ภมู ปิ ัญญาศกึ ษา เรอ่ื ง เพลงพนื้ บา้ น โดย 1. นางเกลอ่ื น ยืนยงั่ (ผู้ถา่ ยทอดภมู ิปัญญา) 2. นางสาววราภรณ์ สุขแสวง (ผูเ้ รียบเรยี งภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่ิน) เอกสารภูมิปัญญาศึกษานเี้ ป็นส่วนหนง่ึ ของการศึกษา ตามหลักสตู รโรงเรียนผู้สงู อายเุ ทศบาลเมืองวงั น้าเยน็ ประจา้ ปกี ารศกึ ษา 2561 โรงเรียนผู้สงู อายเุ ทศบาลเมืองวังนา้ เยน็ สงั กดั เทศบาลเมอื งวงั น้าเย็น จังหวดั สระแก้ว
ค้านา้ ภมู ปิ ๓ญญาชาวบ๎านของคนไทยเราน้นั มีอยํูจานวนมากล๎วนแตํมีคุณคําและมีประโยชน๑เป๕นการบอกเลํา ถึงวัฒนธรรมไทยเป๕นอยํางดีแตํป๓จจุบันภูมิป๓ญญาเหลําน้ันกาลังสูญหายไปพร๎อมๆกับชีวิตของคนซึ่งดับสูญไป ตามกาลเวลา เทศบาลวังน้าเย็นได๎เล็งเห็นคุณคําและความสาคัญในเรื่องดังกลําวจึงจัดตั้งโรงเรียนผ๎ูสูงอายุข้ึน เพื่อใหผ๎ ู๎สงู อายุ เพ่ือให๎ผู๎สูงอายุในเขตตาบลวังน้าเย็นได๎มารวมตัวกัน เพื่อแลกเปล่ียนเรียนรู๎ซ่ึงกันและกันกํอน จบการศึกษานกั เรียนผ๎ูสูงอายุทุกคนจะต๎องจัดทาภูมิป๓ญญาศึกษาคนละ 1 เร่ือง เพ่ือเก็บไว๎ให๎อนุชนรํุนหลังได๎ ศึกษาเป๕นการสืบทอดมใิ ห๎ภูมปิ ญ๓ ญาสญู ไป ภูมิป๓ญญาฉบับนี้สาเร็จได๎โดยได๎รับความกรุณาและการสนับสนุนจากทํานทั้งหลายเหลํานี้ได๎แกํ นางสาววราภรณ๑ สุขแสวงซึ่งเป๕นครูพ่ีเล้ียงให๎คาปรึกษาแนะนาในการจัดทาภูมิป๓ญญาได๎ให๎ความร๎ูและ ประสบการณ๑ตํางๆในชํวงเวลาที่เรียนอยูํเป๕นเวลา 2 ปี คณะกรรมการบริหารโรงเรียนผ๎ูสูงอายุเจ๎าหน๎าที่กอง สาธารณสุขและสิ่งแวดล๎อมเทศบาลเมืองวังน้าเย็นทุกทํานท่ีให๎การดูแลและชํวยเหลือตลอดมาและท่ีสาคัญ ได๎แกํทํานวันชยั นารรี ักษ๑ นายกเทศมนตรีเมืองวังน้าเย็นและนายคะนองพล เพ็ชรรื่นปลัดเทศบาลเมืองวังน้า เยน็ ซง่ึ เปน๕ ผกู๎ ํอต้งั โรงเรยี นผสู๎ งู อายุและใหก๎ ารสนบั สนุนดแู ลนกั เรยี นผู๎สงู อายเุ ปน๕ อยาํ งดี ขอขอบคุณทุกทํานไว๎ ณ โอกาสนี้ เกลือ่ น ยนื ยัง่ วราภรณ๑ สขุ แสวง ผู๎จดั ทา
ที่มาและความส้าคญั ของภมู ิปัญญาศึกษา จากพระราชดารสั ของพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่วํา “ประชาชนน่ันแหละ ท่ีเขามีความร๎ูเขาทางานมาหลายชั่วอายุคนเขาทากันอยํางไรเขามีความเฉลียวฉลาดเขารู๎วําตรงไหนควรทา กสกิ รรมเขารูว๎ าํ ตรงไหนควรเก็บรักษาไว๎แตํท่ีเสียไปเพราะพวกไมํร๎ูเรื่องไมํได๎ทามานานแล๎วทาให๎ลืมวําชีวิตมัน เปน๕ ไปโดยการกระทาท่ีถูกต๎องหรือไมํ” พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอ-ดุลยเดช ที่สะท๎อนถึงพระปรีชาสามารถในการรับร๎ูและความเข๎าใจหย่ังลึกท่ีทรงเห็นคุณคําของภูมิป๓ญญาไทยอยําง แทจ๎ รงิ พระองคท๑ รงตระหนักเป๕นอยํางยิ่งวําภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นเป๕นส่ิงที่ชาวบ๎านมีอยํูแล๎วใช๎ประโยชน๑เพื่อความ อยรูํ อดกนั มายาวนานความสาคญั ของภูมปิ ๓ญญาท๎องถิ่นซึ่งความร๎ูที่ส่ังสมจากการปฏิบัติจริงในห๎องทดลองทาง สังคมเป๕นความรูด๎ ั้งเดิมที่ถกู ค๎นพบ มีการทดลองใช๎แก๎ไขดัดแปลงจนเป๕นองค๑ความร๎ูท่ีสามารถแก๎ป๓ญหาในการ ดาเนินชวี ติ และถาํ ยทอดสบื ตํอกนั มาภมู ิปญ๓ ญาท๎องถ่ินเป๕นขุมทรัพย๑ทางป๓ญญาท่ีคนไทยทุกคนควรร๎ูควรศึกษา ปรับปรุงและพัฒนาให๎สามารถนาภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นเหลําน้ันมาแก๎ไขป๓ญหาให๎สอดคล๎องกับบริบททางสังคม วัฒนธรรมของกลุํมชุมชนนั้น ๆอยํางแท๎จริงการพัฒนาภูมิป๓ญญาศึกษานับเป๕นสิ่งสาคัญตํอบทบาทของชุมชน ท๎องถ่ินที่ได๎พยายามสร๎างสรรค๑เป๕นน้าพักน้าแรงรํวมกันของผ๎ูสูงอายุและคนในชุมชนจนกลายเป๕นเอกลักษณ๑ และวัฒนธรรมประจาถน่ิ ที่เหมาะตํอการดาเนินชีวิตหรือภูมิป๓ญญาของคนในท๎องถิ่นน้ันๆแตํภูมิป๓ญญาท๎องถิ่น สํวนใหญํเป๕นความร๎ูหรือเป๕นส่ิงท่ีได๎มาจากประสบการณ๑หรือเป๕นความเชื่อสืบตํอกันมาแตํยังขาดองค๑ความร๎ู หรอื ขาดหลกั ฐานยืนยนั หนกั แนํนการสร๎างการยอมรับทเี่ กิดจากฐานภมู ิป๓ญญาท๎องถนิ่ จึงเป๕นไปได๎ยาก ดังน้ัน เพื่อให๎เกดิ การสํงเสริมพฒั นาภูมิป๓ญญาทเ่ี ป๕นเอกลักษณ๑ของท๎องถิ่นกระตุ๎นเกิดความภาคภูมิใจ ในภูมิป๓ญญาของบุคคลในท๎องถ่ิน ภูมิป๓ญญาไทยและวัฒนธรรมไทยเกิดการถํายทอดภูมิป๓ญญาสํูคนรุํนหลัง โรงเรียนผู๎สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็นได๎ดาเนินการจัดทาหลักสูตรการเรียนการ สอนเพ่ือพัฒนาศักยภาพ ผู๎สูงอายุในท๎องถิ่นที่เน๎นให๎ผ๎ูสูงอายุได๎พัฒนาตนเองให๎มีความพร๎อมสํูสังคมผู๎สูงอายุท่ีมีคุณภาพในอนาคต รวมท้ังสืบทอดภูมิป๓ญญาในการดารงชีวิตของนักเรียนผู๎สูงอายุท่ีได๎ส่ังสมมา เกิดจากการสืบทอดภูมิป๓ญญา ของบรรพบุรุษ โดยนักเรียนผ๎ูสูงอายุจะเป๕นผู๎ถํายทอดองค๑ความรู๎ และมีครูพี่เล้ียงซ่ึงเป๕นคณะครูของ โรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็นเป๕นผ๎ูเรียบเรียงองค๑ความร๎ูไปสูํการจัดทาภูมิป๓ญญาศึกษาให๎ปรากฏ ออกมาเป๕นรูปเลํมภูมปิ ญ๓ ญาศกึ ษา ใชเ๎ ปน๕ สํวนหนึ่งในการจบหลักสตู รการศกึ ษาของโรงเรียนผ๎ูสูงอายุ ประจาปี การศึกษา 2561พร๎อมท้ังเผยแพรํและจัดเก็บคลังภูมิป๓ญญาไว๎ในห๎องสมุดของโรงเรียนเทศบาลมิตร-สัมพันธ๑ วทิ ยาเพอื่ ให๎ภูมปิ ๓ญญาทอ๎ งถน่ิ เหลาํ นเ้ี กดิ การถาํ ยทอดสํูคนรนุํ หลังสืบตอํ ไป จากความรํวมมือในการพัฒนาบุคลากรในหนํวยงานและภาคีเครือขํายท่ีมีสํวนรํวมในการผสม ผสาน องคค๑ วามรเ๎ู พ่ือยกระดับความรู๎ของภมู ิปญ๓ ญานน้ั ๆเพอ่ื นาไปสูํการประยกุ ตใ๑ ช๎และผสมผสานเทคโนโลยีใหมํๆให๎ สอดรับกับวิถีชีวิตของชุมชนได๎อยํางมีประสิทธิภาพการนาภูมิป๓ญญาไทยกลับสํูการศึกษาสามารถสํงเสริมให๎มี การถํายทอดภูมิป๓ญญาในโรงเรยี นเทศบาลมติ รสัมพันธว๑ ทิ ยาและโรงเรยี นในสังกัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็น เกิด การมีสํวนรํวมในกระบวนการถํายทอด เช่ือมโยงความรู๎ให๎กับนักเรียนและบุคคลทั่วไปในท๎องถ่ิน โดยการนา บุคลากรท่ีมีความร๎ูความสามารถในท๎องถ่ินเข๎ามาเป๕นวิทยากรให๎ความร๎ูกับนักเรียนในโอกาสตํางๆหรือการท่ี โรงเรียนนาองค๑ความร๎ใู นทอ๎ งถ่นิ เขา๎ มาสอนสอดแทรกในกระบวนการจัดการเรียนรู๎ ส่ิงเหลําน้ีทาให๎การพัฒนา ภูมิป๓ญญาท๎องถิ่น นาไปสํูการสืบทอดภูมิป๓ญญาศึกษาเกิดความสาเร็จอยํางเป๕นรูปธรรมนักเรียนผ๎ูสูงอายุเกิด ความภาคภูมใิ จในภูมปิ ญ๓ ญาของตนทีไ่ ดถ๎ าํ ยทอดสคํู นรุนํ หลังใหค๎ งอยูํในท๎องถิ่น เป๕นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิต ประจาทอ๎ งถิ่น เปน๕ วัฒนธรรมการดาเนนิ ชวี ิตคแํู ผํนดินไทยตราบนานเทํานาน
นยิ ามค้าศพั ทใ์ นการจัดทา้ ภูมปิ ญั ญาศกึ ษา ภูมิปัญญาศึกษา หมายถึง การนาภูมิป๓ญญาการดาเนินชีวิตในเร่ืองท่ีผู๎สูงอายุเช่ียวชาญที่สุด ของ ผู๎สูงอายทุ ี่เข๎าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผู๎สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็น มาศึกษาและสืบทอดภูมิป๓ญญา ในรปู แบบตาํ ง ๆ มีการสืบทอดภูมิป๓ญญาโดยการปฏิบัติและการเรียบเรียงเป๕นลายลักษณ๑อักษรตามรูปแบบที่ โรงเรียนผู๎สูงอายุกาหนดขึ้นใช๎เป๕นสํวนหนึ่งในการจบหลักสูตรการศึกษาเพ่ือให๎ภูมิป๓ญญาของผ๎ูสูงอายุได๎รับ การถาํ ยทอดสูํคนรุํนหลงั และคงอยํูในทอ๎ งถ่ินตํอไป ซ่ึงแบงํ ภูมปิ ญ๓ ญาศึกษาออกเป๕น 3 ประเภท ไดแ๎ กํ 1. ภมู ปิ ญ๓ ญาศกึ ษาที่ผู๎สูงอายเุ ป๕นผ๎ูคดิ ค๎นภูมิปญ๓ ญาในการดาเนนิ ชวี ิตในเร่ืองท่ีเชีย่ วชาญทส่ี ดุ ด๎วยตนเอง 2. ภูมิป๓ญญาศึกษาท่ีผู๎สูงอายุเป๕นผ๎ูนาภูมิป๓ญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมาประยุกต๑ใช๎ในการดาเนิน ชวี ติ จนเกดิ ความเชี่ยวชาญ 3. ภูมิป๓ญญาศึกษาท่ีผ๎ูสูงอายุเป๕นผ๎ูนาภูมิป๓ญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมาใช๎ในการดาเนินชีวิตโดย ไมมํ ีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจนเกิดความเชยี่ วชาญ ผูถ้ า่ ยทอดภูมิปัญญา หมายถึง ผ๎ูสูงอายุที่เข๎าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผ๎ูสูงอายุเทศบาลเมือง วังน้าเย็นเป๕นผู๎ถํายทอดภูมิป๓ญญาการดาเนินชีวิตในเร่ืองท่ีตนเองเชี่ยวชาญมากท่ีสุด นามาถํายทอดให๎แกํผ๎ู เรียบเรยี งภูมปิ ญ๓ ญาท๎องถ่นิ ไดจ๎ ดั ทาข๎อมลู เปน๕ รปู เลมํ ภมู ิป๓ญญาศกึ ษา ผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง ผ๎ูท่ีนาภูมิป๓ญญาในการดาเนินชีวิตในเรื่องที่ผ๎ูสูงอายุ เชี่ยวชาญท่ีสุดมาเรียบเรียงเป๕นลายลักษณ๑อักษร ศึกษาหาข๎อมูลเพิ่มเติมจากแหลํงข๎อมูลตําง ๆ จัดทาเป๕น เอกสารรปู เลมํ ใชช๎ ื่อวาํ “ภูมิป๓ญญาศึกษา”ตามรปู แบบที่โรงเรยี นผูส๎ งู อายเุ ทศบาลเมืองวงั นา้ เยน็ กาหนด ครูที่ปรึกษา หมายถึง ผ๎ูที่ปฏิบัติหน๎าที่เป๕นครูพ่ีเลี้ยง เป๕นผ๎ูเรียบเรียงภูมิป๓ญญาท๎องถ่ินปฏิบัติ หนา๎ ทเ่ี ปน๕ ผปู๎ ระเมนิ ผล เป๕นผ๎ูรับรองภูมิป๓ญญาศึกษา รวมทั้งเป๕นผู๎นาภูมิป๓ญญาศึกษาเข๎ามาสอนในโรงเรียน โดยบรู ณาการการจดั การเรียนร๎ูตามหลักสตู รท๎องถิ่นทโ่ี รงเรียนจัดทาข้ึน
ภมู ิปัญญาศึกษาเช่อื มโยงสู่สารานุกรมไทยส้าหรับเยาวชนฯ 1. ลักษณะของภมู ปิ ัญญาไทย ลักษณะของภมู ิป๓ญญาไทย มีดังน้ี 1. ภมู ปิ ญ๓ ญาไทยมีลกั ษณะเป๕นทงั้ ความรู๎ ทักษะ ความเช่อื และพฤตกิ รรม 2. ภมู ิป๓ญญาไทยแสดงถึงความสมั พนั ธร๑ ะหวาํ งคนกบั คน คนกับธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ๎ ม และคนกบั สง่ิ เหนือธรรมชาติ 3. ภูมิป๓ญญาไทยเปน๕ องคร๑ วมหรือกิจกรรมทกุ อยาํ งในวถิ ชี ีวิตของคน 4. ภูมปิ ญ๓ ญาไทยเป๕นเรื่องของการแก๎ป๓ญหา การจัดการ การปรบั ตัว และการเรียนร๎ู เพ่อื ความอยูรํ อดของบุคคล ชุมชน และสงั คม 5. ภูมิป๓ญญาไทยเปน๕ พ้ืนฐานสาคญั ในการมองชีวติ เป๕นพ้ืนฐานความร๎ูในเรอ่ื งตาํ งๆ 6. ภมู ิปญ๓ ญาไทยมลี ักษณะเฉพาะ หรือมีเอกลักษณ๑ในตัวเอง 7. ภูมปิ ๓ญญาไทยมีการเปล่ียนแปลงเพื่อการปรับสมดลุ ในพัฒนาการทางสังคม 2. คุณสมบัตขิ องภูมิปญั ญาไทย ผทู๎ รงภูมิปญ๓ ญาไทยเปน๕ ผม๎ู คี ุณสมบตั ิตามทกี่ าหนดไว๎ อยํางนอ๎ ยดังตํอไปนี้ 1. เป๕นคนดมี คี ุณธรรม มคี วามร๎คู วามสามารถในวชิ าชีพตาํ งๆ มผี ลงานด๎านการพัฒนา ท๎องถน่ิ ของตน และไดร๎ บั การยอมรบั จากบคุ คลท่ัวไปอยํางกวา๎ งขวาง ทง้ั ยังเปน๕ ผท๎ู ่ีใช๎หลกั ธรรมคาสอนทาง ศาสนาของตนเป๕นเคร่ืองยึดเหนย่ี วในการดารงวถิ ีชวี ติ โดยตลอด 2. เปน๕ ผคู๎ งแกํเรียนและหมน่ั ศกึ ษาหาความร๎ูอยูเํ สมอ ผู๎ทรงภูมิปญ๓ ญาจะเป๕นผ๎ทู ีห่ มั่นศึกษา แสวงหาความรเู๎ พ่ิมเตมิ อยูเํ สมอไมหํ ยุดน่ิง เรียนรู๎ทงั้ ในระบบและนอกระบบ เป๕นผล๎ู งมือทา โดยทดลองทา ตามท่ีเรยี นมา อีกทงั้ ลองผิด ลองถูก หรือสอบถามจากผรู๎ ู๎อื่นๆ จนประสบความสาเร็จ เป๕นผ๎ูเช่ียวชาญ ซงึ่ โดด เดํนเป๕นเอกลักษณใ๑ นแตลํ ะดา๎ นอยํางชัดเจน เป๕นทยี่ อมรบั การเปล่ียนแปลงความรู๎ใหมํๆ ท่เี หมาะสม นามา ปรับปรุงรบั ใชช๎ มุ ชน และสังคมอยเํู สมอ 3. เป๕นผ๎ูนาของท๎องถนิ่ ผู๎ทรงภมู ิป๓ญญาสํวนใหญํจะเป๕นผ๎ูท่ีสังคม ในแตลํ ะท๎องถ่ินยอมรับให๎ เป๕นผูน๎ า ทง้ั ผ๎นู าท่ไี ดร๎ ับการแตํงตั้งจากทางราชการ และผน๎ู าตามธรรมชาติ ซึง่ สามารถเป๕นผ๎ูนาของท๎องถิน่ และชํวยเหลอื ผอู๎ ื่นไดเ๎ ปน๕ อยาํ งดี 4. เปน๕ ผทู๎ ่สี นใจปญ๓ หาของทอ๎ งถ่ิน ผ๎ูทรงภมู ิป๓ญญาลว๎ นเปน๕ ผู๎ทีส่ นใจป๓ญหาของท๎องถิน่ เอา ใจใสํ ศกึ ษาป๓ญหา หาทางแก๎ไข และชํวยเหลอื สมาชิกในชุมชนของตนและชมุ ชนใกลเ๎ คียงอยาํ งไมยํ ํอท๎อ จน ประสบความสาเรจ็ เปน๕ ทยี่ อมรับของสมาชิกและบุคคลทัว่ ไป 5. เป๕นผขู๎ ยนั หมน่ั เพยี ร ผ๎ูทรงภมู ปิ ๓ญญาเป๕นผข๎ู ยันหมน่ั เพยี ร ลงมือทางานและผลิตผลงานอยํู เสมอ ปรบั ปรงุ และพัฒนาผลงานใหม๎ ีคุณภาพมากขนึ้ อีกทง้ั มํุงทางานของตนอยํางตํอเน่ือง 6. เปน๕ นกั ปกครองและประสานประโยชนข๑ องท๎องถ่ิน ผ๎ทู รงภมู ปิ ๓ญญา นอกจากเปน๕ ผู๎ที่ ประพฤติตนเป๕นคนดี จนเป๕นที่ยอมรบั นับถือจากบคุ คลท่ัวไปแลว๎ ผลงานทท่ี ํานทายังถือวํามคี ณุ คาํ จงึ เป๕นผู๎ท่ี มีทัง้ \"ครองตน ครองคน และครองงาน\" เป๕นผ๎ปู ระสานประโยชน๑ให๎บุคคลเกดิ ความรัก ความเขา๎ ใจ ความเห็น ใจ และมคี วามสามัคคีกนั ซง่ึ จะทาให๎ท๎องถิ่น หรือสงั คม มีความเจริญ มคี ุณภาพชีวิตสงู ขนึ้ กวาํ เดิม 7. มีความสามารถในการถาํ ยทอดความรูเ๎ ป๕นเลิศ เมื่อผท๎ู รงภูมิป๓ญญามคี วามร๎ูความสามารถ และประสบการณเ๑ ปน๕ เลิศ มีผลงานทีเ่ ป๕นประโยชนต๑ อํ ผ๎ูอ่นื และบคุ คลท่ัวไป ทง้ั ชาวบ๎าน นกั วิชาการ นักเรียน นสิ ิต/นักศกึ ษา โดยอาจเขา๎ ไปศกึ ษาหาความร๎ู หรอื เชิญทาํ นเหลาํ นน้ั ไป เปน๕ ผถู๎ ํายทอดความร๎ูได๎
8. เป๕นผ๎มู ีคูํครองหรือบริวารดี ผทู๎ รงภูมปิ ญ๓ ญา ถา๎ เป๕นคฤหัสถ๑ จะพบวาํ ลว๎ นมคี ูคํ รองท่ีดีท่ี คอยสนบั สนุน ชํวยเหลอื ใหก๎ าลงั ใจ ใหค๎ วามรวํ มมือในงานท่ที าํ นทา ชํวยใหผ๎ ลิตผลงานท่มี ีคุณคํา ถ๎าเป๕น นักบวช ไมํวาํ จะเปน๕ ศาสนาใด ต๎องมบี รวิ ารทดี่ ี จงึ จะสามารถผลิตผลงานที่มีคุณคาํ ทางศาสนาได๎ 9. เป๕นผ๎มู ีปญ๓ ญารอบร๎แู ละเช่ียวชาญจนได๎รบั การยกยํองวําเปน๕ ปราชญ๑ ผทู๎ รงภมู ิป๓ญญา ตอ๎ ง เปน๕ ผ๎ูมปี ๓ญญารอบรแู๎ ละเชี่ยวชาญ รวมทั้งสร๎างสรรค๑ผลงานพเิ ศษใหมๆํ ทีเ่ ป๕นประโยชน๑ตอํ สังคมและ มนุษยชาติอยาํ งตอํ เน่ืองอยเํู สมอ 3. การจัดแบง่ สาขาภมู ิปัญญาไทย จากการศกึ ษาพบวํา มีการกาหนดสาขาภูมปิ ญ๓ ญาไทยไว๎อยาํ งหลากหลาย ข้ึนอยํูกับวัตถุประสงค๑ และ หลักเกณฑ๑ตํางๆ ท่ีหนํวยงาน องค๑กร และนักวิชาการแตํละทํานนามากาหนด ในภาพรวมภูมิป๓ญญาไทย สามารถแบํงได๎เป๕น 10 สาขาดังนี้ 1. สาขาเกษตรกรรมหมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค๑ความร๎ู ทักษะ และเทคนิค ดา๎ นการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพ้ืนฐานคุณคําดั้งเดิม ซ่ึงคนสามารถพึ่งพาตนเองในภาวการณ๑ ตํางๆ ได๎ เชํน การทา การเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไรํนาสวนผสม และสวน ผสมผสาน การแก๎ป๓ญหาการเกษตรด๎านการตลาด การแก๎ป๓ญหาด๎านการผลิต การแก๎ไขป๓ญหาโรคและแมลง และการรู๎จักปรับใชเ๎ ทคโนโลยีท่ีเหมาะสมกบั การเกษตร เปน๕ ตน๎ 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การร๎ูจักประยุกต๑ใช๎เทคโนโลยีสมัยใหมํใน การแปรรปู ผลติ ผล เพอ่ื ชะลอการนาเขา๎ ตลาด เพ่อื แก๎ปญ๓ หาด๎านการบริโภคอยํางปลอดภัย ประหยัด และเป๕น ธรรม อันเป๕นกระบวนการที่ทาให๎ชุมชนท๎องถิ่นสามารถพ่ึงพาตนเองทางเศรษฐกิจได๎ ตลอดทั้งการผลิต และ การจาหนาํ ย ผลติ ผลทางหัตถกรรม เชํน การรวมกลมุํ ของกลํุมโรงงานยางพารา กลุํมโรงสี กลุํมหัตถกรรม เป๕น ตน๎ 3. สาขาการแพทยแ์ ผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจดั การปอู งกัน และรักษาสุขภาพ ของคนในชุมชน โดยเน๎นให๎ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเอง ทางด๎านสุขภาพ และอนามัยได๎ เชํน การนวดแผน โบราณ การดูแลและรกั ษาสขุ ภาพแบบพ้ืนบา๎ น การดูแลและรักษาสขุ ภาพแผนโบราณไทย เปน๕ ตน๎ 4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมหมายถึง ความสามารถเกี่ยวกับ การจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล๎อม ทงั้ การอนรุ ักษ๑ การพฒั นา และการใช๎ประโยชน๑จากคุณคําของ ทรัพยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดล๎อม อยํางสมดุล และยง่ั ยืน เชนํ การทาแนวปะการังเทียม การอนุรักษ๑ปุาชาย เลน การจดั การปาุ ต๎นนา้ และปาุ ชมุ ชน เปน๕ ตน๎ 5. สาขากองทนุ และธุรกจิ ชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการด๎านการสะสม และบริการกองทุน และธุรกิจในชุมชน ท้ังที่เป๕นเงินตรา และโภคทรัพย๑ เพื่อสํงเสริมชีวิตความเป๕นอยูํของ สมาชิกในชุมชน เชํน การจัดการเร่ืองกองทุนของชุมชน ในรูปของสหกรณ๑ออมทรัพย๑ และธนาคารหมํูบ๎าน เปน๕ ตน๎ 6. สาขาสวัสดิการหมายถึง ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิต ของคน ให๎เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เชํน การจัดต้ังกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาล ของชมุ ชน การจัดระบบสวัสดิการบริการในชมุ ชน การจัดระบบสงิ่ แวดล๎อมในชมุ ชน เปน๕ ตน๎ 7. สาขาศลิ ปกรรม หมายถงึ ความสามารถในการผลิตผลงานทางด๎านศิลปะสาขาตํางๆ เชํน จติ รกรรม ประตมิ ากรรม วรรณกรรม ทัศนศลิ ป์ คตี ศิลป์ ศิลปะมวยไทย เปน๕ ต๎น
8. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการดาเนินงานของ องค๑กรชุมชนตํางๆ ให๎สามารถพัฒนา และบริหารองค๑กรของตนเองได๎ ตามบทบาท และหน๎าท่ีขององค๑การ เชํน การจดั การองคก๑ รของกลมุํ แมบํ า๎ น กลํุมออมทรัพย๑ กลํุมประมงพ้นื บ๎าน เป๕นต๎น 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถผลิตผลงานเก่ียวกบั ด๎านภาษา ท้ังภาษาถ่ิน ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช๎ภาษา ตลอดทั้งด๎านวรรณกรรมทุกประเภท เชํน การจัดทา สารานุกรมภาษาถ่นิ การปริวรรต หนงั สอื โบราณ การฟ๗ืนฟกู ารเรยี นการสอนภาษาถนิ่ ของท๎องถน่ิ ตํางๆ เปน๕ ตน๎ 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต๑ และปรับใช๎หลักธรรมคา สอนทางศาสนา ความเชื่อ และประเพณีดั้งเดิมท่ีมีคุณคําให๎เหมาะสมตํอการประพฤติปฏิบัติ ให๎บังเกิดผลดีตํอ บุคคล และส่ิงแวดล๎อม เชํน การถํายทอดหลักธรรมทางศาสนา ลักษณะความสัมพันธ๑ของภูมิป๓ญญาไทยภูมิ- ปญ๓ ญาไทยสามารถสะทอ๎ นออกมาใน 3 ลกั ษณะทีส่ มั พนั ธ๑ใกลช๎ ิดกัน คอื 10.1 ความสัมพันธ๑อยํางใกล๎ชิดกันระหวํางคนกับโลก ส่ิงแวดล๎อม สัตว๑ พืช และ ธรรมชาติ 10.2 ความสมั พันธข๑ องคนกบั คนอ่ืนๆ ที่อยํูรวํ มกนั ในสงั คม หรือในชุมชน 10.3 ความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับส่ิงศักด์ิสิทธิ์สิ่งเหนือธรรมชาติ ตลอดท้ังสิ่งที่ไมํ สามารถสัมผัสได๎ทั้งหลาย ทั้ง 3 ลักษณะน้ี คือ สามมิติของเร่ืองเดียวกัน หมายถึง ชีวิตชุมชน สะท๎อนออก มาถงึ ภูมปิ ๓ญญาในการดาเนินชีวติ อยํางมีเอกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหลี่ยม ภูมิป๓ญญา จึงเป๕นรากฐาน ในการดาเนนิ ชีวิตของคนไทย ซ่งึ สามารถแสดงใหเ๎ ห็นไดอ๎ ยาํ งชัดเจนโดยแผนภาพ ดงั น้ี ลักษณะภูมิป๓ญญาที่เกิดจากความสัมพันธ๑ ระหวํางคนกับธรรมชาติส่ิงแวดล๎อม จะแสดงออกมา ในลักษณะภูมิป๓ญญาในการดาเนินวิถีชีวิตข้ันพื้นฐาน ด๎านป๓จจัยสี่ ซ่ึงประกอบด๎วย อาหาร เคร่ืองนํุงหํมที่ อยํูอาศัย และยารักษาโรค ตลอดท้ังการประกอบ อาชพี ตํางๆ เปน๕ ต๎น ภูมิป๓ญญาที่เกิดจากความสัมพันธ๑ ระหวํางคนกับคนอ่ืนในสังคม จะแสดงออกมาใน ลักษณะ จารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ และ นันทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอดทั้งการ ส่อื สารตํางๆ เป๕นต๎น ภูมปิ ญ๓ ญาทีเ่ กดิ จากความสมั พนั ธ๑ระหวํางคน กับสิ่งศกั ดิ์สิทธ์ิ สิง่ เหนอื ธรรมชาติ จะแสดงออกมาในลักษณะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศาสนา ความเชอื่ ตาํ งๆ เป๕นตน๎ 4. คุณค่าและความสา้ คัญของภมู ปิ ญั ญาไทย คุณคําของภูมิป๓ญญาไทย ได๎แกํ ประโยชน๑ และความสาคัญของภูมิป๓ญญา ที่บรรพบุรุษไทย ได๎ สร๎างสรรค๑ และสืบทอดมาอยํางตํอเนื่อง จากอดีตสูํป๓จจุบัน ทาให๎คนในชาติเกิดความรัก และความภาคภูมิใจ ทจ่ี ะรํวมแรงรํวมใจสืบสานตํอไปในอนาคต เชํน โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาป๓ตยกรรม ประเพณีไทย การมี นา้ ใจ ศักยภาพในการประสานผลประโยชน๑ เป๕นตน๎ ภูมปิ ๓ญญาไทยจึงมคี ุณคํา และความสาคญั ดงั นี้ 1. ภมู ปิ ญ๓ ญาไทยชํวยสรา๎ งชาตใิ หเ๎ ปน๕ ปกึ แผนํ พระมหากษัตริย๑ไทยได๎ใช๎ภูมิป๓ญญาในการสร๎างชาติ สร๎างความเป๕นปึกแผํนให๎แกํ ประเทศชาติมาโดยตลอด ตั้งแตํสมัยพํอขุนรามคาแหงมหาราช พระองค๑ทรงปกครองประชาชน ด๎วยพระ
เมตตา แบบพํอปกครองลูก ผู๎ใดประสบความเดือดร๎อน ก็สามารถตีระฆัง แสดงความเดือดร๎อน เพื่อขอรับ พระราชทานความชํวยเหลือ ทาให๎ประชาชนมีความจงรักภักดีตํอพระองค๑ ตํอประเทศชาติรํวมกันสร๎าง บา๎ นเรือนจนเจรญิ รุงํ เรืองเปน๕ ปกึ แผนํ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค๑ทรงใช๎ภูมิป๓ญญากระทายุทธหัตถี จนชนะข๎าศึกศัตรู และทรงกอบกู๎เอกราชของชาติไทยคืนมาได๎ พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยํูหัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลป๓จจุบัน พระองคท๑ รงใชภ๎ ูมิป๓ญญาสร๎างคุณประโยชน๑แกํประเทศชาติ และเหลําพสกนิกรมากมายเหลือคณานับ ทรงใช๎ พระปรชี าสามารถ แก๎ไขวิกฤตการณ๑ทางการเมือง ภายในประเทศ จนรอดพ๎นภัยพิบัติหลายคร้ัง พระองค๑ทรง มีพระปรีชาสามารถหลายด๎าน แม๎แตํด๎านการเกษตร พระองค๑ได๎พระราชทานทฤษฎีใหมํให๎แกํพสกนิกร ทั้ง ด๎านการเกษตรแบบสมดุลและย่ังยืน ฟ๗ืนฟูสภาพแวดล๎อม นาความสงบรํมเย็นของประชาชนให๎กลับคืนมา แนวพระราชดาริ \"ทฤษฎีใหม\"ํ แบํงออกเป๕น 2 ขั้น โดยเร่ิมจาก ข้ันตอนแรก ให๎เกษตรกรรายยํอย \"มีพออยูํพอ กิน\" เป๕นข้ันพ้ืนฐาน โดยการพัฒนาแหลํงน้า ในไรํนา ซ่ึงเกษตรกรจาเป๕นที่จะต๎องได๎รับความชํวยเหลือจาก หนํวยราชการ มูลนิธิ และหนํวยงานเอกชน รํวมใจกันพัฒนาสังคมไทย ในข้ันท่ีสอง เกษตรกรต๎องมีความ เข๎าใจ ในการจดั การในไรนํ าของตน และมีการรวมกลํมุ ในรปู สหกรณ๑ เพ่ือสร๎างประสิทธิภาพทางการผลิต และ การตลาด การลดรายจํายด๎านความเป๕นอยํู โดยทรงตระหนักถึงบทบาทขององค๑กรเอกชน เม่ือกลุํมเกษตร วิวัฒนม๑ าขั้นท่ี 2 แล๎ว กจ็ ะมศี กั ยภาพ ในการพัฒนาไปสํูข้ันที่สาม ซึ่งจะมีอานาจในการตํอรองผลประโยชน๑กับ สถาบันการเงินคือ ธนาคาร และองค๑กรท่ีเป๕นเจ๎าของแหลํงพลังงาน ซึ่งเป๕นป๓จจัยหนึ่งในการผลิต โดยมีการ แปรรปู ผลิตผล เชนํ โรงสี เพอ่ื เพมิ่ มลู คาํ ผลติ ผล และขณะเดยี วกันมีการจัดตั้งร๎านค๎าสหกรณ๑ เพื่อลดคําใช๎จําย ในชีวิตประจาวัน อันเป๕นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคม จะเห็นได๎วํา มิได๎ทรงทอดท้ิงหลักของ ความสามัคคีในสังคม และการจัดต้ังสหกรณ๑ ซ่ึงทรงสนับสนุนให๎กลํุมเกษตรกรสร๎างอานาจตํอรองในระบบ เศรษฐกจิ จงึ จะมคี ุณภาพชีวิตท่ีดี จึงจัดได๎วํา เป๕นสังคมเกษตรท่ีพัฒนาแล๎ว สมดังพระราชประสงค๑ที่ทรงอุทิศ พระวรกาย และพระสตปิ ๓ญญา ในการพัฒนาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแหงํ การครองราชย๑ 2. สร๎างความภาคภูมิใจ และศกั ดิ์ศรี เกยี รติภมู แิ กํคนไทย คนไทยในอดีตที่มีความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร๑มีมาก เป๕นที่ยอมรับของนานา อารยประเทศ เชํน นายขนมต๎มเป๕นนักมวยไทย ท่ีมีฝีมือเกํงในการใช๎อวัยวะทุกสํวน ทุกทําของแมํไม๎มวยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพมําได๎ถึงเก๎าคนสิบคนในคราวเดียวกัน แม๎ในป๓จจุบัน มวยไทยก็ยังถือวํา เป๕น ศิลปะช้ันเย่ียม เป๕นท่ี นิยมฝึกและแขํงขันในหมํูคนไทยและชาวตําง ประเทศ ป๓จจุบันมีคํายมวยไทยท่ัวโลกไมํ ตา่ กวํา 30,000 แหงํ ชาวตาํ งประเทศท่ีได๎ฝึกมวยไทย จะร๎ูสึกยนิ ดแี ละภาคภูมิใจ ในการที่จะใช๎กติกา ของมวย ไทย เชํน การไหว๎ครูมวยไทย การออก คาสั่งในการชกเป๕นภาษาไทยทุกคา เชํน คาวํา \"ชก\" \"นับหนึ่งถึงสิบ\" เป๕นต๎น ถือเป๕นมรดก ภูมิป๓ญญาไทย นอกจากน้ี ภูมิป๓ญญาไทยที่โดด เดํนยังมีอีกมากมาย เชํน มรดกภูมิ ป๓ญญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยท่ีมีอักษรไทยเป๕นของ ตนเองมาตั้งแตํสมัยกรุงสุโขทัย และวิวัฒนาการ มาจนถึงป๓จจุบัน วรรณกรรมไทยถือวํา เป๕นวรรณกรรมที่มีความไพเราะ ได๎อรรถรสครบทุกด๎าน วรรณกรรม หลายเรอ่ื งได๎รับการแปลเปน๕ ภาษาตํางประเทศหลายภาษา ด๎านอาหาร อาหารไทยเป๕นอาหารท่ีปรุงงําย พืชที่ ใช๎ประกอบอาหารสํวนใหญํเป๕นพืชสมุนไพร ท่ีหาได๎งํายในท๎องถ่ิน และราคาถูก มี คุณคําทางโภชนาการ และ ยังปูองกันโรคได๎หลายโรค เพราะสํวนประกอบสํวนใหญํเป๕นพืชสมุนไพร เชํน ตะไคร๎ ขิง ขํา กระชาย ใบ มะกรดู ใบโหระพา ใบกะเพรา เปน๕ ต๎น 3. สามารถปรับประยุกตห๑ ลกั ธรรมคาสอนทางศาสนาใชก๎ บั วิถชี ีวติ ได๎อยาํ งเหมาะสม คนไทยสวํ นใหญํนับถือศาสนาพุทธ โดยนาหลักธรรมคาสอนของศาสนา มาปรับใช๎ในวิถีชีวิต ได๎อยํางเหมาะสม ทาให๎คนไทยเป๕นผ๎ูอํอนน๎อมถํอมตน เอ้ือเฟ๗ือเผ่ือแผํ ประนีประนอม รักสงบ ใจเย็น มีความ
อดทน ใหอ๎ ภยั แกํผ๎ูสานกึ ผดิ ดารงวถิ ีชีวิตอยํางเรียบงําย ปกติสุข ทาให๎คนในชุมชนพึ่งพากันได๎ แม๎จะอดอยาก เพราะ แห๎งแล๎ง แตํไมํมีใครอดตาย เพราะพึ่งพาอาศัย กัน แบํงป๓นกันแบบ \"พริกบ๎านเหนือเกลือบ๎านใต๎\" เป๕น ต๎น ทง้ั หมดนสี้ บื เนือ่ งมาจากหลกั ธรรมคาสอนของพระพทุ ธศาสนา เป๕นการใช๎ภูมิป๓ญญา ในการนาเอาหลักขอ พระพุทธศาสนามา ประยกุ ตใ๑ ช๎กบั ชวี ติ ประจาวัน และดาเนินกุศโลบาย ด๎านตํางประเทศ จนทาให๎ชาวพุทธท่ัว โลกยกยอํ ง ให๎ประเทศไทยเป๕นผ๎ูนาทางพุทธศาสนา และเป๕น ที่ตั้งสานักงานใหญํองค๑การพุทธศาสนิกสัมพันธ๑ แหํงโลก (พสล.) อยํูเยื้องๆ กับอุทยานเบญจสิริ กรุงเทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักด์ิ องคมนตรี) ดารงตาแหนํงประธาน พสล. ตอํ จาก ม.จ.หญงิ พนู พิศมยั ดิศกุล 4. สรา๎ งความสมดุลระหวาํ งคนในสังคม และธรรมชาติได๎อยํางย่งั ยนื ภูมิป๓ญญาไทยมีความเดํนชัดในเร่ืองของการยอมรับนับถือ และให๎ความสาคัญแกํคน สังคม และธรรมชาตอิ ยํางย่งิ มีเครือ่ งชที้ ีแ่ สดงให๎เหน็ ได๎อยํางชัดเจนมากมาย เชํน ประเพณีไทย 12 เดือน ตลอดทั้งปี ล๎วนเคารพคุณคําของธรรมชาติ ได๎แกํ ประเพณีสงกรานต๑ ประเพณีลอยกระทง เป๕นต๎น ประเพณีสงกรานต๑ เป๕นประเพณีท่ีทาใน ฤดูร๎อนซึ่งมีอากาศร๎อน ทาให๎ต๎องการความเย็น จึงมีการรดน้าดาหัว ทาความสะอาด บ๎านเรือน และธรรมชาติสิ่งแวดล๎อม มีการแหํนางสงกรานต๑ การทานายฝนวําจะตกมากหรือน๎อยในแตํละปี สํวนประเพณีลอยกระทง คุณคําอยูํที่การบูชา ระลึกถึงบุญคุณของน้า ที่หลํอเลี้ยงชีวิตของ คน พืช และสัตว๑ ให๎ได๎ใช๎ท้ังบริโภคและอุปโภค ในวันลอยกระทง คนจึงทาความสะอาดแมํน้า ลาธาร บูชาแมํน้าจากตัวอยําง ขา๎ งตน๎ ลว๎ นเปน๕ ความสมั พันธ๑ระหวํางคนกับสงั คมและธรรมชาติ ทงั้ ส้นิ ในการรักษาปาุ ไม๎ตน๎ นา้ ลาธาร ไดป๎ ระยกุ ตใ๑ ห๎มีประเพณีการบวชปุา ให๎คนเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ธรรมชาติ และสภาพแวดล๎อม ยังความอุดมสมบูรณ๑แกํต๎นน้า ลาธาร ให๎ฟื๗นสภาพกลับคืนมาได๎มาก อาชีพ การเกษตรเป๕นอาชพี หลกั ของคนไทย ท่คี านึงถงึ ความสมดลุ ทาแตํน๎อยพออยํพู อกิน แบบ \"เฮ็ดอยํูเฮ็ดกิน\" ของ พอํ ทองดี นนั ทะ เม่ือเหลอื กิน กแ็ จกญาติพีน่ ๎อง เพื่อนบา๎ น บา๎ นใกล๎เรือนเคียง นอกจากน้ี ยังนาไปแลกเปลี่ยน กับสง่ิ ของอยาํ งอืน่ ที่ตนไมมํ ี เมือ่ เหลือใชจ๎ ริงๆ จงึ จะนาไปขาย อาจกลําวได๎วํา เป๕นการเกษตรแบบ \"กิน-แจก- แลก-ขาย\" ทาให๎คนในสังคมได๎ชํวยเหลือเกื้อกูล แบํงป๓นกัน เคารพรัก นับถือ เป๕นญาติกัน ทั้งหมูํบ๎าน จึงอยํู รวํ มกนั อยํางสงบสุข มีความสัมพันธ๑กันอยาํ งแนบแนนํ ธรรมชาติไมํถูกทาลายไปมากนัก เนื่องจากทาพออยูํพอ กิน ไมโํ ลภมากและไมํทาลายทกุ อยาํ งผิด กบั ในปจ๓ จุบนั ถือเป๕นภูมปิ ญ๓ ญาทส่ี ร๎างความ สมดุลระหวํางคน สังคม และธรรมชาติ 5. เปลยี่ นแปลงปรบั ปรุงได๎ตามยคุ สมัย แม๎วํากาลเวลาจะผาํ นไป ความรสู๎ มยั ใหมํ จะหล่ังไหลเข๎ามามาก แตํภูมิป๓ญญาไทย ก็สามารถ ปรับเปล่ยี นให๎เหมาะสมกบั ยุคสมยั เชนํ การร๎จู กั นาเครื่องยนตม๑ าติดต้ังกับเรือ ใสํใบพัด เป๕นหางเสือ ทาให๎เรือ สามารถแลํนได๎เร็วข้ึน เรียกวํา เรือหางยาว การรู๎จักทาการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟื๗นคืน ธรรมชาติให๎ อดุ มสมบรู ณแ๑ ทนสภาพเดิมท่ีถูกทาลายไป การร๎ูจักออมเงิน สะสมทุนให๎สมาชิกก๎ูยืม ปลดเปล้ือง หน้สี นิ และจดั สวสั ดกิ ารแกสํ มาชิก จนชมุ ชนมีความมน่ั คง เขม๎ แข็ง สามารถชวํ ยตนเองได๎หลายร๎อยหมํูบ๎านทั่ว ประเทศ เชํน กลํุมออมทรัพย๑คีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดในรูปกองทุนหมุนเวียนของชุมชน จนสามารถ ชํวยตนเองได๎ เม่ือปุาถูกทาลาย เพราะถูกตัดโคํน เพ่ือปลูกพืชแบบเดี่ยว ตามภูมิป๓ญญาสมัยใหมํ ท่ีหวัง ร่ารวย แตใํ นทีส่ ดุ กข็ าดทนุ และมีหน้ีสิน สภาพแวดล๎อมสูญเสียเกิดความแห๎งแล๎ง คนไทยจึงคิดปลูกปุา ท่ีกิน ได๎ มีพืชสวน พืชปุาไม๎ผล พืชสมุนไพร ซ่ึงสามารถมีกินตลอดชีวิตเรียกวํา \"วนเกษตร\" บางพ้ืนท่ี เม่ือปุาชุมชน ถูกทาลาย คนในชุมชนก็รวมตัวกัน เป๕นกลุํมรักษาปุา รํวมกันสร๎างระเบียบ กฎเกณฑ๑กันเอง ให๎ทุกคนถือ ปฏิบัติได๎ สามารถรักษาปุาได๎อยํางสมบูรณ๑ดังเดิม เม่ือปะการังธรรมชาติถูกทาลาย ปลาไมํมีที่อยํูอาศัย
ประชาชนสามารถสร๎าง \"อูหยัม\" ข้ึน เป๕นปะการังเทียม ให๎ปลาอาศัยวางไขํ และแพรํพันธุ๑ให๎เจริญเติบโต มี จานวนมากดงั เดมิ ได๎ ถือเปน๕ การใชภ๎ ูมปิ ๓ญญาปรบั ปรงุ ประยุกต๑ใช๎ไดต๎ ามยุคสมยั สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ เลํมท่ี 19 ให๎ความหมายของคาวํา ภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน หมายถึง ความร๎ูของชาวบ๎าน ซึ่งได๎มาจากประสบการณ๑ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ๎าน รวมท้ังความรู๎ท่ี ส่ังสมมาแตํบรรพบุรษุ สบื ทอดจากคนรํุนหนึ่งไปสูํคนอีกรุํนหนึ่ง ระหวํางการสืบทอดมีการปรับ ประยุกต๑ และ เปลีย่ นแปลง จนอาจเกดิ เปน๕ ความร๎ูใหมตํ ามสภาพการณท๑ างสงั คมวฒั นธรรม และ สง่ิ แวดล๎อม ภูมปิ ๓ญญาเป๕นความร๎ูที่ประกอบไปด๎วยคุณธรรม ซ่ึงสอดคล๎องกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ๎าน ในวถิ ดี งั้ เดิมนั้น ชีวิตของชาวบ๎านไมํได๎แบํงแยกเป๕นสํวนๆ หากแตํทุกอยํางมีความสัมพันธ๑กัน การทามาหากิน การอยูํรํวมกันในชุมชน การปฏิบัติศาสนา พิธีกรรมและประเพณี ความร๎ูเป๕นคุณธรรม เมื่อผ๎ูคนใช๎ความรู๎นั้น เพ่ือสร๎างความสัมพันธ๑ท่ีดีระหวําง คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ๑ท่ีดี เป๕นความสัมพันธ๑ท่ีมีความสมดุล ที่เคารพกันและกัน ไมํทาร๎ายทาลายกัน ทาให๎ทุกฝุายทุกสํวนอยํูรํวมกันได๎ อยํางสันติ ชุมชนดั้งเดิมจึงมีกฎเกณฑ๑ของการอยํูรํวมกัน มีคนเฒําคนแกํเป๕นผ๎ูนา คอยให๎คาแนะนาตักเตือน ตัดสิน และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบ๎านเคารพธรรมชาติรอบตัว ดิน น้า ปุา เขา ข๎าว แดด ลม ฝน โลก และจกั รวาล ชาวบา๎ นเคารพผ๎หู ลกั ผ๎ูใหญํ พํอแมํ ปุูยาํ ตายาย ท้ังท่มี ีชีวติ อยูํและลํวงลับไปแล๎วภูมิป๓ญญาจึงเป๕น ความรทู๎ ม่ี คี ุณธรรม เป๕นความรู๎ท่ีมีเอกภาพของทุกสิ่งทุกอยําง เป๕นความรู๎วํา ทุกส่ิงทุกอยํางสัมพันธ๑กันอยํางมี ความสมดุล เราจึงยกยํองความร๎ูขั้นสูงสํง อันเป๕นความรู๎แจ๎งในความจริงแหํงชีวิตน้ีวํา \"ภูมิป๓ญญา\"ความคิด และการแสดงออกเพื่อจะเข๎าใจภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน จาเป๕นต๎องเข๎าใจความคิดของชาวบ๎านเก่ียวกับโลก หรือที่ เรียกวํา โลกทัศน๑ และเกี่ยวกับชีวิต หรือที่เรียกวํา ชีวทัศน๑ สิ่งเหลํานี้เป๕นนามธรรม อันเกี่ยวข๎องสัมพันธ๑ โดยตรงกับการแสดงออกใน ลักษณะตํางๆ ที่เป๕นรูปธรรม แนวคิดเร่ืองความสมดุลของชีวิต เป๕นแนวคิด พ้นื ฐานของภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน การแพทย๑แผนไทย หรือท่ีเคยเรียกกันวํา การแพทย๑แผนโบราณน้ันมีหลักการ วํา คนมีสุขภาพดี เม่ือรํางกายมีความสมดุลระหวํางธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้า ลม ไฟ คนเจ็บไข๎ได๎ปุวยเพราะธาตุ ขาดความสมดุล จะมีการปรับธาตุ โดยใช๎ยาสมุนไพร หรือวิธีการอื่นๆ คนเป๕นไข๎ตัวร๎อน หมอยาพ้ืนบ๎านจะให๎ ยาเย็น เพ่ือลดไข๎ เป๕นต๎น การดาเนินชีวิตประจาวันก็เชํนเดียวกัน ชาวบ๎านเชื่อวํา จะต๎องรักษาความสมดุลใน ความสัมพนั ธส๑ ามดา๎ น คอื ความสมั พนั ธก๑ บั คนในครอบครวั ญาติพ่ีน๎อง เพื่อนบ๎านในชุมชน ความสัมพันธ๑ท่ีดีมี หลักเกณฑ๑ ท่ีบรรพบุรุษได๎สั่งสอนมา เชํน ลูกควรปฏิบัติอยํางไรกับพํอแมํ กับญาติพ่ีน๎อง กับผ๎ูสูงอายุ คนเฒํา คนแกํ กับเพ่ือนบ๎าน พํอแมํควรเลี้ยงดูลูกอยํางไร ความเอ้ืออาทรตํอกันและกัน ชํวยเหลือเกื้อกูลกัน โดยเฉพาะในยามทุกข๑ยาก หรือมีป๓ญหา ใครมีความสามารถพิเศษก็ใช๎ความสามารถน้ันชํวยเหลือผ๎ูอ่ืน เชํน บางคนเปน๕ หมอยา กช็ วํ ยดูแลรกั ษาคนเจ็บปวุ ยไมสํ บาย โดยไมํคิดคํารักษา มีแตํเพียงการยกครู หรือการราลึก ถงึ ครูบาอาจารย๑ท่ีประสาทวิชามาให๎เทําน้ัน หมอยาต๎องทามาหากิน โดยการทานา ทาไรํ เลี้ยงสัตว๑เหมือนกับ ชาวบ๎านอน่ื ๆ บางคนมีความสามารถพิเศษด๎านการทามาหากิน กช็ ํวยสอนลูกหลานใหม๎ วี ชิ าไปดว๎ ย ความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับคนในครอบครัว ในชุมชน มีกฎเกณฑ๑เป๕นข๎อปฏิบัติ และข๎อห๎ามอยําง ชัดเจน มีการแสดงออกทางประเพณี พิธีกรรม และกิจกรรมตํางๆ เชํน การรดน้าดาหัวผู๎ใหญํ การบายศรีสํู ขวญั เปน๕ ต๎น ความสัมพันธ๑กับธรรมชาติ ผ๎ูคนสมัยกํอนพึ่งพาอาศัยธรรมชาติแทบทุกด๎าน ตั้งแตํอาหารการกิน เครอื่ งนํุงหมํ ทีอ่ ยูํอาศัย และยารักษาโรค วิทยาศาสตร๑ และเทคโนโลยียังไมํพัฒนาก๎าวหน๎าเหมือนทุกวันน้ี ยัง ไมํมีระบบการค๎าแบบสมัยใหมํ ไมํมีตลาด คนไปจับปลาลําสัตว๑ เพ่ือเป๕นอาหารไปวันๆ ตัดไม๎ เพื่อสร๎างบ๎าน และใช๎สอยตามความจาเป๕นเทําน้ัน ไมํได๎ทาเพื่อการค๎า ชาวบ๎านมีหลักเกณฑ๑ในการใช๎สิ่งของในธรรมชาติ ไมํ ตัดไมอ๎ ํอน ทาให๎ต๎นไมใ๎ นปุาขน้ึ แทนต๎นท่ีถูกตัดไปได๎ตลอดเวลาชาวบ๎านยังไมํรู๎จักสารเคมี ไมํใช๎ยาฆําแมลง ฆํา หญ๎า ฆําสตั ว๑ ไมํใชป๎ ุ๋ยเคมี ใชส๎ ิ่งของในธรรมชาติใหเ๎ กื้อกูลกนั ใชม๎ ูลสัตว๑ ใบไมใ๎ บ หญา๎ ทเี่ นาํ เป๖ือยเป๕นปุ๋ย ทาให๎
ดินอดุ มสมบูรณ๑ นา้ สะอาด และไมํเหือดแห๎ง ชาวบ๎านเคารพธรรมชาติ เชื่อวํา มีเทพมีเจ๎าสถิตอยํูในดิน น้า ปุา เขา สถานท่ีทุกแหํง จะทาอะไรต๎องขออนุญาต และทาด๎วยความเคารพ และพอดี พองาม ชาวบ๎านร๎ูคุณ ธรรมชาติ ท่ีได๎ให๎ชีวิตแกํตน พิธีกรรมตํางๆ ล๎วนแสดงออกถึงแนวคิดดังกลําว เชํน งานบุญพิธี ท่ีเกี่ยวกับ น้า ข๎าว ปุาเขา รวมถึงสัตว๑ บ๎านเรือน เครื่องใช๎ตํางๆ มีพิธีสูํขวัญข๎าว สูํขวัญควาย สูํขวัญเกวียน ทางอีสานมีพิธี แฮกนา หรอื แรกนา เลีย้ งผตี าแฮก มีงานบุญบ๎าน เพอ่ื เลยี้ งผี หรือส่งิ ศักด์ิสทิ ธิป์ ระจาหมบูํ า๎ น เป๕นต๎น ความสัมพันธ๑กับสิ่งเหนือธรรมชาติ ชาวบ๎านร๎ูวํา มนุษย๑เป๕นเพียงสํวนเล็กๆ สํวนหน่ึง ของ จักรวาล ซ่ึงเต็มไปด๎วยความเร๎นลับ มีพลัง และอานาจ ท่ีเขาไมํอาจจะหาคาอธิบายได๎ ความเร๎นลับดังกลําว รวมถงึ ญาตพิ ีน่ ๎อง และผู๎คนที่ลํวงลบั ไปแลว๎ ชาวบา๎ นยงั สัมพนั ธ๑กับพวกเขา ทาบญุ และราลึกถึงอยํางสม่าเสมอ ทุกวัน หรือในโอกาสสาคัญๆ นอกน้ันเป๕นผีดี ผีร๎าย เทพเจ๎าตํางๆ ตามความเชื่อของแตํละแหํง สิ่งเหลํานี้สิง สถิตอยํใู นสิง่ ตาํ งๆ ในโลก ในจักรวาล และอยูบํ นสรวงสวรรคก๑ ารทามาหากนิ แม๎วิถีชีวิตของชาวบ๎านเมื่อกํอนจะดูเรียบงํายกวําทุกวันนี้ และยังอาศัยธรรมชาติ และ แรงงานเป๕นหลัก ในการทามาหากิน แตํพวกเขาก็ต๎องใช๎สติป๓ญญา ท่ีบรรพบุรุษถํายทอดมาให๎ เพ่ือจะได๎อยูํ รอด ทั้งนเ้ี พราะปญ๓ หาตาํ งๆ ในอดตี ก็ยังมไี มํนอ๎ ย โดยเฉพาะเม่ือครอบครัวมีสมาชิกมากขึ้น จาเป๕นต๎องขยายท่ี ทากนิ ต๎องหกั ร๎างถางพง บกุ เบกิ พ้นื ท่ีทากนิ ใหมํ การปรับพื้นที่ป๓๗นคันนา เพ่ือทานา ซ่ึงเป๕นงานที่หนัก การทา ไรํทานา ปลูกพืชเล้ียงสัตว๑ และดูแลรักษาให๎เติบโต และได๎ผล เป๕นงานที่ต๎องอาศัยความร๎ูความสามารถ การ จบั ปลาลําสตั วก๑ ม็ วี ธิ ีการ บางคนมีความสามารถมากรูว๎ ํา เวลาไหน ท่ีใด และวิธีใด จะจับปลาได๎ดีท่ีสุด คนท่ีไมํ เกํงก็ต๎องใชเ๎ วลานาน และไดป๎ ลาน๎อย การลาํ สตั วก๑ เ็ ชนํ เดยี วกัน การจัดการแหลํงน้า เพ่ือการเกษตร ก็เป๕นความรู๎ความสามารถ ที่มีมาแตํโบราณ คนทาง ภาคเหนือรู๎จักบริหารน้า เพื่อการเกษตร และเพื่อการบริโภคตํางๆ โดยการจัดระบบเหมืองฝาย มีการจัด แบํงป๓นน้ากันตามระบบประเพณีท่ี สืบทอดกันมา มีหัวหน๎าท่ีทุกคนยอมรับ มีคณะกรรมการจัดสรรน้าตาม สดั สวํ น และตามพ้ืนที่ทากนิ นับเปน๕ ความร๎ูที่ทาให๎ชุมชนตํางๆ ท่ีอาศัยอยูํใกล๎ลาน้า ไมํวําต๎นน้า หรือปลายน้า ไดร๎ ับการแบํงปน๓ น้าอยํางยตุ ธิ รรม ทุกคนได๎ประโยชน๑ และอยูรํ วํ มกันอยาํ งสนั ติ ชาวบ๎านรู๎จกั การแปรรปู ผลติ ผลในหลายรูปแบบ การถนอมอาหารให๎กินได๎นาน การดองการ หมัก เชนํ ปลารา๎ นา้ ปลา ผกั ดอง ปลาเคม็ เนื้อเค็ม ปลาแหง๎ เน้อื แหง๎ การแปรรปู ข๎าว ก็ทาได๎มากมายนับร๎อย ชนิด เชํน ขนมตํางๆ แตํละพิธีกรรม และแตํละงานบุญประเพณี มีข๎าวและขนมในรูปแบบไมํซ้ากัน ตั้งแตํ ขนมจีน สังขยา ไปถึงขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอื่นๆ ซึ่งยังพอมีให๎เห็นอยูํจานวนหนึ่ง ใน ปจ๓ จบุ ันสํวนใหญปํ รับเปล่ียนมาเปน๕ การผลติ เพอ่ื ขาย หรอื เปน๕ อตุ สาหกรรมในครวั เรอื น ความร๎ูเรื่องการปรุงอาหารก็มีอยูํมากมาย แตํละท๎องถิ่นมีรูปแบบ และรสชาติแตกตํางกันไป มีมากมายนับร๎อยนับพันชนิด แม๎ในชีวิตประจาวัน จะมีเพียงไมํกี่อยําง แตํโอกาสงานพิธี งาน เล้ียง งานฉลอง สาคัญ จะมีการจัดเตรียมอาหารอยํางดี และพิถีพิถันการทามาหากินในประเพณีเดิมน้ัน เป๕นทั้งศาสตร๑และ ศิลป์ การเตรียมอาหาร การจัดขนม และผลไม๎ ไมํได๎เป๕นเพียงเพื่อให๎รับประทานแล๎วอรํอย แตํให๎ได๎ความ สวยงาม ทาให๎สามารถสัมผสั กบั อาหารนั้น ไมํเพียงแตํทางปาก และรสชาติของล้ิน แตํทางตา และทางใจ การ เตรียมอาหารเป๕นงานศิลปะ ท่ีปรุงแตํด๎วยความต้ังใจ ใช๎เวลา ฝีมือ และความร๎ูความสามารถ ชาวบ๎าน สมยั กํอนสวํ นใหญํจะทานาเป๕นหลัก เพราะเมอื่ มขี ๎าวแลว๎ ก็สบายใจ อยํางอื่นพอหาได๎จากธรรมชาติ เสร็จหน๎า นาก็จะทางานหัตถกรรม การทอผ๎า ทาเสื่อ เลี้ยงไหม ทาเคร่ืองมือ สาหรับจับสัตว๑ เครื่องมือการเกษตร และ อปุ กรณต๑ าํ งๆ ท่จี าเปน๕ หรอื เตรียมพ้ืนที่ เพอื่ การทานาครั้งตอํ ไป หัตถกรรมเป๕นทรัพย๑สิน และมรดกทางภูมิป๓ญญาที่ย่ิงใหญํท่ีสุดอยํางหน่ึงของบรรพบุรุษ เพราะเปน๕ สื่อท่ถี าํ ยทอดอารมณ๑ ความรู๎สึก ความคิด ความเชื่อ และคุณคําตํางๆ ท่ีสั่งสมมาแตํนมนาน ลายผ๎า
ไหม ผ๎าฝูาย ฝีมอื ในการทออยาํ งประณีต รปู แบบเครอื่ งมือ ที่สานดว๎ ยไม๎ไผํ และอุปกรณ๑ เครื่องใช๎ไม๎สอยตํางๆ เคร่ืองดนตรี เคร่ืองเลํน ส่ิงเหลําน้ีได๎ถูกบรรจงสร๎างขึ้นมา เพ่ือการใช๎สอย การทาบุญ หรือการอุทิศให๎ใครคน หนึ่ง ไมํใชํเพ่ือการค๎าขาย ชาวบ๎านทามาหากินเพียงเพื่อการยังชีพ ไมํได๎ทาเพื่อขาย มีการนาผลิตผลสํวนหนึ่ง ไปแลกสิ่งของท่ีจาเป๕น ท่ีตนเองไมํมี เชํน นาข๎าวไป แลกเกลือ พริก ปลา ไกํ หรือเสื้อผ๎า การขายผลิตผลมีแตํ เพียงสํวนน๎อย และเม่ือมีความจาเป๕นต๎องใช๎เงิน เพ่ือเสียภาษีให๎รัฐ ชาวบ๎านนาผลิตผล เชํน ข๎าว ไปขายใน เมอื งใหก๎ บั พํอค๎า หรือขายให๎กับพอํ คา๎ ท๎องถ่ิน เชํน ทางภาคอีสาน เรียกวํา \"นายฮ๎อย\" คนเหลํานี้จะนาผลิตผล บางอยาํ ง เชํน ข๎าว ปลารา๎ วัว ควาย ไปขายในท่ไี กลๆ ทางภาคเหนือมีพอํ คา๎ วัวตํางๆ เปน๕ ต๎น แม๎วําความร๎เู ร่อื งการค๎าขายของคนสมัยกํอน ไมํอาจจะนามาใช๎ในระบบตลาดเชํนป๓จจุบันได๎ เพราะสถานการณ๑ได๎เปล่ียนแปลงไปอยํางมาก แตํการค๎าที่มีจริยธรรมของพํอค๎าในอดีต ท่ีไมํได๎หวังแตํเพียง กาไร แตํคานงึ ถงึ การชวํ ยเหลอื แบงํ ป๓นกันเป๕นหลกั ยงั มคี ุณคําสาหรบั ปจ๓ จบุ ัน นอกนั้น ในหลายพื้นที่ในชนบท ระบบการแลกเปล่ยี นสิ่งของยังมอี ยูํ โดยเฉพาะในพืน้ ที่ยากจน ซ่งึ ชาวบ๎านไมํมีเงินสด แตํมีผลิตผลตํางๆ ระบบ การแลกเปล่ียนไมํได๎ยึดหลักมาตราชั่งวัด หรือการตีราคาของสิ่งของ แตํแลกเปลี่ยน โดยการคานึงถึง สถานการณ๑ของผู๎แลกทั้งสองฝุาย คนที่เอาปลาหรือไกํมาขอแลกข๎าว อาจจะได๎ข๎าวเป๕นถัง เพราะเจ๎าของข๎าว คานงึ ถึงความจาเป๕นของครอบครวั เจ๎าของไกํ ถ๎าหากตรี าคาเปน๕ เงิน ขา๎ วหนง่ึ ถังยอํ มมคี าํ สูงกวาํ ไกํหนึ่งตัว การอยู่ร่วมกันในสังคม การอยํูรํวมกันในชุมชนด้ังเดิมน้ัน สํวนใหญํจะเป๕นญาติพี่น๎องไมํกี่ตระกูล ซ่ึงได๎อพยพย๎ายถิ่นฐานมา อยํู หรือสืบทอดบรรพบุรุษจนนับญาติกันได๎ทั้งชุมชน มีคนเฒําคนแกํท่ีชาวบ๎านเคารพนับถือเป๕นผู๎นาหน๎าท่ี ของผ๎ูนา ไมํใชํการส่ัง แตํเป๕นผ๎ูให๎คาแนะนาปรึกษา มีความแมํนยาในกฎระเบียบประเพณีการดาเนินชีวิต ตัดสินไกลํเกลี่ย หากเกิดความขัดแย๎ง ชํวยกันแก๎ไขป๓ญหาตํางๆ ท่ีเกิดขึ้น ป๓ญหาในชุมชนก็มีไมํน๎อย ป๓ญหา การทามาหากิน ฝนแล๎ง น้าทํวม โรคระบาด โจรลักวัวควาย เป๕นต๎น นอกจากนั้น ยังมีป๓ญหาความขัดแย๎ง ภายในชุมชน หรือระหวํางชุมชน การละเมิดกฎหมาย ประเพณี สํวนใหญํจะเป๕นการ \" ผิดผี\" คือ ผีของบรรพ บุรุษ ผู๎ซ่ึงได๎สร๎างกฎเกณฑ๑ตํางๆ ไว๎ เชํน กรณีท่ีชายหนํุมถูกเน้ือต๎องตัวหญิงสาวท่ียังไมํแตํงงาน เป๕นต๎น หาก เกิดการผิดผีขึ้นมา ก็ต๎องมีพิธีกรรมขอขมา โดยมีคนเฒําคนแกํเป๕นตัวแทนของบรรพบุรุษ มีการวํากลําวสั่ง สอน และชดเชยการทาผิดน้ัน ตามกฎเกณฑ๑ที่วางไว๎ ชาวบ๎านอยํูอยํางพึ่งพาอาศัยกัน ยามเจ็บไข๎ได๎ปุวย ยาม เกิดอุบัติเหตุเภทภัย ยามท่ีโจรขโมยวัวควายข๎าวของ การชํวยเหลือกันทางานที่เรียกกันวํา การลงแขก ทั้ง แรงกายแรงใจท่ีมีอยํูก็จะแบํงป๓นชํวยเหลือ เอ้ืออาทรกัน การ แลกเปล่ียนสิ่งของ อาหารการกิน และอื่นๆ จึง เก่ียวข๎องกับวิถีของชุมชน ชาวบ๎านชํวยกันเก็บเก่ียวข๎าว สร๎างบ๎าน หรืองานอื่นท่ีต๎องการคนมากๆ เพ่ือจะได๎ เสร็จโดยเร็ว ไมํมกี ารจา๎ ง กรณีตัวอยาํ งจากการปลกู ข๎าวของชาวบ๎าน ถ๎าปหี นง่ึ ชาวนาปลูกข๎าวได๎ผลดี ผลิตผลที่ได๎จะใช๎เพ่ือการ บรโิ ภคในครอบครวั ทาบญุ ที่วดั เผอื่ แผํใหพ๎ ี่น๎องทข่ี าดแคลน แลกของ และเก็บไว๎ เผื่อวําปีหน๎าฝนอาจแล๎ง น้า อาจทํวม ผลิตผล อาจไมํดีในชุมชนตํางๆ จะมีผ๎ูมีความรู๎ความสามารถหลากหลาย บางคนเกํงทางการรักษา โรค บางคนทางการเพาะปลูกพืช บางคนทางการเลี้ยงสัตว๑ บางคนทางด๎านดนตรีการละเลํน บางคนเกํง ทางด๎านพิธีกรรม คนเหลําน้ีตํางก็ใช๎ความสามารถ เพื่อประโยชน๑ของชุมชน โดยไมํถือเป๕นอาชีพ ที่มี คาํ ตอบแทน อยาํ งมากก็มี \"คําคร\"ู แตเํ พยี งเล็กน๎อย ซึ่งปกติแล๎ว เงินจานวนนั้น ก็ใช๎สาหรับเคร่ืองมือประกอบ พิธีกรรม หรือ เพอ่ื ทาบญุ ท่วี ัด มากกวาํ ท่ีหมอยา หรอื บุคคลผน๎ู นั้ จะเก็บไว๎ใช๎เอง เพราะแท๎ท่ีจริงแล๎ว \"วิชา\" ท่ี ครูถํายทอดมาให๎แกํลูกศิษย๑ จะต๎องนาไปใช๎ เพ่ือประโยชน๑แกํสังคม ไมํใชํเพ่ือผลประโยชน๑สํวนตัว การตอบ แทนจึงไมํใชํเงินหรือสิ่งของเสมอไป แตํเป๕นการชํวยเหลือเกื้อกูลกันโดยวิธีการตํางๆด๎วยวิถีชีวิตเชํนนี้ จึงมี คาถาม เพื่อเปน๕ การสอนคนรํุนหลงั วาํ ถา๎ หากคนหนง่ึ จบั ปลาชํอนตัวใหญํได๎หนึ่งตัว ทาอยํางไรจึงจะกินได๎ท้ังปี
คนสมัยนอ้ี าจจะบอกวาํ ทาปลาเค็ม ปลารา๎ หรอื เกบ็ รกั ษาด๎วยวธิ กี ารตาํ งๆ แตํคาตอบท่ีถูกต๎อง คือ แบํงป๓นให๎ พ่ีน๎อง เพ่ือนบ๎าน เพราะเมื่อเขาได๎ปลา เขาก็จะทากับเราเชํนเดียวกัน ชีวิตทางสังคมของหมํูบ๎าน มีศูนย๑กลาง อยูํทวี่ ดั กิจกรรมของสํวนรวม จะทากันท่วี ดั งานบญุ ประเพณีตํางๆ ตลอดจนการละเลนํ มหรสพ พระสงฆเ๑ ปน๕ ผู๎นาทางจติ ใจ เป๕นครูท่สี อนลูกหลานผูช๎ าย ซึง่ ไปรับใช๎พระสงฆ๑ หรอื \"บวชเรียน\" ทั้งน้เี พราะกํอนน้ียังไมมํ ี โรงเรียน วัดจึงเป๕นทง้ั โรงเรยี น และหอประชมุ เพื่อกจิ กรรมตาํ งๆ ตํอเมื่อโรงเรียนมีข้ึน และแยกออกจากวัด บทบาทของวดั และของพระสงฆ๑ จึงเปลี่ยนไป งานบญุ ประเพณีในชุมชนแตํกํอนมีอยํูทุกเดือน ตํอมาก็ลดลงไป หรือสองสามหมูํบ๎านรํวมกันจัด หรือ ผลัดเปล่ียนหมุนเวียนกัน เชํน งานเทศน๑มหาชาติ ซ่ึงเป๕นงานใหญํ หมํูบ๎านเล็กๆ ไมํอาจจะจัดได๎ทุกปี งาน เหลํานม้ี ีทั้งความเช่ือ พิธีกรรม และความสนกุ สนาน ซ่งึ ชุมชนแสดงออกรวํ มกนั ระบบคณุ ค่า ความเช่ือในกฎเกณฑ๑ประเพณี เป๕นระเบียบทางสังคมของชุมชนดั้งเดิม ความเช่ือน้ีเป๕นรากฐานของ ระบบคุณคําตํางๆ ความกตัญ๒ูร๎ูคุณตํอพํอแมํ ปุูยําตายาย ความเมตตาเอ้ืออาทรตํอผู๎อื่น ความเคารพตํอสิ่ง ศักดสิ์ ิทธใ์ิ นธรรมชาติรอบตัว และในสากลจกั รวาล ความเช่ือ \"ผี\" หรือสิ่งศักด์ิสิทธิ์ในธรรมชาติ เป๕นที่มาของการดาเนินชีวิต ท้ังของสํวนบุคคล และของ ชมุ ชน โดยรวมการเคารพในผีปุูตา หรือผีปูุยํา ซึ่งเป๕นผีประจาหมํูบ๎าน ทาให๎ชาวบ๎านมีความเป๕นหนึ่งเดียวกัน เปน๕ ลูกหลานของปุูตาคนเดยี วกัน รักษาปุาที่มบี ๎านเลก็ ๆ สาหรับผี ปลูกอยูํติดหมูํบ๎าน ผีปุา ทาให๎คนตัดไม๎ด๎วย ความเคารพ ขออนญุ าตเลอื กตดั ตน๎ แกํ และปลกู ทดแทน ไมทํ ้ิงส่ิงสกปรกลงแมํน้า ด๎วยความเคารพในแมํคงคา กนิ ขา๎ วด๎วยความเคารพ ในแมโํ พสพ คนโบราณกินขา๎ วเสรจ็ จะไหวข๎ ๎าว พิธีบายศรีสูํขวัญ เป๕นพิธีรื้อฟ๗ืน กระชับ หรือสร๎างความสัมพันธ๑ระหวํางผู๎คน คนจะเดินทางไกล หรือ กลับจากการเดินทาง สมาชิกใหมํ ในชุมชน คนปุวย หรือกาลังฟ๗ืนไข๎ คนเหลําน้ีจะได๎รับพิธีสํูขวัญ เพื่อให๎เป๕น สิรมิ งคล มีความอยเํู ย็นเปน๕ สุข นอกนั้นยงั มีพิธีสืบชะตาชีวิตของบุคคล หรือของชมุ ชน นอกจากพิธีกรรมกับคนแล๎ว ยังมีพิธีกรรมกับสัตว๑และธรรมชาติ มีพิธีสูํขวัญข๎าว สูํขวัญควาย สํูขวัญ เกวยี น เปน๕ การแสดงออกถึงการขอบคุณ การขอขมา พิธีดงั กลาํ วไมํได๎มีความหมายถึงวํา สิ่งเหลําน้ีมีจิต มีผีใน ตัวมันเอง แตํเป๕นการแสดงออก ถึงความสัมพันธ๑กับจิตและส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ อันเป๕นสากลในธรรมชาติท้ังหมด ทา ให๎ผ๎ูคนมีความสัมพันธ๑อันดีกับทุกส่ิง คนขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ที่มาจากหมํูบ๎าน ยังซ้ือดอกไม๎ แล๎วแขวนไว๎ที่ กระจกในรถ ไมํใชํเพ่ือเซํนไหว๎ผีในรถแท็กซี่ แตํเป๕นการราลึกถึงส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ ใน สากลจักรวาล รวมถึงที่สิงอยูํ ในรถคันน้ันผู๎คนสมัยกํอนมีความสานึกในข๎อจากัดของตนเอง ร๎ูวํา มนุษย๑มีความอํอนแอ และเปราะบาง หาก ไมํรกั ษาความสมั พันธ๑อันดี และไมํคงความสมดลุ กบั ธรรมชาติรอบตัวไว๎ เขาคงไมํสามารถมีชีวิตได๎อยํางเป๕นสุข และยืนนาน ผ๎ูคนทั่วไปจึงไมํมีความอวดกล๎าในความสามารถของตน ไมํท๎าทายธรรมชาติ และส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ มี ความออํ นน๎อมถอํ มตน และรกั ษากฎระเบียบประเพณีอยํางเครํงครัด ชีวิตของชาวบ๎านในรอบหน่ึงปี จึงมีพิธีกรรมทุกเดือน เพ่ือแสดงออกถึงความเชื่อ และความสัมพันธ๑ ระหวํางผู๎คนในสังคม ระหวํางคนกับธรรมชาติ และระหวํางคนกับส่ิงศักด์ิสิทธิ์ตํางๆ ดังกรณีงานบุญประเพณี ของชาวอีสานท่ีเรียกวําฮีตสิบสอง คอื เดือนอ๎าย (เดือนที่หน่ึง) บุญเข๎ากรรม ให๎พระภิกษุเข๎าปริวาสกรรมเดือน ย่ี (เดือนท่ีสอง) บุญคูณลาน ให๎นาข๎าวมากองกันที่ลาน ทาพิธีกํอนนวด เดือนสาม บุญข๎าวจี่ ให๎ถวายข๎าวจี่ (ข๎าวเหนียวป๓๗นชุบไขํทาเกลือนาไปยํางไฟ)เดือนส่ี บุญพระเวส ให๎ฟ๓งเทศน๑มหาชาติ คือ เทศน๑เร่ืองพระ เวสสันดรชาดก เดือนหา๎ บญุ สรงน้า หรอื บญุ สงกรานต๑ ให๎สรงนา้ พระ ผ๎เู ฒาํ ผู๎แกํ เดือนหก บุญบ้ังไฟ บูชาพญา แถน ตามความเช่ือเดิม และบุญวิสาขบูชา ตามความเช่ือของชาวพุทธ เดือนเจ็ด บุญซาฮะ (บุญชาระ) ให๎บน
บานพระภูมิเจ๎าท่ี เล้ียงผีปุูตา เดือนแปด บุญเข๎าพรรษา เดือนเก๎า บุญข๎าวประดับดิน ทาบุญอุทิศสํวนกุศลให๎ ญาติพ่ีน๎องผ๎ูลํวงลับ เดือนสิบ บุญข๎าวสาก ทาบุญเชํนเดือนเก๎า รวมให๎ผีไมํมีญาติ (ภาคใต๎มีพิธีคล๎ายกัน คือ งานพิธีเดือนสิบ ทาบุญให๎แกํบรรพบุรุษผู๎ลํวงลับไปแล๎ว แบํงข๎าวปลาอาหารสํวนหนึ่งให๎แกํผีไมํมีญาติ พวก เด็กๆ ชอบแยงํ กันเอาของท่แี บงํ ให๎ผีไมํมญี าตหิ รือเปรต เรียกวํา \"การชิงเปรต\") เดอื นสบิ เอด็ บญุ ออกพรรษา เดือนสิบสอง บญุ กฐนิ จัดงานกฐิน และลอยกระทง ภูมิป๓ญญาชาวบ๎านในสังคมป๓จจุบันภูมิป๓ญญาชาวบ๎านได๎กํอเกิด และสืบทอดกันมาในชุมชนหมํูบ๎าน เม่ือหมํูบ๎านเปล่ียนแปลงไปพร๎อมกับสังคมสมัยใหมํ ภูมิป๓ญญาชาวบ๎านก็มีการปรับตัวเชํนเดียวกัน ความรู๎ จานวนมากได๎สูญหายไป เพราะไมมํ ีการปฏิบตั สิ บื ทอด เชนํ การรกั ษาพ้ืนบ๎านบางอยําง การใช๎ยาสมุนไพรบาง ชนิด เพราะหมอยาที่เกํงๆ ได๎เสียชีวิต โดยไมํได๎ถํายทอดให๎กับคนอ่ืน หรือถํายทอด แตํคนตํอมาไมํได๎ปฏิบัติ เพราะชาวบ๎านไมํนิยมเหมือนเมื่อกํอน ใช๎ยาสมัยใหมํ และไปหาหมอ ที่โรงพยาบาล หรือคลินิก งํายกวํา งาน หันตถกรรม ทอผ๎า หรือเครื่องเงิน เคร่ืองเขิน แม๎จะยังเหลืออยูํไมํน๎อย แตํก็ได๎ถูกพัฒนาไปเป๕นการค๎า ไมํ สามารถรักษาคุณภาพ และฝีมือแบบดั้งเดิมไว๎ได๎ ในการทามาหากินมีการใช๎เทคโนโลยีทันสมัย ใช๎รถไถแทน ควาย รถอีแต๐นแทนเกวยี น การลงแขกทานา และปลูกสร๎างบ๎านเรือน ก็เกือบจะหมดไป มีการจ๎างงานกันมากข้ึน แรงงานก็หา ยากกวาํ แตกํ อํ น ผค๎ู นอพยพย๎ายถน่ิ บา๎ งกเ็ ข๎าเมือง บ๎างก็ไปทางานที่อื่น ประเพณีงานบุญ ก็เหลือไมํมาก ทาได๎ กต็ อํ เมอื่ ลูกหลานทจี่ ากบา๎ นไปทางาน กลับมาเย่ียมบ๎านในเทศกาลสาคัญๆ เชํน ปีใหมํ สงกรานต๑ เข๎าพรรษา เปน๕ ต๎น สังคมสมยั ใหมํมรี ะบบการศึกษาในโรงเรยี น มอี นามัย และโรงพยาบาล มีโรงหนัง วิทยุ โทรทัศน๑ และ เครื่องบันเทิงตํางๆ ทาให๎ชีวิตทางสังคมของชุมชนหมูํบ๎านเปลี่ยนไป มีตารวจ มีโรงมีศาล มีเจ๎าหน๎าท่ีราชการ ฝุายปกครอง ฝาุ ยพัฒนา และอื่นๆ เข๎าไปในหมบํู า๎ น บทบาทของวัด พระสงฆ๑ และคนเฒําคนแกํเร่ิมลดน๎อยลง การทามาหากินก็เปล่ียนจากการทาเพื่อยังชีพไปเป๕นการผลิตเพ่ือการขาย ผู๎คนต๎องการเงิน เพ่ือซื้อเคร่ือง บริโภคตํางๆ ทาให๎ส่ิงแวดล๎อม เปล่ียนไป ผลิตผลจากปุาก็หมด สถานการณ๑เชํนน้ีทาให๎ผ๎ูนาการพัฒนาชุมชน หลายคน ท่ีมีบทบาทสาคัญในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ เริ่มเห็นความสาคัญของภูมิป๓ญญา ชาวบา๎ น หนํวยงานทางภาครัฐ และภาคเอกชน ให๎การสนับสนุน และสํงเสริมให๎มีการอนุรักษ๑ ฟื๗นฟู ประยุกต๑ และคน๎ คิดส่ิงใหมํ ความร๎ูใหมํ เพ่ือประโยชน๑สขุ ของสังคม
เพลงพ้นื บา้ น คือ เพลงของท๎องถ่ินที่ชาวบ๎านจดจาสืบทอดกันมาแบบปากเปลํา ใช๎ร๎องเลํนเพ่ือความสนุกสนานรื่น เริง และถํายทอดอารมณ๑ความรู๎สึกโดยใช๎ถ๎อยคาที่งํายๆ แตํใช๎โวหารหรือการเปรียบเทียบท่ีคมคาย เน๎นเสียง สมั ผัส และจังหวะการรอ๎ งเปน๕ สาคญั ประวัติของเพลงพ้นื บ้าน จากหลักฐานสมัยอยุธยา กลําวถึงเพลงเรือ และเพลงเทพทอง ซ่ึงพบวํามีการเลํนเป๕นมหรสพสมโภช มาจนถึงสมัยธนบุรี ครั้นสมัยรัตนโกสินทร๑ ในรัชกาลที่ 1 และรัชกาลท่ี 2 เพลงพ้ืนบ๎านท่ีใช๎เลํนเป๕นมหรสพ สมโภชในงานฉลองตํางๆ มี 2 ชนิด คือ เพลงปรบไกํ และเพลงเทพทอง จนถึงรัชกาลที่ 3 ปรากฏหลักฐานใน วรรณคดีท่ีกลําวถึงงานลอยกระทงวํา มีการเลํนสักวา เพลงครึ่งทํอน เพลงปรบไกํ และดอกสร๎อย ตํอมาใน รัชกาลท่ี 4 ชาวบ๎านนิยมเพลงแอํวลาวกันมาก จึงทรงออกประกาศห๎ามเลํนเพลงแอํวลาว และให๎ฟ๗ืนฟูเพลง พื้นบ๎านของไทย เชํน เพลงคร่ึงทํอน เพลงปรบไกํ เพลงสักวา เพลงไกํปุา เพลงเกี่ยวข๎าว ในรัชกาลที่ 5 - รัชกาลที่ 7 เพลงพื้นบ๎านยังเป๕นมหรสพ ที่ได๎รับความนิยมสืบเนื่องมา จนมาถึงรัฐบาล จอมพล ป. พิบูล สงคราม ได๎ควบคุมการละเลํนพื้นบ๎านและสนับสนุนการราวงให๎แพรํหลาย ทาให๎เพลงพ้ืนบ๎านด้ังเดิมคํอยๆ เสอ่ื มความนยิ มลง ตัง้ แตนํ ั้นเปน๕ ต๎นมา (ทม่ี า : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) การรอ๎ งเลํนเพลงในสมยั รัชกาลที่ 5 ลกั ษณะของเพลงพน้ื บ้าน เพลงพ้นื บ๎านมลี ักษณะเฉพาะคือ เป๕นงานของกลุํมชาวบ๎านที่สืบทอดจากปากสํูปาก อาศัยการฟ๓งและ จา ไมํมีการจดบันทึกเป๕นลายลักษณ๑อักษร เป๕นเพลงที่ไมํมีต๎นกาเนิดที่แนํนอน เน้ือร๎องใช๎คา สานวนโวหาร และความเปรียบงํายๆ ที่ชาวบ๎านใช๎ ไมํมีศัพท๑ยากที่ต๎องแปล สํวนทานอง จานวนคา และสัมผัสไมํมีกฎเกณฑ๑ ตายตัว แตํให๎ความสาคัญกับเสียง และจังหวะการร๎องมากกวํา ชาวบ๎านร๎องและเลํนเพลงพ้ืนบ๎าน โดยใช๎การ ปรบมือหรือมีเครื่องประกอบจังหวะงํายๆ ได๎แกํ กรับ ฉิ่ง กลอง บางครั้งก็ไมํได๎ใช๎เครื่องดนตรีชนิดใดเลย นอกจากเสียงเอื้อน บางครง้ั นาอปุ กรณ๑ทใ่ี ชท๎ ากจิ กรรมอยูํ มาประกอบการร๎อง เชํน เพลงเก่ียวข๎าวก็ใช๎รวงข๎าว และเคยี ว สิง่ สาคัญคือ การอาศยั เสียงรอ๎ งรบั รอ๎ งกระท๎งุ ของลกู คูํ เพราะเพลงพ้ืนบ๎านเน๎นความสนุกสนานเป๕น หลัก
(ท่มี า : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) เพลงราพาข๎าวสาร เปน๕ เพลงพื้นบ๎านภาคกลาง นิยมรอ๎ งเลนํ ในฤดนู ้าหลาก หน๎ากฐนิ และผ๎าปาุ ประเภทของเพลงพ้นื บา๎ นแบงํ ออกไดห๎ ลายประเภท ไดแ๎ กํ แบงํ ตามกลุํมวัฒนธรรม โอกาสที่ร๎อง จุดประสงค๑ใน การร๎อง จานวนผู๎ร๎อง ความส้ันยาวของเพลง เพศของผ๎ูร๎อง และวัยของผ๎ูร๎อง ในท่ีนี้ขอกลําวถึงเพลงพื้นบ๎าน โดยแบํงตามเขตพ้ืนท่ีเป๕นภาค 4 ภาค คือ 1. เพลงพน้ื บา้ นภาคกลาง สํวนใหญํเป๕นเพลงท่ีคนหนุํมสาวใช๎ร๎องโต๎ตอบเก้ียวพาราสีกัน มักร๎องกันเป๕นกลํุม หรือเป๕นวง ประกอบด๎วยผ๎ูร๎องนาเพลงฝุายชาย และฝุายหญิง ท่ีเรียกวํา พํอเพลง แมํเพลง สํวนคนอ่ืนๆ เป๕นลูกคูํร๎องรับ ให๎จงั หวะดว๎ ยการปรบมอื หรือการใชเ๎ คร่ืองดนตรปี ระกอบจงั หวะงาํ ยๆ เชนํ กรับ ฉง่ิ แบํงได๎ 5 กลมํุ คอื เพลงท่ีนิยมร๎องเลํนในฤดูน้าหลาก หน๎ากฐินและผ๎าปุา และในชํวงเทศกาลออกพรรษา เชํน เพลงเรือ เพลงราพาขา๎ วสาร เพลงรอํ ยภาษา เพลงที่นิยมเลํนในเทศกาลเก็บเก่ียว เป๕นเพลงที่ร๎องเลํนในเวลาลงแขกเกี่ยวข๎าวและนวดข๎าว เชํน เพลงเกยี่ วขา๎ ว เพลงเต๎นกา เพลงสงคอลาพวน เพลงสงฟาง เพลงชกั กระดาน เพลงทน่ี ิยมเลํนในเทศกาลสงกรานต๑ เชนํ เพลงพวงมาลัย เพลงพิษฐาน เพลงระบา เพลงระบาบ๎านไรํ เพลงเหยํอย เพลงเข๎าผี เพลงทใ่ี ช๎ร๎องเวลามารวมกันทากิจกรรมอยํางหนง่ึ เชํน เพลงโขลกแปูง เพลงแหํนาคหรือส่ังนาค เพลงทร่ี ๎องเลนํ ไมํจากดั เทศกาล เชํน เพลงลาตัด เพลงฉํอย เพลงอแี ซว เพลงขอทาน เพลงสาหรบั เดก็
(ทม่ี า : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) การแสดงหนุํ กระบอกเร่ือง สงั ข๑ทอง ตอนนางรจนาเสี่ยงพวงมาลยั (มูลนิธจิ ักรพนั ธุ๑ โปษยกฤตเออื้ เฟื๗อภาพ) 2. เพลงพ้นื บ้านภาคเหนอื ชีวิตของผู๎คนในภาคเหนือ หรือชาวล๎านนา ผูกพันอยํูกับเสียงเพลงตั้งแตํวัยเด็ก วัยหนุํมสาว จนถึงวัย ชรา เพลงพืน้ บา๎ นภาคเหนือ ทยี่ งั คงรจู๎ กั และมีรอ๎ งเลนํ กนั อยูบํ างแหํงจนถึงปจ๓ จุบนั มี 3 ประเภท คอื เพลงสาหรับเด็ก ได๎แกํ เพลงกลํอมเด็ก (เพลงอื่อ ชา ชา) และเพลงร๎องเลํน เชํน เพลงสิกก๎องกอ เพลงสกิ จุํงจา เพลงร๎องเลํนอ่นื ๆ จ๏อย เป๕นเพลงพื้นบ๎านที่เกิดจากประเพณีการพบปะพูดคุยเก้ียวพาราสีในตอนกลางคืน เรียกวํา แอํว สาว ร๎องระหวํางท่ีหนํุมๆ เดนิ ไปเยีย่ มบา๎ นสาวที่หมายปองอยํู การร๎องจ๏อยเปน๕ การจาบทร๎องและทานองสืบตํอ กันมา โดยไมํต๎องฝกึ หัด อาจมดี นตรปี ระกอบหรอื ไมํมกี ็ได๎ ซอ เป๕นเพลงพนื้ บ๎านภาคเหนือที่ชายกบั หญิงขบั รอ๎ งโต๎ตอบกัน ผร๎ู อ๎ งเพลงซอ หรอื ขับซอ เรียกวํา ชําง ซอ เริ่มจากการร๎องโต๎ตอบกันเพียงสองคน ตํอมา พัฒนาเป๕นวงหรือคณะ และรับจ๎างเลํนในงานบุญ มีดนตรี ประกอบ ได๎แกํ ป๖ี ซึง และสะล๎อ
(ที่มา : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) การเลํนเพลงโคราช เปน๕ เพลงพนื้ บ๎านของกลํุมวัฒนธรรมไทยโคราช มเี อกลกั ษณ๑คือ ใช๎ภาษาถิ่น โคราชในการร๎องโตต๎ อบกนั ป๓จจุบันพัฒนาเปน๕ คณะหรือเป๕นวง 3. เพลงพ้นื บ้านภาคอีสาน ภาคอีสานเป๕นแหลํงรวมกลํุมชนที่มีวัฒนธรรมแตกตํางกันถึง 3 กลุํม จึงมีเพลงพื้นบ๎านแบํงเป๕น 3 ประเภท ดังน้ี เพลงพื้นบ๎านกลํุมวัฒนธรรมไทย-ลาว ใช๎ภาษาถิ่น คือ ภาษาอีสาน เพลงพื้นบ๎านของกลํุมวัฒนธรรม ไทย-ลาว มี 2 ประเภท คอื หมอลา และลาเซ้ิง เพลงพื้นบ๎านกลํุมวัฒนธรรมเขมร-สํวย (กูย) ใช๎ภาษาเขมร และภาษาสํวย (กูย) มีเพลงพื้นบ๎านท่ี เรียกวํา เจรียง ซ่ึงแบํงเป๕น 2 ลักษณะ คือ เจรียงในวงกันตรึม มีวงดนตรีประกอบด๎วย ปี๖ออ ปี๖ชลัย กลอง กันตรึม ฉ่ิง ฉาบ กรับ ร๎องเน้ือหาให๎เข๎ากับงานหรือตามที่ผู๎ฟ๓งขอ สํวน เจรียงเป๕นตัวหลัก เลํนในวันเทศกาล เชํน เจรียงตรษุ เจรียงนอรแกว (เพลงร๎องโต๎ตอบชาย-หญิง) เพลงพื้นบ๎านกลุํมวัฒนธรรมไทยโคราช คือ เพลงโคราช ในป๓จจุบันพัฒนาจากเพลงพ้ืนบ๎านมาเป๕น คณะเป๕นวง มีการฝึกหัดเป๕นอาชีพ รับจ๎างแสดงในงานบุญ งานมงคล งานแก๎บน เน้ือร๎องเป๕นการโต๎ตอบกัน ระหวํางชาย - หญงิ ใช๎ปรบมอื ตอนจะลงเพลง แลว๎ ร๎อง \"ไช ยะ\"
(ทมี่ า : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) การรอ๎ งเพลงบอกของภาคใต๎ ในเทศกาลสงกรานต๑หรืองานบญุ ตํางๆ 4. เพลงพื้นบ้านภาคใต้ เพลงพ้ืนบ๎านภาคใต๎มีจานวนไมํมากนัก แตํมีหลายเพลงที่ยังคงรักษารูปแบบการร๎องด้ังเดิมไว๎ได๎อยํางดี เชนํ เพลงเรือ เป๕นเพลงพื้นบ๎านประเภทหน่ึง ใช๎เลํนในเรือ นิยมเลํนในชํวงเดือน 11 - เดือน 12 หลังออก พรรษาแล๎ว ในงานประเพณีชักพระหรือแหํพระ มีเรือเพลงฝุายชายและฝุายหญิงร๎องโต๎ตอบกันด๎วยปฏิภาณ ไหวพริบ ท้ังในเชิงเก้ียวพาราสี โต๎คารมและกระเซ๎าเย๎าแหยํกัน มักยกเหตุการณ๑บ๎านเมืองหรือสภาพแวดล๎อม มาสอดแทรกในเน้ือร๎องด๎วย เพลงบอก เป๕นเพลงพ้ืนบ๎านท่ีนิยมเลํนในเทศกาลสงกรานต๑ เพ่ือบอกความหรือประกาศวันสงกรานต๑ อาจเลํนในงานบุญตํางๆ หรืองานประจาปีก็ได๎ ชาวบ๎านจะรวมกลุํมกัน 5 - 10 คน เคร่ืองดนตรีมีขลํุย ทับ ปี๖ ฉ่ิง กรับ หรือเทําท่ีจะหาได๎ เดินร๎องเพลงไปตามหมูํบ๎าน เม่ือเจ๎าของบ๎านได๎ยินเสียงเพลงก็จะเชื้อเชิญขึ้นบน บ๎าน เล้ียงอาหาร หมากพลูด๎วยความยินดี เพราะคณะเพลงบอกจะร๎องอวยพรปีใหมํ และสรรเสริญเยินยอ เจ๎าของบ๎าน เพลงร๎องเรือ หรือเพลงชาน๎อง เป๕นเพลงที่ใช๎ร๎องกลํอมเด็กให๎นอน ลักษณะคาประพันธ๑ 1 บท มี 8 วรรค ในแตํละวรรคมี 4 - 10 คา เพลงร๎องเรือ หรือเพลงชาน๎องสํวนมากมักร๎องเกริ่นนาด๎วยคาวํา \"ฮาเอ๎อ\" และลงท๎ายวรรคแรกด๎วยคาวํา \"เหอ\" สํวนเนื้อหาสาระนอกจากเป๕นการขับกลํอมให๎เด็กนอนหลับอยํางมี ความสุขแล๎ว หลายบทยังสอดแทรกคาสอนในการประพฤติปฏิบัติตน หรือปลูกฝ๓งคุณธรรมแกํเยาวชน และ สะท๎อนเร่ืองราวทเี่ กดิ ขึ้นในสังคมอกี ดว๎ ย ลักษณะเฉพาะของเพลงพื้นบ้าน เพลงพ้ืนบ๎านเป๕นบทร๎อยกรองท๎องถ่ินที่จดจาสืบตํอกันมา และนามาร๎อง มาขับลา เพื่อความบันเทิง เปน๕ วรรณกรรมมุขปาฐะ ท่แี พรํหลายในกลุมํ ชาวบ๎าน มีลักษณะเฉพาะทีส่ รปุ ไดด๎ ังน้ี 1. เพลงพ้ืนบ๎านเป๕นงานของกลุํมชาวบ๎านสืบทอดจากปากสํูปาก อาศัยการฟ๓งและจา ไมํมีการจด บันทึกเป๕นลายลักษณ๑อักษร คนในกลํุมสังคมเดียวกันมีสํวนรํวมเป๕นเจ๎าของบทเพลง ชาวบ๎านรํวมร๎องด๎วยกัน หรือรอ๎ งโต๎ตอบ หรือเป๕นลกู คํู หรืออยาํ งน๎อย ก็เคยฟ๓งและร๎ูจักเนอ้ื เพลง
2. เพลงพื้นบ๎านเป๕นเพลงท่ีไมํมีกาเนิดแนํนอน เนื่องจากสืบทอดกันมาเป๕นระยะเวลานาน จนไมํอาจ หาตน๎ ตอท่แี นํชดั ได๎วาํ มีมาตงั้ แตสํ มัยใด หรือใครเปน๕ ผู๎แตํง 3. เพลงพ้ืนบ๎านสํวนใหญํเป๕นเพลงที่มีเนื้อร๎องและทานองไมํตายตัว เนื้อร๎องหรือบทเพลง สามารถ ขยายให๎ยาวไปเร่ือยๆ หรือตัดทอนให๎สั้นได๎ แล๎วแตํความต๎องการของผู๎ร๎อง หรือตามสถานการณ๑ จึงพบเสมอ วํา เพลงพื้นบ๎านแม๎วําเป๕นช่ือเดียวกัน แตํมีเนื้อร๎องแตกตํางกันไป ซึ่งอาจเกิดจากผ๎ูร๎องในแตํละท๎องถิ่น และ ระยะเวลาทีส่ บื ทอดมา เชํน เพลงกลํอมเดก็ ท่ชี ่ือวาํ เพลงเจา๎ ขนุ ทอง เปน๕ เพลงท่ีแพรหํ ลายมาก และเป๕นเพลงที่ มีสานวนหลากหลายมากเพลงหนึง่ ด๎วย เพลง เจา๎ ขนุ ทอง สานวนทแี่ พรหํ ลายมาก วดั เอ๐ยวัดโบสถ๑ ตาลโตนดเจด็ ต๎น ขนุ ทองไปปลน๎ ปาุ นฉะน้ีไมํเห็นมา คดข๎าวใสหํ อํ ถอํ เรือไปหา เขากร็ า่ ลือมา วาํ ขุนทองตายแลว๎ เหลือแตํกระดกู แกว๎ เมียรกั จะไปปลง ขุนศรีถือฉัตร ยกกระบัตรถือธง ถือทา๎ ยเรือหงส๑ ปลงศพเจา๎ ขุนทอง เพลง ขนุ ทอง สานวนนางชุํม บวั ทอง ชาวบา๎ นอาเภอบ๎านแพ๎ว จังหวดั สมทุ รสาคร ตาลเอย ตาลโตนดอยูเํ จ็ดตน๎ นายทองไปปลน๎ ปาุ นฉะน้ีไมเํ ห็นมาคด ขา๎ วใสํหอํ ถํอเรือไปหา ลอื เลําไปมา วําขนุ ทองตายแลว๎ เหลอื แตํกระดูกลูกแกว๎ แผ๎วไว๎กลางดง นายศรีถอื ฉัตร ยกกระบัตรถือธง ถอื ทา๎ ยเรอื หงส๑ ปลงศพเจ๎าขนุ ทอง เรอื กล็ ํมจมควา่ ปากน้าแมํกลอง สํวนทานองเพลงพื้นบ๎านน้ัน ไมํมีการบันทึกโน๎ตดนตรีไว๎ จึงไมํมีทานองใดท่ีถูกต๎องท่ีสุด และพบวํา เพลงพ้นื บ๎านแมช๎ นดิ เดียวกนั ก็มลี ีลาการรอ๎ งทานองแตกออกไปได๎หลายทาง 4. เพลงพื้นบ๎านมีลักษณะคาประพันธ๑ร๎อยกรองที่จัดจังหวะคาและสัมผัสงํายๆ ไมํมีกฎเกณฑ๑ตายตัว ดังเชํนรูปแบบของเพลงพื้นบ๎านภาคกลาง นิยมคากลอนที่ลงท๎ายด๎วยสระเสียงเดียวกันไปเร่ือยๆ เป๕นสัมผัส คล๎องจองกันที่เสียงสระ ไมํใชํรูปสระ ที่นักวิชาการเรียกวํา \"กลอนหัวเดียว\" แตํพํอเพลงแมํเพลง (ผ๎ูร๎องเพลง พ้ืนบ๎านฝาุ ยชาย-ฝุายหญิง) นยิ มเรยี กวํา กลอนไล กลอนลา กลอนลี ตวั อยา่ ง กลอนไล กลอนไลเป๕นทนี่ ยิ มเพราะหาคาไดม๎ าก คือ คาสุดท๎ายของวรรคหลงั ลงทา๎ ยดว๎ ยเสียงสระไอทุกคา และ ใชร๎ ปู สระไดท๎ ง้ั ไอ ใอ อาย ธรรมเนียมออกปาุ ละกต็ ๎องชมนก วําธรรมเนยี มเขารก ละกต็ อ๎ งชมไม๎ ก็นั่นยโ่ี ถกระถิน ซํอนกล่นิ มถี ม กโ็ นนํ แนํะลั่นทม อยใํู นเมืองไทย ต๎นทองสองตน๎ ก็ขนึ้ อยํรู ิมทาง กล็ อบเข๎าถากเข๎าถาง วาํ จะปลกู ไปขาย
ทงั้ ใต๎ต๎นกระท๎อน มที ง้ั ดงกระทือ พ่ีขีเ้ กียจจะถือ ท้ังแมจํ ะถอนเอาไป โนํนแนํะตน๎ กระเบา ข้ึนอยํูที่คนั บํอ ต๎นบัวรบู อ๐ มันอยํูในบํอหน่ึงใบ อย๏ุ ในบํอมีบอน จะตดั แบกไปบ๎าน แกงกินเสยี ให๎บาน เชียวนะตะไท (เพลงฉํอย สานวนนายเผื่อน โพธภ์ิ ักตร)๑ ตวั อยา่ ง กลอนลา (กลอนลา คือ ค้าสดุ ท้ายของวรรคหลังลงท้ายด้วยเสียงสระอาทุกค้า) จะยกบายศรขี ้นึ สี่มุม ลกู จะไหว๎พระภูมทิ ่ีนา ไหวท๎ งั้ แมํขา๎ วเจ๎า ทั้งแมขํ ๎าวเหนยี ว เสียแหละ เม่อื ลูกนเี้ ทีย่ วกันมา ลูกจะไหวแ๎ มํโพสพ สบิ น้ิวนอบนบ นง่ั หนา๎ ขอให๎มาเป๕นมงคล มาสวมบนเกศา กันแตเํ มื่อเวลานีเ้ อย (เพลงเรือ สานวนนางบวั ผัน จนั ทร๑ศรี) ตัวอย่าง กลอนลี (กลอนลี คือ คา้ สุดทา้ ยของวรรคหลงั ลงทา้ ยด้วยเสยี งสระอที กุ ค้า) เองิ เอย ถ๎อยคาร่าไข วาํ กนั ในกลอนลี ไอเ๎ กยี นก็หักลงคาหว๎ ย เรยี กน๎องมาชํวยพ่ที ี ขอปูนสกั เต๎า จะทาข๎อเพลากันเสียใหด๎ ี ฉันอัน้ อ๎นจนใจ จะทายังไงกนั ขาพี่ ฉันไมํใชํคนสุพรรณ ทั้งมดี ทั้งขวานแมํกไ็ มมํ ี (เพลงเตน๎ กา สานวนนางบัวผนั จนั ทร๑ศร)ี กลอนทน่ี ยิ มใช๎กนั มากในเพลงพ้ืนบ๎านภาคกลาง ได๎แกํ กลอนไล กลอนลา กลอนลี ตามชื่อท่ีพํอเพลง แมเํ พลงเรยี ก นอกจากน้ี ยังมอี กี หลายกลอน เชํน กลอนลัน กลอนลวั กลอนลดู กลอนติ๊ด กลอนแชะ สุดแล๎วแตํ ผ๎รู ๎องจะคดิ ประดิษฐ๑ขน้ึ มา เพลงพ้ืนบ๎านของภาคอื่นๆ ก็มีลักษณะคาประพันธ๑คล๎ายกับภาคกลาง คือ มีการลง เสียงสมั ผสั ทา๎ ยวรรคเชนํ เดียวกบั กลอนหวั เดยี ว โดยใหค๎ วามสาคัญกับเสียง และจังหวะการร๎อง มากกวําความ เครํงครัดในจานวนคาและสมั ผสั 5. จานวนคาและสัมผัสไมํกาหนดแนํนอนตายตัว กลอนเพลงพื้นบ๎านเกิดจากการร๎อยคา 6 - 10 คา เข๎าดว๎ ยกนั ในแตํละวรรค จานวนคาจะมากหรือน๎อยข้ึนอยูํกับจังหวะของเสียงที่ลงและผ๎ูร๎องเป๕นสาคัญ ฉะน้ัน เพลงพ้ืนบ๎านทุกประเภท จึงมีลักษณะคาประพันธ๑คล๎ายกัน หรืออาจใช๎กลอนบทเดียวกันแตํร๎องหลายทานอง จะพบวํา พํอเพลงแมํเพลงในภาคกลาง ใช๎กลอนชุดเดียวกัน แตํร๎องได๎ท้ังเพลงเก่ียวข๎าว เพลงเรือ เพลงระบา บา๎ นนา หรือเพลงฉอํ ย 6. เพลงพื้นบ๎านสํวนใหญํมีความเรียบงํายในถ๎อยคา การร๎องและการแสดงออก แตํแฝงด๎วยความคม คาย เลือกใช๎คา สานวนโวหาร และความเปรียบงํายๆ ท่ีชาวบ๎านใช๎โดยท่ัวไป ไมํมีศัพท๑ยากที่ต๎องแปล ถ๎า เปรยี บเทียบสญั ลกั ษณ๑อยํางไร กส็ ามารถแปลความหมายไดโ๎ ดยงําย เชํน
จะเส่ยี งสตั ย๑อธษิ ฐาน ขอให๎เป๕นพยาน จะคลาดไป ถา๎ น๎องเปน๕ น้า ตัวพจ่ี ะตามเป๕นปลา มันจะได๎เย็นอุรา พ่ีชาย ถ๎านอ๎ งเป๕นขา๎ ว พจี่ ะขอเป๕นเคยี ว พจี่ ะได๎ตามไปเก่ียว ฉาดไป ถา๎ นอ๎ งเป๕นไม๎ พีจ่ ะขอเปน๕ นก จะไดช๎ ื่นอก ชื่นใจ เหลอื งเอยใบยอ หอมชํอมะเขือเปราะ รกั กนั ใหม๎ ่ัน เหมอื นเชือกขันชะเนาะ สามปีสเี่ ดอื น ขออยําให๎เลื่อนสกั เปลาะ รักน๎องให๎มั่นเหมาะใจเอย (เพลงเรือ สานวนหลวงพอํ พร๎อม อินทรว๑ ิไล) พิษฐานเอย มือหนึง่ ถือพาน พานดอกคดั เค๎า ขอใหส๎ ระของเรามีปลา ขอให๎นาของเรามีข๎าว มีทั้งบ๎านทั้งเรือน มที ้ังเพ่ือนรํวมเหย๎า พษิ ฐานวานไหว๎ ขอใหไ๎ ดด๎ งั ใจข๎าคดิ (เพลงพษิ ฐาน ของชาวนครสวรรค)๑ สํวนความเรียบงํายในการแสดงออกจะเห็นวํา ชาวบ๎านร๎องและเลํนเพลงพ้ืนบ๎าน โดยไมํต๎องใช๎ อุปกรณ๑มากมาย สิ่งท่ีชํวยให๎เพลงไพเราะ นอกจากข้ึนอยูํกับการใช๎ถ๎อยคาแล๎ว ก็คือการปรบมือหรือการใช๎ เครือ่ งประกอบจงั หวะงาํ ยๆ ไดแ๎ กํ กรับ ฉ่ิง และกลอง หรืออาจไมํได๎ใช๎เครื่องดนตรีชนิดใดเลย นอกจากเสียง เอื้อนให๎เกิดบรรยากาศและอารมณ๑เทําน้ัน บางทีก็นาอุปกรณ๑ที่ใช๎ทากิจกรรมอยํูน้ัน มาประกอบการร๎องรา เชํน เพลงเก่ียวข๎าว ก็ใช๎รวงข๎าวและเคียวซึ่งถืออยํูมาประกอบ สิ่งสาคัญสาหรับเพลงที่ร๎องกันหลายๆ คน คือ การอาศัยเสยี งรอ๎ งรบั รอ๎ งกระท๎งุ ของลูกคํู ซึ่งจะชวํ ยให๎เพลงน้นั สนุกสนานคร้นื เครงย่ิงขนึ้ 7. เน๎นความสนุกสนานเป๕นหลัก ซึ่งจะแสดงออกมาในรูปของการใช๎คาสองแงํสองงําม หรือคาที่ เรียกวํา \"กลอนแดง\" เป๕นภาษาของชาวเพลงภาคกลาง หมายถึง กลอนที่มีคากลําวถึงอวัยวะเพศ และ พฤตกิ รรมทางเพศอยํางตรงไปตรงมา หรือบางครั้ง ก็ใช๎คาผวนแทน คาเหลํานี้ปกติถือวําเป๕นคาหยาบ แตํเมื่อ นามาใช๎ในพิธีกรรมตามความเชื่อด้ังเดิม ท่ีปรากฏในกลํุมชน ซึ่งประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม และกสิกรรม ถือวําเป๕นการชํวยเพิ่มผลผลติ สํงผลให๎เกดิ ความอดุ มสมบูรณข๑ องพืชพันธุ๑ ตวั อยา่ ง กลอนแดง หญิง : พี่เอย๐ พม่ี าถงึ พ่ีจะมาพ่งึ ของรัก แมหํ นูยังหนัก นา้ ใจ ไอต๎ รงแอํงท่ีในหํอผา๎ พเ่ี อย๐ แกอยําไดห๎ มาย พพี่ ง่ึ เงนิ จะกอง พ่พี ึง่ ทองจะให๎ พจ่ี ะพึ่งอีแปะ จนใจน๎องแกะไมํไหว (เอํชา) ชาย : ทาไมกบั เงนิ กับทอง สมบตั เิ ป๕นของนอกกาย พจ่ี ะพง่ึ หนงั มาหมุ๎ เน้ือ จะไดต๎ ดิ เป๕นเย่ือเปน๕ ใย (เอํชา) (เพลงฉํอย ของโรงพมิ พ๑วัดเกาะ)
เน้ือหาของเพลงแม๎แตํตอนท่ีร๎องราพันถึงความทุกข๑หรือความผิดหวัง ก็ยังใช๎ถ๎อยคาท่ีออกไปในทาง สนกุ สนาน มากกวาํ จะใหค๎ นฟง๓ เกิดความร๎ูสึกเศร๎าใจ ดังตัวอยํางเพลงเรือ ในบทชิงชู๎ ซึ่งพํอเพลงร๎องเป๕นผัวที่ ถูกเกณฑ๑ไปทัพ กลับมาถึงบา๎ น เมียหนีไปแลว๎ พอถึงบา๎ นเห็นสะพานแหงนเถํอ ข๎าก็รอ๎ งเอ๎อเฮอ ใจหาย เงียบไปท้ังไกํ เงยี บไปท้ังกา อีกทัง้ หมทู ั้งหมา มันให๎นาํ สงสัย สะอึกสะอื้นฉนั เลยขน้ึ กระได ผคู๎ นไปไหนกันเอย พิศดเู หย๎าเรือนไปเหมือนอยาํ งบ๎านตาเถร เสาดัง้ โอนเอนอยาํ งกะเรอื นผตี าย เหย๎าเรอื นเคหาเหมอื นปุาช๎าผีอยํู มนั ไมมํ คี นมีผู๎ หรืออยํางไร ทง้ั ฟากกต็ ก ปีกนกกห็ ัก รอยคนมาชักเอาไปใหมๆํ แปลานป๓๗นลมไม๎ขํมหัวกลอน อกี ท้งั ฝากระดอนออกไป พี่มาสงสยั เอ๏ะในใจของกู วาํ ไอ๎ไม๎เสยี บหนู มันไปเข๎ารขู องใคร พิศดูครอบครัวมันใหช๎ ่ัวลามก ดมู นั สกปรก ไมํคํอยหาย หมอ๎ ขา๎ วก็กลงิ้ หม๎อแกงรกึ ็กล้ิง ฝาละมตี ฉี ่ิงกนั อยํทู ่ีขา๎ งครัวไฟ ไอ๎ครกกะบากมันกเ็ ลํนละคร ไอ๎สากกะเบือกน็ อน เป๕นไข๎ หอนอ๎ ยห๎องในมีแตขํ ้ีไกํขเี้ ป๕ด มันไมํมีคนเขาเชด็ หรือยงั ไง (เพลงเรือ สานวนหลวงพอํ พร๎อม อินทรว๑ ิไล) ประเภทของเพลงพืน้ บา้ น เพลงพื้นบา๎ นแบํงไดห๎ ลายประเภทขน้ึ อยูํกบั วธิ กี ารจดั แบํงดงั นี้ แบงํ ตามเขตพนื้ ที่ เปน๕ การแบํงตามสถานท่ีที่ปรากฏเพลง อาจแบงํ กวา๎ งท่สี ุดเป๕นภาค เชํน เพลงพื้นบ๎านภาคกลาง เพลง พ้ืนบ๎านภาคเหนือ เพลงพ้ืนบ๎านภาคอีสาน เพลงพื้นบ๎านภาคใต๎ หรืออาจแบํงยํอยลงไปอีกเป๕นเขตจังหวัด อาเภอ ตาบล เชํน เพลงพ้ืนบ๎านตาบลเขาทอง อาเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค๑ เพลงพื้นบ๎านของอาเภอ พนมทวน จงั หวัดกาญจนบุรี แบงํ ตามกลํุมวัฒนธรรมของผ๎ูเปน๕ เจ๎าของเพลง เปน๕ การแบํงตามกลํุมชนท๎องถิ่นท่ีมีวัฒนธรรม หรือเชื้อชาติตํางกัน เชํน เพลงพื้นบ๎านกลํุมวัฒนธรรม ไทยโคราช เพลงพ้ืนบา๎ นกลุํมวัฒนธรรมเขมร-สํวย เพลงพื้นบา๎ นกลมุํ วฒั นธรรมไทย-ลาว เพลงพื้นบ๎านกลุํมไทย มสุ ลมิ แบงํ ตามโอกาสท่ีร๎อง กลมํุ หนึ่งเปน๕ เพลงท่รี ๎องตามฤดกู าลหรอื เทศกาล เชนํ เพลงท่ีร๎องในฤดูกาลเก็บเกี่ยว ได๎แกํ เพลงเกี่ยว ข๎าว เพลงสงฟาง เพลงนา และเพลงท่ีร๎องในเทศกาลสงกรานต๑ ได๎แกํ เพลงบอก เพลงรํอยพรรษา เพลงตร๏จ อีกกลมํุ หน่ึงเป๕นเพลงที่ร๎องได๎ท่ัวไปไมํจากัดโอกาส เชํน ซอ หมอลา เพลงโคราช เพลงลาตัด เพลงฉํอย เพลงอี แซว
แบํงตามจดุ ประสงค๑ในการร๎อง เชนํ เพลงกลอํ มเดก็ เพลงปลอบเดก็ เพลงประกอบการละเลํนของเด็ก เพลงปฏิพากย๑ เพลงร๎องราพัน เพลงประกอบการละเลนํ ของผใ๎ู หญํ และเพลงประกอบพธิ ีกรรม แบํงตามจานวนผร๎ู ๎อง เป๕นเพลงร๎องเดี่ยวและเพลงร๎องหมํู เชํน เพลงกลํอมเด็ก เพลงพาดควาย จ๏อย เป๕นเพลงร๎องเดี่ยว สํวนเพลงเกี่ยวข๎าว เพลงเรือ เป๕นเพลงร๎องหมูํ นอกจากน้ี ยังมีการแบํงประเภทเพลงพื้นบ๎านแบบอ่ืนๆ เชํน ตามความส้ันยาวของเพลง แบํงตามเพศของผู๎ร๎อง แบํงตามวัยของผ๎ูร๎อง ในที่น้ีขอกลําวถึงเพลงพื้นบ๎าน โดย แบํงตามเขตพ้ืนทเี่ ป๕นภาค 4 ภาค คอื 1. เพลงพืน้ บ๎านภาคกลาง 2. เพลงพน้ื บ๎านภาคเหนือ 3. เพลงพ้นื บา๎ นภาคอสี าน 4. เพลงพ้นื บา๎ นภาคใต๎ เพลงพ้นื บ้านภาคกลาง เพลงพ้ืนบ๎านภาคกลางสํวนใหญํเป๕นเพลงโต๎ตอบหรือเพลงปฏิพากย๑ เป๕นเพลงท่ีหนํุมสาวใช๎ร๎อง โต๎ตอบเกี้ยวพาราสีกัน มักร๎องกันเป๕นกลํุมหรือเป๕นวง ประกอบด๎วย ผู๎ร๎องนาเพลงฝุายชายและฝุายหญิงท่ี เรียกวํา พํอเพลง แมํเพลง สํวนคนอื่นๆ เป๕นลูกคํูร๎องรับ ให๎จังหวะด๎วยการปรบมือ หรือใช๎เคร่ืองดนตรี ประกอบจังหวะ เชํน กรับ ฉ่ิง เพลงโต๎ตอบนี้ ชาวบ๎านภาคกลางนามาร๎องเลํนในโอกาสตํางๆ ตามเทศกาล หรอื ในเวลาที่มารวมกลมํุ กัน เพ่ือทากิจกรรมอยํางใดอยาํ งหน่งึ หรือบางเพลงกใ็ ช๎รอ๎ งเลํนไมํจากัดเทศกาล แบํง ได๎ 5 กลมํุ คอื 1. เพลงทน่ี ิยมร๎องเลนํ ในฤดนู ้าหลาก เทศกาลกฐนิ และผ๎าปุา ในชวํ งเทศกาลออกพรรษา ไดแ๎ กํ เพลงเรอื (ร๎องกันทว่ั ไปในลุํมแมนํ า้ เจ๎าพระยา โดยเฉพาะพระนครศรีอยุธยา อาํ งทอง สงิ หบ๑ ุรี สุพรรณบุรี ลพบุร)ี เพลงครึ่งทํอน เพลงไกํปุา (ปรากฏชื่อในหนังสือเกํากํอนสมัยรัชกาลที่ 5 วําร๎องอยํูแถบ พระนครศรอี ยธุ ยา) เพลงหนา๎ ใย เพลงยิ้มใย เพลงโซ๎ (นครนายก) เพลงราพาขา๎ วสาร (ปทุมธานี) เพลงรํอยภาษา (กาญจนบรุ )ี 2. เพลงทนี่ ิยมเลนํ ในเทศกาลเก็บเกยี่ ว เปน๕ เพลงที่รอ๎ งเลํนในเวลาลงแขกเกีย่ วขา๎ ว และนวดข๎าว ไดแ๎ กํ เพลงเกยี่ วขา๎ ว เพลงกม๎ (อํางทอง สุพรรณบรุ )ี เพลงเตน๎ กา (อาํ งทอง พระนครศรอี ยุธยา) เพลงเตน๎ การาเคียว (นครสวรรค๑) เพลงจาก (อ. พนมทวน กาญจนบุร)ี เพลงสงฟาง (สุพรรณบรุ ี กาญจนบุรี อํางทอง สิงหบ๑ รุ )ี เพลงพานฟาง (สุพรรณบุรี กาญจนบรุ ี)
เพลงสงคอลาพวน (กาญจนบุรี นครปฐม ราชบรุ )ี เพลงชกั กระดาน (กาญจนบุรี ราชบรุ ี นครปฐม สิงห๑บรุ ี อํางทอง) เพลงโอก (ราชบุรี ใชร๎ ๎องเลนํ เวลาหยดุ พักระหวาํ งนวดข๎าว) 3. เพลงท่ีนยิ มเลํนในเทศกาลสงกรานต๑ เป๕นเพลงทรี่ อ๎ งเพอื่ ความสนุกสนาน รื่นเริง และบางเพลงเป๕นเพลง ท่ใี ช๎ประกอบการละเลนํ ของหนมํุ สาว ได๎แกํ เพลงพิษฐาน (พระนครศรีอยุธยา สพุ รรณบุรี อุทยั ธานี นครสวรรค๑ สโุ ขทยั กาแพงเพชร ตาก) เพลงพวงมาลยั (นครปฐม เพชรบุรี กาญจนบรุ ี อํางทอง นครสวรรค๑) เพลงระบา เพลงระบาบา๎ นไรํ (พระนครศรีอยธุ ยา ลพบุรี อํางทอง สุพรรณบุร)ี เพลงฮนิ เลเล (พระนครศรีอยุธยา นครสวรรค๑ สโุ ขทยั พษิ ณโุ ลก) เพลงคลอ๎ งช๎าง (สุพรรณบรุ ี กาญจนบรุ ี นครปฐม) เพลงชา๎ เจ๎าหงส๑ (พระนครศรีอยุธยา) เพลงช๎าเจ๎าโลม (นครสวรรค๑ อทุ ยั ธานี) เพลงเหยํอย (กาญจนบุรี) เพลงกรุํน (อุทยั ธานี พิษณโุ ลก) เพลงชักเยอํ (อุทยั ธาน)ี เพลงเขา๎ ผี (เกือบทุกจงั หวดั ของภาคกลาง) เพลงสงั กรานต๑ (เปน๕ เพลงใชร๎ ๎องยั่วประกอบทาํ รา ไมํมีช่อื เรียกโดยตรง ในท่ีนี้ เรียกตามคาของ ยายทองหลํอ ทาเลทอง แมํเพลงอาวโุ สชาวอยธุ ยา) 4. เพลงที่ใช๎ร๎องเวลามารวมกันทากิจกรรมอยํางหนึ่ง ได๎แกํเพลงโขลกแปูง (ร๎องโต๎ตอบกันเวลาลงแขก โขลกแปงู ทาขนมจนี ในงานทาบญุ ของชาวอาํ งทอง ชาวนครสวรรค๑) เพลงแหนํ าคหรือส่งั นาค (ร๎องกนั ทั่วไปในภาคกลาง ในงานบวชนาคขณะแหํนาคไปวัดหรอื รบั ไป ทาขวญั นาค) 5. เพลงท่รี ๎องเลํนไมํจากัดเทศกาล เป๕นเพลงทีร่ อ๎ งเพอื่ ความสนุกสนานรืน่ เริงในงานบุญประเพณีตํางๆ ร๎อง ราพันแสดงอารมณค๑ วามร๎สู กึ รอ๎ งประกอบการละเลนํ หรือร๎องโดยทมี่ วี ัตถุประสงค๑อยาํ งใดอยาํ งหน่ึง ได๎แกํ เพลงเทพทอง (เป๕นเพลงพน้ื บ๎านท่ีเกาํ ท่สี ุด ตามหลักฐานในวรรณคดแี ละหนังสือเกาํ บันทึกไว๎วาํ นิยมเลนํ ตงั้ แตสํ มยั อยุธยา สมยั ธนบุรี สมัยรัตนโกสินทร๑ จนถงึ รชั กาลท่ี 6) เพลงลาตดั เพลงโนเนโนนาด เพลงแอวํ เคล๎าซอ เพลงแหํเจา๎ บาํ ว เพลงพาดควาย เพลงปรบไกํ เพลงขอทาน เพลงฉํอย (มีช่อื เรียกอ่นื ๆ เชํน เพลงวง เพลงเป๋ เพลงฉํา เพลงตะขาบ) เพลงทรงเครือ่ ง เพลงระบาบ๎านนา เพลงอีแซว เพลงราโทน
เพลงสาหรบั เด็ก (เพลงกลอํ มเดก็ เพลงปลอบเด็ก เพลงประกอบการละเลนํ เด็ก) เพลงพืน้ บา๎ นภาคกลางแม๎จะมหี ลากหลายประเภทมากกวําทุกภาค แตํมเี พลงจานวนน๎อยทย่ี ังคง ร๎องเลํนกนั บา๎ งในชนบท และสวํ นหน่ึงกเ็ ปน๕ เพลงทเี่ ลนํ กนั เฉพาะถน่ิ เทํานัน้ (ท่มี า : http://kanchanapisek.or.th) ศิลปนิ พน้ื บ๎านสาธิตการร๎องเลนํ เพลงสงฟาง ทนี่ ามาร๎องในเวลาลงแขกเกี่ยวข๎าว และนวดขา๎ ว เพลงพื้นบา๎ นภาคกลางที่แพรหํ ลายได๎ยนิ ท่ัวๆ ไป และมีพํอเพลงแมเํ พลงทยี่ ังจดจารอ๎ งกันได๎ 8 เพลง คือ 1. เพลงเรือ 2. เพลงเตน๎ กา 3. เพลงพิษฐาน 4. เพลงระบาบ๎านไรํ 5. เพลงอแี ซว 6. เพลงพวงมาลัย 7. เพลงเหยํอย 8. เพลงฉอํ ย เพลงเรอื เพลงเรือเป๕นเพลงท่ีร๎องเลํนในฤดูน้าหลาก นิยมเลํนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อํางทอง สิงห๑บุรี สุพรรณบุรี และลพบุรี ชํวงเทศกาลกฐิน ผ๎าปุา หรืองานนมัสการ งานบุญประจาปีของวัด ซึ่งเป๕นฤดูน้าหลาก ชาวนาวาํ งเวน๎ จากการทานา รอน้าลด และรวงข๎าวสุก ก็จะพากันพายเรือมาทาบุญไหว๎พระและเลํนเพลง เรือ ที่ใช๎มเี รือมาดสี่แจว เรอื พายมา๎ ทกุ ลาจุดตะเกยี งเจ๎าพายุ หรือตะเกียงลานไว๎กลางลาเรือ ธรรมเนียมในการเลํน มเี รือฝาุ ยชายและฝุายหญิง จานวนผ๎ูเลํนข้นึ อยํูกบั ขนาดของเรือประมาณ 9 - 10 คน มีพํอเพลง แมํเพลง สํวน ที่เหลือเป๕นลูกคูํ ใช๎กลอนลงสระเสียงเดียวกันไปเรื่อยๆ ที่เรียกวํา \"กลอนหัวเดียว\" นิยมร๎องกลอนลา และ กลอนไล เพราะคิดหาคาได๎งํายกวําสระเสียงอื่น มีเคร่ืองประกอบจังหวะ ได๎แกํ ฉิ่ง และกรับ พํอเพลงท่ีนั่ง กลางลาเรือ จะเป๕นคนตีฉิ่งดังฉับๆ ไปเรื่อยๆ ท่ีเหลือก็เป๕นลูกคํูคอยร๎องรับหรือร๎องย่ัวด๎วยคาวํา \"ฮ๎า ไฮ๎\" และ คอยกระท๎งุ วํา \"ชะ ชะ\" ตามความคะนองปากเป๕นจังหวะๆ
เมื่อชาวเพลงพายเรือมาถึงที่หมาย โดยทั่วไปก็จะมองหาเรือจับคูํวําเพลงกันแล๎ว ฝุายชายจะพายเรือ ไปเทียบจนชิดเรือฝุายหญิงและเก็บพายข้ึน ในเรือแตํละลาจะนั่งเป๕นคํูๆ นอกจากชํวงหัวเรือท๎ายเรือจะนั่งคน เดียวเพราะท่ีแคบ เรือฝุายชายจะเร่ิมวําเพลงกํอน เรียกวํา \"เพลงปลอบ\" เพ่ือขอเลํนเพลงกับฝุายหญิงตาม มารยาท เมือ่ วําไปสัก 2 - 3 บท หากฝาุ ยหญิงน่ิงไมํตอบ ก็แสดงวํา ไมํสมัครใจเลํนเพลงด๎วย หรือมีคํูนัดหมาย อยูํแล๎ว เรือฝุายชายต๎องไปหาคํูใหมํ แตํถ๎าฝุายหญิงเอื้อนเสียงตอบ แสดงวํา ตกลงปลงใจเลํนเพลงด๎วย ก็เริ่ม วํา \"เพลงประ\" โต๎ตอบกนั ในเชิงเก้ียวพาราสีอยาํ งสนกุ สนาน เม่ือวําเพลงกันสมควรแกเํ วลาแลว๎ เรอื ฝุายชายจะ พายไปสงํ เรือฝาุ ยหญิง ในระหวํางนัน้ ก็วํา \"เพลงจาก\" เพ่อื เปน๕ การแสดงความอาลยั อาวรณ๑ ตวั อย่าง เพลงเรือ ชายเกรนิ่ : เอย เลยี บเรอื เรียง เขา๎ เคยี งใกล๎ หวงั จะฝากน้าใจ (ฮ๎า ไฮ๎) ของข๎า (ชะ ชะ) นอ๎ งจะรบี ไปไหน ขอใหพ๎ ายเบาเบา พจี่ ะไดม๎ าพบเจ๎า (ฮา๎ ไฮ)๎ งามตา พีพ่ ายมานาน ใหแ๎ สนเหนื่อยหนัก พอได๎พบนงลักษณ๑ (ฮ๎า ไฮ๎) โสภา ทเี่ หนอื่ ยกห็ าย ท่ีหนาํ ยก็แข็ง กลบั มเี ร่ียวมีแรง (ฮา๎ ไฮ)๎ หนักหนา ขอเชญิ นวลน๎อง มาร๎องเลนํ ดงั วํา ขอจงเผยวาจาสักคา...เอย ลูกคูํรบั : ขอจงเผยวาจาสกั คา เอย ขอเชิญนวลน๎องมาเลํนร๎องดงั วาํ (ซา้ ) ขอจงเผยวาจาสักคาเอย ฯลฯ หญงิ ตอบ : เอย ได๎ยินน้าคา เสียงมาร่าสนอง เสียงใครมาเรยี กหาน๎อง (ฮ๎าไฮ๎) ที่ไหนละํ แตพํ อเรยี กหาฉัน แมํหนูไมนํ านไมํเนนิ่ เสียงผ๎ชู ายรอ๎ งเชิญ (ฮ๎าไฮ๎) ฉันจะวํา การจะเลนํ จะหัว หนูน๎องไมดํ ดี ไมํด้นิ หรอกแม๎วาํ ไมํใชยํ ามกฐนิ (ฮา๎ ไฮ๎) ผา๎ ปุา พอเรียกก็ขาน แตํพอวานกเ็ อํย หนูนอ๎ งไมํนงิ่ กันทาเฉย (ฮ๎าไฮ)๎ ให๎มนั ชา๎ แตํพอเรยี กหาน๎อง ฉันก็ร๎องขึ้นรา่ ฉนั นบนอบตอบคา (ฮา๎ ไฮ)๎ จรงิ เจ๎าขา แมหํ นนู บนอบตอบคา ตอบกนั ไปเสียดว๎ ยน้า (ฮ๎าไฮ๎) วาจา แตํพอเรยี กหาน๎อง ฉนั ก็ร๎องวําจา๐ กนั แตเํ ม่ือเวลา เอ๐ยจวนเอย ลูกคํรู ับ : กันแตํเมอื่ เวลา จวนเอย แตํพอเรยี กหาน๎อง ฉนั ก็ร๎องวาํ จา๐ (ซ้า) กนั แตเํ ม่ือเวลา จวนเอย เพลงเตน้ ก้า เพลงเต๎นกามีอยํูทั่วไปแถบลํุมแมํน้าเจ๎าพระยา นิยมเลํนในจังหวัดอํางทอง สิงห๑บุรี สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา และนครนายก สํวนมากจะร๎องเลํนระหวํางชํวงหยุดพักเม่ือเก่ียวข๎าวไปถึงอีกคันนาหน่ึง หรือมักเลํนตอนเย็นหลังเลิกเกี่ยวข๎าวแล๎ว ผ๎ูเลํนจะยืนล๎อมเป๕นวงกลม หรืออาจยืนเป๕นแถวหน๎ากระดาน หัน หน๎าเข๎าหากัน มือซ๎ายถือรวงข๎าว มือขวาถือเคียว พํอเพลงแมํเพลงอาจมีหลายคนชํวยกันร๎องแก๎ หรือร๎อง โต๎ตอบฝุายตรงขา๎ ม สํวนคนอนื่ ๆ เป๕นลูกครูํ ับวาํ \"เฮ๎เอ๎าเฮ๎เฮ\"๎
(ทีม่ า : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) การรอ๎ งเพลงเตน๎ กาของภาคกลาง ตวั อย่าง บทเกริ่น ไหว๎ครูสาเร็จเสร็จสก ขยายยกเป๕นเพลงปลอบ (เฮเ๎ อ๎าเฮเ๎ ฮ๎) หาไหนไมํเทยี มเรยี มเรอ๎ ไมํมคี นเสมอเหมอื นอยาํ งฟาู ครอบ (เฮเ๎ อ๎าเฮเ๎ ฮ๎) ขอเชญิ มาเลํนเตน๎ กันสกั รอบ ลกุ ขึ้นมาตอบเพลงเอย ลกู คูํรับ : ขอเชิญมาเลํน เตน๎ กันสักรอบ ขอเชญิ มาเลนํ เตน๎ กันสกั รอบ ลุกขึ้นมาตอบเพลงเอย เองิ เอ๏ย ชายเอย เอ๎ากันสักรอบ ลุกขึ้นมาตอบเพลงเอย ขอเชิญมาเลนํ เตน๎ กันสักรอบ ลุกขนึ้ มาตอบเพลงเอย (เฮเ๎ อา๎ เฮ๎เฮ๎) จิตใจเจา๎ ไมํสมเพช พ่ีจะเปาุ ด๎วยเวทยม๑ หาละลวย (เฮ๎เอา๎ เฮเ๎ ฮ๎) เดชะ คุณพระขลงั ปถะมังขมกั ขมวย (เฮ๎เอ๎าเฮ๎เฮ๎) ลกู คูรํ บั : เดชะ คณุ พระชํวย ให๎เลนํ กนั ดว๎ ยนางเอย ตวั อยําง บทประ หญงิ : ไดย๎ ินสาเหนียกเรยี กหญิง น๎องเองไมํน่งิ อยูํชักช๎า (เฮ๎เอ๎าเฮเ๎ ฮ)๎ แมเํ หยยี บหวั ซังกะท่ังหัวหญ๎า เดนิ เข๎ามาหาชายเอย (รับ) ชาย : เหยยี บหัวซงั กะท่งั หัวหญ๎า ไอ๎ซังมันแห๎งจะแยงเอาขา (เฮ๎เอา๎ เฮ๎เฮ๎) ไอต๎ อโสนมันโดหํ นา๎ จะตาเอาขานางเอย (รบั ) เพลงพิษฐาน เพลงพิษฐานนิยมเลํนในชํวงเทศกาลสงกรานต๑ โดยเลํนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อุทัยธานี นครสวรรค๑ สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และสุโขทัย เม่ือหนุํมสาวทาบุญตักบาตรที่วัดแล๎ว ก็จะพากันเก็บดอกไม๎ เข๎าไปไหว๎พระในโบสถ๑ หญิงและชายน่ังคนละข๎าง มือถือพานดอกไม๎ เพลงขึ้นต๎นด๎วยคาวํา \"พิษฐาน\" มาจาก คาวํา อธิษฐาน เพ่ือขอพรพระ ฝุายชายเร่ิมวําเพลงกํอน ฝุายหญิงร๎องแก๎ เมื่อฝุายใดร๎อง ลูกคํูฝุายนั้นร๎องรับ ไมํต๎องปรบมือ เกี้ยวพาราสีกันไปในเน้ือเพลงซึ่งเป๕นกลอนส้ันๆ เพียง 4 วรรค และมักยกเอาช่ือหมํูบ๎านมา สัมผสั กับชื่อดอกไม๎
ตัวอยา่ ง เพลงพิษฐาน จากชาวบา้ นตา้ บลสระทะเล อ้าเภอพยหุ ะครี ี จังหวดั นครสวรรค์ ชาย : พิษฐานเอย มือหนึ่งถอื พาน พานเอาดอกพกิ ุล ลูกคูํ : มือหนง่ึ ถือพาน พานเอาดอกพิกุล ชาย : เกิดชาตใิ ดแสนใดเอย ขอให๎ลูกไดส๎ ํวนบุญ ลูกคูํ : พิษฐานวานไหว๎ ขอให๎ไดด๎ งั พิษฐานเอย เอย๐ เนรมิต ยอดพระพิษฐานเอย หญงิ : พษิ ฐานเอย มือหน่งึ ถือพาน พานเอาดอกจาปี ลูกคํู : มือหนึ่งถือพาน พานเอาดอกจาปี หญิง : ลกู เกดิ มาชาตใิ ดแสนใด ขอใหล๎ ูกได๎ไอท๎ ดี่ ีๆ ลกู คํู : พษิ ฐานวานไหว๎ ขอให๎ไดด๎ งั พิษฐานเอย เอ๐ยเนรมติ ยอดพระพิษฐานเอย ตวั อยา่ ง เพลงพิษฐาน ของ ชาวบา้ นอ้าเภอสองพน่ี ้อง จังหวัดสพุ รรณบรุ ี ชาย : พษิ ฐานเอย มอื หนงึ่ ถือพาน ถือพานดอกจอก เกิดชาตใิ ดแสนใด ขอให๎ได๎พวกบา๎ นกระบอก หญิง : พษิ ฐานเอย มือหน่งึ ถือพาน ถอื พานปากกระจบั เกิดชาติใดแสนใด ขออยําให๎ได๎พวกบางพลับ เพลงพษิ ฐานนี้ จุดประสงคน๑ อกจากเพอ่ื การขอพรแล๎ว แกํนของเพลง คอื การทาให๎ผ๎ูอธิษฐาน ซ่ึงเป๕นหนํุมสาว จะไดม๎ ีความสขุ สนุกสนาน ไดแ๎ สดงออกเก้ียวพาราสี กระเซ๎าเยา๎ แหยํ สํวนมากจะไมํถือโกรธกัน ถ๎าร๎องเกินเลย ไป เชํน ชาย : พิษฐานเอย มอื หนง่ึ ถอื พาน พานแตํดอกบัว เกิดชาตใิ ดแสนใด ขอให๎ได๎เป๕นผวั คนชอ่ื ......... (ออกชอ่ื ฝาุ ยหญิง) หญงิ : พษิ ฐานเอย มอื หนึ่งถือพาน พานแตดํ อกแค เกิดชาตใิ ดแสนใด ขอใหไ๎ ด๎เปน๕ แมคํ นช่อื ......... (ออกชือ่ ฝาุ ยชาย)
เพลงระบ้าบา้ นไร่ เพลงระบามอี ยูํ 3 แบบ คอื เพลง ระบาบ๎านไรํ เพลงระบาบา๎ นนา และเพลงระบา (ท่ีมา : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) ภาพจากปกหนังสือแสดงการร๎องเลํนเพลงระบาชาวบ๎านไรํ ซึ่งเปน๕ เพลงทีร่ ๎องโต๎ตอบระหวํางชายหญงิ เพลงระบาบ๎านไรํ เลํนในงานเทศกาลสงกรานต๑ และงานนักขัตฤกษ๑ตํางๆ เป๕นเพลงร๎องโต๎ตอบระหวํางชาย หญงิ เนื้อเพลงเกี่ยวเน่อื งกับการเกย้ี วพาราสี นิยมเลนํ ในจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา อํางทอง สิงห๑บุรีสุพรรณบุรี ลพบุรี นครสวรรค๑ และอุทัยธานี โดยชายและหญิงจะยืนล๎อมวง ปรบมือเป๕นจังหวะ และผลัดกันเป๕นต๎นเพลง สวํ นท่เี หลอื จะเปน๕ ลกู คํรู ๎องรบั วํา \"ดงไหนเอย ลาไย หอมหวนอยใูํ นดงเอย เขา๎ ดงเขา๎ ดงลาไย หอมหวนอยใํู นดงเอย\" ตัวอย่าง เพลงประ ของนายกรา่ ง แม่อิน จากแผ่นเสียงตราชา้ งสามเศยี ร กราํ ง : ระบาไหนเอย แมชํ นื่ ใจเอย๐ ชาวบ๎านไรํ ลกู คูํ : ช๎า... ระบาทีไ่ หนเลาํ เอย แมชํ ่ืนใจเอย๐ ชาวบ๎านไรํ กรําง : วนั นป้ี ระสบมาพบพักตร๑ มาเจอน๎องรักแมํช่ืนใจ ลกู คูํ : ดงไหนเอยลาไย กราํ ง : จะพดู ก็ขามจะถามกเ็ กรง พ่ีจะผูกเป๕นเพลงวําไป (รบั ) โอ๎แมํบา๎ นเหนอื เช้ือละคร ให๎รามากํอนจะเป๕นไร (รับ) ใหห๎ ลอํ นเหยยี ดแขนออกมาฟูอน แขนใครจะอํอนกวําแขนใคร ดงไหนเอย เอํอเอยลาไย
ลกู คูํ : หอมหวนอยใํู นดงเอย เขา๎ ดง เขา๎ ดงลาไย หอมหวนอยใํู นดงเอย อิน : ช๎าระบาทีไ่ หนเลําเอย ชน่ื ใจเอย๐ ชาวบา๎ นไรํ ลูกคํู : ดงไหนเอยลาไย อนิ : ไดย๎ ินสุนทรพีม่ าวอนวํา ไดย๎ ินวาจาพีช่ าย (รับ) วําแมชํ าวบา๎ นเหนือเชอ้ื ละคร จะราจะฟูอนออกไป (รบั ) วาํ แมหํ นูเต๎นโค๎งราโคง๎ เดินเลนํ ในวงแขนชาย ดงไหนเอย เอํอเอยลาไย ลูกคูํ : หอมหวนอยูํในดงเอย เขา๎ ดง เข๎าดงลาไย หอมหวนอยูํในดงเอย สํวน เพลงระบาบ๎านนา และเพลงระบา จะแตกตํางกันท่ีการร๎องรับของลูกคํูคือ เพลงระบาบ๎านนา ลูกคํูรอ๎ งรบั วํา \"แถวราเจา๎ เอย ราแนํะๆ ไม๎ลาย เขารางามเอย\" สาหรบั เพลงระบา มกั ขน้ึ ต๎นวรรควํา \"ระบาทาง ไหนเลาํ เอย\" แลว๎ ตามดว๎ ยชือ่ สถานที่ เชํน ระบาทางไหนเลําเอย ระบาวดั แจ๎ง พีร่ ักน๎องเหลอื แมํเส้ือสีแดง ระบาวดั แจ๎ง เขาก็รางามเอย เพลงอีแซว เพลงอีแซวเป๕นเพลงพ้ืนบ๎านจังหวัดสุพรรณบุรี เลํนในงานเทศกาลสงกรานต๑ หรืองานบุญกุศล เดิม เป๕นเพลงร๎องโต๎ตอบกันส้ันๆ แบบกลอนหัวเดียว ตํอมา ได๎ยืมกลอนเพลงฉํอยไปร๎องให๎ยาวมากขึ้น ร๎องด๎วย จังหวะเร็วๆ เดินจังหวะด๎วยฉ่ิง กรับ พํอเพลงแมํเพลงแตํละฝุายมีลูกคํู 4 - 5 คน ร๎องโต๎ตอบเชิงเก้ียวพาราสี แฝงคาสองแงํสองงําม เพื่อสร๎างความครึกครื้นให๎แกํผ๎ูฟ๓ง สํวนผ๎ูร๎องต๎องมีความสามารถในการเลือกถ๎อยคามา ร๎อยเรียง ท่เี รียกกันวํา \"ด๎นเพลง\" ให๎ทันจังหวะท่ีเร็วกวําเพลงประเภทอ่ืนๆ ตํอมา เพลงอีแซวได๎พัฒนาเป๕นวง อาชีพรบั จา๎ งแสดงตามงานตํางๆ และเปน๕ ท่ีนิยมรอ๎ งกันแพรํหลายในจงั หวดั ใกล๎เคยี งด๎วย ตัวอยา่ ง เพลงอีแซว ของ ไวพจน์ เพชรสพุ รรณ โอ๎มาเถดิ หนากระไรแมํมา สาวน๎อยเจ๎าอยําชา๎ ๆ ร่าไร (ดนตรี) หากไดย๎ ินเสียงนี้ เสยี งของพไ่ี วพจน๑ คนสุพรรณเขารูห๎ มด วําพเ่ี ปน๕ ใคร พีน่ ้เี ปน๕ พํอเพลง ใครๆ ก็เกรงกระทู๎ ถ๎าหากวาํ นอ๎ งยงั อยํู พจ่ี ะบอกให๎ พีส่ บื สายเพลงอแี ซว ไปเลํนมาแลว๎ ทุกที่ ศรปี ระจนั ตด๑ อนเจดีย๑ พ่ีน้กี เ็ คยไป เดมิ บางนางบวช ก็เคยไปอวดอารมณ๑ สามชกุ กเ็ คยชม วําคารมพคี่ มคาย บางปลาม๎าอํูทอง สองพนี่ ๎องอาเภอเมือง อยาํ วาํ คยุ เขื่อง พ่ีเฟอื๖ งนะสายใจ ช่ือเสยี งโดํงดงั แตํยังขาดแมํเพลง แมฝ๎ ีปากเจ๎ายังไมเํ กํง จะเกรงไปไย พขี่ อเชญิ ใหม๎ าสมัคร ถา๎ มีใจรักทางร๎อง อกี หนํอยก็คงจะคลํอง ต๎องคํอยหดั คํอยไป ขอเพียงใหเ๎ ชื่อฟง๓ แมรํ ๎อยช่ังอยําเกรง จะหัดให๎เปน๕ แมเํ พลง ให๎ร๎องเกงํ จนได๎ คอหนงึ่ นั้นเสยี งพี่ เสยี งโฉมศรีเปน๕ คอสอง บกพรํองจะแกใ๎ ห๎ ถ๎าหากน๎องเกํงแลว๎ มารํวมอีแซววงพ่ี คงมีแมเํ พลงชน้ั ดี มาเป๕นเพื่อนใจ จะได๎รํวมกนั หากิน ในถ่ินเมืองสพุ รรณ ใหข๎ น้ึ ชอื่ ลอื ลั่น ไมหํ ว่นั ใครๆ ขออยาํ ได๎อิดเออ้ื น ให๎พ่เี ตือนซ้าสอง เชิญแมเํ กรนิ่ ทานอง ร๎องเป๕นเพลงอแี ซวเอย
โอ๎มาเถิดมากระไรแมํมาๆ สาวนอ๎ ยเจา๎ อยําชา๎ ๆ ร่าไร มารํวมวงกบั พ่ีชาย นอ๎ งอยําอายใครเลย เพลงพวงมาลัย เพลงพวงมาลัยเป๕นเพลงร๎องโต๎ตอบระหวํางชายและหญิง นิยมเลํนกันแถบภาคกลางทั่วไปแทบทุก จังหวดั ในงานเทศกาลตาํ งๆ เชํน วนั สงกรานต๑ งานโกนจุก งานบวชนาค งานมงคลตาํ งๆ โดยเลือกสถานท่ีเลํน เพลง เป๕นลานกว๎างๆ ยืนล๎อมเป๕นวงกลม แบํงเป๕นฝุายชายครึ่งวงฝุายหญิงคร่ึงวง มีพํอเพลง แมํเพลงผลัดกัน ร๎อง สวํ นที่เหลอื จะเปน๕ ลูกคูปํ รบมือเป๕นจงั หวะ และรอ๎ งรบั ฝุายของตน (ท่ีมา : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) การร๎องเลนํ เพลงพวงมาลัย ถ๎านามาเลนํ ในวนั สงกรานต๑ จะร๎องประกอบการเลํนลูกชวํ ง ตวั อยา่ ง เพลงพวงมาลัย ชาวบ้านอ้าเภอบางแพ จังหวดั ราชบรุ ี แมเํ พลง : เออระเหยลอยมา ลอยมากล็ อยไป ลกู คํู : เออระเหยลอยมา ลอยมากล็ อยไป แมํเพลง : ไดย๎ ินผูช๎ ายมาร๎องเชญิ ไมํนิ่งเน่นิ อยทํู าไม นางหยิบเข็มขัดเขา๎ มารัดพุง สองมือแมํก็นํงุ ผา๎ ลาย นางหยบิ หวีน๎อยเขา๎ มาสอยเสย ผมเผา๎ แมเํ ลย กระจาย นางมายกเทา๎ ก๎าวกระดาก สวยน๎องลงจากกะได พวงเจา๎ เอย๐ มาลัย ไมชํ า๎ ไถลเลยเอย ลกู คํู : พวงเจ๎าเอ๐ยมาลยั ไมํชา๎ ไถลเลยเอย แมํเพลง : เออระเหยลอยมา ลอยมากล็ อยไป ลูกคํู : เออระเหยลอยมา ลอยมาก็ลอยไป
เพลงนี้ถา๎ นามาเลํนในวันสงกรานต๑ จะรอ๎ งประกอบการเลนํ ลกู ชํวง ฝุายใดแพ๎ก็ต๎องมารา เพลงพวงมาลยั นั้น เป๕นเพลงทร่ี ๎องงาํ ยและฟง๓ สนุก จึงเหมาะกับการร๎องรามาก เพลงเหย่อย เพลงเหยํอยเป๕นเพลงพ้ืนบ๎านจังหวัดกาญจนบุรี นิยมเลํนในงานเทศกาล และงานมงคลตํางๆ มักมี กลองยาวมาตีเรียกชาวบ๎านกํอน กลองยาวกับเพลงเหยํอยจึงเป๕นของคํูกัน แบํงเป๕นฝุายชายและฝุายหญิง จานวนฝุายละ 8 - 10 คน มีผ๎าคล๎องคอคนละผืน ฝุายชายเร่ิมราออกไปกํอน สองมือถือผ๎าออกไปด๎วย จะ คํอยๆ ราเขา๎ ไปหาฝาุ ยหญงิ ซง่ึ อยใํู นแถวตรงขา๎ ม แลว๎ สงํ ผ๎าหรอื คล๎องผา๎ ให๎ ฝุายหญงิ ทไี่ ด๎รบั ผ๎าก็ต๎องออกมารา คูํ พลางรอ๎ งโตต๎ อบเนื้อหาในเชิงเก้ียวพาราสี เม่ือราคูํพอสมควรแล๎วก็ต๎องให๎คนอื่นราบ๎าง โดยฝุายหญิงเอาผ๎า ไปคล๎องให๎ฝุายชายคนอื่นๆ สํวนฝุายชายคนเดิมก็ต๎องคํอยๆ ราแยกออกมากลับไปยังที่เดิม ราสลับอยํางนี้ไป เร่อื ยๆ จนจบเพลง อาจฟอู นรากนั ไปจนดกึ ดว๎ ยความเพลิดเพลินตลอดทัง้ คืน ตวั อยา่ ง เพลงเหย่อย (ลกู คจํู ะปรบมือ และร๎องรับเมอ่ื ตน๎ เสียงรอ๎ งคาวํา \"เอย\" คือ ร๎องซ้าที่ผู๎ร๎องร๎องทุกคร้งั ) ชาย : มาเถดิ หนาแมมํ า มาเลํนพาดผ๎ากันเอย พต่ี ั้งวงไวท๎ าํ อยําน่งิ อยูํช๎าเลยเอย พีต่ ง้ั วงไวค๎ อย อยําใหว๎ งกรอํ ยเลยเอย หญิง : ให๎พ่ียืน่ แขนขวา เข๎ามาพาดผา๎ เถิดเอย ชาย : พาดเอยพาดลง พาดทีอ่ งค๑น๎องเอย หญงิ : มาเถิดพวกเรา ไปรากับเขาหนํอยเอย ชาย : สวยแมคํ ณุ อยาํ ช๎า ก็ราออกมาเถิดเอย หญิง : รารํายกรายวง สวยดงั หงส๑ทองเอย ชาย : ราเอยรารํอน สวยดงั กินนรนางเอย หญงิ : ราเอย๐ ราคูํ นําเอน็ ดูจรงิ เอย ชาย : เจ๎าเขยี วใบข๎าว พี่รักเจา๎ สาวจริงเอย หญงิ : เจ๎าเขียวใบพวง อยาํ มาเป๕นหํวงเลยเอย ชาย : รกั น๎องจรงิ ๆ รกั แลว๎ ไมทํ ิ้งไปเอย หญิง : รกั น๎องไมํจริง รกั แล๎วกท็ ้งิ ไปเอย ชาย : พแ่ี บกรกั มาเต็มอก รกั จะตกเสียแลว๎ เอย หญิง : ผ๎ูชายหลายใจ เช่อื ไมํได๎เลยเอย
เพลงฉอ่ ย เพลงวง เพลงฉา่ หรือเพลงเป๋ เพลงฉํอยเป๕นเพลงท่ีเลํนกันท่ัวไปทุกจังหวัดในภาคกลาง โดยนิยมเลํนในชํวงเทศกาลสงกรานต๑ และ วันนักขัตฤกษ๑อื่นๆ ภายหลังมีการตั้งวงเป๕นอาชีพรับจ๎างแสดงทั่วไป คณะลาตัดหวังเต๏ะนิยมนาเพลงฉํอยมา รอ๎ งแทรกกับการเลํนเพลงลาตัดเสมอๆ เพลงฉํอยเป๕นเพลงโต๎ตอบระหวํางชายหญิง มีเอกลักษณ๑ตรงที่ลูกคํูจะ ร๎องรับวํา \"เอํชา เอ๏ชา ชา ฉาด ชา\" บางคณะตํอด๎วย \"หนํอยแมํ\" ไมํต๎องมีดนตรีประกอบ ลูกคํูจะปรบมือ เทํานั้น (ที่มา : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) การร๎องเลนํ เพลงฉํอย ไมํต๎องมีดนตรปี ระกอบ ใช๎การปรบมือของลูกคํู ตวั อย่าง เพลงฉ่อย คณะแม่ต่วน ฉาํ ฉาํ ชะชา เอิงเออเออเอิงเงย มือของลูกสิบนิ้ว ยกขึน้ หวาํ งคิว้ ถวาย ตํางธปู เทยี นทอง ท้ังเสน๎ ผมบนหัว ขอให๎เปน๕ ดอกบัว กาํ ยกอง...เอย...ไหว๎... (อกี ทัง้ เสน๎ ผมบนหัว (ซ้า) ขอใหเ๎ ปน๕ ดอกบวั กํายกอง (ซา้ ) เอยไหว.๎ ..เอชา...) ลูกจะไหว๎ทัง้ พระพุทธทล่ี า้ ทง้ั พระธรรมที่เลศิ ทั้งพระสงฆ๑องค๑ประเสริฐ ขออยาํ ไปตดิ ทร่ี ู๎ ถ๎าแมน๎ ลูกติดกลอนตน๎ ขอใหค๎ รชู วํ ยด๎น...กระท๎.ู ..เอย...ไป. (ถา๎ แม๎นลูกติดกลอนต๎น (ซ้า) ขอใหค๎ รชู วํ ยด๎นกระท๎ู (ซา้ )...ไป...เอชา...) ลูกไหว๎ครูเสรจ็ สรรพ หันมาคานบั กลอนวาํ ไหวค๎ ณุ บิดรมารดาทาํ นได๎อตุ สาห๑ถนอมกลอํ มเกลี้ยง ประโลมเลีย้ งลูกมา ทั้งน้าขุํนทํานก็มิให๎อาบ ขม้นิ หยาบมใิ ห๎ทา ยกลูกบรรจงลงเปล รอ๎ งโอละเห.ํ ..ละชา...ไกว (ยกลูกบรรจงลงเปล (ซ้า) ร๎องโอละเหํ...ละชา (ซา้ )...ไกว...เอชา...) แมอํ ตุ สาํ ห๑นอนไกว จนหลงั ไหลํถลอก หนา๎ แมดํ าช้าชอก มิได๎วํา ลกู ช่วั จะยกคุณแมเํ จ๎า วางไว๎บนเกลา๎ ของตวั ...ไหว๎... (จะยกคุณแมเํ จ๎า (ซา้ ) วางไว๎บนเกลา๎ ของตัว (ซ้า)...ไหว.๎ ..เอชา...)
เพลงฉํอยมชี อื่ เรียกหลายชอ่ื บางครงั้ เรียกวาํ เพลงวง มาจากลกั ษณะทย่ี นื ร๎องเปน๕ วงกลม หรือเรยี กวํา เพลง ฉํา มาจากบทรับของลกู คูํ ซง่ึ บางแหํงรบั วาํ ฉาํ ชา...และทเ่ี รียกวาํ เพลงเป๋ เพราะมีพํอเพลงฉํอยท่ีมชี ือ่ เสยี ง มากชือ่ เป๋ จึงเรยี กตามช่ือพํอเพลงผูน๎ ั้น เพลงพน้ื บา้ นภาคเหนอื ชวี ิตของผคู๎ นในภาคเหนอื หรือชาวล๎านนา ผูกพันอยูํกับเสียงเพลงตลอดเวลาต้ังแตํในวัยเด็ก วัยหนํุม สาว จนถึงวัยชรา เพลงพื้นบ๎านภาคเหนือเป๕นบทร๎องมุขปาฐะ คิดคาร๎องข้ึนด๎วยปฏิภาณไหวพริบ ขับร๎อง ได๎ ฟ๓ง และจดจาสืบทอดกันมาหลายช่ัวอายุ เพลงพ้ืนบ๎านภาคเหนือท่ียังเป๕นที่ร๎ูจัก และมีการร๎องเลํนกันอยํูบาง แหํงจนถึงปจ๓ จบุ ัน ซงึ่ จะกลาํ วถงึ ในทน่ี ี้มี 3 ประเภท คือ เพลงสา้ หรบั เดก็ ได๎แกํ เพลงกลํอมเด็ก และเพลงร๎องเลํน พบวํา มีการร๎องกันในจังหวัดเชียงใหมํ เชียงราย ลาพูน ลาปาง แพรํ นําน พะเยา และแมฮํ อํ งสอน เพลงกลํอมเด็ก ผู๎ใหญํใช๎ร๎องขับกลํอมให๎เด็กหลับ มักเรียกวํา เพลงอ่ือ ชา ชา (ออกเสียงวํา อ่ือ จา จา) ตามเสียงที่เอ้ือนออกมาตอนขึ้นต๎นเพลง เพื่อให๎เกิดความนํุมนวล ชวนให๎เด็กหลับไปได๎งําย เนื้อเพลงมี ลักษณะคาประพันธ๑ที่ไมํตายตัว จานวนคาและสัมผัสไมํเครํงครัดเชํนเดียวกับเพลงพ้ืนบ๎านอ่ืนๆ สํวนทานอง เป๕นทานองร่า (ฮ่า) โดยเอ้ือนเสียงทอดยาวที่พยางค๑สุดท๎ายของวรรค และเปลํงเสียงข้ึนลง ตามระดับสูงต่า ของเสยี งวรรณยกุ ต๑ ตวั อยา่ ง เพลงกล่อมเดก็ อ่อื ชา ชา หลับสองตาอยาํ ไห๎ แกว๎ แกนํ ไท๎ แมํจกั อ่ือชาชา นายไห๎อยากกนิ ชนื้ บมํ ีไผไพหา นายไห๎อยากกนิ ปลา บํมไี ผไพส๎อน มเี ข๎าเย็นสองสามก๎อน ปูอนแล๎วลวดหลับไพ เพลงร๎องเลํน ได๎แกํ เพลงสิกก๎องกอ เป๕นเพลงที่ใช๎ร๎องเลํนกับเด็กโดยเฉพาะเด็กเล็กๆ เม่ือวางไว๎บน หลังเท๎าพอํ และยกขาข้นึ ลงตามจงั หวะเพลง เพลงสิกจุํงจา เป๕นเพลงท่ีร๎องเมื่อไกวชิงช๎าให๎เด็กเลํน นอกจากนี้ มีเพลงที่เด็กร๎องเลํนอื่นๆ เชํน เพลงฝนตกสุยสุย เพลงเก่ียวหญ๎าไซหญ๎าปล๎อง เพลงหมาหางกิด และเพลง สาหรบั เลํนจ้าจี้ ตวั อย่าง เพลงร้องเลน่ สกิ ก๎องกอ บาํ ลออ๎องแอง๎ บําแคว๎งสกุ ปลาดุกเนํา หัวเขําปม หวั นมปว๗ิ ปดิ จะหลวิ้ ตกนา้ แมํของ ควายลงหนอง ตะลมํ พมํ พ่า
เพลงจ๊อย จ๏อยเป๕นเพลงพ้ืนบ๎านท่ีเกิดจากประเพณีการพบปะพูดคุยเก้ียวพาราสีในตอนกลางคืน เรียกวํา \"แอํว สาว\" ระหวํางท่ีหนํุมๆ เดินไปเย่ียมบ๎านสาวที่ตนหมายปองเอาไว๎ ก็เอื้อนเสียงร๎องจ๏อยเทํากับเป๕นการสํง สัญญาณให๎สาวจาเสียงได๎ด๎วย การร๎องเป๕นการจาบทร๎อง และทานองสืบตํอกันมาโดยไมํต๎องฝึกหัด อาจมี ดนตรีประกอบหรือไมํมีกไ็ ด๎ ตัวอย่าง เพลงจอ๊ ย สาวเหยสาว อ๎ายมาฟูุน๎อง หวังเปน๕ คํูปูองรอมแพง ยามเดือนสํองฟูา ดาวกด็ ับแสง พเ่ี หลียวผํองแยง เคหาแหงํ เจา๎ พบี่ รํ ักไผ เทาํ นายนอ๎ งเหน๎า ในโขงชมพโู ลกนี้ เพลงซอ เป๕นเพลงพื้นบ๎านภาคเหนือที่ชายหญิงขับร๎องโต๎ตอบกัน ผู๎ร๎องเพลงซอ หรือขับซอ เรียกวํา ชํางซอ เรม่ิ จากร๎องโต๎ตอบกันเพียงสองคน ตํอมา พัฒนาเป๕นวงหรือคณะ และรับจ๎างเลํนในงานบุญ มีดนตรีประกอบ ได๎แกํ ป๖ี ซึง และสะล๎อ มีเนื้อร๎องเข๎ากับลักษณะของงานบุญน้ันๆ เชํน ซอเรียกขวัญ เป๕นการทาขวัญนาค ซอ ถ๎อง เปน๕ ซอโตต๎ อบเกี้ยวพาราสกี นั ซอเก็บนก เปน๕ บทชมธรรมชาติ ชมนกชมไม๎ ซอวอ๎ ง เป๕นซอบทส้ันๆ ใช๎ร๎อง เลนํ ซอเบ็ดเตลด็ เร่ืองตํางๆ เชํน ซอแอํวสาวป๓๖นฝูาย ซอเงี้ยวเกี้ยวสาว และซอท่ีเลํนเป๕นเรื่องนิทาน เชํน น๎อย ไจยา เจ๎าสุวัตร-นางบัวคา และดาววีไกํหน๎อย สํวนทานองที่ใช๎ขับซอมีหลายทานองตามความนิยมในแตํละ ท๎องถิ่น เชํน ทานองขนึ้ เชยี งใหมํ จะปุ ซอเมืองนาํ น ละมา๎ ยเชยี งแสน ซอพมํา และทานองเงี้ยว ตัวอยา่ ง ซอว้อง ใช้รอ้ งเลน่ กลับไปกลบั มา ฮอดตาวนั แลง จะสิมดแดง มดส๎ม ฮอดตาวนั ลม๎ จะสมิ ดส๎ม มดแดง ตวั อยา่ ง ซอนิทาน เรอ่ื งน้อยไจยา น๎อยไจยา : ดวงดอกไม๎ แบงํ บานสลอน ฝงู ภมร แมเํ ผิง้ สอดไซ๎ ดอกพกิ ลุ ของพ่ตี น๎ ใต๎ ลมพัดไม๎ มารอดบ๎านตู ร๎แู นชํ ดั เข๎าสูํสองหู วาํ สีชมพู ถกู ป๔า๗ เคา๎ เน้งิ เค๎ามันตาย ปลายมนั เส้ิง ลากิง่ เน้งิ ตายโคํนทวยแนว ดอกพกิ ุล กค็ ือดอกแกว๎ ไปเป๕นของเป๗นิ แล๎วเนอ๎ แวํนแกว๎ : เตม็ เคา๎ เนง้ิ กง่ิ ใบแทเ๎ ลํา ตามคาลม ที่พัดออกเขา๎ มีแตํเคา๎ ไหวหวั่น คลอนเฟือน กง่ิ มนั แท๎ บํแสํเสลือน บเํ หมือนลมโชย ราเพยเช่อื นนั้
ใจของหญงิ นอ๎ งหนิมเท่ียงมั่น บํเปน๕ ของเปิ๗น คนใด ยังเป๕นกระจก แวนํ แกว๎ เงาใส บมํ ใี จเหงย่ี ง ชายเนอ๎ เพลงพ้ืนบา้ นภาคอสี าน ภาคอสี านเปน๕ แหลํงรวมกลุํมชนทีม่ วี ัฒนธรรมแตกตํางกันถึง 3 กลมํุ จงึ มเี พลงพนื้ บ๎านแบํงเป๕น 3 ประเภท ดังนี้ 1. เพลงพน้ื บา๎ นกลุมํ วฒั นธรรมไทย - ลาว 2. เพลงพน้ื บ๎านกลมุํ วฒั นธรรมเขมร - สํวย (กูย) 3. เพลงพน้ื บา๎ นกลมุํ วฒั นธรรมไทยโคราช เพลงพน้ื บ้านกลุ่มวัฒนธรรมไทย - ลาว กลํุมชนกลุํมนี้ ได๎แกํ ประชาชนในจังหวัดหนองคาย อุดรธานี เลย สกลนคร นครพนม กาฬสินธ๑ุ มหาสารคาม รอ๎ ยเอด็ ขอนแกนํ ชัยภูมิ มกุ ดาหาร ยโสธร อุบลราชธานี บุรีรัมย๑ และบางสํวนของจังหวัดศรีสะ เกษ กลํมุ ชนน้ีใชภ๎ าษาถิ่น คือ ภาษาอีสาน เพลงพนื้ บ๎านของกลํุมวัฒนธรรมไทย - ลาว มี 2 ประเภท คือ หมอ ลา และเซ้ิง ก. หมอล้า หมอลาเป๕นเพลงพื้นบ๎านท่ีนิยมมากในภาคอีสาน ได๎พัฒนาการแสดงเป๕นคณะ มีการฝึกหัดเป๕นอาชีพ รบั จา๎ งไปแสดงในงานตํางๆ มีทานองลา เรียกตามภาษาถ่นิ วํา \"ลาย\" ท่ีนิยมมีด๎วยกัน 4 ลาย คือ 1. ลายทางเส๎น 2. ลายทางยาว 3. ลายลาเพลนิ 4. ลายลาเตย๎ ตัวอย่าง ลายล้าเต้ย ชื่อ เต้ยโขง ลา ลา กํอนเดอ๎ ขอให๎เธอจงมรี ักใหมํ ชาตินี้ขอเป๕นขวญั ตา ชาตหิ น๎าขอเปน๕ ขวญั ใจ ชาตนิ แี้ ลชาติใด ขอให๎ได๎เคียงคํกู ับเธอ
(ท่ีมา : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) คณะหมอลา ทร่ี ๎องเลนํ หมอลา โดยใชภ๎ าษาถิ่นอีสาน ข. เซง้ิ หรือล้าเซ้ิง คาวาํ \"เซิง้ \" หมายถึง การฟอู นรา เชํน เซ้ิงกระติบ หรือทานองเพลงชนิดหนึ่ง เรียก ลาเซ้ิง เซิ้งทั่วไปมี 3 แบบ คือ เซิ้งบ้ังไฟ เซ้ิงเต๎านางแมว และเซิ้งเต๎านางด๎ง การเซิ้งน้ีมักจะเป๕นกลํุมยํอยๆ ต้ังกระบวนแหํไปขอ ป๓จจัย เพอ่ื รวํ มทาบญุ งานวัด ตัวอยา่ ง เซิง้ หลกั ธรรม (ตดั ความมาบางตอน) องคพ๑ ทุ โธเพ้นิ วาํ จังซ้ี ไผข้ีถ่เี กดิ เป๕นปลาหลด เกดิ มาอด กนิ หยังบํได๎ ของใหญๆํ แมนํ บํไดก๎ ิน พระมุนินทรเ๑ พ้นิ วาํ ช้ันดอก ข๎อยสบิ อกใหเ๎ จ๎าร๎ูคลอง รูท๎ านองทรัพย๑สนิ ภายนอก เพ่นิ นน้ั บอกให๎กนิ ให๎ทาน สร๎างสะพานผลาไปหนา๎ ขึน้ ชั้นฟูาสวรรค๑นิพพาน
(ทม่ี า : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) การฟูอนราเซงิ้ กระติบ เพลงพ้นื บ้านกลมุ่ วัฒนธรรมเขมร-สว่ ย (กยู ) เป๕นกลมํุ ประชาชนในจงั หวัดสุรนิ ทร๑ ศรีสะเกษ และบางสํวนของจงั หวัดบุรีรัมย๑ มีภาษาของตนเอง คือ ภาษาเขมร และภาษาสํวย(กูย) ซึ่งตํางไปจากภาษาถ่ินอ่ืนๆ นอกจากน้ี ยังมีวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น โดยเฉพาะ เพลงพ้นื บา๎ นที่เรียกวาํ \"เจรยี ง\" ซงึ่ แปลวาํ ร๎อง หรอื ขับลา (ท่ีมา : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) การรอ๎ งเลนํ เจรียงซนั ตจู ซงึ่ เปน๕ เพลงพื้นบ๎านกลมุํ วัฒนธรรมเขมร-สวํ ย (กูย) การเลํนเจรยี งน้ัน มที ั้งท่ีจัดเป๕นคณะ และเลนํ กนั เองตามเทศกาล เป๕น 2 ลักษณะ ไดแ๎ กํ 1. เจรียงในวงกันตรึมวง ซ่ึงเป๕นวงดนตรีประกอบด๎วย ป๖ีออ ปี๖ชลัย กลอง กันตรึม ฉิ่ง ฉาบ กรับ ป๓จจุบันมีซออ๎ู และซอด๎วงด๎วย เม่ือเจ๎าภาพจัดหาวงกันตรึมมาเลํน ก็จะมีการร๎องเพลง คือ เจรียงประกอบวง กนั ตรมึ เน้อื ร๎องจะเลอื กใหเ๎ ข๎ากับงานบญุ กศุ ลน้นั ๆ หรือตามท่ผี ๎ฟู ๓งขอมา 2. เจรยี งเป๕นตัวหลัก ในวันเทศกาล ชาวบ๎านที่มอี ารมณ๑ศิลปินจะจับกลํุมร๎องเจรียงท่ีจาสืบทอดกันมา ผลดั กันร๎อง และราฟอู นดว๎ ย เชนํ เจรียงตรุษ เจรยี งนอรแกว (เพลงรอ๎ งโตต๎ อบระหวาํ งชาย-หญงิ )
ตวั อยา่ ง เจรียงซนั ตจู (เพลงตกเบ็ด) ปกวั รเ๑ ลือนกนั โดะ (ฟาู ลั่นส่นั สะเทอื น) บองจญั เรยี บ มจ๏ะเสราะ (พ่ขี อแจ๎งเจ๎าของบ๎าน) บองโซมลงี ซันตูจโกน กระโมม (พข่ี อเลนํ ตกเบ็ดกบั ลูกสาว) ลงิ่ เตียง เนียงตจู (เลํนทั้งนอ๎ งนางคนเล็ก) รโฮดดอลเนียงธม (ตลอดถงึ น๎องนางคนโต) โซมลงี ซนั ตจู โกน กระโมม (ขอเลํนตกเบ็ดกบั ลูกสาว) ตามจะ๏ โบราณ (ตามคนแกโํ บราณ) เพลงพ้ืนบา้ นกลุม่ วัฒนธรรมไทยโคราช กลํุมชนวัฒนธรรมไทยโคราช ไดแ๎ กํ ประชาชนในจังหวัดนครราชสีมา และบางสํวนของจังหวัดบุรีรัมย๑ เพลงพ้ืนบ๎านของชนกลุํมน้ี คือ เพลงโคราช ป๓จจุบันพัฒนาจากเพลงพื้นบ๎านมาเป๕นคณะหรือเป๕นวง มีการ ฝึกหัดเป๕นอาชีพ รับจ๎างแสดงในงานบุญ งานมงคล งานแก๎บนท๎าวสุรนารี เนื้อร๎องโต๎ตอบระหวํางชาย - หญิง กลอนเพลงมีหลายแบบ เชนํ เพลงคํูสอง เพลงคสํู ี่ ใช๎ปรบมือตอนจะลงเพลงแล๎วรอ๎ ง \"ไช ยะ\" (ทมี่ า : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) การรอ๎ งเลนํ เพลงโคราชท่มี เี นื้อรอ๎ งโตต๎ อบกนั ระหวํางชายและหญิง ตัวอยา่ ง เพลงโคราช เห็นต๎นระกา คราวนจี้ ะช้าเอยต๎นกู ไมเํ ห็นแมํดวง พี่ก็จะดแู ตํต๎นระกา เอยกะตน๎ เกด เกดเอยเคยสงั เกต น่งั เชด็ น้าตา มองเหน็ กกไมพ๎ ่ีก็มอง ดูแตกํ ายเอยแคํเกล็ด กกไม๎ทาไมยังมี ตาเกดตากนั เกดเอ๐ยแมํเกด จะแล๎งแลว๎ แมํโฉมตรู นกึ เห็นแตํกอํ นเรา เคยกอดเชดิ ชู...กนั
เพลงพืน้ บ้านภาคใต้ เพลงพื้นบ๎านภาคใต๎มีคํอนข๎างน๎อย เมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ แตํยังรักษารูปแบบพ้ืนเมืองได๎มาก นิยม เลํนกันเองตามเทศกาลตํางๆ โดยไมํมีการรับจ๎างแสดง และไมํถือเป๕นอาชีพ เพลงพื้นบ๎านภาคใต๎ท่ีสาคัญๆ ได๎แกํ เพลงเรอื เพลงบอก เพลงนา เพลงกลํอมนาคหรือแหนํ าค และเพลงร๎องเรือหรือเพลงชาน๎องซึ่งเป๕นเพลง กลํอมเดก็ เพลงเรือ เป๕นเพลงพื้นบ๎านประเภทหน่ึง ใช๎เลํนในเรือ นิยมเลํนในเดือนสิบเอ็ด หรือเดือนสิบสองหลังออก พรรษาแล๎ว ภาคใต๎จะมีงานประเพณีชักพระหรือแหํพระ ผ๎ูเลํนเพลงเรือเป๕นชาวบ๎านที่อยํูใกล๎แมํน้า ลาคลอง หรอื ทะเลสาบ เชนํ อาเภอไชยา อาเภอเกาะสมุย อาเภอทําชนะ จังหวัดสุราษฎร๑ธานี อาเภอหาดใหญํ อาเภอ เมืองฯ อาเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา และจังหวัดชุมพร การเลํนเพลงเรือ มีเรือเพลงฝุายชายและฝุายหญิง โดย เริ่มต๎นร๎องกลอนไหว๎ครูกํอน จากน้ันก็วํากลอน ชักชวนเรือเพลงอีกฝุายให๎มาร๎องเลํนกัน แล๎วร๎องโต๎ตอบกัน ด๎วยปฏภิ าณไหวพริบ ทง้ั ในเชงิ เกีย้ วพาราสี โต๎คารมอยาํ งเผ็ดรอ๎ น และกระเซ๎าเย๎าแหยํกนั มักนาเอาเหตุการณ๑ บ๎านเมือง หรอื สภาพแวดล๎อมมาสอดแทรกในเน้ือร๎อง เพ่ือให๎เกิดอารมณ๑ขัน หรือเสียดสีประชดประชันกัน ใน ระหวาํ งทีร่ อ๎ งเพลงเรือนัน้ ผ๎พู ายตอ๎ งพายให๎เขา๎ กับจงั หวะของเพลงดว๎ ย (ท่มี า : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) การรอ๎ งเลนํ เพลงเรือ ตวั อย่าง เพลงเรือ เพลงเรอื สงขลา ขน้ึ ขอ๎ ตอํ กลําว ถงึ สาวทกุ วนั แตงํ ตัวกวดขนั ในวันประชุม ต๎มุ หูพหูํ ๎อย สาวน๎อยหนมุํ หนมุํ สองเตา๎ เตงํ ตุม เหมือนพมํุ มาลา ถ๎าได๎พชี่ าย จะจบู ซา๎ ยจบู ขวา สาวน๎อยงามสรรพ ดับกายไวท๎ าํ ถึงวันออกษา พี่จะพาเจา๎ ไป
วธิ รี อ๎ ง ต๎นเสียงจะรอ๎ งนา และลูกครํู ับ ซ่งึ จะรอ๎ งซ้ากับตน๎ เสยี ง ดังน้ี ขนึ้ ข๎อตํอกลาํ ว ถงึ สาวทกุ วัน ลูกครํู ับ น๎องนั่นแหล๎ สาวนนั้ แหล๎ เพอื่ เหอตํอกลําว,, ถึงสาวทุกวนั สาวเหอตอํ กลําว,, ถึงสาวทกุ วัน แตํงตัวกวดขนั ในวนั ประชุม ,, นอ๎ งนัน่ แหล๎ สาวนัน้ แหล๎ เพื่อเหอกวดขัน ,, ในวันประชมุ สาวเหอกวดขัน ,, ในวนั ประชมุ เพลงเรอื โตต๎ อบ ชาย : เออเหอย ขอถาม เรืองามทรามวยั หน๎าตาขาวขาว เป๕นชาวบ๎านไหน มคี ํหู รือยงั บอกม่ังเป๕นไร ขอแมํทรามวยั เอํยเอื้อนวาจา หญงิ : เออเหอย เรือชาย ปากร๎ายนกั หนา เทยี่ วพายใต๎เหนือ ตามเรือฉานมา คนไมํร๎จู กั เท่ียวทักถามหา พดู พรา่ เจรจานาํ ขนั เหลือใจ เพลงบอก เป๕นเพลงพ้ืนบ๎านท่ีนิยมเลํนในวันสงกรานต๑ (กํอนหรือหลังก็ได๎) เพ่ือบอกความหรือประกาศวัน สงกรานต๑วาํ ปีนี้นาคใหน๎ า้ ก่ีตัว วันใดเป๕นวันธงชัย วันอธิบดี ฯลฯ เพลงบอกอาจเลํนในงานบุญตํางๆ หรืองาน ประจาปีกไ็ ด๎ (ทีม่ า : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) การรวมกลํมุ กันรอ๎ งเลนํ เพลงบอกของชาวบา๎ นภาคใต๎ ในงานบุญหรอื งานประจาปี
วิธีเล่น ชาวบ๎านจะรวมกลํุม 5 - 10 คน เคร่ืองดนตรีมีทั้งขลํุย ทับ ป๖ี ฉิ่ง กรับ หรือแล๎วแตํจะหาได๎ เดินร๎อง เพลงไปตามหมํูบ๎าน เม่ือเจ๎าของบ๎านได๎ยินเสียงเพลงก็จะเช้ือเชิญขึ้นบ๎าน เล้ียงอาหาร หมากพลู แม๎จะเป๕น เวลามืดค่า เจ๎าของบ๎านก็ยังยินดีต๎อนรับคณะเพลงบอก เพราะเน้ือเพลงของเพลงบอกนั้นร๎องอวยพรปีใหมํ และสรรเสรญิ เยนิ ยอเจา๎ ของบ๎านอีกด๎วย ตัวอยา่ ง เพลงบอก เรื่องศาลาโดหก เพลงบอกของเจ้าคุณวดั ท่าโพธ์ิ พระรัตนธัชมุนีศรธี รรมราช (ม่วง รตนฺ ธชเฺ ถร) บ๎านเมืองเอก ณ ปก๓ ษใ๑ ต๎ พลไพรํกพ็ ร๎อมเพรียง รกุ ขะเรียงแกววถิ ี เมทนดี ล มีศาลาหนา๎ นครนิ ทร๑ พ้ืนเปน๕ ดนิ กํอดว๎ ยอฐิ หลงั คาปิดบงั ร๎อน ทง้ั ได๎ซํอนฝน ศาลาน้มี ีเป๕นหลกั ที่สานกั ประชาชน ผเ๎ู ดนิ หนไดห๎ ยุดอยูํ ทกุ ฤดูกาล มีประดอํู ยหํู กตน๎ ท่สี ูงพ๎นแตหํ ลังคา รอบศาลาก่งิ โตใหญํ แผอํ ยูไํ พศาล อยํใู นถิ่นประจิมถนน เป๕นทช่ี มสาราญ แตํกอํ นกาลดกึ ดาบรรพ๑ เป๕นทส่ี าคญั กลาํ ว ชาวบ๎านนอกออกสาเหนยี ก นยิ มเรยี กคาสนั้ สน้ั ชอบแกล๎งกลน่ั พดู ห๎วนหว๎ น ตัดสานวนยาว เรยี กวําศาลาโดหก โดยหยิบยกวัตถุกลําว เรียกกันฉาวทั้งบา๎ น มพี ยานโข... เพลงนา เพลงพ้ืนบ๎านของชาวชุมพร ใช๎ร๎องเลํนเม่ือจับกลํุมเดินไปนา และร๎องระหวํางเก่ียวข๎าว ลักษณะคา ประพันธ๑เป๕นกลอนสุภาพ แตํวรรคหน่ึงอาจมี 9 - 11 คาแล๎วแตํเนื้อความท่ีร๎อง และใช๎สัมผัสท๎ายวรรคเป๕น เสียงเดียวกันท่ีเรียกวํา กลอนอา กลอนอี การร๎องเพลงนาต๎องมีคํูขับร๎องด๎วยคนหนึ่ง ผ๎ูร๎องนาต๎นบทเรียกวํา แมเํ พลง คูขํ ับรอ๎ งเรียกวํา ทา๎ ยไฟ และเมื่อร๎องจบบทหนึ่งอาจเปลย่ี นกนั เปน๕ แมเํ พลง หรอื ทา๎ ยไฟกไ็ ด๎ ตวั อยา่ ง การรอ้ งเพลงนา บทไหว้ครู แมเํ พลง : ออ...น๎อง...หนา...ขอนอ๎ มหตั ถ๑นมสั การทํานอาจารยผ๑ ๎ปู ระสาท ท๎ายไฟ : ขอน๎อมหัตถน๑ มสั การทาํ นอาจารยผ๑ ู๎ประสาท...แลทํานเหอย แมํเพลง : วิชาการสามารถทํานสงํ เสริมส่งั สอน (ซา้ ... ทาํ นสงํ เสรมิ สง่ั สอน) ทาํ นชแี้ นวชักนาให๎วาํ คาวาํ กลอน
ตัวอยา่ ง การรอ้ งเพลงนา บทอาลยั ลา คนรักกันแม๎อยไูํ กลเหมือนอยูใํ กล๎ เบยี ดสนิทชดิ กายเหมือนตกั บาตรรํวมขนั อยํขู อบฟูาเขาเขียวเหมือนอยหูํ ๎องเดยี วกนั บทลง : อยํูขอบฟูาเขาเขียวเหมือนอยหูํ ๎องเดียวกนั ผกู รกั สมั พันธ๑ผกู ใจมน่ั จริง เหอย... เปน๕ คูํทุกข๑คํูยากคํูสร๎างคสํู ม คูํเคยี งเรยี งภิรมย๑ตลอดกาลไป เหอย... เพลงกล่อมนาค หรือเพลงแหน่ าค เป๕นเพลงพื้นบ๎านของชาวไทยพุทธแถบแหลมสทิงพระ จังหวัดสงขลา ใช๎ร๎องกลํอมนาคตอนแหํนาค ออกจากบ๎านไปวัด และตอนแหํเวียนรอบพระอุโบสถ นอกจากร๎องเพ่ือความสนุกสนานคร้ืนเครง เน้ือหาของ บทเพลงยงั เป๕นการอบรมส่ังสอนนาคกอํ นเข๎าบรรพชาอปุ สมบท ขอความเป๕นสริ มิ งคลจากเทวดา และบางตอน กร็ อ๎ งล๎อเลียนนาคเกี่ยวกับหญิงคนรักด๎วย คณะเลํนเพลงกลํอมนาคมีแมํเพลง 1 - 2 คน และลูกคูํ 5 - 10 คน เดินล๎อมตัวนาค และร๎องเพลงกลํอมไปตลอดทางจนถึงพระอุโบสถ มีแบบแผนการร๎องนาและร๎องรับ ดัง ตัวอยําง แมเํ พลง : มอื เอยมอื ของขา๎ สบิ นิ้ววนั ทายอไหว๎ ลูกคูํ : เอ เหํ เห๎ ไป มือเอยมือของขา๎ สบิ น้ิววนั ทายอไหว๎...ไป แมํเพลง : ทกุ ทศิ าพารา พี่นอ๎ งเห๎อ ทกุ ทิศาพาราข๎าปูผ๎าใหญํ แล๎วแวํนแควน๎ แดนไกลทกุ ทิศา ลูกคํู : เอ เหํ เห๎ศา ทกุ ทศิ าพาราขา๎ ปผู า๎ ใหญํ แลว๎ แวนํ แคว๎นแดนไกลทกุ ทิศา (ทม่ี า : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) การร๎องเพลงกลํอมนาค มเี นื้อหาเป๕นการอบรมสั่งสอนนาคกํอนบรรพชาอปุ สมบท
ตัวอยา่ ง บทรอ้ งกล่อมนาค บางตอน ไหวเ๎ ทพไทในแดนแผนํ พสุธา ชํวยยะโสโมทนาอยําขดั สน ใหเ๎ จ๎านาคลุไปดังใจดล จุหลาจลอยาํ ไดม๎ ีมา ขอให๎คนทหี่ ามมคี วามสุข สาเรจ็ เสร็จทกุ ข๑ไปเถดิ หนา อันหนํมุ สาวเฒาํ แกํแหนํ าคมา ไปชาตหิ นา๎ คงจะได๎วิมานทอง (ทม่ี า : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) เพลงแหํนาค ใช๎ร๎องตอนแหนํ าคออกจากบ๎านไปวดั เพลงร้องเรือ หรือเพลงชาน้อง เป๕นเพลงกลํอมเด็กของภาคใต๎ ใช๎ร๎องกลํอมเด็กให๎นอนหลับ ลักษณะคาประพันธ๑เป๕นกลอนชาวบ๎าน โดยท่ัวไป 1 บท มี 8 วรรค ในแตลํ ะวรรค มี 4 - 10 คา แล๎วแตํเนื้อความ และบางเพลงอาจมีความยาวถึง 30 วรรค เพลงรอ๎ งเรือ หรือเพลงชาน๎อง สํวนมากร๎องเกร่ินนาด๎วยคาวํา \"ฮาเอ๎อ\" และจบท๎ายวรรคแรกด๎วยคาวํา \"เหอ\" เน้อื หาสาระเปน๕ การขับกลํอมให๎เด็กนอนหลับเร็ว และหลับสนิท ด๎วยความอบอํุน ทั้งกายและใจ หลาย บทไดส๎ อดแทรกคาสอนในการประพฤติปฏบิ ตั ติ น ปลกู ฝ๓งคณุ ธรรม และสะท๎อนเรื่องราวที่เกิดขน้ึ ในสงั คมด๎วย ตัวอย่าง เพลงรอ้ งเรือ หรือ เพลงชานอ้ ง 1) ขวญั อํอนเหอ นอนใหเ๎ ป๕นสุข แมไํ มํมาปลกุ อยาํ ลกุ รบกวน ฟกู หมอนแมตํ ้งั อยาํ ลุกรบกวน รองหลงั นม่ิ นวล ขวญั ออํ นเจ๎านอนเปล 2) ยาฝ๖ินเหอ อยํากนิ มากนักเลยพอํ เนอ้ื ทอง ตอ๎ งจาต๎องจอง ตอ๎ งเขอต๎องคาเพราะยาฝิ๖น อยากกล๎วยอยากอ๎อย น๎องสาวน๎อยจะเซอ๎ ให๎กนิ ตอ๎ งเขอต๎องคาเพราะยาฝิ๖น นงั่ ไหนโหนอนน่นั
3) โลกสาวเหอ โลกสาวชาวเรินตีน เดินไมํแลตนี เหยยี บเอาโลกไกตาย หนวยตาตั้งสองหนวย หวงอเ้ี หลียวแลชาย เหยียบเอาโลกไกตาย แลชายไมวํ างตา บทสรุป เพลงพ้ืนบ๎านเป๕นผลงานที่สร๎างสรรค๑มาจากความคิดอิสระของชาวบ๎าน มิได๎ผลิตงานเพลงเป๕นอาชีพ แตํจะขับลาร๎องเพลงกัน ในระหวํางเวลาทางานอาชีพหลัก คือ การทาไรํ ทานา เน่ืองจากสังคมไทยด้ังเดิม ชาวบ๎านสํวนใหญํเป๕นชาวไรํ ชาวนา มีวิถีชีวิตผูกพันกับการทามาหากินอันเก่ียวเนื่องกับธรรมชาติ ความอุดม สมบูรณ๑ของพืชพันธุ๑ธัญญาหาร ซึ่งเป๕นป๓จจัยสาคัญท่ีสุด ในการยังชีพ คนไทยจึงคิดสร๎างพิธีกรรมท่ีเกี่ยวเนื่อง กับความเจรญิ งอกงาม ทีเ่ ห็นไดช๎ ัดทีส่ ดุ ไดแ๎ กํ พิธีกรรมในฤดูเก็บเก่ียว ดังน้ัน เพลงท่ีใช๎ร๎องในฤดูกาลเก็บเกี่ยว จึงเกิดข้ึน เพื่อเป๕นการฉลองความอุดมสมบูรณ๑ หลังจากเสร็จสิ้นงานหนักในไรํนา มาเป๕นเวลาเกือบปี เม่ือถึง ฤดูร๎อนซ่ึงเป๕นระยะเวลาหลังเก็บเก่ียวพืชผล ก็เป๕นเวลาร่ืนเริง มีเพลงที่ร๎องเลํนในเทศกาลสงกรานต๑ และวัน สาคญั ทางพระพุทธศาสนาด๎วย (ที่มา : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58593/-stopoe-sto-) เพลงสงฟางเป๕นเพลงทค่ี ดิ ขนึ้ ร๎องเลํนกันในฤดเู ก็บเก่ียว เพลงพื้นบ๎านเป๕นสมบัติของชาวบ๎าน แสดงให๎เห็นภูมิป๓ญญาการใช๎ภาษาของคนไทย โดยใช๎ สภาพแวดล๎อมทางธรรมชาติ ทางความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช๎ใน ชีวิตประจาวัน เป๕นแหลํงบันดาลใจในการสร๎างภาษา เพื่อความสนุกเพลิดเพลิน และในทางอ๎อมก็เป๕นสื่อใน การอบรมสั่งสอน โดยสอดแทรกคาสอนทางศาสนา คํานิยม หรือกฎเกณฑ๑ ท่ีควรปฏิบัติในสังคม ใช๎ระบาย ความในใจทม่ี ตี ํอธรรมชาติแวดล๎อมอีกดว๎ ย ในยคุ กอํ นทจี่ ะมวี ิทยุ โทรทัศน๑ และอินเทอร๑เน็ต เพลงพื้นบ๎านก็ทา หนา๎ ที่เป๕นสื่อสารมวลชนกระจายขําวสารในสงั คม เชํน เพลงรํอยภาษา เช้ือเชญิ ให๎คนรํวมทาบุญ เป๕นการสร๎าง ความรู๎สกึ เปน๕ อันหนงึ่ อันเดียวกนั ในสังคม แตํป๓จจุบนั บทบาทเหลํานั้นหมดไปจากสงั คมไทยแล๎ว เน่ืองจาก เกิด ระบบสื่อสาร และเครื่องมือใหมํๆ ท่ีพัฒนาข้ึนอยํางไมํหยุดย้ังเข๎ามาทดแทน โดยทาหน๎าท่ีได๎รวดเร็วกวํา และ ทันสมัยกวํา ประกอบกับวิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงไป พื้นท่ีเกษตรกรรมลดลง ในขณ ะที่พ้ืนท่ี
อุตสาหกรรมขยายตัวเพ่ิมข้ึน ตลอดจน วัฒนธรรมตะวันตกหล่ังไหลเข๎ามาแทนที่วัฒนธรรมไทยเกือบทุกด๎าน เกิดเพลงและดนตรีแบบสากลหลากหลายรูปแบบ เป๕นความบันเทิงสมัยใหมํ ที่คนไทยสามารถเลือกสรรท่ีจะ ฟ๓งอยํางเพลิดเพลินได๎ โดยไมํมีข๎อจากัด ขณะที่พํอเพลงแมํเพลงพ้ืนบ๎านคํอยๆ ตายจากไปตามอายุขัย และ แทบจะไมํมีผูส๎ ืบทอดเลยในชุมชนแตํละท๎องถิ่น ป๓จจุบัน เพลงพื้นบ๎านยังมีจัดแสดงร๎องเลํนให๎ฟ๓งและชมกันได๎ ในบางโอกาส ซึ่งก็เป๕นเพียงการ \"ฟื๗นอดีต\" และเป๕นความพยายาม ที่จะสืบทอด \"มรดกภูมิป๓ญญา\" แขนงน้ีให๎ คงอยใํู นฐานะ \"สมบัติวัฒนธรรมของชาติ\" สบื ไป การศึกษาภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นด๎านการขับร๎องเพลงพื้นบ๎าน จากนางเกล่ือน ยืนยั่ง นักเรียนผู๎สูงอายุ โรงเรียนผู๎สูงอายเุ ทศบาลเมอื งวงั นา้ เยน็ อาเภอวงั น้าเยน็ จงั หวัดสระแก๎วในครั้งน้ี ทาให๎ได๎เรียนรู๎เข๎าใจในวิถี ชีวิต คํานิยม ความเช่ือ ขนบธรรมเนียมประเพณีท๎องถ่ินท่ีมีความสาคัญเชื่อมโยง การถํายทอดภูมิป๓ญญา การขับร๎องเพลงพ้นื บ๎าน ของนางเกลือ่ น ยืนยั่ง ที่ไดร๎ ับการถาํ ยทอดมาจากพํอ แมํท่ีมีภูมลิ าเนาอยทํู ี่ อาเภอวังน้าเย็น จังหวัดสระแก๎ว ได๎สอนวิธีการขับร๎องเพลงพ้ืนบ๎านให๎กับนางเกล่ือน ยืนย่ัง ป๓จจุบัน ภูมิลาเนามาอยูํท่ีบ๎านชัยณรงค๑ อาเภอวังน้าเย็น จังหวัดสระแก๎ว และได๎ถํายทอดความรู๎การขับร๎องเพลง พื้นบ๎านให๎กับหลานๆ เชํนเดียวกัน ดังนั้นการสืบทอดความเช่ือ จากคนรํุนเกําสํูคนรุํนใหมํ และพัฒนา ศักยภาพภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นที่มีอยูํในการเสริมสร๎างคุณภาพชีวิตเพื่อการดารงอยํูของวัฒนธรรมควบคํูกับการ พัฒนาเป๕นอาชีพและรายได๎ ตํอไป
ภาคผนวก - ประวัติผ้จู ัดท้าภูมิปญั ญาศึกษา - ภาพประกอบ
ประวัติผ้ถู า่ ยทอดภมู ิปญั ญา ช่อื : นางเกลอื่ น ยืนย่งั เกดิ : 26 พฤศจิกายน 2474 อายุ 88 ปี ภมู ิล้าเนา : จังหวัดสระแกว๎ อยูป่ จั จุบนั : บา๎ นเลขท่ี 1557 หมูํ 1 ตาบลวงั นา้ เยน็ อาเภอวงั น้าเย็น จังหวดั สระแก๎ว สถานภาพ : สมรสนายเทพ ยนื ย่งั มบี ตุ รดว๎ ยกัน จานวน 4 คน ดังนี้ 1. นายผจญ ยนื ยั่ง 2. นายประมขุ ยืนยั่ง 3. นายแมน ยืนย่ัง 4. จงกล ฉิมกุล การศึกษา : ประถมศึกษาปที ่ี 2 ปจั จบุ นั ประกอบอาชีพ : ไม๎ได๎ประกอบอาชีพเนอื่ งจากปุวย ประวัตผิ ู้เรยี บเรยี งภูมปิ ัญญาศกึ ษา ช่อื : นางสาววราภรณ๑ สุขแสวง เกิด : 29 กมุ ภาพนั ธ๑ 2523 อายุ 39 ปี ภูมิล้าเนา : 58/1 หมูํ 1 ตาบลวังวังใหมํ อาเภอวงั สมบรู ย๑ จงั หวดั สระแกว๎ ที่อยู่ปัจจุบนั : 58/1 หมูํ 1 ตาบลวงั วงั ใหมํ อาเภอวังสมบูรย๑ จังหวัดสระแก๎ว สถานภาพอ : สมรส กับ นายนิธภัทร โพธจิ นั ทร๑ มีบุตรด๎วยกนั 1 คน ดงั นี้ 1. เด็กหญงิ ณชิ าภัทร โพธิจันทร๑ การศึกษา : ปรญิ ญาโท สาขาการบริหาร มาหาวทิ ยาลยั บรู พา ปัจจุบันประกอบอาชพี : ครู โรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพนั ธ๑วทิ ยา สงั กดั เทศบาลเมอื งวงั นา้ เยน็
ภาพประกอบการจัดท้าภูมิปัญญาศกึ ษา เรื่องเพลงพื้นบ้าน
Search