ ง ๆ ให้ผ้เู รยี นได้พิจารณาเพอ่ื ใหผ้ ้เู รยี นสามารถเปรียบเทยี บลกั ษณะร่วมที่สำคญั เป็นกฎเกณฑไ์ ด้ สำหรับการ นำเสนอตัวอย่างน้ันควรเสนอหลาย ๆ ตัวอย่างให้มากพอทจี่ ะทำใหผ้ เู้ รยี นสรปุ เป็นกฎเกณฑ์ไดด้ ว้ ยตนเอง อนิ ทริ า บณุ ยาทร (2542 : 104) กลา่ ววา่ ข้ันสอน คอื การให้ตัวอยา่ งหรือกรณตี ัวอยา่ งหลาย ๆ ตวั อยา่ งเพอื่ ใหผ้ ูเ้ รียนไดเ้ ปรียบเทียบพิจารณาขอ้ มลู ตา่ ง ๆ มาสรุปเปน็ กฎเกณฑ์ เสรมิ ศรี ลักษณศิริ (2540 : 279) กลา่ ววา่ ขน้ั สอน ผสู้ อนใหต้ วั อยา่ งแกผ่ เู้ รยี นหลาย ๆ ตวั อย่างใหม้ ากพอทผ่ี เู้ รียนจะสังเกตพจิ ารณาและหาข้อสรปุ ได้ สำหรับวชิ าท่ีต้องการ ทดลอง เชน่ วทิ ยาศาสตร์ ผสู้ อนอาจหาอปุ กรณก์ ารทดลองให้จำนวนเพียงพอกบั ผูเ้ รียนทจี่ ะทดลองด้วย ตนเอง หรอื ผสู้ อนทำการสาธติ ซ้ำหลาย ๆ ครงั้ จนผูเ้ รยี นสรปุ ได้เอง สพุ ิน บญุ ชูวงศ์ (2544 : 64-65) กลา่ วว่า ขน้ั สอนหรอื ขน้ั แสดง คอื การเสนอตัวอย่างหรอื กรณี ตา่ ง ๆ ให้นกั เรียนได้พิจารณา เพือ่ ให้นกั เรียนสามารถเปรยี บเทยี บ สรปุ กฎเกณฑไ์ ด้ การเสนอตวั อย่างควร เสนอหลาย ๆ ตวั อยา่ งใหม้ ากพอท่ีจะสรุปกฎเกณฑ์ได้ ไม่ควรเสนอเพียงตัวอยา่ งเดียว สรุปไดว้ ่า ขัน้ สอน ผ้สู อนนำเสนอการสอนโดยการอธิบายเนอ้ื หาสัน้ ๆ แต่ต้องยกตัวอย่างให้แก่ ผูเ้ รยี นหลาย ๆ ตัวอย่างใหม้ ากพอทีผ่ เู้ รียนจะสงั เกตพจิ ารณาและหาข้อสรปุ ได้ 3.ขัน้ เปรียบเทยี บหรือขัน้ วิเคราะห์ สิริวรรณ ศรพี หล และ พนั ทพิ า อทุ ยั สขุ (2540 : 132) กลา่ วถึง ข้ันสรุปวา่ ในการสรปุ นั้นควร ให้ผู้เรียนชว่ ยสรุปโดยผูส้ อนพยายามหลกี เลีย่ งการสรปุ เสยี เอง ไสว ฟักขาว (2535 : 94-95) อธบิ ายว่า ข้นั เปรียบเทยี บและคน้ หาลักษณะรว่ ม เปน็ การให้ ผู้เรียนพิจารณาองค์ประกอบร่วมที่คล้ายคลงึ กนั ในตวั อย่างท่ีครนู ำเสนอ เพอ่ื เตรียมไวเ้ ปน็ ขอ้ มูลในการสรปุ เป็นกฎเกณฑต์ ่อไป เสรมิ ศรี ลกั ษณศิริ (2540 : 279) กลา่ ววา่ ข้ันเปรยี บเทยี บ เมอื่ ผ้เู รียนไดพ้ ิจารณาจากตวั อย่าง หลาย ๆ ตวั อย่าง หรอื ไดล้ งมือทดลอง สงั เกต วเิ คราะห์ดว้ ยตนเอง ผเู้ รยี นกส็ ามารถเปรยี บเทียบแยกแยะข้อ แตกตา่ งหาองคป์ ระกอบร่วม และมองเหน็ ความสมั พนั ธ์ของรายละเอยี ดทเ่ี หมือนกนั ซง่ึ จะนำไปสกู่ ารสรปุ ใน ข้ันต่อไป อนิ ทิรา บณุ ยาทร (2542 : 104) กลา่ วว่า ขน้ั วเิ คราะห์ คือ การเปรียบเทียบและรวบรวม หา องค์ประกอบจากการทดลองจาก การสงั เกตจนพบความแตกตา่ ง และหาความสมั พันธข์ องรายละเอยี ดที่ เหมอื นกนั จนสามารถนำมาสรุปได้ สพุ นิ บญุ ชวู งศ์ (2544 : 64-65) กล่าววา่ ขั้นเปรยี บเทยี บและรวบรวม เป็นข้ันหาองค์ประกอบ รวม คอื การที่นักเรียนไดม้ โี อกาสพิจารณาความคลา้ ยคลงึ กนั ขององคป์ ระกอบในตวั อยา่ งเพือ่ เตรียมสรปุ กฎเกณฑ์ ไมค่ วร รีบร้อนหรือเรง่ เรา้ เดก็ เกนิ ไป สรุปได้ว่า ขั้นเปรยี บเทยี บ ผเู้ รียนพิจารณาตวั อย่างหลาย ๆ ตวั อยา่ ง หรอื ไดล้ งมอื ทดลอง สงั เกต วิเคราะหด์ ว้ ยตนเอง ผ้เู รียนกส็ ามารถเปรียบเทยี บแยกแยะขอ้ แตกตา่ งหาองคป์ ระกอบ ร่วม และมองเห็นความสัมพนั ธ์ของรายละเอียดทีเ่ หมือนกนั

4.ข้ันสรุป สิริวรรณ ศรีพหล และ พนั ทพิ า อทุ ัยสุข (2540 : 132) กล่าวถึง ขนั้ สรปุ ในการสรปุ นั้นควร ใหผ้ เู้ รียนช่วยสรุปโดยผสู้ อนพยายามหลกี เล่ยี งการสรปุ เสยี เอง ไสว ฟกั ขาว (2535 : 94-95) กล่าวว่า ขั้นสรปุ กฎเกณฑ์ เป็นการนำผลการเปรยี บเทยี บและ ค้นหาลักษณะรว่ มท่ไี ด้ดำเนนิ การไว้ มาสรุปเป็นกฎเกณฑ์ นิยาม หลกั การ หรอื สตู รด้วยตัวผูเ้ รยี นเอง อนิ ทริ า บณุ ยาทร (2542 : 104) กลา่ ววา่ ขั้นสรปุ คือ การสรปุ ประเด็นสำคญั ตา่ ง ๆ จากการ สังเกตตวั อย่างจนเปน็ หลกั การ หรือกฎเกณฑ์ดว้ ยตนเองได้ เสรมิ ศรี ลักษณศริ ิ (2540 : 279) กล่าวว่า ขัน้ สรปุ เปน็ การสรปุ องคป์ ระกอบร่วมจากตัวอย่าง ต่างๆ ทผ่ี เู้ รยี นไดส้ ังเกตพิจารณาทดลองพสิ จู น์ แล้วมาสรปุ เป็นกฎเกณฑ์ หลักสูตร สูตร นิยาม ทฤษฎี ขอ้ สุพนิ บุญชูวงศ์ (2544 : 64-65) กลา่ ววา่ ขัน้ สรปุ คอื การนำขอ้ สังเกตต่าง ๆ จากตวั อย่าง มาสรปุ เปน็ กฎเกณฑ์ นิยาม หลกั การ หรอื สตู ร ดว้ ยตวั นักเรียนเอง สรปุ ได้วา่ ข้ันสรปุ เป็นการสรุปองคป์ ระกอบรว่ มจากตวั อย่างต่าง ๆ ทีผ่ เู้ รียนไดส้ ังเกต พจิ ารณา ทดลอง พสิ จู น์ แลว้ มาสรปุ เปน็ กฎเกณฑ์ หลกั สตู ร สูตร นยิ าม ทฤษฎี ข้อเทจ็ จริงหรอื ขอ้ สรปุ ต่าง ๆ 5. ขั้นนำไปใช้ ไสว ฟักขาว (2535 : 95) กล่าววา่ ขั้นนำไปใช้ เปน็ การทดสอบความเขา้ ใจของผเู้ รียนเกี่ยวกับ กฎเกณฑ์ นิยาม หลกั การ หรอื สตู ร ท่ีผเู้ รยี นสรปุ ได้ว่าสามารถนำไปใชแ้ ก้ปัญหาได้หรือไม่ โดยการให้ ผ้เู รยี นทำแบบทดสอบหรอื แบบฝึกหัด อินทริ า บณุ ยาทร (2542 : 104) กลา่ วว่า ขน้ั นำไปใช้ คอื ขน้ั การทดสอบความรคู้ วามเขา้ ใจของ ผเู้ รยี นเก่ียวกบั กฎเกณฑท์ ไ่ี ด้ทำมาแลว้ วา่ สามารถนำไปปฏบิ ตั ิ หรอื แกป้ ัญหาอ่ืน ๆ ในสถานการณท์ ีค่ ลา้ ยคลึง กนั ได้ดีเพียงใด และ เสรมิ ศรี ลกั ษณศิริ (2540 : 279) กล่าววา่ ขน้ั นำไปใช้ เป็นขั้นทดสอบผู้เรียนเกี่ยวกบั ความเขา้ ใจ กฎเกณฑห์ รอื ข้อสรปุ นน้ั ๆ ว่า สามารถทีจ่ ะนำไปใชใ้ นการทำแบบฝกึ หัด หรอื นำไปใช้ในการแกป้ ัญหาได้ หรอื ไม่ สุพิน บญุ ชวู งศ์ (2544 : 64-65) ขนั้ นำไปใช้ คือ ขน้ั ทดลองความเข้าใจของนักเรียนเก่ียวกบั กฎเกณฑ์หรอื ขอ้ สรปุ ท่ไี ดท้ ำมาแลว้ วา่ สามารถทจี่ ะนำไปใช้ในปัญหาหรอื แบบฝึกหัดอื่น ๆ ได้หรอื ไม่ สรปุ ได้วา่ ขนั้ นำไปใช้ เปน็ การทดสอบความเขา้ ใจของผเู้ รยี นเกยี่ วกบั กฎเกณฑ์ นยิ าม หลกั การ หรือสูตร ที่ผเู้ รยี นสรปุ ได้ว่าสามารถนำไปใชแ้ กป้ ญั หาไดห้ รือไม่ โดยการให้ผเู้ รียนทำแบบทดสอบ หรอื แบบฝึกหัด

จุดเด่นของวธิ สี อนโดยใช้การอุปนัย ทิศนา แขมมณี (2550 : 341-342) กลา่ วถึงจดุ เด่นหรือขอ้ ดีของการสอนโดยใช้การอปุ นยั ดงั น้ี 1. เปน็ วธิ สี อนทีผ่ เู้ รียนสามารถค้นพบการเรยี นรไู้ ดด้ ้วยตนเอง จงึ ทำใหเ้ กดิ ความเข้าใจและจดจำได้ ดี 2.เป็นวิธสี อนทีช่ ่วยใหผ้ เู้ รียนได้พฒั นาทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ อนั เป็นเครอื่ งมอื สำคัญของการ เรยี นรู้ 3. เปน็ วิธสี อนที่ผเู้ รยี นไดท้ งั้ เน้ือหาความรู้ (ได้แก่ หลกั การ / แนวคิด ฯลฯ) และกระบวนการ (ได้แก่ กระบวนการคดิ ) ซ่งึ ผูเ้ รยี นสามารถนำไปใช้ประโยชนใ์ นการเรียนรเู้ รื่อง อนื่ ๆ ได้ สิรวิ รรณ ศรพี หล และ พนั ทพิ า อุทยั สขุ (2540 : 131) ได้กลา่ ววา่ สำหรับคุณคา่ ของวธิ ีการสอน แบบอุปนัยมดี งั น้ี 1. สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รียนรจู้ กั คดิ และสงั เกต 2. การทผี่ เู้ รยี นได้มโี อกาสสรุปและจดข้อสงั เกตจะทำใหส้ ามารถจำสิง่ ท่ไี ดจ้ ากบทเรียนไดน้ าน 3. การเรียนโดยวิธนี ้นี าน ๆ จะสง่ เสรมิ ใหผ้ ้เู รยี นมีนิสัยชอบคิดหาเหตผุ ล 4. สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนไดค้ ดิ คน้ หาเหตผุ ลดว้ ยตนเองไมค่ อยแต่คำสอนของผสู้ อนแต่เพยี งอยา่ งเดียว 5. ผเู้ รียนได้มโี อกาสเขา้ ร่วมในพฤตกิ รรมการเรยี นด้วย สรปุ ได้วา่ การสอนโดยใชอ้ ุปนยั มจี ดุ เด่น ดังน้ี 1. สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนพัฒนาการคิด วเิ คราะห์และการสังเกต 2. ผเู้ รยี นสามารถค้นพบดว้ ยตนเอง เขา้ ใจและจดจำรายละเอียดของเน้อื หาไดด้ ี 3. ผเู้ รยี นมกี ารสรุป จดจำบทเรียนไดน้ าน 4. ผเู้ รียนไดเ้ รยี นรู้และกำหนดหลกั เกณฑต์ า่ ง ๆ ด้วยความละเอยี ดรอบคอบ ขอ้ เสยี ของวิธีสอนโดยใชก้ ารอุปนัย ทิศนา แขมมณี (2550 : 342) กลา่ วถงึ ขอ้ จำกัดของการสอนโดยใชก้ ารอุปนัย ดังนี้ 1. เปน็ วิธีสอนทใ่ี ชเ้ วลาคอ่ นข้างมาก 2. เป็นวิธสี อนทอ่ี าศยั ตวั อย่างที่ดี หากผสู้ อนขาดความเข้าใจในการจัดเตรยี มตวั อยา่ งทีค่ รอบคลมุ ลกั ษณะสำคญั ๆ ของหลกั การ / แนวคดิ ทสี่ อน การสอนจะไมป่ ระสบผลสำเรจ็ 3. เป็นวิธีการสอนทผี่ ้เู รียนจะตอ้ งคดิ คน้ หาคำตอบด้วยตนเอง หากผเู้ รยี นขาดทักษะพ้ืนฐานในการ คิด และการทำงานรว่ มกันเป็นกลมุ่ อาจไมเ่ กิดผลทต่ี อ้ งการ เสรมิ ศรี ลกั ษณศิริ (2540 : 279-280) ได้อธิบายถงึ ขอ้ จำกดั ของวธิ สี อนแบบอุปมาน ไว้ ดงั นี้ 1. ไมเ่ หมาะท่ีจะใชส้ อนกบั ทุกวชิ า โดยเฉพาะไมเ่ หมาะกบั วิชาที่มคี ณุ ค่าทางสุนทรียศาสตร์ 2. ผสู้ อนต้องเขา้ ใจเทคนิคการสอนวธิ ีนอ้ี ยา่ งแจม่ แจง้ ชดั เจน เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นสรุปไดเ้ อง 3. ถา้ ผสู้ อนรบี บอกข้อสรปุ หรอื กฎเกณฑ์ต่าง ๆ จะทำให้การสอนแบบน้ไี ม่ไดผ้ ล 4. เปน็ วธิ ีสอนทเี่ สียเวลามาก ทำใหเ้ กดิ ความเบอ่ื หน่ายและมปี ัญหาทางวินยั 5. มกั จะทำใหบ้ ทเรยี นมีพิธรี ีตองมากเกินไป

สรุปทา้ ยบท วิธีสอนโดยใชก้ ารอุปนัย หมายถงึ การสอนที่ผสู้ อนลงรายละเอียดปลีกยอ่ ยก่อนการนำไปสู่ หลักการหรือทฤษฎี ผู้สอนอาจนำเสนอโดยการยกตัวอยา่ งหรอื เหตกุ ารณ์ใหผ้ ู้เรียนไดเ้ กดิ ความคดิ วิเคราะห์ จากตวั อยา่ งท่ใี ห้ไว้เพ่อื สรปุ เปน็ ทฤษฎีในภายหลงั ซึ่งจุดมุ่งหมายในการสอนเพอ่ื สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนเกิดทักษะ การคดิ วเิ คราะห์ ผเู้ รยี นเกดิ การค้นพบด้วยตวั เอง เขา้ ใจความหมายความสมั พนั ธ์ของสง่ิ ต่างๆ โดยมี องคป์ ระกอบสำคญั ของการสอน คือ ผูส้ อนและผเู้ รียน จะต้องมตี ัวอยา่ งข้อมลู หรอื เหตุการณต์ า่ งๆ มีการ วเิ คราะห์ตัวอยา่ งตา่ งๆ เพือ่ หาหลักการร่วมกัน มขี อ้ สรปุ ทเ่ี ปน็ หลักการ และตอ้ งมผี ลการเรียนร้ขู องผเู้ รยี นเป็น สำคญั วธิ สี อนโดยการใชอ้ ุปนัยมีขนั้ ตอนการสอน 5 ข้ันตอน คือ 1. ขน้ั เตรยี ม ผสู้ อนต้องกำหนด จุดมุ่งหมายในการสอนให้กบั ผเู้ รยี น 2. ขนั้ สอน ผสู้ อนนำเสนอการสอนโดยการอธิบายเนอ้ื หาสัน้ ๆ แต่ต้อง ยกตัวอยา่ งให้แกผ่ ู้เรยี นหลาย ๆ ตัวอย่างใหม้ ากพอทผี่ เู้ รียนจะสงั เกตพจิ ารณาและหาขอ้ สรุปได้ 3. ข้นั เปรียบเทยี บ ผเู้ รยี นพิจารณาตัวอยา่ งหลาย ๆ ตัวอยา่ ง หรือไดล้ งมือทดลอง สงั เกต วิเคราะห์ด้วย ตนเอง ผเู้ รยี นกส็ ามารถเปรียบเทียบแยกแยะข้อแตกตา่ งหาองคป์ ระกอบร่วม และมองเหน็ ความสมั พันธ์ของ รายละเอียดทเ่ี หมอื นกนั 4. ข้นั สรปุ เป็นการสรปุ องค์ประกอบร่วมจากตวั อย่างต่าง ๆ ทีผ่ เู้ รียนได้สงั เกต พจิ ารณาทดลอง พิสจู น์ แล้วมาสรปุ เป็นกฎเกณฑ์ หลกั สตู ร สูตร นิยาม ทฤษฎี ขอ้ เทจ็ จรงิ หรือขอ้ สรปุ ต่าง ๆ และสดุ ทา้ ย 5. ข้นั นำไปใช้ เปน็ การทดสอบความเขา้ ใจของผเู้ รยี นเกี่ยวกับ กฎเกณฑ์ นยิ าม หลกั การ หรือสูตร ท่ผี เู้ รยี นสรปุ ไดว้ ่าสามารถนำไปใชแ้ กป้ ัญหาไดห้ รือไม่ โดยการให้ ผู้เรยี นทำแบบทดสอบหรอื แบบฝกึ หัด ข้อดขี องวธิ สี อนโดยการใช้อปุ นยั คอื ผู้เรียนไดพ้ ฒั นาทักษะการคิดวเิ คราะห์และการสังเกต ซ่งึ จะ คน้ พบได้ดว้ ยตนเองและจะจดจำไดน้ าน สว่ นขอ้ จำกัดของการสอนวิธีนี้คอื ใชไ้ ด้กบั บางวชิ าเท่านน้ั และไม่ เหมาะสำหรบั เนื้อวชิ าท่ียาก และครูตอ้ งใช้เทคนิคการสอนอย่างดี การสอนจงึ จะสัมฤทธ์ิผลและมีประสิทธิภาพ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook