ชุมชนของฉันมหี นาตาเปนอยางไร การมีเจตคติทีด่ ีตอชมุ ชน ❖เจตคติ คือ ความรู้สึกทคี นเรามตี ่อบุคคล สิงของ หรือสถานการณ์ต่าง ❖เราเรียนรู้อะไรจากการวาดแผนทีชุมชน การรับรู้ เจตคตทิ ด่ี ีตอชมุ ชน ความรู้สึก - ความรสู กึ ท่ดี ขี องบคุ คลทม่ี ีตอชุมชน พฤติกรรม การมเี จตคตทิ ี่ดีตอชุมชน การมเี จตคติทด่ี ตี อชมุ ชน ❖ความเชือมนั ในชุมชน ❖ ความเชื อมันในชุมชน • คน / ชาวบานมีศกั ดศิ์ รคี วาม “คนทกุ คนมศี ักยภาพ ถามีโอกาสกท็ าได” เปนมนษุ ยเทาเทียมกัน • เปนทรพั ยากรทม่ี ีคุณคา
การมีเจตคติที่ดตี อชุมชน การมีเจตคติที่ดีตอชุมชน ❖ ความเชื อมันในชุมชน ❖การสร้างเจตคตทิ ดี ตี ่อชุมชน การสรา้ งความประทบั ใจ • คนเปนจดุ เรม่ิ ตนของการพฒั นา • คนเปนศนู ยกลางของการพฒั นา การสร้างความเชือใจ • คนเปนปลายทางของการพัฒนา การสร้างการมีส่วนร่วม การมเี จตคตทิ ่ดี ตี อชมุ ชน การมีเจตคติทด่ี ีตอชมุ ชน การสร้างความประทบั ใจ การสร้างความเชือใจ การมีเจตคตทิ ด่ี ตี อชมุ ชน การมีเจตคติทดี่ ีตอชุมชน การสร้างการมีส่วนร่วม การสร้างการมสี ่วนร่วม
การมีความพึงพอใจและยอมรับความหลากหลายของชมุ ชน การมีความพงึ พอใจและยอมรับความหลากหลายของชุมชน • ความหลากหลายทางสงั คม • ฐานคิดความหลากหลายทางสังคม พหนุ ยิ ม แนวคดิ เกีย่ วกบั ความหลากหลายของกลมุ คนและ วฒั นธรรม (Pluralism) วัฒนธรรม เชน ความหลากหลายทางชนชัน้ อาชพี แนวคดิ ความคดิ วิถชี ีวติ ทาใหเกิดความแตกตางในสังคม • วิถชี ีวติ • ค่านิยม สังคมพหุลกั ษ/พหสุ ังคม กลมุ คนในสังคมทที ่ีแยกยอยออกเปน กลุมภาษา ชาตพิ ันธ์ุ (Plural Society) ศาสนา เชอื้ ชาติ ประเพณี วิถชี ีวติ ท่ีมีความแตกตางและ ชาติพนั ธุ์ หลากหลาย หรอื ใชคาวา “สงั คมหลากวัฒนธรรม” • เชือชาติ • เผ่าพนั ธุ์ อตั ลกั ษณ์ • ความเป็นตวั ตน • สิงแวดลอ้ ม / ความเชอื และศาสนา / ภาษา การมคี วามพงึ พอใจและยอมรบั ความหลากหลายของชุมชน การศกึ ษาชมุ ชนในบริบทนิสิตเพอื่ พฒั นาทองถิ่น • ฐานคิดความหลากหลายทางสังคม ❖การรู้จกั และเข้าใจชุมชนในบทบาทของนิสิตครู ▪ ภมู ิหลงั / ประวตั ิชมุ ชน • การเคารพซงึ กนั และกนั ▪ ลกั ษณะทางกายภาพ / ชีวภาพของชุมชน • ไม่แสดงกริ ิยาและวาจาดูหมนิ ผู้อืน ▪ ลกั ษณะทางสงั คม • แบ่งปันช่วยเหลือซึงกนั และกนั ❖เครืองมือในการทาความรู้จกั กบั ชุมชนเบืองต้น ▪ การสังเกต ▪ การสารวจ ▪ การสมั ภาษณ์ การศึกษาชุมชน การศึกษาชมุ ชน ❖การทาความเขาใจชุมชน ในสภาพตางๆ ❖ชวยกนั มอง สอง สะทอน ใหเห็นตวั เอง (กายภาพ ชีวภาพ เศรษฐกจิ สังคม) มคี วามสัมพันธก์ ันอยางเปนระบบ ❖รวมเรียนรู เขาใจ เขาถงึ ❖สภาพชุมชนโดยรวมเปนอยางไร ❖สถานการณ์ ปรากฏการณ์ ทีเ่ กิดขึ้นในชุมชน เกิดความยงั ยนื ❖มีผลกระทบ / เกิดการเปลย่ี นแปลงอยางไร ชุมชนเขม้ แข็ง การพฒั นาทเี หมาะสม
ประเภทของการศึกษาชุมชน การศึกษาชุมชน ❖จาแนกตามวิธีการเกบ็ ขอมูล ❖การศึกษาภูมิหลัง ▪ ศึกษาชมุ ชนแบบสารวจ เปนการศึกษาทใ่ี ชวิธีการเก็บรวบรวมขอมูลในเชงิ ▪ ประวัติความเปนมา ปริมาณ เชน การสารวจโดยใชแบบสอบถาม ▪ การเปลีย่ นแปลงของชมุ ชนจากอดีต ถงึ ปจจบุ ัน ▪ การศกึ ษาแบบมีสวนรวมอยางใกลชดิ โดยวธิ ีการเก็บรวบรวมในเชงิ คณุ ภาพ เชน การใชแนวทางในการสมั ภาษณ์ การสงั เกตอยางมสี วนรวม ตอเน่ือง ใกลชิด ▪ การศึกษาแบบเอกสาร คอื การศึกษาชมุ ชนจากขอมลู ที่มีการบันทกึ ไว (ศึกษา ขอมูลมอื สอง) ▪ การศกึ ษาชมุ ชนแบบอนื่ ๆ เชน การใชการประเมินสภาวะนบทอยางเรงดวน การสนทนากลมุ ประวัตชิ ุมชน คอื อะไร ศกึ ษาอยางไร/ ทาอยางไร - เรอ่ื งราวทเี่ กิดขึน้ ภายในชุมชน ในชวงอดตี จนถึงปจจุบัน ทถี่ ูก ถายทอดจากรนุ สรู นุ 1. ศกึ ษาจากเอกสารมือสอง - มีสวนผสมของเหตุการณจ์ ริง ตานานการเลาขานของชมุ ชนและ - ฐานขอมลู หมบู าน(ผใู หญบาน) ขอมูลจาก อ.บ.ต. ประโยชน์ของ “ประวัติศาสตรช์ ุมชน” 2. ศึกษาจากการสัมภาษณ - เขาใจถึงเงื่อนไขตาง ๆ ของชุมชน - สมั ภาษณ์จากผรู ู (Key Informant) - เรียนรขู อ ดี เดน ของชุมชนได และสามารถ ทานายอนาคตได - ผอู าวโุ ส, คนเฒาคนแก, พระ, ผูนาชุมชน, อดีตผูนาชมุ ชน - เปนแนวทางสาหรบั กจิ กรรมพฒั นาในอนาคต เพอ่ื หลกี เล่ียงส่ิงที่เคยสราง 28 ปญหาใหชาวบาน 27 ประเด็นคาถามในการศึกษาประวัติชุมชน มิติสังคม วัฒนธรรม มิตสิ ังคม มิตเิ ศรษฐกิจ มิตกิ ารเมือง มติ สิ ุขภาพ มติ ทิ างการ วัฒนธรรม การปกครอง เกษตร มติ สิ ุขภาพ ประวัติศาสตร มติ ิทางการเกษตร -โรคภยั ไขเจบ็ ชมุ ชน -มาต้งั ไดอยางไร, ใคร -อาชีพอดีตเปนอยางไร -ผูนาชมุ ชน ทางการ -โรคระบาด -การเกษตรมีการ เปนคนมาอยูกอน, มา -ผลติ อะไรบาง และไมเปนทางการ -รกั ษาอยางไร เปล่ยี นแปลงอยางไร จากไหน ทาไม, เทา -รายไดในชุมชน -การเปลย่ี นแปลงการ -การชวยเหลือจาก -พชื และสตั ว์ เขามา เดมิ ไหม ขยายหมูบาน -การคาขาย ปกครองในชุมชน ภายนอกชมุ ชน เพ่อื ไร ใครนาเขา หรอื ไม, ทาไม -ความสัมพนั ธ์ภายใน -ทรพั ยากรธรรมชาติ - โรงเรยี น, วัด ชมุ ชนและภายนอก สาธารณูปโภคพ้ืนฐาน 30 น้า ไฟฟา ถนน(ขนถาย สนิ คา) คลอง(เพม่ิ การ เพาะปลูก มิตกิ ารเมืองการ มติ ิเศรษฐกิจ -ทีว(ี รบั ขอมลู ขาวสาร, ปกครอง เทคนคิ การเพาะปลูก) ตูเย็น(ถนอมอาหาร) 29
เหตกุ ารณ สาเหตุ ผลกระทบ ตอชมุ ชน เนนการใช - ยอนจากปจจุบันไปถงึ อดีต -Time mark 32 การศกึ ษาชุมชน การศกึ ษาชุมชน ❖การศกึ ษาลกั ษณะทางกายภาพ / ชวี ภาพในชุมชน ❖ การศึกษาลักษณะทางสังคม ▪ ลักษณะทางภูมศิ าสตร์ ▪ โครงสรางทางสงั คม (Social Structure) เปนสวนประกอบตางๆของสังคม โดยมี ▪ สภาพแวดลอมและระบบนิเวศ (Ecology) มกี ารใชทรพั ยากรจากระบบนเิ วศเพือ่ ยงั องคป์ ระกอบดงั น้ี ชพี มองการปรบั ตวั ของสงั คมภายใตอทิ ธพิ ลของส่งิ แวดลอม ประเดน็ ในการศกึ ษาชุมชน การจดั ระเบยี บทางสงั คม ❖ฐานหรอื กรอบในการมองชุมชน มีหลากหลายแตโดยรวมมอี งคป์ ระกอบหลกั 3 สวน บรรทัดฐานทางสังคม หมายถึง ระเบียบ กฎเกณฑ์ หรือแบบแผนของ ซง่ึ อาจเรยี กช่ือแตกตางกนั พฤตกิ รรมที่สังคมยอมรับเปนแนวทางใหสมาชิกปฏบิ ัตใิ นแตละสถานการณ์ 1. โครงสรางทางสงั คม (Social Structure) เปนสวนประกอบตางๆของสงั คม โดยมี องค์ประกอบดงั นี้ วถิ ีประชา จารีต กฎหมาย วถิ ชี าวบาน แบบแผนความประพฤติที่ กฎเกณฑค์ วามประพฤติที่ แบบแผนประพฤติทีสมาชิก สมาชกิ ปฏบิ ัตใิ นสถานการณ์ สังคมบญั ญตั เิ ปนทางการ ปฏิบัติด้วยความเคยชิน ตางๆ มีการประกาศรายละเอียด ถูกปลกู ฝังถ่ายทอดกันมา โดยผูฝาฝนจะไดรบั การตอตาน เปนลายลกั ษณ์อกั ษร ไม่มีการกาหนดโทษผ้ทู ฝี ่ าฝื น จากสงั คมอยางจริงจัง มอี งค์กรทาหนาทีค่ วบคมุ แต่อาจถูกเยาะเย้ยถากถาง เชน การทีบ่ ุตรไมเล้ยี งดู บิดา มีบทลงโทษผฝู าฝน นินทา มารดา
การจดั ระเบียบทางสงั คม การจัดระเบียบทางสงั คม สถานภาพ บทบาท ค่านิยม กระบวนการ ทางสังคม ตาแหนงท่ไี ดรับจากการ หนาท่ี / พฤติกรรมท่ี ส่ิงทีส่ ังคมสวนใหญยอมรบั การขดั เกลาทางสงั คม การควบคุมทางสังคม เปนสมาชิกของสงั คม ปฏบิ ัตติ ามสถานภาพ มคี ณุ คาเพราะวาเปนความ การถายทอดวัฒนธรรม กระบวนการจดั ระเบยี บ หรอื ฐานะทางสงั คมของคน ทไ่ี ดรบั ทาใหเกิดการ สัมพันธ์ท่ีสังคมยอมรบั แกสมาชกิ ปลูกฝง ของคนในสังคม ในสงั คมทถ่ี กู กาหนดไว แลกเปลี่ยนการรบั และ หรือกระแสสังคม ระเบยี บวินัย ใหรจู ัก มงุ หมายใหสมาชกิ ใน และดารงอยู ใหประโยชน์ระหวางกนั บทบาทและบรรทดั ฐาน สงั คมยอมรบั และปฏบิ ัติ ทางสงั คม ตาม การศึกษาชมุ ชน การศึกษาชุมชน โครงสรางอานาจในชุมชน ❖การศกึ ษาลักษณะทางเศรษฐกิจ ▪ อาชพี (ในภาคการเกษตร / นอกภาคการเกษตร) เนนความสัมพันธ์ ผูนา / องค์กรชาวบาน ▪ รายได ในเชิงหนาทท่ี างสังคม ภูมิปญญาทองถิน่ ▪ หน้สี นิ ครวั เรือน ▪ แหลงเงินทุน ระบบความสมั พันธ์ทางเครือญาติ เคร่อื งมือในการทาความรจู ักชมุ ชนเบ้อื งตน ปฏสิ ัมพันธร์ ะหวางชมุ ชน กบั ภายนอก ❖ การสังเกต เคร่อื งมอื ในการทาความรูจักชุมชนเบ้ืองตน ▪ การสงั เกตแบบไมมีสวนรวม ▪ การสังเกตแบบมีสวนรวม ❖ นิสิต ▪ กาย (บคุ ลิกภาพ / การแสดงออก) ▪ วาจา (พูดดี / สุภาพ) ▪ ใจ (ความจริงใจ / คดิ ดี)
เครือ่ งมอื ในการทาความรูจักชมุ ชนเบื้องตน เครอื่ งมือในการทาความรจู ักชมุ ชนเบ้ืองตน ▪ การสงั เกตแบบไมมสี วนรวม ▪ การสงั เกตแบบมสี วนรวม • จอบ ซอม แนม เบงิ่ • เขาไปมสี วนรวมในเหตกุ ารณ์ / กจิ กรรมของชมุ ชน เพ่อื เก็บขอมูล เคร่ืองมอื ในการทาความรูจักชมุ ชนเบือ้ งตน เครอ่ื งมือในการทาความรูจักชุมชนเบอ้ื งตน ❖การสารวจ ❖การสารวจ ▪ การเกบ็ รวบรวมขอมลู เกยี่ วกับลกั ษณะตาง ๆ ภายในชุมชน ทาความเขาใจ ชมุ ชนเบ้อื งตน เครื่องมือในการทาความรูจกั ชุมชนเบอ้ื งตน เคร่อื งมอื ในการทาความรูจกั ชุมชนเบ้ืองตน ❖การสารวจ ❖การสมั ภาษณ ▪ พูดคุย แลกเปลยี่ น / ท้งั ในแบบมีโครงสราง และกง่ึ มโี ครงสราง
เครอ่ื งมือในการทาความรูจักชุมชนเบื้องตน เครื่องมอื ในการทาความรูจักชมุ ชนเบ้อื งตน ❖การสัมภาษณ ❖ การสัมภาษณ ▪ แบบมีโครงสราง ▪ กง่ึ มโี ครงสราง เครอื่ งมอื ในการทาความรจู ักชุมชนเบือ้ งตน เคร่อื งมอื ในการทาความรูจกั ชมุ ชนเบื้องตน เทคนิคการสัมภาษณ การดาเนนิ การสมั ภาษณ 1. การถาม การสัมภาษณท่ดี ี และมปี ระสทิ ธิภาพ ผใู หสมั ภาษณตองรวมมือ ดวยความเตม็ ใจ จรงิ ใจ ใหขอมูลทเ่ี ปนจรงิ ✓ เริ่มจากเรื่องท่วั ไปเพื่ออุนเครื่อง ✓ ถามจนไดคาตอบทต่ี องการครบจงึ เปล่ยี น SUBTOPIC การเขาหาผใู หสมั ภาษณ ✓ ใช “EIGHT HELPERS” และการสงั เกต ✓ ใชคาถามส้ัน กะทัดรดั งายท่ีจะเขาใจ ☺ แนะนาตวั ✓ ไมควรใชคาถามนา กวาง ☺ แจงวัตถปุ ระสงค ✓ ไมควรบีบคนั้ / เรงรดั เอาคาตอบ ☺ เหตผุ ลทเี่ ลือกเปนผูใหสมั ภาษณ ✓ ใชคาถามเชิงทาทาย ☺ ไมควรเสนอหรอื สญั ญาจะใหผลประโยชน ✓ เนนถามเจาะหาความจริง (PROBE) ☺ ขออนุญาตจดบนั ทึก ✓ ไมสรุปเร่อื งเอง + ไมควรชวยผูใหสมั ภาษณ์ตอบ ✓ ควรใหผูใหสัมภาษณ์ตอบดวยภาษาทเ่ี ขาถนดั ท่ีสดุ เคร่อื งมอื ในการทาความรจู ักชุมชนเบอื้ งตน เคร่ืองมอื ในการทาความรูจกั ชุมชนเบอ้ื งตน 2. การพิจารณาคาตอบ ✓ สังเกตพฤตกิ รรมใหมากท่สี ุด 4. การบันทกึ ขอมูล (FIELD NOTE) ✓ แสดงความระแวง / ไมอยากตอบ ✓ ควรจดบนั ทกึ ใหละเอยี ด 3. การควบคุมการสมั ภาษณ ✓ ควรจดเรียงตามลาดับการซกั ถาม ✓ ชาวบานคนอื่นมามุง /รวมใหสัมภาษณ์ดวย ✓ บนั ทึกตามที่ผใู หสัมภาษณ์ตอบจริง ✓ หากการสมั ภาษณม์ ีปญหา ควรพิจารณาหาทางแกไขโดยเร็ว ✓ บันทกึ ศพั ท์เฉพาะ / ศัพทท์ องถิ่น ✓ ควบคุมการสนทนาใหอยูในเร่ืองทศ่ี ึกษา ✓ ความเหน็ / ขอสรปุ ของผูสัมภาษณใ์ หเขียนไวในวงเล็บ ✓ บนั ทกึ วนั ที่ เวลาเรมิ่ - ส้นิ สดุ การสมั ภาษณ์ 5. การกลาวลา
เครอื่ งมอื ในการทาความรจู ักชุมชนเบ้ืองตน ตัวชวยในการตง้ั คาถาม (Interview helpers) ขอแนะนาอ่ืนๆ ตวั ชวยตง้ั คาถามทาใหผใู ชสามารถคิดคาถามในการ สัมภาษณไ์ ดเร็ว สงั เคราะห์คาตอบ และขณะเดยี วกันมีภาพของ 1. การปฏิบตั ิตอผูใหสมั ภาษณ 2. สถานที่สมั ภาษณ 3. เวลา ระบบไปดวยกันและอาจใชในสถานการณอ์ ื่นๆได ตัวชวยเหลาน้ี • ใหเกียรตติ ามธรรมเนยี มทองถนิ่ อาจหมายถึงหรือบงถงึ ดงั นี้ • ไมวิพากวิจารณช์ าวบาน • สงบสบาย • ควรกาหนดเวลา • แสดงความสนใจผใู หสมั ภาษณ์+ • ควรเปนสถานทพี่ บเหน็ เก่ียวกับ • ควรคานงึ ถึงความสะดวก คาตอบ ประเดน็ ทีศ่ กึ ษา ชาวบาน • วางตัวเปนกลางเม่อื มคี วามขัดแยง • ไมควรสมั ภาษณรบกวนนานไป • เห็นใจ เขาใจ แตไมเขาขาง 55 ตวั ชวยทัง้ 8 (Eight Helper) ใคร (Who) 1. ใคร (Who) โครงสราง / องค์ประกอบของระบบนัน้ ๆ อาจหมายถงึ อานาจ 2. อะไร (What) หนาท่ี ตาแหนง บทบาท ตามมมุ ของคนระดับตางๆ เชน นายก 3. ทไี่ หน (Where) ผูใหญบาน กานนั หัวหนากลมุ 4. เมือ่ ไหร (When) 5. อยางไร (How) ทไ่ี หน (Where) 6. เทาไหร (Much) 7. ทาไม (Why) การถามเพือ่ ตองการทราบ พิกัด สถานท่ี แหลงตาง ๆ ทีต่ องการ 8. ถา (If) ทราบ เชนบานใกลนา สะดวกในการทานา 57 อะไร (What) หมายถงึ โครงสรางหรอื องค์ประกอบของระบบ ทไ่ี มใชคน อาจเปน องคป์ ระกอบใหญ เลก็ นามธรรม หรือ รปู ธรรม อยางเดียว หรอื กลุมองค์ประกอบ หรอื เปาหมาย หรอื มคี วามหมายตางๆ เชน วดั เก่ียวของกับความเชอ่ื โรงเรยี น การศึกษา ทรพั ยากร
เม่ือไหร (When) อยางไร (How) คอื การกระจายของสิ่งตางๆ ในเชงิ เวลา การเปลี่ยนแปลงจากชวงหนงึ่ หมายถึง กระบวนการ วิธกี าร ลกั ษณะ กลไกการ ไปอีกชวงหน่งึ การคงอยหู ายไปหรือเคล่อื นยายของโครงสรางองค์ ประกอบ ทางาน หนาที่ ความสมั พนั ธ์ (เปนเพ่ือน เปนศตั รู) ลาดบั ขน้ั ตอน เหตุการณ์ ประวตั ิศาสตร์ (เม่อื ไหรจะ..........., เม่ือไหรท่ี สราง) ทาไม (Why) หมายถงึ เหต-ุ ผล, เหตุผล, การตดั สนิ ใจ อทิ ธพิ ล นาสคู าตอบ ทางแกไขปญหา เทาไร (Much) แบบทดสอบความเขาใจ 8 Helper ปรมิ าณ ลาดับความสัมพนั ธ์ ลาดับความสาคญั 64 ความมากนอย มาตรฐาน การศึกษาชุมชนในบริบทนสิ ิตเพ่ือพัฒนาทองถิ่น ถา (If) ▪ ชมุ ชนและสถานศึกษาเปนสิง่ ทเี่ ช่อื มโยงกนั เปนสวนหน่งึ ของสถาบันทางสงั คม สมมุตฐิ าน การคาดการ การตัดสินใจ เงอื่ นไข ทาทาย ท่อี ยภู ายในระบบของชุมชน ระบบสงั คม ในครอบครวั ทำไมถึงเลอื ก มีวิธกี ำรดูแล ▪ สถานศึกษากบั ชุมชนจงึ แยกจากกันไมได มใี ครบำ้ งทเี ป็ น ปลกู พชื นี รกั ษำอยำ่ งไร ▪ การเขาใจชุมชน ทาใหสามารถจัดการศกึ ษาไดสอดคลอง และ ตอบสนองตอ เกษตรกร ปญหาและความตองการของชุมชนไดตรงจุด ▪ ลดปญหาการเหลือ่ มลา้ ทางสังคม ปลูกอะไรบำ้ ง ▪ สรางโอกาส พฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของคนในชมุ ชนใหดีขน้ึ 1. ใคร 3. ทำไม 2. อะไร 4. อย่ำงไร เก็บเกียวผลผลิต ถำ้ ผลผลติ ไมด่ ีมี ผลผลิตทไี ด้ 1 ปี มีรำยได้ เมือไหร่ วิธีแกไ้ ขอยำ่ งไร สง่ ขำยทีไหน จำกกำรทำ กำรเกษตร เทำ่ ไหร่ 5. เมือไหร่ 7. ทีไหน 6. ถำ้ 8. เท่ำไหร่
การศึกษาชุมชนในบรบิ ทนิสิตเพื่อพัฒนาทองถิ่น LOGO นกั เรยี น + สถานศกึ ษา + ชุมชน + สถาบันทางศาสนา = การพฒั นาเกดิ ความสาเรจ็ (บวร)
เนือหาสาระ อาจารยอ์ ารยี ร์ ตั น์ โนนสวุ รรณ ภาควิชาหลกั สตู รและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ . ความสําคญั ของการสง่ เสริมและพฒั นา การส่งเสรมิ และพฒั นา ความกา้ วหนา้ ทางวิชาชพี คร ู ความกา้ วหนา้ ทางวิชาชพี ครู มคี วามสาํ คญั อย่างไรบา้ ง . ทกั ษะ C สําหรบั ครมู ืออาชพี . กิจกรรมการสง่ เสรมิ และพฒั นาความกา้ วหนา้ ทางวิชาชีพคร ู ความสาํ คญั ของการส่งเสริม • ชว่ ยสรา้ งขวญั และกาํ ลงั ใจในการปฏิบตั ิหนา้ ที และพฒั นาความกา้ วหนา้ ทางวชิ าชพี คร ู ของคร ู • ช่วยส่งเสริมใหค้ รไู ดพ้ ฒั นาตนเองอยเู่ สมอ • ชว่ ยใหค้ รนู าํ ความรแู้ ละนวตั กรรมใหม่ๆ มาพฒั นาลกู ศิษยใ์ หม้ ีคณุ ภาพ • ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นและผปู้ กครอบเกิดความมนั ใจ และไวใ้ จในคณุ ภาพของครู
• ช่วยในการพฒั นาศกั ยภาพในการทาํ งานของคร ู • ช่วยใหค้ รมู คี ณุ ภาพและเป็ นครมู อื อาชพี เพราะการสรา้ งความกา้ วหนา้ และ • ช่วยใหค้ รไู ดร้ บั ความรู้ ประสบการณใ์ หม่ๆ มา พฒั นาตนอยเู่ สมอ เป็ นลกั ษณะของครทู ดี ีหรือครมู ืออาชีพ ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการทํางาน 1 : Curriculum Construction 7 : Character Development • ชว่ ยกระตนุ้ ใหค้ รพู ฒั นาตนเองทางดา้ นการขอ ทกั ษะการสรา้ งหลกั สตู ร ทกั ษะการพฒั นาลกั ษณะนสิ ยั 2 : Child Oriented Learning ตําแหนง่ ทางวิชาการหรือตําแหน่งทางการ ทกั ษะการจดั การเรียนการสอนทีเนน้ เดก็ เป็ นสาํ คญั บรหิ าร 3 : Classroom Innovation Implementation Skills • ชว่ ยใหค้ รเู ป็ นบคุ คลทีทนั สมยั ครทู ไี ดร้ บั การ ทกั ษะการสรา้ งหลกั สตู ร ส่งเสริมอย่างต่อเนืองในดา้ นต่างๆ จะทาํ ใหร้ เู้ ท่า 4 : Classroom Learning Assessment Skills ทนั ความรู้เทคโนโลยีและนวตั กรรมใหมๆ่ ทกั ษะการสรา้ งหลกั สตู ร 5 : Classroom Action Research ทกั ษะ C ทกั ษะการจดั การชนั เรยี น สาํ หรบั ครมู อื อาชีพ 6 : Classroom Management ทกั ษะการสรา้ งหลกั สตู ร ทกั ษะการสรา้ งหลกั สตู ร 1 = Curriculum Construction) ประมวลการสอน หลกั สตู รแกนกลาง Long Range Plan การคดิ รายวิชา หลกั สตู รสถานศึกษา บรู ณาการ 67(0 6( 1 Course Syllabus รายวิชา ปรัชญาของ แผนระยะยาว เศรษฐกจิ พอเพียง โครงการสอน แผนรายหน่วย Unit Plan แผนการจดั การเรยี นรู้ รายชวั โมง Daily Lesson Plan
ทกั ษะการจดั การเรียนรทู้ ีเนน้ ผเู้ รียนเป็ นสําคญั Child Oriented Learning ทกั ษะการจดั การเรียนรทู้ ีเนน้ ผเู้ รียนเป็ นสําคญั 7HD KH H WH H 0H D H WH H K H WH H 2 = Child Oriented Learning) ครเู ป็ นศนู ยก์ ลาง สอื เป็ นศนู ย์กลาง เด็กเป็ นศนู ย์กลาง Active Learning Passive Learning Integrated Learning วธิ สี อน ปฏิบัตดิ ว้ ยตนเอง วธิ ีสอน บรรยาย วธิ ีสอน บรรยาย + สือ สรา้ งองค์ความรดู้ ว้ ยตนเอง เนน้ กิจกรรมกลมุ่ และการ สาธิต สาธิต บรู ณาการความรู้ ผสู้ อนเป็ น ผอู้ วยความสะดวก เนน้ ตอบคําถาม ทํากิจกรรม และอภปิ ราย สอื ทีไมเ่ ป็ น สอื อิเล็กทรอนิกส์ อิเล็กทรอนกิ ส์ •( N วัสดุ , อปุ กรณ์ สอื สิงพิมพ์ • ( CLIP เครอื งมอื • • 9 H WDSH ทกั ษะการใชน้ วตั กรรมการเรียนรใู้ นชนั เรยี น รปู แบบการสอน วิธีและเทคนิค แนวการสอน 3 = Classroom Innovation Implementation Skills) รปู แบบการเรยี นรู้ ,33 การสอน รปู แบบการเรียนรู้ ขนั ตอน การจัดการเรียนรทู้ ีเนน้ เด็กเป็ นศนู ยก์ ลาง รปู แบบการเรยี นรู้ ขันตอน การเรียนรใู้ ชโ้ ครงงานเป็ นฐาน รปู แบบการเรียนรู้ ขนั ตอน การเรียนรใู้ ชป้ ัญหาเป็ นฐาน การเรียนรใู้ ชว้ ิจัยเป็ นฐาน วิธีสอน การเรียนรใู้ ชแ้ หลง่ เรียนรเู้ ป็นฐาน วิธีสอนแบบสบื สอบ การเรียนรใู้ ชก้ จิ กรรมเป็ นฐาน วธิ สี อนแบบโครงงาน การเรียนรใู้ ชส้ ถานการณจ์ ําลองเป็ นฐาน วิธสี อนแบบอปุ นัย การเรียนรใู้ ชป้ ระเด็นสงั คมเป็ นฐาน การเรียนรใู้ ชป้ ระเด็นสงั คมเชือมโยงวทิ ยาศาสตรเ์ ป็ นฐาน กระบวรการเรียนรู้ 5 ขนั ตอน แนวการสอน เทคนคิ การใชค้ าํ ถาม เทคนิคการเรียนรแู้ บบรว่ มมือ เทคนคิ การเยนรเู้ สรมิ สรา้ งพหปุ ัญญา เทคนิคการเรยี นรแู้ ผนผังกราฟิ ก เทคนคิ การเสริมแรง เทคนคิ เพือนชว่ ยเพือน เทคนิคหมวก ใบ การจัดการเรียนรู้ การเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ HD Learning Learning HD W Learning พัฒนา 5 D DSS HVV Management Management HD WK ทกั ษะการประเมินการเรียนรู้ 4 = Classroom Learning Assessment Skills การใชก้ ระบวนการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ Learning Process Learning Outcome ความร ู้ กระบวนการ คณุ ลักษณะและ . 36 คา่ นยิ ม แบบ ทดสอบ แบบประ เมินการ แบบ วดั แบบ สมั ภาษณ์ สะทอ้ น ความคดิ แบบ ประเมิน แบบ สังเกต ประเมิน การคิด การเรียนรู้
แผนผังวจิ ยั กบั ประเภทนวัตกรรมการศกึ ษา ทกั ษะการปฏิบัติการวิจยั ในชนั เรยี น Academic Research ประเภท Curriculum 5 = Classroom Action Research) CR นวัตกรรม Instruction (Classroom Research) การศกึ ษา Assessment ทกั ษะการจดั การชนั เรียน CAR Classroom 6 = Classroom Management) (Classroom Action Research) Management ทกั ษะการพฒั นาลกั ษณะนิสยั เด็กลงมอื ทาํ ทํางานแบบ ใหโ้ อกาสเด็กทมี ีความ เด็กมีโอกาส 7 = Character Development) กจิ กรรม รวมพลัง หลากหลายไดโ้ อกาส เท่าเทียมกันทกุ คน เรยี นรเู้ ท่าเทยี มกัน เด็กเกง่ ชว่ ยเด็กเรียนชา้ every student เด็กถนดั สงู ช่วยเหลอื ผา่ นมาตรฐานการเรยี นรู้ บรู ณาการค่านิยม เด็กถนัดตาํ กวา่ ครรู ักเด็กและเด็กรักครู ทํางานรว่ มกนั ชว่ ยเหลือกันและกนั ความรกั ละสามคั คี Coaching & Mentoring ดว้ ยกระบวนการของ PLC Professional Learning ommunity) การสอนตรง พฒั นา คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ สอน Concept ของ บม่ เพาะ คา่ นยิ ม ประการ ลักษณะนสิ ัย ลกั ษณะนิสยั การบรู ณาการ อัตลักษณ์ อัตลกั ษณ์ 9V กบั ขนั ตอน การเรียนการสอน บรู ณาการไปกับการทํางาน การอบรม บม่ นสิ ัย หรือปฏิบัติกิจกรรม ไปตามสถานการณ์ ของนักเรียน ทนั ทีทันใด
. การวิจัยปฏิบัตกิ าร . การศกึ ษาหนังสือ . การพัฒนาหลักสตู ร . การจดั ทําแผนผงั Action Research) Book Study) แบบร่วมมือ หลกั สตู ร . การวางแผนหลกั สตู ร (Collaborative Curriculum (Curriculum Mapping) บรู ณาการ Development (Integrated Curriculum . กจิ กรรมการสง่ เสรมิ และพฒั นา . การวจิ ยั บทเรยี น . พีเลียงและการเป็ น . การชีแนะโดยเพือน ความกา้ วหนา้ ทางวิชาชพี คร ู Planning) Lesson Study) พีเลยี ง ร่วมงาน . การสะทอ้ นคิดดว้ ย ตนเอง 6H I Reflection) Mentors and Mentorship) Peer Coaching) . กลมุ่ ร่วมศึกษา . การประเมนิ ผลงาน . การเขยี นบันทกึ Study Groups) ของนกั เรียน Journaling) (Examining Student N . การสนทนาอยา่ งมี . การวิจยั ปฏบิ ตั ิการ Action Research) จดุ เนน้ . การเยยี มชนั เรยี น . การประชมุ สมั มนา . การวิเคราะห์ขอ้ มลู เป็ นกจิ กรรมทคี รศู ึกษาปัญหาทีเกดิ ขึนในการ Classroom Visitation) Focus Conversations) IH H H Data Analysis) ปฏิบตั กิ ารสอนของตน . การแลกเปลียน . การรบั นกั ศึกษาครู . การคน้ ควา้ ทาง . เครือข่าย เมอื พบปัญหาก็หาวิธีแกไ้ ขปรบั ปรงุ โดยการศึกษา บคุ ลากร Education ฝึกประสบการณ์วชิ าชีพ อินเทอร์เน็ต Networks) งานวิจยั และเอกสารทีเกยี วขอ้ ง เพือคัดเลอื กวิธีการ (Internet Research) . การประชมุ ครู Exchange) Hosting a Student . ทีมงานพฒั นา 7HD KH V’ H W V อาจจะทดลองการสอนเนือหา หรือความคดิ รวบ . การเขา้ ศึกษาตอ่ 7HD KH โรงเรยี น ยอดดว้ ยวิธกี ารทีแตกตา่ งกัน หลังสําเร็จการศึกษา School Improvement 3 VW Secondary . แฟ้ มสะสมงาน เพอื พจิ ารณาว่าวธิ ีการใดมปี ระสิทธิภาพสงู สดุ Professional Portfolio) Teams) ทีส่งผลตอ่ การเรียนรขู้ องนกั เรียน Courses) Action Research . การศึกษาหนงั สอื Book Study) . การพฒั นาหลกั สตู รแบบรว่ มมอื Collaborative Curriculum Development) ไดผ้ ลดที ีสดุ เมอื ผเู้ ขา้ รว่ มมที ักษะและความสนใจที เหมอื นกัน เป็ นกจิ กรรมทีเปิ ดโอกาสใหค้ รทู ํางาน ร่วมกนั เพือศึกษาคน้ ควา้ เนอื หาวิชา การมมี มุ มองทีหลากหลายจะช่วยใหก้ ารอภิปราย มชี ีวิตชวี า เชงิ ลึกและวางแผนร่วมกนั การอ่านและการอภิปรายดว้ ยการประชมุ 8 ครัง แตล่ ะครังใชเ้ วลา 90 นาที เพือออกแบบ หนังสอื ตอ้ งกระตนุ้ ความคดิ และมีเนือหาเชงิ ลึก เพือกระตนุ้ ใหเ้ กดิ การอภปิ ราย เอกสารประกอบการสอน วิธสี อน แหล่งทรัพยากร และเครืองมอื การประเมิน
. การจดั ทําแผนผงั หลกั สตู ร เป็ นกิจกรรมทีเกียวกบั การสรา้ ง (Curriculum Mapping) เครืองมือในการจัดระบบการสอน ครจู ะวางโครงสรา้ งลาํ ดับของเนอื หาที จะสอน ครกู าํ หนดขอบเขตของเรอื งทจี ะสอน ใหก้ บั นักเรยี นทกุ คน เป็ นเป็ นกาํ หนดการสอนทคี รู สอนเมือใด สอนเนอื หาอะไร ฯลฯ . การวางแผนหลกั สตู รบรู ณาการ (Integrated Curriculum Planning) เป็ นการจัดทําหลกั สตู รบรู ณาการ ) กําหนดหนว่ ยการเรียนและจดุ เนน้ ของหนว่ ย โดยครจู ดั ระบบหลกั สตู รทีมเี นอื หาขา้ ม การเรยี น กลมุ่ สาระเขา้ สหู่ นว่ ยการเรียนทมี ี ความหมาย และมีความเชอื มโยง ) แสวงหาแหลง่ ขอ้ มลู นอกเหนือจากแบบเรียน ) ความเชอื มโยงระหว่างความคิดรวบยอด ) กําหนดกรอบเนือหาของหน่วยการเรียน ) กําหนดตารางเรียนทียืดหย่นุ ) จัดกล่มุ นกั เรียนใหม้ ีความยดื หย่นุ . การวิจยั บทเรยี น Lesson Study) . พีเลียงและการเป็ นพีเลียง Mentors and Mentorship) เป็ นกิจกรรมครรู วมกลม่ ุ กนั คน ครจู ะรว่ มมือกนั วางแผนรายละเอยี ดสําหรบั การ เป็ นกระบวนการทีจดั ใหค้ รทู ีมคี วาม การออกแบบการจดั การเขา้ สังเกตการสอน เพอื ชว่ ยกนั ตรวจสอบและปรบั ปรงุ จดั กจิ กรรมการเรียนรขู้ องแผนการสอนทกุ ๆ แผนใน เชียวชาญดา้ นการสอนหรือมปี ระสบการณ์ กิจกรรมการเรยี น ในชนั เรียน การสอนซึงกนั และกนั อย่างเป็ นระบบ บทเรยี น มากกว่าช่วยเหลอื ครทู ีดอ้ ยประสบการณ์ ดา้ นการสอน โดยการช่วยเหลอื แนะนาํ ดา้ น การสอน การใหค้ ําแนะนาํ ครจู ะวางแผนคดั เลอื กวตั ถปุ ระสงค์ เมอื ครหู นงึ คนปฏิบัตกิ ารสอนในชนั เรยี น สมาชิก ตา่ งๆ ดังนี การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั เพอื เพิมทกั ษะการสอน ของการเรียนรทู้ ีนกั เรยี นไม่สามารถ กล่มุ ทีเหลอื จะสงั เกตการสอน หมนุ เวียนกนั เรียนรไู้ ด้ และนาํ มารว่ มกนั ตงั คาํ ถาม หลังการสงั เกต เพือการวิจยั บทเรยี น ขันสดุ ทา้ ยครจู ะเขียนรายงานสิงทีตนไดเ้ รียนรจู้ ากการ การสอน วิจัยบทเรยี น และการตอบคาํ ถามวจิ ัยทกี าํ หนดไว้ การพัฒนาเทคนิค การแกป้ ัญหาทีเกยี วกับ การสอนใหมๆ่ การจัดการชันเรียน
. การชีแนะโดยเพือนร่วมงาน Peer Coaching) . การสะทอ้ นคิดดว้ ยตนเอง Self Reflection) กระบวนการทคี รขู อใหเ้ พอื นรว่ มงานเขา้ สงั เกตการปฏบิ ตั สิ อน การสะทอ้ นคดิ ดว้ ยตนเองเป็ นทักษะทสี าํ คัญของการ ของตน และขอรับขอ้ มลู ยอ้ นกลบั เพือปรบั ปรงุ การสอนของตน พัฒนาการปฏิบัติงานในวิชาชีพของตน ครทู ีสอนอย่างมปี ระสิทธภิ าพส่วนมากจะใชก้ ารสะทอ้ นคดิ ระดับ การสะทอ้ นคดิ สะทอ้ นคิด สะทอ้ นคดิ หลัง ขณะวาง ขณะปฏบิ ตั ิ การสอนเพอื แผนการสอน การสอน การปรับปรงุ การสอน . กล่มุ ร่วมศกึ ษา Study Groups) ขันตอนการสะท้อน ิคดด้วยตนเอง ) การระบปุ ัญหาทีเกิดขึนจากการสอน เป็ นการรวมกลม่ ุ ของครไู ม่เกิน 6 คน มกี ารพบปะอยา่ ง สมาํ เสมอ เพือศึกษาประเด็นหรอื หวั ขอ้ ทีกาํ หนดไว้ ) การรวบรวมขอ้ มลู เพอื หาประเด็นทีจะปรบั ปรงุ ลว่ งหนา้ ขนั ตอนการดาํ เนนิ งานของกลม่ ุ รว่ มศึกษา ไดแ้ ก่ ) การสะทอ้ นคิดและวิเคราะห์ขอ้ มลู และตดั สนิ ใจเกยี วกบั กลยทุ ธ์ใหมๆ่ ในการแกป้ ัญหา การนยิ ามภารกิจ การกําหนด การกาํ หนดบทบาท ) การประยกุ ตใ์ ชก้ ลยทุ ธ์เพือการปรบั ปรงุ การสอน ของการประชมุ ตารางเวลา ของสมาชิก ประชมุ และสถานที แต่ละครงั ประชมุ การอภิปราย การอภิปรายเกณฑ์ แลกเปลียน การประเมิน เพอื ตดั สนิ ใจ ความสําเร็จ . การประเมนิ ผลงานของนกั เรยี น . การเขียนบันทกึ Journaling) Examining Student Work เป็ นเทคนคิ หนงึ สาํ หรบั การบันทึกการสงั เกต ช่วยใหค้ รไู ดข้ อ้ มลู ทีสําคญั ชว่ ยใหค้ รไู ดว้ ิธีการเรียนรู้ และการสะทอ้ นคิดเกยี วกบั การสอน เกยี วกบั การสอนของตน ประยกุ ต์ใชท้ กั ษะใหมท่ ี บนั ทึกความกา้ วหนา้ ของนกั เรียน นกั เรยี นไดเ้ รียนรขู้ องนกั เรียนที บนั ทึกการใชน้ วตั กรรมการสอน หรอื ประเดน็ มีผลการเรียนต่างระดบั กนั อืนๆ ทีครตู อ้ งการพฒั นา ชว่ ยใหค้ รูปรับปรุงการสอนทีจะชว่ ยนักเรยี นทกุ คนเรียนรไู้ ด้
. การเยยี มชนั เรียน Classroom Visitation . การสนทนาอย่างมีจดุ เนน้ Focus Conversations เป็ นการเรยี นรจู้ ากเพือนครทู ีมีวิธสี อนทีเป็ นเลิศ และไดร้ บั การยอมรบั เป็ นกระบวนการทีชว่ ยใหค้ รสู ะทอ้ นคิดรว่ มกนั เกยี วกบั ประเด็นใดๆ ก็ได โดยครเู ขา้ เยยี มชนั เรียนของเพอื นครดู ว้ ยกนั ผนู้ าํ การสนทนาจะตงั ชดุ ของคําถามทีจะนาํ สู่ เพือสงั เกตการใช้ เพือการเรียนรกู้ ารใช้ การตอบสนองของกล่มุ ตงั แตห่ วั ขอ้ ทีผวิ เผิน นวตั กรรมการสอน นวตั กรรมการสอนนนั จนถึงการนาํ ไปประยกุ ต์ใช้ เพอื นํามาปรบั ใช้ หรอื สกดั เป็ นผลมาจากการสังเกต เป็ นวิธกี ารสอนของตน ของครเู อง . การประชมุ สมั มนา Conference) . การวเิ คราะหข์ อ้ มลู Data Analysis เป็ นการประชมุ สมั มนา เพอื แลกเปลยี น เป็ นวิธีการทีครศู กึ ษา ขอ้ มลู ทีนํามาวิเคราะห์ การปฏบิ ัติการสอนทีเป็ นเลิศระหวา่ งคร ู และใชข้ อ้ มลู เพือการตดั สินใจ เพอื การเรยี นรรู้ ว่ มกนั แบบทดสอบมาตรฐาน จะสอนอะไร แบบทดสอบทีครสู รา้ งขึน การประชมุ สมั มนาทีเป็ นส่วนหนึงของ จะสอนอยา่ งไร ภาระงานทีครมู อบหมาย แผนพฒั นาวิชาชพี อย่างตอ่ เนืองจะเป็ น ผเู้ รียนไดเ้ รียนรอู้ ะไรบา้ ง แฟ้ มสะสมงานของนกั เรียน การประชมุ สมั มนาทีมปี ระสิทธิภาพ จะตดั สินผเู้ รยี นอย่างไร การสงั เกต ขอ้ มลู จากแหล่งอืนๆ . การแลกเปลยี นบคุ ลากร . การรบั นกั ศกึ ษาครฝู ึ กประสบการณว์ ิชาชีพ Education Exchange Hosting a Student Teacher) เป็ นกิจกรรมทีส่งเสรมิ การเรียนรขู้ องคร ู เป็ นรปู แบบหนึงของการนเิ ทศ โดยทีโรงเรยี นอาจมีสญั ญาแลกเปลียนคร ู แบบพีเลียงรว่ มกบั มหาวิทยาลยั ทงั ครู พีเลียงในโรงเรียน และอาจารยน์ เิ ทศ ทงั ระดบั ชาติและนานาชาติ จากมหาวิทยาลยั ไดแ้ ลกเปลยี นเรยี นรู้ ซึงกนั และกนั
. การคน้ ควา้ ทางอินเทอรเ์ น็ต Internet Research . เครือข่าย Networks) การคน้ ควา้ ทางอินเทอรเ์ น็ต Internet Research) เปิ ดโอกาสใหเ้ ขา้ ถึง เป็ นการใชเ้ ครอื ข่ายและกลยทุ ธ์ การเชือมต่อคอมพวิ เตอร์ โทรศพั ทช์ ่วยเชอื มโยง ฐานขอ้ มลู จํานวนมากในหวั ขอ้ ทีไม่มีขดี จาํ กดั โดยบคุ คลทวั โลก การสือสาร ทงั ในโรงเรียนและระบบ ครเู ขา้ ส่ชู มุ ชนอิเล็กทรอนิกสร์ ะบบเปิ ด สามารถ การศึกษา ทีจะตอ้ งเชอื มโยงกนั เชือมโยงครเู ขา้ กบั ระบบเครอื ข่ายหอ้ งสมดุ และสนบั สนนุ ซึงกนั และกนั ฐานขอ้ มลู และระบบสอื สารอนื ๆ ทีมอี ยแู่ ลว้ . การเขา้ ศกึ ษาต่อหลงั สาํ เรจ็ การศึกษา . แฟ้ มสะสมงาน Professional Portfolio) Post Secondary Courses เป็ นการรวบรวมหนงั สือเกียรติบตั ร ครทู สี นใจในการพฒั นาวิชาการอย่าง ใบวฒุ ิบัตร หรือผลงาน ซึงเป็ นเอกสาร ต่อเนือง สมคั รเขา้ ศึกษาต่อใน การปฏบิ ตั ิงานวิชาชพี ของคร ู สถาบันการศกึ ษา สถาบันบางแหง่ เสนอ ครบู างคนใชก้ ระบวนการพฒั นา กลยทุ ธ์การเรียนออนไลน์ แฟ้ มสะสมงาน เพอื สะทอ้ นผลและ ปรบั ปรงุ การปฏบิ ตั ิงานวิชาชพี ของตน หรือจดั การศึกษานอกทีตงั ของสถาบนั . ทีมงานพฒั นาโรงเรียน . การประชมุ ครู Teachers’ Conventions) School Improvement Teams) เป็ นการรวมกลม่ ุ ของครเู พือจดั ตงั ครตู อ้ งเสยี สละเวลา เพือทําใหเ้ กิด การประชมุ ครูทังระดบั ทอ้ งถิน การประชมุ และสมั มนาครนู สี ามารถ เป็ นทีมงาน เพือพฒั นาโรงเรียนให้ การพฒั นาโรงเรยี นตามแผนกล และระดับชาติในวาระทแี ตกต่างกนั สรา้ งแรงบนั ดาลใจ จงู ใจ และ สอดคลอ้ งกบั การเปลยี นแปลงของ ยทุ ธท์ ที มี งานไดก้ ําหนดร่วมกนั สงั คมดา้ นต่างๆ * การประชมุ เพอื ร่วมกนั อภปิ ราย สรา้ งความรสู้ กึ ในการรเิ ริมทํางาน สิงทีสําคญั คือ * การประชมุ เพอื หาขอ้ สรปุ ใน ดว้ ยวิธกี ารใหม่ๆ ได้ ประเด็นต่างๆ สง่ ผลใหค้ รมู ีความจําเป็ นตอ้ งพฒั นา * การประชมุ เพือสรปุ ผลการ เพือ วิชาชีพของตน และครตู อ้ งมคี วาม ดําเนินงาน เตม็ ใจทีจะเปลียนแปลงพฤติกรรม ใหค้ รูนาํ สิงทีไดเ้ รียนรูก้ ลับมาประชุม การสอนหรอื พฤตกิ รรมการทํางาน อภิปรายมาใชป้ รับปรงุ การเรียนรขู้ อง นกั เรียน และปฏิบตั ิการสอนในหอ้ งเรยี น
จบการนําเสนอ นสิ ติ คนใดมีประเด็นการ อภปิ รายแลกเปลยี นเรียนรู้ สามารถเสนอมาไดเ้ ลยคะ่ กิจกรรม ขอขอบใจ นิสิตครทู กุ คนทีตงั ใจฟังคะ่ ใหน้ สิ ิตพิจารณา ทกั ษะ C สําหรบั ครมู อื อาชพี จากนนั ใหเ้ ลือกมา 1 ทกั ษะทีตนเองไม่ อาจารยอ์ ารียร์ ตั น์ โนนสวุ รรณ ถนดั เพอื นํามาออกแบบแนวทางการพฒั นา ภาควิชาหลกั สตู รและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ ศกั ยภาพทางวชิ าชพี ครใู นทกั ษะดงั กล่าว ในรปู แบบของ Concept Mapping
Search