Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2กล้วยฉาบ นางปราณี ฝางแก้ว

2กล้วยฉาบ นางปราณี ฝางแก้ว

Published by อดิศร นวลวัง, 2019-05-09 08:01:09

Description: 2กล้วยฉาบ นางปราณี ฝางแก้ว

Search

Read the Text Version

ภูมิปัญญาศกึ ษา เรื่อง การทากล้วยฉาบงาดา โดย 1. นางสาวปราณี ฝางแกว้ (ผูถ้ ่ายทอดภมู ิปัญญา) 2. นางกนกพร ออ่ นสงค์ (ผเู้ รยี บเรยี งภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ ) เอกสารภมู ิปัญญาศกึ ษาน้ีเปน็ สว่ นหนึง่ ของการศกึ ษา ตามหลกั สตู รโรงเรียนผสู้ งู อายเุ ทศบาลเมืองวังน้าเยน็ ประจาปกี ารศึกษา 2561 โรงเรยี นผสู้ งู อายเุ ทศบาลเมืองวังนา้ เยน็ สงั กัดเทศบาลเมืองวงั นา้ เยน็ จงั หวดั สระแกว้

คานา ภมู ปิ ๓ญญาชาวบา๎ นของคนไทยเรานนั้ มีอยํูจานวนมากล๎วนแตํมีคุณคําและมีประโยชน๑เป็นการบอกเลํา ถึงวัฒนธรรมไทยเป็นอยํางดีแตํป๓จจุบันภูมิป๓ญญาเหลํานั้นกาลังสูญหายไปพร๎อมๆกับชีวิตของคนซึ่งดับสูญไป ตามกาลเวลา เทศบาลวังน้าเย็นได๎เล็งเห็นคุณคําและความสาคัญในเร่ืองดังกลําวจึงจัดตั้งโรงเรียนผู๎สูงอายุขึ้น เพอื่ ให๎ผูส๎ งู อายุ เพื่อให๎ผู๎สูงอายุในเขตตาบลวังน้าเย็นได๎มารวมตัวกัน เพ่ือแลกเปล่ียนเรียนร๎ูซึ่งกันและกันกํอน จบการศึกษานักเรียนผ๎ูสูงอายุทุกคนจะต๎องจัดทาภูมิป๓ญญาศึกษาคนละ 1 เร่ือง เพื่อเก็บไว๎ให๎อนุชนรํุนหลังได๎ ศกึ ษาเป็นการสืบทอดมิให๎ภูมปิ ๓ญญาสญู ไป ภูมิป๓ญญาฉบับน้ีสาเร็จได๎โดยได๎รับความกรุณาและการสนับสนุนจากทํานทั้งหลายเหลํานี้ได๎แกํ นางกนกพร อํอนสงค๑ซึ่งเป็นครูพี่เลี้ยงให๎คาปรึกษาแนะนาในการจัดทาภูมิป๓ญญาได๎ให๎ความรู๎และ ประสบการณ๑ตํางๆในชํวงเวลาที่เรียนอยูํเป็นเวลา 2 ปี คณะกรรมการบริหารโรงเรียนผู๎สูงอายุเจ๎าหน๎าท่ีกอง สาธารณสุขและสิ่งแวดล๎อมเทศบาลเมืองวังน้าเย็นทุกทํานท่ีให๎การดูแลและชํวยเหลือตลอดมาและที่สาคัญ ไดแ๎ กํทาํ นวนั ชัย นารีรกั ษ๑ นายกเทศมนตรีเมืองวังน้าเย็นและนายคะนองพล เพ็ชรรื่นปลัดเทศบาลเมืองวังน้า เยน็ ซึ่งเปน็ ผก๎ู ํอตั้งโรงเรยี นผ๎ูสงู อายแุ ละให๎การสนบั สนุนดูแลนักเรียนผส๎ู งู อายุเปน็ อยํางดี ขอขอบคุณทุกทาํ นไว๎ ณ โอกาสนี้ ปราณี ฝางแกว๎ กนกพร อํอนสงค๑ ผูจ๎ ดั ทา

ทีม่ าและความสาคัญของภมู ิปญั ญาศึกษา จากพระราชดารสั ของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ท่วี าํ “ประชาชนนน่ั แหละ ที่เขามีความรู๎เขาทางานมาหลายชั่วอายุคนเขาทากันอยํางไรเขามีความเฉลียวฉลาดเขาร๎ูวําตรงไหนควรทา กสิกรรมเขาร๎ูวําตรงไหนควรเก็บรักษาไว๎แตํที่เสียไปเพราะพวกไมํรู๎เร่ืองไมํได๎ทามานานแล๎วทาให๎ลืมวําชีวิตมัน เป็นไปโดยการกระทาท่ีถกู ต๎องหรือไมํ” พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชท่ี สะท๎อนถึงพระปรีชาสามารถในการรบั ร๎ูและความเขา๎ ใจหยั่งลกึ ท่ีทรงเห็นคุณคําของภูมิป๓ญญาไทยอยํางแท๎จริง พระองคท๑ รงตระหนกั เปน็ อยํางยิ่งวําภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นเป็นส่ิงท่ีชาวบ๎านมีอยํูแล๎วใช๎ประโยชน๑เพื่อความอยูํรอด กันมายาวนานความสาคัญของภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นซ่ึงความร๎ูที่สั่งสมจากการปฏิบัติจริงในห๎องทดลองทางสังคม เป็นความรู๎ด้ังเดิมท่ีถูกค๎นพบ มีการทดลองใช๎แก๎ไขดัดแปลงจนเป็นองค๑ความร๎ูท่ีสามารถแก๎ป๓ญหาในการ ดาเนนิ ชีวติ และถํายทอดสืบตํอกนั มาภูมปิ ญ๓ ญาท๎องถิ่นเป็นขุมทรัพย๑ทางป๓ญญาท่ีคนไทยทุกคนควรร๎ูควรศึกษา ปรับปรุงและพัฒนาให๎สามารถนาภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นเหลํานั้นมาแก๎ไขป๓ญหาให๎สอดคล๎องกับบริบททางสังคม วัฒนธรรมของกลุํมชุมชนน้ัน ๆอยํางแท๎จริงการพัฒนาภูมิป๓ญญาศึกษานับเป็นสิ่งสาคัญตํอบทบาทของชุมชน ท๎องถิ่นท่ีได๎พยายามสร๎างสรรค๑เป็นน้าพักน้าแรงรํวมกันของผ๎ูสูงอายุและคนในชุมชนจนกลายเป็นเอกลักษณ๑ และวฒั นธรรมประจาถิ่นทเี่ หมาะตอํ การดาเนินชวี ิตหรอื ภมู ปิ ๓ญญาของคนในท๎องถ่ินนั้นๆ แตํภูมิป๓ญญาท๎องถิ่น สํวนใหญํเป็นความร๎ูหรือเป็นส่ิงท่ีได๎มาจากประสบการณ๑หรือเป็นความเช่ือสืบตํอกันมาแตํยังขาดองค๑ความรู๎ หรอื ขาดหลักฐานยืนยันหนกั แนนํ การสรา๎ งการยอมรับทเี่ กิดจากฐานภูมิป๓ญญาท๎องถ่นิ จึงเป็นไปไดย๎ าก ดงั นั้น เพ่อื ใหเ๎ กิดการสํงเสรมิ พัฒนาภูมิป๓ญญาทเี่ ป็นเอกลักษณ๑ของท๎องถ่ินกระต๎ุนเกิดความภาคภูมิใจ ในภูมิป๓ญญาของบุคคลในท๎องถ่ิน ภูมิป๓ญญาไทยและวัฒนธรรมไทยเกิดการถํายทอดภูมิป๓ญญาสูํคนรุํนหลัง โรงเรียนผ๎ูสูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็นได๎ดาเนินการจัดทาหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศักยภาพ ผ๎ูสูงอายุในท๎องถิ่นที่เน๎นให๎ผู๎สูงอายุได๎พัฒนาตนเองให๎มีความพร๎อมสูํสังค มผ๎ูสูงอายุที่มีคุณภาพในอนาคต รวมทั้งสืบทอดภูมิป๓ญญาในการดารงชีวิตของนักเรียนผ๎ูสูงอายุท่ีได๎ส่ังสมมา เกิดจากการสืบทอดภูมิป๓ญญา ของบรรพบุรุษ โดยนักเรียนผู๎สูงอายุจะเป็นผู๎ถํายทอดองค๑ความร๎ู และมีครูพ่ีเลี้ยงซ่ึงเป็นคณะครูของ โรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็นเป็นผู๎เรียบเรียงองค๑ความร๎ูไปสํูการจัดทาภูมิป๓ญญาศึกษาให๎ปรากฏ ออกมาเป็นรปู เลมํ ภมู ิปญ๓ ญาศึกษา ใช๎เปน็ สวํ นหน่งึ ในการจบหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียนผู๎สูงอายุ ประจาปี การศึกษา 2561พร๎อมทั้งเผยแพรํและจัดเก็บคลังภูมิป๓ญญาไว๎ในห๎องสมุดของโรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพันธ๑- วิทยาเพอ่ื ให๎ภูมปิ ๓ญญาทอ๎ งถ่นิ เหลําน้ีเกดิ การถาํ ยทอดสูํคนรํนุ หลังสบื ตอํ ไป จากความรํวมมือในการพัฒนาบุคลากรในหนํวยงานและภาคีเครือขํายท่ีมีสํวนรํวมในการผสมผสาน องคค๑ วามรเ๎ู พอื่ ยกระดบั ความรูข๎ องภมู ิป๓ญญานั้นๆเพือ่ นาไปสํกู ารประยุกตใ๑ ช๎และผสมผสานเทคโนโลยีใหมํๆให๎ สอดรับกับวิถีชีวิตของชุมชนได๎อยํางมีประสิทธิภาพการนาภูมิป๓ญญาไทยกลับสูํการศึกษาสามารถสํงเสริมให๎มี การถาํ ยทอดภูมปิ ๓ญญาในโรงเรยี นเทศบาลมติ รสัมพันธ๑วิทยาและโรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็น เกิด การมีสํวนรํวมในกระบวนการถํายทอด เชื่อมโยงความร๎ูให๎กับนักเรียนและบุคคลท่ัวไปในท๎องถ่ิน โดยการนา บคุ ลากรที่มีความรู๎ความสามารถในท๎องถ่ินเข๎ามาเป็นวิทยากรให๎ความร๎ูกับนักเรียนในโอกาสตํางๆ หรือการที่ โรงเรียนนาองคค๑ วามรู๎ในท๎องถ่นิ เขา๎ มาสอนสอดแทรกในกระบวนการจดั การเรยี นร๎ู ส่งิ เหลําน้ีทาให๎การพัฒนา ภูมิป๓ญญาท๎องถ่ิน นาไปสูํการสืบทอดภูมิป๓ญญาศึกษาเกิดความสาเร็จอยํางเป็นรูปธรรมนักเรียนผู๎สูงอายุเกิด ความภาคภมู ิใจในภูมปิ ญ๓ ญาของตนทีไ่ ด๎ถาํ ยทอดสูคํ นรุํนหลังให๎คงอยูํในท๎องถิ่น เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิต ประจาทอ๎ งถ่ิน เป็นวฒั นธรรมการดาเนินชีวิตคแูํ ผํนดินไทยตราบนานเทํานาน

นิยามคาศพั ทใ์ นการจัดทาภูมิปัญญาศกึ ษา ภูมิปัญญาศึกษา หมายถึง การนาภูมิป๓ญญาการดาเนินชีวิตในเรื่องท่ีผู๎สูงอายุเช่ียวชาญที่สุด ของ ผส๎ู งู อายุที่เข๎าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผ๎ูสูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็น มาศึกษาและสืบทอดภูมิป๓ญญา ในรูปแบบตาํ ง ๆ มีการสืบทอดภูมิป๓ญญาโดยการปฏิบัติและการเรียบเรียงเป็นลายลักษณ๑อักษรตามรูปแบบท่ี โรงเรียนผู๎สูงอายุกาหนดข้ึนใช๎เป็นสํวนหนึ่งในการจบหลักสูตรการศึกษาเพื่อให๎ภูมิป๓ญญาของผู๎สูงอายุได๎รับ การถํายทอดสูคํ นรุนํ หลังและคงอยูํในท๎องถน่ิ ตํอไป ซึง่ แบํงภมู ิป๓ญญาศกึ ษาออกเปน็ 3 ประเภท ได๎แกํ 1. ภูมปิ ญ๓ ญาศกึ ษาท่ผี ู๎สูงอายเุ ปน็ ผู๎คิดค๎นภูมิปญ๓ ญาในการดาเนนิ ชวี ติ ในเร่ืองทเ่ี ชย่ี วชาญทส่ี ุด ดว๎ ยตนเอง 2. ภูมิป๓ญญาศึกษาที่ผ๎ูสูงอายุเป็นผู๎นาภูมิป๓ญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมาประยุกต๑ใช๎ในการดาเนิน ชวี ิตจนเกิดความเช่ียวชาญ 3. ภูมิป๓ญญาศึกษาท่ีผ๎ูสูงอายุเป็นผ๎ูนาภูมิป๓ญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมาใช๎ในการดาเนินชีวิตโดย ไมมํ กี ารเปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ จนเกดิ ความเชย่ี วชาญ ผูถ้ ่ายทอดภูมิปัญญา หมายถึง ผ๎ูสูงอายุท่ีเข๎าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผ๎ูสูงอายุเทศบาลเมือง วังน้าเย็นเป็นผู๎ถํายทอดภูมิป๓ญญาการดาเนินชีวิตในเรื่องที่ตนเองเชี่ยวชาญมากท่ีสุด นามาถํายทอดให๎แกํผ๎ู เรียบเรียงภมู ิป๓ญญาท๎องถ่นิ ไดจ๎ ดั ทาข๎อมูลเปน็ รปู เลํมภูมิปญ๓ ญาศึกษา ผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง ผู๎ท่ีนาภูมิป๓ญญาในการดาเนินชีวิตในเรื่องที่ผ๎ูสูงอายุ เช่ียวชาญที่สุดมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ๑อักษร ศึกษาหาข๎อมูลเพิ่มเติมจากแหลํงข๎อมูลตําง ๆ จัดทาเป็น เอกสารรปู เลํม ใช๎ชือ่ วํา “ภมู ิปญ๓ ญาศกึ ษา” ตามรูปแบบท่ีโรงเรยี นผู๎สงู อายเุ ทศบาลเมืองวังน้าเย็นกาหนด ครูท่ีปรึกษา หมายถึง ผ๎ูที่ปฏิบัติหน๎าท่ีเป็นครูพ่ีเลี้ยง เป็นผู๎เรียบเรียงภูมิป๓ญญาท๎องถ่ินปฏิบัติ หน๎าทเี่ ปน็ ผป๎ู ระเมนิ ผล เปน็ ผ๎ูรับรองภูมิป๓ญญาศึกษา รวมท้ังเป็นผู๎นาภูมิป๓ญญาศึกษาเข๎ามาสอนในโรงเรียน โดยบรู ณาการการจัดการเรียนรู๎ตามหลกั สูตรทอ๎ งถนิ่ ทีโ่ รงเรยี นจัดทาขึ้น

ภูมปิ ัญญาศึกษาเช่อื มโยงสู่สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชนฯ 1. ลกั ษณะของภูมิปัญญาไทย ลักษณะของภูมปิ ญ๓ ญาไทย มีดังน้ี 1. ภมู ิปญ๓ ญาไทยมีลักษณะเป็นทงั้ ความร๎ู ทักษะ ความเชอื่ และพฤติกรรม 2. ภูมปิ ญ๓ ญาไทยแสดงถึงความสมั พันธ๑ระหวํางคนกับคน คนกับธรรมชาติ ส่งิ แวดลอ๎ ม และคนกับสง่ิ เหนือธรรมชาติ 3. ภมู ปิ ญ๓ ญาไทยเปน็ องคร๑ วมหรอื กิจกรรมทุกอยํางในวิถชี ีวิตของคน 4. ภูมปิ ญ๓ ญาไทยเป็นเรอ่ื งของการแกป๎ ๓ญหา การจัดการ การปรบั ตวั และการเรยี นร๎ู เพอ่ื ความอยํรู อดของบุคคล ชุมชน และสงั คม 5. ภูมปิ ญ๓ ญาไทยเปน็ พนื้ ฐานสาคญั ในการมองชวี ิต เป็นพืน้ ฐานความรู๎ในเรื่องตาํ งๆ 6. ภูมิป๓ญญาไทยมีลกั ษณะเฉพาะ หรือมเี อกลักษณใ๑ นตัวเอง 7. ภมู ปิ ๓ญญาไทยมกี ารเปล่ียนแปลงเพ่ือการปรับสมดุลในพัฒนาการทางสังคม 2. คณุ สมบตั ิของภูมปิ ญั ญาไทย ผ๎ทู รงภูมิปญ๓ ญาไทยเปน็ ผม๎ู ีคุณสมบตั ติ ามที่กาหนดไว๎ อยํางนอ๎ ยดังตํอไปนี้ 1. เป็นคนดีมีคุณธรรม มีความร๎ูความสามารถในวิชาชีพตํางๆ มีผลงานด๎านการพัฒนา ท๎องถิ่นของตน และได๎รับการยอมรับจากบุคคลท่ัวไปอยํางกว๎างขวาง ท้ังยังเป็นผ๎ูที่ใช๎หลักธรรมคาสอนทาง ศาสนาของตนเป็นเคร่ืองยดึ เหนยี่ วในการดารงวถิ ีชีวิตโดยตลอด 2. เป็นผ๎ูคงแกํเรียนและหม่ันศึกษาหาความรู๎อยูํเสมอ ผู๎ทรงภูมิป๓ญญาจะเป็นผ๎ูที่หม่ันศึกษา แสวงหาความรู๎เพ่ิมเติมอยูํเสมอไมํหยุดน่ิง เรียนร๎ูทั้งในระบบและนอกระบบ เป็นผู๎ลงมือทา โดยทดลองทา ตามที่เรียนมา อีกท้ังลองผิด ลองถูก หรือสอบถามจากผู๎ร๎ูอ่ืนๆ จนประสบความสาเร็จ เป็นผู๎เช่ียวชาญ ซ่ึงโดด เดํนเป็นเอกลักษณ๑ในแตํละด๎านอยํางชัดเจน เป็นที่ยอมรับการเปล่ียนแปลงความร๎ูใหมํๆ ท่ีเหมาะสม นามา ปรับปรุงรับใชช๎ มุ ชน และสงั คมอยเํู สมอ 3. เป็นผูน๎ าของท๎องถ่ิน ผ๎ูทรงภูมิป๓ญญาสํวนใหญํจะเป็นผู๎ท่ีสังคม ในแตํละท๎องถ่ินยอมรับให๎ เป็นผ๎ูนา ทั้งผ๎ูนาที่ได๎รับการแตํงตั้งจากทางราชการ และผ๎ูนาตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถเป็นผู๎นาของท๎องถ่ิน และชวํ ยเหลือผอ๎ู ่ืนไดเ๎ ปน็ อยํางดี 4. เป็นผ๎ูท่ีสนใจป๓ญหาของท๎องถิ่น ผ๎ูทรงภูมิป๓ญญาล๎วนเป็นผู๎ท่ีสนใจป๓ญหาของท๎องถ่ิน เอา ใจใสํ ศึกษาป๓ญหา หาทางแก๎ไข และชํวยเหลือสมาชิกในชุมชนของตนและชุมชนใกล๎เคียงอยํางไมํยํอท๎อ จน ประสบความสาเรจ็ เปน็ ทย่ี อมรับของสมาชิกและบคุ คลทวั่ ไป 5. เป็นผ๎ขู ยันหม่นั เพยี ร ผ๎ูทรงภมู ิปญ๓ ญาเป็นผขู๎ ยันหมนั่ เพียร ลงมือทางานและผลิตผลงานอยํู เสมอ ปรบั ปรุงและพัฒนาผลงานให๎มคี ุณภาพมากข้ึนอกี ทั้งมํุงทางานของตนอยาํ งตํอเน่ือง 6. เป็นนักปกครองและประสานประโยชน๑ของท๎องถิ่น ผ๎ูทรงภูมิป๓ญญา นอกจากเป็นผู๎ที่ ประพฤติตนเป็นคนดี จนเป็นที่ยอมรับนับถือจากบุคคลทั่วไปแล๎ว ผลงานท่ีทํานทายังถือวํามีคุณคํา จึงเป็นผู๎ที่ มที ัง้ \"ครองตน ครองคน และครองงาน\" เปน็ ผ๎ูประสานประโยชนใ๑ ห๎บุคคลเกิดความรัก ความเข๎าใจ ความเห็น ใจ และมคี วามสามัคคีกนั ซง่ึ จะทาใหท๎ อ๎ งถ่นิ หรอื สังคม มีความเจรญิ มคี ุณภาพชีวิตสูงขนึ้ กวาํ เดมิ 7. มคี วามสามารถในการถํายทอดความรู๎เปน็ เลิศ เมื่อผ๎ูทรงภูมิปญ๓ ญามคี วามรคู๎ วามสามารถ และประสบการณเ๑ ป็นเลิศ มผี ลงานท่เี ปน็ ประโยชน๑ตอํ ผู๎อื่นและบุคคลทว่ั ไป ทง้ั ชาวบา๎ น นกั วิชาการ นกั เรยี น นสิ ิต/นักศกึ ษา โดยอาจเข๎าไปศกึ ษาหาความรู๎ หรือเชญิ ทาํ นเหลาํ นั้นไป เปน็ ผู๎ถํายทอดความร๎ูได๎

8. เป็นผู๎มีคูํครองหรือบริวารดี ผ๎ูทรงภูมิป๓ญญา ถ๎าเป็นคฤหัสถ๑ จะพบวํา ล๎วนมีคูํครองที่ดีที่ คอยสนับสนุน ชํวยเหลือ ให๎กาลังใจ ให๎ความรํวมมือในงานท่ีทํานทา ชํวยให๎ผลิตผลงานที่มีคุณคํา ถ๎าเป็น นักบวช ไมวํ าํ จะเปน็ ศาสนาใด ตอ๎ งมีบริวารท่ดี ี จงึ จะสามารถผลิตผลงานที่มคี ุณคําทางศาสนาได๎ 9. เป็นผ๎ูมีปญ๓ ญารอบร๎แู ละเช่ยี วชาญจนไดร๎ บั การยกยอํ งวําเป็นปราชญ๑ ผู๎ทรงภูมิป๓ญญา ต๎อง เป็นผ๎ูมีป๓ญญารอบร๎ูและเช่ียวชาญ รวมทั้งสร๎างสรรค๑ผลงานพิเศษใหมํๆ ท่ีเป็นประโยชน๑ตํอสังคมและ มนษุ ยชาตอิ ยํางตอํ เนือ่ งอยเํู สมอ 3. การจดั แบง่ สาขาภูมิปัญญาไทย จากการศกึ ษาพบวํา มกี ารกาหนดสาขาภูมปิ ญ๓ ญาไทยไว๎อยํางหลากหลาย ขนึ้ อยูํกบั วัตถุประสงค๑ และ หลักเกณฑ๑ตํางๆ ท่ีหนํวยงาน องค๑กร และนักวิชาการแตํละทํานนามากาหนด ในภาพรวมภูมิป๓ญญาไทย สามารถแบงํ ไดเ๎ ปน็ 10 สาขาดงั น้ี 1. สาขาเกษตรกรรมหมายถงึ ความสามารถในการผสมผสานองค๑ความร๎ู ทักษะ และเทคนิค ดา๎ นการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพ้ืนฐานคุณคําด้ังเดิม ซ่ึงคนสามารถพ่ึงพาตนเองในภาวการณ๑ ตํางๆ ได๎ เชํน การทา การเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไรํนาสวนผสม และสวน ผสมผสาน การแก๎ป๓ญหาการเกษตรด๎านการตลาด การแก๎ป๓ญหาด๎านการผลิต การแก๎ไขป๓ญหาโรคและแมลง และการร๎จู กั ปรับใช๎เทคโนโลยีทเ่ี หมาะสมกบั การเกษตร เป็นต๎น 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรู๎จักประยุกต๑ใช๎เทคโนโลยีสมัยใหมํใน การแปรรูปผลติ ผล เพอื่ ชะลอการนาเข๎าตลาด เพือ่ แกป๎ ๓ญหาด๎านการบริโภคอยํางปลอดภัย ประหยัด และเป็น ธรรม อันเป็นกระบวนการท่ีทาให๎ชุมชนท๎องถ่ินสามารถพ่ึงพาตนเองทางเศรษฐกิจได๎ ตลอดท้ังการผลิต และ การจาหนําย ผลติ ผลทางหัตถกรรม เชนํ การรวมกลํุมของกลํมุ โรงงานยางพารา กลมํุ โรงสี กลํุมหัตถกรรม เป็น ตน๎ 3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการปูองกัน และรักษาสุขภาพ ของคนในชุมชน โดยเน๎นให๎ชุมชนสามารถพ่ึงพาตนเอง ทางด๎านสุขภาพ และอนามัยได๎ เชํน การนวดแผน โบราณ การดูแลและรักษาสุขภาพแบบพื้นบา๎ น การดูแลและรกั ษาสขุ ภาพแผนโบราณไทย เป็นต๎น 4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมหมายถึง ความสามารถเกี่ยวกับ การจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล๎อม ทัง้ การอนุรักษ๑ การพัฒนา และการใช๎ประโยชน๑จากคุณคําของ ทรพั ยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดลอ๎ ม อยาํ งสมดุล และยง่ั ยืน เชํน การทาแนวปะการังเทียม การอนุรักษ๑ปุาชาย เลน การจดั การปุาต๎นน้า และปาุ ชุมชน เปน็ ต๎น 5. สาขากองทุนและธรุ กิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการด๎านการสะสม และบริการกองทุน และธุรกิจในชุมชน ทั้งที่เป็นเงินตรา และโภคทรัพย๑ เพ่ือสํงเสริมชีวิตความเป็นอยํูของ สมาชิกในชุมชน เชํน การจัดการเรื่องกองทุนของชุมชน ในรูปของสหกรณ๑ออมทรัพย๑ และธนาคารหมูํบ๎าน เป็นต๎น 6. สาขาสวัสดิการหมายถึง ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิต ของคน ให๎เกิดความม่ันคงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เชํน การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาล ของชมุ ชน การจดั ระบบสวสั ดิการบริการในชุมชน การจดั ระบบสงิ่ แวดลอ๎ มในชุมชน เป็นต๎น 7. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด๎านศิลปะสาขาตํางๆ เชํน จติ รกรรม ประตมิ ากรรม วรรณกรรม ทศั นศลิ ป์ คตี ศลิ ป์ ศิลปะมวยไทย เป็นตน๎

8. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการดาเนินงานของ องค๑กรชุมชนตํางๆ ให๎สามารถพัฒนา และบริหารองค๑กรของตนเองได๎ ตามบทบาท และหน๎าท่ีขององค๑การ เชํน การจดั การองคก๑ รของกลุมํ แมบํ ๎าน กลํมุ ออมทรัพย๑ กลํมุ ประมงพน้ื บ๎าน เป็นตน๎ 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถผลิตผลงานเกีย่ วกบั ด๎านภาษา ทั้งภาษาถิ่น ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช๎ภาษา ตลอดท้ังด๎านวรรณกรรมทุกประเภท เชํน การจัดทา สารานุกรมภาษาถ่นิ การปริวรรต หนงั สือโบราณ การฟน้ื ฟูการเรยี นการสอนภาษาถ่นิ ของท๎องถ่นิ ตํางๆ เป็นต๎น 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต๑ และปรับใช๎หลักธรรมคา สอนทางศาสนา ความเช่ือ และประเพณีด้ังเดิมที่มีคุณคําให๎เหมาะสมตํอการประพฤติปฏิบัติ ให๎บังเกิดผลดีตํอ บุคคล และส่ิงแวดล๎อม เชํน การถํายทอดหลักธรรมทางศาสนา ลักษณะความสัมพันธ๑ของภูมิป๓ญญาไทยภูมิ- ป๓ญญาไทยสามารถสะท๎อนออกมาใน 3 ลักษณะที่สมั พันธใ๑ กล๎ชิดกนั คอื 10.1 ความสัมพันธ๑อยํางใกล๎ชิดกันระหวํางคนกับโลก สิ่งแวดล๎อม สัตว๑ พืช และ ธรรมชาติ 10.2 ความสัมพันธข๑ องคนกับคนอน่ื ๆ ท่ีอยํรู วํ มกนั ในสังคม หรือในชมุ ชน 10.3 ความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับสิ่งศักด์ิสิทธิ์สิ่งเหนือธรรมชาติ ตลอดท้ังสิ่งท่ีไมํ สามารถสัมผัสได๎ท้ังหลาย ทั้ง 3 ลักษณะนี้ คือ สามมิติของเร่ืองเดียวกัน หมายถึง ชีวิตชุมชน สะท๎อนออก มาถึงภูมิป๓ญญาในการดาเนินชีวติ อยาํ งมีเอกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหล่ียม ภูมิป๓ญญา จึงเป็นรากฐาน ในการดาเนนิ ชีวิตของคนไทย ซ่งึ สามารถแสดงให๎เหน็ ได๎อยํางชดั เจนโดยแผนภาพ ดงั นี้ ลักษณะภูมิป๓ญญาที่เกิดจากความสัมพันธ๑ ระหวํางคนกับธรรมชาติสิ่งแวดล๎อม จะแสดงออกมา ในลักษณะภูมิป๓ญญาในการดาเนินวิถีชีวิตข้ันพ้ืนฐาน ด๎านป๓จจัยส่ี ซึ่งประกอบด๎วย อาหาร เครื่องนุํงหํมท่ี อยํูอาศัย และยารักษาโรค ตลอดทั้งการประกอบ อาชีพตาํ งๆ เป็นตน๎ ภูมิป๓ญญาท่ีเกิดจากความสัมพันธ๑ ระหวํางคนกับคนอ่ืนในสังคม จะแสดงออกมาใน ลักษณะ จารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ และ นันทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอดท้ังการ สอ่ื สารตาํ งๆ เป็นต๎น ภมู ปิ ๓ญญาทีเ่ กดิ จากความสัมพนั ธ๑ระหวํางคน กบั สิ่งศักด์ิสทิ ธิ์ สง่ิ เหนือธรรมชาติ จะแสดงออกมาในลักษณะของสง่ิ ศกั ดิส์ ิทธิ์ ศาสนา ความเช่อื ตํางๆ เป็นตน๎ 4. คณุ ค่าและความสาคัญของภูมิปญั ญาไทย คุณคําของภูมิป๓ญญาไทย ได๎แกํ ประโยชน๑ และความสาคัญของภูมิป๓ญญา ท่ีบรรพบุรุษไทย ได๎ สร๎างสรรค๑ และสืบทอดมาอยํางตํอเนื่อง จากอดีตสูํป๓จจุบัน ทาให๎คนในชาติเกิดความรัก และความภาคภูมิใจ ทจ่ี ะรวํ มแรงรํวมใจสบื สานตอํ ไปในอนาคต เชํน โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาป๓ตยกรรม ประเพณีไทย การมี นา้ ใจ ศักยภาพในการประสานผลประโยชน๑ เป็นตน๎ ภมู ปิ ญ๓ ญาไทยจึงมคี ุณคาํ และความสาคญั ดงั น้ี 1. ภมู ิปญ๓ ญาไทยชวํ ยสรา๎ งชาติให๎เป็นปกึ แผนํ พระมหากษัตริย๑ไทยได๎ใช๎ภูมิป๓ญญาในการสร๎างชาติ สร๎างความเป็นปึกแผํนให๎แกํ ประเทศชาติมาโดยตลอด ตั้งแตํสมัยพํอขุนรามคาแหงมหาราช พระองค๑ทรงปกครองประชาชน ด๎วยพระ

เมตตา แบบพํอปกครองลูก ผู๎ใดประสบความเดือดร๎อน ก็สามารถตีระฆัง แสดงความเดือดร๎อน เพื่อขอรับ พระราชทานความชํวยเหลือ ทาให๎ประชาชนมีความจงรักภักดีตํอพระองค๑ ตํอประเทศชาติรํวมกันสร๎าง บา๎ นเรือนจนเจรญิ รํงุ เรอื งเปน็ ปึกแผํน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค๑ทรงใช๎ภูมิป๓ญญากระทายุทธหัตถี จนชนะข๎าศึกศัตรู และทรงกอบกู๎เอกราชของชาติไทยคืนมาได๎ พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลป๓จจุบัน พระองคท๑ รงใชภ๎ ูมิป๓ญญาสร๎างคุณประโยชน๑แกํประเทศชาติ และเหลําพสกนิกรมากมายเหลือคณานับ ทรงใช๎ พระปรชี าสามารถ แก๎ไขวิกฤตการณ๑ทางการเมือง ภายในประเทศ จนรอดพ๎นภัยพิบัติหลายครั้ง พระองค๑ทรง มีพระปรีชาสามารถหลายด๎าน แม๎แตํด๎านการเกษตร พระองค๑ได๎พระราชทานทฤษฎีใหมํให๎แกํพสกนิกร ทั้ง ด๎านการเกษตรแบบสมดุลและย่ังยืน ฟ้ืนฟูสภาพแวดล๎อม นาความสงบรํมเย็นของประชาชนให๎กลับคืนมา แนวพระราชดาริ \"ทฤษฎีใหมํ\" แบงํ ออกเป็น 2 ขัน้ โดยเร่ิมจาก ขั้นตอนแรก ให๎เกษตรกรรายยํอย \"มีพออยํูพอ กิน\" เป็นข้ันพ้ืนฐาน โดยการพัฒนาแหลํงน้า ในไรํนา ซึ่งเกษตรกรจาเป็นที่จะต๎องได๎รับความชํวยเหลือจาก หนํวยราชการ มูลนิธิ และหนํวยงานเอกชน รํวมใจกันพัฒนาสังคมไทย ในข้ันที่สอง เกษตรกรต๎องมีความ เข๎าใจ ในการจดั การในไรํนาของตน และมีการรวมกลุํมในรปู สหกรณ๑ เพ่ือสร๎างประสิทธิภาพทางการผลิต และ การตลาด การลดรายจํายด๎านความเป็นอยูํ โดยทรงตระหนักถึงบทบาทขององค๑กรเอกชน เมื่อกลํุมเกษตร วิวัฒนม๑ าขั้นที่ 2 แลว๎ ก็จะมศี กั ยภาพ ในการพัฒนาไปสํูข้ันท่ีสาม ซึ่งจะมีอานาจในการตํอรองผลประโยชน๑กับ สถาบันการเงินคือ ธนาคาร และองค๑กรที่เป็นเจ๎าของแหลํงพลังงาน ซึ่งเป็นป๓จจัยหน่ึงในการผลิต โดยมีการ แปรรปู ผลิตผล เชนํ โรงสี เพ่อื เพมิ่ มูลคาํ ผลติ ผล และขณะเดยี วกันมีการจัดตั้งร๎านค๎าสหกรณ๑ เพื่อลดคําใช๎จําย ในชีวิตประจาวัน อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคม จะเห็นได๎วํา มิได๎ทรงทอดท้ิงหลักของ ความสามัคคีในสังคม และการจัดตั้งสหกรณ๑ ซึ่งทรงสนับสนุนให๎กลํุมเกษตรกรสร๎างอานาจตํอรองในระบบ เศรษฐกจิ จงึ จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงจัดได๎วํา เป็นสังคมเกษตรท่ีพัฒนาแล๎ว สมดังพระราชประสงค๑ที่ทรงอุทิศ พระวรกาย และพระสตปิ ญ๓ ญา ในการพฒั นาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแหํงการครองราชย๑ 2. สร๎างความภาคภมู ิใจ และศักดศิ์ รี เกียรตภิ มู แิ กํคนไทย คนไทยในอดีตท่ีมีความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร๑มีมาก เป็นที่ยอมรับของนานา อารยประเทศ เชํน นายขนมต๎มเป็นนักมวยไทย ท่ีมีฝีมือเกํงในการใช๎อวัยวะทุกสํวน ทุกทําของแมํไม๎มวยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพมําได๎ถึงเก๎าคนสิบคนในคราวเดียวกัน แม๎ในป๓จจุบัน มวยไทยก็ยังถือวํา เป็น ศิลปะช้ันเย่ียม เป็นที่ นิยมฝึกและแขํงขันในหมํูคนไทยและชาวตําง ประเทศ ป๓จจุบันมีคํายมวยไทยท่ัวโลกไมํ ตา่ กวํา 30,000 แหํง ชาวตํางประเทศทไี่ ด๎ฝกึ มวยไทย จะรสู๎ ึกยินดแี ละภาคภูมิใจ ในการท่ีจะใช๎กติกา ของมวย ไทย เชํน การไหว๎ครูมวยไทย การออก คาสั่งในการชกเป็นภาษาไทยทุกคา เชํน คาวํา \"ชก\" \"นับหน่ึงถึงสิบ\" เป็นต๎น ถือเป็นมรดก ภูมิป๓ญญาไทย นอกจากน้ี ภูมิป๓ญญาไทยที่โดด เดํนยังมีอีกมากมาย เชํน มรดกภูมิ ป๓ญญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยท่ีมีอักษรไทยเป็นของ ตนเองมาตั้งแตํสมัยกรุงสุโขทัย และวิวัฒนาการ มาจนถึงป๓จจุบัน วรรณกรรมไทยถือวํา เป็นวรรณกรรมที่มีความไพเราะ ได๎อรรถรสครบทุกด๎าน วรรณกรรม หลายเรอ่ื งไดร๎ ับการแปลเป็นภาษาตํางประเทศหลายภาษา ด๎านอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารที่ปรุงงําย พืชท่ี ใช๎ประกอบอาหารสํวนใหญํเป็นพืชสมุนไพร ท่ีหาได๎งํายในท๎องถ่ิน และราคาถูก มี คุณคําทางโภชนาการ และ ยังปูองกันโรคได๎หลายโรค เพราะสํวนประกอบสํวนใหญํเป็นพืชสมุนไพร เชํน ตะไคร๎ ขิง ขํา กระชาย ใบ มะกรดู ใบโหระพา ใบกะเพรา เป็นต๎น 3. สามารถปรบั ประยุกต๑หลักธรรมคาสอนทางศาสนาใชก๎ บั วถิ ชี ีวติ ได๎อยํางเหมาะสม คนไทยสํวนใหญนํ บั ถือศาสนาพุทธ โดยนาหลักธรรมคาสอนของศาสนา มาปรับใช๎ในวิถีชีวิต ได๎อยํางเหมาะสม ทาให๎คนไทยเป็นผู๎อํอนน๎อมถํอมตน เอื้อเฟ้ือเผ่ือแผํ ประนีประนอม รักสงบ ใจเย็น มีความ

อดทน ใหอ๎ ภัยแกํผ๎ูสานกึ ผดิ ดารงวิถีชีวิตอยํางเรียบงําย ปกติสุข ทาให๎คนในชุมชนพึ่งพากันได๎ แม๎จะอดอยาก เพราะ แห๎งแล๎ง แตํไมํมีใครอดตาย เพราะพ่ึงพาอาศัย กัน แบํงป๓นกันแบบ \"พริกบ๎านเหนือเกลือบ๎านใต๎\" เป็น ต๎น ทง้ั หมดนสี้ บื เนือ่ งมาจากหลกั ธรรมคาสอนของพระพทุ ธศาสนา เป็นการใช๎ภูมิป๓ญญา ในการนาเอาหลักขอ พระพุทธศาสนามา ประยกุ ตใ๑ ช๎กบั ชวี ติ ประจาวนั และดาเนินกุศโลบาย ด๎านตํางประเทศ จนทาให๎ชาวพุทธทั่ว โลกยกยอํ ง ให๎ประเทศไทยเป็นผ๎ูนาทางพุทธศาสนา และเป็น ที่ตั้งสานักงานใหญํองค๑การพุทธศาสนิกสัมพันธ๑ แหํงโลก (พสล.) อยํูเยื้องๆ กับอุทยานเบญจสิริ กรุงเทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรี) ดารงตาแหนํงประธาน พสล. ตอํ จาก ม.จ.หญงิ พนู พิศมยั ดศิ กุล 4. สรา๎ งความสมดุลระหวาํ งคนในสังคม และธรรมชาติได๎อยาํ งยัง่ ยนื ภูมิป๓ญญาไทยมีความเดํนชัดในเร่ืองของการยอมรับนับถือ และให๎ความสาคัญแกํคน สังคม และธรรมชาตอิ ยํางย่งิ มีเครือ่ งชที้ ีแ่ สดงให๎เห็นได๎อยํางชัดเจนมากมาย เชํน ประเพณีไทย 12 เดือน ตลอดท้ังปี ล๎วนเคารพคุณคําของธรรมชาติ ได๎แกํ ประเพณีสงกรานต๑ ประเพณีลอยกระทง เป็นต๎น ประเพณีสงกรานต๑ เป็นประเพณีท่ีทาใน ฤดูร๎อนซึ่งมีอากาศร๎อน ทาให๎ต๎องการความเย็น จึงมีการรดน้าดาหัว ทาความสะอาด บ๎านเรือน และธรรมชาติสิ่งแวดล๎อม มีการแหํนางสงกรานต๑ การทานายฝนวําจะตกมากหรือน๎อยในแตํละปี สํวนประเพณีลอยกระทง คุณคําอยูํที่การบูชา ระลึกถึงบุญคุณของน้า ที่หลํอเล้ียงชีวิตของ คน พืช และสัตว๑ ให๎ได๎ใช๎ท้ังบริโภคและอุปโภค ในวันลอยกระทง คนจึงทาความสะอาดแมํน้า ลาธาร บูชาแมํน้าจากตัวอยําง ขา๎ งตน๎ ลว๎ นเปน็ ความสมั พันธ๑ระหวํางคนกับสงั คมและธรรมชาติ ทงั้ สนิ้ ในการรักษาปาุ ไม๎ต๎นนา้ ลาธาร ได๎ประยกุ ต๑ให๎มีประเพณีการบวชปุา ให๎คนเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ธรรมชาติ และสภาพแวดล๎อม ยังความอุดมสมบูรณ๑แกํต๎นน้า ลาธาร ให๎ฟ้ืนสภาพกลับคืนมาได๎มาก อาชีพ การเกษตรเป็นอาชพี หลกั ของคนไทย ท่คี านึงถึงความสมดลุ ทาแตํน๎อยพออยํพู อกนิ แบบ \"เฮ็ดอยํูเฮ็ดกิน\" ของ พอํ ทองดี นนั ทะ เม่ือเหลอื กิน กแ็ จกญาติพีน่ ๎อง เพื่อนบา๎ น บา๎ นใกล๎เรือนเคียง นอกจากนี้ ยังนาไปแลกเปลี่ยน กับสง่ิ ของอยาํ งอืน่ ที่ตนไมมํ ี เมือ่ เหลือใช๎จริงๆ จงึ จะนาไปขาย อาจกลําวได๎วํา เป็นการเกษตรแบบ \"กิน-แจก- แลก-ขาย\" ทาให๎คนในสังคมได๎ชํวยเหลือเกื้อกูล แบํงป๓นกัน เคารพรัก นับถือ เป็นญาติกัน ทั้งหมูํบ๎าน จึงอยํู รวํ มกนั อยํางสงบสุข มีความสัมพันธ๑กันอยาํ งแนบแนนํ ธรรมชาติไมํถูกทาลายไปมากนัก เน่ืองจากทาพออยํูพอ กิน ไมโํ ลภมากและไมํทาลายทกุ อยาํ งผิด กับในป๓จจุบนั ถือเป็นภูมปิ ญ๓ ญาท่สี รา๎ งความ สมดลุ ระหวํางคน สังคม และธรรมชาติ 5. เปลยี่ นแปลงปรบั ปรุงได๎ตามยคุ สมยั แม๎วํากาลเวลาจะผาํ นไป ความร๎ูสมยั ใหมํ จะหล่ังไหลเข๎ามามาก แตํภูมิป๓ญญาไทย ก็สามารถ ปรับเปล่ยี นให๎เหมาะสมกบั ยุคสมยั เชนํ การร๎ูจักนาเครื่องยนตม๑ าติดต้ังกับเรือ ใสํใบพัด เป็นหางเสือ ทาให๎เรือ สามารถแลํนได๎เร็วข้ึน เรียกวํา เรือหางยาว การรู๎จักทาการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟ้ืนคืน ธรรมชาติให๎ อดุ มสมบรู ณแ๑ ทนสภาพเดิมท่ีถูกทาลายไป การร๎ูจักออมเงิน สะสมทุนให๎สมาชิกกู๎ยืม ปลดเปล้ือง หน้สี นิ และจดั สวสั ดกิ ารแกสํ มาชิก จนชมุ ชนมีความม่ันคง เขม๎ แข็ง สามารถชํวยตนเองได๎หลายร๎อยหมูํบ๎านท่ัว ประเทศ เชํน กลํุมออมทรัพย๑คีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดในรูปกองทุนหมุนเวียนของชุมชน จนสามารถ ชํวยตนเองได๎ เม่ือปุาถูกทาลาย เพราะถูกตัดโคํน เพ่ือปลูกพืชแบบเดี่ยว ตามภูมิป๓ญญาสมัยใหมํ ท่ีหวัง ร่ารวย แตใํ นทีส่ ดุ กข็ าดทนุ และมีหน้ีสิน สภาพแวดล๎อมสูญเสียเกิดความแห๎งแล๎ง คนไทยจึงคิดปลูกปุา ท่ีกิน ได๎ มีพืชสวน พืชปุาไม๎ผล พืชสมุนไพร ซ่ึงสามารถมีกินตลอดชีวิตเรียกวํา \"วนเกษตร\" บางพื้นที่ เม่ือปุาชุมชน ถูกทาลาย คนในชุมชนก็รวมตัวกัน เป็นกลํุมรักษาปุา รํวมกันสร๎างระเบียบ กฎเกณฑ๑กันเอง ให๎ทุกคนถือ ปฏิบัติได๎ สามารถรักษาปุาได๎อยํางสมบูรณ๑ดังเดิม เม่ือปะการังธรรมชาติถูกทาลาย ปลาไมํมีท่ีอยํูอาศัย

ประชาชนสามารถสร๎าง \"อูหยัม\" ขึ้น เป็นปะการังเทียม ให๎ปลาอาศัยวางไขํ และแพรํพันธุ๑ให๎เจริญเติบโต มี จานวนมากดงั เดมิ ได๎ ถอื เป็นการใชภ๎ มู ปิ ๓ญญาปรบั ปรุงประยกุ ต๑ใชไ๎ ดต๎ ามยคุ สมัย สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ เลํมที่ 19 ให๎ความหมายของคาวํา ภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน หมายถึง ความรู๎ของชาวบ๎าน ซ่ึงได๎มาจากประสบการณ๑ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ๎าน รวมทั้งความร๎ูที่ ส่ังสมมาแตํบรรพบุรษุ สบื ทอดจากคนรํุนหนึ่งไปสูํคนอีกรุํนหน่ึง ระหวํางการสืบทอดมีการปรับ ประยุกต๑ และ เปลีย่ นแปลง จนอาจเกดิ เปน็ ความรใ๎ู หมตํ ามสภาพการณ๑ทางสงั คมวฒั นธรรม และ ส่ิงแวดลอ๎ ม ภูมปิ ญ๓ ญาเป็นความร๎ูท่ีประกอบไปด๎วยคุณธรรม ซ่ึงสอดคล๎องกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ๎าน ในวถิ ดี งั้ เดิมนั้น ชีวิตของชาวบ๎านไมํได๎แบํงแยกเป็นสํวนๆ หากแตํทุกอยํางมีความสัมพันธ๑กัน การทามาหากิน การอยูํรํวมกันในชุมชน การปฏิบัติศาสนา พิธีกรรมและประเพณี ความรู๎เป็นคุณธรรม เม่ือผ๎ูคนใช๎ความรู๎นั้น เพ่ือสร๎างความสัมพันธ๑ท่ีดีระหวําง คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับส่ิงเหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ๑ที่ดี เป็นความสัมพันธ๑ท่ีมีความสมดุล ที่เคารพกันและกัน ไมํทาร๎ายทาลายกัน ทาให๎ทุกฝุายทุกสํวนอยํูรํวมกันได๎ อยํางสันติ ชุมชนดั้งเดิมจึงมีกฎเกณฑ๑ของการอยํูรํวมกัน มีคนเฒําคนแกํเป็นผ๎ูนา คอยให๎คาแนะนาตักเตือน ตัดสิน และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบ๎านเคารพธรรมชาติรอบตัว ดิน น้า ปุา เขา ข๎าว แดด ลม ฝน โลก และจกั รวาล ชาวบ๎านเคารพผห๎ู ลกั ผ๎ูใหญํ พอํ แมํ ปุูยาํ ตายาย ท้งั ทม่ี ีชีวติ อยํูและลํวงลับไปแล๎วภูมิป๓ญญาจึงเป็น ความรทู๎ ม่ี คี ุณธรรม เป็นความรู๎ที่มีเอกภาพของทุกสิ่งทุกอยําง เป็นความร๎ูวํา ทุกสิ่งทุกอยํางสัมพันธ๑กันอยํางมี ความสมดุล เราจึงยกยํองความร๎ูขั้นสูงสํง อันเป็นความรู๎แจ๎งในความจริงแหํงชีวิตนี้วํา \"ภูมิป๓ญญา\"ความคิด และการแสดงออกเพื่อจะเข๎าใจภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน จาเป็นต๎องเข๎าใจความคิดของชาวบ๎านเก่ียวกับโลก หรือท่ี เรียกวํา โลกทัศน๑ และเก่ียวกับชีวิต หรือที่เรียกวํา ชีวทัศน๑ สิ่งเหลํานี้เป็นนามธรรม อันเก่ียวข๎องสัมพันธ๑ โดยตรงกับการแสดงออกใน ลักษณะตํางๆ ที่เป็นรูปธรรม แนวคิดเร่ืองความสมดุลของชีวิต เป็นแนวคิด พ้นื ฐานของภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน การแพทย๑แผนไทย หรือท่ีเคยเรียกกันวํา การแพทย๑แผนโบราณน้ันมีหลักการ วํา คนมีสุขภาพดี เม่ือรํางกายมีความสมดุลระหวํางธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้า ลม ไฟ คนเจ็บไข๎ได๎ปุวยเพราะธาตุ ขาดความสมดุล จะมีการปรับธาตุ โดยใช๎ยาสมุนไพร หรือวิธีการอ่ืนๆ คนเป็นไข๎ตัวร๎อน หมอยาพื้นบ๎านจะให๎ ยาเย็น เพ่ือลดไข๎ เป็นต๎น การดาเนินชีวิตประจาวันก็เชํนเดียวกัน ชาวบ๎านเชื่อวํา จะต๎องรักษาความสมดุลใน ความสัมพนั ธส๑ ามดา๎ น คอื ความสัมพนั ธก๑ ับคนในครอบครวั ญาตพิ น่ี ๎อง เพื่อนบ๎านในชุมชน ความสัมพันธ๑ที่ดีมี หลักเกณฑ๑ ท่ีบรรพบุรุษได๎สั่งสอนมา เชํน ลูกควรปฏิบัติอยํางไรกับพํอแมํ กับญาติพ่ีน๎อง กับผู๎สูงอายุ คนเฒํา คนแกํ กับเพ่ือนบ๎าน พํอแมํควรเล้ียงดูลูกอยํางไร ความเอ้ืออาทรตํอกันและกัน ชํวยเหลือเกื้อกูลกัน โดยเฉพาะในยามทุกข๑ยาก หรือมีป๓ญหา ใครมีความสามารถพิเศษก็ใช๎ความสามารถน้ันชํวยเหลือผ๎ูอื่น เชํน บางคนเปน็ หมอยา กช็ วํ ยดแู ลรักษาคนเจบ็ ปวุ ยไมํสบาย โดยไมํคิดคํารักษา มีแตํเพียงการยกครู หรือการราลึก ถงึ ครูบาอาจารย๑ที่ประสาทวิชามาให๎เทําน้ัน หมอยาต๎องทามาหากิน โดยการทานา ทาไรํ เล้ียงสัตว๑เหมือนกับ ชาวบ๎านอน่ื ๆ บางคนมคี วามสามารถพิเศษด๎านการทามาหากิน ก็ชํวยสอนลูกหลานให๎มีวิชาไปด๎วย ความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับคนในครอบครัว ในชุมชน มีกฎเกณฑ๑เป็นข๎อปฏิบัติ และข๎อห๎ามอยําง ชัดเจน มีการแสดงออกทางประเพณี พิธีกรรม และกิจกรรมตํางๆ เชํน การรดน้าดาหัวผู๎ใหญํ การบายศรีสํู ขวญั เปน็ ต๎น ความสัมพันธก๑ บั ธรรมชาติ ผู๎คนสมัยกํอนพึ่งพาอาศัยธรรมชาติแทบทุกด๎าน ตั้งแตํอาหารการกิน เครอื่ งนํุงหมํ ทีอ่ ยอํู าศยั และยารักษาโรค วิทยาศาสตร๑ และเทคโนโลยียังไมํพัฒนาก๎าวหน๎าเหมือนทุกวันน้ี ยัง ไมํมีระบบการค๎าแบบสมัยใหมํ ไมํมีตลาด คนไปจับปลาลําสัตว๑ เพ่ือเป็นอาหารไปวันๆ ตัดไม๎ เพ่ือสร๎างบ๎าน และใช๎สอยตามความจาเป็นเทําน้ัน ไมํได๎ทาเพื่อการค๎า ชาวบ๎านมีหลักเกณฑ๑ในการใช๎สิ่งของในธรรมชาติ ไมํ ตัดไมอ๎ ํอน ทาใหต๎ ๎นไม๎ในปุาขน้ึ แทนต๎นท่ีถูกตัดไปได๎ตลอดเวลาชาวบ๎านยังไมํรู๎จักสารเคมี ไมํใช๎ยาฆําแมลง ฆํา หญ๎า ฆําสตั ว๑ ไมใํ ช๎ปุ๋ยเคมี ใช๎ส่ิงของในธรรมชาติใหเ๎ กอ้ื กลู กนั ใช๎มูลสัตว๑ ใบไมใ๎ บ หญา๎ ที่เนําเปื่อยเป็นปุ๋ย ทาให๎

ดินอุดมสมบูรณ๑ น้าสะอาด และไมเํ หือดแหง๎ ชาวบ๎านเคารพธรรมชาติ เชื่อวํา มีเทพมีเจ๎าสถิตอยํูในดิน น้า ปุา เขา สถานที่ทุกแหํง จะทาอะไรต๎องขออนุญาต และทาด๎วยความเคารพ และพอดี พองาม ชาวบ๎านรู๎คุณ ธรรมชาติ ที่ได๎ให๎ชีวิตแกํตน พิธีกรรมตํางๆ ล๎วนแสดงออกถึงแนวคิดดังกลําว เชํน งานบุญพิธี ที่เกี่ยวกับ น้า ข๎าว ปุาเขา รวมถึงสัตว๑ บ๎านเรือน เคร่ืองใช๎ตํางๆ มีพิธีสูํขวัญข๎าว สูํขวัญควาย สํูขวัญเกวียน ทางอีสานมีพิธี แฮกนา หรือแรกนา เลี้ยงผตี าแฮก มีงานบญุ บ๎าน เพอ่ื เลี้ยงผี หรอื สงิ่ ศักดิส์ ิทธป์ิ ระจาหมูบํ า๎ น เป็นต๎น ความสัมพันธ๑กับส่ิงเหนือธรรมชาติ ชาวบ๎านรู๎วํา มนุษย๑เป็นเพียงสํวนเล็กๆ สํวนหน่ึง ของ จักรวาล ซ่ึงเต็มไปด๎วยความเร๎นลับ มีพลัง และอานาจ ที่เขาไมํอาจจะหาคาอธิบายได๎ ความเร๎นลับดังกลําว รวมถงึ ญาติพ่ีน๎อง และผค๎ู นทีล่ วํ งลับไปแล๎ว ชาวบา๎ นยังสัมพันธ๑กบั พวกเขา ทาบญุ และราลึกถึงอยํางสม่าเสมอ ทุกวัน หรือในโอกาสสาคัญๆ นอกนั้นเป็นผีดี ผีร๎าย เทพเจ๎าตํางๆ ตามความเช่ือของแตํละแหํง สิ่งเหลํานี้สิง สถิตอยูํในส่งิ ตาํ งๆ ในโลก ในจกั รวาล และอยํบู นสรวงสวรรคก๑ ารทามาหากิน แม๎วิถีชีวิตของชาวบ๎านเมื่อกํอนจะดูเรียบงํายกวําทุกวันนี้ และยังอาศัยธรรมชาติ และ แรงงานเป็นหลัก ในการทามาหากิน แตํพวกเขาก็ต๎องใช๎สติป๓ญญา ที่บรรพบุรุษถํายทอดมาให๎ เพื่อจะได๎อยูํ รอด ทง้ั น้ีเพราะป๓ญหาตาํ งๆ ในอดีตก็ยังมีไมํน๎อย โดยเฉพาะเมอื่ ครอบครัวมีสมาชิกมากข้ึน จาเป็นต๎องขยายท่ี ทากนิ ต๎องหกั ร๎างถางพง บุกเบกิ พืน้ ทีท่ ากนิ ใหมํ การปรับพ้ืนที่ป๓้นคันนา เพื่อทานา ซึ่งเป็นงานท่ีหนัก การทา ไรํทานา ปลูกพืชเลี้ยงสัตว๑ และดูแลรักษาให๎เติบโต และได๎ผล เป็นงานที่ต๎องอาศัยความร๎ูความสามารถ การ จับปลาลําสัตวก๑ ็มวี ธิ ีการ บางคนมีความสามารถมากรูว๎ ํา เวลาไหน ท่ีใด และวิธีใด จะจับปลาได๎ดีท่ีสุด คนที่ไมํ เกํงก็ตอ๎ งใช๎เวลานาน และไดป๎ ลานอ๎ ย การลาํ สัตวก๑ เ็ ชนํ เดียวกนั การจัดการแหลํงน้า เพ่ือการเกษตร ก็เป็นความรู๎ความสามารถ ท่ีมีมาแตํโบราณ คนทาง ภาคเหนือรู๎จักบริหารน้า เพ่ือการเกษตร และเพ่ือการบริโภคตํางๆ โดยการจัดระบบเหมืองฝาย มีการจัด แบํงป๓นน้ากันตามระบบประเพณีที่ สืบทอดกันมา มีหัวหน๎าท่ีทุกคนยอมรับ มีคณะกรรมการจัดสรรน้าตาม สัดสํวน และตามพืน้ ที่ทากนิ นับเปน็ ความร๎ูท่ีทาให๎ชุมชนตํางๆ ที่อาศัยอยูํใกล๎ลาน้า ไมํวําต๎นน้า หรือปลายน้า ได๎รบั การแบงํ ป๓นนา้ อยํางยตุ ิธรรม ทกุ คนไดป๎ ระโยชน๑ และอยํูรวํ มกนั อยาํ งสนั ติ ชาวบา๎ นรจ๎ู ักการแปรรูปผลิตผลในหลายรูปแบบ การถนอมอาหารให๎กินได๎นาน การดองการ หมกั เชนํ ปลาร๎า น้าปลา ผกั ดอง ปลาเค็ม เนอ้ื เคม็ ปลาแหง๎ เนอ้ื แห๎ง การแปรรปู ข๎าว ก็ทาได๎มากมายนับร๎อย ชนิด เชํน ขนมตํางๆ แตํละพิธีกรรม และแตํละงานบุญประเพณี มีข๎าวและขนมในรูปแบบไมํซ้ากัน ต้ังแตํ ขนมจีน สังขยา ไปถึงขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอื่นๆ ซ่ึงยังพอมีให๎เห็นอยํูจานวนหนึ่ง ใน ป๓จจุบนั สวํ นใหญํปรับเปล่ยี นมาเป็นการผลติ เพื่อขาย หรอื เปน็ อตุ สาหกรรมในครัวเรือน ความรู๎เรื่องการปรุงอาหารก็มีอยํูมากมาย แตํละท๎องถิ่นมีรูปแบบ และรสชาติแตกตํางกันไป มมี ากมายนับร๎อยนับพันชนิด แม๎ในชีวิตประจาวัน จะมีเพียงไมํกี่อยําง แตํโอกาสงานพิธี งาน เล้ียง งานฉลอง สาคัญ จะมีการจัดเตรียมอาหารอยํางดี และพิถีพิถันการทามาหากินในประเพณีเดิมนั้น เป็นท้ังศาสตร๑และ ศิลป์ การเตรียมอาหาร การจัดขนม และผลไม๎ ไมํได๎เป็นเพียงเพื่อให๎รับประทานแล๎วอรํอย แตํให๎ได๎ความ สวยงาม ทาให๎สามารถสัมผัสกับอาหารนั้น ไมํเพียงแตํทางปาก และรสชาติของลิ้น แตํทางตา และทางใจ การ เตรียมอาหารเป็นงานศิลปะ ที่ปรุงแตํด๎วยความตั้งใจ ใช๎เวลา ฝีมือ และความร๎ูความสามารถ ชาวบ๎าน สมยั กํอนสวํ นใหญํจะทานาเป็นหลัก เพราะเมื่อมีข๎าวแลว๎ ก็สบายใจ อยํางอื่นพอหาได๎จากธรรมชาติ เสร็จหน๎า นาก็จะทางานหัตถกรรม การทอผ๎า ทาเสื่อ เลี้ยงไหม ทาเครื่องมือ สาหรับจับสัตว๑ เคร่ืองมือการเกษตร และ อุปกรณต๑ าํ งๆ ท่จี าเปน็ หรือเตรียมพืน้ ที่ เพ่ือการทานาคร้ังตอํ ไป หัตถกรรมเป็นทรัพย๑สิน และมรดกทางภูมิป๓ญญาที่ย่ิงใหญํท่ีสุดอยํางหน่ึงของบรรพบุรุษ เพราะเปน็ ส่อื ที่ถํายทอดอารมณ๑ ความรู๎สึก ความคิด ความเช่ือ และคุณคําตํางๆ ที่สั่งสมมาแตํนมนาน ลายผ๎า

ไหม ผ๎าฝาู ย ฝีมือในการทออยํางประณตี รปู แบบเครือ่ งมือ ท่ีสานด๎วยไม๎ไผํ และอุปกรณ๑ เครื่องใช๎ไม๎สอยตํางๆ เคร่ืองดนตรี เครื่องเลํน สิ่งเหลํานี้ได๎ถูกบรรจงสร๎างขึ้นมา เพื่อการใช๎สอย การทาบุญ หรือการอุทิศให๎ใครคน หนึ่ง ไมํใชํเพ่ือการค๎าขาย ชาวบ๎านทามาหากินเพียงเพื่อการยังชีพ ไมํได๎ทาเพ่ือขาย มีการนาผลิตผลสํวนหนึ่ง ไปแลกส่ิงของท่ีจาเป็น ท่ีตนเองไมํมี เชํน นาข๎าวไป แลกเกลือ พริก ปลา ไกํ หรือเส้ือผ๎า การขายผลิตผลมีแตํ เพียงสํวนน๎อย และเม่ือมีความจาเป็นต๎องใช๎เงิน เพื่อเสียภาษีให๎รัฐ ชาวบ๎านนาผลิตผล เชํน ข๎าว ไปขายใน เมอื งให๎กับพํอค๎า หรอื ขายใหก๎ บั พํอค๎าทอ๎ งถิ่น เชํน ทางภาคอีสาน เรียกวํา \"นายฮ๎อย\" คนเหลํานี้จะนาผลิตผล บางอยาํ ง เชนํ ขา๎ ว ปลารา๎ ววั ควาย ไปขายในทีไ่ กลๆ ทางภาคเหนอื มพี อํ ค๎าววั ตาํ งๆ เป็นต๎น แม๎วาํ ความรู๎เร่ืองการค๎าขายของคนสมัยกํอน ไมํอาจจะนามาใช๎ในระบบตลาดเชํนป๓จจุบันได๎ เพราะสถานการณ๑ได๎เปล่ียนแปลงไปอยํางมาก แตํการค๎าท่ีมีจริยธรรมของพํอค๎าในอดีต ท่ีไมํได๎หวังแตํเพียง กาไร แตคํ านงึ ถึงการชวํ ยเหลือ แบงํ ปน๓ กันเปน็ หลกั ยงั มีคุณคําสาหรบั ปจ๓ จบุ นั นอกนั้น ในหลายพื้นท่ีในชนบท ระบบการแลกเปล่ียนสง่ิ ของยังมีอยูํ โดยเฉพาะในพื้นที่ยากจน ซงึ่ ชาวบา๎ นไมํมีเงินสด แตํมีผลิตผลตํางๆ ระบบ การแลกเปล่ียนไมํได๎ยึดหลักมาตราช่ังวัด หรือการตีราคาของสิ่งของ แตํแลกเปล่ียน โดยการคานึงถึง สถานการณ๑ของผู๎แลกท้ังสองฝุาย คนท่ีเอาปลาหรือไกํมาขอแลกข๎าว อาจจะได๎ข๎าวเป็นถัง เพราะเจ๎าของข๎าว คานงึ ถงึ ความจาเปน็ ของครอบครวั เจ๎าของไกํ ถา๎ หากตรี าคาเปน็ เงิน ข๎าวหน่ึงถังยํอมมคี าํ สูงกวําไกหํ น่งึ ตัว การอยู่รว่ มกันในสังคม การอยํูรํวมกันในชุมชนดั้งเดิมนั้น สํวนใหญํจะเป็นญาติพ่ีน๎องไมํก่ีตระกูล ซ่ึงได๎อพยพย๎ายถ่ินฐานมา อยํู หรือสืบทอดบรรพบุรุษจนนับญาติกันได๎ทั้งชุมชน มีคนเฒําคนแกํท่ีชาวบ๎านเคารพนับถือเป็นผู๎นาหน๎าที่ ของผ๎ูนา ไมํใชํการสั่ง แตํเป็นผู๎ให๎คาแนะนาปรึกษา มีความแมํนยาในกฎระเบียบประเพณีการดาเนินชีวิต ตัดสินไกลํเกล่ีย หากเกิดความขัดแย๎ง ชํวยกันแก๎ไขป๓ญหาตํางๆ ท่ีเกิดขึ้น ป๓ญหาในชุมชนก็มีไมํน๎อย ป๓ญหา การทามาหากิน ฝนแล๎ง น้าทํวม โรคระบาด โจรลักวัวควาย เป็นต๎น นอกจากนั้น ยังมีป๓ญหาความขัดแย๎ง ภายในชุมชน หรือระหวํางชุมชน การละเมิดกฎหมาย ประเพณี สํวนใหญํจะเป็นการ \" ผิดผี\" คือ ผีของบรรพ บุรุษ ผู๎ซึ่งได๎สร๎างกฎเกณฑ๑ตํางๆ ไว๎ เชํน กรณีที่ชายหนุํมถูกเน้ือต๎องตัวหญิงสาวท่ียังไมํแตํงงาน เป็นต๎น หาก เกิดการผิดผีขึ้นมา ก็ต๎องมีพิธีกรรมขอขมา โดยมีคนเฒําคนแกํเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษ มีการวํากลําวสั่ง สอน และชดเชยการทาผิดน้ัน ตามกฎเกณฑ๑ที่วางไว๎ ชาวบ๎านอยํูอยํางพึ่งพาอาศัยกัน ยามเจ็บไข๎ได๎ปุวย ยาม เกิดอุบัติเหตุเภทภัย ยามที่โจรขโมยวัวควายข๎าวของ การชํวยเหลือกันทางานท่ีเรียกกันวํา การลงแขก ทั้ง แรงกายแรงใจท่ีมีอยูํก็จะแบํงป๓นชํวยเหลือ เอ้ืออาทรกัน การ แลกเปลี่ยนสิ่งของ อาหารการกิน และอ่ืนๆ จึง เก่ียวข๎องกับวิถีของชุมชน ชาวบ๎านชํวยกันเก็บเก่ียวข๎าว สร๎างบ๎าน หรืองานอื่นที่ต๎องการคนมากๆ เพื่อจะได๎ เสร็จโดยเร็ว ไมมํ กี ารจ๎าง กรณตี วั อยํางจากการปลกู ขา๎ วของชาวบา๎ น ถ๎าปีหนึง่ ชาวนาปลูกข๎าวได๎ผลดี ผลิตผลท่ีได๎จะใช๎เพื่อการ บรโิ ภคในครอบครวั ทาบุญท่วี ัด เผื่อแผใํ ห๎พ่ีนอ๎ งทีข่ าดแคลน แลกของ และเก็บไว๎ เผื่อวําปีหน๎าฝนอาจแล๎ง น้า อาจทํวม ผลิตผล อาจไมํดีในชุมชนตํางๆ จะมีผู๎มีความร๎ูความสามารถหลากหลาย บางคนเกํงทางการรักษา โรค บางคนทางการเพาะปลูกพืช บางคนทางการเล้ียงสัตว๑ บางคนทางด๎านดนตรีการละเลํน บางคนเกํง ทางด๎านพิธีกรรม คนเหลําน้ีตํางก็ใช๎ความสามารถ เพ่ือประโยชน๑ของชุมชน โดยไมํถือเป็นอาชีพ ท่ีมี คาํ ตอบแทน อยาํ งมากก็มี \"คําครู\" แตเํ พียงเล็กน๎อย ซ่ึงปกติแล๎ว เงินจานวนน้ัน ก็ใช๎สาหรับเคร่ืองมือประกอบ พิธีกรรม หรอื เพ่ือทาบญุ ท่วี ัด มากกวําทห่ี มอยา หรือบคุ คลผนู๎ ัน้ จะเกบ็ ไว๎ใช๎เอง เพราะแท๎ท่ีจริงแล๎ว \"วิชา\" ที่ ครูถํายทอดมาให๎แกํลูกศิษย๑ จะต๎องนาไปใช๎ เพื่อประโยชน๑แกํสังคม ไมํใชํเพื่อผลประโยชน๑สํวนตัว การตอบ แทนจึงไมํใชํเงินหรือสิ่งของเสมอไป แตํเป็นการชํวยเหลือเก้ือกูลกันโดยวิธีการตํางๆด๎วยวิถีชีวิตเชํนน้ี จึงมี คาถาม เพื่อเป็นการสอนคนรุํนหลงั วํา ถ๎าหากคนหนงึ่ จับปลาชํอนตัวใหญํได๎หน่ึงตัว ทาอยํางไรจึงจะกินได๎ท้ังปี

คนสมยั น้อี าจจะบอกวาํ ทาปลาเค็ม ปลาร๎า หรอื เก็บรกั ษาดว๎ ยวธิ กี ารตํางๆ แตํคาตอบท่ีถูกต๎อง คือ แบํงป๓นให๎ พี่น๎อง เพื่อนบ๎าน เพราะเม่ือเขาได๎ปลา เขาก็จะทากับเราเชํนเดียวกัน ชีวิตทางสังคมของหมูํบ๎าน มีศูนย๑กลาง อยํทู ี่วัด กิจกรรมของสํวนรวม จะทากันท่ีวดั งานบุญประเพณีตาํ งๆ ตลอดจนการละเลํนมหรสพ พระสงฆเ๑ ปน็ ผนู๎ าทางจติ ใจ เป็นครูที่สอนลูกหลานผ๎ชู าย ซึ่งไปรบั ใชพ๎ ระสงฆ๑ หรือ \"บวชเรียน\" ทัง้ น้ีเพราะกํอนนีย้ ังไมํมี โรงเรียน วดั จึงเป็นทั้งโรงเรยี น และหอประชุม เพ่ือกิจกรรมตํางๆ ตํอเม่ือโรงเรียนมขี ึ้น และแยกออกจากวัด บทบาทของวัด และของพระสงฆ๑ จงึ เปล่ยี นไป งานบญุ ประเพณีในชุมชนแตํกํอนมีอยูํทุกเดือน ตํอมาก็ลดลงไป หรือสองสามหมูํบ๎านรํวมกันจัด หรือ ผลัดเปล่ียนหมุนเวียนกัน เชํน งานเทศน๑มหาชาติ ซ่ึงเป็นงานใหญํ หมํูบ๎านเล็กๆ ไมํอาจจะจัดได๎ทุกปี งาน เหลํานีม้ ีทง้ั ความเชอื่ พิธกี รรม และความสนกุ สนาน ซง่ึ ชุมชนแสดงออกรํวมกนั ระบบคณุ คา่ ความเชื่อในกฎเกณฑ๑ประเพณี เป็นระเบียบทางสังคมของชุมชนด้ังเดิม ความเชื่อนี้เป็นรากฐานของ ระบบคุณคําตํางๆ ความกตัญ๒ูร๎ูคุณตํอพํอแมํ ปูุยําตายาย ความเมตตาเอื้ออาทรตํอผ๎ูอ่ืน ความเคารพตํอส่ิง ศักด์ิสิทธใ์ิ นธรรมชาติรอบตวั และในสากลจกั รวาล ความเชื่อ \"ผี\" หรือสิ่งศักด์ิสิทธ์ิในธรรมชาติ เป็นที่มาของการดาเนินชีวิต ท้ังของสํวนบุคคล และของ ชมุ ชน โดยรวมการเคารพในผีปูุตา หรือผีปุูยํา ซ่ึงเป็นผีประจาหมูํบ๎าน ทาให๎ชาวบ๎านมีความเป็นหน่ึงเดียวกัน เปน็ ลูกหลานของปูตุ าคนเดียวกนั รักษาปาุ ทีม่ บี ๎านเลก็ ๆ สาหรับผี ปลูกอยูํติดหมํูบ๎าน ผีปุา ทาให๎คนตัดไม๎ด๎วย ความเคารพ ขออนญุ าตเลือกตดั ตน๎ แกํ และปลูกทดแทน ไมทํ ้งิ ส่ิงสกปรกลงแมํน้า ด๎วยความเคารพในแมํคงคา กนิ ข๎าวดว๎ ยความเคารพ ในแมํโพสพ คนโบราณกินข๎าวเสร็จ จะไหว๎ข๎าว พิธีบายศรีสูํขวัญ เป็นพิธีร้ือฟ้ืน กระชับ หรือสร๎างความสัมพันธ๑ระหวํางผ๎ูคน คนจะเดินทางไกล หรือ กลับจากการเดินทาง สมาชิกใหมํ ในชุมชน คนปุวย หรือกาลังฟ้ืนไข๎ คนเหลําน้ีจะได๎รับพิธีสํูขวัญ เพ่ือให๎เป็น สริ มิ งคล มคี วามอยํเู ย็นเปน็ สขุ นอกน้ันยงั มีพิธสี ืบชะตาชีวิตของบุคคล หรอื ของชมุ ชน นอกจากพิธีกรรมกับคนแล๎ว ยังมีพิธีกรรมกับสัตว๑และธรรมชาติ มีพิธีสํูขวัญข๎าว สํูขวัญควาย สํูขวัญ เกวียน เป็นการแสดงออกถงึ การขอบคณุ การขอขมา พิธดี งั กลําวไมํได๎มีความหมายถึงวํา สิ่งเหลํานี้มีจิต มีผีใน ตัวมันเอง แตํเป็นการแสดงออก ถึงความสัมพันธ๑กับจิตและส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ อันเป็นสากลในธรรมชาติท้ังหมด ทา ให๎ผ๎ูคนมีความสัมพันธ๑อันดีกับทุกส่ิง คนขับแท็กซ่ีในกรุงเทพฯ ท่ีมาจากหมูํบ๎าน ยังซื้อดอกไม๎ แล๎วแขวนไว๎ท่ี กระจกในรถ ไมํใชํเพื่อเซํนไหว๎ผีในรถแท็กซ่ี แตํเป็นการราลึกถึงสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ ใน สากลจักรวาล รวมถึงท่ีสิงอยูํ ในรถคันนั้นผู๎คนสมัยกํอนมีความสานึกในข๎อจากัดของตนเอง ร๎ูวํา มนุษย๑มีความอํอนแอ และเปราะบาง หาก ไมํรกั ษาความสมั พันธอ๑ นั ดี และไมคํ งความสมดุลกบั ธรรมชาติรอบตัวไว๎ เขาคงไมํสามารถมีชีวิตได๎อยํางเป็นสุข และยืนนาน ผ๎ูคนทั่วไปจึงไมํมีความอวดกล๎าในความสามารถของตน ไมํท๎าทายธรรมชาติ และส่ิงศักดิ์สิทธิ์ มี ความอํอนนอ๎ มถอํ มตน และรกั ษากฎระเบยี บประเพณีอยาํ งเครํงครดั ชีวิตของชาวบ๎านในรอบหน่ึงปี จึงมีพิธีกรรมทุกเดือน เพ่ือแสดงออกถึงความเช่ือ และความสัมพันธ๑ ระหวํางผู๎คนในสังคม ระหวํางคนกับธรรมชาติ และระหวํางคนกับสิ่งศักด์ิสิทธิ์ตํางๆ ดังกรณีงานบุญประเพณี ของชาวอสี านทีเ่ รียกวําฮีตสบิ สอง คือเดือนอ๎าย (เดือนที่หนึ่ง) บุญเข๎ากรรม ให๎พระภิกษุเข๎าปริวาสกรรมเดือน ย่ี (เดือนที่สอง) บุญคูณลาน ให๎นาข๎าวมากองกันที่ลาน ทาพิธีกํอนนวด เดือนสาม บุญข๎าวจี่ ให๎ถวายข๎าวจี่ (ข๎าวเหนียวป๓้นชุบไขํทาเกลือนาไปยํางไฟ)เดือนสี่ บุญพระเวส ให๎ฟ๓งเทศน๑มหาชาติ คือ เทศน๑เร่ืองพระ เวสสันดรชาดก เดือนหา๎ บญุ สรงน้า หรือบญุ สงกรานต๑ ให๎สรงน้าพระ ผ๎เู ฒําผู๎แกํ เดือนหก บุญบ้ังไฟ บูชาพญา แถน ตามความเชื่อเดิม และบุญวิสาขบูชา ตามความเช่ือของชาวพุทธ เดือนเจ็ด บุญซาฮะ (บุญชาระ) ให๎บน

บานพระภูมิเจ๎าท่ี เล้ียงผีปุูตา เดือนแปด บุญเข๎าพรรษา เดือนเก๎า บุญข๎าวประดับดิน ทาบุญอุทิศสํวนกุศลให๎ ญาติพ่ีน๎องผ๎ูลํวงลับ เดือนสิบ บุญข๎าวสาก ทาบุญเชํนเดือนเก๎า รวมให๎ผีไมํมีญาติ (ภาคใต๎มีพิธีคล๎ายกัน คือ งานพิธีเดือนสิบ ทาบุญให๎แกํบรรพบุรุษผู๎ลํวงลับไปแล๎ว แบํงข๎าวปลาอาหารสํวนหน่ึงให๎แกํผีไมํมีญาติ พวก เด็กๆ ชอบแยงํ กันเอาของท่แี บงํ ให๎ผไี มมํ ีญาตหิ รือเปรต เรียกวํา \"การชิงเปรต\") เดอื นสบิ เอ็ด บุญออกพรรษา เดือนสิบสอง บญุ กฐนิ จัดงานกฐิน และลอยกระทง ภูมิป๓ญญาชาวบ๎านในสังคมป๓จจุบันภูมิป๓ญญาชาวบ๎านได๎กํอเกิด และสืบทอดกันมาในชุมชนหมูํบ๎าน เม่ือหมํูบ๎านเปล่ียนแปลงไปพร๎อมกับสังคมสมัยใหมํ ภูมิป๓ญญาชาวบ๎านก็มีการปรับตัวเชํนเดียวกัน ความรู๎ จานวนมากได๎สูญหายไป เพราะไมมํ ีการปฏบิ ตั สิ ืบทอด เชํน การรกั ษาพ้ืนบ๎านบางอยําง การใช๎ยาสมุนไพรบาง ชนิด เพราะหมอยาที่เกํงๆ ได๎เสียชีวิต โดยไมํได๎ถํายทอดให๎กับคนอื่น หรือถํายทอด แตํคนตํอมาไมํได๎ปฏิบัติ เพราะชาวบ๎านไมํนิยมเหมือนเม่ือกํอน ใช๎ยาสมัยใหมํ และไปหาหมอ ที่โรงพยาบาล หรือคลินิก งํายกวํา งาน หันตถกรรม ทอผ๎า หรือเครื่องเงิน เคร่ืองเขิน แม๎จะยังเหลืออยูํไมํน๎อย แตํก็ได๎ถูกพัฒนาไปเป็นการค๎า ไมํ สามารถรักษาคุณภาพ และฝีมือแบบด้ังเดิมไว๎ได๎ ในการทามาหากินมีการใช๎เทคโนโลยีทันสมัย ใช๎รถไถแทน ควาย รถอีแต๐นแทนเกวยี น การลงแขกทานา และปลูกสร๎างบ๎านเรือน ก็เกือบจะหมดไป มีการจ๎างงานกันมากข้ึน แรงงานก็หา ยากกวาํ แตกํ อํ น ผค๎ู นอพยพย๎ายถน่ิ บา๎ งก็เข๎าเมือง บ๎างก็ไปทางานที่อื่น ประเพณีงานบุญ ก็เหลือไมํมาก ทาได๎ กต็ อํ เมอื่ ลูกหลานทจี่ ากบา๎ นไปทางาน กลับมาเย่ียมบ๎านในเทศกาลสาคัญๆ เชํน ปีใหมํ สงกรานต๑ เข๎าพรรษา เปน็ ต๎น สังคมสมยั ใหมมํ รี ะบบการศกึ ษาในโรงเรียน มอี นามัย และโรงพยาบาล มีโรงหนัง วิทยุ โทรทัศน๑ และ เครื่องบันเทิงตํางๆ ทาให๎ชีวิตทางสังคมของชุมชนหมํูบ๎านเปล่ียนไป มีตารวจ มีโรงมีศาล มีเจ๎าหน๎าที่ราชการ ฝุายปกครอง ฝาุ ยพัฒนา และอน่ื ๆ เข๎าไปในหมํบู า๎ น บทบาทของวัด พระสงฆ๑ และคนเฒําคนแกํเร่ิมลดน๎อยลง การทามาหากินก็เปล่ียนจากการทาเพื่อยังชีพไปเป็นการผลิตเพ่ือการขาย ผู๎คนต๎องการเงิน เพ่ือซ้ือเครื่อง บริโภคตํางๆ ทาให๎ส่ิงแวดล๎อม เปล่ียนไป ผลิตผลจากปุาก็หมด สถานการณ๑เชํนน้ีทาให๎ผู๎นาการพัฒนาชุมชน หลายคน ท่ีมีบทบาทสาคัญในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ เร่ิมเห็นความสาคัญของภูมิป๓ญญา ชาวบา๎ น หนํวยงานทางภาครัฐ และภาคเอกชน ให๎การสนับสนุน และสํงเสริมให๎มีการอนุรักษ๑ ฟ้ืนฟู ประยุกต๑ และคน๎ คิดส่ิงใหมํ ความร๎ูใหมํ เพื่อประโยชน๑สุขของสงั คม

กลว้ ย ประวัติของกลว้ ย กล๎วยเป็นไม๎ผลที่คนไทยร๎ูจักกันมานาน เนื่องจากกล๎วยมีถิ่นกาเนิดในเอเชียใต๎และเอเชียตะวันออก เฉียงใต๎ ซ่ึงประเทศไทยเป็นประเทศหน่ึงในภูมิภาคดังกลําว จากการศึกษาพบวํา กล๎วยมีวิวัฒนาการถึง 50 ล๎านปีมาแล๎ว ดังน้ันจึงเป็นไม๎ผลท่ีมนุษย๑ร๎ูจักบริโภคเป็นอาหารกันอยํางแพรํหลาย เชื่อกันวํา กล๎วยเป็นไม๎ผล ชนิดแรก ที่มีการปลูกเลีย้ งไวต๎ ามบา๎ น และได๎แพรํพันธุ๑จากเอเชียใต๎ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต๎ไปยังดินแดน อ่นื ๆ ในระยะเวลาตํอมา กล๎วยมีการปลูกกันมากในเอเชียใต๎ แม๎ในป๓จจุบัน ประเทศอินเดียเป็นประเทศท่ีมีการปลูกกล๎วยมาก ท่ีสุดในโลก และมีพันธ๑ุกล๎วยมากมายอีกด๎วย เหมาะสมกับที่มีการกลําวกันไว๎ในหนังสือของชาวอาหรับวํา \"กล๎วยเป็นผลไม๎ของชาวอินเดีย\" ตํอมา ได๎มีหมอของจักรพรรดิโรมันแหํงกรุงโรมช่ือวํา แอนโตนิอุสมูซา (Antonius Musa) ได๎นาหนํอกล๎วยจากอินเดยี ไปปลกู ทางตอนเหนอื ของอียิปต๑ เมอื่ ประมาณ 2,000 ปีมาแล๎ว หลงั จากนนั้ มกี ารแพรํขยายพันธ๑ุกล๎วยไปในดินแดนของแอฟริกา ท่ีชาวอาหรับเข๎าไปค๎าขาย และพานักอาศัย จนกระทงั่ เมอื่ ประมาณ ค.ศ. 965 ได๎มกี ารกลําวถึงกล๎วยวํา ใช๎ในการประกอบอาหารชนิดหนึ่งของชาวอาหรับ ซ่ึงอรํอย และเป็นที่เลื่องลือมาก ช่ือวํา กาลาอิฟ (Kalaif ) เป็นอาหารท่ีปรุงด๎วยกล๎วย เมล็ดอัลมอนด๑ น้าผึ้ง ผสมกบั น้ามันนตั (Nut oil) ซึง่ สกดั จากผลไม๎เปลอื กแข็งชนิดหน่ึง นอกจากใช๎ประกอบอาหารแล๎ว ชาวอาหรับ ยงั ใช๎กล๎วยทายาอกี ด๎วย ชาวอาหรับเรยี กกล๎วยวํา \"มูซา\" ตามชื่อของหมอ ที่เป็นผู๎นากล๎วยเข๎ามาในอียิปต๑เป็น ครงั้ แรก ในชํวงกลางคริสต๑ศตวรรษที่ 15 ชาวโปรตุเกสได๎เดินเรือไปค๎าขายบริเวณชายฝ่๓งตะวันตกของทวีป แอฟริกา และได๎นากล๎วยไปแพรํพันธ๑ุที่หมูํเกาะคะแนรี ซึ่งต้ังอยูํนอกชายฝ่๓งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีป หลังจากน้ัน ชาวสเปนจึงได๎นากล๎วยจากหมูํเกาะคะแนรีเข๎าไปปลูกในหมูํเกาะอินดีสตะวันตกในอเมริกากลาง โดยเริ่มปลูก ที่อาณานิคมซันโตโดมิงโก บนเกาะฮิสป๓นโยลาเป็นแหํงแรก แล๎วขยายไปปลูกท่ีเกาะอื่นในเวลา ตํอมา สํงผลให๎ดินแดนในอเมริกากลางมีการปลูกกล๎วยเป็นพืชเศรษฐกิจกันอยํางแพรํหลาย และนับตั้งแตํ คริสต๑ศตวรรษที่ 19 เป็นต๎นมา ได๎กลายเป็นแหลํงปลูกกล๎วยสํงเป็นสินค๎าออกมากท่ีสุดของโลก โดยปลูกมาก ในประเทศคอสตาริกา และประเทศฮอนดูรสั การศึกษาภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นด๎านการทากล๎วยฉาบแบบงาดา จากนางสาวปราณี ฝางแก๎ว นักเรียน ผู๎สูงอายุโรงเรียนผู๎สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็น อาเภอวังน้าเย็น จังหวัดสระแก๎วในครั้งน้ี ทาให๎ได๎เรียนรู๎ เข๎าใจในวิถีชีวิต คํานิยม ความเช่ือ ขนบธรรมเนียมประเพณีท๎องถิ่นที่มีความสาคัญเช่ือมโยง การถํายทอด ภูมิป๓ญญาการทากล๎วยฉาบแบบงาดา ของนางสาวปราณี ฝางแก๎ว ท่ีได๎รับการถํายทอดมาจากพํอ แมํ ได๎ สอนวิธีการทากล๎วยฉาบงาดา ให๎กับนางสาวปราณี ฝางแก๎ว ป๓จจุบันย๎ายภูมิลาเนามาอยํูท่ีบ๎านชัยณรงค๑ อาเภอวังน้าเย็น จังหวัดสระแก๎ว และได๎ถํายทอดความร๎ูการทากล๎วยฉาบแบบงาดาให๎กับหลานๆ เชนํ เดยี วกนั ดงั นน้ั การสืบทอดความเชอื่ จากคนรํุนเกาํ สคูํ นรํนุ ใหมํ และพัฒนาศักยภาพภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นที่ มีอยํูในการเสริมสร๎างคุณภาพชีวิตเพื่อการดารงอยํูของวัฒนธรรมควบคูํกับการพัฒนาเป็นอาชีพและรายได๎ ตํอไป

ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ กล๎วยมีลักษณะทางพฤกษศาสตร๑ทสี่ าคญั ๆ ดังน้ี ลาตน้ กล๎วยมีลาต๎นอยํูใต๎ดินเรียกวํา หัว หรือ เหง๎า (rhizome) ที่หัวมีตา (bud) ซึ่งจะเจริญเป็นต๎นเกิด หนอํ (sucker) หลายหนํอ เรียกวํา การแตกกอ หนํอท่เี กดิ หรือต๎นท่ีเห็นอยํูเหนือดิน ความจริงแล๎วมิใชํลาต๎น เราเรียกวาํ ลาตน๎ เทยี ม (pseudostem) สํวนนี้เกิดจากการอัดกนั แนนํ ของกาบใบ ทีเ่ กิดจากจุดเจริญของลาต๎น ใต๎ดิน กาบใบจะชูก๎านใบ และใบ และท่ีจุดเจริญนี้ จะมีการเจริญเป็นดอกตามขึ้นมาหลังจากสิ้นสุดการเจริญ ของใบ ใบสดุ ทา๎ ยกํอนการเกิดดอก เรียกวํา ใบธง ใบสดุ ทา๎ ยกํอนเกิดดอก เรียกวํา ใบธง ดอก ดอกของกล๎วยออกเป็นชํอ (inflorescence) ในชํอดอกยังมีกลํุมของชํอดอกยํอยเป็นกลุํมๆ ระหวําง กลุํมของชํอดอกยํอยแตํละชํอจะมีกลีบประดับ หรือท่ีเราเรียกกันวํา กาบปลี (bract) มีสีมํวงแดงก้ันไว๎ กลํุม ดอกเพศเมียอยูํที่โคน และกลํุมดอกเพศผ๎ูอยํูที่ปลาย เป็นสํวนท่ีเราเรียกวํา หัวปลี (male bud) ระหวํางกลุํม ดอกเพศเมีย และดอกเพศผ๎ู มีดอกกะเทย แตํบางพันธุ๑ก็ไมํมี ในชํอดอกยํอยแตํละชํอมีดอกเรียงซ๎อนกันอยํู ๒ แถว ถา๎ เปน็ ดอกเพศเมยี ดอกเหลํานีจ้ ะเจริญตอํ ไปเปน็ ผล ดอกออกเป็นชํอ โดยมีกาบปลีสีมํวงแดงกั้นไว๎ กลํุมดอกเพศเมียอยูํทีโ่ คน สํวนกลมํุ ดอกเพศผู๎อยํูทปี่ ลาย

ผล ผลกล๎วยเกดิ จากดอกเพศเมีย ซึ่งอยูํที่โคน กลุํมของดอกเพศเมีย 1 กลุํม เจริญเป็นผล เรียกวํา 1 หวี ชํอดอกเจริญเป็น 1 เครือ ดังนั้นกล๎วย 1 เครืออาจมี 2 - 3 หวี หรือมากกวํา 10 หวี ท้ังนี้แล๎วแตํพันธ๑ุกล๎วย และการดูแลผลของกล๎วยมกี ารเจรญิ ไดโ๎ ดยไมตํ อ๎ งผสมพันธ๑ุ จึงทาใหก๎ ล๎วยสํวนใหญํไมมํ ีเมล็ด เมล็ด เมล็ดกลว๎ ยมลี ักษณะกลมเลก็ บางพันธ๑ุมีขนาดใหญํ เปลอื กหนา แขง็ มสี ดี า ราก เป็นระบบรากฝอย แผํไปทางด๎านกวา๎ งมากกวําทางแนวด่ิงลกึ ใบ ใบกล๎วยมีลักษณะเป็นแผนํ ใบใหญํ มคี วามกวา๎ งประมาณ 70 - 90 เซนติเมตร ความยาว 1.7 – 2.5 เมตร ปลายใบมน รูปใบขอบขนาน โคนใบมน และแผนํ ใบมสี เี ขียว การจาแนกชนดิ ของกลว้ ย กลว๎ ยจดั อยูํในอันดบั (order) Scitamineaeหรอื Zingiberalesประกอบดว๎ ย 8 วงศ๑ (family) ด๎วยกนั คือ 1. Musaceaeได๎แกํ กล๎วยท้ังหลาย 2. Strelitziaceaeไดแ๎ กํ กลว๎ ยพัด 3. Heliconiaceaeไดแ๎ กํ ก๎ามกง๎ุ ธรรมรกั ษา 4. Lowiaceaeได๎แกํ พืชในสกลุ Orchidanthaซึง่ ไมํมีในประเทศไทย 5. Costaceaeไดแ๎ กํ เอ้อื งหมายนา 6. Zingiberaceaeได๎แกํ ขิงท้ังหลาย 7. Marantaceaeได๎แกํ คลา๎ 8. Cannaceaeได๎แกํ พทุ ธรักษา ในท่นี จี้ ะอธิบายเฉพาะกล๎วยในสกุล Musaceaeซง่ึ มีทั้งกล๎วยกินได๎ และกล๎วยประดบั Musaceaeแบงํ เปน็ 3 สกลุ (genus) ดว๎ ยกัน คอื 1. สกลุ Ensete เป็นกลว๎ ยท่ไี มํมกี ารแตกหนํอ ขยายพันธุโ๑ ดยใชเ๎ มลด็ ในประเทศไทยมี 2 ชนิด (species) คอื E. superbaกล๎วยผา E. glaucaกล๎วยนวล กลว๎ ยญวน กล๎วยชนิดน้ีในประเทศไทยไมํมีการนามาบริโภค แตํในประเทศแถบทวีปแอฟริกานาแปูงที่ได๎จากลา ต๎นมาใช๎บรโิ ภค 2. สกุล Musa เปน็ กล๎วยทมี่ ีการแตกหนอํ และนิยมใชห๎ นํอในการขยายพนั ธ๑ุ มีท้ังกล๎วยกินได๎ และกล๎วยประดับ แบํง ออก เป็น 4 หมํู (section) คือ

หมํู Australimusaกล๎วยชนิดน้ีมีชํอดอกตั้ง มีถ่ินกาเนิดอยูํแถบทวีปออสเตรเลีย จนถึงประเทศ ฟิลปิ ปนิ ส๑ เส๎นใยของลาต๎นเทยี มมีความเหนียวมาก เหมาะในการทาเชอื ก กระดาษ และทอเปน็ ผ๎า หมํู Callimusaสํวนใหญํเป็นกลว๎ ยประดับ ในประเทศไทยมีกลว๎ ยทหารพราน หรือกล๎วยเลือด (Musa gracillis) ใบสีเขียว มีป้ืนสีมํวง เม่ือโตเต็มท่ีสีของป้ืนอาจจางลง ชํอดอกตั้ง ผลมีขนาดเล็ก ใช๎ประดับเพราะมี ใบสวยงาม นอกจากน้ี ยังได๎มีการนาเข๎ากล๎วยกัทลี หรือรัตกัทลี (Musa coccinea) จากประเทศอินโดนีเซีย กลว๎ ยชนิดนม้ี ใี บ ประดับสีแดงสดใส ชอํ ดอกตงั้ ใช๎เป็นไม๎ตัดดอกได๎เปน็ อยาํ งดี หมํู Rhodochlamysหรือเรียกกันวํา กล๎วยบัว ใช๎เป็นไม๎ประดับ มีความสวยงามของชํอดอกท่ีคล๎าย ดอกบัว ใบประดับมีสีสวยงามและสดใส กล๎วยบัวที่มีใบประดับสีชมพูอมมํวง เรียกวํา กล๎วยบัวสีชมพู (Musa ornata) หากมีใบประดับสีส๎ม เรียกวํา กล๎วยบัวสีส๎ม (Musa laterita) ทั้ง 2 พันธุ๑น้ีเป็นพันธุ๑พ้ืนเมืองของไทย พบมากในภาคเหนือ นอกจาก 2 ชนิดน้ีแล๎ว ได๎มีการนาเข๎ากล๎วยบัวสีมํวงและสีชมพูอํอนจากตํางประเทศอีก ด๎วย หมํู Eumusaมี 9 - 10 ชนดิ มีท้งั กล๎วยปุาและกลว๎ ยกินได๎ ซ่ึงกล๎วยกินได๎นั้นถือกาเนิดมาจากกล๎วย 2 ชนิดผสมกัน คือ กล๎วยปุา (Musa acuminata) กับกล๎วยตานี (Musa balbisiana) ผํานวิวัฒนาการอัน ยาวนานนับหลายพันปี กล๎วยปุามีถ่ินกาเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต๎ สํวนกล๎วยตานีมีถิ่นกาเนิดทาง ตอนใต๎ของประเทศอนิ เดีย หรือเอเชียใต๎ ตํอมาได๎เกิดการผสมพันธ๑ุกันข้ึนระหวํางกล๎วยปุากับกล๎วยตานี ทาให๎ เกิดพันธุ๑กล๎วยลูกผสมดังกลําว นอกจากน้ีแล๎วยังอาจเกิดจากการกลายพันธุ๑ ทาให๎เกิดพันธุ๑มากมายมากกวํา 100 พันธใ๑ุ นโลกนี้ และเกดิ การพฒั นาจากกล๎วยทมี่ ีเมลด็ เปน็ กล๎วยท่ไี มํมเี มลด็ ทาให๎กล๎วยท่ีรับประทานกันอยูํ ในป๓จจุบนั ไมํมเี มล็ด 3. สกลุ Musella เปน็ กล๎วยท่จี ัดอยํูในสกุลใหมํ ต๎นเต้ีย คล๎ายกล๎วยผา ลาต๎นเทียม มีลักษณะพองเชํนกัน แตํมีการแตก กอท่ีเกิดจากมุมระหวาํ งใบ มชี ํอดอกตั้ง และกลีบใบประดับสีเหลืองสดใส ขนาดของดอกใหญํ เชํน กล๎วยคุนห มิง กลว๎ ยนวล

กลว๎ ยกัทลี กล๎วยบัวสีส๎ม ดอกกล๎วยคนุ หมงิ

พันธุ์กล้วยในประเทศไทย ประเทศไทยมีการปลูกกล๎วยกันมาช๎านาน กล๎วยที่ปลูกมีมากมายหลายชนิด พันธ๑ุกล๎วยท่ีใช๎ปลูกใน ประเทศไทยมาตัง้ แตํสมัยโบราณนัน้ มีทง้ั พันธ๑ุพ้ืนเมืองด้ังเดิม และนาเข๎ามาจากประเทศใกล๎เคียง กล๎วยที่รู๎จัก กนั ในสมยั สุโขทยั คือ กลว๎ ยตานี และปจ๓ จุบันในจังหวัดสุโขทัยก็ยังมีการปลูกกล๎วยตานีมากท่ีสุด แตํเรากลับไมํ พบกล๎วยตานใี นปาุ ท้งั ๆ ทก่ี ลว๎ ยตานีกเ็ ปน็ กล๎วยปุาชนิดหนงึ่ มีถิ่นกาเนิดอยูํทางตอนใต๎ของประเทศอินเดีย จีน และพมํา ดังนั้นจึงสันนิษฐานวํา กล๎วยตานีนําจะนาเข๎ามาปลูกในประเทศไทยต้ังแตํสมัยสุโขทัยตอนต๎น หรือ ชํวงการอพยพของคนไทยมาตงั้ ถนิ่ ฐานท่ีสุโขทัย ในสมัยอยุธยา เดอลาลูแบร๑ (De La Loub`ere) อัครราชทูตชาวฝรั่งเศสท่ีเดินทางมาเมืองไทยในรัช สมัยสมเดจ็ พระนารายณม๑ หาราช เมื่อ พ.ศ. 2230 ได๎เขียนบันทึกถึงส่ิงที่เขาได๎พบเห็นในเมืองไทยไว๎วํา ได๎เห็น กล๎วยงวงช๎าง ซึ่งก็คือ กล๎วยร๎อยหวีในป๓จจุบัน ที่สํวนใหญํปลูกไว๎เพื่อเป็นไม๎ประดับน่ันเอง นอกจากน้ียังมี ตานานเลํากันมาวํา มีการคา๎ ขายกลว๎ ยตีบอีกด๎วย แสดงให๎เห็นวาํ ได๎มีการปลกู กล๎วยท้ังเพ่ือความสวยงาม และ เพอ่ื การบรโิ ภคกนั มาชา๎ นานแล๎ว ตํอมาเม่ือ พ.ศ. 2427 ในรัชกาลท่ี 5 แหํงกรุงรัตนโกสินทร๑ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น๎อย อาจารยาง กูร) ซ่ึงเป็นปรมาจารย๑ทางด๎านภาษาไทย ได๎เขียนหนังสือ พรรณพฤกษากับสัตวาภิธาน เพ่ือเป็นแบบเรียน ภาษาไทยสาหรับใช๎ในโรงเรียน กลําวถึงช่ือของพรรณไม๎และสัตว๑ชนิดตํางๆ ท่ีมีอยูํในเมืองไทย โดยเรียบเรียง เป็นกาพย๑ฉบัง 16 เพ่ือให๎ไพเราะและจดจาได๎งําย ในหนังสือดังกลําวมีข๎อความท่ีพรรณนาถึงช่ือกล๎วยชนิด ตํางๆ ไวด๎ ังน้ี จากกาพย๑ดังกลําว ทาให๎เราได๎ทราบชนิดของกล๎วยมากขึ้น แสดงให๎เห็นถึงความนิยมในการปลูก กล๎วยในสมัยน้ัน ท้ังน้ีเน่ืองจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล๎าเจ๎าอยูํหัว ได๎เสด็จประพาสประเทศตํางๆ หลายประเทศ จงึ ไดม๎ กี ารนากล๎วยบางชนดิ เข๎ามาปลูกในรัชสมยั ของพระองค๑

หลังจากที่นักวิชาการชาวตะวันตกได๎เร่ิมจาแนกชนิดของกล๎วยตามลักษณะทางพันธุกรรม โดยใช๎ จีโนมของกล๎วยเป็นตัวกาหนดในการแยกชนิดตามวิธีของซิมมอนดส๑และเชบเฟิร๑ด ดังได๎กลําวแล๎วข๎างต๎น จึง กลําวได๎วํา กล๎วยที่บริโภคกันอยูํในป๓จจุบันมีบรรพบุรุษอยูํเพียง 2 ชนิดเทําน้ัน คือ กล๎วยปุา และกล๎วยตานี กล๎วยท่มี กี าเนดิ จากกล๎วยปุามีจโี นมทางพันธุกรรมเป็น AA สํวนกล๎วยท่ีมีกาเนิดจากกล๎วยตานีมีจีโนม เป็น BB และกล๎วยลูกผสมของท้ัง 2 ชนิด มีจีโนมเป็น AAB, ABB, AABB และ ABBB นอกจากนี้ ซิมมอนดส๑ยังได๎ จาแนกชนิดของกล๎วยในประเทศไทยวํามอี ยํู 15 พันธุ๑ ตํอมา นักวิชาการไทยได๎ทาการศึกษาค๎นคว๎าเก่ียวกับพันธุ๑และชนิดของกล๎วย คือ ใน พ.ศ. 2510 วัฒนา เสถียรสวัสดิ์ และปวิณปุณศรี ได๎ทาการรวบรวมพันธ๑ุกล๎วยท่ีพบในประเทศได๎ 125 สายพันธ๑ุ และจาก การจาแนกจดั กลุํมแลว๎ พบวาํ มี 20 พนั ธ๑ุ หลังจากนั้นในระหวาํ ง พ.ศ. 2523 - 2526 เบญจมาศ ศิลาย๎อย และ ฉลองชัย แบบประเสริฐ แหํงภาควิชาพืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร๑ ได๎ทาการสารวจพันธุ๑กล๎วยใน ประเทศไทย และรวบรวมพันธ๑ุไว๎ท่ีสถานีวิจัยปากชํอง จังหวัดนครราชสีมา โดยรวบรวมได๎ท้ังหมด 323 สาย พันธ๑ุ แตํเมื่อจาแนกชนิดแล๎ว พบวํามีอยํูเพียง 53 พันธุ๑ หลังจากสิ้นสุดโครงการ ยังได๎ทาการรวบรวมเรื่อยมา จนถึงปจ๓ จบุ นั พบวาํ มีอยูํ 71 พันธ๑ุ รวมทัง้ กล๎วยปาุ และกล๎วยประดับ ท้งั น้ีไมนํ ับรวมพันธุ๑กลว๎ ยท่ีได๎มีการนาเข๎า มาจากตํางประเทศ ซง่ึ มอี กี หลายพนั ธุ๑ ปจ๓ จบุ นั กล๎วยในเมอื งไทย ซง่ึ จาแนกชนดิ ตามจีโนม มดี ังนี้ 1. กลุ่ม AA ท่ีพบในประเทศไทยมี กล๎วยปุา สาหรับกล๎วยกินได๎ในกลํุมน้ีมีขนาดเล็ก รสหวาน กลิ่นหอม รับประทานสด ได๎แกํ กล๎วยไขํ กล๎วยเล็บมือนาง กล๎วยหอมจันทร๑ กล๎วยไขํทองรํวง กล๎วยไขํจีน กล๎วยน้านม กลว๎ ยไล กล๎วยสา กล๎วยหอม กล๎วยหอมจาปา กล๎วยทองกาบดา 2. กลมุ่ AAA กล๎วยกลุํมนี้มีจานวน โครโมโซม 2n = 33 ผลจึงมีขนาดใหญํกวํากลํุมแรก รูปรํางผลเรียวยาว มีเน้ือ นุํม รสหวาน กลิ่นหอม รับประทานสดเชํนกันได๎แกํ กล๎วยหอมทอง กล๎วยนาก กล๎วยครั่ง กล๎วยหอมเขียว กลว๎ ยกง๎ุ เขยี ว กล๎วยหอมแม๎ว กลว๎ ยไขํพระตะบอง กล๎วยคลองจัง 3. กลมุ่ BB ในประเทศไทยจะมีแตํกล๎วยตานี ซ่ึงเป็นกล๎วยปุาชนิดหน่ึง แตํไมํได๎มีถิ่นกาเนิดในประเทศไทย รับประทานผลอํอนได๎ โดยนามาใสํแกงเผ็ด ทาส๎มตา ไมํนิยมรับประทานผลแกํ เพราะมีเมล็ดมาก แตํคนไทย และคนเอเชียสํวนใหญํรับประทานปลีและหยวก ไมํมีกล๎วยกินได๎ในกลํุม BB ในประเทศไทย แตํพบวํามีที่ ประเทศฟิลปิ ปนิ ส๑ 4. กลุ่ม BBB กลว๎ ยในกลํุมน้เี กิดจากกล๎วยตานี (Musa balbisiana) เนื้อไมํคํอยนํุม ประกอบด๎วยแปูงมาก เม่ือสุกก็ ยังมีแปูงมากอยํู จึงไมํคํอยหวาน ขนาดผลใหญํ เมื่อนามาทาให๎สุกด๎วยความร๎อน จะทาให๎รสชาติดีข้ึน เนื้อ เหนยี วนํุม เชํน กลว๎ ยเล็บชา๎ งกุด 5. กลุ่ม AAB กลว๎ ยกลํุมน้ีเกิดจากการผสมระหวํางกล๎วยปุากับกล๎วยตานี เมื่อผลสุก มีรสชาติดีกวํากล๎วยกลุํม ABB ได๎แกํ กล๎วยน้า กล๎วยน้าฝาด กล๎วยนมสวรรค๑ กล๎วยนิ้วมือนาง กล๎วยไขํโบราณ กล๎วยทองเดช กล๎วยศรีนวล กลว๎ ยขม กล๎วยนมสาว แตํมีกล๎วยกลํุม AAB บางชนิดที่มีความคล๎ายกับ ABB กลําวคือ เน้ือจะคํอนข๎างแข็ง มี แปงู มาก เมื่อสุกเนอ้ื ไมํนํุม ทั้งน้ีอาจได๎รับเชื้อพันธุกรรมของกล๎วยปุาที่ตําง sub species กัน จึงทาให๎ลักษณะ ตํางกัน กล๎วยในกลุํมนี้เรียกวํา plantain subgroup ซ่ึงจะต๎องทาให๎สุกโดยการต๎ม ป้ิง เผา เชํนเดียวกับกลุํม ABB ไดแ๎ กํ กลว๎ ยกล๎าย กล๎วยงาช๎าง กลว๎ ยน้วิ จระเข๎ กล๎วยหนิ กล๎วยพมําแหกคกุ

6. กลุม่ ABB กล๎วยกลุํมนี้เป็นลูกผสมระหวํางกล๎วยปุากับกล๎วยตานี มีแปูงมาก ขนาดผลใหญํ ไมํนิยมรับประทาน สด เพราะเมื่อสุกรสไมํหวานมาก บางคร้ังมีรสฝาด เมอ่ื นามาต๎ม ป้ิง ยําง และเชื่อม จะทาให๎รสชาติดีข้ึน ได๎แกํ กล๎วยหักมุกเขียว กล๎วยหักมุกนวล กล๎วยเปลือกหนา กล๎วยส๎ม กล๎วยนางพญา กล๎วยนมหมี กล๎วยน้าว๎ า สาหรับกล๎วยน้าว๎าแบํงออกเป็น 3 ชนิด ตามสีของเนื้อ คือ น้าว๎าแดง น้าว๎าขาว และน้าว๎าเหลือง คนไทย รับประทานกล๎วยน้าว๎า ทั้งผลสด ตม๎ ป้งิ และนามาประกอบอาหาร นอกจากน้ยี ังมกี ล๎วยนา้ ว๎าดา ซ่ึงเปลือกมีสี คร่ังปนดา แตํเนื้อมีสีขาว รสชาติอรํอยคล๎ายกล๎วยน้าว๎าขาว สาหรับกล๎วยตีบ เหมาะที่จะรับประทานผลสด เพราะเม่ือนาไปยําง หรือตม๎ จะมีรสฝาด 7. กลมุ่ ABBB กล๎วยในกลํุมนีเ้ ปน็ ลูกผสมเชํนกัน จึงมีแปูงมาก และมีอยํูพันธ๑ุเดียวคือ กล๎วยเทพรส หรือกล๎วยทิพรส ผลมีขนาดใหญํมาก บางทีมีดอกเพศผู๎หรือปลี บางทีไมํมี ถ๎าหากไมํมีดอกเพศผ๎ู จะไมํเห็นปลี และมีผลขนาด ใหญํ ถ๎ามีดอกเพศผู๎ ผลจะมีขนาดเล็กกวํา มีหลายหวีและหลายผล การมีปลีและไมํมีปลีนี้เกิดจากการกลาย พนั ธแุ๑ บบกลับไปกลับมาได๎ ดังน้ันจะเหน็ วํา ในกอเดียวกันอาจมีท้ังกล๎วยเทพรสมีปลี และไมํมีปลี หรือบางครั้ง มี 2 - 3 ปลี ในสมัยโบราณเรียกกล๎วยเทพรสท่ีมีปลีวํา กล๎วยทิพรส กล๎วยเทพรสที่สุกงอมจะหวาน เมื่อนาไป ต๎มมีรสฝาด 8. กลุม่ AABB เป็นลูกผสมมีเช้ือพันธุกรรมของกล๎วยปุากับกล๎วยตานี กล๎วยในกลุํมน้ีมีอยํูชนิดเดียวในประเทศไทย คอื กล๎วยเงนิ ผลขนาดใหญํ รูปรํางคล๎ายกล๎วยไขํ เมื่อสุกผิวสีเหลืองสดใส เนื้อผลสีส๎ม มีแปูงมาก รับประทาน ผลสด นอกจากกล๎วยดงั ทไี่ ดก๎ ลําวแล๎ว ยังมีกล๎วยปุาท่ีเกิดในธรรมชาติซ่ึงมีเมล็ดมาก ท้ังกล๎วยในสกุล Musa acuminataและ Musa itineransหรอื ที่เรยี กวํา กล๎วยหก หรอื กล๎วยอํางขาง และกล๎วยปุาที่เป็นกล๎วยประดับ เชนํ กล๎วยบวั สีส๎ม และกล๎วยบัวสชี มพู การปลูกและการดูแลกล้วย กล๎วยเป็นพืชที่ชอบอากาศร๎อนช้ืน ซ่ึงเหมาะกับการปลูกในประเทศไทย ถ๎าหากอุณหภูมิต่ากวํา 14 องศาเซลเซยี ส กล๎วยจะชะงักการเจริญเติบโต หรือมีการเติบโตช๎าลง รวมท้ังการออกดอกและติดผลจะช๎าด๎วย อน่ึง กลว๎ ยเปน็ พืชทม่ี ีแผนํ ใบใหญํ ดงั นั้นจึงไมํคํอยทนตํอแรงลม เพราะใบจะต๎านลม ทาให๎ใบแตกได๎ ถ๎าหากใบ แตกมากจนเป็น ฝอย จะทาให๎มีการสังเคราะห๑อาหารได๎น๎อย ต๎นไมํเจริญเทําที่ควร ดังน้ันถ๎าพ้ืนที่ท่ีมีลมแรง มาก ควรปลูกต๎นไม๎อื่นทาเปน็ แนวกนั ลมใหต๎ น๎ กลว๎ ย ดนิ ทีเ่ หมาะสาหรับการปลูกกล๎วยคอื ดินตะกอนธารน้าท่ีชาวบา๎ นเรียกวาํ \"ดินน้าไหลทรายมูล\" ซ่ึงเป็น ดินรวํ นทมี่ ีความอุดมสมบรู ณ๑ มีการระบายน้า และการหมุนเวียนอากาศดี ถ๎าดินเป็นดินเหนียว ควรใสํปุ๋ยคอก จะทาใหด๎ นิ รํวนโปรงํ ขน้ึ ระยะปลกู กล๎วยเป็นพืชที่มีใบยาว หากปลูกในระยะใกล๎กันมาก อาจทาให๎ใบเกยกัน หรือซ๎อนกัน ทาให๎ได๎รับ แสงแดดไมเํ พยี งพอ และดแู ลลาบาก การกาหนดระยะปลูกจึงควรคานงึ ถงึ เรือ่ งแสงแดด ความอุดมสมบูรณ๑

ของดิน และความต๎องการของผ๎ูปลูกวําต๎องการปลูกกล๎วยเพื่อเก็บเก่ียวก่ีคร้ัง หากต๎องการเก็บเก่ียวเพียงครั้ง เดยี วก็อาจปลกู ถ่ีได๎ แตํถ๎าตอ๎ งการเกบ็ เก่ียวหลายๆ ครั้ง ตอ๎ งปลกู ใหห๎ าํ งกัน เพ่อื มีพน้ื ทสี่ าหรับการแตกหนอํ การปลกู ขุดหลุมให๎มีขนาดความ กว๎าง 50 เซนติเมตร ลึก 50 เซนติเมตร นาดินที่ขุดได๎กองตากไว๎ 5 - 7 วัน หลงั จากนั้นเอาดนิ ช้ันบนทต่ี ากไว๎ลงไปก๎นหลุม ใสํปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวแล๎ว ให๎สูงขึ้นมาประมาณ 20 เซนติเมตร คลุกเคล๎าปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักกับดินช้ันบนที่ใสํลงไป แล๎วจึงเอาหนํอกล๎วยที่เตรียมไว๎ วางที่ตรง กลางหลมุ เอาดนิ ลาํ งกลบ รดนา้ และกดดนิ ใหแ๎ นํน ยอดของหนํอควรสูงกวําระดบั ดินประมาณ 10 เซนติเมตร ควรหันรอยแผลของหนํอให๎อยํูในทิศทางเดียวกัน เพราะเม่ือโตเต็มที่และติดผล ผลจะเกิดในทิศทางท่ีตรงกัน ข๎ามกับรอยแผล และอยูํในทิศทางเดียวกัน เพื่อสะดวกในการทางาน แตํหากเป็นต๎นที่เกิดจากการเพาะเล้ียง เนอ้ื เยือ่ จะไมมํ ีทศิ ทางของรอยแผล ในการวางต๎นจึงจาเปน็ ต๎องมที ศิ ทาง ถา๎ หากพื้นท่ีน้ันเป็นดินเหนียว ควรทาการยกรํอง จะได๎ระบายน้า และปลูกบนสันรํองทั้ง 2 ข๎าง และ เพื่อใหก๎ ารปฏบิ ตั งิ านทาไดง๎ ําย ควรวางหนํอให๎กลว๎ ยออกเครอื ไปทางกลางรอํ ง การกาจัดหน่อ เมื่อต๎นกล๎วยมีอายุได๎ 4 - 6 เดือน จะเร่ิมมีการแตกหนํอ หนํอท่ีเกิดมาเรียกวํา หนํอตาม (follower) กล๎วยบางพันธุ๑ที่มีหนํอมาก ควรเอาหนํอออกบ๎าง เพ่ือมิให๎หนํอแยํงอาหารจากต๎นแมํ ควรเก็บหนํอไว๎ 1 - 2 หนอํ เพื่อให๎เปน็ ตัวพยงุ ต๎นแมเํ มื่อมลี มแรง และเพอื่ เก็บเกย่ี วผลผลิตในปีตํอไป วิธีการกาจัดหนํออาจใช๎เสียมที่ คมหรอื มีดแซะลงไป หรือใชม๎ ดี ตัดหรือควา๎ นหนํอท่ีอยํูเหนือดิน แล๎วใช๎น้ามันก๏าด หรือสารกาจัดวัชพืชหยอดที่ บริเวณจุดเจริญ เพื่อไมํให๎มีการเจริญเป็นต๎น แตํไมํควรแซะหนํอในระหวํางการออกดอก เพราะต๎นอาจ กระทบกระเทือนได๎ นอกจากการกาจดั หนํอแลว๎ ควรตดั ใบที่แห๎งออก เพราะถ๎าทงิ้ ไวอ๎ าจเป็นแหลงํ สะสมโรค ใน 1 ต๎น ควรเก็บใบไวป๎ ระมาณ 7 - 12 ใบ การใหป้ ุ๋ย กล๎วยเป็นพืชท่ีต๎องการธาตุอาหารมาก การติดผลจะมากหรือน๎อย ข้ึนอยูํกับอาหารและน้าที่ได๎รับ ดังนั้นควรบารุงโดยใสํปุ๋ย ท้ังปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก และปุ๋ยเคมี ตั้งแตํเริ่มปลูก ในระยะแรกควรให๎ปุ๋ยที่มี ไนโตรเจนมากในชํวง 2 เดอื นแรก โดยให๎ป๋ยุ ยูเรียเดือนละครั้ง และเดือนท่ี 3 และ 4 ให๎ปุ๋ยสูตร 15 - 15 - 15 ต๎นละ 1/2 กโิ ลกรมั สวํ นในเดอื นที่ 5 และ 6 ใหใ๎ สํปยุ๋ สตู ร 13 - 13 - 21 ต๎นละ 1/2 กิโลกรัม การคา้ ยนั กลว๎ ยบางพันธ๑ุมผี ลดกมาก โดยมีจานวนหวีมากและผลใหญํ ต๎นที่มีขนาดเล็ก หากไมํค้าไว๎ ต๎นอาจล๎ม ทาให๎เครือหกั ได๎ เชนํ กล๎วยหอมทอง กล๎วยไขํ จาเป็นต๎องค้าบริเวณโคนเครือกล๎วยไว๎ โดยใช๎ไม๎ไผํหรือไม๎อ่ืนที่ มีงาํ ม การให้ผล กล๎วยจะออกดอกเม่ืออายุตํางกันตามชนิดของกล๎วย เชํน กล๎วยไขํ เร่ิมออกดอกเมื่ออายุประมาณ5 - 6 เดอื น และกลว๎ ยหอมทองจะเรม่ิ ออกดอกเมอื่ อายุได๎ประมาณ 6 - 7 เดือน สํวนกล๎วยน้าว๎า และกล๎วยหักมุก ใช๎เวลานานกวํา และผลจะแกํ ในระยะเวลาที่ตํางกนั ดังแสดงในตารางที่ 2 การคลมุ ถงุ ถ๎าหากปลูกกล๎วยเพื่อการสํงออก ควรทาการคลุมถุง ถุงท่ีใช๎ควรเป็นถุงพลาสติกสีฟูาขนาดใหญํ และ ยาวกวาํ เครือกล๎วย เจาะรูเป็นระยะๆ และเปิดปากถุง ทาให๎มีอากาศถํายเทได๎ ถ๎าหากไมํเจาะรูและปิดปากถุง อาจทาใหก๎ ลว๎ ยเนาํ ได๎

โรคและแมลงศตั รูท่สี าคัญของกล้วย โรคท่รี ะบาดในกลว๎ ยทสี่ าคญั คือ โรคตายพราย (Panama disease หรือ Fusarium wilt) เกิดจากเช้ือรา Fusariumoxysporumf.sp. Cubenseเข๎าทาลายราก และมีการเจริญเข๎าไปในทํอน้า ทํออาหาร ทาให๎เกิดอุดตัน ใบจึงมีอาการขาดน้า เหี่ยวเฉา และเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หักพับ การเจริญจะชะงักงัน และตายในท่ีสุด โรคน้ีสามารถระบาดไปทาง ดิน ดังนั้นต๎นท่ีอยูํในบริเวณนั้นจะถูกโรคนี้ทาลายหมด จึงควรทาความสะอาดโคนกอกล๎วย อยําให๎รก ทาทาง ระบายน้าให๎ดี และราดด๎วยแคปแทน40 กรัมตอํ นา้ 20 ลิตร โรคใบจุด (Leaf spot) โรคใบจดุ มหี ลายชนดิ เชนํ โรคซกิ าโตกาสีเหลอื ง เฟโอเซปทอเรียใบจุด ใบจุด สีดา ใบจุดสีน้าตาล ใบจุดสีกระ แตํละโรคเกิดจากเช้ือราตํางชนิดกัน สํวนใหญํโรคที่พบในกล๎วยหอมทอง คือ โรคเฟโอเซปทอเรียใบจุด เกิดจากเชื้อรา Phaeoseptoriamusaeลักษณะอาการคือ ใบเกิดเป็นจุดเล็กขนาด เทําหัวเข็มหมุด สนี ้าตาลดา รูปรํางยาวรี เมื่อความชื้นเหมาะสมแผลตรงกลางจะแห๎งเป็นสีน้าตาลอํอนปนเทา ขอบแผลเป็นแถบสีน้าตาลเข๎ม และรอบนอกเป็นสีเหลือง เมื่อเร่ิมมีโรคระบาด ควรพํนด๎วยเบนโนมิล10 กรัม ตํอน้า 20 ลิตร ท่ีใบ โรคใบจุดท่ีพบอีกชนิดคือ โรคซิกาโตกาสีเหลือง เกิดจากเช้ือรา Cercosporamusaeมี ลักษณะอาการคือ เกิดจุดเล็กๆ สีเหลือง ตํอมาจุดน้ีขยายใหญํ เป็นขีดสีเหลืองขนานไปตามเส๎นใบ ขนาดของ แผลโตข้ึน มีรูปรํางเหมือนไขํ ตรงกลางแห๎งเป็นสีน้าตาลปนเทา ถ๎าพบโรคใบจุดเหลําน้ี ควรตัดใบท่ีแสดง อาการของโรคมาเผาทง้ิ และพนํ ใบท่เี หลือด๎วยคารเ๑ บนดาซมิ 16 กรัมตํอน้า 20 ลติ ร แมลงศตั รูทสี่ าคัญของกลว๎ ยในประเทศไทยคอื ด๎วงงวง (stock weevil) ด๎วงงวง จะเข๎าทาลายท่ีรากและเหง๎ากล๎วย ทาให๎ต๎นกล๎วยชะงักการ เจริญเติบโต ใบเหี่ยวเฉา และตายในที่สดุ ควรถางบริเวณโคนของกอกล๎วยให๎สะอาด อยําให๎รกหรอื มวี ัชพชื หนอนม๎วนใบ (leaf roller) ผีเส้ือจะมาวางไขํในใบยอดที่ยังไมํคลี่ หลังจากน้ันไขํจะฟ๓กเป็นตัวอํอน เจริญอยูํในใบอํอนที่ยังม๎วนอยูํ ตัวหนอนจะกัดกินใบอํอน ทาให๎ใบแหวํง เป็นรูพรุน หรือฉีกขาด และม๎วน ตวั อยํางรวดเรว็ จงึ ควรตดั ใบทถี่ ูกทาลายมาเผาไฟให๎หมด การขยายพันธุ์ 1. โดยการใชเ๎ มล็ด กล๎วยกินได๎บางต๎นมีเมล็ด บางต๎นไมํมีเมล็ด เมล็ดของกล๎วย สํวนใหญํเกิดจากการผสมข๎ามกับกล๎วย ต๎นอ่นื หรอื พนั ธุอ๑ ่ืน ดงั น้ันเมล็ดทไี่ ด๎อาจเกดิ จากการผสมขา๎ มจะกลายเป็นลูกผสม ทาให๎ต๎นท่ีได๎ไมํตรงกับต๎นแมํ นัก และเน่ืองจากเมล็ดของกล๎วยมีเปลือกห๎ุมเมล็ดที่หนาและแข็ง ต๎องใช๎เวลานานมาก กวําจะเพาะเมล็ดเป็น ต๎นได๎ จึงไมํคํอยนิยมการเพาะเมล็ดกล๎วย ยกเว๎นกล๎วยนวลและกล๎วยผาที่จาเป็นต๎องเพาะเมล็ด เพราะต๎น กล๎วยชนิดนไ้ี มํมีการแตกหนํอ 2. โดยการใชห๎ นอํ ปกติกล๎วยมีการแตกหนํอจากตาขา๎ งของต๎นแมํ หนอํ กล๎วยมี 3 แบบใหญๆํ คือ 2.1 หนํอออํ น (peeper) เปน็ หนํออํอนมาก เกิดจากต๎นแมํท่ียังมีสํวนประกอบตํางๆ ไมํครบ สํวนของ ลาต๎นเลก็ มักจะออํ นแอ ไมเํ หมาะในการนาไปขยายพนั ธุ๑ 2.2 หนอํ ใบแคบ หรอื ใบดาบ (sword sucker) เปน็ หนํอที่มใี บเรยี วเลก็ โคนหนอํ ใหญํ หรอื มีสํวนของ ลาตน๎ ใหญํ จึงมีอาหารสะสมมาก หนํอชนดิ นีน้ ิยมนาไปปลูกเพราะจะไดต๎ น๎ ทีแ่ ข็งแรง 2.3 หนอํ ใบกว๎าง หนอํ ชนดิ นี้มโี คนหนํอหรือลาตน๎ เล็ก ใบคลีโ่ ตกวา๎ ง ไมํเหมาะท่ีจะนาไปปลูก เพราะมี อาหารสะสมในลาต๎นนอ๎ ย ตน๎ ทีป่ ลูกจากหนํอชนิดนจ้ี ึงไมํแขง็ แรง

นอกจากหนอํ ทั้ง 3 ชนิดดงั กลาํ วแลว๎ อาจใชต๎ ๎นแมซํ ่งึ มีตาตดิ อยํู มาผาํ เปน็ ชิน้ ๆ และชากไ็ ด๎ แตํไมํ เป็นท่ีนิยมมากนัก 3. โดยการเพาะเลีย้ งเน้อื เยื่อ (Tissue culture) วิธีนี้กาลังเป็นท่ีนิยม เพราะเป็นวิธีท่ีขยายพันธุ๑ให๎ได๎จานวนมากในเวลาอันสั้น จากหนํอท่ีสมบูรณ๑ 1 หนํอ อาจขยายไดถ๎ งึ 10,000 ตน๎ ในเวลา 1 ปี ถา๎ หากมีการทางานอยํางตํอเน่ืองตลอด วิธีน้ีเหมาะสาหรับการ ปลูกเพ่ือการสํงออก เพราะวําการสํงออกต๎องการจานวนต๎นปลูกที่มีขนาดสม่าเสมอ ปลูกพร๎อมๆ กันเป็น จานวนมาก เพือ่ ใหม๎ ีการเก็บเกยี่ วผลได๎พรอ๎ มๆ กนั และมนี า้ หนักมากกวาํ 1 ตันขน้ึ ไป สาหรับบรรจุ ใสํตู๎ขนสํง ในการสงํ ออก เนอื่ งจากการสงํ ออกไปจาหนาํ ยในตํางประเทศน้ัน ถ๎ามีจานวนน๎อยจะไมํเพียงพอกับการสํงออก และไมคํ ุม๎ กับการลงทนุ วธิ ีการเพาะเลี้ยงเน้อื เย่ือกล้วย การเพาะเลีย้ งเนื้อเย่ือกล๎วยเป็นวิธีการท่ีไมํยากนัก แตํต๎องลงทุนมาก เพราะจะต๎องมีห๎องท่ีปลอดเช้ือ ตเู๎ พาะเล้ียงเนื้อเย่ือ และอาหารเพาะเลี้ยงท่ีมีสูตรอาหารพิเศษ ซึ่งสํวนใหญํของอาหารนั้นจะเลียนแบบอาหาร ท่ีพืชได๎จากการปลูกแบบธรรมชาตินั่นเอง คือ จะต๎องประกอบด๎วยธาตุอาหารหลัก ได๎แกํ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) และธาตุอาหารรอง คือ แมงกานีส (Mn) โซเดียม (Na) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) กามะถัน (S) เหล็ก (Fe) สังกะสี (Zn) ทองแดง (Cu) โบรอน (B) นอกจากน้ียังต๎องมีวิตามิน ปริมาณท่ีใช๎ตามสูตรอาหาร MS (Murashige&Skoog, 1962) และฮอร๑โมน เพ่ือชํวยในการขยายพันธ๑ุให๎มี การแตกกอมากข้ึนคือ ฮอร๑โมน BA (Benzyl Adenine) ในระดับความเข๎มข๎นท่ีเหมาะกับกล๎วยประมาณ 3 - 5ppm หรืออาจใช๎น้ามะพร๎าวประมาณร๎อยละ 15 ตํอปริมาตรของอาหารก็ได๎ จะชํวยให๎มีการแตกหนํอเพิ่ม มากข้นึ สาหรบั แหลงํ ของธาตคุ าร๑บอน (C) จะไดจ๎ ากน้าตาล โดยใช๎น้าตาลร๎อยละ 2 - 4 โดยปริมาณ เมื่อผสม อาหารทุกอยํางแล๎ว ปรับความเป็นกรดดําง (pH) ท่ี 5.6 – 6.8 โดยใช๎ NaOHและ HCl ท่ีความเข๎มข๎น 1N หลงั จากปรับแลว๎ เติมวนุ๎ 4.5 – 8.0 กรมั ตอํ อาหาร 1 ลติ ร บรรจุใสํขวด ปิดฝา นึ่งในหม๎อน่ึงฆําเชื้อท่ีความดัน 15 ปอนด๑ นาน 15 - 30 นาที ทิง้ ไวใ๎ หเ๎ ย็น เก็บไว๎ 1 - 2 วนั แล๎วจงึ นามาใชเ๎ ลย้ี งเน้ือเยื่อได๎ หนํอกลว๎ ยที่จะนามาเพาะเลย้ี งเนอ้ื เยอื่ ใช๎หนํอใบแคบ แล๎วลอกกาบนอกออก จนเหลือหนํอที่มีขนาด ประมาณ 1x 1 นิว้ ทาการฟอกฆาํ เช้ือโรคในสารละลายคลอรอกซ๑แล๎วล๎างในน้ากลั่น หลังจากนั้นจึงนาช้ินสํวน ของหนอํ กลว๎ ยเข๎าทางานในตู๎เพาะเลีย้ ง จากนัน้ จึงลอกกาบกล๎วยออกอกี จนมีขนาดประมาณ 1 x 1 เซนติเมตร แล๎วผําออกเป็น 4 สํวน โดย ผําให๎ผํานจุดเจริญของกล๎วย และวางลงบนวุ๎นอาหาร แล๎วจึงนาขวดอาหารไปวางไว๎ในห๎องปลอดเชื้อท่ีมีแสง ประมาณ 3,000 ลักซ๑ อณุ หภูมิ 26 – 30 องศาเซลเซียส หลงั จากนน้ั ประมาณ 6 - 8 สปั ดาห๑ จะสังเกตเห็นวํา มีการแตกยอดอํอนของกล๎วยเกิดขึ้น ให๎ทาการตัดแบํงเนื้อเย่ือ ตํอไปทุกเดือน จนเม่ือได๎จานวนมากพอแล๎ว นามาออกรากในอาหาร MS ที่ไมํมีฮอร๑โมนประมาณ 1 เดือน ต๎นอํอนของกล๎วยก็จะออกรากพอประมาณ จึง นาย๎ายออกปลูกในบรรยากาศธรรมชาติได๎ โดยการนาขวดต๎นอํอนนั้นมาวางในบรรยากาศปกติกํอน 2 - 3 วัน เพอื่ ให๎ต๎นอํอนปรบั ตัวเข๎ากับบรรยากาศธรรมชาติ แล๎วนาออกปลูกในเคร่ืองปลูกท่ีสะอาด ประกอบด๎วยทราย : ดิน : ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก 1 : 1 : 1 อบฆําเชื้อ ท้ิงไว๎ให๎เย็นกํอนปลูก เม่ือต๎นกล๎ามีอายุประมาณ 6 - 8 สัปดาห๑ หรือมคี วามสงู ประมาณ 30 เซนติเมตร จึงนาไปปลกู ลงในแปลงได๎

ประโยชน์ท่ีได้รบั จากการเพาะเลย้ี งเนือ้ เย่ือ 1. เพอ่ื เพมิ่ ปริมาณในระยะเวลาสน้ั เพราะการเกิดหนํอตามธรรมชาตินน้ั หากขยายพันธุ๑จาก 1 ตน๎ จะใหห๎ นอํ ไมเํ กิน 10 หนํอ และเมื่อนาหนํอนั้นมาขยายพนั ธุ๑ตํอๆ มา ใน 1 ปี จะได๎หนํอจานวนไมํเกนิ ๑,๐๐๐ หนํอ แตํหากใช๎วทิ ยาการเพาะเลย้ี งเนือ้ เยื่อ จะทาใหส๎ ามารถเพิ่มปริมาณไดถ๎ ึง 10,000 หนอํ ซ่ึงใชเ๎ วลาเทาํ กนั แตจํ านวนที่ไดจ๎ ะตาํ งกนั มากประมาณ 10 เทํา 2. ไดต๎ ๎นพันธทุ๑ ี่สะอาดปราศจากโรค และแมลง ปกติหนํอพันธุ๑ท่ีขุดมาจากต๎น มักจะมีโรคและแมลงท่ี ระบาดอยูํในท๎องถ่นิ นน้ั ตดิ มาด๎วย ทาให๎การเจริญของหนอํ ชะงกั เจรญิ ได๎ไมเํ ตม็ ที่ และโรคบางชนิดอาจมาแพรํ เชื้อ ทาให๎เกิดการระบาดตามมา รวมทั้งแมลงบางชนิด เชํน หนอนเจาะลาต๎น สามารถเจริญพันธ๑ุได๎อยําง รวดเร็ว และระบาดเจาะไชลาต๎นทาให๎การเจริญของต๎นไมํดี หรือเม่ือเจริญข้ึนมาแล๎วเกิดหักล๎ม บางคร้ังเม่ือ ออกดอกแล๎วกาลังติดผล ตน๎ อาจจะลม๎ ลง เกิดความเสยี หายอยํางมาก การใช๎ต๎นพันธุ๑จากการเพาะเล้ียงเนื้อเยื่อจะไมํมีโรคและแมลงติดมาด๎วย เพราะในการขยายพันธ๑ุ เรา ใชจ๎ ุดกาเนิดซึ่งอยํูสํวนในสุดของลาต๎น และเป็นสํวนทสี่ ะอาด ไมํมีเช้ือโรค นามาเพาะเล้ียงในสภาพที่ปลอดเช้ือ คือ ในอาหารสงั เคราะห๑ และห๎องปฏิบตั กิ ารทปี่ ราศจากเชือ้ โรค จึงทาให๎ตน๎ พนั ธทุ๑ ่ีได๎จากการเพาะเลี้ยงเน้ือเยื่อ สะอาด ปราศจากเช้อื โรคและแมลง ทาให๎ต๎นเจรญิ เติบโตเรว็ ให๎ผลผลิตเร็ว และมีคุณภาพ แตํทั้งน้ีต๎นท่ีได๎จาก การเพาะเลี้ยงเนือ้ เยือ่ จะมิใชํต๎นทต่ี า๎ นทานตํอโรค 3. เพ่ือการปรับปรุงพันธ๑ ในการขยายพันธุต๑ ามธรรมชาติจานวนมาก จะมีการกลายพันธ๑ุเกิดขึ้น แม๎ใน การเพาะเล้ียงเนื้อเย่ือก็มีโอกาสเกิดข้ึนได๎เชํนกัน ถ๎าหากต๎นที่เกิดขึ้นมีลักษณะที่ดี ให๎ผลผลิตดี ก็ควรสํงเสริม ตอํ ไปเป็นสายพนั ธุ๑ใหมํ แตถํ า๎ ไมดํ ี ก็สามารถคัดทิ้งออกไปได๎ การกลายพันธ๑ุอาจดูได๎ต้ังแตํ ต๎นขนาดเล็ก ถ๎าเรา ไมํต๎องการ สามารถคัดท้ิงได๎ แตํถ๎าต๎องการทดสอบตํอไป ก็อาจปลูกให๎ต๎นโต และถ๎าได๎ลักษณะท่ีดี ก็ ขยายพนั ธตุ๑ อํ ไปเปน็ สายพันธุ๑ใหมํ นอกจากน้ี ในการเพาะเล้ียงเนื้อเยื่อ อาจทาถึงระดับเพาะเล้ียงเซลล๑และโพรโทพลาสต๑ ซ่ึงสามารถท่ี จะนาเอาโพรโทพลาสต๑ ของกลว๎ ยสายพนั ธ๑ุทด่ี ีมาผสมกนั ทาให๎เกดิ พนั ธุ๑ใหมไํ ดเ๎ ชนํ เดยี วกับพืชอ่นื ๆ 4. เพ่ือเก็บรักษาสายพันธ๑ุ การเก็บรักษาสายพันธุ๑อาจทาได๎โดยการลดอุณหภูมิให๎ต่า หรือเก็บไว๎ใน ไนโตรเจนเหลว เพ่อื รักษาสายพันธ๑ไุ ว๎ใช๎ได๎ในระยะนาน และเม่ือตอ๎ งการก็สามารถนาออกมาปลูกได๎ ประโยชนข์ องกล้วย กล๎วยมคี วามผูกพนั ในวิถชี ีวติ คนไทยมาชา๎ นาน คนไทยร๎จู ักใช๎ประโยชน๑จากต๎นกล๎วย นอกจากบริโภค เป็นอาหารแลว๎ ทุกสวํ นของกล๎วยยังนามาใช๎ในพิธีกรรมตํางๆ รวมทงั้ ในชวี ติ ประจาวนั ด๎วย 1. การใชป๎ ระโยชนใ๑ นการบริโภค กล๎วยเป็นผลไม๎ที่มีเปลือกหุ๎มเชํนเดียวกับผลไม๎อ่ืนๆ แตํวิธีการปอกเปลือกกล๎วยนั้น ไมํจาเป็นต๎องใช๎ เคร่อื งมือ เพียงใช๎มือเด็ดปลายหรือจุก ก็สามารถปอกเปลือกได๎ด๎วยมือและรับประทานได๎ทันที จึงเป็นผลไม๎ท่ี รับประทานงําย ดังคาโบราณวํา \"งํายเหมือนปอกกล๎วยเข๎าปาก\" นอกจากปอกเปลือกงํายแล๎ว กล๎วยสุกเม่ือ รับประทานแล๎ว ก็จะลื่นลงกระเพาะได๎งําย และยํอยงําย ด๎วยเหตุที่กล๎วยล่ืนลงกระเพาะได๎งําย ทาให๎บางคน ไมํคํอยเค้ียวกล๎วยซ่ึงเป็นวิธีการที่ผิด การรับประทานกล๎วยจาเป็นต๎องเค้ียวให๎ละเอียด เพราะกล๎วยมีแปูงร๎อย ละ 20 - 25 ของเนือ้ กล๎วย ถา๎ เคีย้ วไมลํ ะเอียด น้ายํอยในกระเพาะต๎องทางานหนัก หากยํอยไมํทันกล๎วยจะอืด ในกระเพาะ อยํางไรก็ตาม กระเพาะของคนใช๎เวลาในการยํอยกล๎วยส้ันกวําการยํอยส๎ม นม กะหล่าปลี หรือ แอปเปิล ดังนั้นคนไทยจึงนิยมใช๎กล๎วยท่ีขูดเอาแตํเนื้อ ไมํเอาไส๎ บดละเอียดให๎ทารกรับประทาน นอกจาก ทารกแล๎ว คนชราก็รับประทานกล๎วยได๎ดีเชํนกัน ในกรณีคนหนุํมสาว กล๎วยเหมาะสาหรับคนที่ต๎องการลด

ความอ๎วน เน่ืองจากกล๎วยมีคุณคําทางอาหารสูงพอๆ กับมันฝร่ัง แตํมีปริมาณไขมัน คอเลสเตอรอล และเกลือ แรตํ า่ กล๎วยมีโซเดยี มเพยี งเล็กน๎อย แตํมีโพแทสเซียมสูง การมีโพแทสเซียมสูงน้ีจะชํวยลดความดันโลหิตลงได๎ ในประเทศอินเดียมีความเช่ือวํา หากรับประทานกล๎วย 2 ผลตํอวัน จะสามารถลดความดันโลหิตได๎ถึงร๎อยละ 10 ภายในระยะเวลา 1 สัปดาห๑ กลว๎ ยยังเป็นผลไมท๎ ีเ่ หมาะสาหรบั ผู๎ที่เป็นโรคเกีย่ วกบั ทางเดินอาหาร และท๎องเสียบํอย เพราะสามารถ ชํวยลดแก๏สในกระเพาะอาหารได๎ กล๎วยเม่ือยังดิบจะมีแปูงมาก แตํเม่ือสุก แปูงจะเปลี่ยนเป็นน้าตาล ดังนั้น หากท๎องเดิน การกินกล๎วยดิบจะชํวยทาให๎อาการท๎องเดินหยุดได๎ และเม่ือเป็นโรคกระเพาะ ให๎กินกล๎วยที่สุก แล๎ว สาหรบั กลว๎ ยท่ีทาใหส๎ ุกด๎วยความรอ๎ น วติ ามินจะลดลง 2. การใชป๎ ระโยชนใ๑ นพธิ กี รรมตาํ งๆ และในชวี ิตประจาวัน  ในพิธที างศาสนา เชํน การเทศนม๑ หาชาติ และการทอดกฐิน มักใช๎ต๎นกล๎วยประดับธรรมาสน๑ และองค๑กฐนิ  ในพิธีตง้ั ขนั ขา๎ ว หรอื คาํ บชู าครหู มอตาแย สาหรบั ผ๎ูหญงิ ที่ตง้ั ครรภ๑ และไปขอให๎หมอตาแยทา คลอดให๎ จะต๎องใช๎กล๎วย 1 หวี พร๎อมทั้งข๎าวสาร หมากพลู ธูปเทียนสาหรับการทาพิธีบูชาครูกํอนคลอด และ เม่อื คลอดแลว๎ จะตอ๎ งอยไํู ฟ กย็ งั ใช๎ตน๎ กลว๎ ยทาเป็นทํอนล๎อมเตาไฟ ปอู งกันการลามของไฟ  ในพิธีทาขวัญเด็ก เม่ือเด็กอายุได๎ 1 เดือน กับ 1 วัน มีการทาขวัญเด็กและโกนผมไฟ จะมี กล๎วย 1 หวี เปน็ สํวนประกอบในพธิ ีด๎วย  ในพิธีแตํงงาน มักมีต๎นกล๎วยและต๎นอ๎อยในขบวนขันหมาก พร๎อมทั้งมีขนมกล๎วย และกล๎วย ท้งั หวี เปน็ การเซํนไหวเ๎ ทวดาและบรรพบุรษุ  ในการปลูกบ๎าน เม่ือมีพิธีทาขวัญยกเสาเอก จะใช๎หนํอกล๎วยผูกมัดไว๎ที่ปลายเสารํวมกับต๎น อ๎อย และเม่อื เสรจ็ พิธี กจ็ ะมกี ารลาต๎นกลว๎ ยและต๎นออ๎ ยนั้น นามาปลูกไว๎ในบริเวณบ๎าน จากน้ันประมาณ 1 ปี หรือเมือ่ ปลกู บ๎านเสร็จแลว๎ พร๎อมอยํูอาศัย กม็ กี ลว๎ ยไว๎กนิ พอดี  ในงานศพ ในสมัยโบราณ มีการนาใบตอง มารองศพ กํอนนาศพวางลงในโลงนอกจากน้ี ใบตองยังมีบทบาทสาคัญมากในพิธีกรรมตํางๆ โดยการนามาทากระทงใสํของ ใสํดอกไม๎ และประดิษฐ๑เป็น กระทง บายศรี  ในชีวิตประจาวัน ใช๎ใบตองในการหํอผักสดและอาหาร เนื่องจากใบตองสดมีความชื้น ดังน้ัน เม่อื ใช๎หอํ ผักสดหรอื อาหาร ความช้นื จะชวํ ยรกั ษาผักหรืออาหารให๎สดอยูํเสมอ นอกจากน้ีใบตองยังทนทานตํอ ความเย็นและความร๎อน ดังน้ันเม่ือนาใบตองหํออาหารแล๎วเอาไปป้ิง น่ึง ต๎ม ใบตองก็จะไมํสลายหรือละลาย เหมือนเชนํ พลาสติก จึงมีอาหารหลายอยํางที่หํอใบตองแล๎วนาไปนึ่ง เชํน หํอหมก ข๎าวต๎มผัด ขนมกล๎วย ขนม ตาล ขนมใสํไส๎ หรือเอาไปป้ิง เชํน ข๎าวเหนียวปิ้ง หรือนาไปต๎ม เชํน ข๎าวต๎มมัด หรือข๎าวต๎มจิ้ม อาหารเหลําน้ี เมื่อนาไปต๎ม ปิ้ง หรือน่ึงแล๎ว ยังทาให๎เกิดความหอมของใบตองอีกด๎วย สาหรับใบตองแห๎ง นามาใช๎ทากระทง เพ่ือใสํอาหาร หํอกะละแม มวนบุหร่ี โดยใบตองแห๎งก็จะมีกล่ินหอมเชํนกัน ท่ีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร๑ได๎มี การทดลองนาเอาใบตองแห๎งมาอัดกันแนํนหลายๆ ชั้น ทาเป็นภาชนะใสํของแทนการใช๎โฟมได๎อีกด๎วยใบตอง แหง๎ ยงั นาไปใช๎ในงานศิลปกรรมไทยได๎อีกหลายอยําง เชํน นาไปทา รักสมุก ในงานของชํางเขียน ชํางป๓้น ชําง แกะ และชํางหุํน เพราะรักสมุกใบตองแห๎ง ชํวยในการเคลือบและปกปูองเน้ือไม๎ ขัดแตํงงําย เม่ือแห๎งผิวเป็น มัน น้าหนักเบา เหมาะในการทาหัวโขน และการลงรักปิดทองในสมัยโบราณ เมื่อยังใช๎เตารีดที่เป็นเตาถําน หากเตาร๎อนมากไป ก็เอามารีดบนใบตองสด กํอนนาไปรีดบนผ๎า เพราะใบตองมีสารจาพวกข้ีผึ้งหุ๎มอยูํ ขี้ผ้ึงจะ ชวํ ยเคลือบเตารีด ทาใหร๎ ดี ผ๎าไมตํ ิด

กาบกล๎วย ใช๎ในศิลปะการแทงหยวกไว๎ที่เชิงตะกอนเวลาเผาศพ สํวนใหญํใช๎กาบกล๎วยตานี เพราะ กาบกล๎วยตานีขาวสะอาด ทาให๎หยวกท่ีแทงมีลวดลายสวยงาม งานแทงหยวกเป็นงานท่ีต๎องทาหลายคนแล๎ว เอามาประกอบกัน โดยชํางผ๎ูทาต๎องสลักเป็นลายไทยตํางๆ เชํน กระจังตาอ๎อย กระหนกเปลว ครีบสิงห๑ แข๎ง สิงห๑ รกั รอ๎ ย และเครือเถา นอกจากน้ีกาบกล๎วยยังนามาฉีกเป็นเส๎นใหญํๆ ใช๎มัดผักเป็นกาๆ เชํน ชะอม ตาลึง เพือ่ ใหค๎ วามช้ืนกบั ผกั เพราะกาบกลว๎ ยมีน้าอยูํมาก ถ๎าฉกี เปน็ เสน๎ เลก็ ๆ ก็ใช๎มดั ของแทนเชือกได๎ กาบกล๎วยเม่ือ แห๎งอาจนามาทาเป็นเชือกกล๎วย สาหรับผูกของและสานทาเป็นภาชนะรองของ หรือสานเป็นกระเป๋า สุภาพสตรี นอกจากนี้ใยของกาบกลว๎ ยยงั นามาใชท๎ อผา๎ ได๎ดว๎ ยเชนํ กนั ตน๎ กล๎วย ที่หน่ั เปน็ ทํอนๆ อาจใช๎เป็นทุํนลอยน้าให๎เด็กๆ ใช๎หัดวํายน้า หรือนามาทาเป็นแพสาหรับต้ัง สิง่ ของให๎ลอยอยํใู นนา้ ก๎านกล๎วย เมื่อเอาแผํนใบออก แกนกลางหรือเส๎นกลางใบ อาจนามาใช๎มัดของ หรือนามาทาของเลํน เดก็ ๆ ได๎ เชํน ทาเป็นมา๎ กา๎ นกลว๎ ย และปนื กา๎ นกลว๎ ย ซ่ึงเป็นของเลํนของเดก็ ไทยในสมัยกํอน การแปรรูปกลว้ ย เม่อื ปลกู กล๎วยกนิ กันมากข้ึน ผลผลิตกล๎วยที่ไมํได๎ขนาดตามท่ีต๎องการอาจจะเหลือทิ้ง ดังน้ันเพ่ือไมํให๎ ไรป๎ ระโยชน๑ จงึ ควรนามาแปรรปู เพอ่ื ให๎เก็บได๎นานขน้ึ อกี ทั้งเป็นการเพม่ิ มลู คาํ ให๎แกํผลผลิตด๎วย ก. การแปรรปู จากกล๎วยดิบ 1. การทากล๎วยอบเนย กล๎วยฉาบ หรือ \"กลว๎ ยกรอบแก๎ว\" ใชก๎ ลว๎ ยดิบ เชํน กลว๎ ยน้าวา๎ กลว๎ ยหอม กลว๎ ยหกั มุก นามาฝานบางๆ ตามยาว หรือตามขวาง อาจจะ ผึ่งลมสักครูํ หรือฝานลงกระทะทันทีก็ได๎ และทอดในกระทะที่ใสํน้ามันทํวม เมื่อชิ้นกล๎วยสุกจะลอย ก็ตักขึ้น และซับน้ามันด๎วยกระดาษฟาง จากนั้นอาจนาไปคลุกเนย เรียกวํา กล๎วยอบเนย หรือฉาบให๎หวานด๎วยการ นาไปคลุกกับน้าตาลท่ีเคี่ยวจนเกือบแห๎งในกระทะ เรียกวํา กล๎วยฉาบ หรือนาไปคลุกในน้าเชื่อม แล๎วเอาลง ทอดอกี คร้ังอยํางรวดเร็ว เรยี กวํา กล๎วยกรอบแกว๎ 2. แปูงกล๎วย นากล๎วยดิบมานึ่งให๎สุก ปอกเปลือก หั่น และอบให๎แห๎ง แล๎วบดให๎ละเอียดเป็นแปูง ใช๎ทาขนมกล๎วย และบวั ลอย หรอื ผสมกบั แปงู เคก๎ ใชท๎ าคกุ กไ้ี ด๎ ทาให๎มกี ลิ่นหอมของกล๎วย ข. การแปรรปู จากกลว๎ ยสุก 1. นา้ ผลไม๎ นาเน้อื กล๎วยที่สกุ มาหมักใสเํ อนไซมเ๑ พกทโิ นไลติก (pectinolytic) ความเข๎มขน๎ 0.01 % เพือ่ ยํอย และบมํ ไว๎ท่ีอุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส นาน 1 ช่ัวโมง จะได๎นา้ กลว๎ ยท่ีใส 2. เครอื่ งดื่มทมี่ ีแอลกอฮอล๑ ประเทศในทวีปแอฟริกา เชํน ยูกันดา รวันดา บุรุนดี คองโก และแทนซาเนีย นิยมนากล๎วยมาทา เคร่ืองด่ืมท่ีมีแอลกอฮอล๑ต่า ในประเทศยูกันดา เรียกเครื่องด่ืมชนิดน้ีวํา วารากิ (Waragi) ประเทศฝร่ังเศสนา เนื้อกล๎วยสุกบดเหลวผสมกับน้า และทาให๎ร๎อน 65 - 70 องศาเซลเซียส นาน 1 ช่ัวโมง แล๎วทาให๎เย็นลงท่ี อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ตอํ มาใสเํ อนไซม๑เพกทเิ นส (pectinase) ทงิ้ ไว๎นาน 24 ช่ัวโมง ภายใต๎บรรยากาศท่ี เพิ่มคาร๑บอนไดออกไซด๑ นาสํวนท่ีเป็นกากมาบด แล๎วนาสํวนที่เป็นน้ามาหมักด๎วยเช้ือ Saccharomyces cerevisiaeท่ีอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ภายใต๎บรรยากาศที่มีคาร๑บอนไดออกไซด๑ หรือไนโตรเจน จะได๎สุรา ผลไมท๎ ี่ทาจากกล๎วย 3. กล๎วยตาก (banana figs)

นากล๎วยที่สุกงอมมาปอกเปลือก และนาไปตากแดด 1 - 2 แดด จากนั้นมาคลึงเพื่อให๎กล๎วยนุํม แล๎ว นาไปตากอีก 5 - 6 แดด หรือจนกวํากล๎วยจะแห๎งตามต๎องการ (ในทุกๆ วันที่เก็บ ให๎นากล๎วยทั้งหมดมา รวมกัน น้าหวานจากกล๎วยจะออกมาทุกวัน และกล๎วยจะฉ่า แล๎วนาไปตากแดด) ระวังอยําให๎แมลงวันตอม สวํ นการตากอาจใชแ๎ สงอาทิตย๑ หรอื เตาอบขนาดใหญทํ ีใ่ ช๎พลงั งานแสงอาทติ ย๑หรือไฟฟาู 4. กลว๎ ยกวน นากล๎วยสุกงอมมายี แล๎วเคล๎ากับน้าตาลและกะทิ นาไปกวนในกระทะที่ไมํเป็นสนิม กวนท่ีไฟอํอนๆ จนสกุ เหนยี ว ป้น๓ เปน็ กอ๎ นกลม หรือสเ่ี หลย่ี ม แลว๎ หํอดว๎ ยกระดาษแก๎ว 5. ทอฟฟี่กล๎วย คล๎ายกลว๎ ยกวน แตใํ สแํ บะแซ จึงทาให๎แขง็ กวํากล๎วยกวน 6. ข๎าวเกรยี บกลว๎ ย ใช๎กล๎วยสกุ ผสมกบั แปูงและเกลือ อาจเติมน้าตาลเล็กน๎อยนวดแล๎วทาเป็นแทํงยาวๆ น่ึงให๎สุก เมื่อสุก ปลํอยทิ้งไว๎ให๎เย็น ฝานเป็นช้ินบางๆ ตากแดดให๎แห๎ง แล๎วนามาทอดรับประทานเป็นอาหารวําง ข๎าวเกรียบ กล๎วยนี้หากใชก๎ ลว๎ ยทีม่ ีกลิ่นจะทาใหห๎ อม กล๎วยนอกจากนามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ๑ตํางๆ ที่ได๎กลําวมาแล๎ว คนไทยยังนา ผล ปลี และหยวก กล๎วยมาทาอาหารทั้งคาวและหวานอีกด๎วย เชํน กล๎วยเชื่อม ขนมกล๎วย ข๎าวต๎มผัด แกงเลียงหัวปลี ยาหัวปลี ทอดมันหัวปลี และแกงหยวกกล๎วยกล๎วยจึงเป็นพืชที่คนไทยคุ๎นเคยและใช๎ประโยชน๑จากทุกสํวนของกล๎วยได๎ นานปั การ กลว๎ ยฉาบที่แปรรปู จากกลว๎ ยดบิ ผลติ ภณั ฑต๑ ํางๆ ที่แปรรูปมาจากกล๎วยดิบและกลว๎ ยสุก

ผลิตภณั ฑต๑ ํางๆ ทีแ่ ปรรปู มาจากกล๎วยดิบและกลว๎ ยสกุ วธิ ีทา “กลว้ ยฉาบ” วัตถดุ บิ 1. กล๎วยนา้ ว๎าหาํ ม 1 หวี 2. นา้ ตาลทราย 500 กรัม 3. เกลือ 1 ช๎อนชา 4. น้ามนั สาหรบั ทอด 5. มะนาว 2 ลกู 6. นา้ เปลํา ¼ ถ๎วยตวง วธิ ที า 1 : ปอกเปลือก - นากล๎วยน้าว๎าหํามมาปอกเปลือก แล๎วแชํในน้าผสมน้ามะนาว เพ่ือปูองกัน ไมใํ ห๎กลว๎ ยดา 2 : ทอด - ตั้งน้ามนั ใหร๎ ๎อน เอากลว๎ ยที่ปอกไวม๎ าฝานลงไปทอด คอยคนอยําใหก๎ ลว๎ ยตดิ กัน ทอดจนสุกเหลือง แลว๎ ตักขึ้นพกั ไว๎

3 : คลุกน้าตาล - ตงั้ หมอ๎ ไฟกลาง ใสนํ า้ ตาลทราย เกลอื และนา้ เปลํา เคี่ยวใหล๎ ะลายเปน็ ผลึก เล็กน๎อย แลว๎ นาไปราดลงกล๎วยที่ทอดไว๎ คลุกให๎เขา๎ กัน กล้วยฉาบงาดา วตั ถดุ บิ 1 กลว๎ ยน้าวา๎ ดบิ 4 หวี หรือจะใช๎กล๎วยหกั มุกก็ได๎ 2 นา้ ตาลทรายขาว 3 ถว๎ ยตวง 3 นา้ สะอาด 2 ถว๎ ยตวง 4 เกลอื 1 ชช. 5 น้ามันพืช 6 งาดาคว่ั

1. เอานา้ ใสํหม๎อ พรอ๎ มกับเกลือ เพื่อจะเอาไปแชกํ ลว๎ ยเวลาทปี่ ลอกเสรจ็ แล๎ว จะได๎ไมํดา กะน้าให๎ ทวํ มกลว๎ ย เกลอื ให๎เค็มนดิ หนอํ ย 2. ปอกเปลือก - นากล๎วยน้าว๎าหรือจะใช๎กล๎วยหักมุกมาปอกเปลือก แล๎วแชํในน้าผสมเกลือ เพ่ือ ปอู งกันไมํใหก๎ ลว๎ ยดา

3. การฝาน อุปกรณ๑งํายๆ ที่ปลอกเปลือกผลไม๎ลงไป เหมือนการปลอกเปลือกแตํเน๎นน้าหนักนิดนึง เพราะมดี แบบนใ้ี ช๎ปลอกเปลือกจะทาให๎บาง แตถํ า๎ มาฝานกล๎วยต๎องการหนานิดนงึ แตํไมบํ างมาก 4. ค่วั งากัน ใชไ๎ ฟอํอนๆครับ คั่วไปเรือ่ ยๆ ไมํนานมาก 5. ทอด - ตง้ั น้ามันใหร๎ ๎อน เอากลว๎ ยท่ปี อกไว๎มาฝานลงไปทอด คอยคนอยําให๎กล๎วยติดกัน ทอดจนสุก เหลอื ง แล๎วตักข้นึ พักไว๎

6. ใสนํ ้ากับนา้ ตาลทรายลงในกระทะเค่ยี วจนน้าตาลละลายและเหนยี วขน๎ แล๎วใสงํ าดาที่ค่ัวไว๎ลงไปคน ให๎เข๎ากัน 7. เทกลว๎ ยทอดกรอบลงไป คลุกจนเขา๎ กัน ปิดไฟ พักไวจ๎ นเย็น นาใสํภาชนะปิดอยําให๎อากาศเข๎า

ภาคผนวก - ประวัติผ้จู ัดทาภูมิปัญญาศกึ ษา - ภาพประกอบ

ประวตั ิผ้ถู า่ ยทอดภูมิปญั ญา ช่อื : นางสาวปราณี ฝางแกว๎ เกิด : 30มีนาคม 2503 อายุ 59 ปี ภมู ิลาเนา : - อยู่ปัจจุบนั : บ๎านเลขท่ี 2110 หมํู 1 ตาบลวงั นา้ เย็น อาเภอวังน้าเยน็ จังหวัดสระแก๎ว สถานภาพ : สมรสนายวนิ ยั ครุฑมณี มบี ุตรดว๎ ยกนั จานวน 3 คน ดงั นี้ 1. นายยุทธกิจ ครฑุ มณี 2. นายพิชติ ชยั ครุฑมณี 3. นางสาวผกามาศ ครฑุ มณี การศึกษา : การศึกษานอกระบบ ปจั จบุ ันประกอบอาชพี : เกษตรกรรมและรับจ๎างท้วั ไป ประวตั ิผเู้ รียบเรยี งภูมิปัญญาศึกษา ช่อื : นางกนกพร ออํ นสงค๑ เกิด : 3 มนี าคม 2512 อายุ 49 ปี ภมู ิลาเนา : จงั หวดั เพชรบรู ณ๑ ท่ีอยู่ปจั จบุ นั : 104 หมูํ 12 ตาบลคลองหนิ ปูน อาเภอวงั น้าเยน็ จงั หวัดสระแกว๎ 27210 สถานภาพ : สมรส กบั - มบี ตุ รด๎วยกัน 2 คน ดงั น้ี 1. นายทฆี ทศั น๑ ออํ นสงค๑ 2. นางสาวณัฐกฤตา อํอนสงค๑ การศึกษา : ปริญญาโท ปจั จบุ ันประกอบอาชพี : ครู โรงเรยี นเทศบาลมิตรสัมพันธ๑วิทยา สังกัดเทศบาลเมืองวังนา้ เยน็

ภาพประกอบการจัดทาภูมิปัญญาศกึ ษา เรือ่ งการทากลว้ ยฉาบงาดา

อปุ กรณก์ ารทากล้วยฉาบงาดา กล้วยนำ้ หว้ำ

กำรปลอกกล้วย กำรนำ้ กลว้ ยทีป่ ลอกแล้วไปแช่น้ำเกลือเพื่อไมใ่ หก้ ล้วยด้ำ

กำรหนั กล้วยใหเ้ ป็นรปู รำ่ งที่ตอ้ งกำร

ขนั ตอนกำรทอดกล้วย

การทอดกล้วย

กลว้ ยฉาบที่ทอดเสรจ็

อา้ งองิ สารานุกรมไทยเยาวชน.(ออนไลน๑).สบื ค๎นจาก : http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book /book.php?book=30&chap=6&page=t30-6-infodetail01.html.[22 มกราคม 2562]. Jarukit nokreed M.4/3 No.35. (ออนไลน)๑ .สบื คน๎ จาก : https://sites.google.com/site/aefjarukit 123/prawati-khxng-tn-klwy.[22 มกราคม 2562]. Wongnai, “การทากลว๎ ยฉาบ,” wongnai.com/recipes/sweet-banana-crisp. [Online]. Available: https://www.wongnai.com/recipes/sweet-banana-crisp[Accessed: Jan. 17, 2019].


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook