ภูมปิ ัญญาศึกษา เรอื่ ง การทาธปู ปักกระทง โดย 1. นางสุวรรณ เอ่ียมสอาด (ผถู้ ่ายทอดภมู ปิ ญั ญา) 2. นางสาวสุภาภร เพชรรักษา (ผู้เรยี บเรียงภมู ปิ ญั ญาท้องถิน่ ) เอกสารภูมปิ ญั ญาศึกษาน้ีเปน็ สว่ นหนงึ่ ของการศกึ ษา ตามหลกั สตู รโรงเรียนผู้สงู อายุเทศบาลเมืองวงั น้าเย็นประจาปกี ารศึกษา 2561 โรงเรยี นผู้สงู อายเุ ทศบาลเมืองวงั นา้ เยน็ สังกดั เทศบาลเมอื งวังน้าเยน็ จังหวดั สระแก้ว
คานา ภูมิป๓ญญาชาวบา๎ นของคนไทยเรานั้นมีอยํูจานวนมากล๎วนแตํมีคุณคําและมีประโยชน๑เป็นการบอกเลํา ถึงวัฒนธรรมไทยเป็นอยํางดีแตํป๓จจุบันภูมิป๓ญญาเหลํานั้นกาลังสูญหายไปพร๎อมๆกับชีวิตของคนซ่ึงดับสูญไป ตามกาลเวลา เทศบาลวังน้าเย็นได๎เล็งเห็นคุณคําและความสาคัญในเร่ืองดังกลําวจึงจัดตั้งโรงเรียนผ๎ูสูงอายุข้ึน เพื่อใหผ๎ ๎ูสูงอายุ เพ่ือให๎ผู๎สูงอายุในเขตตาบลวังน้าเย็นได๎มารวมตัวกัน เพ่ือแลกเปลี่ยนเรียนรู๎ซึ่งกันและกันกํอน จบการศกึ ษานกั เรยี นผ๎ูสูงอายุทุกคนจะต๎องจัดทาภูมิป๓ญญาศึกษาคนละ 1 เร่ือง เพ่ือเก็บไว๎ให๎อนุชนรํุนหลังได๎ ศึกษาเป็นการสบื ทอดมใิ ห๎ภูมปิ ๓ญญาสญู ไป ภูมิป๓ญญาฉบับน้ีสาเร็จได๎โดยได๎รับความกรุณาและการสนับสนุนจากทํานท้ังหลายเหลํานี้ได๎แกํ นางสาวสุภาภร เพชรรักษา ซ่ึงเป็นครูพี่เล้ียงให๎คาปรึกษาแนะนาในการจัดทาภูมิป๓ญญาได๎ให๎ความรู๎และ ประสบการณ๑ตํางๆ ในชํวงเวลาท่ีเรียนอยํูเป็นเวลา 2 ปี คณะกรรมการบริหารโรงเรียนผ๎ูสูงอายุเจ๎าหน๎าที่ กองสาธารณสุขและสง่ิ แวดลอ๎ มเทศบาลเมอื งวงั น้าเยน็ ทกุ ทํานทใ่ี ห๎การดแู ลและชวํ ยเหลือตลอดมาและท่ีสาคัญ ได๎แกํ ทํานวันชัย นารีรักษ๑ นายกเทศมนตรีเมืองวังน้าเย็นและนายคนองพล เพ็ชรรื่น ปลัดเทศบาลเมือง วังน้าเย็น ซึ่งเปน็ ผกู๎ อํ ต้ังโรงเรยี นผู๎สงู อายุและให๎การสนับสนุนดแู ลนกั เรยี นผส๎ู งู อายเุ ป็นอยาํ งดี ขอขอบคุณทุกทาํ นไว๎ ณ โอกาสน้ี สวุ รรณ เอ่ยี มสอาด สภุ าภร เพชรรกั ษา ผจู๎ ัดทา
ท่ีมาและความสาคญั ของภูมปิ ัญญาศกึ ษา จากพระราชดารัสของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ท่วี าํ “ประชาชนนัน่ แหละ ที่เขามีความร๎ูเขาทางานมาหลายช่ัวอายุคนเขาทากันอยํางไรเขามีความเฉลียวฉลาดเขารู๎วําตรงไหนควรทา กสิกรรมเขาร๎วู าํ ตรงไหนควรเก็บรักษาไว๎แตํที่เสียไปเพราะพวกไมํร๎ูเร่ืองไมํได๎ทามานานแล๎วทาให๎ลืมวําชีวิตมัน เปน็ ไปโดยการกระทาที่ถกู ตอ๎ งหรือไมํ” พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ สะทอ๎ นถึงพระปรชี าสามารถในการรับรู๎และความเข๎าใจหยงั่ ลกึ ที่ทรงเห็นคุณคําของภูมิป๓ญญาไทยอยํางแท๎จริง พระองคท๑ รงตระหนกั เปน็ อยํางยิ่งวําภูมิป๓ญญาท๎องถ่ินเป็นส่ิงที่ชาวบ๎านมีอยํูแล๎วใช๎ประโยชน๑เพ่ือความอยํูรอด กันมายาวนานความสาคัญของภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นซึ่งความร๎ูท่ีส่ังสมจากการปฏิบัติจริงในห๎องทดลองทางสังคม เป็นความร๎ูด้ังเดิมที่ถูกค๎นพบ มีการทดลองใช๎แก๎ไขดัดแปลงจนเป็นองค๑ความร๎ูท่ีสามารถแก๎ป๓ญหาในการ ดาเนนิ ชวี ติ และถํายทอดสบื ตํอกนั มาภูมปิ ญ๓ ญาท๎องถิ่นเป็นขุมทรัพย๑ทางป๓ญญาที่คนไทยทุกคนควรรู๎ควรศึกษา ปรับปรุงและพัฒนาให๎สามารถนาภูมิป๓ญญาท๎องถ่ินเหลําน้ันมาแก๎ไขป๓ญหาให๎สอดคล๎องกับบริบททางสังคม วัฒนธรรมของกลํุมชุมชนนั้น ๆอยํางแท๎จริงการพัฒนาภูมิป๓ญญาศึกษานับเป็นสิ่งสาคัญตํอบทบาทของชุมชน ท๎องถิ่นที่ได๎พยายามสร๎างสรรค๑เป็นน้าพักน้าแรงรํวมกันของผู๎สูงอายุและคนในชุมชนจนกลายเป็นเอกลักษณ๑ และวัฒนธรรมประจาถิ่นทเ่ี หมาะตํอการดาเนินชีวิตหรือภูมปิ ๓ญญาของคนในท๎องถิ่นนั้นๆ แตํภูมิป๓ญญาท๎องถิ่น สํวนใหญํเป็นความร๎ูหรือเป็นส่ิงที่ได๎มาจากประสบการณ๑หรือเป็นความเชื่อสืบตํอกันมาแตํยังขาดองค๑ความร๎ู หรอื ขาดหลักฐานยืนยันหนักแนํนการสรา๎ งการยอมรบั ทเี่ กิดจากฐานภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นจึงเปน็ ไปได๎ยาก ดงั น้ัน เพือ่ ให๎เกิดการสํงเสริมพฒั นาภูมปิ ๓ญญาท่เี ปน็ เอกลักษณ๑ของท๎องถ่ินกระต๎ุนเกิดความภาคภูมิใจ ในภูมิป๓ญญาของบุคคลในท๎องถิ่น ภูมิป๓ญญาไทยและวัฒนธรรมไทยเกิดการถํายทอดภูมิป๓ญญาสูํคนรํุนหลัง โรงเรียนผู๎สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็นได๎ดาเนินการจัดทาหลักสูตรการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาศักยภาพ ผ๎ูสูงอายุในท๎องถ่ินท่ีเน๎นให๎ผ๎ูสูงอายุได๎พัฒนาตนเองให๎มีความพร๎อมสํูสังคมผ๎ูสูงอายุท่ีมีคุณภาพในอนาคต รวมทั้งสืบทอดภูมิป๓ญญาในการดารงชีวิตของนักเรียนผ๎ูสูงอายุที่ได๎ส่ังสมมา เกิดจากการสืบทอดภูมิป๓ญญา ของบรรพบุรุษ โดยนักเรียนผู๎สูงอายุจะเป็นผู๎ถํายทอดองค๑ความร๎ู และมีครูพ่ีเลี้ยงซึ่งเป็นคณะครูของ โรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็นเป็นผู๎เรียบเรียงองค๑ความรู๎ไปสูํการจัดทาภูมิป๓ญญาศึกษาให๎ปรากฏ ออกมาเป็นรูปเลมํ ภูมปิ ญ๓ ญาศึกษา ใชเ๎ ป็นสํวนหน่งึ ในการจบหลกั สูตรการศกึ ษาของโรงเรียนผู๎สูงอายุ ประจาปี การศึกษา 2561พร๎อมท้ังเผยแพรํและจัดเก็บคลังภูมิป๓ญญาไว๎ในห๎องสมุดของโรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพันธ๑- วทิ ยาเพ่ือใหภ๎ ูมิปญ๓ ญาทอ๎ งถ่นิ เหลํานเ้ี กดิ การถาํ ยทอดสูํคนรุนํ หลังสบื ตอํ ไป จากความรํวมมือในการพัฒนาบุคลากรในหนํวยงานและภาคีเครือขํายท่ีมีสํวนรํวมในการผสมผสาน องคค๑ วามรเ๎ู พือ่ ยกระดบั ความร๎ูของภูมิปญ๓ ญานั้นๆเพอ่ื นาไปสกํู ารประยุกตใ๑ ช๎และผสมผสานเทคโนโลยีใหมํๆให๎ สอดรับกับวิถีชีวิตของชุมชนได๎อยํางมีประสิทธิภาพการนาภูมิป๓ญญาไทยกลับสํูการศึกษาสามารถสํงเสริมให๎มี การถาํ ยทอดภูมปิ ๓ญญาในโรงเรียนเทศบาลมิตรสมั พันธว๑ ิทยาและโรงเรยี นในสังกัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็น เกิด การมีสํวนรํวมในกระบวนการถํายทอด เชื่อมโยงความร๎ูให๎กับนักเรียนและบุคคลทั่วไปในท๎องถ่ิน โดยการนา บคุ ลากรที่มีความร๎ูความสามารถในท๎องถ่ินเข๎ามาเป็นวิทยากรให๎ความร๎ูกับนักเรียนในโอกาสตํางๆ หรือการท่ี โรงเรยี นนาองคค๑ วามรใ๎ู นทอ๎ งถิ่นเข๎ามาสอนสอดแทรกในกระบวนการจดั การเรยี นรู๎ ส่ิงเหลํานี้ทาให๎การพัฒนา ภูมิป๓ญญาท๎องถิ่น นาไปสูํการสืบทอดภูมิป๓ญญาศึกษาเกิดความสาเร็จอยํางเป็นรูปธรรมนักเรียนผ๎ูสูงอายุเกิด
ความภาคภมู ิใจในภมู ิปญ๓ ญาของตนทไี่ ด๎ถาํ ยทอดสํคู นรนํุ หลงั ให๎คงอยูํในท๎องถ่ิน เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิต ประจาทอ๎ งถ่ิน เป็นวัฒนธรรมการดาเนนิ ชวี ติ คแูํ ผนํ ดินไทยตราบนานเทํานาน เริ่มจากการมีงานประเพณีลอยกระทงที่วัดในหมูํบ๎านขอองตน และคิดหาวิธีจะปรับปรุงพัฒนาให๎ กระทงมีความสวยงามมากย่ิงขึ้น โดยนาธูปเทียนมาพันด๎วยกระดาษยํนให๎มีความสวยเวลาท่ีเรานามาป๓ก กระทง และทาบริจาคให๎วดั เหลายปี จึงเกิดเปน็ อาชพี การทาธปู เทียนป๓กกระทงจนถึงในปจ๓ จบุ ัน นิยามคาศัพทใ์ นการจดั ทาภูมิปัญญาศกึ ษา ภูมิปัญญาศึกษา หมายถึง การนาภูมิป๓ญญาการดาเนินชีวิตในเรื่องที่ผู๎สูงอายุเชี่ยวชาญท่ีสุด ของ ผ๎ูสงู อายุท่ีเข๎าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผู๎สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็น มาศึกษาและสืบทอดภูมิป๓ญญา ในรปู แบบตาํ ง ๆ มีการสืบทอดภูมิป๓ญญาโดยการปฏิบัติและการเรียบเรียงเป็นลายลักษณ๑อักษรตามรูปแบบท่ี โรงเรียนผ๎ูสูงอายุกาหนดขึ้นใช๎เป็นสํวนหนึ่งในการจบหลักสูตรการศึกษาเพ่ือให๎ภูมิป๓ญญาของผู๎สูงอายุได๎รับ การถํายทอดสคูํ นรุนํ หลงั และคงอยํูในท๎องถนิ่ ตํอไป ซง่ึ แบํงภมู ิป๓ญญาศึกษาออกเป็น 3 ประเภท ได๎แกํ 1. ภมู ิป๓ญญาศึกษาท่ีผ๎ูสงู อายเุ ปน็ ผ๎ูคิดคน๎ ภูมิป๓ญญาในการดาเนนิ ชวี ิตในเรอ่ื งทเี่ ชี่ยวชาญทีส่ ดุ ด๎วยตนเอง 2. ภูมิป๓ญญาศึกษาท่ีผ๎ูสูงอายุเป็นผู๎นาภูมิป๓ญญาท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษมาประยุกต๑ใช๎ในการดาเนิน ชีวติ จนเกดิ ความเชีย่ วชาญ 3. ภูมิป๓ญญาศึกษาที่ผ๎ูสูงอายุเป็นผ๎ูนาภูมิป๓ญญาท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษมาใช๎ในการดาเนินชีวิตโดย ไมมํ ีการเปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ จนเกิดความเช่ียวชาญ ผูถ้ ่ายทอดภูมิปัญญา หมายถึง ผ๎ูสูงอายุท่ีเข๎าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผ๎ูสูงอายุเทศบาลเมือง วังน้าเย็นเป็นผู๎ถํายทอดภูมิป๓ญญาการดาเนินชีวิตในเร่ืองท่ีตนเองเช่ียวชาญมากที่สุด นามาถํายทอดให๎แกํผู๎ เรียบเรียงภูมิป๓ญญาท๎องถิน่ ได๎จดั ทาขอ๎ มูลเปน็ รูปเลํมภมู ปิ ญ๓ ญาศกึ ษา ผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง ผ๎ูท่ีนาภูมิป๓ญญาในการดาเนินชีวิตในเร่ืองที่ผู๎สูงอายุ เชี่ยวชาญที่สุดมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ๑อักษร ศึกษาหาข๎อมูลเพิ่มเติมจากแหลํงข๎อมูลตําง ๆ จัดทาเป็น เอกสารรูปเลมํ ใช๎ชื่อวาํ “ภมู ปิ ๓ญญาศึกษา” ตามรปู แบบทีโ่ รงเรียนผสู๎ งู อายุเทศบาลเมืองวังน้าเยน็ กาหนด ครูท่ีปรึกษา หมายถึง ผู๎ท่ีปฏิบัติหน๎าท่ีเป็นครูพี่เลี้ยง เป็นผู๎เรียบเรียงภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นปฏิบัติ หน๎าท่เี ปน็ ผปู๎ ระเมินผล เป็นผู๎รับรองภูมิป๓ญญาศึกษา รวมทั้งเป็นผ๎ูนาภูมิป๓ญญาศึกษาเข๎ามาสอนในโรงเรียน โดยบรู ณาการการจัดการเรยี นร๎ูตามหลกั สูตรท๎องถิ่นทโี่ รงเรยี นจัดทาขึน้
ภมู ปิ ญั ญาศึกษาเชื่อมโยงสู่สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ 1. ลักษณะของภมู ิปัญญาไทย ลักษณะของภมู ปิ ๓ญญาไทย มีดังนี้ 1. ภูมปิ ๓ญญาไทยมีลกั ษณะเป็นทั้งความร๎ู ทักษะ ความเชื่อ และพฤตกิ รรม 2. ภูมิป๓ญญาไทยแสดงถึงความสมั พันธร๑ ะหวํางคนกับคน คนกบั ธรรมชาติ ส่งิ แวดล๎อม และคนกบั ส่งิ เหนือธรรมชาติ 3. ภมู ิปญ๓ ญาไทยเป็นองคร๑ วมหรือกจิ กรรมทุกอยาํ งในวถิ ีชวี ติ ของคน 4. ภมู ปิ ญ๓ ญาไทยเปน็ เรอ่ื งของการแก๎ป๓ญหา การจัดการ การปรบั ตวั และการเรยี นรู๎ เพอ่ื ความอยํูรอดของบุคคล ชมุ ชน และสงั คม 5. ภูมิปญ๓ ญาไทยเป็นพน้ื ฐานสาคญั ในการมองชีวติ เปน็ พืน้ ฐานความร๎ูในเรอื่ งตํางๆ 6. ภูมปิ ญ๓ ญาไทยมลี ักษณะเฉพาะ หรือมเี อกลักษณใ๑ นตวั เอง 7. ภูมิป๓ญญาไทยมกี ารเปลีย่ นแปลงเพ่ือการปรบั สมดุลในพัฒนาการทางสงั คม 2. คณุ สมบัตขิ องภูมปิ ญั ญาไทย ผท๎ู รงภมู ิปญ๓ ญาไทยเป็นผ๎มู คี ุณสมบตั ิตามที่กาหนดไว๎ อยํางนอ๎ ยดงั ตํอไปน้ี 1. เป็นคนดีมีคุณธรรม มีความร๎ูความสามารถในวิชาชีพตํางๆ มีผลงานด๎านการพัฒนา ท๎องถ่ินของตน และได๎รับการยอมรับจากบุคคลทั่วไปอยํางกว๎างขวาง ท้ังยังเป็นผ๎ูที่ใช๎หลักธรรมคาสอนทาง ศาสนาของตนเป็นเคร่อื งยึดเหน่ยี วในการดารงวิถีชวี ิตโดยตลอด 2. เป็นผ๎ูคงแกํเรียนและหมั่นศึกษาหาความร๎ูอยูํเสมอ ผ๎ูทรงภูมิป๓ญญาจะเป็นผ๎ูที่หมั่นศึกษา แสวงหาความร๎ูเพ่ิมเติมอยํูเสมอไมํหยุดนิ่ง เรียนรู๎ท้ังในระบบและนอกระบบ เป็นผ๎ูลงมือทา โดยทดลองทา ตามทเ่ี รยี นมา อีกทั้งลองผิด ลองถูก หรือสอบถามจากผู๎ร๎ูอ่ืนๆ จนประสบความสาเร็จ เป็นผู๎เชี่ยวชาญ ซ่ึงโดด เดํนเป็นเอกลักษณ๑ในแตํละด๎านอยํางชัดเจน เป็นที่ยอมรับการเปล่ียนแปลงความรู๎ใหมํๆ ท่ีเหมาะสม นามา ปรับปรุงรบั ใช๎ชุมชน และสงั คมอยูํเสมอ 3. เป็นผ๎ูนาของท๎องถ่ิน ผู๎ทรงภูมิป๓ญญาสํวนใหญํจะเป็นผ๎ูท่ีสังคม ในแตํละท๎องถ่ินยอมรับให๎ เป็นผ๎ูนา ท้ังผ๎ูนาท่ีได๎รับการแตํงตั้งจากทางราชการ และผู๎นาตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถเป็นผ๎ูนาของท๎องถิ่น และชวํ ยเหลือผอ๎ู ่นื ได๎เป็นอยาํ งดี 4. เป็นผู๎ท่ีสนใจป๓ญหาของท๎องถิ่น ผ๎ูทรงภูมิป๓ญญาล๎วนเป็นผู๎ที่สนใจป๓ญหาของท๎องถ่ิน เอา ใจใสํ ศึกษาป๓ญหา หาทางแก๎ไข และชํวยเหลือสมาชิกในชุมชนของตนและชุมชนใกล๎เคียงอยํางไมํยํอท๎อ จน ประสบความสาเรจ็ เป็นทย่ี อมรับของสมาชกิ และบคุ คลทั่วไป 5. เป็นผ๎ูขยันหมั่นเพยี ร ผท๎ู รงภูมปิ ญ๓ ญาเปน็ ผ๎ูขยันหมัน่ เพยี ร ลงมอื ทางานและผลิตผลงานอยํู เสมอ ปรับปรงุ และพัฒนาผลงานให๎มีคณุ ภาพมากขึ้นอีกทงั้ มงํุ ทางานของตนอยาํ งตํอเน่ือง 6. เป็นนักปกครองและประสานประโยชน๑ของท๎องถ่ิน ผ๎ูทรงภูมิป๓ญญา นอกจากเป็นผ๎ูที่ ประพฤติตนเป็นคนดี จนเป็นที่ยอมรับนับถือจากบุคคลทั่วไปแล๎ว ผลงานที่ทํานทายังถือวํามีคุณคํา จึงเป็นผ๎ูที่ มีทั้ง \"ครองตน ครองคน และครองงาน\" เป็นผป๎ู ระสานประโยชน๑ให๎บุคคลเกิดความรัก ความเข๎าใจ ความเห็น ใจ และมคี วามสามคั คีกนั ซึง่ จะทาให๎ทอ๎ งถ่นิ หรือสังคม มคี วามเจริญ มีคณุ ภาพชีวติ สูงขึ้นกวาํ เดิม
7. มีความสามารถในการถํายทอดความรเ๎ู ป็นเลศิ เม่ือผู๎ทรงภูมปิ ๓ญญามคี วามร๎ูความสามารถ และประสบการณ๑เป็นเลิศ มผี ลงานท่เี ป็นประโยชนต๑ อํ ผ๎ูอื่นและบคุ คลทัว่ ไป ทงั้ ชาวบ๎าน นกั วชิ าการ นกั เรยี น นสิ ิต/นักศึกษา โดยอาจเขา๎ ไปศกึ ษาหาความรู๎ หรือเชญิ ทาํ นเหลาํ นั้นไป เป็นผู๎ถํายทอดความรูไ๎ ด๎ 8. เป็นผ๎ูมีคํูครองหรือบริวารดี ผ๎ูทรงภูมิป๓ญญา ถ๎าเป็นคฤหัสถ๑ จะพบวํา ล๎วนมีคํูครองที่ดีท่ี คอยสนับสนุน ชํวยเหลือ ให๎กาลังใจ ให๎ความรํวมมือในงานท่ีทํานทา ชํวยให๎ผลิตผลงานที่มีคุณคํา ถ๎าเป็น นกั บวช ไมวํ าํ จะเปน็ ศาสนาใด ตอ๎ งมบี ริวารท่ดี ี จงึ จะสามารถผลติ ผลงานท่ีมีคณุ คําทางศาสนาได๎ 9. เป็นผม๎ู ปี ๓ญญารอบรู๎และเชย่ี วชาญจนได๎รบั การยกยอํ งวําเปน็ ปราชญ๑ ผูท๎ รงภูมิป๓ญญา ต๎อง เป็นผู๎มีป๓ญญารอบร๎ูและเชี่ยวชาญ รวมท้ังสร๎างสรรค๑ผลงานพิเศษใหมํๆ ท่ีเป็นประโยชน๑ตํอสังคมและ มนุษยชาติอยํางตอํ เน่ืองอยํูเสมอ 3. การจัดแบ่งสาขาภมู ปิ ัญญาไทย จากการศกึ ษาพบวาํ มีการกาหนดสาขาภูมิปญ๓ ญาไทยไว๎อยํางหลากหลาย ขึน้ อยํกู ับวัตถุประสงค๑ และ หลักเกณฑ๑ตํางๆ ท่ีหนํวยงาน องค๑กร และนักวิชาการแตํละทํานนามากาหนด ในภาพรวมภูมิป๓ญญาไทย สามารถแบงํ ไดเ๎ ปน็ 10 สาขาดังน้ี 1. สาขาเกษตรกรรมหมายถงึ ความสามารถในการผสมผสานองค๑ความร๎ู ทักษะ และเทคนิค ดา๎ นการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณคําด้ังเดิม ซึ่งคนสามารถพ่ึงพาตนเองในภาวการณ๑ ตํางๆ ได๎ เชํน การทา การเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไรํนาสวนผสม และสวน ผสมผสาน การแก๎ป๓ญหาการเกษตรด๎านการตลาด การแก๎ป๓ญหาด๎านการผลิต การแก๎ไขป๓ญหาโรคและแมลง และการร๎ูจกั ปรบั ใช๎เทคโนโลยที ่ีเหมาะสมกบั การเกษตร เป็นตน๎ 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การร๎ูจักประยุกต๑ใช๎เทคโนโลยีสมัยใหมํในการ แปรรูปผลิตผล เพ่ือชะลอการนาเข๎าตลาด เพื่อแก๎ป๓ญหาด๎านการบริโภคอยํางปลอดภัย ประหยัด และเป็น ธรรม อันเป็นกระบวนการที่ทาให๎ชุมชนท๎องถิ่นสามารถพ่ึงพาตนเองทางเศรษฐกิจได๎ ตลอดทั้งการผลิต และ การจาหนาํ ย ผลติ ผลทางหตั ถกรรม เชํน การรวมกลุํมของกลมํุ โรงงานยางพารา กลมํุ โรงสี กลํุมหัตถกรรม เป็น ตน๎ 3. สาขาการแพทยแ์ ผนไทย หมายถงึ ความสามารถในการจัดการปูองกัน และรักษาสุขภาพ ของคนในชุมชน โดยเน๎นให๎ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเอง ทางด๎านสุขภาพ และอนามัยได๎ เชํน การนวดแผน โบราณ การดูแลและรกั ษาสขุ ภาพแบบพนื้ บ๎าน การดแู ลและรักษาสุขภาพแผนโบราณไทย เปน็ ตน๎ 4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมายถึง ความสามารถเกี่ยวกับ การจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ๎ ม ท้ังการอนุรักษ๑ การพัฒนา และการใช๎ประโยชน๑จากคุณคําของ ทรัพยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดลอ๎ ม อยํางสมดุล และย่งั ยืน เชนํ การทาแนวปะการงั เทียม การอนุรักษ๑ปุาชาย เลน การจัดการปุาตน๎ นา้ และปุาชุมชน เปน็ ตน๎ 5. สาขากองทุนและธรุ กจิ ชุมชน หมายถงึ ความสามารถในการบรหิ ารจัดการด๎านการสะสม และบริการกองทุน และธุรกิจในชุมชน ท้ังท่ีเป็นเงินตรา และโภคทรัพย๑ เพื่อสํงเสริมชีวิตความเป็นอยํูของ สมาชิกในชุมชน เชํน การจัดการเรื่องกองทุนของชุมชน ในรูปของสหกรณ๑ออมทรัพย๑ และธนาคารหมูํบ๎าน เป็นตน๎ 6. สาขาสวัสดิการหมายถึง ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิต ของคน ให๎เกิดความม่ันคงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เชํน การจัดต้ังกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาล ของชุมชน การจัดระบบสวสั ดิการบรกิ ารในชมุ ชน การจัดระบบสง่ิ แวดล๎อมในชุมชน เปน็ ตน๎
7. สาขาศลิ ปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด๎านศิลปะสาขาตํางๆ เชํน จติ รกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศลิ ป์ คีตศิลป์ ศิลปะมวยไทย เป็นตน๎ 8. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการดาเนินงานของ องค๑กรชุมชนตํางๆ ให๎สามารถพัฒนา และบริหารองค๑กรของตนเองได๎ ตามบทบาท และหน๎าท่ีขององค๑การ เชํน การจัดการองค๑กรของกลุํมแมํบ๎าน กลํุมออมทรพั ย๑ กลํุมประมงพื้นบา๎ น เปน็ ตน๎ 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถงึ ความสามารถผลติ ผลงานเกยี่ วกับดา๎ นภาษา ท้ังภาษาถิ่น ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช๎ภาษา ตลอดท้ังด๎านวรรณกรรมทุกประเภท เชํน การจัดทา สารานุกรมภาษาถ่ิน การปรวิ รรต หนังสอื โบราณ การฟื้นฟูการเรียนการสอนภาษาถ่นิ ของท๎องถน่ิ ตํางๆ เป็นตน๎ 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต๑ และปรับใช๎หลักธรรมคา สอนทางศาสนา ความเชอ่ื และประเพณีด้ังเดิมที่มีคุณคําให๎เหมาะสมตํอการประพฤติปฏิบัติ ให๎บังเกิดผลดีตํอ บุคคล และสิ่งแวดล๎อม เชํน การถํายทอดหลักธรรมทางศาสนา ลักษณะความสัมพันธ๑ของภูมิป๓ญญาไทยภูมิ- ป๓ญญาไทยสามารถสะทอ๎ นออกมาใน 3 ลกั ษณะทส่ี มั พนั ธ๑ใกลช๎ ดิ กัน คือ 10.1 ความสัมพันธ๑อยํางใกล๎ชิดกันระหวํางคนกับโลก สิ่งแวดล๎อม สัตว๑ พืช และ ธรรมชาติ 10.2 ความสมั พันธข๑ องคนกับคนอนื่ ๆ ที่อยํูรํวมกันในสังคม หรอื ในชมุ ชน 10.3 ความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับส่ิงศักดิ์สิทธ์ิสิ่งเหนือธรรมชาติ ตลอดท้ังสิ่งที่ไมํ สามารถสัมผัสได๎ทั้งหลาย ท้ัง 3 ลักษณะน้ี คือ สามมิติของเรื่องเดียวกัน หมายถึง ชีวิตชุมชน สะท๎อนออก มาถงึ ภมู ิปญ๓ ญาในการดาเนนิ ชวี ติ อยาํ งมเี อกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหลี่ยม ภูมิป๓ญญา จึงเป็นรากฐาน ในการดาเนินชีวิตของคนไทย ซ่งึ สามารถแสดงใหเ๎ ห็นไดอ๎ ยํางชดั เจนโดยแผนภาพ ดงั นี้ ลักษณะภูมิป๓ญญาที่เกิดจากความสัมพันธ๑ ระหวํางคนกับธรรมชาติส่ิงแวดล๎อม จะแสดงออกมา ในลักษณะภูมิป๓ญญาในการดาเนินวิถีชีวิตขั้นพ้ืนฐาน ด๎านป๓จจัยส่ี ซ่ึงประกอบด๎วย อาหาร เคร่ืองนุํงหํมท่ี อยูํอาศัย และยารักษาโรค ตลอดทั้งการประกอบ อาชพี ตาํ งๆ เป็นต๎น ภูมิป๓ญญาที่เกิดจากความสัมพันธ๑ ระหวํางคนกับคนอื่นในสังคม จะแสดงออกมาใน ลักษณะ จารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ และ นันทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอดท้ังการ ส่ือสารตํางๆ เป็นต๎น ภมู ปิ ญ๓ ญาทเ่ี กดิ จากความสัมพนั ธ๑ระหวํางคน กับสง่ิ ศกั ด์สิ ิทธิ์ ส่ิงเหนือธรรมชาติ จะแสดงออกมาในลกั ษณะของสงิ่ ศกั ด์สิ ิทธิ์ ศาสนา ความเชอื่ ตาํ งๆ เป็นตน๎ 4. คณุ คา่ และความสาคญั ของภูมปิ ัญญาไทย คุณคําของภูมิป๓ญญาไทย ได๎แกํ ประโยชน๑ และความสาคัญของภูมิป๓ญญา ท่ีบรรพบุรุษไทย ได๎ สรา๎ งสรรค๑ และสืบทอดมาอยํางตํอเนื่อง จากอดีตสูํป๓จจุบัน ทาให๎คนในชาติเกิดความรัก และความภาคภูมิใจ ทจี่ ะรํวมแรงรวํ มใจสืบสานตอํ ไปในอนาคต เชํน โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาป๓ตยกรรม ประเพณีไทย การมี นา้ ใจ ศักยภาพในการประสานผลประโยชน๑ เปน็ ต๎น ภูมปิ ญ๓ ญาไทยจงึ มีคุณคาํ และความสาคญั ดังน้ี 1. ภูมิป๓ญญาไทยชวํ ยสรา๎ งชาติใหเ๎ ป็นปกึ แผํน
พระมหากษัตริย๑ไทยได๎ใช๎ภูมิป๓ญญาในการสร๎างชาติ สร๎างความเป็นปึกแผํนให๎ แกํ ประเทศชาติมาโดยตลอด ตั้งแตํสมัยพํอขุนรามคาแหงมหาราช พระองค๑ทรงปกครองประชาชน ด๎วยพระ เมตตา แบบพํอปกครองลูก ผ๎ูใดประสบความเดือดร๎อน ก็สามารถตีระฆัง แสดงความเดือดร๎อน เพ่ือขอรับ พระราชทานความชํวยเหลือ ทาให๎ประชาชนมีความจงรักภักดีตํอพระองค๑ ตํอประเทศชาติรํวมกันสร๎าง บ๎านเรอื นจนเจริญรํุงเรอื งเปน็ ปกึ แผนํ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค๑ทรงใช๎ภูมิป๓ญญากระทายุทธหัตถี จนชนะข๎าศึกศัตรู และทรงกอบก๎ูเอกราชของชาติไทยคืนมาได๎ พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลป๓จจุบัน พระองค๑ทรงใชภ๎ ูมิป๓ญญาสร๎างคุณประโยชน๑แกํประเทศชาติ และเหลําพสกนิกรมากมายเหลือคณานับ ทรงใช๎ พระปรีชาสามารถ แก๎ไขวิกฤตการณ๑ทางการเมือง ภายในประเทศ จนรอดพ๎นภัยพิบัติหลายครั้ง พระองค๑ทรง มีพระปรีชาสามารถหลายด๎าน แม๎แตํด๎านการเกษตร พระองค๑ได๎พระราชทานทฤษฎีใหมํให๎แกํพสกนิกร ท้ัง ด๎านการเกษตรแบบสมดุลและยั่งยืน ฟื้นฟูสภาพแวดล๎อม นาความสงบรํมเย็นของประชาชนให๎กลับคืนมา แนวพระราชดาริ \"ทฤษฎใี หม\"ํ แบํงออกเปน็ 2 ข้ัน โดยเรมิ่ จาก ขั้นตอนแรก ให๎เกษตรกรรายยํอย \"มีพออยํูพอ กิน\" เป็นข้ันพื้นฐาน โดยการพัฒนาแหลํงน้า ในไรํนา ซ่ึงเกษตรกรจาเป็นท่ีจะต๎องได๎รับความชํวยเหลือจาก หนํวยราชการ มูลนิธิ และหนํวยงานเอกชน รํวมใจกันพัฒนาสังคมไทย ในข้ันท่ีสอง เกษตรกรต๎องมีความ เขา๎ ใจ ในการจัดการในไรํนาของตน และมีการรวมกลุมํ ในรูปสหกรณ๑ เพ่ือสร๎างประสิทธิภาพทางการผลิต และ การตลาด การลดรายจํายด๎านความเป็นอยํู โดยทรงตระหนักถึงบทบาทขององค๑กรเอกชน เม่ือกลุํมเกษตร วิวฒั นม๑ าขั้นที่ 2 แลว๎ กจ็ ะมศี กั ยภาพ ในการพัฒนาไปสูํขั้นที่สาม ซ่ึงจะมีอานาจในการตํอรองผลประโยชน๑กับ สถาบันการเงินคือ ธนาคาร และองค๑กรที่เป็นเจ๎าของแหลํงพลังงาน ซึ่งเป็นป๓จจัยหน่ึงในการผลิต โดยมีการ แปรรูปผลิตผล เชํน โรงสี เพอ่ื เพ่มิ มลู คําผลิตผล และขณะเดยี วกันมีการจัดต้ังร๎านค๎าสหกรณ๑ เพื่อลดคําใช๎จําย ในชีวิตประจาวัน อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคม จะเห็นได๎วํา มิได๎ทรงทอดท้ิงหลักของ ความสามัคคีในสังคม และการจัดตั้งสหกรณ๑ ซึ่งทรงสนับสนุนให๎กลํุมเกษตรกรสร๎างอานาจตํอรองในระบบ เศรษฐกจิ จึงจะมคี ุณภาพชีวิตที่ดี จึงจัดได๎วํา เป็นสังคมเกษตรที่พัฒนาแล๎ว สมดังพระราชประสงค๑ท่ีทรงอุทิศ พระวรกาย และพระสติปญ๓ ญา ในการพฒั นาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแหงํ การครองราชย๑ 2. สรา๎ งความภาคภมู ใิ จ และศักดิ์ศรี เกียรตภิ ูมแิ กคํ นไทย คนไทยในอดีตที่มีความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร๑มีมาก เป็นที่ยอมรับของนานา อารยประเทศ เชํน นายขนมต๎มเป็นนักมวยไทย ท่ีมีฝีมือเกํงในการใช๎อวัยวะทุกสํวน ทุกทําของแมํไม๎มวยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพมําได๎ถึงเก๎าคนสิบคนในคราวเดียวกัน แม๎ในป๓จจุบัน มวยไทยก็ยังถือวํา เป็น ศิลปะช้ันเยี่ยม เป็นที่ นิยมฝึกและแขํงขันในหมํูคนไทยและชาวตําง ประเทศ ป๓จจุบันมีคํายมวยไทยท่ัวโลกไมํ ต่ากวาํ 30,000 แหํง ชาวตํางประเทศท่ไี ด๎ฝึกมวยไทย จะรู๎สกึ ยินดแี ละภาคภูมิใจ ในการท่ีจะใช๎กติกา ของมวย ไทย เชํน การไหว๎ครูมวยไทย การออก คาส่ังในการชกเป็นภาษาไทยทุกคา เชํน คาวํา \"ชก\" \"นับหนึ่งถึงสิบ\" เป็นต๎น ถือเป็นมรดก ภูมิป๓ญญาไทย นอกจากน้ี ภูมิป๓ญญาไทยที่โดด เดํนยังมีอีกมากมาย เชํน มรดกภูมิ ป๓ญญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยที่มีอักษรไทยเป็นของ ตนเองมาต้ังแตํสมัยกรุงสุโขทัย และวิวัฒนาการ มาจนถึงป๓จจุบัน วรรณกรรมไทยถือวํา เป็นวรรณกรรมท่ีมีความไพเราะ ได๎อรรถรสครบทุกด๎าน วรรณกรรม หลายเรือ่ งไดร๎ ับการแปลเป็นภาษาตํางประเทศหลายภาษา ด๎านอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารที่ปรุงงําย พืชท่ี ใชป๎ ระกอบอาหารสํวนใหญํเป็นพืชสมุนไพร ท่ีหาได๎งํายในท๎องถิ่น และราคาถูก มี คุณคําทางโภชนาการ และ ยังปูองกันโรคได๎หลายโรค เพราะสํวนประกอบสํวนใหญํเป็นพืชสมุนไพร เชํน ตะไคร๎ ขิง ขํา กระชาย ใบ มะกรูด ใบโหระพา ใบกะเพรา เปน็ ต๎น 3. สามารถปรบั ประยุกต๑หลักธรรมคาสอนทางศาสนาใช๎กบั วิถีชวี ิตไดอ๎ ยํางเหมาะสม
คนไทยสํวนใหญํนบั ถือศาสนาพุทธ โดยนาหลักธรรมคาสอนของศาสนา มาปรับใช๎ในวิถีชีวิต ได๎อยํางเหมาะสม ทาให๎คนไทยเป็นผ๎ูอํอนน๎อมถํอมตน เอ้ือเฟ้ือเผื่อแผํ ประนีประนอม รักสงบ ใจเย็น มีความ อดทน ใหอ๎ ภัยแกํผู๎สานกึ ผดิ ดารงวิถชี วี ิตอยาํ งเรียบงําย ปกติสุข ทาให๎คนในชุมชนพ่ึงพากันได๎ แม๎จะอดอยาก เพราะ แห๎งแล๎ง แตํไมํมีใครอดตาย เพราะพ่ึงพาอาศัย กัน แบํงป๓นกันแบบ \"พริกบ๎านเหนือเกลือบ๎านใต๎\" เป็น ต๎น ท้ังหมดน้สี บื เนือ่ งมาจากหลกั ธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนา เป็นการใช๎ภูมิป๓ญญา ในการนาเอาหลักขอ พระพุทธศาสนามา ประยกุ ตใ๑ ชก๎ บั ชวี ติ ประจาวนั และดาเนินกุศโลบาย ด๎านตํางประเทศ จนทาให๎ชาวพุทธทั่ว โลกยกยํอง ให๎ประเทศไทยเป็นผู๎นาทางพุทธศาสนา และเป็น ที่ตั้งสานักงานใหญํองค๑การพุทธศาสนิกสัมพันธ๑ แหํงโลก (พสล.) อยูํเย้ืองๆ กับอุทยานเบญจสิริ กรุงเทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักด์ิ องคมนตร)ี ดารงตาแหนงํ ประธาน พสล. ตอํ จาก ม.จ.หญงิ พูนพิศมยั ดิศกุล 4. สร๎างความสมดุลระหวาํ งคนในสงั คม และธรรมชาติได๎อยํางย่งั ยืน ภูมิป๓ญญาไทยมีความเดํนชัดในเร่ืองของการยอมรับนับถือ และให๎ความสาคัญแกํคน สังคม และธรรมชาติอยํางย่ิง มีเคร่อื งช้ีท่แี สดงให๎เหน็ ไดอ๎ ยํางชดั เจนมากมาย เชํน ประเพณีไทย 12 เดือน ตลอดทั้งปี ล๎วนเคารพคุณคําของธรรมชาติ ได๎แกํ ประเพณีสงกรานต๑ ประเพณีลอยกระทง เป็นต๎น ประเพณีสงกรานต๑ เป็นประเพณีที่ทาใน ฤดูร๎อนซ่ึงมีอากาศร๎อน ทาให๎ต๎องการความเย็น จึงมีการรดน้าดาหัว ทาความสะอาด บ๎านเรือน และธรรมชาติสิ่งแวดล๎อม มีการแหํนางสงกรานต๑ การทานายฝนวําจะตกมากหรือน๎อยในแตํละปี สํวนประเพณีลอยกระทง คุณคําอยํูที่การบูชา ระลึกถึงบุญคุณของน้า ท่ีหลํอเล้ียงชีวิตของ คน พืช และสัตว๑ ให๎ได๎ใช๎ทั้งบริโภคและอุปโภค ในวันลอยกระทง คนจึงทาความสะอาดแมํน้า ลาธาร บูชาแมํน้าจากตัวอยําง ข๎างต๎น ลว๎ นเป็น ความสมั พนั ธร๑ ะหวาํ งคนกับสังคมและธรรมชาติ ท้ังสิน้ ในการรักษาปาุ ไมต๎ ๎นนา้ ลาธาร ได๎ประยุกตใ๑ ห๎มีประเพณีการบวชปุา ให๎คนเคารพส่ิงศักด์ิสิทธิ์ ธรรมชาติ และสภาพแวดล๎อม ยังความอุดมสมบูรณ๑แกํต๎นน้า ลาธาร ให๎ฟ้ืนสภาพกลับคืนมาได๎มาก อาชีพ การเกษตรเป็นอาชพี หลักของคนไทย ท่คี านึงถึงความสมดุล ทาแตนํ อ๎ ยพออยพูํ อกิน แบบ \"เฮ็ดอยูํเฮ็ดกิน\" ของ พํอทองดี นันทะ เมือ่ เหลอื กิน ก็แจกญาตพิ ี่น๎อง เพ่อื นบ๎าน บ๎านใกล๎เรือนเคียง นอกจากน้ี ยังนาไปแลกเปลี่ยน กับสง่ิ ของอยาํ งอืน่ ท่ตี นไมมํ ี เมอ่ื เหลอื ใชจ๎ ริงๆ จึงจะนาไปขาย อาจกลําวได๎วํา เป็นการเกษตรแบบ \"กิน-แจก- แลก-ขาย\" ทาให๎คนในสังคมได๎ชํวยเหลือเก้ือกูล แบํงป๓นกัน เคารพรัก นับถือ เป็นญาติกัน ท้ังหมํูบ๎าน จึงอยํู รวํ มกันอยาํ งสงบสุข มคี วามสมั พันธก๑ นั อยาํ งแนบแนนํ ธรรมชาติไมํถูกทาลายไปมากนัก เนื่องจากทาพออยูํพอ กนิ ไมโํ ลภมากและไมํทาลายทกุ อยํางผิด กับในปจ๓ จบุ ัน ถือเปน็ ภูมิปญ๓ ญาที่สร๎างความ สมดุลระหวํางคน สังคม และธรรมชาติ 5. เปล่ียนแปลงปรับปรุงไดต๎ ามยุคสมัย แม๎วาํ กาลเวลาจะผํานไป ความร๎สู มัยใหมํ จะหลง่ั ไหลเข๎ามามาก แตํภูมิป๓ญญาไทย ก็สามารถ ปรบั เปลีย่ นให๎เหมาะสมกบั ยุคสมัย เชนํ การรูจ๎ ักนาเคร่ืองยนต๑มาติดต้ังกับเรือ ใสํใบพัด เป็นหางเสือ ทาให๎เรือ สามารถแลํนได๎เร็วข้ึน เรียกวํา เรือหางยาว การร๎ูจักทาการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟ้ืนคืน ธรรมชาติให๎ อุดมสมบูรณแ๑ ทนสภาพเดิมท่ีถูกทาลายไป การร๎ูจักออมเงิน สะสมทุนให๎สมาชิกกู๎ยืม ปลดเปล้ือง หนี้สนิ และจดั สวัสดิการแกํสมาชกิ จนชุมชนมีความมั่นคง เข๎มแข็ง สามารถชํวยตนเองได๎หลายร๎อยหมํูบ๎านท่ัว ประเทศ เชํน กลุํมออมทรัพย๑คีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดในรูปกองทุนหมุนเวียนของชุมชน จนสามารถ ชํวยตนเองได๎ เม่ือปุาถูกทาลาย เพราะถูกตัดโคํน เพ่ือปลูกพืชแบบเด่ียว ตามภูมิป๓ญญาสมัยใหมํ ท่ีหวัง ร่ารวย แตใํ นทีส่ ุด ก็ขาดทนุ และมีหนี้สิน สภาพแวดล๎อมสูญเสียเกิดความแห๎งแล๎ง คนไทยจึงคิดปลูกปุา ท่ีกิน ได๎ มีพืชสวน พืชปุาไม๎ผล พืชสมุนไพร ซ่ึงสามารถมีกินตลอดชีวิตเรียกวํา \"วนเกษตร\" บางพ้ืนท่ี เม่ือปุาชุมชน
ถูกทาลาย คนในชุมชนก็รวมตัวกัน เป็นกลํุมรักษาปุา รํวมกันสร๎างระเบียบ กฎเกณฑ๑กันเอง ให๎ทุกคนถือ ปฏิบัติได๎ สามารถรักษาปุาได๎อยํางสมบูรณ๑ดังเดิม เมื่อปะการังธรรมชาติถูกทาลาย ปลาไมํมีที่อยํูอาศัย ประชาชนสามารถสร๎าง \"อูหยัม\" ข้ึน เป็นปะการังเทียม ให๎ปลาอาศัยวางไขํ และแพรํพันธ๑ุให๎เจริญเติบโต มี จานวนมากดังเดิมได๎ ถอื เป็นการใช๎ภมู ปิ ญ๓ ญาปรบั ปรงุ ประยกุ ตใ๑ ชไ๎ ดต๎ ามยคุ สมยั สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ เลํมที่ 19 ให๎ความหมายของคาวํา ภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน หมายถึง ความร๎ูของชาวบ๎าน ซ่ึงได๎มาจากประสบการณ๑ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ๎าน รวมทั้งความรู๎ท่ี สง่ั สมมาแตบํ รรพบรุ ษุ สืบทอดจากคนรุํนหน่ึงไปสํูคนอีกรํุนหน่ึง ระหวํางการสืบทอดมีการปรับ ประยุกต๑ และ เปลย่ี นแปลง จนอาจเกิดเป็นความรใ๎ู หมตํ ามสภาพการณ๑ทางสังคมวัฒนธรรม และ ส่ิงแวดล๎อม ภมู ิปญ๓ ญาเป็นความรู๎ที่ประกอบไปด๎วยคุณธรรม ซ่ึงสอดคล๎องกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ๎าน ในวิถดี ง้ั เดิมน้ัน ชีวิตของชาวบ๎านไมํได๎แบํงแยกเป็นสํวนๆ หากแตํทุกอยํางมีความสัมพันธ๑กัน การทามาหากิน การอยูํรํวมกันในชุมชน การปฏิบัติศาสนา พิธีกรรมและประเพณี ความร๎ูเป็นคุณธรรม เมื่อผู๎คนใช๎ความร๎ูนั้น เพื่อสร๎างความสัมพันธ๑ท่ีดีระหวําง คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับส่ิงเหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ๑ที่ดี เป็นความสัมพันธ๑ที่มีความสมดุล ที่เคารพกันและกัน ไมํทาร๎ายทาลายกัน ทาให๎ทุกฝุายทุกสํวนอยํูรํวมกันได๎ อยํางสันติ ชุมชนด้ังเดิมจึงมีกฎเกณฑ๑ของการอยํูรํวมกัน มีคนเฒําคนแกํเป็นผ๎ูนา คอยให๎คาแนะนาตักเตือน ตัดสิน และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบ๎านเคารพธรรมชาติรอบตัว ดิน น้า ปุา เขา ข๎าว แดด ลม ฝน โลก และจักรวาล ชาวบ๎านเคารพผ๎หู ลักผ๎ูใหญํ พอํ แมํ ปูุยําตายาย ทั้งทีม่ ชี วี ิตอยํูและลํวงลับไปแล๎วภูมิป๓ญญาจึงเป็น ความรู๎ทม่ี ีคุณธรรม เป็นความร๎ูท่ีมีเอกภาพของทุกส่ิงทุกอยําง เป็นความร๎ูวํา ทุกส่ิงทุกอยํางสัมพันธ๑กันอยํางมี ความสมดุล เราจึงยกยํองความร๎ูขั้นสูงสํง อันเป็นความรู๎แจ๎งในความจริงแหํงชีวิตน้ีวํา \"ภูมิป๓ญญา\"ความคิด และการแสดงออกเพื่อจะเข๎าใจภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน จาเป็นต๎องเข๎าใจความคิดของชาวบ๎านเก่ียวกับโลก หรือท่ี เรียกวํา โลกทัศน๑ และเกี่ยวกับชีวิต หรือท่ีเรียกวํา ชีวทัศน๑ สิ่งเหลํานี้เป็นนามธรรม อันเกี่ยวข๎องสัมพันธ๑ โดยตรงกับการแสดงออกใน ลักษณะตํางๆ ท่ีเป็นรูปธรรม แนวคิดเร่ืองความสมดุลของชีวิต เป็นแนวคิด พ้นื ฐานของภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน การแพทย๑แผนไทย หรือที่เคยเรียกกันวํา การแพทย๑แผนโบราณนั้นมีหลักการ วํา คนมีสุขภาพดี เมื่อรํางกายมีความสมดุลระหวํางธาตุท้ัง 4 คือ ดิน น้า ลม ไฟ คนเจ็บไข๎ได๎ปุวยเพราะธาตุ ขาดความสมดลุ จะมีการปรับธาตุ โดยใช๎ยาสมุนไพร หรือวิธีการอื่นๆ คนเป็นไข๎ตัวร๎อน หมอยาพื้นบ๎านจะให๎ ยาเยน็ เพ่อื ลดไข๎ เป็นต๎น การดาเนินชีวิตประจาวันก็เชํนเดียวกัน ชาวบ๎านเชื่อวํา จะต๎องรักษาความสมดุลใน ความสัมพนั ธส๑ ามดา๎ น คอื ความสัมพนั ธ๑กับคนในครอบครวั ญาติพ่นี อ๎ ง เพื่อนบ๎านในชุมชน ความสัมพันธ๑ที่ดีมี หลักเกณฑ๑ ท่ีบรรพบุรุษได๎ส่ังสอนมา เชํน ลูกควรปฏิบัติอยํางไรกับพํอแมํ กับญาติพ่ีน๎อง กับผู๎สูงอายุ คนเฒํา คนแกํ กับเพื่อนบ๎าน พํอแมํควรเล้ียงดูลูกอยํางไร ความเอื้ออาทรตํอกันและกัน ชํวยเหลือเก้ือกู ลกัน โดยเฉพาะในยามทุกข๑ยาก หรือมีป๓ญหา ใครมีความสามารถพิเศษก็ใช๎ความสามารถน้ันชํวยเหลือผู๎อื่น เชํน บางคนเป็นหมอยา กช็ ํวยดูแลรกั ษาคนเจบ็ ปวุ ยไมสํ บาย โดยไมํคิดคํารักษา มีแตํเพียงการยกครู หรือการราลึก ถึงครบู าอาจารย๑ท่ีประสาทวิชามาให๎เทํานั้น หมอยาต๎องทามาหากิน โดยการทานา ทาไรํ เล้ียงสัตว๑เหมือนกับ ชาวบ๎านอ่ืนๆ บางคนมีความสามารถพิเศษดา๎ นการทามาหากิน กช็ วํ ยสอนลกู หลานให๎มีวิชาไปดว๎ ย ความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับคนในครอบครัว ในชุมชน มีกฎเกณฑ๑เป็นข๎อปฏิบัติ และข๎อห๎ามอยําง ชัดเจน มีการแสดงออกทางประเพณี พิธีกรรม และกิจกรรมตํางๆ เชํน การรดน้าดาหัวผ๎ูใหญํ การบายศรีสํู ขวญั เปน็ ต๎น ความสมั พันธ๑กับธรรมชาติ ผู๎คนสมัยกํอนพึ่งพาอาศัยธรรมชาติแทบทุกด๎าน ตั้งแตํอาหารการกิน เครือ่ งนุํงหํม ท่อี ยอูํ าศยั และยารักษาโรค วิทยาศาสตร๑ และเทคโนโลยียังไมํพัฒนาก๎าวหน๎าเหมือนทุกวันนี้ ยัง ไมํมีระบบการค๎าแบบสมัยใหมํ ไมํมีตลาด คนไปจับปลาลําสัตว๑ เพ่ือเป็นอาหารไปวันๆ ตัดไม๎ เพ่ือสร๎างบ๎าน และใช๎สอยตามความจาเป็นเทําน้ัน ไมํได๎ทาเพื่อการค๎า ชาวบ๎านมีหลักเกณฑ๑ในการใช๎ส่ิงของในธรรมชาติ ไมํ
ตดั ไมอ๎ อํ น ทาให๎ต๎นไมใ๎ นปุาขน้ึ แทนตน๎ ที่ถูกตัดไปได๎ตลอดเวลาชาวบ๎านยังไมํรู๎จักสารเคมี ไมํใช๎ยาฆําแมลง ฆํา หญา๎ ฆาํ สตั ว๑ ไมใํ ช๎ปยุ๋ เคมี ใช๎สง่ิ ของในธรรมชาติใหเ๎ กอื้ กลู กัน ใชม๎ ูลสัตว๑ ใบไมใ๎ บ หญ๎าทเี่ นําเป่ือยเป็นปุ๋ย ทาให๎ ดินอดุ มสมบรู ณ๑ นา้ สะอาด และไมํเหอื ดแห๎ง ชาวบา๎ นเคารพธรรมชาติ เช่ือวํา มีเทพมีเจ๎าสถิตอยูํในดิน น้า ปุา เขา สถานท่ีทุกแหํง จะทาอะไรต๎องขออนุญาต และทาด๎วยความเคารพ และพอดี พองาม ชาวบ๎านร๎ูคุณ ธรรมชาติ ท่ีได๎ให๎ชีวิตแกํตน พิธีกรรมตํางๆ ล๎วนแสดงออกถึงแนวคิดดังกลําว เชํน งานบุญพิธี ท่ีเก่ียวกับ น้า ข๎าว ปุาเขา รวมถึงสัตว๑ บ๎านเรือน เคร่ืองใช๎ตํางๆ มีพิธีสูํขวัญข๎าว สูํขวัญควาย สูํขวัญเกวียน ทางอีสานมีพิธี แฮกนา หรอื แรกนา เลยี้ งผีตาแฮก มีงานบุญบา๎ น เพอ่ื เลย้ี งผี หรือสง่ิ ศกั ดส์ิ ิทธิ์ประจาหมบํู ๎าน เปน็ ต๎น ความสัมพันธ๑กับสิ่งเหนือธรรมชาติ ชาวบ๎านรู๎วํา มนุษย๑เป็นเพียงสํวนเล็กๆ สํวนหน่ึง ของ จักรวาล ซ่ึงเต็มไปด๎วยความเร๎นลับ มีพลัง และอานาจ ที่เขาไมํอาจจะหาคาอธิบายได๎ ความเร๎นลับดังกลําว รวมถึงญาติพน่ี อ๎ ง และผ๎ูคนท่ลี วํ งลับไปแล๎ว ชาวบ๎านยงั สัมพนั ธ๑กบั พวกเขา ทาบุญ และราลึกถึงอยํางสม่าเสมอ ทุกวัน หรือในโอกาสสาคัญๆ นอกน้ันเป็นผีดี ผีร๎าย เทพเจ๎าตํางๆ ตามความเชื่อของแตํละแหํง ส่ิงเหลํานี้สิง สถิตอยูํในส่ิงตํางๆ ในโลก ในจกั รวาล และอยบํู นสรวงสวรรค๑การทามาหากิน แม๎วิถีชีวิตของชาวบ๎านเม่ือกํอนจะดูเรียบงํายกวําทุกวันน้ี และยังอาศัยธรรมชาติ และ แรงงานเป็นหลัก ในการทามาหากิน แตํพวกเขาก็ต๎องใช๎สติป๓ญญา ที่บรรพบุรุษถํายทอดมาให๎ เพ่ือจะได๎อยํู รอด ท้ังน้ีเพราะป๓ญหาตาํ งๆ ในอดตี ก็ยังมีไมํน๎อย โดยเฉพาะเมื่อครอบครัวมีสมาชิกมากข้ึน จาเป็นต๎องขยายท่ี ทากิน ต๎องหกั รา๎ งถางพง บุกเบกิ พ้นื ท่ีทากินใหมํ การปรับพื้นที่ป๓้นคันนา เพ่ือทานา ซ่ึงเป็นงานท่ีหนัก การทา ไรํทานา ปลูกพืชเลี้ยงสัตว๑ และดูแลรักษาให๎เติบโต และได๎ผล เป็นงานที่ต๎องอาศัยความรู๎ความสามารถ การ จับปลาลาํ สตั ว๑กม็ ีวิธีการ บางคนมีความสามารถมากร๎ูวาํ เวลาไหน ท่ีใด และวิธีใด จะจับปลาได๎ดีที่สุด คนท่ีไมํ เกํงกต็ อ๎ งใช๎เวลานาน และไดป๎ ลานอ๎ ย การลาํ สัตวก๑ เ็ ชํนเดียวกัน การจัดการแหลํงน้า เพื่อการเกษตร ก็เป็นความร๎ูความสามารถ ท่ีมีมาแตํโบราณ คนทาง ภาคเหนือร๎ูจักบริหารน้า เพ่ือการเกษตร และเพื่อการบริโภคตํางๆ โดยการจัดระบบเหมืองฝาย มีการจัด แบํงป๓นน้ากันตามระบบประเพณีท่ี สืบทอดกันมา มีหัวหน๎าท่ีทุกคนยอมรับ มีคณะกรรมการจัดสรรน้าตาม สดั สํวน และตามพน้ื ทที่ ากนิ นบั เป็นความร๎ูที่ทาให๎ชุมชนตํางๆ ท่ีอาศัยอยูํใกล๎ลาน้า ไมํวําต๎นน้า หรือปลายน้า ได๎รับการแบํงป๓นนา้ อยํางยตุ ธิ รรม ทกุ คนไดป๎ ระโยชน๑ และอยูํรวํ มกันอยํางสนั ติ ชาวบ๎านรู๎จกั การแปรรูปผลิตผลในหลายรูปแบบ การถนอมอาหารให๎กินได๎นาน การดองการ หมัก เชํน ปลาร๎า นา้ ปลา ผกั ดอง ปลาเค็ม เนื้อเคม็ ปลาแห๎ง เนื้อแห๎ง การแปรรปู ข๎าว ก็ทาได๎มากมายนับร๎อย ชนิด เชํน ขนมตํางๆ แตํละพิธีกรรม และแตํละงานบุญประเพณี มีข๎าวและขนมในรูปแบบไมํซ้ากัน ตั้งแตํ ขนมจีน สังขยา ไปถึงขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอื่นๆ ซึ่งยังพอมีให๎เห็นอยูํจานวนหนึ่ง ใน ปจ๓ จบุ นั สํวนใหญปํ รับเปลยี่ นมาเป็นการผลติ เพอื่ ขาย หรือเปน็ อุตสาหกรรมในครวั เรือน ความร๎ูเร่ืองการปรุงอาหารก็มีอยํูมากมาย แตํละท๎องถ่ินมีรูปแบบ และรสชาติแตกตํางกันไป มมี ากมายนับร๎อยนับพันชนิด แม๎ในชีวิตประจาวัน จะมีเพียงไมํกี่อยําง แตํโอกาสงานพิธี งาน เลี้ยง งานฉลอง สาคัญ จะมีการจัดเตรียมอาหารอยํางดี และพิถีพิถันการทามาหากินในประเพณีเดิมนั้น เป็นทั้งศาสตร๑และ ศิลป์ การเตรียมอาหาร การจัดขนม และผลไม๎ ไมํได๎เป็นเพียงเพื่อให๎รับประทานแล๎วอรํอย แตํให๎ได๎ความ สวยงาม ทาใหส๎ ามารถสมั ผสั กับอาหารนั้น ไมํเพียงแตํทางปาก และรสชาติของล้ิน แตํทางตา และทางใจ การ เตรียมอาหารเป็นงานศิลปะ ที่ปรุงแตํด๎วยความต้ังใจ ใช๎เวลา ฝีมือ และความรู๎ความสามารถ ชาวบ๎าน สมยั กํอนสวํ นใหญํจะทานาเป็นหลัก เพราะเมอ่ื มขี ๎าวแล๎ว กส็ บายใจ อยํางอื่นพอหาได๎จากธรรมชาติ เสร็จหน๎า นาก็จะทางานหัตถกรรม การทอผ๎า ทาเสื่อ เลี้ยงไหม ทาเคร่ืองมือ สาหรับจับสัตว๑ เคร่ืองมือการเกษตร และ อปุ กรณ๑ตาํ งๆ ท่จี าเปน็ หรือเตรยี มพนื้ ที่ เพือ่ การทานาครงั้ ตอํ ไป
หัตถกรรมเป็นทรัพย๑สิน และมรดกทางภูมิป๓ญญาที่ยิ่งใหญํที่สุดอยํางหน่ึงของบรรพบุรุษ เพราะเป็นสือ่ ทถ่ี าํ ยทอดอารมณ๑ ความรู๎สึก ความคิด ความเชื่อ และคุณคําตํางๆ ที่สั่งสมมาแตํนมนาน ลายผ๎า ไหม ผา๎ ฝูาย ฝีมือในการทออยาํ งประณตี รูปแบบเครอ่ื งมือ ท่ีสานดว๎ ยไมไ๎ ผํ และอุปกรณ๑ เคร่ืองใช๎ไม๎สอยตํางๆ เครื่องดนตรี เคร่ืองเลํน ส่ิงเหลําน้ีได๎ถูกบรรจงสร๎างขึ้นมา เพื่อการใช๎สอย การทาบุญ หรือการอุทิศให๎ใครคน หน่ึง ไมํใชํเพื่อการค๎าขาย ชาวบ๎านทามาหากินเพียงเพ่ือการยังชีพ ไมํได๎ทาเพ่ือขาย มีการนาผลิตผลสํวนหนึ่ง ไปแลกส่ิงของที่จาเป็น ที่ตนเองไมํมี เชํน นาข๎าวไป แลกเกลือ พริก ปลา ไกํ หรือเสื้อผ๎า การขายผลิตผลมีแตํ เพียงสํวนน๎อย และเมื่อมีความจาเป็นต๎องใช๎เงิน เพ่ือเสียภาษีให๎รัฐ ชาวบ๎านนาผลิตผล เชํน ข๎าว ไปขายใน เมอื งใหก๎ ับพอํ ค๎า หรือขายให๎กับพํอคา๎ ท๎องถ่นิ เชํน ทางภาคอีสาน เรียกวํา \"นายฮ๎อย\" คนเหลําน้ีจะนาผลิตผล บางอยาํ ง เชนํ ขา๎ ว ปลารา๎ ววั ควาย ไปขายในที่ไกลๆ ทางภาคเหนือมีพอํ คา๎ วัวตํางๆ เป็นต๎น แม๎วาํ ความร๎เู ร่ืองการค๎าขายของคนสมัยกํอน ไมํอาจจะนามาใช๎ในระบบตลาดเชํนป๓จจุบันได๎ เพราะสถานการณ๑ได๎เปล่ียนแปลงไปอยํางมาก แตํการค๎าที่มีจริยธรรมของพํอค๎าในอดีต ที่ไมํได๎หวังแตํเพียง กาไร แตํคานงึ ถงึ การชํวยเหลือ แบํงปน๓ กนั เป็นหลกั ยงั มคี ุณคาํ สาหรับปจ๓ จบุ ัน นอกน้ัน ในหลายพื้นที่ในชนบท ระบบการแลกเปล่ียนสง่ิ ของยังมอี ยูํ โดยเฉพาะในพื้นทย่ี ากจน ซึ่งชาวบ๎านไมํมีเงินสด แตํมีผลิตผลตํางๆ ระบบ การแลกเปลี่ยนไมํได๎ยึดหลักมาตราช่ังวัด หรือการตีราคาของสิ่งของ แตํแลกเปลี่ยน โดยการคานึงถึง สถานการณ๑ของผ๎ูแลกท้ังสองฝุาย คนท่ีเอาปลาหรือไกํมาขอแลกข๎าว อาจจะได๎ข๎าวเป็นถัง เพราะเจ๎าของข๎าว คานงึ ถงึ ความจาเปน็ ของครอบครวั เจา๎ ของไกํ ถา๎ หากตีราคาเป็นเงิน ข๎าวหนึ่งถังยอํ มมคี ําสงู กวาํ ไกํหนงึ่ ตวั การอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม การอยํูรํวมกันในชุมชนดั้งเดิมน้ัน สํวนใหญํจะเป็นญาติพ่ีน๎องไมํก่ีตระกูล ซ่ึงได๎อพยพย๎ายถ่ินฐานมา อยํู หรือสืบทอดบรรพบุรุษจนนับญาติกันได๎ทั้งชุมชน มีคนเฒําคนแกํที่ชาวบ๎านเคารพนับถือเป็นผ๎ูนาหน๎าที่ ของผ๎ูนา ไมํใชํการส่ัง แตํเป็นผู๎ให๎คาแนะนาปรึกษา มีความแมํนยาในกฎระเบียบประเพณีการดาเนินชีวิต ตัดสินไกลํเกลี่ย หากเกิดความขัดแย๎ง ชํวยกันแก๎ไขป๓ญหาตํางๆ ท่ีเกิดขึ้น ป๓ญหาในชุมชนก็มีไมํน๎อย ป๓ญหา การทามาหากิน ฝนแล๎ง น้าทํวม โรคระบาด โจรลักวัวควาย เป็นต๎น นอกจากน้ัน ยังมีป๓ญหาความขัดแย๎ง ภายในชุมชน หรือระหวํางชุมชน การละเมิดกฎหมาย ประเพณี สํวนใหญํจะเป็นการ \" ผิดผี\" คือ ผีของบรรพ บุรุษ ผู๎ซึ่งได๎สร๎างกฎเกณฑ๑ตํางๆ ไว๎ เชํน กรณีที่ชายหนุํมถูกเนื้อต๎องตัวหญิงสาวท่ียังไมํแตํงงาน เป็นต๎น หาก เกิดการผิดผีขึ้นมา ก็ต๎องมีพิธีกรรมขอขมา โดยมีคนเฒําคนแกํเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษ มีการวํากลําวสั่ง สอน และชดเชยการทาผิดน้ัน ตามกฎเกณฑ๑ที่วางไว๎ ชาวบ๎านอยํูอยํางพ่ึงพาอาศัยกัน ยามเจ็บไข๎ได๎ปุวย ยาม เกิดอุบัติเหตุเภทภัย ยามท่ีโจรขโมยวัวควายข๎าวของ การชํวยเหลือกันทางานที่เรียกกันวํา การลงแขก ท้ัง แรงกายแรงใจท่ีมีอยํูก็จะแบํงป๓นชํวยเหลือ เอ้ืออาทรกัน การ แลกเปล่ียนส่ิงของ อาหารการกิน และอื่นๆ จึง เกี่ยวข๎องกับวิถีของชุมชน ชาวบ๎านชํวยกันเก็บเก่ียวข๎าว สร๎างบ๎าน หรืองานอื่นท่ีต๎องการคนมากๆ เพื่อจะได๎ เสร็จโดยเร็ว ไมํมกี ารจ๎าง กรณีตวั อยาํ งจากการปลูกข๎าวของชาวบ๎าน ถ๎าปหี นึง่ ชาวนาปลูกข๎าวได๎ผลดี ผลิตผลที่ได๎จะใช๎เพ่ือการ บรโิ ภคในครอบครวั ทาบุญท่ีวดั เผ่อื แผํให๎พ่ีนอ๎ งทข่ี าดแคลน แลกของ และเก็บไว๎ เผ่ือวําปีหน๎าฝนอาจแล๎ง น้า อาจทํวม ผลิตผล อาจไมํดีในชุมชนตํางๆ จะมีผ๎ูมีความร๎ูความสามารถหลากหลาย บางคนเกํงทางการรักษา โรค บางคนทางการเพาะปลูกพืช บางคนทางการเล้ียงสัตว๑ บางคนทางด๎านดนตรีการละเลํน บางคนเกํง ทางด๎านพิธีกรรม คนเหลําน้ีตํางก็ใช๎ความสามารถ เพื่อประโยชน๑ของชุมชน โดยไมํถือเป็นอาชีพ ที่มี คาํ ตอบแทน อยํางมากก็มี \"คาํ ครู\" แตํเพยี งเลก็ น๎อย ซ่ึงปกติแล๎ว เงินจานวนน้ัน ก็ใช๎สาหรับเครื่องมือประกอบ พิธกี รรม หรอื เพอ่ื ทาบุญที่วัด มากกวาํ ท่ีหมอยา หรือบคุ คลผน๎ู ั้น จะเกบ็ ไว๎ใช๎เอง เพราะแท๎ที่จริงแล๎ว \"วิชา\" ที่ ครูถํายทอดมาให๎แกํลูกศิษย๑ จะต๎องนาไปใช๎ เพ่ือประโยชน๑แกํสังคม ไมํใชํเพ่ือผลประโยชน๑สํวนตัว การตอบ
แทนจึงไมํใชํเงินหรือสิ่งของเสมอไป แตํเป็นการชํวยเหลือเก้ือกูลกันโดยวิธีการตํางๆด๎วยวิถีชีวิตเชํนน้ี จึงมี คาถาม เพอ่ื เป็นการสอนคนรุํนหลงั วํา ถา๎ หากคนหนึ่งจับปลาชํอนตัวใหญํได๎หน่ึงตัว ทาอยํางไรจึงจะกินได๎ทั้งปี คนสมัยนี้อาจจะบอกวาํ ทาปลาเค็ม ปลาร๎า หรอื เกบ็ รกั ษาดว๎ ยวธิ กี ารตาํ งๆ แตํคาตอบที่ถูกต๎อง คือ แบํงป๓นให๎ พ่ีน๎อง เพื่อนบ๎าน เพราะเมื่อเขาได๎ปลา เขาก็จะทากับเราเชํนเดียวกัน ชีวิตทางสังคมของหมูํบ๎าน มีศูนย๑กลาง อยทูํ ่วี ดั กจิ กรรมของสวํ นรวม จะทากันท่วี ดั งานบุญประเพณีตาํ งๆ ตลอดจนการละเลนํ มหรสพ พระสงฆเ๑ ป็น ผน๎ู าทางจิตใจ เปน็ ครูที่สอนลูกหลานผูช๎ าย ซง่ึ ไปรบั ใชพ๎ ระสงฆ๑ หรือ \"บวชเรยี น\" ทัง้ นีเ้ พราะกํอนนีย้ ังไมํมี โรงเรยี น วดั จึงเป็นทง้ั โรงเรียน และหอประชมุ เพื่อกจิ กรรมตาํ งๆ ตํอเมื่อโรงเรียนมขี น้ึ และแยกออกจากวัด บทบาทของวัด และของพระสงฆ๑ จึงเปลย่ี นไป งานบุญประเพณีในชุมชนแตํกํอนมีอยํูทุกเดือน ตํอมาก็ลดลงไป หรือสองสามหมูํบ๎านรํวมกันจัด หรือ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เชํน งานเทศน๑มหาชาติ ซ่ึงเป็นงานใหญํ หมํูบ๎านเล็กๆ ไมํอาจจะจัดได๎ทุกปี งาน เหลาํ น้มี ีท้ังความเช่ือ พธิ กี รรม และความสนกุ สนาน ซ่ึงชมุ ชนแสดงออกรํวมกนั ระบบคณุ ค่า ความเช่ือในกฎเกณฑ๑ประเพณี เป็นระเบียบทางสังคมของชุมชนดั้งเดิม ความเชื่อนี้เป็นรากฐานของ ระบบคุณคําตํางๆ ความกตัญ๒ูรู๎คุณตํอพํอแมํ ปูุยําตายาย ความเมตตาเอ้ืออาทรตํอผู๎อื่น ความเคารพตํอสิ่ง ศักด์สิ ิทธิ์ในธรรมชาติรอบตัว และในสากลจกั รวาล ความเช่ือ \"ผี\" หรือสิ่งศักดิ์สิทธ์ิในธรรมชาติ เป็นที่มาของการดาเนินชีวิต ทั้งของสํวนบุคคล และของ ชุมชน โดยรวมการเคารพในผีปูุตา หรือผีปูุยํา ซึ่งเป็นผีประจาหมํูบ๎าน ทาให๎ชาวบ๎านมีความเป็นหน่ึงเดียวกัน เปน็ ลูกหลานของปูุตาคนเดียวกนั รักษาปุาที่มบี ๎านเลก็ ๆ สาหรับผี ปลูกอยูํติดหมํูบ๎าน ผีปุา ทาให๎คนตัดไม๎ด๎วย ความเคารพ ขออนญุ าตเลือกตดั ตน๎ แกํ และปลูกทดแทน ไมทํ ้ิงส่ิงสกปรกลงแมํน้า ด๎วยความเคารพในแมํคงคา กินขา๎ วดว๎ ยความเคารพ ในแมโํ พสพ คนโบราณกินขา๎ วเสร็จ จะไหวข๎ ๎าว พิธีบายศรีสูํขวัญ เป็นพิธีร้ือฟื้น กระชับ หรือสร๎างความสัมพันธ๑ระหวํางผ๎ูคน คนจะเดินทางไกล หรือ กลับจากการเดินทาง สมาชิกใหมํ ในชุมชน คนปุวย หรือกาลังฟ้ืนไข๎ คนเหลํานี้จะได๎รับพิธีสูํขวัญ เพื่อให๎เป็น สิรมิ งคล มคี วามอยูํเยน็ เป็นสขุ นอกน้นั ยงั มีพธิ ีสืบชะตาชีวติ ของบคุ คล หรือของชมุ ชน นอกจากพิธีกรรมกับคนแล๎ว ยังมีพิธีกรรมกับสัตว๑และธรรมชาติ มีพิธีสํูขวัญข๎าว สํูขวัญควาย สํูขวัญ เกวยี น เป็นการแสดงออกถงึ การขอบคุณ การขอขมา พิธีดังกลาํ วไมํได๎มีความหมายถึงวํา สิ่งเหลํานี้มีจิต มีผีใน ตัวมันเอง แตํเป็นการแสดงออก ถึงความสัมพันธ๑กับจิตและสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ อันเป็นสากลในธรรมชาติท้ังหมด ทา ให๎ผู๎คนมีความสัมพันธ๑อันดีกับทุกส่ิง คนขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ที่มาจากหมูํบ๎าน ยังซื้อดอกไม๎ แล๎วแขวนไว๎ที่ กระจกในรถ ไมํใชํเพื่อเซํนไหว๎ผีในรถแท็กซ่ี แตํเป็นการราลึกถึงสิ่งศักด์ิสิทธิ์ ใน สากลจักรวาล รวมถึงที่สิงอยํู ในรถคันน้ันผู๎คนสมัยกํอนมีความสานึกในข๎อจากัดของตนเอง รู๎วํา มนุษย๑มีความอํอนแอ และเปราะบาง หาก ไมํรกั ษาความสมั พันธอ๑ นั ดี และไมํคงความสมดุลกับธรรมชาติรอบตัวไว๎ เขาคงไมํสามารถมีชีวิตได๎อยํางเป็นสุข และยืนนาน ผ๎ูคนท่ัวไปจึงไมํมีความอวดกล๎าในความสามารถของตน ไมํท๎าทายธรรมชาติ และส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ มี ความออํ นนอ๎ มถอํ มตน และรกั ษากฎระเบยี บประเพณีอยาํ งเครํงครดั ชีวิตของชาวบ๎านในรอบหน่ึงปี จึงมีพิธีกรรมทุกเดือน เพื่อแสดงออกถึงความเช่ือ และความสัมพันธ๑ ระหวํางผ๎ูคนในสังคม ระหวํางคนกับธรรมชาติ และระหวํางคนกับส่ิงศักด์ิสิทธ์ิตํางๆ ดังกรณีงานบุญประเพณี ของชาวอีสานที่เรยี กวาํ ฮตี สิบสอง คอื เดือนอ๎าย (เดือนที่หนึ่ง) บุญเข๎ากรรม ให๎พระภิกษุเข๎าปริวาสกรรมเดือน ย่ี (เดือนที่สอง) บุญคูณลาน ให๎นาข๎าวมากองกันท่ีลาน ทาพิธีกํอนนวด เดือนสาม บุญข๎าวจ่ี ให๎ถวายข๎าวจ่ี (ข๎าวเหนียวป๓้นชุบไขํทาเกลือนาไปยํางไฟ)เดือนส่ี บุญพระเวส ให๎ฟ๓งเทศน๑มหาชาติ คือ เทศน๑เรื่องพระ
เวสสนั ดรชาดก เดอื นห๎า บญุ สรงนา้ หรอื บุญสงกรานต๑ ให๎สรงน้าพระ ผ๎เู ฒําผแู๎ กํ เดือนหก บุญบั้งไฟ บูชาพญา แถน ตามความเช่ือเดิม และบุญวิสาขบูชา ตามความเชื่อของชาวพุทธ เดือนเจ็ด บุญซาฮะ (บุญชาระ) ให๎บน บานพระภูมิเจ๎าที่ เล้ียงผีปุูตา เดือนแปด บุญเข๎าพรรษา เดือนเก๎า บุญข๎าวประดับดิน ทาบุญอุทิศสํวนกุศลให๎ ญาติพี่น๎องผ๎ูลํวงลับ เดือนสิบ บุญข๎าวสาก ทาบุญเชํนเดือนเก๎า รวมให๎ผีไมํมีญาติ (ภาคใต๎มีพิธีคล๎ายกัน คือ งานพิธีเดือนสิบ ทาบุญให๎แกํบรรพบุรุษผ๎ูลํวงลับไปแล๎ว แบํงข๎าวปลาอาหารสํวนหนึ่งให๎แกํผีไมํมีญาติ พวก เด็กๆ ชอบแยํงกันเอาของท่แี บํงให๎ผีไมมํ ีญาตหิ รือเปรต เรยี กวาํ \"การชงิ เปรต\") เดือนสบิ เอ็ด บญุ ออกพรรษา เดอื นสิบสอง บุญกฐิน จัดงานกฐนิ และลอยกระทง ภูมิป๓ญญาชาวบ๎านในสังคมป๓จจุบันภูมิป๓ญญาชาวบ๎านได๎กํอเกิด และสืบทอดกันมาในชุมชนหมูํบ๎าน เมื่อหมํูบ๎านเปล่ียนแปลงไปพร๎อมกับสังคมสมัยใหมํ ภูมิป๓ญญาชาวบ๎านก็มีการปรับตัวเชํนเดียวกัน ความรู๎ จานวนมากไดส๎ ูญหายไป เพราะไมํมกี ารปฏิบัติสบื ทอด เชนํ การรักษาพื้นบ๎านบางอยําง การใช๎ยาสมุนไพรบาง ชนิด เพราะหมอยาที่เกํงๆ ได๎เสียชีวิต โดยไมํได๎ถํายทอดให๎กับคนอื่น หรือถํายทอด แตํคนตํอมาไมํได๎ปฏิบัติ เพราะชาวบ๎านไมํนิยมเหมือนเม่ือกํอน ใช๎ยาสมัยใหมํ และไปหาหมอ ที่โรงพยาบาล หรือคลินิก งํายกวํา งาน หันตถกรรม ทอผ๎า หรือเครื่องเงิน เคร่ืองเขิน แม๎จะยังเหลืออยูํไมํน๎อย แตํก็ได๎ถูกพัฒนาไปเป็นการค๎า ไมํ สามารถรักษาคุณภาพ และฝีมือแบบด้ังเดิมไว๎ได๎ ในการทามาหากินมีการใช๎เทคโนโลยีทันสมัย ใช๎รถไถแทน ควาย รถอแี ตน๐ แทนเกวยี น การลงแขกทานา และปลูกสร๎างบ๎านเรือน ก็เกือบจะหมดไป มีการจ๎างงานกันมากขึ้น แรงงานก็หา ยากกวําแตกํ อํ น ผูค๎ นอพยพย๎ายถิ่น บา๎ งกเ็ ข๎าเมอื ง บ๎างก็ไปทางานท่ีอ่ืน ประเพณีงานบุญ ก็เหลือไมํมาก ทาได๎ กต็ อํ เม่ือ ลกู หลานทจ่ี ากบา๎ นไปทางาน กลับมาเยี่ยมบ๎านในเทศกาลสาคัญๆ เชํน ปีใหมํ สงกรานต๑ เข๎าพรรษา เป็นตน๎ สังคมสมัยใหมมํ รี ะบบการศกึ ษาในโรงเรียน มีอนามัย และโรงพยาบาล มีโรงหนัง วิทยุ โทรทัศน๑ และ เคร่ืองบันเทิงตํางๆ ทาให๎ชีวิตทางสังคมของชุมชนหมูํบ๎านเปล่ียนไป มีตารวจ มีโรงมีศาล มีเจ๎าหน๎าที่ราชการ ฝุายปกครอง ฝุายพฒั นา และอนื่ ๆ เขา๎ ไปในหมูํบา๎ น บทบาทของวัด พระสงฆ๑ และคนเฒําคนแกํเร่ิมลดน๎อยลง การทามาหากินก็เปล่ียนจากการทาเพ่ือยังชีพไปเป็นการผลิตเพ่ือการขาย ผู๎คนต๎องการเงิน เพื่อซ้ือเครื่อง บริโภคตํางๆ ทาให๎สิ่งแวดล๎อม เปลี่ยนไป ผลิตผลจากปุาก็หมด สถานการณ๑เชํนน้ีทาให๎ผู๎นาการพัฒนาชุมชน หลายคน ท่ีมีบทบาทสาคัญในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ เริ่มเห็นความสาคัญของภูมิป๓ญญา ชาวบา๎ น หนวํ ยงานทางภาครัฐ และภาคเอกชน ให๎การสนับสนุน และสํงเสริมให๎มีการอนุรักษ๑ ฟื้นฟู ประยุกต๑ และคน๎ คดิ สิ่งใหมํ ความรู๎ใหมํ เพอ่ื ประโยชนส๑ ุขของสงั คม
ธปู ธูป เป็นสิ่งที่ใช๎เป็นเครื่องสักการบูชาตั้งแตํสมัยอียิปต๑โบราณเพ่ือบูชาเทพเจ๎าหรือทาให๎เทพเจ๎าพอใจ ด๎วยของหอม ในอดตี ธปู ทาจากเนื้อไม๎หอม (Aromatic wood) หลายชนิด เชํน ไม๎จันทน๑ขาว (Sandalwood) จันทน๑เทศ (Nutmeg) กายาน (Gum Benzoin เป็นยางไม๎หอมชนิดหน่ึง) ไม๎กฤษณา (Agar wood) กันเกรา (Tembusu) หรือต๎นบง หรือโกวบ๊ัวะ (นามาผสมน้าเพ่ือให๎เนื้อผงธูปเหนียว พอท่ีจะฟ๓่นเป็นธูปได๎) บดเนื้อไม๎ ให๎เป็นผงละเอยี ด นามาเป็นวัตถุดิบในการทาธปู ธูปไทยในอดีตทผ่ี ลติ จากไม๎หอม มีลักษณะคล๎ายธูปจีนโบราณ (วัฒนธรรมและการทาธูปในไทย สืบทอดมาจากการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการค๎าในอดีต) และเนื่องจาก ตัววตั ถุดิบเปน็ ไมห๎ อม ควันธปู คอํ นข๎างละเอยี ด ไมํระคายเคอื งจมกู และตา ป๓จจุบัน เน่ืองจากภาวะเศรษฐกิจที่เปล่ียนไป ประกอบกับวัตถุดิบที่แพงขึ้น ไม๎หอมตํางๆที่นามาผลิต ธปู เริม่ มีราคาแพง ผ๎ผู ลิตสํวนใหญํ จงึ เปล่ียนมาใช๎ขี้เล่ือยไม๎ยางพาราแทน เนื่องจากมีราคาถูกกวํา และมีสีขาว นวลเหมือนไม๎จันทน๑ขาว ลักษณะเป็นผงละเอียด ข้ึนรูปได๎งําย แล๎วจึงนามาผสมน้าหอม เรียกวํา \"ธูปหอม\" เมื่อนามาจดุ จะใหค๎ วันและกลน่ิ หอม ความเชอ่ื ลกั ษณะของธูปบชู าพระ ปกตมิ ีความยาว 13 นวิ้ โดยประมาณ ก๎านธูปชุบสีแดง ตัวธูปสีขาวนวล เวลา จุดประมาณ 40 - 45 นาที นอกจากน้ียังมีธูปหอมท่ีเป็นสีประจาวัน มี 7 วัน 8 สี ตามความเช่ือของพราหม๑ คือ วนั อาทิตย๑ - สีแดง วันจนั ทร๑ - สีเหลอื ง วนั องั คาร - สชี มพู วันพุธ (กลางวนั ) - สีเขียว วนั พุธ (กลางคนื ) - สีดา (ราห)ู วนั พฤหสั บดี - สีสม๎ วันศกุ ร๑ - สีฟาู วนั เสาร๑ – สีมวํ ง
การใชง้ าน จานวนธูปทใี่ ช๎สกั การะสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ การสักการะ จานวนการจดุ ความหมาย แทนพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พระพุทธรปู 3 แทนพระรตั นตรยั และผมู๎ ีพระคณุ แทนพระรัตนตรัยและผม๎ู ีพระคุณ พระสงฆ๑ 3 พระสงฆ๑ พระเกจิอาจารย๑บรรลุ 9 ธรรม พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล๎า 9 เจ๎าอยูํหวั พระโพธิสตั วก๑ วนอิม 9 9 (องคเ๑ ทพองค๑พรหม) พระแมอํ ุมาเทวี 39 (บน) 16 (บวงสรวง) ปฤุู าษี 9 พระภมู เิ จา๎ ท่ี-เทพ 9 เทวดาท่ัวไป 5 ผี 1 กมุ ารทอง - จากวัด 9 วิญญาณลูก 1 บรรพบรุ ษุ 1 วํานมงคลกาหลง 5 พระแมนํ างกวัก 9 จานวนของการจดุ ธปู 1 ดอก - เป็นการจดุ ไหว๎เจ๎าที่เจ๎าทาง ผบี ๎านผีเรอื น วญิ ญาณภาคพนื้ 2 ดอก - เปน็ เรอื่ งท่ีเก่ียวขอ๎ งกับวญิ ญาณและการจดุ ธูปบนอาหาร 3 ดอก - เป็นการจุดธปู บชู าพระรตั นตรยั บชู า พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ๑ 4 ดอก - เป็นเรอ่ื งเกี่ยวกบั ธาตสุ ่ี ใชใ๎ นการสวดเสริมดวงชะตาราศี 5 ดอก - เปน็ การจดุ ธูปบชู าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ๑ พอํ แมแํ ละครูบาอาจารย๑ 6 ดอก - เป็นการ จุดธปู เสรมิ ดวงชะตาตามกาลงั ไฟของพระอาทติ ย๑ ของคนทีเ่ กดิ วันอาทิตย๑ 7 ดอก - เปน็ การจดุ บูชาจติ วญิ ญาณตามศาลเจ๎าพอํ เจ๎าแมํ และครูบาอาจารยท๑ เ่ี สียชวี ิตแล๎ว 8 ดอก - เป็นการเสริมดวงชะตา ตามกาลงั พระอังคาร และตามจานวนอัฎฐเคราะห๑ 9 ดอก - เปน็ การจุดธูปบชู าผมู๎ ีพระคณุ พระภูมเิ จ๎าที่ เทพ เจา๎ ปุา เจ๎าเขา รุกขเทวดา ศาลพระภูมิ ศาลเทพ พระเกตุ กาลงั 9 10 ดอก - เก่ียวข๎องกับธาตไุ ฟ ตามกาลงั ของพระเสาร๑ มีกาลงั ๑๐ เพือ่ ใช๎ในการสวดเสริมดวงชะตา
๑๑ ดอก - ใชบ๎ ชู าเทวดาชน้ั สงู ๑๒ ดอก - ในการบชู าตามกาลงั พระราหู ใช๎ในการสวดเสรมิ ดวงชะตา คนที่เกดิ วนั พธุ กลางคืน 13 ดอก - เปน็ เลขไมํเป็นมงคล จึงไมนํ ิยมจุดบชู า 14 ดอก - ใชจ๎ ุดธปู บูชารปู ป๓้นพระสงฆ๑ (เป็นการบชู าคณุ พระสงฆ๑) 15 ดอก - ใชส๎ วดบชู าดวงชะตา เกย่ี วข๎องกับธาตุ ตามกาลังของพระจนั ทร๑ 16 ดอก - เป็นการจดุ ธูปบชู าเทพชัน้ สงู บชู าเทพชัน้ ครู หรือ พธิ ีกลางแจง๎ ที่มกี ารอัญเชญิ เทวดา ท่ี สาคัญหมายถึงสวรรค๑ 16 ชน้ั 17 ดอก - เปน็ การเสริมดวงชะตา บูชาตามกาลังพระพธุ มกี าลัง 17 สวดเสริมดวงชะตาของคนเกิด วนั พุธ(กลางวนั ) 18 ดอก - ไมนํ ยิ มจุดบูชา 19 ดอก - บูชาเทวดาทั้ง 10 ทศิ บชู าตามกาลังพระพฤหสั บดี มีกาลัง 19 21 ดอก - บชู าพระคุณของพํอ การบูชาแมํพระธรณี บชู าพระศุกร๑ มีกาลงั 21 32 ดอก - ใช๎สวดชมุ นมุ เทวดาท้งั 4 ทศิ การไหว๎ 16 ชัน้ ฟาู 15 ชัน้ ดินและ 1 โลกมนษุ ย๑ 39 ดอก - การบชู าพระแมํโพสพ 56 ดอก - เปน็ เร่ืองท่เี ก่ียวขอ๎ งกบั บชู าคณุ พระพุทธเจา๎ 108 ดอก - บูชาสง่ิ สงู สุดทัว่ ท้ังโลกทกุ ชนั้ ฟูา
ขัน้ ตอนการทาธูปหอม ธปู หอมไหวพ๎ ระ มสี ํวนผสมตํางๆดังนี้ 1. ข้ีเล่ือย ราคา 300 บาท/กระสอบ 2. โกบ๊ัวแดง ราคา 500 บาท/20 กิโลกรมั (สีเหลืองอํอน) 3. จันทน๑ชะมด ราคา 500 บาท/20 กโิ ลกรมั (สเี หลือง) 4. ยาราํ ราคากิโลกรัมละ 400 บาท (สขี าว) 5. แปูง ราคา 700 บาท/20 กิโลกรมั (สขี าว) 6. จนั ทนข๑ าว ราคา 150 บาท/20 กโิ ลกรัม (สขี าว) 7. สีฝุน (ทุกส)ี สาหรับผสมสีธปู , สาหรับชุบกา๎ นธูป ราคากิโลกรัมละ 700 บาท 8. ไมไ๎ ผตํ ง สาหรบั เปน็ ก๎านธปู ส่ังซ้ือจากชาวบ๎าน ซึ่งเหลาเรยี บร๎อยแล๎วราคามัดละ 150 บาท (18 กก.) ความยาวมี ตง้ั แตเํ บอร๑ 1-6 ซึง่ เบอร๑ 1 มีความยาวทีส่ ดุ เล็กสุดคอื เบอร๑ 6 ขนาดใช๎มากที่สุดคอื เบอร๑ 3 มีความยาว 12 นวิ้ วธิ ที า แบํงสํวนผสมออกเป็น 2 สวํ น ดังนี้ สํวนท่ี 1 มี ขี้เลื่อย 3 กิโลกรัม, โกบ๊ัวแดง 1 กิโลกรัม, จันทน๑ชะมด 1 กิโลกรัม และยารํา เล็กน๎อยพอให๎มีกล่ินหอม คลุกเคล๎าสํวนผสมให๎เข๎ากัน จากนั้นใช๎ตะแกรงรํอนให๎สํวนผสมทั้งหมดเป็นผง ละเอยี ดและเข๎ากันดอี ีกครั้งหน่งึ สํวนที่ 2 มี แปูง 1 กิโลกรัม และจันทน๑ขาว 5 กิโลกรัม ทาเชํนเดียวกับสํวนแรกท้ังหมดนี้ ตอ๎ งมกี ระบะไมข๎ นาดประมาณ 4 x 4 ฟตุ 2 กระบะ สาหรบั ใสํ สวํ นผสมการพอกธปู วิธีการน้ีคํอนข๎างยากนิดหนํอย ต๎องใช๎เวลาฝึกหัดนานมาก โดยจะนาไม๎ไผํตงจานวนหนึ่งมา ชุบน้าโดยชุบให๎ลึกลงไปประมาณ 6.5 น้ิว จากน้ันนาลงไปคลุกกับสํวนผสมสํวนที่ 1 ให๎มีความหนาเล็กน๎อย นาไปผึง่ แดดใหพ๎ อหมาด ทาแบบนี้อีก 2 ครงั้ ก็เสร็จขน้ั ตอนแรก เทาํ กบั พอกธปู ทง้ั หมด 3 ครั้ง นาธูปท่ีพอกแล๎ว 3 คร้ังและตากให๎หมาดแล๎วมาชุบน้าอีก แล๎วพอกกับสํวนผสมสํวนที่ 2 ก็ เปน็ อันเสร็จเรยี บร๎อย นาไปตากแดดจัด ๆ 2 แดด นาไปชุบสที ก่ี า๎ นธปู นาสฝี นุ มาผสมกบั น้าเดอื ดและเกลืออีกเล็กนอ๎ ย ตรงน้ีใช๎สายตากะกันดูเอาเองวําจะเอาความ เข๎มแคํไหน เมอ่ื พอกธปู เสร็จแลว๎ กม็ าชุบก๎านธปู เปน็ ขัน้ ตอนสุดท๎าย สาหรบั ธปู สีนนั้ ทาเหมอื นกบั ขนั้ ตอนข๎างต๎น แตํเปล่ียนสํวนผสมสํวนที่ 2 โดยใช๎สีฝุนผสมกับ แปูงและจันทน๑ขาวเล็กน๎อย และเม่ือพอกธูปเรียบร๎อยตามข้ันตอนข๎างต๎นแล๎ว ต๎องทิ้งไว๎ในรํม 1 คืนกํอน นาออกไปตากแดดจัด ๆ 2 แดด เพ่ือให๎สีนั้นกระจายทวั่ ธูป ข้ันตอนการทาธปู หอมกนั ยุง นา ตะไคร๎หอม ซึ่งไมํใชํตะไคร๎แกงมาหั่นและบดให๎ละเอียด แล๎วตากแดดให๎แห๎ง หากผง ตะไคร๎แห๎งแล๎วยงั ไมลํ ะเอียดกต็ อ๎ งบดใหล๎ ะเอียดทีส่ ดุ นาไปผสมกบั สวํ นผสมแรกพอประมาณ เมื่อทาตามข้ันตอนเสร็จแล๎วกํอนท่ีจะบรรจุลงในถุงนั้นต๎องฉีด น้ามันตะไคร๎หอม (ราคา กิโลกรมั 700 บาท) ไปที่ธปู เพียงเล็กน๎อยกอํ นท่จี ะนาธปู ไปบรรจุลงในถงุ เตรียมขาย สาหรับราคาขายน้ัน ขายปลีกจะขายราคาขีดละ 10 บาท หากขนาด 300 กรัม ขาย 18 บาท และขนาด 600 กรัม ขาย 35 บาท (3 หํอ 100 บาท) สํวนผสมของธูปสูตรดังกลําวจะต๎องใช๎ก๎านธูป 20 กโิ ลกรมั เมอ่ื พอกเสรจ็ แล๎วจะไดธ๎ ูปหนกั 30 กโิ ลกรัม
การผลติ ธูปสมนุ ไพรไลย่ ุง วตั ถุดิบ 1. เปลือกต๎นธปู สบั เป็นชนิ้ เลก็ ๆ ตากแดดใหแ๎ ห๎ง 2 สวํ น 2. เปลือกสะเดาสบั เป็นช้นิ เล็ก ๆ ตากแดดให๎แหง๎ 1 สํวน 3. เปลือกอีเหมน็ สบั เป็นชนิ้ เล็ก ๆ ตากแดดให๎แห๎ง 1 สํวน 4. ผิวมะกรูดตากแดดให๎แห๎ง 1 สวํ น 5. หวั ขาํ สับเป็นช้ินเล็ก ๆ ตากแดดใหแ๎ ห๎ง 1 สํวน 6. ตะไครห๎ อมท้ังต๎นสบั เป็นชิ้นเลก็ ๆ ตากแดดใหแ๎ ห๎ง 1สํวน 7. น้าตะไคร๎หอมทคี่ ั้นมาจากใบสด 1 ขวด 8. กา๎ นธูปทามาจากไม๎ไผํตากแดดใหแ๎ หง๎ วธิ ีทา 1. เตรียมผงธปู โดยนาสํวนผสมข๎อ 1-6 มาบดใหเ๎ ปน็ ผงละเอยี ด ดว๎ ยเคร่อื งบดหรอื ตาด๎วยครกหินก็ได๎ แล๎วลํอนด๎วยตะแกรงละเอียดหรือผ๎าขาวบางอีกครั้งหน่ึง จากน้ันจึงนาผงธูปไปโรยบน แผํนกระเบ้ืองด๎านหน่ึง ให๎หนาพอประมาณเตรียมรอไว๎ 2. ปน้๓ ธูป ใหน๎ าก๎านธูปจมํุ ลงในนา้ ตะไครห๎ อมใหเ๎ ปยี กเทํากับท่ีเราต๎องการป้๓นดอกธูป จากน้ันให๎นาไป คลึงไปมาบนผงธูปที่โรยไว๎บนแผํนกระเบ้ืองที่เตรียมไว๎ ผงธูปจะเหนียวติดข้ึนมานาไปป้๓นเป็นดอกธูปโดยการ นาไปคลึงบนกระเบื้องด๎านที่วางจนเป็นดอกธูปที่สวยงาม หลังจากให๎นาไปตากแดดอํอน ๆ ประมาณห๎าแดด หรือจนกวําธปู จะแห๎ง ห๎ามนาไปตากแดดจัด ๆ เพราะจะทาให๎ดอกธูปแตกได๎ หลังจากน้ันจะนาไปใช๎งานหรือ จาหนํายได๎ (ทม่ี า : https://www.thaikasetsart.com/การผลติ ธปู สมุนไพรไลํยงุ ) การทาธปู หอมสมนุ ไพรสปา แบบกรวย กล่นิ ตะไคร้ สตู รและวิธกี ารทาผลติ ภัณฑส๑ ปา \"ธูปหอมสมุนไพรสปา แบบกรวย กลิ่นตะไคร๎\" มรดกทางภูมิป๓ญญา ของไทย: ธปู หอมสมุนไพรสาหรับใช๎ในแวดวงสปา จากวตั ถุดิบธรรมชาติ มีกล่ินหอม สร๎างบรรยากาศให๎สดชื่น ปลอดภัยสาหรับผ๎ูบริโภค ศาสตร๑แหํงการบาบัดด๎วยกลิ่นหอมของตะไคร๎สมุนไพรพ้ืนบ๎าน เพื่อความสงบทาง กายและจติ วญิ ญาณในมิตแิ หํงสปา
ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์สปา \"ธปู หอมสมุนไพรสปา แบบกรวย กลิน่ ตะไคร๎\" ประกอบดว๎ ย • มะกรูด 25% • สะเดา 25% • ตะไครห๎ อม 25% • กะลามะพรา๎ ว 5% • จนั ทร๑เหนียว 5% • สผี สมอาหาร 5% • นา้ มันตะไคร๎หอม 5% • นา้ 5% วธิ ีการทาผลติ ภณั ฑส๑ ปา \"ธปู หอมสมุนไพรสปา แบบกรวย กลิน่ ตะไคร\"๎ • ลา๎ งทาความสะอาดและบดสมุนไพรใหล๎ ะเอียด • รํอนด๎วยตะแกรงอีกครั้งหนึ่งเอาเฉพาะสํวนที่เป็นผงนาสํวนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล๎าให๎เข๎ากันตาม อัตราสวํ น • คํอย ๆ ใสํน้าลงในสํวนผสม แล๎วนวดจนรู๎สึกนุํมมือ ใสํสีผสมอาหาร (เลือกสีตามต๎องการ) เพื่อให๎มี สสี นั สวยงามนาํ ใช๎ • อัดสํวนผสมใสํในแมํพิมพ๑ (หรืออาจทาด๎วยเส่ือน้ามันที่ตัดพับเป็นรูปกรวย) แล๎วปาดให๎เรียบเสมอ กนั ทึ้งไว๎ให๎สํวนผสมเริ่มแข็งตัว จากน้ันคว๎านใส๎ด๎านในกรวยออก นาไปตากแดดคร้ังแรกประมาณ 6 ชัว่ โมง • นาเข๎าตู๎อบ ใช๎อุณหภมู ิ 100 องศาเซลเซยี ส อบนาน 3 ช่ัวโมง • นามาตากแดดครงั้ ที่สองอีกประมาณ 2 วัน แล๎วนาเข๎าตอ๎ู บอีกครัง้ ใช๎อณุ หภูมิ 100 องศาเซลเซียส อบนาน 2 ชว่ั โมง • ฉีดกล่ินตะไคร๎หอมกํอนบรรจุถุง หากไมํชอบกลิ่นตะไคร๎จะไมํฉีดกล่ินตะไคร๎ก็ได๎ สามารถไลํยุงได๎ เพราะมีสํวนผสมตะไครอ๎ ยแํู ลว๎ พรอ๎ มใชห๎ รอื จาหนําย (ท่ีมา : http://www.yesspathailand.com)
เทยี น ในสมัยกํอนประวัติศาสตร๑ มนุษย๑ยังไมํมีการร๎ูจักใช๎ไฟ รู๎จักเพียงแตํความมืดในเวลากลางคืน และ ความสวํางในเวลากลางวัน ตํอมาเริ่มร๎ูจักการใช๎ไม๎มาเสียดสีกันให๎ได๎ความร๎อน แล๎วเกิดเป็นเปลวไฟเกิดขึ้น และเริ่มใช๎ไฟมาหุงหาอาหาร ให๎แสงสวําง และปูองกันภัยจากสัตว๑ร๎ายตํางๆ และวิวัฒนาการก๎อได๎เร่ิม พัฒนาการอยํางตํอเน่ือง เร่ิมมีการใช๎คบเพลิง เพ่ือเป็นการให๎แสง สํองสวําง มีการประยุกต๑นามาใช๎เป็นการ ติดตํอส่ือสารในระยะไกล จะเห็นได๎จากไฟในประภาคาร ที่มีการติดตํอสื่อสารระหวํางยามฝ่๓งกับเรือ และให๎ สญั ญาณตํางๆระหวํางภเู ขาแตลํ ะลูก โดยมีรหสั ทเี่ ขา๎ ใจตามแตํจะตกลงกันในสมัยน้ัน จะเห็นไดว๎ ํามนุษย๑ได๎มีการใช๎ไฟเข๎ามาเก่ียวข๎องกับชีวิตประจาวัน และตํอมาในสมัยศตวรรษท่ี 19 ได๎ มีการนาเทียนเข๎ามาเก่ียวข๎องกับพิธีกรรมเป็นอยํางมาก เนื่องจากไฟ มีเป็นสัญลักษณ๑ของการเผาผลาญ และ ความโชติชํวงชัชวาลย๑ และมนษุ ย๑บางเผาํ ในสมยั นัน้ นับถือให๎เป็นเทพไฟ มีการบวงสรวงและประกอบพิธีกรรม ทาง ศาสนา หรอื ตามแตคํ วามเช่ือ จะเหน็ ไดจ๎ าก พธิ กี ารแตํงงาน ซง่ึ มคี วามหมายของการเริ่มต๎นแสงแหํงเปลว เทียนจะนาทางไปสํูความสวํางไสวในชีวิตคํูชาวอเมริกันนิยมนาเทียนมาประดับประดาบนโต๏ะอาหาร แสดงถึง ฐานะ ความภูมิฐาน และมีรสนิยม และเพ่ือให๎เกิดความสวํางไสว อีกทั้งแสงสวํางของเทียน สามารถสร๎าง บรรยากาศ และดูสวยงามอกี ด๎วยในปจ๓ จุบันได๎มกี ารประยุกต๑ให๎นอกจากเทียนมีความสวยงามแล๎ว ยังมีการนา กลิ่นหอม หรือนา้ มันหอมละเหยมาผสมเพื่อให๎ได๎กล่ินตามต๎องการ และนอกจากนี้ กล่ินน้ามันหอมละเหยน้ี มี คุณสมบัติพิเศษซ่ึงแตกตํางกันออกไป เชํนบางชนิดสามารถท่ีจะรักษาโรคได๎ แก๎อาการเครียด และทาให๎ รํางกายผํอนคลาย กล่ินบางชนิด สามารถไลํยุงได๎ น้ามันหอมละเหยเหลํานี้ได๎มาจากการสกัดจากพืช และ สมุนไพรทางธรรมชาติ และบางชนิดได๎มาจากการสังเคราะห๑ ซึ่งในป๓จจุบันได๎รับความนิยม ด๎วยคุณลักษณะท่ี เปน็ สง่ิ ทไี่ ดจ๎ ากธรรมชาตแิ ละชํวยรกั ษาสุภาพ ราคาไมแํ พง เหมาะทจี่ ะนาไปเป็นของขวัญ ของที่ระลึกฝากคนที่ คณุ รัก เพื่อแสดงความหวํ งใยตอํ สขุ ภาพของคนที่คณุ รัก แสงสวาํ ง นบั วาํ เปน็ หน่ึงในสิ่งทจ่ี าเปน็ มากตํอมนษุ ย๑ และแสงสวํางน้กี ็ถือกาเนิดมานานมากแล๎วนับได๎ วําแสงสวาํ งจะมใี นทุกๆที่ทมี่ มี นษุ ย๑อาศยั อยํู มนษุ ย๑ (บรรพบรุ ุษสุดฉลาด)ก็ได๎คิดหาวิธีท่ีจะให๎กาเนิดแสงสวํางท่ี นอกเหนือจากดวงอาทิตย๑ที่เป็นแหลํงพลังงานความร๎อนและพลังงานแสงท่ีใหญํท่ีสุดจนบังเกิดเทียนที่ให๎แสง สวาํ งหลักๆ ในยามค่าคืนแกํมนุษยใ๑ นอดีตแตใํ นปจ๓ จุบนั เทียนไขก็ยังคงเป็นอุปกรณ๑ที่ให๎แสงสวํางแกํมนุษย๑อยูํดี ถึงแม๎วําวิวัฒนาการจะก๎าวหน๎ามากขึ้นอยํางรวดเร็ว และมนุษย๑มีไฟฟูาใช๎แตํในยามที่ไฟฟูาดับ เทียนไขเพ่ือน ยากก็เป็นที่พึ่งท่ีคอยสํองแสงสวํางสุกใสให๎แกํมนุษย๑นอกจากเทียนไขจะให๎แสงสวํางในบ๎านในยามไมํมีแสง สวํางจากไฟฟูาแล๎วเทียนไขยังมีความสามารถที่จาเป็นมากในทางด๎านพระพุทธศาสนาเพราะจะเห็นได๎วํา มนุษย๑ชาวพทุ ธมกั จะใช๎เทยี นไขจุดกํอนไหว๎พระและมกี ารถวายเทียนพรรษาแดํวัดตํางๆในวันเข๎าพรรษาจะเห็น ได๎เดํนชัดเลยทีเดียววํา เทียนมีความสาคัญมากแตํวิวัฒนาการที่เปล่ียนแปลงไปทาให๎เทียนมีการสร๎างสรรค๑ ลูกเลํนตํางๆลงไปในเทียน หนึ่งในน้ันก็มีวิธีการใสํน้าหอมให๎เทียนเกิดกลิ่นท่ีหอมบางๆเวลาที่ถูกไฟจุดท่ีไส๎ เทียนสขี าวนวล
วธิ กี าร ทาเทียน สว่ น 1 เตรยี มพร๎อมสาหรับการละลายขี้ผึ้ง 1. เลือกชนิดของขี้ผ้ึงท่ีคุณต๎องการจะใช๎ทาเทียน. มีข้ีผ้ึงให๎เลือกหลายชนิดแตกตํางกันไป ข้ีผึ้ง พาราฟนิ 1 ปอนด๑ เมอ่ื ละลายแล๎วจะได๎ขผี้ ้ึงเหลว 20 ออนซ๑ ข้ีผงึ้ ถ่ัวเหลือง 1 ปอนด๑ จะได๎ข้ีผ้ึงเหลว 18 ออนซ๑ ขผ้ี ้งึ 1 ปอนด๑ จะละลายได๎ขีผ้ ้งึ เหลวประมาณ 16 ออนซ๑ พาราฟิน เป็นขี้ผึ้งใช๎ทาเทียนแตํดั้งเดิมและยังคงข้ีผ้ึง ท่ีนิยมมากที่สุด ซ่ึงดีสาหรับมือใหมํเพราะละลายเร็วและราคาถูก แตํงสีและกล่ินได๎งําย แตํก็ควรระวังวํา สารเคมีท่ีถูกปลํอยออกมาเม่ือขี้ผึ้งน้ีละลายอาจทาให๎บางคนเกิดการระคายเคือง ไขถ่ัวเหลืองก็เป็นที่นิยมมาก ขึ้นเรื่อยๆ เพราะงํายตํอการใช๎, ทามาจากถ่ัวเหลืองและทาความสะอาดงําย ไขถั่วเหลืองยังเป็นมิตรกับ สงิ่ แวดลอ๎ มและเปน็ การหมุนเวียนทรพั ยากร อีกท้งั ไขถว่ั เหลอื งยังเผาไหม๎ช๎ากวําขี้ผ้ึงชนิดอื่นด๎วยขี้ผ้ึง เป็นวัสดุ จากธรรมชาติและมคี ณุ สมบัตใิ นการฟอกอากาศ แตขํ ผ้ี ง้ึ จะทาให๎มีสีและกลิ่นได๎ยาก น้ามันหอมระเหยสามารถ นามาใสใํ นขผ้ี ึง้ ได๎ แตํอยาํ ลมื วาํ ขผ้ี ึง้ ก็มีกล่นิ หอมของตัวเองนอกจากนี้คุณยังสามารถใชเ๎ ทียนเกํา เทียนที่หักหรือ งอ การใช๎เทียนเกําเปน็ วธิ ที ี่ดที ่ีจะรีไซเคลิ ขี้ผึ้ง ละลายเทียนเกําเหลาํ น้ันเหมือนกบั ละลายข้ผี ้งึ ชนดิ อ่นื ๆ 2. คลุมพื้นท่ีทางานของคุณกํอนเริ่ม. นอกจากวําคุณมีพื้นที่ท่ีเป้ือนขี้ผ้ึงได๎โดยไมํต๎องกังวล คุณควรใช๎ หนังสอื พมิ พ๑ กระดาษไข ผ๎าขนหนูหรอื ผ๎าขี้ร้วิ ปพู น้ื ทีท่ ี่คณุ จะทางาน เตรยี มน้าสบูํอนุํ ๆ เผอื่ มีการหกเลอะเทอะ 3. ตัดหรอื หน่ั ข้ผี ้งึ ใหเ๎ ป็นชิ้น. ขผ้ี ้งึ ชนิ้ เลก็ ๆ ละลายดกี วาํ ชน้ิ ใหญํ การใช๎ขี้ผงึ้ ช้นิ เล็กจะทาให๎คุณมั่นใจได๎ วําข้ีผึ้งละลายเทํากัน 4. เติมน้าให๎อยํูในระดับครึ่งของหมอ๎ ขนาดกลางหรือขนาดใหญ.ํ เหลือที่วาํ งไว๎ให๎พอสาหรับภาชนะที่มี ขนาดเล็กกวํา คุณจะใช๎ภาชนะขนาดเลก็ ละลายด๎วยวธิ ี Double Boiler สว่ น 2 ละลายขผ้ี ้ึง 1. วางขผ้ี ึ้งทหี่ ั่นแล๎วลงในภาชนะทนความรอ๎ นขนาดเล็ก. แล๎ววางภาชนะเล็กลงในหม๎อขนาดใหญํ ทา ใหเ๎ กิดหมอ๎ ต๎มซ๎อนหรอื Double Boiler หมายเหตุ: คุณไมํสามารถวางข้ีผึ้งลงบนความร๎อนโดยตรง เพราะมัน อาจจะไหม๎หรือระเหย ให๎เปิดเตาความร๎อนสูงเพ่ือให๎น้าเดือด น้าเดือดจะคํอยๆ ละลายขี้ผึ้งอยําลืมวําการทา ความสะอาดข้ีผ้ึงเป็นเร่ืองยาก คุณอาจอยากซ้ือหม๎อทนความร๎อนราคาถูกที่ออกแบบมาสาหรับการทาเทียน โดยเฉพาะ 2. ใช๎เครอื่ งวดั อุณหภูมเิ พอ่ื จับตาดอู ณุ หภมู ิของขผี้ ้งึ . คณุ สามารถซ้อื เครอื่ งวดั อุณหภูมิลูกอมหรือเทียน ทีร่ า๎ นเครื่องครัวหรืองร๎านขายของสาหรับงานประดิษฐ๑ หากคุณไมํได๎มีเครื่องวัดอุณหภูมิลูกอม คุณสามารถใช๎ เคร่อื งวัดอณุ หภูมิเนอื้ แคํจาไว๎วําข้ผี ึ้งทาความสะอาดยาก - พาราฟนิ ควรจะละลายจนมันมีอุณหภูมิอยรูํ ะหวาํ ง 122 - 140 ° F (50 - 60 ° C).[5] - ไขถว่ั เหลอื งควรจะละลายจนมันมีอุณหภูมิอยูรํ ะหวําง 170 - 180 องศา (76.6 - 82.2 ° C).[6] - ข้ีผึ้งควรจะละลายจนมนั มีอุณหภูมปิ ระมาณ 145 องศา (62.7 ° C) คุณสามารถปลํอยให๎อณุ หภูมิสงู กวํานี้เลก็ น๎อย แตํอยาํ เกนิ 175 องศา (79.4 ° C)[7] - เทยี นเกําควรจะละลายที่อุณหภมู ปิ ระมาณ 185 องศา (85 ° C) ใชค๎ มี คีบไส๎เทยี นเดิมออก
3. ใสํกล่ินลงในขี้ผึ้งเหลว. กล่ินท่ีใช๎ก็แล๎วแตํคุณ กลิ่นหอมอยํางกลิ่นน้ามันหอมระเหยสามารถหาซื้อ ได๎ที่ร๎านขายของทางานประดิษฐ๑แถวบ๎านคุณ ควรใช๎ตามวิธีใช๎ข๎างขวดมากกวํากะปริมาณที่ใสํจากกล่ินท่ี ออกมาเมือ่ ใสไํ ปแลว๎ คนใหเ๎ ข๎ากนั 4. ใสํสี. สีผสมอาหารปกติจะใช๎ไมํได๎กับเทียนเพราะมีสํวนประกอบเป็นน้า ซ้ือสีน้ามันตามร๎านขาย ของงานประดิษฐ๑ คุณอาจใช๎สีสาหรับทาเทียนโดยเฉพาะ ดูปริมาณที่ควรใช๎จากข๎างขวดเพ่ือให๎ได๎สีที่ต๎องการ ใสํสีทีละหยดจนกวาํ คณุ จะไดส๎ ีท่ีต๎องการ จากนั้นคนใหเ๎ ขา๎ กนั ส่วน 3 ขนึ้ รปู 1. ใสํไส๎เทียนไว๎ตรงกลางแมํพิมพ๑เทียน. คุณสามารถใช๎กระป๋อง, ขวดโหลหรือถ๎วยชาเกํา จริงๆ แล๎ว คุณสามารถใช๎ภาชนะอะไรก็ได๎ที่คุณแนํใจวําทนความร๎อน กระป๋องโลหะจะปลอดภัยที่สุด ตราบใดท่ีคุณร๎ูวํา ภาชนะของคุณสามารถทนความร๎อนได๎จริงๆ คุณสามารถใช๎อะไรก็ได๎ท่ีต๎องการ วางภาชนะไว๎บนพ้ืนราบบน พ้ืนที่ท่ีเตรียมไว๎แล๎ว (เชํน บนแผํนคุกก้ีหรือเขียง.) ไส๎เทียนที่ควรจะอยํูตรงกลางของแมํพิมพ๑เทียนและเหลือ โผลํออกมาจากเทียน 2 น้ิว ผูกไส๎เทียนที่โผลํออกมาจากขี้ผ้ึงตรงกลางแทํงปากกาหรือแทํงดินสอ วางปากกา ตรงดา๎ นบนของแมํพิมพ๑ทีค่ ุณจะเทข้ผี ึง้ เหลวลงไป ดูให๎แนํใจวําไสเ๎ ทยี นอยํตู รงกลางของแมํพิมพ๑ 2. เทขผี้ ึ้งเหลวทีล่ ะลายลงในแมํพิมพ๑. เทช๎าๆ เพ่ือไมํให๎กระจาย ระวังอยําชนไส๎เทียนตกจากแมํพิมพ๑ ตัดสนิ ใจเองวําอยากได๎เทียนสูงขนาดไหน อยําลมื วาํ ขี้ผึ้งจะหดตัวเลก็ น๎อยเมอื่ เยน็ 3. ท้ิงข้ผี ึ้งใหเ๎ ยน็ . ถ๎าเปน็ ไปได๎ทางที่ดีท่ีสุดคือควรท้ิงไว๎ให๎เย็น 24 ชั่วโมงเต็ม ย่ิงคุณทิ้งไว๎นานเทียนย่ิง ออกมาดี - พาราฟนิ เทียนโดยท่วั ไปใช๎เวลา 24 ชั่วโมงในการเยน็ ตวั - ไขถั่วเหลืองโดยทั่วไปจะใชเ๎ วลา 4-5ชวั่ โมงในการเย็นตวั - เทียนข้ีผึง้ โดยทว่ั ไปใช๎เวลา 6 ชัว่ โมงในการเย็นตัว แตถํ ๎าคุณรอได๎ ทง้ิ ไว๎ขา๎ มคืนดที ่ีสดุ - ถา๎ ทาเทียนดว๎ ยเทยี นเกาํ ต๎องทง้ิ ไว๎สองสามช่ัวโมง 4. แกะเทยี นออกจากแมํพิมพ๑และตัดไสเ๎ ทียนให๎มีความยาว 1/4 นิ้วจากเทยี น. นี่จะชํวยใหไ๎ ฟติดดี ไส๎ เทียนยาวกวาํ นจี้ ะทาให๎เกิดเปลวไฟทม่ี ีขนาดใหญํเกนิ ไป วิธีการทาเทยี นหอมปรับอากาศ-กนั ยุง วสั ดุ/อปุ กรณ๑ เตาแกส๏ ปคิ นคิ เทยี นแผํน สียอ๎ มเทียน หวั นา้ หอมกลนิ่ ตาํ งๆ ไสเ๎ ทียน ถาด มีด กาต๎มน้า ความจุ 0.5 กิโลกรัม น้ามันตะไครก๎ ันยงุ เบา๎ พิมพแ๑ บบเทียน/เบ๎าพิมพ๑ขนม ริบบิ้น กรรไกร ภาชนะบรรจุเทียน เชนํ โหลแก๎ว แกว๎ วิธีการทา เทียนหอมปรับอากาศ ห่ันเทียนแผํนเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใสํลงในกาต๎มน้าต้ังไฟปานกลาง เคี่ยว จนเทียนหลอมละลายเป็นน้าเทียนใส ๆ ปริมาณ 1 กา หรือ 0.5 กิโลกรัม ใสํสีย๎อมเทียนลงไปเพ่ือให๎มีสีเข๎ม หรือจางตามตอ๎ งการคนใหล๎ ะลาย ใสหํ วั น้าหอม 3 - 4 หยด/นา้ เทียน 0.5 กิโลกรัม จากนั้นนาน้าเทียนมาเทใสํ ภาชนะบรรจุเทียน ใสํ ไส๎เทียน รอให๎เย็นจนแข็งตัว บรรจุถุงพลาสติก ติดริบบ้ินตกแตํงให๎สวยงามก็จะได๎ “เทยี นหอมปรบั อากาศ” หากต๎องการให๎มีหลายสี ก็นาน้าเทียนเทใสํภาชนะบรรจุเทียนเพียง 1/3 ของภาชนะ ปลํอยใหแ๎ ข็งตวั แล๎วนาน้าเทยี นสอี ืน่ ๆ มาหยอดซ๎อนกันเป็นชั้น ๆ วิธีใช๎เบ๎าพิมพ๑แบบเทียน นาเทียนแผํนมาละลายในกาต๎มน้า ใสํสีย๎อมเทียนตามต๎องการ หยดหัว น้าหอม แล๎วเทลงในถาดสี่เหลี่ยมให๎เป็นแผํนบาง ๆ หนาประมาณ 1 - 2 มิลลิเมตรหรือตามต๎องการ ท้ิงไว๎ให๎
เรมิ่ แข็งตัว ใช๎เบ๎าพิมพ๑แบบเทียนหรือเบ๎าพิมพ๑ขนมรูปตําง ๆ เชํน ดาว ดอกไม๎ กดลงไปดึงแบบเทียนข้ึนมาจะ ได๎เทียนชิ้นเล็ก ๆ นาไปตกแตํงในภาชนะท่ีเตรียมไว๎ เชํน โหลแก๎วหรือนาเทียนที่เทใสํถาดปลํอยไว๎ให๎พอ แข็งตัว แล๎วเททับเป็นชั้น ๆ โดยใช๎สีตํางกัน จากนั้นนามาม๎วนในขณะที่กาลังนิ่มให๎เป็นทํอน ๆ ตัดเป็นชิ้น บาง ๆ กจ็ ะได๎เทยี นเป็นชิ้นกลมมีลายซอ๎ นกันอยํภู ายใน ทาเทยี นหอมจากไขถั่วเหลือง วสั ดุและอุปกรณ๑สาหรบั ทาเทียนหอม 1. ไขถัว่ เหลอื ง (Soy wax) ปริมาณ 8 ออนซ๑ 2. นา้ มันหอมระเหยกลิน่ ทชี่ อบ 1/2-3/4 ออนซ๑ 3. ไสเ๎ ทียน 4. ไม๎ไอศกรีมทีเ่ จาะรูตรงกลาง หรอื วสั ดุอนื่ ซงึ่ ใช๎ยดึ ไส๎เทียนให๎อยูํก่ึงกลางขณะหลอํ 5. ขวดโหลหรอื ภาชนะสาหรับใสเํ ทยี น 6. เครื่องชั่ง 7. เทอรโ๑ มมิเตอร๑ 8. ปนื กาว 9. หมอ๎ ต๎มขนาดเลก็ 10. บีกเกอร๑แบบทนความร๎อน วิธีทา หยอดกาวที่ปลายไส๎เทียนด๎านหน่ึงให๎ติดกับก๎นขวดโหล สอดไส๎เทียนให๎ทะลุไม๎ไอศกรีมและใช๎เทป กาวตดิ ไว๎ จดั วางไสเ๎ ทียนให๎อยํูตรงกงึ่ กลางภาชนะคะํ นาไขถั่วเหลืองใสํในบีกเกอร๑เพ่ือเตรียมต๎ม เราจะไมํวางบีกเกอร๑ลงไปต๎มในหม๎อโดยตรงนะคะ ถึงแม๎ จะเป็นบกี เกอรป๑ ระเภทท่ีทนความรอ๎ น แตกํ ารท่บี กี เกอร๑สมั ผัสกน๎ หม๎อโดยตรงอาจทาให๎บีกเกอร๑เสียหายได๎คํะ ดงั นั้น เราจะใชฝ๎ าขวดโหลเหลก็ วางเปน็ ฐานสาหรบั รองบกี เกอร๑ตามภาพคํะ
วางบีกเกอรบ๑ นฝาขวดโหล กะปรมิ าณนา้ ในหมอ๎ ใหส๎ ูงระดับกึง่ กลางของบีกเกอร๑ จากน้ันต๎มน้าท่ีความ ร๎อนปานกลางคํอนข๎างสูง พอไขถั่วเหลืองเริ่มละลายเป็นน้าสีเหลืองอํอนแล๎ว ใช๎เทอร๑โมมิเตอร๑วัดให๎อุณหภูมิ คงท่ที ี่ 85 องศาเซลเซยี ส ต๎มตอํ อีกสกั พักคํะ
จากน้ัน เอาบีกเกอร๑ลงมาพักไว๎ ท้ิงให๎ไขถั่วเหลืองเย็นลง นาเทอร๑โมมิเตอร๑วัดให๎อุณหภูมิอยํูที่ 60 องศาเซลเซียสแล๎วจึงใสํน้ามันหอมระเหยลงไป คนให๎เข๎ากันตํอเน่ืองอยํางน๎อย 1 นาที TIP ไมํควรใสํน้ามัน หอมระเหยตอนทีไ่ ขถั่วเหลืองยังร๎อนเกนิ ไป ไมํเชนํ น้นั กล่นิ จะระเหยออกไปหมดเสยี กอํ นคํะ เมอ่ื ใสํกลิ่นที่ชอบเรยี บรอ๎ ย กร็ อให๎ไขถัว่ เหลอื งเย็นลงจนเร่ิมมีฝูาบางๆ ด๎านบน จากนั้นก็ให๎เทลงไปใน ขวดโหลอยํางช๎าๆ และตํอเนื่อง ถ๎ารีบเทตอนท่ีไขถ่ัวเหลืองยังร๎อนอยํู เวลาเทียนแข็งตัว หน๎าเทียนจะไมํ สม่าเสมอ เพราะเทยี นจะหดตวั ลงทาให๎เกิดหลมุ ตรงกลางคํะ
หลังจากน้ันก็ปลํอยให๎ไขถ่ัวเหลืองแข็งตัวที่อุณหภูมิห๎อง อดใจรอสักนิดนะคะ ระหวํางน้ีไมํควรคน เทยี นหรือเอยี งภาชนะไปมาคะํ เม่ือไขถ่ัวเหลืองแข็งตัวแล๎วก็จะกลายเป็นสีขาวขํุนดังภาพ จากน้ันคํอยๆ แกะไส๎เทียนออกจากไม๎ ไอศกรมี และตัดสํวนเกนิ ออกให๎ดสู วยงาม ตัวเทียนเสร็จเรียบร๎อยแลว๎ คํะ (ทมี่ า : http://www.blisby.com/blog/how-to-make-soy-candle)
ทาธปู เทียน ลอยกระทง อุปกรณ์ 1. กระดาษยํน 2. กาว 3. กรรไกร 4. ดา๎ ย
5. ธปู หอมแบบสั้น 6. หนังยางเส๎นเลก็ 7. ไม๎แหลม ขั้นตอนในการทาธปู ดอกไม้ มดี งั ต่อไปน้ี 1. นาธปู 3 ดอก มามัดหนังยางท่ปี ลาย
2. นาไม๎แหลมใสํไปในหนังยางที่มัดธปู ไว๎ 3. ตัดกระดาษยํนขนาด 4 x 2.5 นว้ิ 4. นากระดาษทีต่ ดั เอาไว๎ มาพันกับธูปท่ีมดั เอาไว๎ประมาณ 1 - 2 ทบแล๎วกค็ อํ ยๆ เร่ิมจบั กลบี โดยใช๎ นิ้วโปูงกับนวิ้ ชก้ี ดที่ปลายกระดาษ พบั ไปเรอ่ื ยๆ จนเรมิ่ เป็นดอกไม๎ 5. พอเร่ิมเปน็ ดอกไม๎ ก็ตัดสํวนทเ่ี หลอื อก
6. หลังจากนัน้ นาดา๎ ยมาพันปลายกระดาษให๎แนนํ เพื่อไมใํ ห๎มนั หลุดออก 7. ตํอมาจะเปน็ การพนั ก๎านของดอกไม๎ โดยตัดกระดาษความยาว 1 น้วิ
8. ตัดปลายกระดาษแบบถี่ๆ 9. นากาวมาทาตรงท่พี ันด๎ายเอาไว๎ 10. นากระดาษที่เราตัดในข๎อ 8 มนั พนั ไปเร่ือยๆ จนเกอื บสุดปลายไม๎ แล๎วนากาวมาแตะท่ไี ม๎ เปน็ อันเสร็จเรียบร๎อย (ทม่ี า : http://ann5296.blogspot.com/p/blog-page_22.html)
ภาคผนวก - ประวัติผ้จู ัดทาภูมิปัญญาศกึ ษา - ภาพประกอบ
ประวตั ิผู้ถา่ ยทอดภมู ิปัญญา ช่อื : นางสวุ รรณ เอยี่ มสอาด เกิด : 1 มนี าคม 2497 อายุ 65 ปี ภมู ิลาเนา : จงั หวัดลพบรุ ี อยู่ปัจจุบัน : บา๎ นเลขที่ 237 หมูํ 1 ตาบลวงั น้าเยน็ อาเภอวงั น้าเย็น จงั หวดั สระแก๎ว สถานภาพ : สมรสนายบญุ นะ เอยี่ มสะอาดมี บุตรด๎วยกนั จานวน 5 คน ดงั นี้ 1. นายสรุ ินทร๑ เอ่ียมสอาด 2. นายสุวิทย๑ เอ่ียมสอาด 3. นายศภุ กฤษ เอยี่ มสอาด 4. นางวราภรณ๑ เอ่ียมสะอาด 5. นางสาวจฑุ ารัตน๑ เอย่ี มสอาด การศกึ ษา : ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ปัจจบุ นั ประกอบอาชพี : คา๎ ขาย ประวัติผู้เรยี บเรยี งภูมิปัญญาศึกษา ชื่อ : นางสาวสภุ าภร เพชรรกั ษา เกดิ : 5 พฤษภาคม 2528 อายุ 34 ปี ภมู ิลาเนา : 16 หมํู 6 ตาบลวงั สมบรณู ๑ อาเภอวงั สมบรณู ๑ จังหวัดสระแก๎ว 27250 ทอี่ ยู่ปจั จุบัน : 9 หมูํ 3 ตาบลวังทอง อาเภอวังสมบรูณ๑ จงั หวดั สระแก๎ว 27250 สถานภาพ : โสด กบั นายทิวา ปาราชิตัง มบี ตุ รด๎วยกนั 2 คน ดงั น้ี 1. เด็กหญงิ กญั ญาภคั ปาราชิตัง 2. เด็กชายกนั ตพงศ๑ ปาราชิตัง การศกึ ษา : ปริญญาตรี ศลิ ปะศาสตรบ๑ ัณฑติ สาขาภาษาไทย มาหาวิทยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณ๑ใน- พระบรมราธูปถัมภ๑ ปัจจบุ ันประกอบอาชพี : ครโู รงเรยี นเทศบาลมิตรสัมพนั ธว๑ ทิ ยา สังกัดเทศบาลเมืองวังนา้ เยน็
ภาพประกอบการจัดทาภูมิปัญญาศึกษา เรือ่ งการทาธปู ปักกระทง
ข้นั ตอนการและวสั ดุการทาธูปปกั กระทง
ข้นั ตอนการและวสั ดุการทาธูปปกั กระทง
ข้นั ตอนการและวสั ดุการทาธูปปกั กระทง
อา้ งองิ “ธปู ,”th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%98%E0%B8%B9%E0%B8%9B[Online].Available: - https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%98%E0%B8%B9%E0%B8%9B.[Accessed: Jan.17,2019]. “millionaire-academy,”millionaire-academy.com/ธปู หอมสมนุ ไพรไลยํ งุ / [Online].Available: https://millionaire-academy.com.[Accessed: Jan.17,2019]. “yesspathailand.com,”yesspathailand.com/สูตรผลิตภณั ฑส๑ ปา/ธปู หอมสมนุ ไพร-แบบกรวย.- Html. / [Online].Available: http://www.yesspathailand.com. [Accessed: Jan.17,2019]. “ไทยเกษตรศาสตร๑,” thaikasetsart.com/การผลติ ธปู สมนุ ไพรไลยํ ุ/.[Online].Available: http://www.thaikasetsart.com.[Accessed: Jan.17,2019].
Search
Read the Text Version
- 1 - 39
Pages: